ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Connect

    ลำดับตอนที่ #1 : นำเรื่อง

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.ค. 47


          ฝนยังคงเทกระหน่ำลงมาไม่หยุด ลมพัดกรรโชกอย่างแรง ฟ้าคำรามเสียงดังฟังดูน่ากลัว ต้นไม้เอนเอียงไปตามแรงลมราวกับจะหักโค่นลงมา ผู้คนต่างอาศัยหลบฝนอยู่ในที่ร่ม ในบ้าน ใต้ถุนอาคาร บนรถประจำทางและรถส่วนตัวที่ติดยาวบนท้องถนน



         เมื่อไหร่ช่วงเวลานี้จะผ่านพ้นไปนะ เมื่อไหร่ฝนจะหยุดตก ฉันจะได้ออกไปข้างนอกสักที ฉันจะได้เคลื่อนไปข้างหน้าสักที หลายคนเฝ้าภาวนาอยู่ในใจ



         แต่มีใครบางคนรอให้ถึงเวลาช่วงนั้นไม่ได้ ร่างเล็ก ๆ ของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งฝ่าสายฝนมาตามทางเดินอย่างไม่กลัวอันตรายใด ๆ



         “หมอคะ หมอ หมอไปดูแม่หนูหน่อย” เสียงเธอละล่ำละลัก เมื่อวิ่งมาถึงคลินิกแห่งหนึ่ง



         “หมอกลับไปแล้วหละ หนูคงต้องมาใหม่พรุ่งนี้” นั่นคือคำตอบที่เธอได้รับจากผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์



         “แต่แม่หนูกำลังจะตายนะคะ” เธอสะอื้นไห้ น้ำตาเริ่มไหลออกมาแข่งกับสายฝน



         “มันจะอะไรกันนักกันหนา” ผู้หญิงที่หน้าเคาน์เตอร์นึก ตอนนี้ฝนตกหนัก ลมพายุก็แรง   ใคร ๆ ก็คงไม่อยากเจอกับพายุฝนอย่างนี้หรอก หมอของเธอรีบกลับออกไปก่อนเวลาคลินิกปิดแล้วตั้งหลายชั่วโมงเพราะกลัวติดฝน ในขณะที่เธอต้องมาคอยเก็บข้าวของ จัดยาและจัดเวชระเบียนคนไข้ ทำความสะอาดคลินิก ไม่รู้ว่าอีกกี่ชั่วโมงจะได้กลับบ้าน “ไอ้ฝนบ้านี่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดซักที ไอ้ผัวตัวดีนั่นก็ไม่รู้จะมารับเมื่อไหร่”



          “ก็ได้ เดี๋ยวฉันจะลองพยายามติดต่อหมอดูนะ” เธอบอกเด็กหญิงไปเพื่อตัดรำคาญ รู้ทั้งรู้ว่าถ้าโทรศัพท์ไปหาหมอตอนนี้ คงโดนโวยวายกลับมา แต่ใครจะสนหละ ฉันต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อตัดปัญหานี้



          “ขอโทษทีนะ ฉันติดต่อหมอไม่ได้” เธอบอกหลังจากที่ทำท่ากดโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่ง



         “ลองอีกครั้งนะคะ ลองดูอีกครั้งหนึ่ง” เด็กหญิงร้องขอ



         “ได้ ได้ อีกแค่ครั้งเดียวนะ” น้ำเสียงเธอแสดงความขุ่นมัวให้รู้สึกได้ เด็กหญิงเห็นเธอกดโทรศัพท์อีกครั้งหนึ่ง



         “ติดต่อไม่ได้จริง ๆ หนูลองไปหาหมอที่คลินิกอื่นก็แล้วกัน”



         “คลินิกอื่น... แถวนี้ไม่มีคลินิกหมออีกแล้วนะคะ” เด็กหญิงเอ่ยถาม เพราะนอกจากคลินิกนี้แล้ว ย่านนี้ก็ไม่มีคลินิกหมออีกเลย



         “งั้นหนูลองไปถามดูแถว ๆ โรงพยาบาลดูสิ ห่างจากนี้ไปอีกซักสองกิโลได้มั้ง ไป ไป ไปได้แล้ว แม่หนูกำลังอาการไม่ดีไม่ใช่เหรอ” เธอแนะนำ และไล่เด็กหญิงอยู่ในที



         อีกสองกิโลเหรอ ตอนฝนตกรถติดอย่างนี้ไปรถเมล์คงใช้เวลาน่าดู ตอนที่เธอออกจากบ้านมาจนถึงตอนนี้ก็เกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ไม่รู้แม่เธอจะรอได้นานแค่ไหน หรือจะเรียกรถแท็กซี่กลับไปรับแม่ของเธอ เงินที่เธอมีติดตัวอยู่ตอนนี้ก็มีเพียงแค่ยี่สิบบาท



         รออีกไม่ได้แล้ว คงต้องวิ่งอีกแล้วหละ เธอตัดสินใจวิ่งออกไป



          วิ่ง วิ่ง วิ่ง ไปตามทางเดิน ผ่านตรอก ผ่านซอย ไปข้างหน้า



         “เอี๊ยด”



         “โอ๊ะ! อุ๊ย!”



         เสียงรถเบรกกะทันหัน พร้อม ๆ กับเสียงตกใจของเด็กหญิง เธอล้มลงไม่ห่างจากรถมากนัก รู้สึกเจ็บแปลบที่เข่าและข้อศอก เลือดไหลซิบออกมาตามบาดแผลที่เปิด



         “หนูเป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงผู้ชายคนขับรถร้องถามอย่างตกใจ เขาเปิดประตูรถเดินลงมา พยุงตัวเธอขึ้น



         “ไม่เป็นไรคะ แค่ถลอกนิดหน่อย” ความเจ็บปวดไม่รู้หายไปไหนหมด



         “หนูกำลังรีบ” สีหน้าของผู้ชายคนนั้นดูไม่ดีเลย เขาคงตกใจเหมือนกัน



         “หนูจะรีบไปไหนหละ ให้ฉันไปส่งไหม” เขาถาม



         “โรงพยาบาลค่ะ หนูจะไปตามหมอ แม่หนูไม่สบาย ไม่รู้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”



          “โรงพยาบาลรึ หมอเขาคงไม่สะดวกมาพบแม่หนูที่บ้านแน่ ให้ฉันไปรับแม่หนูมาที่โรงพยาบาลดีกว่านะ”

        

         “แต่หนู...” เด็กหญิงเหมือนจะกล่าวอะไร



         “อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย บอกทางไปบ้านหนูมาให้ฉันก็แล้วกัน” เขาบอก พลางเรียกให้เด็กหญิงขึ้นไปนั่งบนรถ

    ฝนเริ่มซาลงแล้ว รถเคลื่อนตัวฝ่ารถติดออกไปช้า ๆ



         “เมื่อไหร่จะถึงบ้านนะ” เด็กหญิงคิด



         “ท่าทางหนูรีบร้อนน่าดูเลยนะ” เขาชวนคุย ขณะที่อยู่บนรถ



         “แม่หนูกำลังจะตายคะ แม่เป็นโรคกระเพาะมานานแล้ว วันนี้แม่ปวดท้องมาก อาเจียนออกมาเป็นเลือดเยอะเลย แม่ปวดท้องมากจนลุกไม่ขึ้น” เด็กหญิงเล่าให้เขาฟัง เมื่อเห็นท่าทีเขาสนใจเป็นพิเศษ



         “อ้าวแล้วพ่อหนูหละ”



         “พ่อไปทำงานที่อื่นยังไม่กลับมาเลยค่ะ สองสามวันแล้ว” เด็กหญิงตอบ พ่อมักจะไปทำงานที่อื่นเสมอ อาทิตย์หนึ่งเธอจะมีโอกาสพบหน้าพ่อเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น งานที่พ่อทำทำให้ครอบครัวของเธอมีโอกาสอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันน้อยเหลือเกิน



        “น้าดูไม่เหมือน ผู้หญิงที่คลินิก.......(เธอเอ่ยชื่อคลินิก) ที่หนูออกมาเมื่อกี๊เลยนะคะ” เธอเปลี่ยนเรื่องชวนคุย



         “อ้าวทำไมหละ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม



         “เค้าไม่เห็นสนใจถามอะไรหนูอย่างนี้เลย” แววตาคนตอบ ไม่ได้แสดงเจตนายียวนกวนอารมณ์เลย



         ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ



         .............................................................................................................



         “ถึงแล้วคะ น้าต้องจอดรถตรงนี้ก่อน แล้วเดินเข้าไป” เด็กหญิงบอกให้ชายหนุ่มจอดรถไว้ข้างทาง ก่อนจะพาเขาเดินลัดเลาะไปตามทางคอนกรีตเล็ก ๆ ผ่านบ้านหลังต่าง ๆ ในชุมชนของเธอเข้าไป



         เกือบชั่วโมงแล้วที่เธอออกไป ไม่รู้ตอนนี้แม่จะเป็นยังไงบ้าง



         เมื่อเข้าไปในบ้านของเด็กหญิง ชายหนุ่มเห็นแม่ของเด็กหญิงนอนขดตัวอยู่บนพื้นบ้าน สีหน้าของเธอยังแสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับเธอ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย    ทั้ง ๆ ที่อากาศค่อนข้างจะเย็น  เลือดที่อาเจียนออกมาบางส่วนยังมีคราบแห้ง ๆ ปรากฏให้เห็นร่องรอยบนเสื้อผ้าของเธอ



         “จิ๋วพาใครมาลูก” เสียงเธอสั่น เมื่อพยายามเอ่ยถาม



         “น้าเขาจะพาแม่ไปหาหมอจ๊ะ แม่ไปโรงพยาบาลกับหนูนะ”



          แม่ของจิ๋ว พยายามยันตัวขึ้นมา ทำท่าเหมือนจะพูดอะไร



         “ให้ผมอุ้มพี่ไปที่รถดีกว่าครับ” แม้อยากจะขัดขืนก็คงทำไม่ได้ ชายหนุ่มเดินมาพยุงตัวเธอขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่พยายามอุ้มเธอขึ้นเขาทรุดตัวเหมือนเสียสมดุลร่างกาย ตัวเธอสะท้านไหวเล็กน้อย รู้สึกวูบเหมือนมีอะไรบางอย่างในตัวถูกดึงกระชากออกไป



         คงเป็นเพราะรู้สึกตกใจ กลัวว่าเขาจะทำเธอหลุดจากมือตกลงไปที่พื้น เธอคิด



         .............................................................................................................



         “คุณคะ เป็นอะไรหรือเปล่า ฉันเห็นหน้าตาของคุณไม่ค่อยดีมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” แม่ของจิ๋วเอ่ยถาม เมื่อเห็นเขาแสดงอาการบางอย่างคล้ายคนไม่สบายออกมา ใบหน้าเหมือนฝืนเก็บความรู้สึกเจ็บปวดอะไรบางอย่างไว้



         “คงเป็นเพราะตากฝนเมื่อกี้มั้งครับ ผมไม่ค่อยได้ตากฝนตัวเปียกอย่างนี้มานานแล้ว” ชายหนุ่มตอบ



         “แล้วพี่หละครับตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”



         “ค่อยยังชั่วแล้วหละค่ะ น่าแปลกนะคะที่เมื่อกี้เจ็บเหมือนจะเป็นจะตาย”



         จิ๋วยิ้มได้แล้ว เมื่อได้ยินแม่ของเธอบอกอย่างนั้น เมื่อครู่เธอยังเป็นห่วงแม่อยู่เลย กลัวว่าแม่จะไม่ได้อยู่กับเธออีกแล้ว



         .............................................................................................................



         หมอบอกกับจิ๋วและแม่ว่าแม่ของจิ๋วไม่ได้เป็นอะไรมาก ผลการตรวจพบว่าแผลในกระเพาะอาหารของแม่ไม่ใหญ่และไม่ได้ทะลุอย่างที่หมอคิด ที่สำคัญหมอยังคงสงสัยอยู่ว่าแผลเล็กขนาดนั้นจะทำให้มีเลือดออกในกระเพาะอาหารมากจนแม่เธออาเจียนออกมามากมายอย่างที่จิ๋วเล่าได้อย่างไร



         แม่ของจิ๋วเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าอาการของเธอดีขึ้นได้อย่างไร แต่แล้วเหมือนมีอะไรบางอย่างทำให้เธอหวนคิดไปถึงความรู้สึกวูบในขณะที่ชายหนุ่มคนนั้นอุ้มเธอขึ้นมา



         “ตอนนั้นมันรู้สึกตกใจกลัวจริง ๆ เหรอ...”



         แม่แข็งแรงขึ้นอย่างน่าแปลกใจ เดินเหินได้เหมือนคนปกติ ไม่เหมือนกับคนอาการเพียบหนักอย่างที่เคยเป็นเมื่อชั่วโมงก่อน หมอกำชับแม่ให้ดูแลตัวเองให้ดี อย่าให้อาการกำเริบขึ้นมาอีก เมื่อแม่ถามถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษา คำตอบที่ได้คือ ผู้ชายคนที่พามาเขาจัดการให้เรียบร้อยแล้ว



         “เห็นเขาบอกมีธุระบางอย่างต้องไปจัดการ เลยต้องขอกลับไปก่อน เขาฝากของไว้ให้คุณด้วยนะ บอกว่าเป็นของเล็ก ๆ น้อย ๆ ชดเชยกับการที่เขาทำลูกสาวคุณบาดเจ็บ” หมอบอกเมื่อแม่เอ่ยถามถึงเขา



         แม่รับซองกระดาษมาจากหมอ นึกขอบคุณและสงสัยชายหนุ่มคนนั้นอยู่ในที ซองกระดาษค่อนข้างมีน้ำหนักทีเดียว เมื่อแกะซองออกแม่พบเงินปึกหนึ่งอยู่ในนั้น หลังจากนับดูแล้วแม่และจิ๋วถึงกับตกใจกับจำนวนเงินนั้น



         หนึ่งหมื่นบาท!? หนึ่งหมื่นบาท เชียวหรือ สำหรับค่าชดเชยที่เขาทำให้จิ๋วเข่าถลอก!?



         “ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันนะ?” แม่และจิ๋วมองหน้ากันเหมือนพยายามจะหาคำตอบ



          .............................................................................................................



         กว่าช้อยจะได้กลับบ้านก็ปาเข้าไปห้าทุ่มกว่าแล้ว คืนนี้มีแต่เรื่องน่ารำคาญใจ ตั้งแต่หมอเจ้านายผู้เจ้ากี้เจ้าการให้เธอทำนู่นทำนี่ให้เสร็จ หลังจากที่เขาออกจากคลินิกไปก่อนเวลา เพราะกลัวติดฝน เด็กผู้หญิงน่ารำคาญที่พาตัวเปียก ๆ ของเธอเข้ามาในคลินิก มาร้องห่มร้องไห้บอกว่าแม่ตัวเองกำลังจะตาย รบเร้าให้เธอโทรศัพท์ไปหาหมอ ใครจะโง่โทรไปให้ถูกด่า เธอแกล้งทำท่าเหมือนกำลังโทรศัพท์หาหมอ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ติดต่ออะไรจริง ๆ เลย



         เอกสารหลายชิ้นที่ต้องจัดเก็บ สต็อกยาที่ต้องคอยเช็ค ไหนจะต้องทำความสะอาดคลินิกอีก แล้วเด็กผู้หญิงนั่นยังเอาตัวเปียก ๆ มาทำให้พื้นเปียกอีก นี่เธอจะเพิ่มงานให้ฉันอีกแล้วเหรอ ไม่มีทางหรอกที่เธอจะได้อย่างที่เธอต้องการ



         ผู้ชายท่าทางแปลก ๆ นั่นก็อีกคน ทั้ง ๆ ที่เธอบอกว่าคลินิกปิดแล้ว หมอไม่อยู่ ยังมาเคาะประตู รบเร้าขอซื้อยาแก้ปวดท้องจากเธออีก

    ถ้าหมอไม่สั่งเธอจะขายให้ได้ยังไงหละ



         แต่ใครจะไปรู้หละ เพราะเธอเป็นคนจัดสต๊อกยาเองนี่ แค่ยาแก้ปวดท้องเองทำไมเธอจะขายให้เขาไม่ได้ ถือว่าเงินที่ได้เป็นค่าเสียเวลาที่เธอต้องมาทำงานให้หมอจนดึกจนดื่นอย่างนี้ก็แล้วกัน เรื่องแค่นี้ถ้ารู้ออกไปข้างนอกก็คงไม่ทำให้คลินิกของหมอถูกปิดหรอก



         ตอนที่ช้อยตัดสินใจเปิดประตูให้เขาเข้ามา ชายคนนั้นผวาเข้ามาจับตัวของเธอ ตัวของเขาสั่นไม่หยุดเหมือนคนเจ็บปวดทุรนทุราย ร่างกายเปียกปอนจนดูไม่ออกว่ารอยเปียกและหยดน้ำที่ปรากฏให้เห็นนั้นเป็นน้ำฝนหรือว่าเหงื่อกันแน่



         ช้อยหยิบยาแก้ปวด และยาเคลือบกระเพาะมาให้เขาจำนวนหนึ่ง เธอเรียกเก็บเงินค่ายาทันทีก่อนที่จะส่งยาให้เขา ๒๕๐ บาท เขาคงไม่รู้หรอกว่าเธอโก่งค่ายาเขาไปเท่าไหร่



         “ถ้าไม่ได้พี่ผมคงแย่แน่เลย” เขาเอ่ยกับเธอหลังจากที่ทานยาไปแล้วหนึ่งชุด



         ก็แน่หละสิ ทำแล้วเงินมันเข้ากระเป๋าฉันนี่น่า อย่างแกจะไปรู้อะไร  



         “ไม่เป็นไรคะ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ช่วยกันได้ก็ช่วยกันไป” ช้อยบอก ทำท่าภูมิใจเหมือนตนเองได้ทำความดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต



         “พี่อย่าลืมเป็นคนมีน้ำใจอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ นะครับ” เขาบอกก่อนที่จะออกไป



         .............................................................................................................



         ครู่ใหญ่สามีของเธอจึงขี่รถจักรยานยนต์มารับ กลิ่นเหล้าโชยคุ้งมาเหมือนจะบอกว่าช่วงที่เธอทำงานงก ๆ อยู่นั้น สามีของเธอไปทำอะไรมา



         “ไอ้แม้น ขนาดฝนตกหนัก แกยังอุตส่าห์ไปหาเหล้ากินก่อนมารับฉันได้อีกนะ” ช้อยบ่น พลางรู้สึกแปลกที่ตอนดึกขนาดนี้ท้องของเธอเริ่มร้องและเกิดอาการปวดขึ้นนิด ๆ  



         ทำงานมาหนักสงสัยจะหิว ช้อยนึก



         “เดี๋ยวแวะไปหาอะไรกินที่ร้านโต้รุ่งก่อนแล้วกัน ฉันหิว” เธอบอกขณะที่สามีเธอเริ่มสตาร์ทรถ



          ท้องมันเริ่มปวดมากขึ้น มากขึ้นในขณะที่เธอซ้อนรถอยู่ มันอะไรกันนักกันหนาวะนี่ อาการปวดเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที จนเธอต้องเอามือกุมท้องไว้



          รถแล่นมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ความรู้สึกปวดท้องของช้อยกลับไม่ได้ลดน้อยลงเลย ช้อยรู้สึกปวดมากขึ้น มากขึ้นทุกที เหมือนมีหนอนเป็นร้อย ๆ เป็นพัน ๆ ตัวมาซอนไซอยู่ในบริเวณช่องท้องของเธอ รู้สึกเหมือนมันดิ้นรนกัดกินทุก ๆ สิ่ง ที่เป็นสิ่งกีดขวางที่มันสัมผัสเหมือนพยายามจะหาทางออก



          หยุดซักทีเถอะ หยุดดิ้นซักที



          ตัวช้อยสั่นสะท้าน มือทั้งสองข้างบีบกุมอยู่บริเวณหน้าท้อง เหงื่อกาฬผุดขึ้นเต็มใบหน้า



         “โอ๊ยยย” เธอร้องออกมา



         “อีช้อย มึงเป็นอะไรวะ” สามีเธอเอ่ยถามเมื่อได้ยินเสียง



         “กู...ปวดท้อง...อุ๊ยย.. อุ๊บ... โอ๊ก” ช้อยอาเจียนออกมาเป็นเลือด รดแผ่นหลังสามีของเธอ



         “เฮ้ย !..อีช้อย อะไรวะ” แม้นอุทาน ด้วยความตกใจ เขารีบขี่รถเข้าไปชิดริมถนน และหยุดรถเพื่อดูอาการของช้อย



         “มึง เป็นยังไงบ้างวะ”



         ช้อยหน้าซีดมาก ในตอนที่แม้นเอ่ยถาม เธอได้แต่พยายามฝืนบอก



         “พา..กู..ไป..หาหมอที..”



         “เดี๋ยวนะ เดี๋ยวนะ มึงทนไว้ก่อน เดี๋ยวกูจะพามึงไปหาหมอที่โรงพยาบาล...อีช้อย...อีช้อย”



         สติของช้อยเริ่มเลือนรางเต็มที เมื่อแม้นเรียกชื่อเธอตอนหลัง เสียงเรียกและท่าทีของแม้นคงเรียกร้องความสนใจผู้คนที่ผ่านไปมาพอสมควร เพราะความรู้สึกที่เลือนรางนั้น เธอเห็นรถคันหนึ่งแล่นมาจอดใกล้ ๆ กับรถของเธอ มีผู้ชายท่าทางคุ้น ๆ เดินลงจากรถมาคุยกับแม้นสามีของเธอ



         “หมอเหรอ”  



         เธอได้ยินเหมือนเขาแนะนำตัวว่าเป็นหมอ แม้นพาเขาเดินเข้ามาดูอาการของเธอ เขาสัมผัสท้องและจับแขนเธอเบา ๆ เหมือนตรวจชีพจร ขยับเอามือมาแตะที่หน้าผากของเธอเหมือนกำลังวัดไข้ ร่างของช้อยสะท้านขึ้น และรู้สึกเหมือนใจสั่น หลังจากนั้นอาการปวดที่ท้องจึงค่อย ๆ ลดลงไป



         สีหน้าของช้อยเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ  แต่ก่อนที่สติของเธอจะกลับมาสมบูรณ์ เธอรู้สึกเหมือนเห็นชายหนุ่มคนนั้นหันไปพูดอะไรบางอย่างกับสามีของเธอ



         .............................................................................................................



        เขาจากไปแล้ว ตอนที่ช้อยรู้สึกตัวเป็นปกติ แม้นยังคงนั่งพยุงตัวเธออยู่ พอเห็นเธอมีสติฟื้นขึ้น ก็แสดงอาการตื่นเต้นจนรู้สึกได้ ตั้งแต่แต่งงานกันมาช้อยเพิ่งรู้สึกว่า แม้นเองก็เป็นห่วงเป็นใยเธอไม่น้อย



        “อีช้อย มึงไม่เป็นไรแล้วจริง ๆ ด้วย ไอ้หนุ่มนั่นพูดถูก มาเดี๋ยวมึงไปหาหมอที่โรงพยาบาลกับกูอีกทีหนึ่ง ไอ้หนุ่มนั่นมันบอกไว้ให้ไปตรวจดูอีกที”



         “คนที่ช่วยฉันมันเป็นใครเหรอไอ้แม้น”



         “ไม่รู้สิ มันบอกฉันว่ามันเป็นหมอแผนโบราณ มันจะช่วยดูอาการให้แกก่อน เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้างก่อนแกจะไปถึงโรงพยาบาล แล้วมันยังพูดแปลก ๆ อยู่สองสามอย่าง...”



         แม้นนิ่งไป จนช้อยต้องเอ่ยถาม



        “มันพูดว่าไงเหรอ”



         “มันบอกว่าฝากขอบคุณแกด้วยที่ขายยาแก้ปวดท้องให้มัน มันบอกให้ฉันดูแลเอาใจใส่แกให้ดี แล้วก็บอกฉันว่า ฉันกับแกคงต้องเดินไปโรงพยาบาลเหนื่อยหน่อย เพราะรถฉันมันเสียแล้ว...ก็เมื่อกี้ยังขี่มันมาอยู่ดี ๆ มันจะเสียได้ไง...ไป อีช้อย ไปโรงพยาบาลกัน” แม้นเอ่ยชวน ในขณะที่เขาเดินไปจูงรถมาสตาร์ท



         “แปลกทำไมมันสตาร์ทไม่ติดวะ” แม้นบ่น หลังจากที่ลองพยายามสตาร์ทรถอยู่หลายครั้ง



         “หรือไอ้หนุ่มนั้นมันจะพูดถูก ว่ารถกูมันเสียวะ แล้วมันรู้ได้ยังไงวะเนี๊ยะ...อีช้อยสงสัย มึงกับกูคงต้องเดินกันไกลหน่อยหละทีนี้”



         ช้อยเงียบไปนานแล้ว ตั้งแต่รู้ว่าผู้ชายคนที่ช่วยเธอเป็นใคร จู่ ๆ ความรู้สึกเย็นวาบก็ผุดขึ้นที่สันหลังแล่นไล่ขึ้นมาจนถึงศีรษะ หน้ารู้สึกชาเหมือนกับว่ามีใครเอาอะไรซักอย่างมาตบเข้าอย่างแรง แล้วก็โยนสิ่งนั้นให้เธอแบกไว้ ใจคิดไปถึงเด็กผู้หญิงคนนั้น คนที่มาร้องห่มร้องไห้บอกว่าแม่ของตัวเองกำลังจะตาย และคำพูดแปลก ๆที่ผู้ชายคนนั้นทิ้งไว้ก่อนไป



         ....“พี่อย่าลืมเป็นคนมีน้ำใจอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ นะครับ”....



         หัวใจช้อยเต้นระรัว เหมือนจะพุ่งทะลุจากอกออกมากองอยู่ข้างนอก ตัวช้อยสั่นเหมือนสำนึกถึงความรู้สึกกลัวอะไรบางอย่าง พลันสติของเธอก็ดับวูบลงไปอีกครั้งหนึ่ง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×