ตอนที่ 65 : Chapter 55 - 100%-
Chapter 55
“ก็บอกแล้วให้รีบนอนไวๆ ใต้ตาคล้ำหมด”
“ก็เราตื่นเต้นนี่”
ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมานี่คงเป็นวันที่เขาเห็นคีย์พูดมากที่สุด ตั้งแต่ตื่นนอนจนจนถึงตอนนี้คนตัวเล็กที่เดินวนไปวนมาไม่ห่างเขา ยังไม่คิดจะเลิกตั้งคำถามเสียที
“มินโฮเราว่าใส่เสื้อแขนสั้นดีกว่า”
“อืมแบบไหนก็ได้” มินโฮตอบออกไปก่อนจะเห็นสีหน้าลังเลของตัวเล็ก ที่จริงแล้วเสื้อแขนยาวที่เจ้าตัวสวมอยู่เมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา เขาก็เพิ่งช่วยเลือกสีให้
“คุณแม่ของมินโฮชอบเสื้อแขนสั้นหรือแขนยาวมากกว่ากันหรอ” เขาจำได้ว่าเขาได้ยินคำถามนี้ไปแล้วตอนที่คีย์หยิบกางเกงสองตัวที่เป็นกางเกงขายาวและขาสั้นมาให้เขาดู
“แบบไหนก็ไม่มีปัญหาหรอก”
“หรือเราจะใส่เสื้อแขนยาวตัวนี้ไม่ต้องเปลี่ยนแล้วดี”
“ตัวที่ใส่อยู่ก็ดีแล้วเข้ากับนายดี เดี๋ยวชั้นไปอาบน้ำก่อน”
“อ่า จริงสิๆ มินโฮ มินโฮจะใส่เสื้อสีอะไรหรอ”
“ยังไม่ทันคิดเลย”
“อย่างนั้นหรอ แล้วมินโฮจะแต่งตัวเป็นทางการมั้ย”
“ไว้ในตู้เหลืออะไรที่ยังไม่ได้ใส่ชั้นก็ใส่นั่นแหละ” คีย์นิ่งไปกับคำตอบที่คนตัวสูงบอกก่อนจะปิดประตูห้องน้ำลง
“เหลืออะไรที่ยังไม่ใส่ก็ใส่นั่นแหละหรอ” คีย์ทวนคำพูดออกมาก่อนจะส่ายหน้าเป็นเชิงไม่เห็นด้วย
ก็ไปพบผู้ใหญ่ก็ต้องแต่งตัวให้ดูดีแล้วสุภาพไม่ใช่หรือไง
คีย์ทิ้งตัวลงยังหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองใต้ตาคล้ำๆของตัวเองบนกระจกบานใหญ่ ริมฝีปากก็อดจะคว่ำตกด้วยความไม่พอใจไม่ได้
“ตาดำเหมือนแพนด้าเลย” ไม่รู้ว่าบ่นกับตัวเองเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วตั้งแต่โดนมินโฮปลุกให้ลุกจากที่นอน มือขาวยกขึ้นเท้าคางตัวเอง มองใบหน้าขาวกับตาเรียวรีที่สะท้อนอยู่ในกระจก ก่อนจะคล่อยกรอกตาไปยังของที่วางอยู่เต็มโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะไปสะดุดเอาขวดน้ำหอมที่วางเรียงอยู่หลายขวด ก่อนจะเลือกหยิบออกมาและฉีดไปที่ตัวเสื้อ
“แค่กๆ แค่กๆ”
“ทำอะไรน่ะคีย์” มินโฮที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำจำต้องเอ่ยถามเมื่อได้ยินเสียงไอค่อกแค่กมาจากคนตัวขาว
“มินโฮ ทำไมน้ำหอมกลิ่นเหมือนพริกไทยดำเลย” คนตัวบางเบ้หน้าไม่ชอบใจ พร้อมกับส่งขวดน้ำหอมสีทึบให้เขาดู
“มันเป็นกลิ่นเครื่องเทศ มันเป็นแค่ท็อปโน้ตนะ เดี๋ยวพอเข้าเบสมันกลิ่นก็ไม่ฉุนแบบนี้แล้ว แล้วขวดนี้เขาไว้ใช้เที่ยวกลางคืน” คนตัวเล็กได้แต่นิ่งฟังตอนที่อีกคนอธิบาย ก่อนจะยิ้มแหยๆออกมา
“มันมีอะไรแบบนั้นด้วยหรอ”
“ถ้าคีย์จะใช้ ทีหลังก็ใช้พวกขวดใสเรียบๆตรงนี้มันเป็นแบบยูนิเซ็กส์ กลิ่นจะอ่อนๆ”
“ไม่ดีกว่า เราไม่ลองแล้ว” คนตัวเล็กบอกปฏิเสธ ก่อนจะทำหน้ายู่เมื่อน้ำหอมที่ฉีดไปเมื่อครู่กลิ่นมันฟุ้งเข้ามาจมูกเขา
“ไปเปลี่ยนเสื้อไป กว่ากลิ่นจะหมดนายคงเมาน้ำหอมพอดี”
“แต่เราเพิ่งตกลงกับตัวเองว่าจะใส่ตัวนี้ที่มินโฮบอกว่าเหมาะกับเราได้เองนะ” “หรือจะทนกลิ่นน้ำหอมที่มันติดอยู่บนเสื้อแทนล่ะ แต่แม่ชั้นก็คงไม่ชอบน้ำหอมกลิ่นนี้เท่าไหร่หรอกนะ”
“เราจะใส่ตัวไหนดี”
“ก็บอกแล้วไงว่าแบบไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องซีเรียสมากหรอกน่า”
“แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จะได้เจอคุณแม่ของมินโฮเลยนะ”
“ไหนยิ้มสิ”
“หืม”
“เจอแม่ชั้นยิ้มมากๆก็พอแล้ว” มินโฮบอกออกไป ก่อนจะหันไปเปิดตู้แล้วหยิบเสื้อยืดออกมาใส่ คีย์มองเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ก่อนจะหยิบเอาเสื้อคอยูแขนสามส่วนที่เป็นลายทางสีน้ำเงินขาวออกมา ก่อนจะหนีเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้ายังห้องน้ำ
“แบบนี้ดีมั้ย”
“อืมดีแล้ว”
“นั่งนี่ก่อนมีไรจะให้”
“อะไรหรอ” ถามออกไปก่อนจะโดนมือใหญ่จับมือไปพลิกให้อยู่ในลักษณะแบมือ น้ำหอมที่เปิดฝาไว้อยู่แล้วถูกพ่นลงยังตำแหน่งข้อมือขาว
“นึกขึ้นได้ว่ามีน้ำหอมพวกไวท์ฟลอรัลที่ได้มาแล้วชั้นไม่ใช้น่ะ คีย์เอาไว้ใช้แล้วกัน” คีย์รับมาก่อนจะฉีดลงไปบนเสื้อที่สวมอยู่ กลิ่นหอมอ่อนดูท่าจะถูกใจคนตัวเล็กถึงได้แสดงสีหน้าพอใจออกมา
กว่าจะออกจากคอนโดเพื่อแวะซื้อของยังห้างสรรพสินค้าได้ก็กินเวลานานอยู่พอสมควร คีย์มองกระเช้าที่จัดผลไม้ไว้สวยงาม สลับกับมองใบหน้าคมที่สายตากำลังจดจ่อไปยังกระเช้าผลไม้ที่เรียงรายอยู่ตรงหน้า
“แม่ชอบกินผลไม้น่ะ เสียงทุ้มเอ่ยบอกออกไป เมื่อเห็นว่าอีกคนมีท่าทีสงสัย
“ผลไม้อะไรหรอ”
“ก็กินได้หมดแหละ”
กระเช้าผลไม้ขนาดใหญ่ถูกนำไปยังเค้าท์เตอร์คิดเงิน ก่อนทั้งคู่จะกลับไปขึ้นรถและมุ่งหน้าสู่อินชอนบ้านของมินโฮ
แอร์เย็นฉ่ำตกกระทบผิวเนื้อบาง คนที่นอนน้อยเริ่มเกิดอาการหาวหวอด ตาเรียวรีปรือปรอยจนคนลอบมองนึกขำ
จริงๆก็ไม่ได้สังเกตอะไรมากนักหรอก แต่เพราะอยู่ๆคนที่ขึ้นรถมาด้วยกันหยุดตั้งคำถามความสงสัยต่างๆไปจนมินโฮรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
“นอนก่อนมั้ย เดี๋ยวถึงแล้วชั้นปลุก”
“งั้นเราขอนอนก่อนนะ ตาเราปรือจนมองอะไรก็เบลอไปหมด” มินโฮยิ้มบางพร้อมกับยื่นมือไปหยิบผ้าห่มส่งให้ ดวงตาเรียวรีที่ปิดสนิทฟ้องว่าคนตัวเล็กนั้นเข้าสู่ห้วงนิทราเป็นที่เรียบร้อย ริมฝีปากสวยที่เจือสีแดงนั่นเด่นชัดบนใบหน้าหวาน ถ้าไม่ติดว่าต้องขับรถอยู่ มินโฮคงได้ฉวยโอกาสลิ้มรสความหวานนั่น และอ้างบอกอีกคนว่าจะได้ฝันดี
-
- 50%
-
ตาคมมองอาหารโปรดที่ถูกตั้งขึ้นยังโต๊ะอาหาร พร้อมกับรอยยิ้มและคำขอบคุณ ตลอดระยะเวลาไม่กี่วันที่อยู่บ้านหลังใหญ่นี่ ป้าชอลเป็นคนลงมือทำอาหารให้กับเขาเอง รสมือที่ไม่เคยเปลี่ยนทำให้จงฮยอนมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทาน คนทำเองก็พลอยยิ้มตามไปด้วย แต่รอยยิ้มในอาหารมื้อนี้คงต่างไปจากทุกมื้อ เพราะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายที่คนแก่อย่างเขาสามารถทำให้กับจงฮยอนก่อนที่เจ้าตัวจะหายไปอยู่อีกซีกโลก
“อาหารมื้อนี้เยอะจังเลยนะครับ ผมคงทานไม่หมด”
“ไม่หมดป้าไม่ว่าค่ะ ขอคุณจงฮยอนทานสัก 2 จานป้าก็พอใจ”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ ว่าแต่ไปอยู่นู่น แล้วเกิดอยากกินของพวกนี้ขึ้นมาผมคงคิดถึงป้าน่าดูเลย”
“คุณจงฮยอนอย่าพูดแบบนั้นสิคะ ป้ายังทำใจไม่ได้ที่คุณจงฮยอนจะไปเลยนะคะ”
“ผมจะรีบกลับมาครับ พอถึงวันนั้นผมขออาหารเยอะกว่ามื้อนี้นะ”
“ถ้าคุณจงฮยอนกลับมาเมื่อไหร่ป้าจะทำให้ทานทุกอย่างเลยค่ะ อ่ะนั่นคุณท่านมาแล้ว”
“เก็บของเรียบร้อยดีแล้วใช่มั้ย”
“ครับ”
“เรื่องอื่นล่ะ” คำถามที่เอ่ยออกมา คงเป็นเพราะเมื่อวานตอนที่เขากำลังจะออกจากบ้านขณะที่ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเข้ม แล้วบังเอิญกับที่พ่อเขาเดินสวนเข้ามา สองพ่อลูกสบตากันเพียงชั่ววูบ ก่อนที่คนสูงวัยจะเอ่ยทิ้งทายว่า ‘มีธุระอะไรก็จัดการเสียให้เรียบร้อย’ แล้วเดินจากไป และเพราะคำถามนั้นเขาถึงได้เลือกไปหาเจสสิก้าที่บ้านก่อนจะไปหาอนยูและพี่เอริที่ขอฉลองทิ้งท้าย
“...” จงฮยอนไม่ได้เอ่ยเสียงเพื่อตอบคำถาม แต่เลือกจะยิ้มเศร้าๆออกมาและพยักหน้าตอบ คนเป็นพ่อเองก็เข้าใจลูกชาย ถึงแม้นั่นจะเป็นการเสียมารยาทก็ตาม
“ก็ดีแล้วล่ะนะ”
มื้ออาหารมื้อนี่ผ่านไปอย่างราบเรียบ มีเพียงเสียงของโลหะที่กระทบกับจานแผ่วเบาขณะทานอาหาร หญิงวัยกลางคนได้แต่มองสองพ่อลูกอยู่เงียบ ถึงการที่จงฮยอนนั้นจะไปอยู่ในที่ไกลหูไกลตา แต่การรับรู้และได้เห็นความสัมพันธ์ของพ่อลูกคู่นี้ที่ดีต่อกันมากขึ้นก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี
ตลอดทางที่นั่งรถกลับเข้ามายังโซลทำเอาคนตัวบางหงุดหงิดใจอยู่ไม่น้อย มือเรียวกดโทรย้ำยังปุ่มโทรออกที่เป็นชื่อของจงฮยอนแทบจะทุกสิบนาทีเสียด้วยซ้ำ แต่คำตอบก็ยังคงเหมือนเดิม คือไม่สามารถติดต่อยังปลายสายได้ ใบหน้าหวานงอง้ำใส่เจ้าโทรศัพท์เครื่องบางในมือ ก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อรับรู้ถึงนิ้วยาวๆของคนข้างตัวที่จิ้มเข้ามายังแก้ม
“ถ้ามันพองแล้วระเบิดได้นี่คงระเบิดไปแล้วแน่ๆ” เอ่ยออกไปพร้อมกับนิ้วที่ยังไม่เลิกดันแก้มป่องๆของคนที่นั่งข้างตัว
“ดงโฮนี่เรากำลังเครียดอยู่นะ”
“พี่จงฮยอนอาจจะเซอร์ไพรส์อะไรนายก็ได้แทมิน”
“หืมม เซอร์ไพรส์หรอ”
“ก็พี่เขาโรแมนติกจะตายไป แทมินเองก็บอกว่าพี่จงฮยอนชอบทำอะไรที่คาดไม่ถึงด้วยไม่ใช่หรอ”
“จะใช่อย่างนั้นหรอ”
“ก็ไม่แน่นี่นา แล้วไม่งั้นที่เขาไม่ยอมรับสายของแทมินจะเพราะอะไรล่ะ”
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เราคิดถึงนี่ ติดต่อไม่ได้แบบนี้ ถ้าเจอกันแล้วเรางอนขึ้นมาก็ไม่ผิดใช่มั้ยดงโฮ”
“ถ้าแทมินไม่ฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฝันทุกซี่ตอนเห็นหน้าพี่จงฮยอนก่อนล่ะก็นะ” คำเอ่ยแซวของดงโฮเรียกฝ่ามือเรียวให้ตีเข้าที่ต้นขาไม่ได้ คนถูกตีเองก็ได้แต่หัวเราะคิกคักชอบใจกับใบหน้าน่ารักของเพื่อนสนิทที่เจือสีอ่อนไม่รู้ว่ากำลังโกรธหรือเขินอายกับเรื่องที่เขาแซวออกไปกันแน่
“แต่ว่ามันแปลกๆอยู่นะติดต่อไม่ได้สักทางแบบนี้น่ะ”
“ไม่ต้องซีเรียสแล้วนะ อีก 20 นาทีก็จะถึงโซลแล้ว” การเดินทางกลับจากค่ายของเขามาถึงเวลาก่อนกำหนดเพราะคนขับที่ขับรถไวบวกเข้ากับวันอาทิตย์ที่เป็นวันหยุด รถก็เลยยิ่งเคลื่อนตัวได้สะดวกขึ้นไปอีก แทมินหยิบหูฟังเสียบเข้าหูให้เสียงเพลงช่วยลดความกังวลใจของเขา
ทันทีที่รถจอดสนิทมือเรียวก็รีบคว้าเอาเป้ขึ้นสะภายบ่ายก่อนจะรีบเดินไปยังหน้าคณะของตัวเอง เรียวคิ้วได้รูปขมวดทันทีเมื่อเห็นพี่อนยูนั่งยังตำแหน่งที่พี่จงฮยอนมักจะนั่งคอยเขา
“พี่อนยูฮ่ะ” เสียงหวานใสเอ่ยเรียกคนที่นั่งจ้องหน้าจอมือถือ ตาเรียวนั้นเงยหน้าขึ้นมองแทมิน ก่อนจะก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือตัวเอง เพราะจำได้ว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่จงฮยอนบอกว่าแทมินจะกลับมา
“ทำไม...”
“พี่จงฮยอนล่ะฮะ มาด้วยหรือเปล่า” ถามออกไปตากลมใสก็มองไปยังบริเวณรอบด้าน ก่อนจะวกกลับมามองยังอนยูที่ได้แต่ทำหน้าไม่รู้จะเอ่ยอย่างไร
“พี่มารับแทมินแทนจงฮยอนน่ะ” คนตัวเล็กพยักหน้าตอบกลับก่อนจะนั่งลงยังที่ว่างข้างอนยู
“แล้วพี่จงฮยอนติดธุระมารับแทมินไม่ได้หรอฮ่ะ ไม่น่าถึงปิดเครื่องไปเลย” เสียงติดเศร้านั้นถาม ก่อนจะยิ้มบางๆออกมา อนยูถอนสายตาออกจากใบหน้าคนข้างตัว ขอบตามันเผลอรื้นนำใสอย่างห้ามไม่อยู่ แต่ก็ต้องกลั่นความรู้สึกสงสารของตัวเองไว้ไม่ให้แทมินได้เห็น
“แทมิน จงฮยอนเขา เอ่อ จงฮยอนฝากนี่ไว้ให้น่ะ” น้ำลายที่เหนียวหนืดในคอนั้นทำให้จะเอ่ยอะไรออกไปก็รู้สึกลำบากไปหมด แทมินที่เห็นสีหน้าและน้ำเสียงดูไม่สบายใจก็อดจะคิดมากไม่ได้ มือเรียวนั้นยื่นไปรับกระดาษจากมือของอีกฝ่ายมาเปิดอ่าน
ตากลมจดจ้องยังลายมือที่คุ้นเคย ตัวอักษรที่เรียงกันเป็นข้อความอยู่นั้นทำเอาแทมินแทบจะปล่อยให้มันร่วงหลุดจากมือ
“ฮ่าๆ พี่จงฮยอน ฮึก พี่จงฮยอน เขาจะ จะแกล้งเซอร์ไพรส์แทมินหรอฮ่ะ” แทมินหัวเราะออกมา ก่อนจะหันไปถามคนตรงหน้าให้มั่นใจ อนยูมองสบตากับแทมินที่รอฟังคำตอบ ไม่รู้ว่าจะหาถ้อยคำไหนมาตอบกลับ จึงได้แต่เบือนหน้าหนีพร้อมกับหลังมือที่ยกขึ้นปาดน้ำตา เพียงท่าทางที่เห็นอีกฝ่ายแสดงออกหยาดน้ำใสที่คลอกลิ้งล้อมกรอบตากลมใสก็ร่วงตกลงหน้าตักทันที
“ไม่ใช่ความจริงใช่มั้ยฮ่ะ พี่จงฮยอน พี่จงฮยอนเขาไปไหน เขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่ฮะ” เสียงสั่นเครือนั้นเอ่ยถาม มือเรียวคว้าแขนอีกคนให้หันมาสนใจตัวเอง อนยูมองใบหน้าซีดเผือดที่เลอะไปด้วยคราบน้ำตาก็ยิ่งใจเสีย เห็นความกระวนกระวายใจของคนอายุน้อยกว่าที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่รู้จะเอ่ยปลอบอย่างไร ในเมื่อตัวเขาเองยังไม่สามารถกลั้นน้ำตาตัวเองไว้ได้
“วันนี้ อีก 2 ชั่วโมงเครื่องจะออก”
“อีก อีก 2 ชั่วโมงหรอฮ่ะ ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้พี่จงฮยอนยังอยู่เกาหลี ใช่หรือเปล่าฮ่ะ ใช่มั้ยฮ่ะพี่อนยู”
“ก็ ก็คงใช่”
“พาผมไปให้พี่จงฮยอน พาแทมินไปหาพี่จงฮยอนได้มั้ยฮ่ะ แทมินขอร้อง”
เขาไม่ได้รับปากว่าจะสามารถพาแทมินไปพบจงฮยอนได้ทั้นมั้ย แต่เขาก็ยอมทำตามคำขอร้องของแทมินที่ขอให้พามายังสนามบินอินชอน
ถนนโล่งกว้างนั้นเป็นใจให้เขาเหยียบคันเร่งของรถได้เต็มที่ เขาไม่รู้ว่าเขาทำถูกรึเปล่าที่พาแทมินไปหาจงฮยอน ไม่รู้ว่าถ้าหากเป็นโชคดีของแทมินที่ได้พบกับจงฮยอน เพื่อนเขาจะมีสภาพเป็นอย่างไร หากได้เห็นน้ำตาของแทมินที่เป็นคนรักร้องไห้จนตาบวมแดงขนาดนี้ คนที่หลงใหลในรอยยิ้มของแทมินแบบจงฮยอนจะทนได้งั้นหรอ ขนาดตัวเขาที่เป็นเพียงเพื่อนยังไม่สามารถกลั้นน้ำตาตัวเองไม่ให้ไหลตามแทมินได้เลย
“พระเจ้าครับ โปรดอย่าใจร้ายกับลูกแบบนี้เลย ที่ผ่านมาแทมินขอแค่ให้พี่จงฮยอนกับแทมินรักกันอย่างมีความสุข แทมินขอมากไปหรอฮ่ะ ถึงได้พลัดพรากความรักของผมแบบนี้”
เสียงแผ่วเบาที่เอ่ยตัดพ้อยังเบื้องบนทำให้อนยูอดสะเทือนใจไปด้วยไม่ได้ ยิ่งดวงตาที่เคยฉายแต่ประกายความสดใสโดนความเศร้าโศกเข้ายึดครองแบบนี้...มันช่างไม่เหมาะสมเลยจริงๆ
“พี่อนยูฮ่ะ เรามาถึงก่อนเวลาครึ่งชั่วโมงใช่รึป่าวฮ่ะ” เสียงใสนั้นเอ่ยตอบอย่างมีหวังเมื่อรถไปถึงยังหน้าประตูขาออกก่อนเวลาที่เครื่องจะขึ้นครึ่งชั่วโมง
“เด็กคนนั้นแทมินนี่ครับ” เสียงทุ้มเข้มเอ่ยออกจากปากคนสนิทของประธานคิม เมื่อเห็นคนที่จำได้ขึ้นใจ คนที่นั่งอยู่ทางเบาะหลังเองก็จำต้องมองตามร่างเล็กที่ตอนนี้หลุดเข้าไปยังประตูแล้ว
“จะไปบริษัทเลยหรือเปล่าครับ” ยงฮวาเอ่ยถามออกมาพร้อมกับเตรียมที่จะสตาร์ทรถ แต่ก็ต้องหยุดชะงักไว้เหมือนเดิม เมื่อได้รับคำตอบจากคนที่มีอำนาจมากกว่า
“ยังก่อน รอเด็กคนนั้นออกมาก่อน”
เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน
รถสีดำมันวาวเคลื่อนจอดลงยังหน้าประตูทางเข้า จงฮยอนมองผ่านกระจกเคลือบฟิล์มดำสนิทบรรยากาศนอกตัวรถนั้นก็เงียบสงบไม่แพ้ในรถที่เขานั่งมา มือหนายกขึ้นจะเปิดประตู ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับเสียงทุ้มของคนเป็นพ่อที่เอ่ยขึ้นมา
“ชั้นเชื่อว่าแกทำได้จงฮยอน” ถ้อยคำนั้นถือเป็นคำกล่าวลา และคำอวยพรในเวลาเดียวกัน
“ขอบคุณครับ ผมจะทำให้ได้” จงฮยอนหันมาตอบคนเป็นพ่อก่อนจะก้าวลงจากตัวรถ ยงฮวาเองก็ลงไปช่วยเอากระเป๋าที่ท้ายรถให้จงฮยอน ประธานคิมมองตามลูกชายที่ลากกระเป๋าจนลับสายตา พร้อมกับเสียงพรูลมหายใจที่ถอดยาว
กว่าครึ่งชั่วโมงที่ยงฮวาจะเดินกลับออกมาขึ้นรถ แล้วก็นิ่งเฉยไปเสียดื้อๆเมื่อมือแตะเข้ายังพวงมาลัยรถ
“เด็กคนนั้นแทมินนี่ครับ”
ทั้งที่อุณภูมิอากาศภายในตัวอาคารนั้นถูกจัดไว้ในองศาที่เหมาะสม หากแต่ไรผมที่ล้อมตีกรอบดวงหน้าน่ารักนั้นชื้นไปด้วยเม็ดเหงื่อ ดวงตากลมโตนั้นยังมองหาเจ้าของเรือนผมสะดุดตาไม่เลิก และก่อนที่จะถอดใจ ร่างเล็กก็วิ่งขึ้นบันไดเลื่อนไปอีกชั้นเพื่อจะได้มองเห็นข้างในเกท แล้วเลือกที่จะรอที่นี่จนกว่าไฟล์ทบินจะประกาศ
ลมหายใจหอบรดบานกระจกจนเกิดละอองฝ้า ก่อนจะเห็นคนคุ้นตาที่กำลังใช้บันไดเลื่อนยาวแทนการเดิน มือเรียวทาบลงยังบานกระจกก่อนจะตีรัวเพื่อเรียกคนที่อยู่ทางด้านล่าง
“พี่จงฮยอน พี่จงฮ...ยอน ฮึก พี่จงฮยอน!!” ระยะความสูงกับแผ่นกระจกหนาที่กั้นขวางนั้นแทมินลืมไปแทบสนิทว่าเสียงที่ตะโกนลงไปพร้อมกับแรงมือที่เคาะยังกระจกจนแดงช้ำก็ไม่สามารถทำให้คนที่อยู่ด้านล่างนั้นรู้สึกตัวได้ แก้วตาใสจดจ้องไปยังแผ่นหลังกว้างที่กำลังเคลื่อนตัวไกลออกไป ไม่รู้ว่าพี่จงฮยอนนั้นหลุดพ้นระยะสายตาของเขาไปหรือยัง แต่น้ำตาที่เกลือกกลิ้งจนล้นเอ่อออกมาในตอนนี้ก็ทำให้ทุกอย่างตรงหน้ามันพร่าเลือนไปหมด ลำตัวเล็กบางไหลไปกองนั่งกับพื้นพร้อมกับปล่อยทั้งเสียงร้องไห้และน้ำตาให้ไหลออกไปเท่ากับความรู้สึกสูญเสียที่เขาได้รับ อนยูมองตามจงฮยอนที่ไม่ได้รู้ว่าแทมินยืนอยู่ข้างบนนี้ไปจนลับสายตา ก่อนจะประคองร่างเล็กให้ลุกขึ้นยืน
“พี่จงฮยอน ฮึก พี่จงฮยอนเขาไปแล้ว ฮือออ ทำไมล่ะ ทำไม”
“พอแล้ว อย่าร้องแทมิน”
“เขาทิ้งผมไป พี่อนยู พี่จงฮยอนไม่รักผมแล้วใช่มั้ย” แทมินเอ่ยถามและต่อว่าออกไป คนตัวโตกว่าได้แต่ดึงตัวเข้ามากอดปลอบ มือขาวบรรจงลูบยังศีรษะหวังให้เสียงร้องไห้นั้นสงบลง ถึงเขาไม่ใช่แทมินแต่การที่ได้เห็นคนรักเดินจากไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้ เขาเข้าใจดีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะลืมภาพนั้นลง
อนยูพาลำตัวเบาโหวงเหมือนร่างที่ไร้วิญญาณของแทมินนั้นเดินออกมายังนอกตัวอาคาร ก่อนจะเปิดรถให้แทมินเข้าไปนั่งข้างใน ทันทีที่ประตูลงปิดลง แทมินกอดเข่าตัวเองที่ตั้งชั้นขึ้นแล้วฟุบหน้าลงไปพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ดังขึ้นอีกระลอก
“จงฮยอนถ้าชั้นรู้ว่าการที่พาแทมินมาที่นี่แล้วจะได้พบกับนายแบบนี้ ชั้นจะไม่มีทางฟังคำขอร้องของแทมินเด็ดขาด” อนยูเอ่ยตัดพ้อกับคนที่ไม่มีทางรู้เรื่องก่อนจะเปิดประตูรถเข้าไปประจำตำแหน่งคนขับ
“ท่านว่า คุณแทมินเขาได้พบกับจงฮยอนหรือเปล่าครับ”
“ชั้นไม่รู้หรอก” ตาคมยังคงจ้องมองรถคันที่ร่างเล็กนั้นนั่งโดยมีเพื่อนของลูกชายเขาเป็นคนขับจนกระทั่งเคลื่อนตัวออกไป
ไม่ว่าการที่แทมินจะได้พบจงฮยอนหรือไม่พบ แต่คำตอบที่เห็นคือน้ำตา ก็เท่ากับว่าสองคนนั้นพลัดพรากจากกันอยู่ดี
“จะกลับไปที่บริษัทเลยมั้ยครับ”
“อืม ยงฮวา เด็กแทมินนั่น”
“ครับ”
“ต่อจากนี้ติดตามเรื่องของเด็กคนนั้นแล้วคอยรายงานชั้นด้วย”
“ได้สิครับ” ยงฮวาตอบพร้อมกับยิ้มด้วยความพอใจ ถึงใบหน้าของคนที่เอ่ยสั่งออกมานั้นตีหน้าเรียบเฉย แต่สายตาที่มองเด็กคนนั้นไม่ต่างกับมองตามลูกชายตัวเองในตอนที่ก้าวลงจากรถไป ก็ช่วยทำให้เขาสบายใจได้ว่าอย่างน้อยท่านประธานก็เอ็นดูในตัวแทมินเหมือนกับลูกชายของตัวเอง
----------------PPLight-------------
ไปค่ายหอข่าวนี่มันเป็นอะไรที่ T T ขอไปค่ายลูกเสือยังจะดีซะกว่า
ขอบคุณในการติอตามเน้ออออ เเล้วเจอกันใหม่ ส่งจูบยาวยาว -3333333333333333333333-
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ฮยอนมินอ่าาา เข้มแข็งไว้นะ
คนอะไรน่ารักจิงๆ>//
น่ารักน้อยซะที่ไหนล่ะ
คิมจง แทมิน เห้อออ น่าสงสารจริงๆ นะ
คิมจงอีก เฮ้ออออออออออออออออออออออออออออออออ
อ๊ากกก สงสารแทม tt
ฮรืออออออออออออออออ สงสารคู่จงแทมที่สู๊ดดดดดดดดดดด T0T
(อะไร? ตอนแรกดีใจ ต่อมาเสียใจเฉยอ่ะ อินเกิ๊นนนนนนน)
คู่นี้มุ้งมิ้งมากขึ้นเรื่อยๆ ชอบๆ :)
ขอบคุณสำหรับความฟินค่าา
หวังว่าคุณแม่จะเอ็นดูลูกสะใภ้คนนี้นะ 55555555
ไปค่ายให้สนุกนะคะไรเตอร์
ชเวคงปลื้มโคตรๆ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แม่ชเวต้องชอบคิมคีย์แน่ๆ ฮ่าๆๆ
คงต้องเนียบมากๆๆ ถึงขั้นนอนไม่หลับ 555
เย่เย่ ไรเตอร์มาอัพต่อแล้วว คิดภึงเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ
รีบมาอัพต่อไวๆนะค่ะ