ตอนที่ 41 : Chapter 32 - 100%-
Chapter 32
“ไอจง ชั้นว่าแกพอเหอะ ถ้าแกเมาหัวทิ่มอีกชั้นจะไม่ลากแก้ไปส่งบ้าน” อนยูพูดอย่างคนเหนื่อยใจ ก่อนจะคว้าแก้วในมือของอีกคนที่ทำถ้าจะกระดกรวดเดียวเหมือนหลายๆแก้วที่ผ่านมา
“ทำบ้าอะไรว่ะอนยู นั่นแก้วชั้นน่ะ”
“แกเมาแล้วนะเว้ย”
“เออดี ให้มันเมาไปเลย จะได้ลืมคนแบบนั้น”
“แล้วที่แกเมามาทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมา มันทำให้แกลืมแทมินได้มั้ยล่ะ!!” อนยูตวาดเสียงดัง พร้อมกับมือที่กระฉากคอเสื้ออีกคน
“แล้วจะให้กูทำยังไง กูอยากลืม เมิงบอกกูสิ”
“ถ้าลืมไม่ได้เมิงก็ไปหาเขา”
คำพูดจาเดิมๆที่อนยูพร่ำใส่จงฮยอนมาทั้งอาทิตย์ แล้วก็ได้คำตอบแบบเดิมทุกครั้ง
“กูไม่ไป”
ช่วงแรกที่มันพาเขาเข้าผับอยู่ทุกวี่ทุกวันก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะเห็นว่าก็เป็นปกติของมันที่กินเที่ยวหนักขนาดนี้ แต่จะมีช่วงที่ห่างหายไปก็ตอนที่มีแทมินแวะเข้ามา แต่มาอาทิตย์ให้หลัง ที่จงฮยอนดื่มชนิดเมาหัวราน้ำ และไม่รู้ว่ามันมีอัดอั้นตันใจอะไรหนักหนา ถึงได้เผลอหลุดอะไรออกจากปากมากมาย ตอนนั้นแหละ ถึงได้รู้ว่าที่แท้ก็มีสาเหตุมาจากแทมิน...
“แทมิน เขาจะทำแบบที่พี่เจสสิก้าพูดจริงๆนะหรอ”
“คงงั้นมั้ง”
“เลิกยุ่งกับชั้น มันทำง่ายขนาดนั้นจริงๆหรออนยู”
“คงงั้นมั้ง”
“นั่นสิน่ะ ก็ชั้นมันไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง ขอแค่แทมินฉุกคิดได้แค่นิดเดียว ก็คง...ตัดใจได้”
“มึงใช่จงฮยอนคนที่กูรู้จักเปล่าว่ะ”
ไม่รู้เหมือนกันว่าสำหรับแทมิน จงฮยอนมันให้ความสำคัญไว้แค่ไหน
แต่เท่าที่มันจะปริปากบอก ก็มีเพียงว่า...แทมินเลือกถูกแล้ว ไปจากคนอย่างเขา ไม่รู้จักกับคนอย่างเขา
แล้วสุดท้ายมันก็เหมือนต้องห้ามใจตัวเองเหมือนกัน ที่จะไม่พบไม่พูดไม่เจออีกฝ่าย
.
.
.
.
.
สองอาทิตย์ที่ผ่านมา แทมินดูเหมือนจะสนิทกับเจสสิก้ามากขึ้น อาจเป็นเพราะหลังเลิกเรียนแล้วเจ้าตัวก็ตรงกับบ้านเลย เจสสิก้าเองที่เริ่มฝึกงานตั้งแต่ช่วงที่เขาอยู่กับแม่ก็จำต้องงดเรื่องเที่ยวกลางคืนให้เหลือน้อยมากทีสุด แม้ช่วงแรกแทมินจะได้ยินเสียงบ่น กับท่าทางหงุดหงิดอยู่บ้าง แต่พักหลังมานี้พี่สาวร่างบางก็เหมือนจะติดงอมกับละครหลังข่าวเข้าเสียแล้ว
“แทมิน หยิบจานให้ชั้นหน่อยสิ”
“เอาใบใหญ่ๆเลยนะฮ่ะ”
ถัดจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในครัว กับข้าวง่ายๆที่ช่วยกันลงมือทำก็อวดโฉมบนโต๊ะอาหาร
“ชั้นว่ามันจืดไปนิดแหละ แทมินว่าไง”
“แต่ผมว่า อร่อยแล้ว” ร่างบางวาดรอยยิ้มให้กับสีหน้ากังวลของคนเป็นพี่
“เออนี่แทมิน เรื่องของจงฮยอนล่ะ เป็นไงบ้าง”
“ตั้งแต่ตอนนั้น ผมก็ยังไม่ได้คุยกับพี่จงฮยอนเลย” แทมินยิ้มเจื่อนส่งให้ เจสสิก้าพยักหน้ารับก่อนจะตั้งคำถามใหม่
“แล้ว ยังอยากคุยกับจงฮยอนอยู่มั้ย”
“ถ้ามีโอกาสผมก็อยากคุยกับพี่จงฮยอน”
“โอกาสมันสร้างง่ายจะตาย ถ้านายอยากคุย โผล่ไปหาที่คณะยังไงก็เจอไม่ใช่หรอ พี่ว่า มันมีอะไรมากกว่านั้นน่ะ บอกความจริงมาซ่ะ”
“พี่บอกผมใช่มั้ยล่ะ ว่าถ้าเราไม่ข้องเกี่ยวกับอีกคนแล้ว และถ้าคนๆนั้นเขายังเห็นว่าเราสำคัญอยู่ เขาก็จะเป็นฝ่ายเข้าหาเราเอง แต่กับพี่จงฮยอนแล้ว ผมคงไม่มีความหมายหรือสำคัญพอให้เขาเป็นฝ่ายเข้าหา แล้วยิ่งไม่เจอกันตั้งสองอาทิตย์ บางที...พี่จงฮยอนอาจกำลังมีความสุขอยู่ก็ได้ ผมก็เลย...”
“ไม่กล้าไปเจอซะงั้น”
“ก็ ประมาณนั้น พี่เจสสิก้า ผมควรทำยังไง ผมคิดมาทุกคืนเลยน่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าเวลาเผชิญหน้ากับพี่จงฮยอนจะเริ่มด้วยคำพูดไหนดี”
“แล้วปกติเวลาที่วิ่งโล่ไปหานายจงฮยอนนั่น แทมินทำไงล่ะ”
“ก็ ยิ้ม แล้วก็ เรียกชื่อพี่จงฮยอน”
“งั้น นายก็ทำแบบนั้นสิ” ดวงตาสวยสบมองใบหน้าหวานของน้องชาย ก่อนจะเห็นแววตาอมทุกข์
“แต่ว่า...มันไม่เหมือนกับตอนนั้นนี่”
“ถ้าอย่างนั้น ก็เหลืออีกวิธีหนึ่ง” ได้ยินคำพูดแบบนั้น ร่างบางก็เบิกตากว้างอย่างคนมีความหวัง
“อะไรหรอฮ่ะ”
“ก็รอจนกว่าจงฮยอนเป็นฝ่ายเดินเข้าหานาย”
“โถ่ พี่เจสสิก้า” แทมินเบะปากเอ่ยเรียกชื่อหญิงสาว เจสสิก้าที่เห็นหน้าตายับยู่ก็ได้แต่หัวเราะขำออกมา
.
.
.
.
.
สนามเด็กเล่นหน้าบ้านแทมิน
จงฮยอนมองออกไปโดยรอบ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเท้าตัวเองพามาหยุดยืนตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหน แล้วนั่นก็ทำให้ร่างโปร่งหัวเราะขำตัวเอง
นายเป็นอะไรกันจงฮยอน อยากเจอเจ้าเด็กนั่นจนขาดสติขนาดนี้เลยงั้นหรอ
ชิงช้าถูกไหวไปมาเบาๆ ด้วยแรงผลักจากปลายเท้าของจงฮยอน
สามอาทิตย์ที่ผ่านมา...ไม่เห็นหน้า...หรือแม้กระทั่งเสียงหวานๆที่ลอดจากโทรศัพท์
ไม่มีเลยสักอย่าง
แรกๆก็รู้สึกไม่ชินอยู่บ้าง แต่ก็คิดเข้าข้างตัวเองมาตลอดว่าถ้าผ่านพ้นอาทิตย์ไปได้ ทุกอย่างก็คงเหมือนเดิม…กลับไปเป็นจงฮยอนเหมือนเมื่อก่อน
เที่ยวเล่นสนุกโดยไม่ต้องแคร์ใคร...เจ้าชู้เปลี่ยนคู่ควงเป็นว่าเล่น
แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด จงฮยอนกลับไปเป็นจงฮยอนในแบบเดิมไม่ได้ เพียงเพราะว่าช่วงเวลาหนึ่งในชีวิต เคยมีเด็กผู้ชายที่ชื่อ แทมิน แวะเวียนเข้ามา
ทุกครั้งที่ริมฝีปากแนบสัมผัสกับใคร ใบหน้าหวานของอีกคนก็มักจะแทรกทับเสมอ
แม้กระทั้งชื่อตัวเองที่หลุดจากปากเพื่อนอย่างอนยู บางคราก็ได้ยินเป็นเสียงเรียกของแทมิน
อยากปฏิเสธตัวเองในหลายๆเรื่อง ที่ไม่สมควรจะเป็นตัวเขา
แต่ก็ทำไม่ได้...หลอกตัวเองไม่ได้
ยิ่งนึกถึงเสียงหวานใส กับรอยยิ้มบนใบหน้าน่ารักนั่นแล้ว ก็ไม่เคยมีครั้งไหนในความคิด ที่ไม่รู้สึกคิดถึงและโหยหา
คิม จงฮยอนกำลังทำตัวน่าสมเพชแบบนี้จริงๆนะหรอ ทั้งที่เคยเป็นฝ่ายลั่นวาจาให้อีกคนเลิกยุ่งเลิกเข้าใกล้ ทำทุกวิธีทางเพื่อให้อีกฝ่ายเลิกรา
แต่พอเอาเข้าจริง
ทำไมถึงได้เป็นตัวเขาที่ปล่อยวางไม่ได้
.
.
. 50%
.
.
“พรุ่งนี้วันหยุด นายก็ค้างบ้านชั้นสิ”
“เอาอย่างนั้นหรอดงโฮ” แทมินเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะสบตาอีกคน และกวาดมองพื้นห้องที่เต็มไปด้วยหนังสือที่ยืมมาจากหอสมุด
“อืม ตามนั้นแหละ งานจะได้คืบหน้าด้วยไง” ดงโฮพยักหน้าส่งให้ พร้อมกับเอ่ยกระตุ้นเรื่องงานที่จะต้องส่งภายในอาทิตย์หน้า
“จริงด้วยสิน่ะ” เพื่องานจะได้เสร็จส่งตามกำหนด ร่างบางก็เลยตัดสินใจตามคำพูดของอีกฝ่าย จริงๆก็มีลางสังหรณ์มาตั้งแต่ ไปหอบยืมหนังสือมากจากห้องสมุดเมื่อตอนพักเที่ยง แล้วก็กลายเป็นว่าติดพันอยู่กับงานจนเวลาปาเข้าหนึ่งทุ่มไปแล้ว และดูเหมือนว่าจะติดพันกันไปยันห้ามรุ่งของพรุ่งนี้ด้วยสิ คิดได้แบบนั้น มือบางก็ล้วงหาโทรศัพท์จากกระเป๋าใบโปรด ก่อนจะกดโทรออกไปยังเบอร์ของเจสสิก้า
(ถ้าอย่างนั้นชั้นก็ต้องดูละครหลังข่าวคนเดียวนะสิ) แหวเสียงดังออกมา ก่อนจะส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างคนโดนขัดใจ
“แค่วันเดียวเองนะฮ่ะ”
(กลับพรุ่งนี้ตอนกี่โมงล่ะ)
“อาจจะเย็นๆ อย่าลืมทำกับข้าวเพื่อผมด้วยล่ะ” เมื่อพี่สาวลดน้ำเสียงลงบ้างแล้ว คนเป็นน้องเองก็เลยได้ที่พูดอ้อนทางน้ำเสียง
(ถ้าเกินห้าโมงล่ะก็ นายหาซื้อข้าวกล่องกลับมาเลย)
“ฮ่าๆ โอเคฮ่ะ ผมจะกลับให้ถึงบ้านก่อนห้าโมง” แทมินหัวเราะออกมา เมื่อนึกถึงหน้าคนเป็นพี่ว่ากำลังทำหน้าประชดประชังแบบไหนอยู่
“ท่าทางนายกับพี่ จะเข้ากันได้แล้วนี่” ทันทีที่เห็นว่าแทมินเงียบเสียงไปได้สักพัก ดงโฮก็อดจะหันมาถามไม่ได้ แทมินเลยได้แต่ยิ้มบางแล้วพยักหน้าตอบ
“ก็ดีแล้วแหละนะ อยู่บ้านเดียวกัน พูดจากันดีๆ บ้านน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ”
“ฮ่าๆ นั่นสินะ พอได้คุยกันจริงๆ พี่เจสสิก้าดีกว่าที่ชั้นคิดไว้ซะอีก”โทรศัพท์ถูกวางสายไปนานแล้ว แต่แทมินเองก็ไม่สามารถละสายตาจากหน้าจอได้
เสี้ยวหน้าด้านข้างที่มองทีไรก็รู้สึกถึงความอบอุ่นอยู่เสมอ
คิดถึงความอบอุ่นแบบนั้น....
.
.
.
.
.
“แกโทรเรียกชั้นให้ซื้อเบียร์มาให้ แล้วก็ไม่พูดอะไรกับชั้นสักคำเลยเนี่ยนะ” คนใจเย็นอดไม่ได้ที่โวยเสียงดังออกมา
มีอย่างที่ไหน โทรศัพท์มาถึงก็สั่งนู่นสั่งนี่ ให้เขาวิ่งโล่ออกไปร้านสะดวกซื้อ ซื้อของเป็นพัลวันเพื่อเอามาส่งให้ถึงมือเพื่อนสนิท แต่พอมาถึงที่ รับของจากมือ คว้าหาเบียร์มาดื่ม กระป๋องก็แล้ว สามกระป๋องก็แล้ว ไอเพื่อนตัวดีก็ยังไม่พูดไม่จาอะไรสักคำ
“...”
“จงฮยอน เฮ้อ~ ชั้นจะกินเป็นเพื่อนแกเอง ชั้นเองก็แย่เหมือนกัน แต่คงสู้นายไม่ได้หรอก” เมื่อเห็นว่ากล่าวอะไรก็ยังไม่สามารถเปิดปากจงฮยอนได้ อนยูเลยคว้าเอาเบียร์ออกจากถุงมาเปิดดื่มบ้าง
“มีอะไร” ดูเหมือนคำว่าแย่เหมือนกัน ที่หลุดจากปากอนยู จะเรียกความสนใจจากคนที่นั่งมองนกมองฟ้าให้หันมองเพื่อนตัวเองได้ แต่ทว่า อนยูที่เกิดอาการหมั่นไส้คนข้างตัว เลยเป็นฝ่ายเงียบไม่พูดไม่จาบ้าง
“...”
“ชั้นถามทำไมไม่ตอบ” จงฮยอนมองอนยูด้วยสีหน้ากดดัน อนยูที่รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนคนหาเรื่องอยู่เต็มที เลยต้องเฉลยออกมา
“จะได้รู้บ้างไง เวลาที่ชั้นพูดกับแก แล้วแกไม่ตอบ จะรู้สึกยังไง”
“เออ ชั้นเข้าใจแล้ว แกมันชักจะกวนประสาทเข้าไปทุกวัน” จงฮยอนพลักหัวคนข้างตัว ก่อนจะหันมาสนใจท้องฟ้าที่ถูกฉาบด้วยสีของราตรี
“แล้วจะเอาไงต่อ...เรื่องแทมิน”
“ไม่รู้ว่ะ”
“มาดักรอที่ทางเข้าบ้าน ไม่ใช่หวังว่าจะเจอรึไง”
“ไม่เชิงว่ามาดัก แต่อยู่ๆขามันก็พามาเอง” อนยูพยักหน้ากับตัวเองพร้อมรอยยิ้มที่แต้มมุมปาก
คิม จงฮยอน
เพ้อหนัก...
“ขนาดนี้แล้ว รู้รึยังล่ะว่าใจตัวเอง มันต้องการอะไร”
“ชั้นก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ชั้นแค่ ไม่อยากให้อะไรมันวุ่นวายไปกว่านี้ อยากให้มันอยู่ในขั้นที่พอดี”
“อย่ามาทำตัวเข้าใจอยาก จงฮยอน”
“ชั้นก็แค่ อยากคุยกับแทมิน อยากไปเที่ยวด้วยกันบ้าง”
“แล้วทำไมต้องเป็นแทมินล่ะ ที่นายอยากคุยด้วย อยากไปเที่ยวด้วย”
“ชั้นชอบเวลาที่แทมินชวนชั้นคุย ไม่รู้สิ ในความคิดของแทมิน มีแต่อะไรที่มันแปลกในความคิดของชั้น แล้วเวลาที่ไปเที่ยวด้วยกัน เด็กนั่นก็จะเอาแต่มองมาที่ชั้น แล้วใบหน้านั่นก็เปื้อนยิ้มอยู่ตลอดเวลา แทมินไม่เคยสนใจสิ่งรอบตัว แม้ว่ามันจะน่าทำความรู้จักแค่ไหน เพราะเป็นอย่างนั้น มันเลยทำให้ชั้นคิดเสมอว่า โลกน่ะต้องขอบคุณชั้น เพราะชั้นสามารถทำให้แทมินยิ้มได้กว้างขนาดนี้”
“ข้อแรก ก็เพราะนายมันเจนจัด คำพูดจาไร้เดียงสาของแทมินเลยมีผมกระทบกับความคิดนาย ส่วนข้อสอง นายพูดมาถึงขนาดนี้ นายคงจะรู้น่ะจงฮยอน ว่านายสำคัญขนาดที่จะเป็นคนสร้างรอยยิ้ม หรือน้ำตาให้กับแทมินก็ได้ แล้วตอนนี้ นายก็กำลังทำในอย่างหลัง นายก็รู้ใช่มั้ยล่ะ ว่ารอยยิ้มของแทมินน่ะ มันทำให้โลกสดใสได้แค่ไหน ชั้นว่านะที่นายกำลังเป็นอยู่ทุกวันนี้ เป็นเพราะพระเจ้ากำลังลงโทษนาย ลงโทษที่นายพรากรอยยิ้มที่พระเจ้าเป็นผู้ประธานให้แทมิน”
“อนยู นายกำลังทำให้ชั้นคิดว่า ชั้นทำอะไรที่ผิดอย่างไม่น่าให้อภัย” หันมาสบตากับเพื่อน แล้วนั่นก็ทำให้อนยูพูดย้ำลงไปอีก
“ก็แหงล่ะ แต่โทษนี้ก็ลดหย่อนได้นะ”
“ลดหย่อนงั้นเหรอ” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน อนยูมองคนตรงหน้าก่อนจะใช้สีหน้าแสดงความคิด
“ถ้านายสามารถคืนรอยยิ้ม กับเสียงหัวเราะที่สดใสให้กับแทมินได้”
“ฮ่าๆ นายมันบ้าไปแล้วอนยู นายอยากให้ชั้นเพี้ยนตามนายใช่มั้ย”
“แล้วว่าไงล่ะ นักโทษคิม จงฮยอน คุณจะยอมไถ่บาปที่คุณเป็นผู้สร้างมั้ยล่ะ” มองหน้าอีกคน น้ำเสียงอาจจะติดที่เล่นทีจริงอยู่บ้าง แต่จากแววตาของอนยู จงฮยอนรับรู้ถึงความรู้สึกที่จริงจัง แล้วนั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มตัดสินใจรับบทเป็นนักโทษที่ทำความผิดร้ายแรงในสายตาของอนยู
“แล้วจะให้ผมทำไงดีล่ะครับ ท่านผู้ชี้ทาง คุณช่วยผมขนาดนี้แล้ว พอจะช่วยแนะผมต่อได้มั้ย”
“ทำดีกับเขา เป็นจงฮยอนผู้ที่จะสร้างแต่ความสุข และไม่นำพาความทุกข์ใดๆมาสู่เขาผู้นั้นอีก”
“แล้วถ้าหากว่า เขาผู้นั้นไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับผมแล้วล่ะ ท่านผู้ชี้ทางจะว่าไง”
“อ่า งั้นก็แย่แล้วล่ะจงฮยอน นายคงต้องทุกข์โศกไปชั่วกัลปาวสาน” อนยูที่เล่นต่อไม่ได้ เลยได้แต่ทำหน้าปลงตกให้เพื่อน แล้วดูเหมือนว่าจะเรียกฝ่ามือหนาๆจากคนตั้งอกตั้งใจฟังได้พอดู
“ไอบ้าอนยู แกสาปแช่งชั้น”
“ก็พูดตามความเป็นจริงไง สาปชงสาปแช่งอะไรกันว่ะ” อนยูลูบไหล่ตัวเอง พร้อมกับที่ส่งใบหน้าจริงไปต่อปากต่อคำกับจงฮยอน
“ก็ชั้นให้แกชี้ทาง แต่แกดันพูดจาบ้าๆ”
“เคๆ งั้นเอาใหม่...ทำดีกับเขา เป็นจงฮยอนผู้ที่จะสร้างแต่ความสุข และไม่นำพาความทุกข์ใดๆมาสู่เขาผู้นั้นอีก คิม จงฮยอน เจ้าคิดว่าเจ้าทำได้รึเปล่า” เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจปนกับท่าทางก่นด่าเขาอยู่ในใจของจงฮยอน อนยูเลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะสวมบทผู้ชี้ทางสว่างอีกครั้ง
“ถ้าหากข้ามีโอกาส ข้าสัญญา”
“ถ้าเจ้ารับปากข้าเป็นมั่นเป็นเหมาะ ข้าก็จะขออวยพรให้เขาผู้นั้น เป็นผู้ที่มีความสุข มีเสียงหัวเราะที่ไพเราะเฉกเช่นเสียงดนตรี มีรอยยิ้มที่งดงามจนสามารถสะกดสรรพสิ่งบนโลกให้ล้วนแต่มีความสุขได้
“เดี๋ยวๆ ท่านผู้ชี้ทาง ข้าว่ามันแปลก”
“อะไรแปลก”
“คำอวยพรของท่านไง ท่านต้องอวยพรให้ข้าสิถึงจะถูก”
“คิม จงฮยอนคนโง่ เจ้าไม่รู้รึไง การที่บุคคลอันเป็นที่รัก สามารถยิ้ม หรือส่งเสียงหัวเราะอันเป็นความสุขที่เกิดจากข้างในได้ ตัวเจ้าเอง ก็จะยิ้ม แล้วก็สามารถหัวเราะได้เช่นกัน”
“อนยู แกคงไม่ได้จะบอกชั้นว่า แทมินยิ้มได้ ตัวชั้นเองก็จะยิ้มออกมาได้” จงฮยอนสละบทนักโทษ ก่อนจะแปลสารที่อนยูส่งถึง
“แกเข้าใจถูกแล้วล่ะ คิมจงฮยอนผู้โง่เขลา คราวนี้ แกก็รู้แล้วใช่มั้ย ว่าแกจะหลุดพ้นจากความโศกได้ก็ต่อเมื่อ...หัวใจของแกยิ้มได้”
“แกมันบ้าได้อีกเหอะอนยู”
“แล้วทำไมแกต้องหน้าแดงกับคำพูดของชั้นด้วยล่ะ” ผลักหัวอีกคนเบาๆ เมื่อเห็นว่าทั้งสองข้างแก้มกำลังเจือสีแดง แถมมุมปากยังยิ้มไม่หุบ
“ให้ตายเถอะ นายอยากรู้หรอว่าทำไม” อนยูพยักหน้าแรงๆให้อีกคน ก่อนจะได้ยินคำเฉลยที่ทำเอากลั้นหัวเราะไม่อยู่
“ก็เพราะชั้นกำลังจะบ้าทำตามคำพูดของนายไงล่ะ”
“ฮ่าๆ ตลกชะมัด”
“ชั้นดูเป็นพวกงี่เง่าปะว่ะ” จงฮยอนเกาหัวแก้เก้อ แต่ทว่ามุมปากก็ยังไม่สามารถลดรอยยิ้มลงได้
“ใครบอก ชั้นว่าแกดูน่ากอดจะตายไป” แล้วก็จบท้ายด้วยการโดนมือใหญ่ผลักหัวเข้าให้แรงๆ แต่ถึงอย่างนั้นอนยูก็ยังหัวเราะไม่เลิก
-------------------------PPLight--------------------------
เเล้วฮยอนมินก็ยังไม่เจอกัน - - *
พาร์ทหลังดูบ้าบอ ขออภัย
เเพรวอาจจะหายไปสักพัก เนื่องจากติดหนังอย่างหนัก หุ หุ ^ ^
พบกันตอนหน้าเน้อ~
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พี่อนนี่หลักการมาเต็ม5555
น่ารักที่สุดเลย เต้าหู้ที่รัก
คิมจงงงง นายนี่น่ารักนะ น่ากอดสุดๆ
ต้องขอขอบคุณอนยูสินะ
แล้วแบบเจสสิก้าเทอก็ไม่ได้ร้ายอะไรนะ ถึงแม้จะจิกกัดตล๊อดๆ 5555
ตอนนี้จงฮยอนเฮิร์ทมากน่ะ เพ้อหนักจริงๆ 555
เราแอบสะใจน่ะ แต่ก็สงสารเบาเบาอ่า
คืนดีกันสักทีสิ ลุ้นอยู่น้า :)
นับวันยิ่งเพ้อแล้วคู่นี้
ฮยอนมินใกล้แล้วหนิ ดีใจจจจ
อีเป็ดจงหน้าแดงด้วย
ท่าผู้ชี้ทาง ชอบมาก
อนยูดูเป็นคนดีเนอะช่วงนี้ 5555
น่ารักๆๆ อิจงเพ้อไปใหญ่แล้วว
พากันเป็นบ้าให้หมดเลยน่ะ
แล้วเมื่อไหร่จะลงเอยละเนี่ย?! - -*
เฮียอนทำไมเฮียถึงเป็นคนที่มีความคิดได้เริ่ดมากขนาดนี้ชอบอ๊า~
สรุปบ้ากันทั้งคู่
เฮ้อออ ลุ้นอยุ่น่ะคู่เนียะ
สู้ๆอย่าดราม่าให้มันมากน่ะเออ รีดเดอร์เครียดไปด้วย YY
ยังไงก็ขอให้ทั้งสองคนฮยอนมินเป็นมั่นเป็นเหมาะกันเร้วๆน้า~คุคุ
เจอกันซักทีเหอะ จะได้เข้าใจกัน
อนกะเป็ดตอนหลังๆแอบฮา
ยังไม่ได้เม้นเลย คอมเจ๊งซะก่อน - -
จงมันหายโง่ยังเนี่ย คึคึ เพื่อนรักอุตส่าห์ชี้ทางสว่างโล่งหายแล้ว !