คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
Conflict illogical…
บทนำ
Oh Take a look in the mirror you look so sad
โอ้ มองเข้าไปในกระจก ใบหน้าของเธอช่างดูเศร้าหมอง
It's so cold like that winter market we used to go
ช่างหนาวเหน็บราวกับตลาดหน้าหนาวที่เราเคยไปด้วยกัน
I don't cry anymore but I feel so hurt
ฉันไม่ได้ร้องไห้ แต่กลับรู้สึกเจ็บปวด ……
….
“ภูษา...”
“....”
เสียง ของหญิงสาวแหลมๆที่ดูอ่อนโยนทักตัวฉันพร้อมกับลูบหน้าผากเบาๆ จนตัวฉันหยุดจากวังวนแห่ง “ภวังค์หลัง” ที่ฉันไม่อาจลืมเลือนนี้ได้...
“แหม~ฉัน ก็นึกว่าเธอวิญญาณหลุดออกจากร่างไปซะอีก...เดี๋ยวฉันจะไปซื้อน้ำส้มให้ไหม จ๊ะ? เธอจะได้สดชื่น” หญิงสาว เอามือทาบหน้าผากของฉันเพื่อทดสอบไข้...ไม่สิ ความเย็นมากกว่า เพราะถ้าพูดถึงวิญญาณออกจากร่าง กายเราจะไม่มีชีวิต เลือดจะหยุดไหลเวียน อุณหภูมิเลยเย็นเฉียบพลัน...แต่พอเห็นว่าอุณหภูมิฉันเป็นปกติ เธอเลยไม่ได้เอะใจอะไร...
“ไม่เป็นหรอกจ้ะบุหงา ฉันกินอาหารเช้าจนอิ่มแปล้แล้ว น้ำตอนเช้ากินไปตั้ง 2 แก้วแน่ะ เธออยากกินอะไรก็เอาของตัวเองเลยจ้ะ” จริงๆแล้วฉันโกหก เพราะตอนเช้าฉันกิน 4 แก้วต่างหากล่ะ เพราะอยู่ในช่วงวาระกระหายน้ำอย่างหนัก แต่กลัวว่าอีกฝ่ายจะหาว่าเวอร์เกินฉันก็เลยบอกไปว่าแค่ 2 หญิงสาวที่ชื่อบุหงาเอามือเกาแก้มเหมือนต้องการจะบอกเป็นเชิงว่า ‘กินเข้าไปขนาดนั้นไม่จุกแย่เหรอ?’ ...จริงๆ แล้วฉันก็จุกอยู่หรอก แต่ฉันเน้นกินน้ำวันละ 6-8 แก้วต่อวัน สำหรับฉันมันคงไม่แปลกหรอก...(มั๊ง?) แต่ทำไงได้ล่ะ ก็แม่ของฉันบอกให้กินฉันก็ต้องกินนี่นา...
“ฮืด~อ้า~…ฉันชอบกลิ่นมะลิของที่นี่จัง” บุหงาสูดดมกลิ่นของดอกมะลิซึ่งถูกปลูกไว้ใกล้ๆกับที่เรานั่ง...
ที่นี่คือสถานศึกษามหาวิทยาลัย’สิงหชัยสามัญ’ ที่นี่ส่วนใหญ่เขาจะเน้นด้านคณะ 4 หลักๆ ก็คือ คณะแพทย์ศาสตร์ คณะศิลปากร คณะบัญชี-บริหาร และคณะวิศวกรรมศาสตร์ โดยฉันและบุหงาเพื่อนสาวอยู่ที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี โดยเลือกสาขาสายบัญชี คิดแล้วมันก็เศร้าใจอยู่บ้าง...เพราะจริงๆแล้วฉันอยากต่อคณะศิลปากรเพราะ ว่าฉัน ชอบศิลปะมากๆ แต่พ่อของฉันอยากให้ฉันต่อคณะบัญชีมากกว่า เพราะอยากให้ฉันเปิดธุรกิจดีๆ ถึงแม้จะต้องมาเรียนคณะที่ไม่ได้ชอบ แต่ฉันก็พยายามตั้งใจสุดความสามารถ ก็เพราะเป็นคณะที่พ่อกับแม่อยากให้ฉันต่อนี่นา ถึงจะตื๊อว่าจะต่อคณะศิลปากรให้ได้ ถึงยังไงท่านก็ไม่ยอมอยู่ดี แต่ถึงจะยอม ท่านก็อาจไม่สบายใจก็เป็นได้ งานของฉันคืออยากให้พวกท่านสบายใจ เป็นคนเลี้ยงดูง่าย ก็เลยมาต่อคณะนี้ อีกอย่าง พ่อกับแม่บอกว่าถ้าฉันเรียนจบคณะนี้จนได้เปิดธุรกิจดีๆแล้ว พวกท่านจึงจะยอมให้ฉันเลือกเรียนคณะอื่นอะไรได้ตามใจชอบเลย...
ฉัน พยายามคิดบวกตั้งหลายอย่าง ที่นี่มีดอกไม้ประจำโรงเรียนที่ฉันชอบมาก คือดอกมะลิและกุหลาบสีเหลือง ฉันชอบดอกมะลิเพราะว่ามันเป็นดอกไม้ประจำวันแม่ และฉันก็รักแม่มากๆ...ด้วย ส่วนดอกกุหลาบสีเหลืองฉันก็ชอบเพราะว่ามันเป็นตัวแทนแห่งมิตรภาพ ถึงแม้ว่าดอกกุหลาบเหลืองในใจฉัน กลีบดอกมันจะร่วงโรยไปแล้วก็ตาม...
“เหรอ?...” จริงๆแล้ว ถ้าเขาไม่มีกฎว่าห้ามเด็ดดอกไม้ฉันคงเด็ดไปเป็นกองไปฝากแม่แล้วล่ะ ภารโรงเขาเข้าใจดูแลดอกไม้นี่จนบานกลิ่นหอมคลุ้งสะพรั่ง
“เย็นชาจังเลย >3< ‘ษาออกจะชอบดอกมะลิไม่ใช่เหรอ?”
“ก็ ใช่ แต่ฉันแค่กำลังเบื่อเล็กน้อยอ่ะนะ...” ฉันไม่ค่อยเข้าใจ ฉันทำหน้าเย็นชางั้นเหรอ? วันนี้ฉันออกจะอารมณ์ดีออก ก็วันนี้เป็นวันเปิดเรียนมหาลัยที่ผ่านมา 3 วันกว่าแล้ว คนมันก็ตื่นเต้นเป็นธรรมดา...ส่วนที่บอกว่าเบื่อเพราะฉันชอบเวลาเรียน มากกว่านั่งโดยไม่ทำอะไร อย่างน้อยก็แค่นั่งบวกลบคูณหารเลขคำนวณโจทย์แก้สมการ ไม่ก็ทำกิจกรรมระหว่างการเรียนก็สนุกดี...เพราะงั้นฉันถึงชอบเวลาเรียนไง
ผัวะ!
“โอ๊ย!” มันอะไรกันนักกันหนากะอีแค่เหม่อๆ ก็ถึงกับตบหัวเลยเหรอ? “บุหงา ฉันเจ็บนะ!”
“โห~ยัยนั่นออกลายจะอาละวาดซะแล้วเหรอ...” เสียงนี้ไม่ใช่ของบุหงา แต่เป็นเหมือนของพวกผู้หญิงน่าหมั่นไส้ทั้งหลายแหล่ “ไหนๆ ดูสิว่าจะเก่งกาจแค่ไหนกันนักเชียว”
“โอ๊ยนี่!”
มันเป็นเรื่องปกติที่ฉันมักจะโดนจิกหัวทึ้งผมโดนหาเรื่อง เสียงที่ฉันโอดครวญมันเป็นเสียงธรรมดาที่หลายคนมักจะได้ยินกันบ่อย
“นี่ เธอเป็นถึงลูกของมาเฟียเชียวนะ ไม่คิดจะชักปืนยิงใส่เราหรือไง อ๋อๆ เดี๋ยวเรียกบอดี้การ์ดมาเก็บพวกเราด้วยนะ แต่เธอจะทำหรือเปล่าหว่ายัยผู้หญิงปวกเปียก! เอาซิ! นี่เธอไม่เห็นเลยหรือไงว่าฉันกำลังทำอะไรเธออยู่ โทรศัพท์ไปฟ้องพ่อแม่ก็ได้นะ ฮ่าๆๆๆๆ” ผู้หญิงกลุ่มนั้นหัวเราะกันเสียงเกรียวกราว สามวันที่ผ่านมาฉันก็ถูกทำแบบนี้ แต่ฉันมักจะเงียบไม่คอยตอบโต้อะไรนอกจากบอกให้ปล่อยๆๆ ...คนอื่นๆเองก็ไม่กล้าเข้าไปช่วย บ้างก็แอบสมน้ำหน้ากัน บารมีมาเฟียที่ฉันมีเลยทำให้คนอื่นๆรู้สึกรังเกียจ...
“รสา! เธอจะบ้าแล้วหรือไงกัน เธอปล่อยเพื่อนฉันนะ”
“ถ้า แน่จริงก็เข้ามาช่วยเพื่อนเธอก็ได้นะ ยัยบุหงา” ผู้หญิงคนที่ชื่อรสาหันไปมองบุหงาด้วยสายตาเหยียดหยาม ฉันเองก็เคยเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟังบ้าง แต่แม่เขาบอกว่าถ้าทนได้ก็ลองดู บางทีมันอาจจะทำให้ฉันเข้มแข็งขึ้น แต่ถ้าทนไม่ได้ แม่ก็อนุญาต....
แม่คะ หนูรักแม่ เมื่อแม่อนุญาตมา หนูก็ขอทำตาม...สิ่งท่านมอบให้ หนูยังเก็บไว้เป็นอย่างดี...
ฉับ!
สิ่งของสีเงินคมกริบกรีดแขนรสาเป็นเส้นตรงอย่างเร็ว ถ้าพ่อแม่ไม่เคยสอนให้ลองทำแบบนี้ดูฉันคงมือสั่นไม่ก็เผลอปล่อยมีดปักแขนของรสาเพราะเผลอกำมีดไม่แน่นอะไรแบบนี้ก็เป็นได้...
“หนอย! นี่เธอ เขาห้ามเอาอาวุธมาที่สถานศึกษามานะ ไม่งั้นฉันฟ้องครูแน่” รสาลูบแขนสั่นๆ
“ฟ้องได้ก็ลองดูสิ” ฉันมองเธอด้วยสายตาปกติ “คืนนี้อย่าลืมล็อกประตูบ้านด้วยล่ะ ถ้าฉันเคาะประตูก็ห้ามเปิดนะ เดี๋ยวหนทางเด็ดหัวมัน จะง่ายไปหน่อย...” ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่ขี้วีน ตอนที่พูดฉันก็พูดด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนเป็นเรื่องปกติๆ คุณพ่อบอกว่าถ้าเราไม่หุนหันตามอารมณ์โกรธจะทำให้ไม่เกิดเรื่องวุ่นวาย เวลาจะปราศรัยทะเลาะอะไรก็ให้คุยด้วยเสียงปกติ มันอาจจะทำให้อีกฝ่ายกลัวก็ได้ แต่ถ้าไม่ก็แสดงว่าเขาโง่ล่ะ เพราะฉันพูดอะไรจริงทำของจริง...
…………..
…การขึ้นเรียนวันนี้มันทำให้ฉันรู้สึกอึดอัด...
“นี่ๆ คนนั้นใช่ไหมน่ะที่ทำเรื่องเมื่อเช้า...”
“...นั่นสิ ทำไปได้ยังไง”
“อย่าคิดว่าบารมีที่มีอยู่จะต่อต้านกฎโรงเรียนได้งั้นเหรอ?”
“นิสัยไม่ดี...”
“รสาก็ว่าทำตัวแย่นะ แต่เธอคนนั้นเกินไปแล้ว”
“....”
ตาม ด้วยคำสบถมากมายหลายแสนที่ฉันไม่อยากจะฟัง ถึงฟังไปก็ไม่มีความหมายอะไร เรื่องการครอบครองอาวุธนั่นฉันเคยขอทำใบอนุญาตมานานแล้วเพราะถึงวัยบรรลุ นิติภาวะ หรือก็ตั้งแต่ก่อนเข้าเรียนมหาลัยซะอีก จริงๆแล้วฉันก็พยายามทำตามกฏของโรงเรียนที่บอกว่าห้ามพกอาวุธ แต่คุณแม่มักจะบอกว่าให้พกทุกที...
การเรียนในคณะนี้จะเน้นเลคเชอร์เป็นหลัก (การจด การบันทึก) ครูผู้สอนบอกว่าจะมีการทำรายงานและเข้า Lab com (เหมือนเรียนวิชาคอมพิวเตอร์เลย) ครอสเรียนของเช้าวันนี้ก็เลยเริ่มกันที่ห้อง Lab com เสียงคุยจ้อกแจ้กของนักศึกษาคนอื่นๆดังกระหึ่มเลยทำให้คุณครูที่คอยคุมสอน ต้องใช้ไมค์เร่งเสียงกำกับให้เงียบทุกครั้ง บ้างก็มีรุ่นพี่ที่เขามาฝึกสอนจะมาคอยคุมคอยสอนเรื่องโปรแกรมคำนวณอะไร ต่างๆ...
“เธอ...” ฉันสะดุ้งตัวเมื่อจู่ๆก็มีคนแตะหลัง พอหันไปหาก็พบว่าเป็นพี่ฝึกสอนชายที่มองฉันด้วยสีหน้าแปลกใจ
“คือ...หนูทำโปรแกรมอะไรผิดหรือเปล่าคะ?” ฉันเงยหน้าถาม แต่พี่เขากลับส่ายหน้า
“นี่ เธอใช่คนที่เอามีดปาดแขนผู้หญิงตอนเช้าใช่ไหม?...” พี่เขามองหน้าฉันด้วยสายตาดุๆจนฉันสะดุ้ง แต่ก็ได้แต่พูดยอมรับไปแบบจริงๆ “ใช่ค่ะ...”
“ใช้ไม่ได้เลยนะ ทั้งๆที่โรงเรียนนี้เขามีกฎว่าห้ามพกอาวุธ แถมเธอเอามาไล่ฟันคนอื่นแบบนี้สมควรจะถูกไล่ออกนะ อ้อ!...แล้วอย่าริอาจใช้บารมีลูกมาเฟียล่ะ กฎก็ต้องเป็นกฎ บารมีนั่นสกปรกสิ้นดี!”
“แต่ พี่คะ คนที่ภูษาเขาปาดมีดใส่น่ะเขาเป็นฝ่ายมาหาเรื่องเธอก่อนนะคะ แล้วก็หาเรื่องมานานแล้วด้วย” บุหงาพยายามกระซิบบอกพี่ฝึกสอนให้เบาที่สุดโดยไม่ใส่อารมณ์
ฉัน ได้แต่ส่ายหน้าให้บุหงาและคอยยั้งมือของที่ทำท่าจะจับเสื้อของพี่เขา “ช่างเถอะ มันทำอะไรไม่ได้นี่” ฉันหยิบมีดที่ใช้ปาดแขนรสามายื่นให้พี่ฝึกสอน โดยที่ยังมีเลือดเปรอะคราบอยู่เล็กน้อย “ถ้าอยากจะยึดก็ยึดเลยค่ะ อย่าลืมลงทัณฑ์บนด้วยนะคะ” ถึงจะพูดหน้าตายแต่ตอนนี้ฉันกำลังเสียใจและอับอายอยู่มากๆ นี่ฉันต้องมาเสียอาวุธที่แม่อุตส่าห์ให้มาอย่างนั้นเหรอ....
“พี่ ไม่ลืมหรอก” พี่เขาหยิบมีดของฉันใส่กระเป๋าสะพายสีน้ำตาลหนังดูเก่าๆ คนที่เห็นเหตุการณ์นี้บางคนก็แอบหัวเราะ พูดสมน้ำหน้า โดยเฉพาะรสาที่ยิ้มเยาะเย้ยพลางแลบลิ้นใส่ ฉันกำหมัดที่เส้นเลือดปูดๆเริ่มขึ้น แต่ต้องตีหน้าตายให้ได้มากที่สุด....
................................
04:45 pm.
“ขอโทษนะที่เมื่อเช้าฉันไม่สามารถแก้ต่างให้เธอได้น่ะ...”
บุหงาเดินก้มหน้าหิ้วกระเป๋านักศึกษาแบบทำด้วยหนังมาคู่กับฉันที่กำลังเดินกลับบ้านคนเดียว
“ช่าง เถอะ กฎก็คือกฎ ฉันผิดเองที่พกมันมา” ฉันเองก็เดินก้มหน้า เผื่อว่าถ้าเกิดเผลอร้องไห้ขึ้นมา บุหงาจะได้ไม่เห็น เธอทำสีหน้าเหมือนลำบากใจแต่ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าอารมณ์ดี
“ระ...ร่าเริงหน่อยน่า ‘ษา โอ้ใช่!” เธอหยิบสิ่งหนึ่งออกจากกระเป๋าของเธอ มันคือดอกกุหลาบสีเหลืองที่ฉันชอบมาก ถึงมันจะเป็นของปลอมก็ตาม ไม่แปลกหรอกนะที่มันจะเป็นของปลอม เพราะว่ากุหลาบนี่เป็นสายคล้องกระเป๋าน่ะสิ “สวยใช่ไหมล่ะ’ษา เมื่อวานนี้ฉันไปซื้อมาให้เธอโดยเฉพาะเลยนะ ดูสิ! มีโบว์สีดำประดับด้วย กุหลาบเหลือง เป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพ สีดำของโบว์ก็เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นนิรันด์ นี่น่ะ เหมาะกับษามากนะ” เธอเอาสายคล้องกระเป๋ามาทัดหูฉันจนสะดุ้ง
“เอ๋???...”
“ล้อ เล่นๆจ้ะ เขาไม่ได้เอามาทัดหูนะ แต่เขาเอามาคล้องกระเป๋าแบบนี้ต่างหาก...” บุหงาดึงกระเป๋าที่มือฉันมาแล้วเอาเชือกของสายคล้องมาผูกกับที่จับกระเป๋า (ถ้างงก็ดูภาพนะเจ้าคะ ลักษณะของกระเป๋าน่ะ) …คำพูดที่บอกว่าฉันเหมาะกับดอกกุหลาบสีนั้น ฉันเคยได้ยินมาก่อน...ก่อนที่เราจะคบกับบุหงา...
“ขะ...ขอบคุณนะ” ฉันยิ้มบางๆให้บุหงา เธอทำท่าตกใจเล็กน้อยจนฉันสงสัย
“ธะ...เธอ! O[]O…!”
“อะไรเหรอ?”
“เมื่อกี๊เธอยิ้มด้วยล่ะ!”
“เห????” ฉันยิ้มแล้วมันแปลกเหรอ? ฉันออกจะอารมณ์ดีทุกวันนี่นา
“ภูษายิ้มด้วยล่ะ! ษาต้องชอบสายคล้องกระเป๋าแน่ๆ” บุหงาจับมือฉันกระโดดโลดเต้นไปมาอย่างกับว่าเธอถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง...
“....เอ่อ บุหงา ฉันก็ว่าฉันยิ้มทุกวันนะ ฉันอารมณ์ดีทุกวันด้วย ฉันยิ้มแล้วมันแปลกขนาดนั้นเชียวเหรอ?...” ฉันเอียงคอมองอย่างสงสัย บุหงาเริ่มทำหน้าเสียดาย
“ว้า~ไม่ ยิ้มแล้ว ก็ตั้งแต่ที่เราคบกันมา ษาน่ะชอบตีหน้าตายตลอดเลย เหมือนเป็นคนเย็นชามากด้วย แต่พอเราลองคบเป็นเพื่อนกันดู ก็เลยรู้ว่าเธอเป็นคนที่พูดคุยกันง่าย และก็เป็นคนที่รักเพื่อนมากด้วย” เธอยิ้มด้วยรอยยิ้มแบบเด็กๆ
“รักเพื่อน? ไปรู้มาได้ไง?” ฉันเองก็ยังสงสัย นอกจากตีหน้าตายใส่เพื่อนรักแล้วทำอะไรให้อีก?...
“เรื่อง นั้นมันดูกันที่จิตใจนะ มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นหรอก” เธอชี้ไปที่หัวใจตัวเอง จริงๆแล้วฉันไม่เคยเชื่อเรื่องการสื่อถึงใจกันหรอก อะไรที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์น่ะฉันไม่เคยเชื่อหรอก...
ฉันมองหน้าบุหงาแล้วโบกมือให้ “ก็ขอบคุณนะ แต่ฉันอยากจะขอเดินชมดอกไม้ของโรงเรียนเล่นสักหน่อย เธอกลับบ้านไปก่อนก็ได้นะจ๊ะ”
“ฉันไปเป็นเพื่อนก็ได้นี่นา”
“ไม่ล่ะ บ้านเธออยู่ไกลจากสถานศึกษา วันนี้ฉันกลับเองก็ได้” ที่บอกแบบนี้เพราะเมื่อ 3 วันก่อนเราเดินออกสถานศึกษาด้วยกันเสมอ
“ก็ได้...งั้นฉันไปแล้วนะจ๊ะ ^_^ /” เธอโบกมือให้ฉันแล้ววิ่งจากไป...
กลีบของดอกกุหลาบสีเหลืองในใจฉันซึ่งร่วงโรยไปช้าๆ...อย่าน้อยมันก็ยังเหลือติดกับดอกอยู่หนึ่งกลีบบ้างล่ะ...
...............................
So I don't need you to close to me
ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอยู่เคียงข้างฉันเลย
You don't hear me so you said
เธอบอกว่าเธอไม่ได้ยินเสียงฉัน
I don't know why thing have changed since yesterday
ฉันไม่เข้าใจเลยว่าบางสิ่งเปลี่ยนไปจนถึงเมื่อวานนี้ …
ฉันฮัมเพลง Releas my soul เบาๆ อย่างน้อยอยู่อย่างเงียบๆแบบนี้ก็ดีนะ ได้อยู่คนเดียว...เป็นแบบนี้ก็ไม่แปลกหรอกนะ เพราะพอมีคนเห็นลูกของมาเฟียยุคมืดมาเดินเล่นที่สวนดอกไม้ของมหาลัย ต่างก็ถอยหนีกันหมด ภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มเต็มที่ กลับมีแต่ใบหน้าที่มองมาทางฉันอย่างหวาดกลัว สมเพช (เรื่อง?) นินทา ไม่ชอบใจ...ชีวิตของมาเฟียมันก็เป็นแบบนี้แหละ ยิ้มอย่างซาดิสม์เหนือความพินาศ เอ้า! จงมองหน้าฉันแล้วต่อว่าด่าทอกันซะ! ความเจ็บปวดแบบซาดิสม์นี่แหละคือตัวของฉันล่ะ!...
แวบ~…
ราว กับว่าเหมือนเห็นเงาคนเดินผ่าน ฉันหยุดเสียงฮัมเพลงลงเพื่อใช้สมาธิกวาดสายตา รู้สึกขนลุกเย็นวาบไปทั้งตัว ทั้งที่ไม่เชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับ แต่ถึงยังไงเราก็ไม่ควรลบหลู่มัน...ฉันตัดสินใจเดินฝ่าเข้าไปในสวนดอกกุหลาบ สีเหลืองเพื่อดูว่ามีอะไรที่เดินผ่านฉันเมื่อกี๊...
ผ่า~ง
แต่ก็พบเพียงแค่ความว่างเปล่า...
ฉันส่ายหัวช้าๆแล้วตัดสินใจเดินกลับไป แต่...
กึก!
“โอ๊ย!” ชีวิตฉันจะต้องซวยทุกเมื่อเลยหรือไง? ทำไมต้องสะดุดล้มตลอด...แถมแค่นั้นไม่พอ กิ่งไม้หนามแหลมคมแทงเข่าฉันจนเลือดชิบ ฉันกัดฟันลุกนั่งแล้วเอามือลูบๆที่แผล แค่นี้มันไม่ค่อยครณาฉันนักหรอก เพราะฉันสะดุดล้มออกจะบ่อย...แต่เสื้อนักศึกษาสีขาวที่เปื้อนดินสีน้ำตาลนี่ จะยังไงกับมันล่ะ?...TT[]TT...
“ใครน่ะ?”
“จะลองไปดูไหม?”
เสียง ของคนสองคนดังขึ้นเบาๆ อาจเป็นนักศึกษาชายคนอื่นที่มาเดินเล่นแถวนี้ก็ได้...ไม่...ฉันต้องออกไปจาก ที่นี่ ถ้าเกิดคนสองคนนั้นเห็นลูกมาเฟียหกล้มเลือดออก มิวายกลายเป็นข่าวดังสะพลัดทั่วมหาลัยแน่...
“อื้อ!....” เวร...ตอนที่ฉันจับต้นไม้เพื่อพยุงตัวให้ลุกขึ้น ดันเผลอไปจับกิ่งของดอกกุหลาบเหลืองจนเลือดออกที่มืออีก...TT_TT
“เฮ้!” แล้วก็เวรอีก...ที่นักศึกษาทั้งสองเดินโผล่มาเห็นฉันอีก จริงๆแล้วฉันไม่มั่นใจหรอกว่าเขาเห็นฉันจริงๆหรือเปล่า? เพราะเสียงมันดังขึ้นจากด้านหลัง ก็เลยสมมติมั่วๆเอา
ตึกๆๆๆๆๆๆ....
ไม่ วิ่งก็ต้องวิ่ง จะให้พวกนั้นมารู้ไม่ได้ว่าลูกมาเฟียมาที่มาเดินเล่นที่สวนดอกไม้แล้วล้มไม่ เป็นท่าเลือดออกหัวเข่า ฉันคงไม่มีหน้ามาโรงเรียนนี้อีกแล้วล่ะ...
“นายคิดว่าใครน่ะ?”
“อย่าไปสนใจเลย ก็อาจเป็นแค่นักศึกษาหญิงอื่นที่กลัวพวกเราจนวิ่งหนีไปก็ได้”
“เฮอะ! ฉันขอภาวนาขอให้ล้มหัวทิ่มพื้นหมดสารรูปเลยเถอะ”
ตุบ!...
คำแช่งของพวกเขาเป็นจริง...
ฉันสะดุดเศษแก้วน้ำพลาสติก ไม่สิ...ต้องบอกว่าลื่นกับมามากกว่า ลื่นจนหัวทิ่มพื้นตามที่พวกเขาภาวนา...
“งื้อ~” ฉันกุมหัวอย่างเจ็บๆ แรงวิ่งนี่แทบไม่มีเหลือเพราะชาไปทั้งขา...
ตึกๆๆๆๆ....
ตามมาจนได้สินะ...เอาเลย สมเพชเต็มที่ ฉันพร้อมรับฟัง แต่ฉันจะไม่เสียใจกับมันเด็ดขาด...
“นี่...เธอ เป็นอะไรหรือเปล่า?” เสียงนั้นดังขึ้นพร้อมกับฝีเท้าที่ย่ำบนพื้นหญ้า ตามด้วยอีกเสียงฝีเท้าหนึ่งที่เดินมา มือหยาบกร้าน (คิดว่างั้น) จับแขนฉันให้ยืนขึ้น
“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าคำแช่งของนายจะเป็นจริง” นี่ฉันไม่ได้พูดนะ
“ฉันก็แค่พูดเรื่อยเปื่อยเอง เธอคนนี้เขาอยากวิ่งหนีพวกเราเองเลยหกล้ม” นิ้วชี้ของคนพูดจิ้มจึกมาที่หัวฉันเต็มๆ...
“ขอบ คุณนะ” ฉันตัดสินใจเงยหน้าให้เขาเห็น เขาอาจจะไม่รู้เลยว่าฉันที่เป็นลูกของมาเฟีย จะเอาไปเล่าเป็นข่าวดังอะไรก็ไม่เป็นไร แต่ก็แค่อยากหันหน้าไปขอบคุณเขาเท่านั้นเอง...
...ใครหว่า? ฉันเองก็ไม่รู้จัก...
“เอ๋?” นักศึกษาทั้งสองคนเอียงคอมองหน้าฉัน เวลาอันยาวนานนี้มันทำให้ฉันเริ่มเอียงหน้าตามด้วยขนาด 45 องศา
“เอ๋?”
“เอ๋?”
“...คือ มีอะไรเหรอคะ?” นี่พวกนี้สองคนจะไร้เดียงสากันไปไหน ....หรือว่าเขาเป็นรุ่นพี่ เอ๋? ไม่มั๊ง? ฉันแค่พิจารณาตามความสูงเฉยๆ เราไม่สามารถตัดสินคนจากภายนอกได้หรอก
“ภูษา....?” พวกเขาสองคนเรียกชื่อฉันเบาๆอย่างกับไม่มั่นใจชื่อฉัน
“ใช่...” นี่ฉันเอียงคอเกือบจะถึง 90 องศาแล้วนะ (เวอร์)
“มาเฟีย?”
“ก็...เชิง นั้น” ฉันทำคอให้ตั้งตรงตามเดิมแล้วปล่อยมือพวกเขาที่กำลังจับตัวฉันอยู่พลางถอย หนีห่าง สงสัยเป็นนักศึกษาอื่นที่อาจเคยได้ยินชื่อของฉันแล้วก็เรื่องที่เป็นลูกของ มาเฟีย แต่ไม่เคยเห็นหน้าฉันล่ะมั๊ง?...
ทั้งสองคนนั้นยิ้มหน้าบานเหมือนเจอโมเดลกันดั้มราคาแพงรุ่นใหม่ล่าสุด “’ษา เป็นเธอจริงๆด้วย!” พวกเขาวิ่งมากอดฉันจนแทบจะหายใจไม่ออก...
“เดี๋ยวก่อน! ฉันยังไม่รู้เลยว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น? พวกเธอเป็นใครเหรอ??? นี่ฉันเวียนหัวหมดแล้วนะ @_@” ฉันดันตัวพวกเขาออก เกิดเป็นพวกคนโรคจิตไล่ข่มขืนผู้หญิงฉันได้ตายแน่!...มีดฉันยิ่งเพิ่งโดนยึดไปเมื่อเช้าเองนะ TT^TT
“โธ่ ‘ษา นี่เธอใจร้ายจังเลย” ชายคนที่หนึ่งอมปากงอนๆ “เราอุตส่าห์ไม่ลืมษานะ แต่ษากลับลืมพวกเราไปได้ยังไง
“เรา ไปกันเถอะ อย่าไปยุ่งกับษาเลย บังอาจลืมเรา” ชายคนที่สองจูงมือคนที่หนึ่งเหมือนอยากจะหนี ...หืม? มันเกิดอะไรขึ้น ฉันกำลังงง????
“...อ่า?????”
“...”
“...ษาใจร้ายจริงๆด้วย” What??? ใจร้ายยังไง ฉันทำอะไรให้??? “ไม่รับมุขกันเลย นี่เธอลืมพวกเราจริงๆเหรอ?” ไอ้ที่เธอทำเมื่อกี๊น่ะเหรอที่เรียกว่ามุข?
“...คือ พวกคุณเป็นใครกันงั้นเหรอคะ?”
“...ษา เธอจำไม่ได้จริงๆเหรอว่าพวกเราเป็นใคร?” พวกเขาพูดพร้อมกัน แม้อาจจะไปคนละสำเนียง แต่ก็เหมือนกันอยู่ดีแหละ
“...ขอโทษนะคะ ฉันก็ยังจำพวกเธอไม่ได้อยู่ดี...” ฉันตัดสินใจเดินหันหลังให้
“แล้วเราจะทำยังไงให้เธอนึกออกดีล่ะเนี่ย? -3-“ คนที่หนึ่งผิวปาก
“ก็เหมือนฉันจะนึกออกแล้วล่ะ...” จากนั้นก็ตามด้วยเสียงกระซิบไม่เป็นภาษา ยิ่งเดินหนีห่างมายิ่งไม่ได้ยิน...
“ดอกกุหลาบสีเหลืองนี่เหมาะกับ’ษาดีนะ...”
“...!!!!!” ฉันหันกลับมอง สองคนนั้นยิ้มให้ฉันอย่างอ่อนโยน...
“ษาชอบใช่ไหมล่ะ เวลาที่ษาคิดถึงเพื่อน ษาก็มักจะชอบมองดอกกุหลาบสีนี้เสมอๆล่ะ”...
คำพูดพวกนี้ฉันเคยได้ยินมาก่อนแล้ว...
...ใช่ ฉันเคยบอกกับเพื่อนฉันว่า ‘เวลาที่ฉันคิดถึงพวกเธอ ฉันก็จะมองดูดอกกุหลาบสีนี้ มันเป็นสีแห่งมิตรภาพ...ฉันจะได้ไม่ลืมเลือนพวกเธอยังไงล่ะ...’
“ษาน่ะบอกให้พวกเราไม่ให้ลืมษาเองนะ แต่ษากับลืมพวกเราไปได้ยังไง...”...สองคนนั้นผลัดกันพูดคนละท่อน...
...ฉัน...เคยสัญญาแบบนั้นจริงๆ...
…‘ฉะนั้น...พวกเธอสองคนอย่าลืมฉันกันนะ’...
“หรือว่าพวกเธอ!” ฉันยิ้มทั้งน้ำตาให้อย่างโหยหวนมานาน...สิ่งที่ฉันรอ วันนั้นมันได้มาถึงแล้ว...
...ดอก กุหลาบสีเหลืองที่เคยร่วงโรยลงไป...มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ที่มันจะงอกดอกใหม่พร้อมกับกลีบสีเหลืองอันงดงาม และจะบานสะพรั่งรับแสงอรุณสีส้มเหลืองอบอุ่นท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ทั้งหลาย อีกครั้ง...
This could be love again
ต้องเป็นรักอีกแล้วล่ะ
All I need is you
ทุกสิ่งที่ฉันต้องการคือตัวเธอ
Come back, I'm waiting, anytime
กลับมาเถิดนะ ฉันรออยู่ตรงนี้เสมอล่ะ
The heavy rains come
ฝนที่หนักหน่วงเริ่มตกลง
Still I miss days with you
ฉันยังคงสูญเสียวันที่ได้อยู่กับเธอ
I can't look into your face
ฉันไม่สามารถมองเห็นใบหน้าเธอได้เลย
Oh feeling blue and looking back again
โอ้ รู้สึกล่องลอยและหันหลังกลับไปอีกครา
Please come back to me.
โปรดกลับมาหาฉันทีเถอะ ….
…วันนี้จะเป็นที่ฉันมีความสุขที่สุด ในคราวที่ยามเพลงแห่งคำอธิฐานของฉัน...มันได้เป็นจริงดังหวังแล้ว!...
_____________________________________________________________________________________________________
จบตอนบทนำซะทีเจ้าค่ะ หลังจากที่ไม่อัพมานานนม...=w=
ก็มันออกอาการไม่ค่อยว่างจริงๆน่ะเจ้าค่ะ ต้องไปอัพอีกบทความหนึ่งก็เลยไม่ค่อยได้มาอัพอันนี้อ่ะเจ้าค่ะ...
และเนื่องจากว่าเรื่องนี้ลากสังขารแต่งมา...ถ้าใครไม่เม้นต์นี่หมดกำลังใจเลยอ่ะเจ้าค่ะ TT[]TT...
ว่าแล้วเราก็แปะรูปตัวละครต่อเลยล่ะกันเจ้าค่ะ >_<
คนนี้คือ "บุหงา" เพื่อนของภูษาเองเจ้าค่ะ (ใบหน้าสดใสผิดกับพี่'ษาจริงๆ =w=)
ไม่ต้องงงนะเจ้าคะว่า ษาๆๆๆๆ นี่ใคร? จริงๆแล้วเป็นคำเรียกสั้นๆของชื่อ "ภูษา" น่ะเจ้าค่ะ ^_^
ในตอนที่ดิฉันกำลังแต่งตอนนี้ ก็แอบงงอยู่เช่นกันน่ะเจ้าค่ะว่าเรื่องนี้มันนิยายรักโรแมนติกหรือนิยายแห่งมิตรภาพกันแน่เจ้าค่ะ?...=w=
อีกอ ย่าง...ทำไปทำมา พี่ษากับพี่บุหงานี่เหมือนจะเป็นคู่ Yuri (ญ+ญ) อีกต่างหากอ่ะเจ้าค่ะ! =[]=...! (จุดๆนี้แหละเจ้าค่ะที่ดิฉันรับไม่ได้)
ฮือๆ...ตอนถัดไปต้องใส่ความ Yaoi (ช+ช) ให้มากเป็นสองเท่าซะแล้ว! ข้อหาที่ยูริมานาน...=^=...!
(ตกลงเธอจะแต่งนิยายรัก ช+ญ หรือจะแต่งนิยายรักร่วมเพศกันแน่? =_= // ภูษา)
ลาก่อนนะเจ้าคะ ^o^....// โบกมือลา
To be continue>>>>....
ความคิดเห็น