คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตื่น
แดนดินพยายามลืมตาขึ้นแต่ก็ทำได้อย่างเชื่องช้า เพราะแสงสว่างจากภายนอกทำให้เขารู้สึกเคืองตา เมื่อสายตาคุ้นเคยกับแสงแล้วและสัมปชัญญะเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง เขาค่อยๆ นึกทบทวนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนที่ตนเองจะหมดสติและฟื้นขึ้นมา
เขาและกานดาภรรยาของเขา ร่วมกับคณะศรัทธาที่เป็นเพื่อนร่วมปฏิบัติธรรมของกานดา จำนวนสามสิบชีวิต เดินทางจากกรุงเทพมหานคร เพื่อมาทอดผ้าป่าที่จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งแรกที่เธอเอ่ยชวนเขาบ่ายเบี่ยง...เด็กกำพร้าอย่างเขาต้องดิ้นรนขวนขวายหาเลี้ยงชีพด้วยตัวเองมาตั้งแต่ยังเล็ก เรื่องเงินเรื่องทองจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งสำหรับเขา ยิ่งในยุคสมัยข้าวยากหมากแพงอย่างนี้ การทำมาหาเก็บไม่ใช่สิ่งที่ง่ายดายนัก การจะเอาข้าวของเงินทองของตัวเองไปให้คนอื่น เพื่อทำบุญนั้นจึงเป็นเรื่องที่เขาจะคิดถึงเป็นเรื่องสุดท้าย
“ลองไปดูสักครั้งนะแดน ดาว่าพักนี้แดนเครียดแล้วก็หงุดหงิดง่ายนะ รู้ตัวหรือเปล่า ทำตัวอย่างนี้จะเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกได้ยังไงกัน” เธอถอนหายใจ
“ลูก?” เขาทวนคำ
“ใช่ แดนกำลังจะเป็นพ่อคนแล้วนะ ไปนะแดน ลองไปดูสักครั้ง ถ้าแดนไม่ได้คิดทำบุญเพื่อตัวเอง ก็คิดซะว่าไปทำบุญให้ลูกนะ ลูกจะได้เกิดมาสมบูรณ์แข็งแรง แล้วก็เป็นคนดี”
กานดาบอกกับเขาว่า เธอเพิ่งมั่นใจเมื่อไม่นานมานี้ว่าเธอตั้งท้อง แต่ยังลังเลไม่กล้าบอกเขา เพราะเห็นว่าช่วงนี้เขากำลังเครียดกับปัญหารายรับรายจ่ายของบ้าน เนื่องจากนิยายและเรื่องสั้นที่เขาเขียนและเสนอไปยังสำนักพิมพ์ต่างๆ จำนวนสามเรื่องนั้น ยังไม่ได้รับคำตอบรับจากสำนักพิมพ์มานานกว่าห้าเดือนแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้นิยายและเรื่องสั้นที่เขาเขียนและเสนอไปยังสำนักพิมพ์ต่างๆ มักได้รับการตอบรับให้ตีพิมพ์ไม่ขาดสาย หลายเดือนมานี้รายได้หลักของบ้านจึงมาจากเงินเดือนของกานดาเพียงแหล่งเดียวเท่านั้น
กานดาหว่านล้อมเขาอยู่นาน จนเขาใจอ่อน ตอนที่ตกลงรับปากกานดาไปนั้น เขาจำไม่ได้แล้วว่าเป็นเพราะเขาอยากทำบุญเพื่อลูก หรือเป็นเพราะว่าเขาเป็นห่วงเธอเรื่องการเดินทางมากกว่ากัน
ระหว่างการเดินทาง เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงฟ้าร้อง กานดาซึ่งนั่งหลับในท่าซบไหล่เขางัวเงียตื่นขึ้นมา และเอ่ยถามเขาว่ากี่โมงแล้ว
“ตีสี่สี่สิบห้านาที” เขาเอ่ยบอกหลังจากที่มองดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ
“นอนต่อเถอะ อีกตั้งชั่วโมงกว่าจะถึงเชียงใหม่”
หลังเธอหลับตา เขาเหลียวมองรอบตัว มองเห็นฟ้าแลบเป็นระยะๆ ฟ้าร้องดังขึ้นอีกสองสามครั้ง ฝนก็เทลงมา
เขานั่งมองสายฝนอยู่ซักพักจึงปิดตาลง จำไม่ได้ว่าหลับไปอีกนานเท่าไหร่ ก่อนที่จะมีเหตุทำให้ต้องสะดุ้งตื่นอีกครั้ง
...ปึงงงงงงง...เสียงดังเหมือนมีอะไรบางอย่างชนปะทะกับรถบัส
เสียงปะทะที่ดังสนั่นปลุกให้ทุกคนในรถตื่นขึ้นมา ตัวรถเสียหลักไถลไปบนพื้นถนนที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำฝน ไม่ถึงอึดใจเสียงหวีดร้องของผู้คนในรถก็ดังขึ้น เขากอดประคองกานดาที่อยู่ในอาการตกใจไว้แน่น เธอเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบอกว่าสงสัยรถจะถูกชน ระหว่างที่เอ่ยบอกเธอภายในใจของเขาได้แต่นึกภาวนาขออย่าให้มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น
...แต่เขาคิดผิด...
...ปึงงงงงง....
เสียงปะทะครั้งที่สองดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้รถของเขาหมุนคว้างก่อนจะพลิกตลบไปมาหลายครั้งก่อนที่จะหยุดการเคลื่อนไหว แดนดินจำไม่ได้ว่าเขาหมดสติไปตอนไหน แต่เขาจำได้แม่นว่าก่อนจะหมดสตินั้นเขาสัมผัสได้ถึงของเหลวอุ่นๆ บางอย่างซึ่งไม่รู้ว่านั่นคือเลือดของกานดาหรือเลือดของเขาเอง
นั่นคือความทรงจำทั้งหมดก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นมา
...แล้วที่นี่ล่ะคือที่ไหน นรกหรือสวรรค์...
...แล้วเขาหมดสติไปนานแค่ไหนแล้ว...
...แล้วกานดาและลูกเป็นยังไงบ้าง...มีคำถามมากมายเกิดขึ้นภายในหัวของเขา
“หมอ หมอ เขาฟื้นแล้ว คนไข้ที่เตียงข้างๆ ผมเขาฟื้นแล้ว หมอ” มีเสียงดังมาจากด้านข้าง ของเขา แดนดินหันไปชำเลืองมอง ดูเหมือนคนตะโกนเรียกหมอจะอยู่ในอาการตื่นเต้นมากเกินธรรมดา
...เขาอยู่ที่โรงพยาบาล หมายความว่าเขายังไม่ตาย...กานดากับลูกล่ะ เขาได้แต่ภาวนาของให้เธอและลูกปลอดภัยเช่นกัน
ไม่ถึงอึดใจนางพยาบาลสองคนก็เข้ามาตรวจเช็คอาการของเขา แดนดินพยายามจะพูดกับพวกเธอ เพราะเขามีเรื่องสำคัญจะเอ่ยถาม แต่กลับพบว่าเสียงของเขานั้นหายไป แดนดินอยู่ในอาการกระวนกระวาย เขาพยายามจะเปล่งเสียงพูดจนสำลักและไอออกมา
“ค่อยๆ ค่ะคุณ ค่อยๆ หายใจช้าๆ ลึกๆ รอให้ร่างกายของคุณปรับสภาพให้ได้ก่อน” นางพยาบาลคนหนึ่งเอ่ยบอกกับเขา แดนดินสูดลมหายใจตามคำแนะนำของนางพยาบาลสองสามครั้ง เมื่อรู้สึกว่าร่างกายของตนเองผ่อนคลายลง เขาก็เริ่มเปล่งเสียงอีกครั้งและมันได้ผล
“ผม ผมหมดสติไปนานเท่าไหร่แล้ว”
“สามวันค่ะ”
“แล้วเธอล่ะ เธอเป็นยังไงบ้าง”
“ใครคะ?” นางพยาบาลถามกลับ
“เมียผม...กานดา รักษ์พงศ์พันธุ์...เธอเป็นยังไงบ้าง เธอกับลูกของผมเป็นยังไงบ้าง”
นางพยาบาลทั้งสองคนนิ่งไปเมื่อได้ยินคำถาม แดนดินเห็นพวกเธอทั้งสองคนมองหน้ากันไปมาและมีท่าทีอึดอัด และท่าทีนี้เองที่ทำให้เขายิ่งเป็นกังวล
“ว่าไงครับ เมียและลูกของผมเป็นยังไงบ้าง” เขาถามย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นแต่แฝงไปด้วยความกังวล
“เอ่อ...” นางพยาบาลหนึ่งในนั้นเริ่มเอ่ยคำ อุบัติเหตุรถผ้าป่าพลิกคว่ำที่สารภีเมื่อสามวันก่อน มีคนเสียชีวิตคาที่ยี่สิบคน และมีคนเจ็บหนักกว่าสิบคนที่ถูกส่งต่อจากโรงพยาบาลสารภีมายังโรงพยาบาลนครพิงค์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดเชียงใหม่ หนึ่งในนั้นมีกานดา รักษ์พงศ์พันธุ์ ภรรยาของเขาด้วย แต่ว่าตอนนี้...นางพยาบาลคนเดิมเอามือกุมมือของเขาไว้ก่อนที่จะพูดต่อ
“คุณฟังฉันดีๆ นะคะ คุณเป็นคนเดียวที่รอดชีวิตจากอุบัติเหตุรถบัสพลิกคว่ำที่สารภีค่ะ” ในจำนวนคนไข้ที่ถูกส่งมาทั้งหมดสิบคน เขาเป็นคนเดียวที่ได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุด และสามวันที่ผ่านมานี้ คนไข้ที่ได้รับการบาดเจ็บอีกเก้าคนทยอยกันเสียชีวิตไปหมดแล้ว
น้ำตาของแดนดินไหลออกมาเป็นทางพร้อมๆ กับคำตอบที่ได้รับ เขากุมมือของนางพยาบาลไว้แน่น ลำตัวสั่นสะท้าน ไม่นานก็ควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่และสะอื้นไห้ออกมา
...โว๊ย...ฟ้าช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย...ทำไมถึงปล่อยให้เขาเป็นคนที่รอดชีวิต แทนที่จะเป็นกานดาและลูก
กานดาเคยบอกเขาเสมอว่าคนที่ทำบุญช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น บุญจะคอยคุ้มครองให้คนนั้นอยู่รอดปลอดภัยจากภยันตรายต่างๆ เมื่อก่อนเขาได้แต่ทำท่าเออออห่อหมกไปกับเธอ เพราะไม่อยากขัดเธอให้เสียความรู้สึก แต่ตอนนี้ถ้าบอกเธอได้ เขาอยากจะบอกกับเธอเหลือเกินว่านั่นเป็นเรื่องโกหก เพราะถ้าหากบุญนั้นมีจริงเธอและคณะศรัทธาต้องเป็นคนที่รอดชีวิตสิ ไม่ใช่เขา
กานดา ไม่นานมานี้คุณยังนั่งหลับซบไหล่ผมอยู่เลย ไม่นานมานี้คุณยังบอกให้ผมรู้จักหัดทำบุญเสียบ้างลูกจะได้เกิดมาสมบูรณ์แข็งแรง...ไม่ใช่คุณหรอกหรือที่ฉุดผมให้ลุกขึ้นยืนจากเรื่องเลวร้ายต่างๆ มาตั้งหลายต่อหลายครั้ง ไม่ใช่คุณหรอกหรือที่เชื่อมั่นว่าผมจะเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีได้
...แล้วนี่มันอะไรกัน...โลกที่ไม่มีคุณอยู่มันจะเป็นยังไงกัน...แดนดินซบหน้ากับฝ่ามือและร่ำไห้ออกมายาวนาน
******************************
หลังจากที่ได้รับแจ้งจากนางพยาบาลว่าคนไข้ฟื้นแล้ว ให้เขามาดูอาการของคนไข้ด่วน ระหว่างเดินทางมาที่แผนกอุบัติเหตุ หมอพิษณุหมอเจ้าของไข้ของแดนดินอดคิดไม่ได้ว่า การรอดชีวิต และฟื้นขึ้นมาของแดนดินโดยมีเพียงอาการกระดูกแขนซ้ายหัก โดยที่อวัยวะอื่นๆ ไม่ได้รับผลกระทบกระเทือนอะไร ทั้งๆ ที่ผู้โดยสารและคนขับรถคันที่นั่งมาด้วยกันเสียชีวิตทั้งหมด ถ้าไม่เรียกว่าปาฏิหาริย์ ก็ไม่รู้จะเรียกว่ายังไงแล้ว...แต่เรื่องนี้ก็ทำให้เขารู้สึกเป็นกังวลอยู่ประการหนึ่ง...หลังจากตรวจเช็คและสังเกตุอาการของคนไข้เรียบร้อยแล้ว เขาคิดว่าน่าจะติดต่อแผนกจิตเวชให้มาพูดคุยให้คำปรึกษาแนะนำอะไรบางอย่างกับแดนดิน เพราะมีความเป็นไปได้สูงว่าคนไข้ที่รอดชีวิตจากอุบัติเหตุใหญ่เพียงคนเดียว จะมีภาวะซึมเศร้าหรือเกิดความรู้สึกผิดที่ตนเองเป็นผู้รอดชีวิต
ห้านาทีหลังจากที่มาถึงแผนกอุบัติเหตุ หมอพิษณุได้รับคำยืนยันจากทางแผนกจิตเวชว่าอีกสองชั่วโมงหมอจึงจะว่างขึ้นมาดูอาการคนไข้ เนื่องจากเขาไม่อยากให้แดนดินอยู่ในอาการฟุ้งซ่านระหว่างที่รอพบหมอจิตเวช ภายหลังที่ตรวจดูอาการทางกายของแดนดินเรียบร้อยแล้ว หมอพิษณุจึงให้ยานอนหลับกับแดนดิน ระหว่างที่เขาผละจากเตียงของแดนดินมาเขียนบันทึกอาการและการให้การรักษาอยู่ที่เคาน์เตอร์ไม่ถึงสิบนาทีดีนัก เสียงโทรศัพท์ประจำแผนกก็ดังขึ้น สัญญาณที่ดังบ่งบอกให้รู้ว่าเป็นโทรศัพท์ที่โทรมาจากภายนอก หมอพิษณุเงยหน้าขึ้นมองนางพยาบาลหัวหน้าเวรซึ่งเป็นผู้รับโทรศัพท์
“นักข่าวค่ะ” เธอเอ่ยบอก
“หูไวชิบ” เขาสบถ
คนไข้ฟื้นมาได้ไม่ถึงชั่วโมงดีนัก นักข่าวก็รู้ข่าวแล้ว คงมีใครซักคนในแผนกโทรไปบอกนักข่าว ไม่ใช่นางพยาบาลแน่เพราะเขากำชับอย่างหนักแน่นว่าอย่าเพิ่งแจ้งข่าวให้นักข่าวหรือตำรวจรู้ จนกว่าคนไข้จะได้คุยกับหมอจิตเวชก่อน อาจจะเป็นผู้ช่วยพยาบาล แม่บ้าน หรือว่าญาติคนไข้...ถ้าปล่อยให้นักข่าวเข้ามายุ่มย่ามในแผนก การดูแลและรักษาพยาบาลคนไข้คนอื่นๆ คงวุ่นวายแน่
“บอกเขา และบอกทุกคนที่จะโทรมาอีกว่า อีกสองชั่วโมงผมจะให้ข่าว ให้พวกเขาไปรอฟังแถลงข่าวที่ห้องพักแพทย์”
******************************
เมื่อวานเนื่องจากเขายังรู้สึกไม่พร้อมที่จะพูดคุยกับใคร เมื่อหมอจิตเวชเข้ามาพบ แดนดินจึงแจ้งให้หมอจิตเวชทราบว่า เขาอยากจะอยู่คนเดียวซักพัก ถ้าเขาต้องการหมอเขาจะแจ้งให้ทราบอีกทีหนึ่ง ดูเหมือนหมอจะไม่ได้รุกเร้าเขามากนัก หลังจากย้ำกับเขาว่าเขาสามารถเรียกหาหมอได้ทุกเวลาที่ต้องการแล้วก็ขอตัวกลับออกไป เช้าวันนี้แดนดินจึงคิดว่าตนเองน่าจะได้อยู่ทำใจเงียบๆ คนเดียวโดยไม่มีใครมารบกวน แต่ตอนสายพ่อแม่ของกานดาก็เข้ามาปรากฎกายที่แผนกอุบัติเหตุ
แทบจะไม่มีคำพูดคุยใดๆ หลุดออกจากปากของทั้งสองฝ่าย แดนดินและพ่อแม่ของกานดาจ้องหน้ากันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง แม่ของกานดาก็สะอื้นไห้ออกมา ในขณะที่พ่อขอกานดาเป็นคนเริ่มพูด
“ทำไมไม่ใช่แก ทำไมถึงเป็นยัยกานดา”
“พ่อ ผม...” แดนดินเอ่ยออกมาได้แค่นั้น เพราะว่าคำว่าขอโทษนั้นตีบตันอยู่ในลำคอ
“ฉันเคยบอกยัยกานดาแล้ว ว่าอย่าแต่งงานกับแก ไอ้นักเขียนไส้แห้ง ทำไมวะ ทำไมไม่ใช่แก ให้แกตายๆ ไปพร้อมกับยัยกานดา ยังดีกว่าให้แกฟื้นขึ้นมา ทำไมวะ ทำไม” พ่อของกานดาต่อว่าเขาไม่หยุด ในขณะที่แม่ของกานดาเริ่มร้องไห้เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ
แดนดินตัวสั่นสะท้าน เขาพยายามกั้นน้ำตาเอาไว้..ใช่แล้ว พ่อของกานดาไม่ได้พูดอะไรผิดเลย เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นถ้าจะผิดก็คงจะผิดที่เขานี่แหล่ะ...วันนั้นทำไมเขาไม่ห้ามปรามเธอนะ คนท้องคนไส้เขาไม่ให้เดินทางไปไหนไกลๆ ไม่ใช่เหรอ...ทำไมวันนั้นเขาถึงยอมเออออห่อหมกไปกับเธอ...ทำไม
“ผม ผมขอโทษครับ” แดนดินเอ่ยคำขอโทษออกมาจนได้
“บ้าเอ๊ย...ฉันไม่น่ายอมใจอ่อนให้ยัยกานดาแต่งงานกับแกเลย ฉันรึอุตส่าห์คิดว่าแกจะทำให้ลูกของฉันมีความสุขและปกป้องคุ้มครองเธอได้ แต่แก แกก็ทำให้ฉันผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีก
พรุ่งนี้ฉันจะเอาศพยัยกานดากลับกรุงเทพฯ แล้ว และก็จะกลับไปเก็บข้าวของของยัยกานดาที่ห้องแก ต่อไปแกไม่ต้องมาให้พวกฉันเห็นหน้าอีก เข้าใจมั๊ย”
แดนดินจ้องมองพ่อของกานดาไม่วางตา หลังจากที่ได้ยินคำพูดประโยคนั้น เขานึกคำพูดอะไรไม่ออก ทั้งๆ ที่ตอนนี้เขาอยากจะขอร้องพ่อและแม่ของกานดาว่าได้โปรดยอมให้เขาได้พบกับกานดาอีกสักครั้งเถอะใจแทบขาด
ก่อนที่เหตุการณ์จะเลวร้ายไปกว่านั้น นางพยาบาลที่ได้ยินเสียงต่อว่าต่อขานแดนดินก็เข้ามาปราม
“คุณคะ ฉันขอล่ะค่ะ คนไข้เองก็คงเสียใจไม่แพ้พวกคุณ ตอนนี้ให้เขาได้พักผ่อนบ้างเถอะนะคะ”
พ่อของกานดาหันมามองนางพยาบาล เขาสูดลมหายใจแรงและผ่อนลมหายใจยาวหลายครั้ง ก่อนเอ่ยคำ
“ได้...คุณพยาบาล เดี๋ยวผมกับเมียก็จะกลับแล้ว ผมแค่อยากจะขึ้นมาบอกมันแค่นี้ ผมลาล่ะครับ” หลังจากที่บอกนางพยาบาลเสร็จพ่อของกานดาก็จูงแขนแม่ของกานดาเดินจากไป
นางพยาบาลหันมาทางแดนดิน และพูดกับเขาด้วยความเป็นห่วง
“อย่าคิดมากนะคะคุณ พวกเขากำลังเสียใจเลยต่อว่าคุณออกมาแรงๆ อย่างนั้น”
“ผมผิดมากใช่มั๊ยคุณพยาบาล ผิดมากใช่มั๊ยที่ผมไม่ตาย ผมน่าจะตายๆ ไปเสีย” น้ำตาที่เขากั้นเอาไว้ไหลทะลักออกมา
นางพยาบาลผ่อนลมหายใจยาว เธอส่ายหน้าไปมา ก่อนเอ่ยบอกเขา
“ทำไมคุณคิดอย่างนั้นล่ะคะ ทำไมคุณไม่ลองคิด ลองมองในมุมของภรรยายของคุณบ้าง เธอจะดีใจแต่ไหนที่คุณยังมีชีวิต และเธอจะเสียใจแค่ไหนถ้ารู้ว่าคุณอยากจะตาย...การมีชีวิตอยู่ไม่ใช่เรื่องที่พิเศษที่สุดสำหรับคนเราหรอกเหรอค่ะ...ฉันคิดว่าภรรยาของคุณคงคิดว่า...ดีจริงๆ ที่คนที่เธอรักยังมีชีวิตอยู่...ลองเก็บเอาไปคิดดูดีๆ นะคะว่า คุณจะทำยังไงเพื่อไม่ให้ภรรยาของคุณ และเพื่อนร่วมเดินทางที่เสียชีวิตไปแล้ว รู้สึกเสียใจกับการมีชีวิตอยู่ของคุณ”
แดนดินปาดน้ำตา และจ้องมองเจ้าของประโยคพูดตาเขม็ง คำพูดของเธอกระแทกความรู้สึกของเขาอย่างรุนแรง...ลองคิดดูสิ ว่าคุณจะทำยังไงต่อเพื่อไม่ให้ภรรยาของคุณรู้สึกเสียใจกับการมีชีวิตอยู่ของคุณ...
“คิดดูดีๆ นะคะ” เธอย้ำอีกครั้งก่อนที่จะหันกลับไปดูแลคนไข้คนอื่นๆ ต่อ
นั่นสิ หลังจากนี้เขาจะทำยังไงต่อไป เขาจะอยู่ยังไง เพื่อไม่ให้คนที่เสียชีวิตแทนเขาต้องเสียใจ แดนดินผ่อนลมหายใจยาว เขามองตามหลังนางพยาบาลคนนั้นไปและนึกขอบคุณเธออยู่ในใจ
******************************
ช่วงเที่ยงนางพยาบาลคนเดิมเดินมาบอกกับแดนดินว่า ช่วงบ่ายๆตำรวจเจ้าของท้องที่ที่สารภีจะขอเข้ามาสอบปากคำเขาเรื่องอุบัติเหตุ เขายินดีจะให้ข้อมูลกับตำรวจหรือไม่ แดนดินครุ่นคิดอยู่ไม่นานจึงให้คำตอบกับเธอไปว่าเขาพร้อมแล้ว ขอให้ตำรวจเข้ามาได้เลย ตอนนี้เขาอยากรู้เหลือเกินว่ามันเกิดอะไรขึ้น และคู่กรณีที่ทำให้คนตั้งมากมายเสียชีวิตนั้นเป็นใคร
บ่ายสองโมงครึ่งตำรวจสองนายเข้ามาพบแดนดินที่แผนกอุบัติเหตุและแจ้งให้เขาทราบว่าต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นมาอย่างไร ตำรวจนายหนึ่งทำหน้าที่หลักเป็นคนสอบถาม ในขณะที่อีกนายหนึ่งทำหน้าที่หลักในการจดบันทึก แดนดินค่อยๆ เรียบเรียงเหตุการณ์และเล่าให้ตำรวจฟัง เมื่อเขาเล่าถึงช่วงที่เขาได้ยินเสียงรถบัสถูกชนปะทะเสียงดังสนั่นสองครั้ง เขาสังเกตเห็นตำรวจทั้งสองนายทำหน้าฉงน เมื่อเขายืนยันว่ารถบัสของเขาน่าจะถูกรถอีกคันหนึ่งเสียหลักพุ่งชนเนื่องจากถนนลื่นเพราะฝนตกหนัก และถามหาคู่กรณี คำตอบที่ได้รับจากตำรวจกลับทำให้เขารู้สึกมึนงง
“ไม่มีคู่กรณีครับคุณแดนดิน ทางเราตรวจสอบร่องรอยในที่เกิดเหตุแล้ว ทั้งบนพื้นถนน และรอยขีดข่วนตามตัวถังรถ ไม่มีร่องรอยของรถคันอื่นเลยครับ เราสงสัยว่าคนขับหลับใน หรือขับรถในขณะที่ฝนตกหนักด้วยความเร็วสูงเนื่องจากความประมาท ทำให้รถเสียหลักพลิกคว่ำครับ เมื่อกี้ตอนคุณเล่าว่าได้ยินเสียงรถบัสถูกชนปะทะสองครั้งนั้น ผมยังนึกสงสัยว่าคุณเข้าใจผิดหรือเปล่า คุณแน่ใจนะครับว่ามันไม่ใช่เสียงยางรถระเบิด” ตำรวจที่ทำหน้าที่ในการซักถาม เอ่ยถามถึงข้อสันนิษฐานใหม่ของเขาทันที
...ไม่มีรถคันอื่นที่เป็นคู่กรณี ไม่มีร่องรอยการถูกชน...เป็นไปไม่ได้...สิ่งที่เขาและคนในรถได้ยิน เป็นเสียงรถบัสถูกชนด้วยวัตถุขนาดใหญ่แน่ๆ...
“ไม่ใช่ครับ ผมขอยืนยัน ว่าเสียงที่ผมได้ยินนั้น เป็นเสียงรถบัสถูกชนแน่ๆ” เขายืนยันกลับไป
ตำรวจทั้งสองนายมองหน้ากันและเลิกคิ้วด้วยความสงสัย พวกเขาสอบถามแดนดินต่อไปอีกไม่กี่คำถามก็ขอตัวกลับ โดยแจ้งให้แดนดินทราบว่าถ้ามีความคืบหน้าในทางรูปคดีอย่างไร พวกเขาจะแจ้งให้แดนดินทราบอีกครั้งหนึ่ง
แดนดินมองตามหลังตำรวจทั้งสองนายไปจนลับตา เขารู้ดีว่าตำรวจทั้งสองคนไม่เชื่อในสิ่งที่เขายืนยัน
ความคิดเห็น