ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Connect

    ลำดับตอนที่ #2 : เรื่องประหลาด

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.ค. 47


          ใครจะเชื่อว่าจู่ ๆ ผู้บริหารและกองบรรณาธิการจะมีความเห็นตรงกันว่า น่าจะเพิ่มคอลัมน์เกี่ยวกับเรื่องแปลก เรื่องเหลือเชื่อ ในหนังสือพิมพ์ M ทุก ๆ วันอาทิตย์ เพื่อดึงให้คนหันมาสนใจซื้อหนังสือมากขึ้น



         เรื่องแปลก ขายได้เสมอ  แม้จะอยู่ในยุคของการแข่งขันทางการตลาดที่สูงก็ตาม



         ยิ่งนำเสนอได้น่าตื่นตาตื่นใจ น่าพิศวง มากเท่าไหร่ โอกาสที่ยอดขายจะเพิ่มขึ้นก็มีมากขึ้นเท่านั้น



         พนาได้รับมอบหมายให้เป็นคนรับผิดชอบในการเขียนเปิดคอลัมน์นี้ก็เพราะเหตุนี้



         นักข่าวหนุ่มจากทีมข่าวอาชญากรรม ผู้มีความสามารถในการรวบรวม วิเคราะห์ข้อมูล และนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับประเด็นคดีได้น่าสนใจแตกต่างจากคนอื่น ๆ ในทีมข่าวด้วยกัน จนมีคนเคยเย้าว่า ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อน คงต้องคิดว่าเขาเป็นทายาทยอดนักสืบหรือไม่ก็เป็นทายาทนักแต่งนิยายแนวสืบสวนสอบสวนชื่อดังแน่ ๆ



         ครั้งแรกที่ได้ยินข้อเสนอ ให้เป็นคนเขียนสกู๊ปเปิดคอลัมน์ดังกล่าว พนาคิดว่าการหาข้อมูลมาเขียนเรื่องแปลก เรื่องเหลือเชื่อคงไม่แตกต่างกับการหาข้อมูลมาเขียนข่าวอาชญากรรมมากนัก เป็นโอกาสดีเสียอีกที่จะเขาได้ลองฝึกเขียนเรื่องแนวอื่นบ้าง จึงตบปากรับคำชัยวัฒน์หัวหน้ากองบรรณาธิการว่ายินดีรับเป็นคนเขียนเปิดคอลัมน์ให้



         มีเวลาหาประเด็นและเก็บรวบรวมข้อมูลประมาณสองอาทิตย์ก่อนที่หนังสือพิมพ์จะเปิดคอลัมน์ดังกล่าว



         ในรอบสัปดาห์นี้มีข่าวที่น่าสนใจเกิดขึ้นอยู่หลายเรื่อง แต่มีข่าวอยู่สองข่าวที่ความสดใหม่และความน่าสงสัยของมัน ทำให้พนาคิดว่าน่าจะลองออกไปหาข้อมูลมาดูก่อนเผื่อว่าจะเขียนเป็นสกู๊ปข่าวเปิดคอลัมน์ได้



         ข่าวสองข่าวนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันสองวันนี้เอง



         เหตุการณ์แรกเป็นอุบัติเหตุรถนักเรียนชนกับรถประจำทาง บนถนนสายรัตนาธิเบศน์ จากลักษณะของการชนกันของรถ ผู้คนที่มุงดูต่างคาดคะเนว่าถ้าไม่มีคนตายเป็นจำนวนมาก ก็น่าจะมีคนที่บาดเจ็บสาหัสจำนวนไม่น้อย เพราะสภาพรถยับเยินไปทั้งคัน แต่เมื่อหน่วยกู้ภัยและรถพยาบาลไปถึง กลับพบว่ามีผู้เสียชีวิตเพียงสองคน ส่วนคนเจ็บนั้นกลับมีบาดแผลและบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่มีคราบเลือดปรากฏให้เห็นในที่เกิดเหตุเป็นจำนวนมาก



         ผู้รอดชีวิตหลายคนให้ข้อมูลไปในทิศทางเดียวกันว่า มีผู้ชายคนหนึ่งเป็นผู้เดินทางมาประสบเหตุและเขาคนนั้นเป็นคนโทรแจ้งไปยังหน่วยกู้ภัยให้มาช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้าย ช่วงเวลาที่รอหน่วยกู้ภัยและรถพยาบาลมารับนั้น ผู้ชายคนนั้นเดินเข้าไปหาผู้เคราะห์ร้ายทุกคน ใช้มือพลิกจับไปมาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายพวกเขา เหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง



         หลังจากที่ถูกชายคนนั้นสัมผัสตัว พวกเขาต่างรู้สึกมึนงง และหมดสติไปครู่ใหญ่ ในใจคิดว่าคงโชคร้ายซ้ำสองถูกผู้ชายคนนั้นวางยาเพื่อปลดทรัพย์แน่แล้ว  



         เมื่อฟื้นขึ้นมาชายคนนั้นไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุแล้ว ส่วนทรัพย์สินมีค่าต่าง ๆ ที่กังวลว่าจะถูกขโมยไปนั้นยังอยู่ครบถ้วน ในขณะที่ความเจ็บปวดต่าง ๆ ที่ได้รับมาจากอุบัติเหตุกลับค่อย ๆ ลดน้อยลงไป ไม่รู้สึกเจ็บปวดทุรนทุรายเหมือนเคย บาดแผลที่ได้รับเหมือนจะมีขนาดเล็กลงไปด้วย รออยู่ครู่ใหญ่หน่วยกู้ภัยและรถพยาบาลจึงมาถึงที่เกิดเหตุและนำพวกเขาส่งโรงพยาบาล



         จากบันทึกประจำวันของตำรวจระบุว่า มีผู้เห็นเหตุการณ์สองสามคนให้ข้อมูลสอดคล้องกับผู้รอดชีวิตว่าเห็นผู้ชายคนหนึ่งขับรถออกไปจากที่เกิดเหตุ เมื่อเริ่มมีคนจอดรถเพื่อดูเหตุการณ์เพิ่มขึ้น แต่เมื่อเอ่ยถามถึงป้ายทะเบียนรถที่ผู้ชายคนนั้นขับ ไม่มีพยานคนไหนบอกได้เลยว่ารถยนต์ยี่ห้อ T สีบรอนซ์ ที่ชายอายุประมาณ ๒๕ – ๓๐ ปีคนนั้นขับออกไปหมายเลขทะเบียนอะไร  



          เมื่อผู้รอดชีวิตให้การว่าทรัพย์สินมีค่าที่ตนเองมีอยู่ในขณะเกิดเหตุไม่ได้สูญหายไปแต่อย่างใด ประเด็นความสนใจของตำรวจว่าชายคนนั้นอาจจะเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ที่เข้ามาลักทรัพย์ของผู้เคราะห์ร้ายก็หมดไป เหลือไว้แต่เพียงข้อสงสัยว่าผู้ชายคนนั้นเข้าไปทำอะไรกับผู้เคราะห์ร้ายเท่านั้น อย่างไรก็ตามเนื่องจากตำรวจเจ้าของคดีลงความเห็นว่าประเด็นดังกล่าวไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับรูปคดี ข้อสงสัยนั้นจึงไม่ได้มีการสืบค้นเพื่อขยายผลแต่อย่างใด



         แต่สำหรับพนา ข้อสงสัยนี้กลับเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจของเขาเป็นอย่างมาก และยิ่งเพิ่มทวีขึ้นเมื่อเขาเก็บข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่สอง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ต้นไม้ในสวนสาธารณะบริเวณใกล้ ๆ กับที่เกิดอุบัติเหตุพร้อมใจกันสละใบ และเหี่ยวเฉาลง หลังจากวันที่เกิดอุบัติเหตุเพียงหนึ่งวัน



         มีผู้ให้สัมภาษณ์หลายคนให้ข้อมูลว่า ก่อนวันที่ต้นไม้จะพร้อมใจกันสละใบและเหี่ยวเฉาหนึ่งวันซึ่งตรงกับวันที่มีอุบัติเหตุรถชนกัน มีผู้ชายอายุประมาณ ๒๕ - ๓๐ ปีคนหนึ่งขับรถยนต์ยี่ห้อ T สีบรอนซ์มาจอดที่สวนสาธารณะ รูปพรรณสัณฐานของชายคนนั้น ชี้นำให้รู้สึกได้ว่าน่าจะเป็นผู้ชายคนเดียวกันกับผู้ชายที่อยู่ในเหตุการณ์อุบัติเหตุรถชนกัน



         เขาเดินโซซัดโซเซออกจากรถมานอนเหมือนคนหมดสติอยู่ใต้ต้นไม้ในสวนอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อมีคนเดินเข้าไปหาเพื่อที่จะดูอาการ จู่ ๆ เขาก็ลุกพรวดขึ้นมาและเดินกลับไปที่รถ ขับรถออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น



          “ทะเบียนรถของชายคนนั้นละครับหมายเลขอะไร” พนาเอ่ยถาม



         “ไม่มีป้ายทะเบียน... รถคันนั้นไม่มีป้ายทะเบียน” นั่นคือข้อมูลที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับรถคันนั้นที่พนาได้รับเพิ่มเติมมา



         ..................................................................................................................



         แทบจะหาจุดเริ่มต้นอะไรไม่ได้เลย สำหรับการค้นหาผู้ชายคนนั้น ไม่มีชื่อ ไม่รู้ป้ายทะเบียนรถ ผู้ชายคนหนึ่งที่ขับรถยี่ห้อ T สีบรอนซ์ คงมีเป็นพัน เป็นหมื่นคนในเขตกรุงเทพมหานครและนนทบุรี บางทีอาจจะเลยออกไปถึงเขตปทุมธานีหรือนครปฐมด้วยซ้ำ



         สิ่งที่พอจะทำได้สำหรับเรื่องนี้ก็คือ ต้องลองค้นหาดูว่ามีเหตุการณ์แปลก ๆ ที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์บ้างหรือเปล่าเท่านั้น



         อินเตอร์เน็ต แหล่งข้อมูลที่รวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ จากสถานที่ต่าง ๆ ไว้มากมายมหาศาล เป็นทางเลือกแรกที่พนานึกถึง



         แต่การสืบค้นข้อมูลทั้งสองเรื่องในเวลาเดียวกัน คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ดังนั้นในครั้งแรกพนาจึงลองใช้คำที่เขาคิดว่าง่ายที่สุด



        เขาพิมพ์คำว่า “อุบัติเหตุ ข่าว” เข้าไป ในช่องสืบค้น (search) ของเว็บไซท์สืบค้นข้อมูล



         การสืบค้นข้อมูลใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็แสดงผลการสืบค้นให้เห็นถึง web link ต่าง ๆ ที่คอมพิวเตอร์ประมวลผลแล้วว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับคำที่พิมพ์ลงไป



         หนึ่งพันกว่ารายการ เป็นจำนวนที่มากเลยทีเดียว



         พนาสำรวจดูอย่างคร่าว ๆ เร็ว ๆ พบว่า การแสดงผลการสืบค้นนั้นไม่มีรายการใดใกล้เคียงกับสิ่งที่เขาต้องการนัก



         สำหรับเรื่องนี้ การใช้เว็บสืบค้นข้อมูลทั่วไป ในการสืบค้นอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก



         พนาลองเปลี่ยนมาใช้เว็บสืบค้นข้อมูลที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เริ่มจากเว็บไซท์ของสำนักพิมพ์ของเขาเอง



         เขาคลิ๊กเข้าไปในส่วนหน้า “ฐานข้อมูล” ของเว็บไซท์ ปรากฏส่วนในการสืบค้นแสดงอยู่ ๒ ส่วน คือ



         “ค้นหาข่าวย้อนหลัง ๗ วัน” และ



         “ค้นหา”



         การค้นหาข่าวย้อนหลัง ๗ วัน อาจมีข้อจำกัดเกี่ยวกับเรื่องระยะเวลาที่เป็นข่าว นอกจากนี้การสืบค้นในส่วนนี้ ยังไม่ใช่การค้นหาที่เจาะจงไปยังประเด็นที่ต้องการมากนัก เพราะไม่สามารถระบุหัวข้อ หรือคำที่ต้องการสืบค้นได้ พนาจึงเลือกสืบค้นในส่วน “ค้นหา (search)”

    เขาพิมพ์คำว่า “อุบัติเหตุ” เข้าไป จากนั้นจึงกดปุ่มค้นหา



         หน้าจอคอมพิวเตอร์แสดงข้อมูลที่สืบค้นได้จำนวนหลายร้อยรายการ แม้ว่าข้อมูลที่สืบค้นได้จะมีข้อจำกัดคือ สืบค้นย้อนหลังไปได้เพียงปีเดียวก็ตาม



         ข้อมูลจำนวนมากมายที่ปรากฏให้เห็นเหมือนเป็นเครื่องยืนยันว่า ทุกวันนี้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก และข่าวเกี่ยวกับอุบัติเหตุเป็นอีกข่าวหนึ่งที่ขายได้เสมอ



         พนานั่งพิจารณาหัวข้อข่าวอยู่ครู่หนึ่ง จึงพบว่ารายการที่แสดงผลนั้นมีทั้งอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการขับขี่ยวดยานบนท้องถนน และอุบัติเหตุอื่น ๆ



         คำที่ใช้ในการสืบค้นอาจจะไม่เฉพาะเจาะจงนัก เขาพิมพ์ คำอีกคำหนึ่งเข้าไป



         “อุบัติเหตุ รถ”



         รายการแสดงผลลดลงไปจำนวนหนึ่ง แต่ยังคงมีจำนวนรายการอยู่หลายร้อยรายการ พนาเริ่มพิจารณาเนื้อหาในหัวข้อข่าวแต่ละหัวข้อ มีอะไรที่แตกต่างกันระหว่างข่าวอุบัติเหตุที่เขากำลังทำอยู่ กับข่าวอุบัติเหตุอื่น ๆ บ้างหรือเปล่า พนาคิด พลางหยิบสมุดบันทึกของเขามาอ่านพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง



          “....เมื่อฟื้น...ทรัพย์สินไม่หาย...ไม่รู้สึกเจ็บปวดทุรนทุรายเหมือนเคย...”



          บาดเจ็บเล็กน้อย ไม่รู้สึกเจ็บปวดทุรนทุรายเหมือนเคย ทั้ง ๆ ที่น่าจะบาดเจ็บมากกว่านั้น หรือมีอาการเจ็บปวดทุรนทุรายงั้นเหรอ

    สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างข่าวทั้งสองก็คือ ความเจ็บปวดนั่นเอง...ความเจ็บปวดที่หายไป



         พนาบันทึกลงไปในสมุดบันทึกของเขา



         “ความเจ็บปวด” (Pain) และ



         “ความเจ็บปวดที่หายไป” (Missing Pain)



          เขาน่าจะนึกเรื่องนี้ออกตั้งนานแล้วนะ แต่เหมือนมีอะไรมาบังความคิดนี้ไว้



          ตอนนี้เขาได้ประเด็นที่คิดว่าจะเขียนเป็นสกู๊ปข่าวประเด็นแรกแล้ว เขาบันทึกลงไปในสมุดอีกครั้งหนึ่ง



         “อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับความเจ็บปวดที่หายไป”



          แต่ความเจ็บปวดที่หายไป จะมีความน่าสนใจ ถึงขั้นเป็นเรื่องน่าพิศวง ที่จะนำมาเขียนในคอลัมน์จริง ๆ นะเหรอ



         มีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากว่าในช่วงขณะที่ชายคนนั้นเข้าไปจับตัวผู้เคราะห์ร้ายทุก ๆ คนที่มีชีวิตอยู่ เขาอาจจะฉีดยาชาหรือทำการรักษาอาการเจ็บปวดให้ผู้เคราะห์ร้ายด้วยวิธีการแบบอื่น ๆ เช่น สกัดจุด หรือฝังเข็ม เพื่อให้ผู้เคราะห์ร้ายรู้สึกเจ็บปวดทุรนทุรายน้อยลง



         แต่การฉีดยาชา การสกัดจุด หรือการฝังเข็มให้กับคนเจ็บทุกคนนั้นคงต้องใช้เวลาไม่น้อย ในสภาวการณ์ตามที่ได้รับข้อมูลมา ชายคนนั้นไม่น่าจะมีเวลามากมายถึงขนาดที่จะกระทำการใด ๆ อย่างนั้นได้ เพราะการฉีดยาชา และการฝังเข็มต้องมีอุปกรณ์ และต้องใช้เวลาในการเตรียมอุปกรณ์สำหรับคนคน ๆ หนึ่งพอสมควร  



         ในขณะที่การสกัดจุดนั้น ลักษณะบาดแผลของผู้เคราะห์ร้ายซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างกัน ย่อมทำให้การสกัดจุดแต่ละจุดเพื่อยับยั้งความเจ็บปวดนั้น คงต้องใช้เวลาในการค้นหาจุดแต่ละจุดพอสมควรเช่นกัน



          บาดแผลที่มีขนาดลดลงไปอีกละ จะอธิบายได้ว่ายังไง แล้วการกระทำของผู้ชายคนนั้นในเหตุการณ์ที่สองมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แรกหรือไม่ ยังไง



         ตอนนี้พนาเองก็ยังหาคำตอบให้กับคำถามนี้ไมได้



         ..................................................................................................................



         รถยังคงติดเหมือนกับทุกวัน โชคดีตรงที่ที่ทำงานและที่พักของเขาอยู่ไม่ห่างกันมากนัก แต่กว่าจะกลับถึงห้องก็เกือบจะสามทุ่มแล้ว

    เปิดประตูห้อง เดินเข้าไป เปิดไฟ และเปิดเครื่องปรับอากาศเพื่อระบายอากาศภายในห้อง เดินไปเปิดโทรทัศน์เพื่อให้มีเสียงและภาพของมันอยู่เป็นเพื่อน แม้ที่ห้องจะมีเครื่องเสียงอยู่ชุดหนึ่งก็ตาม แต่พนาเองไม่ชอบเปิดฟังมันมากนัก เพราะเวลาที่เปิดฟังมัน เขารู้สึกเหมือนต้องจมเข้าไปอยู่กับความรู้สึกภายในของตัวเองคนเดียวทุก ๆ ครั้งที่ปล่อยใจไปกับเสียงเพลงที่ได้ยิน



         ...อยู่กับตัวเองคนเดียวมันเหงาเหลือเกิน ...



          โทรทัศน์จึงเป็นสิ่งที่เขาเลือกเปิดมากกว่า เพราะมีทั้งภาพ ทั้งเสียง ให้ได้ยินได้ฟัง อย่างน้อยการมองดูชีวิตคนอื่นในโทรทัศน์ ก็ทำให้หลงลืมการอยู่คนเดียวไปได้บ้าง



         เดินไปหยิบจานและช้อนที่หลังห้องมาใส่ข้าวกล่องที่แวะซื้อจากร้านปากซอย เปิดขวดน้ำรินน้ำใส่แก้ว พร้อมแล้วสำหรับการกินอาหารค่ำและการดูรายการโทรทัศน์



         นั่งกินข้าวอยู่คนเดียวได้ครู่หนึ่ง พนาอดคิดไม่ได้ว่าถ้ามีใครซักคนมากินข้าวเป็นเพื่อนคงดีไม่น้อย นึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่เขาเคยอยู่กับนงลักษณ์ อดีตคนรักที่เพิ่งเลิกกันไปไม่นาน เพราะงานนักข่าวของเขาทำให้เขามีเวลาให้เธอไม่มากนัก



         แปลกที่พนาไม่เคยรู้สึกเลยว่าช่วงเวลาที่ได้นั่งกินข้าวกับเธอตอนนั้น มันเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขแตกต่างกับตอนนี้มาก



         พนาคิดเรื่อยเปื่อยย้อนไปถึงสมัยที่เขายังอยู่ที่บ้านที่ต่างจังหวัด ช่วงเวลาเย็นแบบนี้เป็นเวลาที่สมาชิกทุกคนจะมานั่งกินข้าวล้อมวงกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เสร็จจากอาหารเย็นแล้วยังเป็นช่วงเวลาที่สมาชิกในครอบครัวใช้เป็นโอกาสในการพูดคุยปรึกษาหารือกันในเรื่องต่าง ๆ



          พนาออกจากบ้านมาทำงานในเขตเมืองหลวงได้เกือบห้าปีแล้ว นับตั้งแต่เรียนจบทางด้านหนังสือพิมพ์มาด้วยผลการเรียนที่ดีเยี่ยม แม้ว่าพ่อแม่จะคะยั้นคะยอให้เขาทำงานในสำนักงานหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในตัวจังหวัด เพราะอยู่ใกล้บ้านก็ตาม แต่พนากลับเลือกที่จะมาสมัครทำงานในสำนักงานหนังสือพิมพ์ส่วนกลางมากกว่า เพราะอยากจะมองเห็นโลกให้กว้างขึ้น และอยากจะใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่พิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับของคนอื่น  



          มองออกไปนอกหน้าต่างตอนนี้ฝนเริ่มตกลงมาแล้ว นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาไม่ได้โทรกลับบ้าน เกือบสองเดือนได้แล้วมั้ง ไม่รู้ว่าป่านนี้ที่บ้านจะเป็นยังไงบ้าง



          กินข้าวเสร็จ พนายกจานและแก้วไปล้างและเก็บไว้ เดินมาที่โทรศัพท์ ยกหูโทรศัพท์ขึ้นแล้วกดหมายเลขลงไป สัญญาณโทรศัพท์ดังอยู่สามสี่ครั้ง จึงมีเสียงตอบกลับมาจากปลายสาย



        “พ่อเหรอ” เขาทักเมื่อรู้ว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร



         “เออ”



         “จะนอนหรือยังพ่อ”



         “กำลังจะนอนแล้ว”



         “เหรอครับ”



          “มีอะไรหรือเปล่านา โทรมาซะดึกดื่น” เสียงพ่อถามกลับมาด้วยความเป็นห่วง  



          “ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่อยากจะถามว่าที่บ้านฝนตกหรือเปล่า...แค่นี้นะครับ.” ตอบกลับไปอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่อยากจะถามว่าพ่อแม่สบายดีหรือเปล่า และอยากจะบอกไปอีกว่า คิดถึงครับ.......



         ..................................................................................................................



         รุ่งชึ้น

         ๐๙.๒๓ น. สำนักงานหนังสือพิมพ์ M



         ชัยวัฒน์เดินมาถามพนาถึงโต๊ะทำงานว่า เขามีเรื่องที่จะเขียนเปิดคอลัมน์ให้หรือยัง เมื่อพนาเล่าถึงเรื่องที่เขากำลังจะทำให้ฟัง เขาได้รับความเห็นจากชัยวัฒน์ว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจมากทีเดียว เขาอยากรู้มากว่าพนาจะเขียนเรื่องราวออกมาในแนวไหน



         ..................................................................................................................



         ๐๙.๓๕ น. แฟลตแห่งหนึ่ง ย่านจรัญสนิทวงศ์



         กรรณิกาได้กลิ่นเหม็นมาจากห้อง ๔๐๗ ห้องพักข้าง ๆ ห้องของเธอมา ๒-๓ วันก่อนแล้ว กลิ่นเหม็นที่ค่อย ๆ ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน

    หลังจากที่ทนเหม็นจนนอนไม่หลับมาตั้งแต่เมื่อคืน วันนี้กรรณิกาจึงตัดสินใจเดินมาเคาะประตูห้องนั้นเพื่อจะสอบถามเจ้าของห้องว่าเก็บอะไรเหม็น ๆ ไว้ในห้อง หรือได้กลิ่นอะไรเหม็น ๆ ในห้องหรือเปล่า  



          เมื่อกรรณิกายืนอยู่หน้าประตูห้อง ๔๐๗ จมูกของเธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นเหม็นที่ทวีความรู้แรงเพิ่มมากขึ้น เหม็นมากจนแทบจะอาเจียนออกมา เธอกลั้นใจเอามือข้างหนึ่งอุดจมูกไว้ และใช้มืออีกข้างหนึ่งเคาะประตู พร้อมกับส่งเสียงเรียกเจ้าของห้อง



          “นี่คุณ..มีใครอยู่มั๊ย...มีใครอยู่หรือเปล่า ?”  



          ไม่มียินเสียงตอบรับกลับมา แม้ว่ากรรณิกาจะส่งเสียงเรียกเจ้าของห้องอยู่ครู่ใหญ่



          ชั่วขณะที่มีความเงียบเป็นเสียงตอบรับ กรรณิกาได้ยินเสียงเหมือนคนพูดคุยกันเบา ๆ มาจากข้างในห้อง ใจเธอเริ่มคิดไปต่าง ๆ นานา เธอเคยรู้จักเจ้าของห้องนี้มาก่อนหรือเปล่านะ...



           เคยสิ...ดูเหมือนเขาจะชื่อทรงพล เธอเคยเห็นเขาอาทิตย์ละครั้งหรือสองครั้งแล้วแต่โอกาส ว่าจะบังเอิญเปิดประตูห้องมาเจอกันตอนไหน เขาเป็นผู้ชายอายุยี่สิบต้น ๆ เพิ่งทำงานได้ไม่นาน ท่าทางเงียบ ๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ชอบเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ค่อยออกไปไหนแม้ว่าจะเป็นช่วงกลางคืนหรือวันหยุดก็ตาม ที่เธอรู้เพราะว่าเธอมักจะได้ยินเสียงเพลงหรือเสียงโทรทัศน์ดังมาจากห้องข้าง ๆ อยู่ตลอดเวลา ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว



          จำได้ว่าเธอเห็นเขาครั้งล่าสุด เมื่อ ๕-๖ วันที่ผ่านมานี่เอง หลังจากนั้นมาเธอยังไม่มีโอกาสได้เจอเขาอีกเลย



           ความเงียบทำให้ความรู้สึกบางอย่างอย่างเกิดขึ้นในจิตใจ สมองของกรรณิกาเริ่มนึกไปถึงข่าวต่าง ๆ ที่เธอเคยอ่าน หรือได้ยิน ได้ฟัง มาจากสื่อต่าง ๆ และเริ่มประมวลผลมันเข้ากับสิ่งที่เธอกำลังเผชิญอยู่



            มีความเป็นไปได้ ที่น่าเชื่อถืออยู่มากทีเดียวว่าอาจจะเกิดเรื่องร้าย ๆ เรื่องหนึ่งขึ้นที่อีกฟากหนึ่งของประตู เธอกลั้นหายใจ ตัดสินใจเคาะประตูห้องนั่นดูอีกครั้งหนึ่ง



           “ตึง...ตึง...ตึง...”



           “นี่คุณ ถ้าไม่เปิดประตูออกมา ฉันจะไปเรียกผู้ดูแลข้างล่างให้ขึ้นมานะ...คุณ...คุณ”



            ความเงียบยังคงเป็นคำตอบที่เธอได้รับกลับมา



           กรรณิกาเริ่มมั่นใจในความคิดของเธอมากขึ้น เธอวิ่งลงจากชั้น ๔ ลงไปหาไสวผู้ดูแลอาคารที่ชั้นล่าง เล่าเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งข้อสงสัยของเธอให้เขาฟัง และร้องขอให้เขาเอากุญแจสำรองขึ้นไปเปิดประตูห้องของทรงพล



            ไสวกดเบอร์โทรศัพท์ของห้องทรงพลขึ้นมาเพื่อสอบถาม สัญญาณดังอยู่หลายครั้ง แต่ไม่มีผู้รับสาย ไสวเองก็เพิ่งนึกได้ว่าเขาเองก็ไม่ได้เห็นทรงพลมา ๔-๕ วันแล้ว



              ความสงสัยบวกกับเรื่องราวที่เขาได้ฟังมาจากกรรณิกา เชิญชวนให้เขาตัดสินใจเดินขึ้นมาข้างบนเพื่อหาข้อพิสูจน์



             ประตูถูกลงกลอนจากด้านใน แม้ว่าไสวจะใช้กุญแจสำรองไขเปิดลูกบิดแล้วก็ตาม กลิ่นที่เหม็นรุนแรง กับการคาดการณ์ซึ่งน่าจะมีเค้าความจริงอยู่ไม่น้อย ทำให้ไสวตัดสินใจพังประตูห้องของทรงพลเพื่อจะเข้าไปดูเหตุการณ์ข้างใน



            “ปัง”



           เสียงประตูถูกกระแทกเข้าไป



          กลิ่นเหม็นรุนแรงนั้นลอยเข้ามาปะทะจมูก จนสะอึก และสิ่งที่พวกเขาพบนั้นถึงกับทำให้ผงะด้วยความตกใจ



          ทรงพลเจ้าของห้องนอนตะแคง เป็นศพอยู่บนเตียง ใบหน้าบิดเบี้ยวเหมือนกำลังรู้สึกเจ็บปวด มือข้างหนึ่งกุมอยู่บริเวณหน้าอก ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งยกขึ้นไปเหนือศีรษะเหมือนกำลังพยายามจะไขว่คว้าหาอะไรบางอย่าง



          มองตามทิศทางมือของทรงพลขึ้นไปจนสุดเขตสายตา เห็นโทรศัพท์เครื่องหนึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะติดกับผนังห้อง



          โทรศัพท์นั่นเอง...เขากำลังพยายามจะหยิบโทรศัพท์



          โทรทัศน์ในห้องนั้นถูกเปิดทิ้งไว้ สภาพศพบวมเบ่ง มีคราบน้ำเหลืองเป็นวงกว้างให้เห็นบนฟูกนอน ภาพที่เห็นกับกลิ่นที่ได้รับ เกินความทนทานของจิตใจที่จะรับได้ ร่างกายขับดันบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนขึ้นมาจากบริเวณช่องท้อง เพื่อลดความกดดันนั้นให้ลดลง



         “โอ๊ก..”



         “โอ๊ก..”



          กรรณิกาและไสวอาเจียนออกมาเกือบจะพร้อมกัน



           ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ไม่มีร่องรอยการฆาตกรรม หลักฐานที่ปรากฏไม่ได้ชี้ให้เห็นว่าผู้ตายฆ่าตัวตายแต่อย่างใด ตำรวจซึ่งมาตรวจที่เกิดเหตุให้ความเห็นในเบื้องต้นว่า



          “ผู้ตายอาจจะหัวใจวายตาย”



           พนาหยิบสมุดบันทึกของเขาขึ้นมา บันทึกข้อความลงไป



           “นางกรรณิกาหญิงข้างห้อง และนายไสว ผู้ดูแลอาคาร พบศพนายทรงพลผู้ตาย ในห้องพักหมายเลข ๔๐๗ ย่านจรัญสนิทวงศ์... หลังจากที่ผู้ตายเสียชีวิตมาแล้วประมาณ  ๕ วัน...



           ก่อนผู้ตายจะเสียชีวิตคาดว่าน่าจะรู้สึกเจ็บปวดที่หน้าอกอย่างรุนแรง และพยายามจะหยิบโทรศัพท์เพื่อติดต่อใครสักคน ให้มาช่วยเหลือ แต่เขาทำไม่สำเร็จ หัวใจของเขาทำร้ายตัวเขาเองก่อนที่เขาจะบรรลุเป้าหมาย”



          เสียงโทรศัพท์มือถือของพนาดังขึ้น หมายเลขที่แสดงทำให้รู้ว่าเป็นเบอร์ของชัยวัฒน์หัวหน้ากองบรรณาธิการ



          “ครับ หัวหน้า” พนาตอบรับ



          “จำเรื่องต้นไม้ที่สวนสาธารณะที่คุณพูดถึงได้หรือเปล่า”



           “มีอะไรเหรอครับ”



           “ผมเพิ่งขับรถผ่านมาจากทางนั้น มีเรื่องอยากจะให้คุณช่วยเช็คดูหน่อย”



           “ได้ครับ ผมเพิ่งทำข่าวเสร็จพอดี มีเรื่องอะไรเหรอครับ” คงเป็นเรื่องด่วนน่าดู ไม่งั้นหัวหน้าคงไม่โทรศัพท์มาหาเขาทันทีแน่



            “...ผมเพิ่งเห็นต้นไม้ทุกต้นในสวน ผลิดอกผลิใบเต็มต้นเมื่อกี้นี่เอง.....”



             ..................................................................................................................



           ๑๓.๔๕ น. สวนสาธารณะ บริเวณถนนรัตนาธิเบศน์



           ต้นไม้ที่สวน ผลิใบเต็มต้นทุกต้น เหมือนที่ชัยวัฒน์บอกจริง ๆ



           แม้ต้นไม้จะมีเวลาฟื้นตัวของมันเอง แต่จากสภาพของต้นไม้ที่ปรากฏให้เห็นเมื่อคราวก่อน ไม่มีทางเป็นไปได้เลยว่า ในเวลาเพียงสองวัน ต้นไม้ที่ลำต้นเหี่ยวเฉา กิ่งก้านไร้ใบที่แห้งและเปลือกแตกเหมือนขาดน้ำมานาน จะกลับมาสดชื่น และผลิดอกผลิใบได้เต็มต้นขนาดนี้

    เกิดอะไรขึ้นกับต้นไม้ พวกนี้ ?



            ความสงสัยนี้ทำให้พนาตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาพฤกษ์เพื่อนของเขาคนหนึ่งซึ่งเป็นนักพฤกษศาสตร์ เพื่อสอบถามเรื่องบางอย่างทันที



          “ไอ้นาเองเหรอวะ มีอะไรหรือเปล่าร้อยวันพันปี กูไม่เคยเห็นมึงโทรมาเลย” พฤกษ์แปลกใจไม่น้อยที่จู่ ๆ พนาโทรหาเขา



          พนารู้จักกับพฤกษ์ตอนไปเข้าค่าย ในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยอยู่ที่เชียงใหม่ พนาเรียนอยู่สื่อสารมวลชนคณะมนุษย์ ในขณะที่พฤกษ์เรียนชีววิทยาอยู่คณะวิทยาศาสตร์ แม้จะอยู่ต่างคณะกันแต่กิจกรรมค่ายอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็ทำให้ทั้งสองมีโอกาสได้มาพบกัน



          เขาทั้งสองนอกจากจะถูกล้อเรื่องชื่อที่มีความหมายเหมือน ๆ กันแล้ว ตอนอยู่ในค่ายยังเป็นคนชอบสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนอื่น ๆ  เหมือน ๆ กันด้วย ความที่มีอะไรเหมือน ๆ กันนี่เองทำให้ทั้งคู่ยังคงติดต่อกันเรื่อยมา แม้จะกลับออกจากค่ายมาแล้ว



          กระทั่งเรียนจบและพนาตัดสินใจมาทำงานที่กรุงเทพฯ ในขณะที่พฤกษ์เลือกที่จะทำงานเกี่ยวการดูแลต้นไม้ อยู่ที่สวนพฤกษศาสตร์ที่เชียงราย ด้วยหน้าที่การงานของเขาทั้งสองจึงทำให้พวกเขามีโอกาสติดต่อกันน้อยลง



         พนาเล่าให้พฤกษ์ฟังถึงเรื่องต้นไม้ในสวนสาธารณะ และถามพฤกษ์ถึงความเป็นไปได้ที่ต้นไม้จะสามารถฟื้นฟูตัวเองได้ภายในเวลาเพียงสองสามวัน หลังจากที่อยู่ในสภาพใกล้ตาย



          “แปลกมาก” นั่นเป็นประโยคแรกที่เขาได้ยินจากพฤกษ์



           “ถ้าไม่แปลกกูคงไม่โทรมาหามึงหรอก มึงคิดยังไงกับเรื่องนี้”



            “กูรู้สึกเหมือนกับว่า ต้นไม้มันเจ็บเหมือนคนใกล้จะตายอยู่แล้ว จู่ ๆ ก็มีปาฏิหาริย์มาทำให้มันหายป่วยกะทันหัน ยังไงยังงั้นเลยหวะ”



           ต้นไม้เจ็บเหมือนคนใกล้ตายเหรอ เข้าใจเปรียบ



          ...แต่เดี๋ยวก่อน ประโยคหลังพฤกษ์พูดว่ายังไงนะ เหมือนมีปาฏิหาริย์ทำให้มันหายป่วย ยังงั้นเหรอ



          “คนเจ็บไม่เจ็บอย่างที่ควรจะเป็น ผู้ชายท่าทางเจ็บหนักที่นอนสติอยู่ใต้ต้นไม้ที่จู่ ๆ ก็ลุกพรวดเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กับต้นไม้ที่หายป่วยอย่างกับปาฏิหาริย์ยังงั้นเหรอ”   ใช่แล้ว พนาคิดว่าเขาหาจุดเชื่อมของเรื่องทั้งหมดนี้ได้แล้ว



          “เฮ้ย! ขอบใจว่ะพฤกษ์ แค่นี้ก่อนนะ”



          “อ้าว เฮ้ย! เดี๋ยว ๆ ไอ้นา กูยังไม่ทันจะบอกอะไรมึงเลยนะ...” พนาวางสายไปแล้ว ตอนที่พฤกษ์พูดจบ



          “ไอ้บ้าเอ๊ย โทรมาทั้งที โทรคุยกันแค่เนี้ยะ” พฤกษ์บ่นตามหลังมา



            ..................................................................................................................



         ๑๙.๐๙ น.



         พนากลับถึงห้องเร็วกว่าปกติ เพราะไม่มีงานค้างที่สำนักงานที่ต้องทำให้เสร็จ ทำให้เขามีเวลาในการคิดทบทวนข้อมูลบางอย่างจากเหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์มากขึ้น



          พนานั่งลงที่โต๊ะทำงานภายในห้อง เปิดโคมไฟใช้แสงสลัว ๆ เพื่อให้มีสมาธิในการใช้ความคิดมากขึ้น เขาหยิบสมุดบันทึกขึ้นมา อ่านข้อมูลต่าง ๆ ที่บันทึกไว้ และหยิบคำสองคำที่บันทึกเป็นข้อสังเกตไว้ เข้ามาคิดประมวลร่วมด้วย



          คำว่า “ความเจ็บปวด” (Pain) และ “ความเจ็บปวดที่หายไป” (Missing Pain)



         เค้าลางบางอย่างเหมือนจะเกิดขึ้นในห้วงคิด หากจะทำให้มันชัดเจนขึ้นคงต้องเขียนออกมาให้เป็นรูปร่าง เป็นตัวหนังสือ พนาหยิบแผ่นกระดาษเปล่าขึ้นมาหนึ่งแผ่น ใช้มือเอื้อมไปหยิบดินสอมาไว้ในมือ และเริ่มลงมือเขียนความคิดของตัวเองออกมา

        

          มีข้อสังเกตอะไรที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์นี้บ้าง พนาเริ่มใช้ความคิดผ่านสายตาและสมองของเขา



         ๑.ผู้ได้รับการบาดเจ็บอาการดีขึ้น หลังจากที่ นาย ก.(นามสมมติของชายคนนั้น) เดินเข้ามาสัมผัสกับพวกเขา นาย ก.ย่อมมีความสัมพันธ์กับความเจ็บปวดที่หายไปของผู้ที่ได้รับความบาดเจ็บเหล่านั้น



          ๒.หลังจากที่นาย ก.ออกมาจากที่เกิดเหตุ ขับรถมาจอดรถที่บริเวณสวนสาธารณะ ขณะที่เดินออกมาเขามีอาการเหมือนคนไม่สบาย คำถามก็คือ อาการเหมือนคนไม่สบายของเขามาจากไหน ในขณะที่ข้อมูลก่อนหน้านี้ไม่ได้ชี้นำให้เห็นว่า เขามีอาการเหมือนคนไม่สบายมาก่อนเลย



           ๓.มีความเป็นไปได้มากว่าอาการเหมือนคนไม่สบายของนาย ก. เกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้ไปสัมผัสกับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านั้นแล้ว



           ๔.ถ้าการกระทำของนาย ก.มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับความเจ็บปวดที่หายไปของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ  และอาการเหมือนคนป่วยของเขาเกิดขึ้นหลังจากที่สัมผัสคนเจ็บแล้ว มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า ความเจ็บปวดที่หายไปนั้นจะเข้ามาอยู่ในร่างกายของนาย ก.เอง



            ๕.หลังจากที่นาย ก.นอนเหมือนคนหมดสติอยู่ใต้ต้นไม้แล้ว ครู่หนึ่งเขาจึงลุกขึ้นเดินกลับไปขึ้นรถเหมือนคนปกติ ไม่มีอาการเหมือนคนไม่สบายให้เห็น อาการเหมือนคนเจ็บของนาย ก.หายไปไหน



             รุ่งขึ้นต้นไม้ในสวนสาธารณะที่นาย ก.นอนอยู่ จู่ ๆ ก็ทิ้งใบ ลำต้นเหี่ยวเฉา เหมือนคนเจ็บ อาการเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับการกระทำของนาย ก.หรือไม่อย่างไร



              ๖.ต้นไม้กลับคืนสู่สภาพปกติได้อย่างไร



              ถ้าคำตอบสำหรับข้อสังเกตที่ ๒ คือ อาการเหมือนคนไม่สบายของนาย ก.มาจากความเจ็บปวดที่หายไปของผู้ได้รับบาดเจ็บ และข้อสังเกตที่ ๓ เป็นความจริง คำตอบดังกล่าวย่อมทำให้ข้อสังเกตที่ ๔ มีความเป็นไปได้เพิ่มมากขึ้น



              แต่มันเข้ามาได้ยังไง



              “ผู้วิเศษ” งั้นเหรอ หรือว่าชายคนนั้นจะเป็นผู้มีพลังพิเศษ อาจจะเป็นไปได้เพราะเรื่องคนที่มีพลังพิเศษเหนือคนอื่น ตอนนี้มีให้ได้ยินได้ฟังในสื่อต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น

          

              ถ้าสมมติให้ชายคนนั้นมีพลังวิเศษจริง คำตอบที่จะเติมคำลงไปในช่องว่างสำหรับคำถามที่ว่า  ความเจ็บที่หายไปของนาย ก.ไปอยู่ที่ไหน คือ ถูกถ่ายโอนไปให้กับต้นไม้ใช่หรือเปล่า



              ถ้าใช่ เมื่อต้นไม้กลับคืนสู่สภาพปกติ ความเจ็บปวดทั้งหมดหายไปไหน? …แล้ว นาย ก.เป็นใคร? กัน...



              พนารู้สึกเหมือนกับว่า เขาวนกลับมาสู่คำถามเดิม ที่ตอบไม่ได้มาตั้งแต่ตอนต้น และตอนนี้ เขากำลังต้องการใครสักคน มาช่วยให้ความกระจ่างกับเขา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×