คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Intro
Intro
ประเทศอิตาลี เป็นประเทศหนึ่งที่สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวได้สูงมาก อาจจะเป็นเพราะว่ามีสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่และสวยงาม อีกทั้งยังคงสภาพเดิมไว้อยู่ได้ อาทิ เมืองเวนิช เมืองมิลาน เมืองเจเนวา เกาะเนเปิลส์ และอื่นๆอีกมากมาย
แต่จะมีใครรู้ไหมว่า ยังมีเมืองเล็กๆอีกเมืองหนึ่ง ที่ยังมีสถาปัตยกรรมที่สวยงามและรอการเยี่ยมชมอยู่ ถึงแม้จะอยู่ในชนบท แต่ก็สวยงามตามแบบฉบับของคนอิตาลีสมัยก่อน บ้านเมืองปลูกเรียงชิดติดกัน ด้านหน้ามีสวนขนาดหย่อมปลูกต้นไม้นานาพันธุ์ บ้านหลายบ้านอยู่รวมๆกันจนเยอะมากขึ้น และกลายเป็นหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านระแวกนั้นรู้จักกันเป็นอย่างดี
แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวเอวัง และตั้งอยู่ด้านในสุดของหมู่บ้านที่ติดกับป่า บ้านหลังนี้มีลักษณะเป็นคฤหาสถ์แนวโกธิคสีขาว มีสวนด้านหน้าขนาดใหญ่และรก ทำให้ดูเหมือนว่าบ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ดูเหมือนจะเป็น ‘บ้านร้าง’ แต่จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกไปเสียทีเดียว เพราะอย่างน้อยก็ยังเคยมีคนเห็น ‘ชายตัวเล็ก เรือนผมสีดำที่ตัดกันกับผิวสีขาวซีด’ กำลังยืนมองท้องฟ้าในยามค่ำคืนอยู่อย่างเดียวดาย พร้อมกับเล่นเครื่องดนตรีญี่ปุ่นอย่าง ชามิเซ็น ด้วยเพลงที่มีทำนองเศร้าอีกด้วย
“บรื๋อ~!!! พอเดินผ่านมานี้ทีไรมีต้องขนลุกซู่ทันทีเลยน่า!!” ชายหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งที่กำลังเดินผ่านคฤหาสน์หลังดังกล่าวว่าพลางทำปากสั่นๆ
“ไม่เป็นไรแล้วน่า~!! เดี๋ยวอีกไม่กี่วันก็จะมีคนย้ายมาอยู่แล้วนี่ เขาคงจะบูรณะใหม่ล่ะมั้ง!?” ชายวัยรุ่นอีกคนที่เดินมาด้วยกันพูดปลอบใจ
“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นล่ะกัน แล้วก็...ที่สำคัญเลยนะ อยากให้มาช่วยปราบผีในบ้านนี้ด้วยนะ ให้เดินผ่านที่นี่ทุกวัน แล้วมีเสียงเพลงหลอนๆลอยมาให้ฟังทุกวันนี่ไม่ไหวนะ สักวันฉันคงต้องประสาทกินแน่ๆ ให้ตายเถอะ!! ไอ้ผีบ้านี่ก็เหมือนกัน รู้ว่าคนเขากลัว แล้วยังจะเล่นเพลงหลอนๆให้คนเขากลัวอีกเรอะ!! บ้าเอ๊ย!!” ชายหนุ่มพูดออกมาอย่างหัวเสีย
“แต่วันนี้นายเองก็ไม่ได้ยินเสียงเพลงนั่นแล้วนี่”
“ก็แค่วันนี้ล่ะนะ วันหน้าใช่จะไม่เจอนี่”
“เออๆ พูดแบบนี้ระวังเขาจะมาหลอกนายเอานะ ไปด่าเขาหน้าบ้านเนี่ย!!” ชายร่างสูงกว่าพูดเป็นเชิงเตือน
“เอ่อ...งั้นขอโทษนะครับ” ชายร่างเล็กเริ่มกรอกตามองรอบๆกายตนอย่างหวาดกลัว ก่อนที่จะรีบวิ่งออกไปจากที่ตรงนั้นให้เร็วที่สุด โดยมีร่างสูงวิ่งตามไปติดๆ
“เฮ้ย!! รอกันด้วยสิ!!”
สิ้นเสียงตะโกนจากปากชายร่างสูง ทั่วทั้งบริเวณนั้นก็กลับมาเงียบสงบและวังเวงอีกครั้ง เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องกันดังระงม ดวงจันทร์ที่เคยมีเมฆสีดำบดบังได้ถูกเปิดเผยออกมาอีกครั้ง
แสงนวลจันทร์ได้สาดส่องมายังร่างที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ ชายหนุ่มผมสีดำที่ยืนกอดอกดูเหตุการณ์เมื่อครู่ได้กระโดดลงมายังพื้นเบื้องล่าง ใบหน้าคิ้วขมวดที่ได้จากการครุ่นคิดเมื่อครู่ได้คลายลง ก่อนที่จะเผยรอยยิ้มน้อยๆและเขี้ยวคู่คมงามๆออกมา
“จะมีคนมาพักที่นี่งั้นเหรอ!? เฮอะ!! ถ้าอย่างนั้น...ฉัน ฮิบาริ เคียวยะคนนี้น่ะ จะเตรียมต้อนรับมันอย่างดีเลยล่ะ” สิ้นเสียงใสๆ ร่างบอบบางที่เคยปรากฏอยู่ตรงนั้นได้เปลี่ยนเป็นฝูงค้างคาวหย่อมๆ และโผบินไปที่ระเบียงของคฤหาสถ์ที่แสนวังเวงนั่น
ฝูงค้างคาวได้แปรเปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มผมสีดำอีกครั้งเมื่อบินมาถึงบนระเบียงบ้าน ชายหนุ่มทอดสายตามองไปที่สวนรกๆหน้าบ้าน ก่อนที่จะตัดสินใจหยิบชามิเซ็นขึ้นมาบรรเลงทำนองเพลงอันแสนเศร้าอีกครั้ง
ยามเช้าของวันรุ่งขึ้น
เสียงบรรเลงชามิเซ็นได้หายไปแล้ว จะได้ยินก็เพียงแต่เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจของชาวบ้านที่กำลังเสวนากันอยู่หน้าบ้าน โดยมีคนงานจำนวนหลายสิบคนกำลังยืนรอคำสั่งจากผู้เป็นเจ้านายอยู่หน้าบ้านเช่นกัน
“เดี๋ยวฉันจะเข้าไปสำรวจข้างในก่อนนะ พวกนายสัก3-4 คนก็ตามมาด้วยล่ะ ส่วนที่เหลือจัดการโค่นต้นไม้รกที่สวนออกให้หมด มันดูเกะกะน่ะ” ดีโน่ คาบัคโลเน่ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อันดับ1 ในอิตาลีสั่งลูกน้องอย่างคล่องแคล่ว ก่อนที่จะเดินนำเข้าไปในตัวคฤหาสน์ ส่วนชาวบ้านที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ ก็ได้แต่มองตามไปด้วยความสนใจในตัวชายหนุ่มคนนี้ ด้วยเรือนผมสีทอง และนัยน์ตาสีอำพันน้ำผึ้ง บวกกับผิวสีแทนนิดๆ ร่างที่สูงสมเป็นชาย ทำให้บรรดาหญิงสาวทั้งหลายอดที่จะมองไม่ได้จริงๆ
ชายหนุ่มผมทองเดินเข้ามาในตัวบ้าน เขามองไปรอบๆด้วยความพอใจ ถึงแม้ตัวคฤหาสน์ภายนอกจะเป็นสไตล์โกธิคน่ากลัว แต่ข้างในกลับดูเรียบง่ายและแฝงไปด้วยความหรูหรา แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงสไตล์ความเป็นโกธิคไว้อยู่
“อืม...ที่นี่ไม่มีคนอยู่แน่เหรอ!? ทำไมมันถึงได้สะอาดขนาดนี้ล่ะ ไม่มีแม้แต่ฝุ่นเลยนะ” ชายหนุ่มว่าพลางนำนิ้วไปลูบที่เครื่องใช้ต่างๆ
“ครับ แปลกจริง ก็บ้านนี้เป็นบ้างร้างนี่นา ร้างมานานตั้งหลายปีแล้วด้วย แต่ทำไมข้าวของเครื่องใช้กลับไม่มีฝุ่นเลยน่ะสิ” โรมาริโอ้ ลูกน้องคนสนิทของเขาตอบ
“งั้นเหรอ!? น่าแปลกจริงๆนะ” ถึงดีโน่จะพูดเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทางซีเรียสอะไรมากนัก เขาเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง และเปิดสำรวจห้องทีละห้อง จนมาถึงห้องนอนที่ใหญ่ที่สุดในคฤหาสน์ ห้องนี้ถูกตกแต่งด้วยธีมสีดำและขาว สไตล์โมเดิ้ลผสมคลาสสิค ทำให้ดีโน่อดใจไม่ไหวที่จะเข้าไปสัมผัสห้องนี้
“ฉันขอนอนห้องนี้นะ ช่วยจัดการย้ายข้าวของของฉันมาที่นี่ด้วยล่ะ ส่วนของใช้ที่เคยอยู่ในห้องนี้ก็ปล่อยให้มันอยู่แบบนี้แหละ ฉันคิดว่ามันสวยดี แต่ถึงยังไงก็ช่วยดูเรื่องคุณภาพด้วยล่ะกัน ถ้าใช้ได้ก็เก็บไว้ ใช้ไม่ได้ก็ทิ้งไป” เขาพูดกับลูกน้องคนสนิท พลางมองดูรอบห้องไปเรื่อยๆ
ชายหนุ่มเดินไปที่ระเบียงห้อง พลางมองออกไปด้านนอก
“ด้านหลังนี่เป็นป่าสินะ อืม...งั้นก็ปล่อยมันไว้แบบนี้แหละ ไม่ต้องไปทำอะไรมันหรอก บางที...ถ้าฉันเบื่อๆอาจจะออกไปเดินเล่นในป่าได้ไง” ชายหนุ่มพูดอย่างอารมณ์ดี
“แต่บอสครับ ถ้าเกิดในป่ามันมีอันตรายล่ะครับ จะทำยังไง ผมว่า...ให้ถางป่าให้ห่างจากคฤหาสถ์นี้สัก200 เมตรเป็นยังไงครับ” โรมาริโอ้ร้องเตือนพลางแนะนำ
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันต้องการแบบนี้แหละ” พูดจบ ดีโน่ก็หมุนตัวจะเดินออก แต่สายตาของเขากลับสะดุดไปที่ของสิ่งหนึ่งเสียก่อน
“เอ๋!? นี่มันอะไรเนี่ย เครื่องดนตรีเหรอ!?” เขาว่าพลางหยิบมันขึ้นมาพินิจอย่างสนใจ
“เอ่อ...ผมก็ไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลยนะครับ สงสัยจะไม่ใช้เครื่องดนตรีของประเทศอิตาลีหรอกครับ”
“อืม...ฉันว่าฉันคุ้นๆนะ เหมือนเคยเห็นน่ะ”
“เอาเถอะครับ บอสจะเคยเห็นหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกันนี่ครับ แล้วตกลงนี่บอสจะทำยังไงกับมันล่ะครับ จะให้ผมเอามันไปทิ้งหรือว่า...” ยังไม่ทันที่โรมาริโอ้จะพูดจบ ดีโน่ก็ชิงตอบก่อน
“เก็บไว้เถอะ ฉันคิดว่าเครื่องดนตรีนี้น่าสนใจดี ถึงแม้จะเล่นมันไม่ได้ แต่ก็จะเก็บไว้เป็นของสะสมล่ะกัน”
“แล้ว...บอสไม่กลัวเหรอครับ!? เครื่องดนตรีนี้อาจจะมีผีสิงอยู่ก็ได้นะครับ ดูสิครับ บ้านนี้ร้างตั้งนาน ก็ยังไม่มีฝุ่นสักนิด แล้วนี่เครื่องดนตรีนี้อีก ตากแดดตากฝนอยู่ตรงนี้ตั้งนาน แต่กลับไม่ผุพังเลยนะครับ”
“ฮะฮ่ะฮ่า ผีเผออะไร ฉันไม่กลัวหรอก” ดีโน่ว่าพลางกลั้วหัวเราะ
“ครับๆ แล้วแต่บอสล่ะกัน” โรมาริโอ้พูดเนือยๆ อย่างปลงกับนิสัยของเจ้านายของเขา
“นี่ โรมาริโอ้ ฉันจะนอนที่นี่คืนนี้เลยนะ นายจัดการเรื่องน้ำกับไฟเรียบร้อยแล้วหรือยังน่ะ”
“โธ่~! บอสครับ เราเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกนะครับ ยังไม่ได้ตรวจเช็คดูหลอดไฟกับท่อประปาเลยนะครับ เอาเป็นว่าวันนี้บอสนอนที่โรงแรมในตัวเมืองก่อนนะครับ เดี๋ยวปรับปรุงคฤหาสน์เสร็จเมื่อไร่บอสค่อยมานอนที่นี่ล่ะกันนะครับ แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง ทำไมบอสต้องรีบมาด้วยล่ะครับ ที่จริงเราบอกให้เขาซ่อมแซมที่นี่ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยมาก็ได้นี่ครับ บอสก็ไปทำงานเหมือนเดิมก่อน แล้วอีกเดือนนึงก็มาพักก็ได้นี่ครับ แหม จะพักร้อนทั้งที ก็รีบเคลียร์งานให้เสร็จก่อนสิครับ
”
“ไม่เอาน่าๆ โรมาริโอ้ นายนี่ชักจะบ่นเหมือนคนแก่มากขึ้นแล้วนะ ทั้งที่อายุไม่เท่าไร่เองนา”
“ก็มันเป็นเรื่องที่ต้องบ่นนี่ครับ บอสเองก็ดื้อใช่เรื่องเลยนา”
“ก็ฉันอยากพักเร็วๆนี่ เบื่อจะแย่อยู่แล้ว มีแต่งานๆแล้วก็งาน”
“ก็ถ้าอยากพักร้อน บอสก็ไปตากอากาศที่ต่างประเทศสิครับ ไม่ต้องมาแถวบ้านนอกก็ได้นี่”
“ฉันอยากเที่ยวในประเทศน่ะ เงินทองจะได้ไหลเวียนในประเทศไง”
“บอสอย่างมาอ้างเรื่องที่รู้ๆกันอยู่สิครับ ผมเห็นบอสไปเที่ยวญี่ปุ่นไปหาคุณสึนะออกบ่อยๆ อย่ามาอ้างเหตุผลเมื่อสักครู่อีกนะครับ”
“แฮะๆ โรมาริโอ้นี่น้า~!! อย่ามาล้อกันอย่างนั้นสิ ฉันก็อายน้า~”
“คนอย่างบอสอายเป็นด้วยเหรอครับ!?”
“เหมือนนายจะด่าว่าฉันหน้าด้านนะ”
“ฮะฮ่ะฮ่า เปล่าครับๆ”
“เฮอะ!! จะว่ายังไงก็เอาเถอะ ถ้ามันไม่จริงฉันก็ไม่สนอยู่แล้ว”
“ครับๆ แล้วว่าแต่...บอสจะไปพักที่โรงแรมในเมืองกี่คืนดีครับ”
“ใครบอกว่าฉันจะพักที่โรงแรมในเมืองน่ะ ฉันจะพักที่นี่แหละ หมายถึงในหมู่บ้านนี้นะ ที่นี่เองก็มีโฮมสเตย์ไม่ใช่เหรอ!?”
“นี่สรุปว่า...ไม่ว่ายังไงบอสก็จะพักที่นี่เหรอครับ!!” โรมาริโอ้ถามกึ่งประชด
“อืม...ฉันชักจะชอบความเงียบสงบของที่นี่แล้วสิ!!” ผู้เป็นบอสผู้อย่างยิ้มๆ ทำเอาลูกน้องคนสนิทแทบลมจับ นี่ถ้าบอสของเขาชักติดใจที่นี่ขึ้นมาจริงๆแล้วล่ะก็ บางทีอาจจะติดใจสาวที่นี่ด้วย ทำให้ไม่ยอมกลับมิลานล่ะ บริษัทของเขาจะล่มจมมั๊ยล่ะเนี่ย!?
“ครับ ตามใจบอสเถอะครับ” พูดจบ โรมาริโอ้ก็เดินออกจากที่นั้นทันที ทิ้งให้เจ้านายของเขายืนชมวิวเล่นอยู่ที่ระเบียงเพียงลำพัง
เมื่อพลับพลามาเยือน
หลังจากที่ดีโน่คอยดูคนงานและคอยกำกับนู่นนี่ในคฤหาสน์จนเบื่อแล้ว เขาก็ออกมาเดินเล่นในหมู่บ้าน พูดคุยกับชาวบ้านไปเรื่อยๆ ทำความรู้จักกับทุกคนไว้
“สวัสดีครับ ผม ดีโน่ คาบัคโลเน่ครับ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะครับ” ชายหนุ่มว่าพลางยิ้มให้คนในหมู่บ้านที่กำลังนั่งล้อมวงคุยกันอยู่
“จ๊ะ ฉันชื่ออัลเลกรา ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันจ๊ะ” หนึ่งในหญิงสาวที่อยู่ในนั้นแนะนำตัว พลางส่งยิ้มตอบกลับ
“ครับ จากนี้ไปก็ขอรบกวนด้วยนะครับ” ดีโน่พุดตามมารยาท
“จ๊ะ ว่าแต่...ฉันมีเรื่องอยากจะถามคุณหน่อยน่ะ ได้มั๊ยล่ะค่ะ!?” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเกรงใจแต่ใคร่รู้
“ได้ครับ”
“คุณทำอาชีพอะไรเหรอค่ะ!? แล้ว...คิดยังไงถึงย้ายมาอยู่ที่นี่!?”
“ผมเป็นนักธุรกิจครับ ธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ มาที่นี่ก็เพื่อมาพักร้อนน่ะครับ เห็นว่าเป็นสถานที่ที่น่าสงบดี แล้วก็ห่างไกลจากตัวเมืองอันแสนวุ่นวายดีด้วย” ชายหนุ่มตอบด้วยท่าทางสบายๆ
“แล้ว...ทำไมถึงมาพักที่บ้านหลังนั้นน่ะค่ะ คุณเป็นเจ้าของมันมาตั้งแต่แรกแล้วเหรอ!?”
“เปล่าครับๆ ผมก็แค่ใช้ประโยชน์ในเชิงธุรกิจให้ได้มันมาน่ะครับ ความจริงแล้วบ้านหลังนั้นไม่ได้เป็นของผมตั้งแต่แรกหรอกครับ”
“อย่างนั้นเหรอค่ะ แล้ว...คุณรู้เรื่องราวแต่ก่อนของบ้านหลังนั้นรึเปล่าค่ะ เช่น บ้านหลังนั้นเคยเป็นของใครมาก่อน หรืออะไรประมาณนี้น่ะค่ะ” คำถามที่ออกจากปากของหญิงสาวคำถามนี้ ทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้น เงียบและจดจ่อกับคำตอบที่จะได้รับจากดีโน่ด้วยความตั้งใจ
“เอ่อ...ผมไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับบ้านหลังนั้นเลยครับ สิ่งที่ผมรู้มีเพียงอย่างเดียวก็คือ บ้านหลังนั้นไม่มีคนอยู่ และผมสามารถจะย้ายเข้าไปอยู่ในนั้นได้ แค่นี้เองครับ” ดีโน่พูดตามความจริง ทำให้ทุกคนถึงกับมองหน้ากันเลิกลั่ก
“เอ่อ...ทำไมเหรอครับ!? บ้านหลังนั้นมีอะไรเหรอครับ!?” ดีโน่อดที่จะถามด้วยความสงสัยไม่ได้
“เอ่อ...ก็
” ทุกคนต่างทำท่างอึกอักเหมือนไม่อยากจะตอบ
“เรื่องผีเหรอครับ!?” ดีโน่ถามติดตลก
“คุณรู้!?” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในวงสนทนาด้วย เอ่ยขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“ความจริงผมไม่รู้หรอกครับ ก็แค่เดาแค่นั้นเอง ก็ตามปกติแล้ว...เมื่อคฤหาสน์สวยๆแบบนี้ร้าง คนส่วนใหญ่ก็คิดว่ามันมักจะมีผีอยู่เสมอน่ะสิครับ” ดีโน่เอ่ยอย่างไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด
“แต่นี่มันเรื่องจริงนะครับ ในตอนกลางคืนน่ะ ถ้าคุณเดินผ่านบ้านหลังนั้น คุณจะได้ยินเสียงเครื่องดนตรีเล่นน่ะครับ แถมเล่นเป็นทำนองเพลงเศร้าๆด้วย ฟังแล้วน่าขนลุกเลยล่ะครับ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงต่ำๆ ชวนให้รู้สึกกลัว
“ฮะฮ่า งั้นเหรอครับ!?” ดีโน่ได้แต่หัวเราะแห้งๆให้
“ยังไงก่อนย้ายเข้าไปอยู่บ้านหลังนั้น คุณก็ลองเชิญบาทหลวงมาสิค่ะ มาขับไล่วิญญาณร้ายออกไปไงล่ะค่ะ” หญิงสาวสูงวัยเอ่ย
“แล้ววิญญาณที่คุณพูดถึงนั้น...เขาได้ทำร้ายพวกคุณหรือเปล่าล่ะครับ!?”
“ก็...เอ่อ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลงกว่าเดิม
“เขาไม่ได้ทำร้ายพวกคุณสินะครับ” ดีโน่สรุปความ
“แต่...แต่เขาทำให้พวกเรากลัวไงล่ะครับ เราอยากอยู่อย่างมีความสุขสักที ไม่ต้องมากลัวอะไรบ้าๆนี้อีก” ชายหนุ่มคนเดิมกล่าว
“ก็ถ้าคุณไม่คิดว่าคนที่เล่นเครื่องดนตรีนั้นเป็นผีล่ะก็ คุณก็จะไม่กลัวยังไงล่ะครับ”
“แต่ในเมื่อความเป็นจริงมันใช่นะครับ จะให้พวกเราหลอกตัวเองงั้นเหรอครับ!?”
“แต่ว่าการหลอกตัวเองนี้ มันก็ทำให้คุณมีความสุขได้ไม่ใช่เหรอครับ!?” คำพูดประโยคนี้ของดีโน่ ทำให้คนในวงสนทนาถึงกับเงียบ เถียงไม่ออกกันเลยทีเดียว
“แล้ว...คุณเองไม่กลัวผีเหรอครับ!? คุณน่ะ ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผีเลยเชียวนา”
“ขอโทษทีนะครับ ผมน่ะ...ชอบเสียงดนตรีซะด้วยสิ และไม่ว่าจะเป็นใครเล่น...ผมก็รับได้หมดนั่นแหละ!!” พูดจบดีโน่ก็ลุกขึ้นออกจากเก้าอี้ตรงนั้นทันที ก่อนที่จะหันหน้ากลับมาอีกครา
“ขอตัวก่อนนะครับ” สิ้นคำลา นักธุรกิจหนุ่มก็ผินกายออกไปทันที
ชายหนุ่มเดินมาที่โฮมสเตย์ของตน ก่อนที่จะนอนลงที่เก้าอี้เอนที่ตั้งอยู่หน้าบ้าน
“คืนนี้...ฉันไปสำรวจคฤหาสน์ดีกว่า บางที...อาจจะได้เจออะไรๆที่คนอื่นเขากลัวกันก็ได้มั้ง!?” บอสแห่งคาบัคโลเน่พูดแบบกึ่งจริงกึ่งเล่น นัยน์ตาสีอำพันส่องประกายน่าสนุก พร้อมกับรอยยิ้มอันสดใสที่แฝงไปด้วยความเย้ยหยัน
“ท่าทางมาที่นี่จะมีอะไรให้สนุกๆมากกว่าการพักร้อนแล้วสินะ"
.
.
.
TBC.
หลังจากห่างหายไปนาน ตอนนี้ก็กลับมาแล้วล่ะค่ะ
กลับมาแก้ตัวจากเรื่องที่แล้วด้วยฟิคนี้อีกเรื่องค่ะ ยังไงก็ขอฝากฟิคเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ^^
ขอบคุณมากค่ะ^^
ความคิดเห็น