ตอนที่ 10 : บทที่ ๑๐
-๑๐-
ภาพตรงหน้าพร่าเลือนเลื่อนซ้อน ก่อนค่อยทบกันชัดขึ้น ในที่สุดจันพบว่าตนนอนอยู่ในเรือนหลังย่อมค่อนข้างมืดสลัว ข้างตัวมีชายสูงวัยคุ้นหน้ากำลังนั่งจ้องมา
“พ่...พ่อหมอ!” ตอบตัวเองเสียมากกว่าจักเป็นคำทัก เซอะหระป๊ะต่า หมอผีแห่งบ้านยาง! นั่นเองสาวเรื่องทั้งหมดคืนมา และแล้วจันพบว่าความปรารถนาก่อนสลบนั้นสัมฤทธิ์ พี่สิงห์พาเรากลับมาที่นี่!
“เอ็งมันไม่รู้จักระวังตัว” ข้างหลังชายแก่หน้าเคร่งคือบรรยากาศขรึมขลังกลางเรือนหมอผี คนทรงชาวยางมีหน้าที่รักษาผู้ป่วยที่ผีพรากขวัญไป ทักษะหลายอย่างยังช่วยให้อาการป่วยทุเลาลงได้ ทั้งด้วยสมุนไพรและการรักษาพื้นบ้าน นอกจากนั้นยังเป็นผู้นำชาวบ้านโดยเฉพาะในการทำพิธีกรรมต่างๆ
พ่อหมอวางมือจากหม้อยาส่งกลิ่นฉุนใกล้ๆ กันนั้น มือสั่นอย่างผู้ไม่แข็งแรงดี หันมาพูดกับจันต่อ “ความไม่ระวังตัวทำให้งานของเอ็งยิ่งสำเร็จช้า เจ็บคราวนี้เท่ากับเสียเวลาถอยหลังกลับมาถึงสองวันมิใช่รึ”
หลังจากอาศัยพักแรมแค่คืนเดียว จันเพิ่งเดินทางออกจากที่นี่ไปเมื่อสองวันก่อน รีบร้อนสู่ถ้ำฟากหรดีของเมืองอู่ไทย
ชายหนุ่มข้ามเรื่องนั้นไปที่เรื่องสำคัญกว่า “พ่อหมออยู่ที่นี่ เห็นมีคนนอกถูกพาตัวเข้ามาบ้างหรือหาไม่”
“ผู้ใด”
จันค่อยลุกนั่งโดยมีชายแก่ประคอง หลังจากได้รับยาและนอนพักแล้วเขารู้สึกดีขึ้นมาก “เด็กสาวอายุราวสิบสี่สิบห้า ตัวเล็ก ผิวเกลี้ยง แต่งตัวและพูดจาอย่างคนอโยธยา”
“ไม่มี”
จันมุ่นคิ้ว
“ระยะนี้นอกจากเอ็งก็มีเพียงนางทาสจอเตะอีกคนหนึ่งเท่านั้น มันว่ามากับชายโยคนคุม แต่นางผู้นี้อายุมากกว่าคนที่เอ็งพูดถึง”
“หือ”
“มันชื่อเอื้อง เพื่อนทาสของมันอีกคนหนีไป อ้ายคนคุมจึ่งทิ้งมันไปตามหาตัวนางผู้นั้น”
“นางเอื้องผู้นี้อยู่ที่ไหน พ่อหมอ”
ตาแกยังไม่ทันตอบ เสียงฝีเท้าคนขึ้นกระไดก็ดังมา ใจสิงห์อยู่หน้า ติดตามด้วยสตรีในเครื่องแต่งกายละม้ายอุษา อายุอานามราวยี่สิบห้าปี
พี่สิงห์น่าจักได้ยินเรื่องที่เขาคุยอยู่ แต่เมื่อผ่านชานเรือนเข้ามา เจ้าตัวกลับทำทีหันไปถามคนข้างหลัง “ข้าพบสิ่งนี้ที่นั่น”
‘สิ่งนี้’ ในมือใหญ่ปรากฏชัดแก่สายตาของผู้อยู่ในเรือนเช่นกัน มันคือเกี้ยวรัดผม
“หาใช่ของข้า ของข้ายังอยู่นี่” หญิงผู้ตามมายกนิ้วชี้ที่มวยบนหัวตน
“นี่เล่านางเอื้อง” หมอผีสนใจให้คำตอบจันมากกว่า จากนั้นหันอธิบายหญิงสาว “นี่อ้ายจัน มันกำลังถามหาหญิงบ้านเดียวกับเอ็ง”
“เอ็งฟื้นแล้วรึ” ใจสิงห์ทักเพื่อนรุ่นน้องพลางปลดย่ามบรรจุคชกุศยื่นให้ จันรับคล้องแขนไว้ กล่าวขอบใจที่เขาช่วยพามารักษากับพ่อหมอ
“แล้วนั่นเกิดอันใดขึ้น” หมอผีถามถึงเรื่องที่ใจสิงห์คุยค้างกับนางเอื้องอยู่
“ดูเหมือนจักมีเรื่องแปลกที่ชายหมู่บ้าน” ฝ่ายชายตอบขณะลดกายลงข้างจัน ใช้ฝ่ามือใหญ่ดันหม้อยาของพ่อหมอออกห่าง
หมอผีเฒ่าขยับเลื่อนมันเข้าชิดฝา หยิบผ้าแห้งสะอาดสองผืนออกมาโยนให้สองผู้มาใหม่เช็ดหัวที่เปียกน้ำฝน จากนั้นมือค่อนข้างสั่นด้วยความชราก็สาละวนจัดเก็บข้าวของทั้งที่เป็นระเบียบอยู่แล้ว ใจสิงห์จับตาภาพเหล่านั้นราวกับน่าสนใจเสียเต็มประดา สนใจกระทั่งตอนที่ตาเฒ่าออกปากถามโดยไม่ได้หันมาหา “แปลกเยี่ยงใด”
นางเอื้องยังซับผมเบาๆ ขณะลอบมองด้วยสายตาใคร่รู้ว่าผู้มาด้วยกันจักตอบฉันใด ต่อเมื่อสบสายตาของใจสิงห์ที่คล้ายจักยกหน้าที่ดังกล่าวให้ รูปหน้าค่อนข้างกางก็นิ่วเข้า นั่งลงพับเพียบห่างออกไปใกล้ชานเรือน วางผ้าแล้วเอียงกายลงน้ำหนักที่ฝ่ามือข้างหนึ่ง ยกมืออีกข้างเกาะต้นแขนตนเอง “ไม่มีอันใด ข้ากำลังจักไปทุ่ง ได้ยินเสียงสวบสาบก็ตกใจ กำลังมองหาว่าเสียงกระไรชายผู้นี้ก็โผล่มาไม่มีปี่ขลุ่ย”
เมื่อนางพูดแค่นั้น คนมาด้วยกันจึ่งฉวยอธิบายเอง “จากรอยบนดินเปียก เสียงนั่นไม่ใช่งูเลื้อยแน่ๆ”
“รอยอันใด”
ใจสิงห์ไม่ตอบชายสูงวัย หากหันไปที่ฝ่ายหญิงอย่างให้โอกาสอีกครั้ง มือยังเช็ดผม
“รอยคล้ายตีนคน” เอื้องอ้อมแอ้ม
“กี่คน”
“ไม่แน่ใจ”
มุมปากของใจสิงห์ยกแย้ม เป็นท่าที่อาจทำให้คนอื่นขุ่นใจได้ง่ายๆ แต่สองวันที่อยู่ด้วยกันทำให้จันมั่นใจว่าเจ้าของท่าหาได้แยแส “รอยตีนเล็กของคนสองคน ดูเหมือนกำลังวุ่นวายสับสนเพราะก้าววนไปมา อีกรอยหนึ่งใหม่กว่าใส่กว้านตีนใหญ่ ข้ามั่นใจว่านี่คือรอยเดียวกับโจรสักขาที่ออกตามล่าอุษาตั้งแต่เมื่อวาน”
“โจรสักขารึ”
จันเป็นฝ่ายพยักรับคำของหมอผี “อุษาบอกเราเช่นนั้น”
ทุกสายตาพลันจับจ้องไปที่หญิงเดียว
ใจสิงห์เลิกคิ้ว พูดช้าๆ “อุษาเป็นชื่อเดียวกับคนที่เอ็งกำลังตามหา แลชายสักขาก็มีแต่คนที่มาด้วยกันกับเอ็ง”
ในที่สุดเอื้องที่เอาแต่นั่งนิ่งจำต้องตอบ หางตาซ้ายมีไฝเม็ดงาม สายตาหลุกหลิก “อุ...อุษาคงต้องการให้พวกพี่ช่วยพาหนี มันจึ่งจำหลอกว่าอ้ายเมืองเป็นโจร” หยุดกลืนน้ำลาย “ที่จริงอุษามันเป็นทาส แลมันทำความผิดจึ่งหนีออกมา ข้ากับเมืองมีหน้าที่ตามมันกลับไปรับโทษให้จงได้”
“ความผิดสถานใด” ใจสิงห์คาดคั้น
“ข้าไม่รู้”
“ถึงกับให้คนตามมาในป่า สำแดงว่ามิใช่โทษสถานเบา” ใจสิงห์กวาดสายตาผ่านข้าวของที่วางเรียงเป็นระเบียบอยู่ในฉากหลังเหมือนตั้งใจเก็บความบางอย่าง ก่อนหยุดสบลงที่ผู้อาวุโสสุด “พ่อหมอ บ้านยางมีธรรมเนียม ‘ครัดเคร่งยิ่ง’ คนอยู่อย่างเป็นสุขได้ก็เพราะไม่มีใครทำผิดผี คนทำผิดไม่ควรหนีเข้ามาปะปนที่นี่”
“รอยกว้านตีนอาจเป็นของอ้ายเมืองตอนที่เดินไปผูกม้า แต่รอยเท้าเล็กอาจไม่ใช่ของอุษามันก็ได้!” เอื้องค้าน แต่ใจสิงห์ไม่ฟัง
“ตอนที่นางอุษาผ่านมาที่นี่ เกี้ยวมิได้ตกจากหัวของมันรึ”
“ใช่” นางเอื้องมั่นใจ “เกี้ยวมิได้ตกจากหัวของมัน แลมันยังไม่ทันผ่านเข้ามาใกล้หมู่บ้านถึงเพียงนี้ด้วยซ้ำ”
“พ่อหมอ” ใจสิงห์หันหน้าไปหาชายแก่ “ปกติหญิงชาวยางเกล้าผมด้วยวิธีใด”
“พวกมันใช้ปิ่นปัก เอ็งถามทำไม”
“นั่นสำแดงว่าเกี้ยวรัดผมนี่มิใช่ของคนที่นี่” เขาสำแดงของในมืออีกครั้ง “เอื้อง เมื่อกี้เอ็งยืนยันเองว่ามิใช่ผู้ทำมันตกไว้ นางอุษาก็หาได้ทำตกในครั้งแรกที่ผ่านมา แล้วเราต่างก็ได้ยิน พ่อหมอเพิ่งบอกว่าช่วงนี้ไม่มีใครผ่านมาอีกนอกจากเอ็งสามคน ทั้งหมดนี้มิได้บอกหรือว่านางอุษากลับมาที่นี่!
“อุษามันถูกชายสักขาที่ชื่อเมืองจับตัวกลับมา อ้ายเมืองคงละมันไว้เพื่อไปทำกระไรบางอย่าง” สายตาคนพูดเป็นประกายวับเมื่อจับจ้องเอื้อง “จากนั้นเมื่อกลับมาพบว่าอุษาหนีหลุดไปได้ มันจึ่งรีบออกตามไป รอยเท้าเล็กอีกรอยนั่นสำแดงว่ามีใครบางคนช่วยเหลือมันไว้ นางอุษาคนร้ายที่เอ็งว่าน่ะกำลังหลบอยู่แถวหมู่บ้านนี้!”
หญิงคนฟังตกใจอ้าปากค้าง จนด้วยถ้อยคำ ตรงข้ามกับพ่อหมอที่มีรอยพึงใจ
“ในช่วงงานศพ คนเกือบทั้งหมู่บ้านไปรวมตัวกันในเรือนคนตาย เวลานี้ไม่มีที่ซ่อนใดดีกว่าในหมู่บ้านอีกแล้ว!”
“ทางที่ดีควรรีบค้นในหมู่บ้านก่อนจักเกิดเรื่องใหญ่!” จันรีบสำทับ
ใจสิงห์หันมาพินิจรุ่นน้องโดยไม่พูดกระไร พอดีเสียงหนึ่งดังจากด้านนอก เป็นเสียงแหบแทบไม่มีเนื้อเสียง “พ่อหมอเป็นเยี่ยงใดบ้าง”
เจ้าของเสียงชะงักที่หัวกระไดนิดหนึ่งเมื่อพบนางเอื้องนั่งอยู่ด้วย ครั้นก้าวต่อมา เจ้าตัวกวาดตาสบแขกรายอื่นในตัวเรือน “พ่อหมอไม่สบาย พวกเอ็งมากวนทำไม”
เจ้าของเรือนเป็นฝ่ายตัดบท “ข้ามีเรื่องต้องให้เอ็งช่วย ม่องตะลู้”
. . . . . . . . . . .
ผู้ออกท่าละม้ายคนสนิทของพ่อหมอเป็นชายวัยใกล้สี่สิบ ร่างกำยำ ผิวดำแดง ข้อแขนข้อมือใหญ่อย่างผู้ใช้แรงงานอยู่เป็นนิจ รูปกรามสี่เหลี่ยมเหมือนหมาจิ้งจอก กระนั้นกลับดูปราศจากความขึงขังเพราะท่าทางไหล่ห่อ หลังกึ่งงอ ราวกับแบกรับอำนาจของผู้อื่นจนหาความมั่นใจในตนมิได้ ตาดำขลับสร้อยเศร้าเจียมตัว สวมเสื้อตกแต่งแถบสีเขียวยาวถึงสะโพก ท่อนล่างเป็นกางเกงสะดอเยี่ยงชายยางทั่วไป
จากเรือนเซอะหระป๊ะต่า อ้ายม่องตะลู้ดุ่มดั้นนำมายังอีกเรือนไม่ไกลกัน
บัดนี้เรือนนางจี่คว้างอุ่นหนาไปด้วยชาวยางทั้งหมู่บ้าน ตัวเรือนฝาไผ่ขัดแตะและมุงจากไม่กว้างนักดูแคบลงไปถนัดตา กลางเรือนมีศพผู้ตายตั้งไว้ เพื่อนบ้านหลายรายถึงกับล้นออกมาข้างนอก
ใจสิงห์ได้หลักฐานยืนยันว่าการคาดคะเนของตนถูกต้อง ข้าวของหลายอย่างในเรือนกลางป่าของเขากระเดียดมาทางชาวยาง เราน่าจักติดต่อคนพวกนี้อยู่บ้าง ถึงตอนนี้ ใช่แค่ท่าทางของพ่อหมอหรือม่องตะลู้ กลุ่มคนทั้งหมดที่อยู่ในตัวเรือนนางจี่คว้างล้วนให้คำยืนยันชั้นดี ไม่ได้สนิทมาก แต่ทุกคนรู้จักเรา
ม่องตะลู้หยุดยืนข้างกรอบประตูเพื่อให้ใจสิงห์ชะเง้อเข้าไปมองชัด “เอ็งคงเห็นแล้ว ที่นี่มีแต่คนบ้านเรามาทำพิธี”
ไม่มีใครเลยที่เราจำได้ “อื้ม”
หลังเสียงนั้น ชายหนุ่มรำลึกในใจ หลังจบเรื่องนี้ เราอาจหาวิธีสืบรู้ที่มาและความเป็นไปของตัวเองจากที่นี่
“พวกเอ็ง!” ผู้ช่วยหมอผีบ่ายหน้าตะโกนบอกคนข้างใน “อย่าออกไปไหน ข้าจักพาอ้ายสิงห์ไปตรวจดูเรือนของพวกเรา ป้องกันคนแปลกหน้าเข้ามาทำเรื่องร้าย”
เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้น ใครคนหนึ่งตะโกนฝ่าออกมา “หากมีเรื่องดังว่า พวกข้าจักไปด้วยกับเอ็ง”
“ไม่ต้อง!” คำเด็ดขาดแต่เสียงม่องตะลู้ยังไร้อำนาจ กระนั้นอีกฝ่ายกลับหดหัว ใจสิงห์ประเมินได้ว่าไม่ใช่เพราะกลัวม่องตะลู้ ผู้บัญชาม่องตะลู้ต่างหากที่ทุกคนดูเกรง ราวกับว่าในมุมต่างๆ มีพ่อหมอแบ่งภาคมานั่งกำกับตลอดเวลาฉะนั้น
“ทำพิธีต่อไป” เสียงแห้งว่าต่อ “พ่อหมอไม่อยู่คนหนึ่งแล้ว ข้าเองก็ได้รับคำสั่งมาอีกที คงอยู่ช่วยที่นี่ต่อไม่ได้ อย่าให้พิธีศพอีจี่คว้างต้องล่มลงเพียงเพราะคนนอก”
“คนนอกรึ” คราวนี้เสียงถามย้ำกลายเป็นของเด็กหนุ่มหนึ่ง สำเนียง ‘ค้าน’ นั้นดูจักสำคัญพอให้ทุกใบหน้าหันไปพร้อมเพรียง ใจสิงห์พลอยขยับเปลี่ยนตำแหน่ง จังหวะเดียวกันเขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าศพของนางจี่คว้างมีบาดแผลปรากฏอยู่ที่หัว
โดยทั่วไป ครอบครัวและคนในหมู่บ้านจักพิจารณาลักษณาการตายก่อนจึ่งค่อยกำหนดวิธีจัดงานศพ เด็กเล็กจักถูกฝังในป่าช้าแลประกอบพิธีเรียบง่าย หนุ่มสาวที่ตายด้วยอุบัติเหตุแล้วสภาพศพแหลกเหลวจักถูกนำฝังเช่นกัน หากศพยังดีจึ่งทำพิธีที่บ้าน ส่วนผู้อาวุโสจักได้รับการจัดงานสมหน้า ผู้ตายจักผ่านการอาบน้ำแลตกแต่งร่างด้วยเสื้อ ผ้าซิ่น ผ้าโพก ตลอดจนย่าม มีผ้าห่มมัดเป็นกลุ่มแล้วผูกไว้บนขื่อเหนือร่าง นัยว่าเป็นร่มเงาขณะเจ้าตัวเดินทางสู่ปรโลก แล้วผู้ร่วมงานจึ่งขับขานลำนำไว้อาลัย
ใจสิงห์บอกไม่ได้เช่นกันว่ารู้ได้อย่างไร แต่เขารู้ และยังจำได้ ไม่เหมือนเรื่องส่วนตัวอื่นๆ ที่ความทรงจำหายสิ้น
นางจี่คว้างคงอยู่ในข่ายหลัง ท่าทางมีผู้เคารพรักมากมาย มาตรว่าหลังศีรษะมีแผลใหญ่ยังได้รับการทำความสะอาดและจัดพิธีให้ดีเยี่ยม
“อ้ายโจโหว่เอ๋ย...” เสียงจากผู้ร่วมงานอีกรายเรียกสติใจสิงห์คืนมา เมื่อนั้นเองสายตาของเขากวาดต่อไปยังเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเสียงแค่นตอนแรกว่า คนนอกรึ
มันผอมแห้งเก้งก้างอย่างเด็กชายเพิ่งย่างโตแท้ๆ
“อ้ายโจโหว่ ตอนยังอยู่ จี่คว้างมูของเอ็งก็เคยช่วยพวกข้าไว้หลายครั้งเหมือนกัน เอ็งไม่ต้องห่วงว่าเราจักทิ้งให้มันตายเดียวดายดอก” ชายแก่คนพูดมีรูปร่างเล็กผอม แขนข้างหนึ่งปรากฏรอยแผลเป็นเหมือนถูกไฟลวก
ด้วยฉุกใจบางอย่าง ใจสิงห์สังเกตไปยังช่องว่างที่พอมองเห็นข้าวของในเรือนแทน หม้อแลกลุ่มสมุนไพรยืนยันความสงสัย เซอะหระแกเลาะต่า นางจี่คว้างเป็นหมอเหมือนกัน!
ผู้ให้การรักษาของชาวยางนั้นถือกันว่าเป็นผู้รู้หรือผู้มีญาณวิเศษ คำเรียก เซอะหระ อันแปลว่าครูอาจารย์นั้นมีตั้งแต่กลุ่มเซอะหระก่าต่า ซึ่งมีความสามารถในการทำนายทายทักหาสาเหตุของโรคภัยที่ผีบันดาลให้เกิด กลุ่มเซอะหระแกเลาะต่าเยี่ยงนางจี่คว้างเป็นหมอยาสมุนไพร บีบจับเส้นเอ็น ชีพจร หรือบ้างเป็นหมอตำแย กลุ่มสุดท้ายคือเซอะหระป๊ะต่า คือหมอผีหรือคนทรง
“ขอบน้ำใจจ้ะลุง” ผู้ตอบไม่ใช่อ้ายโจโหว่ ทว่าเป็นหญิงผอมเกร็งวัยแก่กว่าอ้ายโจโหว่ไม่เท่าไหร่ อายุไม่น่าเกินยี่สิบปี ลักษณะตาชิดและสันจมูกแคบถอดแบบเดียวกันมาทำให้รู้ว่าน่าจักเป็นพี่สาว
‘ลุง’ ตบบ่านางคนพี่แล้วโบกมือมาทางคนที่หน้าประตู “เอ็งรีบไปเถิด ทางนี้พวกข้าจักดูแลเอง”
ทั้งที่ได้รับคำสั่งพ่อหมอเป็นมั่นเหมาะ ถึงตอนนี้ม่องตะลู้กลับดูละล้าละลัง
อ้ายโจโหว่ยังมีทีท่าหงุดหงิด ตรงข้ามกับพี่สาวซึ่งเป็นฝ่ายพยักหน้าเสมือนให้ความมั่นใจม่องตะลู้ “ไปเถอะจ้ะลุง” คำสั้น สายตาเท่านั้นบ่งความสงสารเห็นใจยืดยาว
เหตุใดลูกสาวผู้ตายจึ่งมองม่องตะลู้อย่างนั้น
ใจสิงห์รอจนบ่ายหน้าออกจากตัวเรือนจึ่งเริ่มเลียบเคียง “พี่จี่คว้างเป็นกระไรตายรึ”
ผู้ช่วยหมอผีตอบพลางไต่กระไดหน้าชานนำ “เมื่อวานมันลงไปหาสมุนไพร แต่ไถลลงไปหัวฟาดหินตายอนาถนัก”
ด้านล่างมีอ้ายจันแลเอื้องคอยท่า ทั้งสองไม่ได้คุยกัน ฝ่ายชายดูรำคาญใจ ส่วนฝ่ายหญิงหน้าซีดคล้ายหวาดกลัวพิธีที่อยู่ข้างบนเรือน
ม่องตะลู้พยักไปที่รายหลัง “นางเอื้องเป็นคนแรกที่เจอศพอีจี่คว้าง”
ใจสิงห์กำลังจักออกปาก หากความตั้งใจทลายสิ้นเมื่อเสียงสบถแว่วแทรกจากอ้ายจัน
“...อ้ายเด็กบ้าหายไปไหนของมันวะ!”
. . . . . . . . . . .
“กองหม่อง! กองหม่อง!”
เสียงเรียกลูกชายซ้ำไปมาเริ่มแปรสภาพเป็นเข็มแหลมจิ้มหูผู้ร่วมทาง แม้อุษารู้สึกถึงบุญคุณนางเยซาที่ช่วยตนไว้ แต่การจำเผชิญเหตุเรื้อรังนี่เป็นอีกเรื่อง
เด็กสาวปวดหัวขึ้นทุกขณะ เฉพาะตนเองก็มีเรื่องหนักหนามากพอ กลัวอ้ายเมืองตามมา กลัวโทษทัณฑ์ทับถมที่กวดไล่ ไม่รู้กี่คราที่บอกนางเยซาว่าให้หยุดเสียงดัง หากเจ้าตัวจักแจ้งใจก็หาไม่
ในที่สุด เมื่อมือกำจนปลายเล็บเริ่มจิกเนื้อ เสียงสวรรค์ก็ลั่นเข้าโสตอุษา เสียงน้ำ!
เงี่ยหูฟัง ฝนยังปรอย แต่ที่สดับอยู่นี้มิใช่เสียงฝน มันคือธารน้ำจริงๆ!
เด็กสาวออกวิ่งสู่ทิศนั้น แหวกม่านไม้ใบบัง สุดท้ายจึ่งพบว่าที่ซ่อนอยู่ข้างหลังคือลำละหานอันล้นเอ่อ มันละเลี้ยวลดหลั่นไปตามโตรกไพร จากเนินสูงสู่หุบต่ำกว่า สู่ช่วงพงชัฏกว่า และที่นั้น แม้ไม่เห็นด้วยสายตา อุษารู้ว่ามันจักไหลเชื่อมสู่ด้านหลังกระท่อมน้อยของใจสิงห์เป็นแม่นมั่น!
ความสำคัญของคนนำทางสิ้นลงพลัน!
“อุษา เอ็งอย่าวิ่งไวนัก กองหม่องมันวิ่งตาม ข้ากลัวมันจักหกล้ม...”
เสียงเสียดหูไล่มาอีกครั้ง เด็กสาวสูดลมระงับอารามคลั่ง กดเปลือกตาปิด รวบรวมความคิด
ถึงเวลาต้อง ‘สละ’ นางปากมาก!
. . . . . . . . . . .
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
