คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เรื่องด่วน
๑.เรื่องด่วน
เมื่อรถฉุกเฉินจอดเทียบท่าตรงเชิงบันไดทางขึ้นตึกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่กู้ชีพและพยาบาลที่ดูแลคนไข้อยู่ในรถก็ดันประตูท้ายรถให้เปิดออก และเข็นเปลนำคนไข้เข้าตัวตึกอย่างรีบเร่ง
หญิงสาวอีกคนหนึ่งที่นั่งรถติดมาด้วยอายุไล่เลี่ยกันกับคนไข้ หลังจากที่เดินลงมาจากรถเธอเดินตามเจ้าหน้าที่กู้ชีพและพยาบาลที่ดูแลคนไข้ตามเข้าไปในติดๆ
พยาบาลที่ไปรับคนไข้มาจากที่เกิดเหตุแจ้งข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับคนไข้ให้กับหมอผู้ชายวัยกลางคนที่เดินเข้ามาดูอาการของคนไข้ทันที ป้ายชื่อของเขาบอกให้ทราบว่าชื่อ นพ.สำราญ ลาภเจริญ
“คนไข้ชื่อดวงรัตน์ กุลนาวัฒน์ คาดว่าคงนอนหมดสติมาได้ประมาณสองวันแล้วก่อนที่เพื่อนของเธอจะเข้าไปเจอที่ห้องพักค่ะ หมอ”
“ความดันกับชีพจรคนไข้เป็นยังไง” หมอสำราญถามพลางใช้มือตรวจชีพจรคนไข้ไปพลาง
“คนไข้ความดันต่ำมากเลยค่ะวัดได้ 70/40 มิลลิเมตรปรอท ชีพจรเบาและช้ามาก เต้นประมาณ 40 ครั้งต่อนาที คนไข้หายใจประมาณ 12 ครั้งต่อนาที น่าจะใส่ท่อช่วยหายใจนะค่ะหมอ” พยาบาลให้ข้อมูลและให้ความเห็นประกอบ
“อุณหภูมิร่างกายล่ะ เท่าไหร่”
“เอ่อ...อุณหภูมิร่างกายประมาณ 35.5 องศาเซลเซียสค่ะ”
“ปริมาณอ๊อกซิเจนในเลือดล่ะ”
“วัดได้ประมาณ 60-70 เปอร์เซ็นต์ค่ะ”
“ถ้าอย่างงั้นต้องใส่ท่อช่วยหายใจแล้วล่ะ เตรียมเครื่องช่วยหายใจให้ผมด้วย”
สิ้นคำสั่งของหมอสำราญ พยาบาลใช้เวลาไม่นานนักในการเตรียมเครื่องช่วยหายใจ หลังจากที่ใส่ท่อช่วยหายใจให้คนไข้แล้ว หมอสำราญจึงเอ่ยปากซักถามประวัติคนไข้จากพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง
“คนไข้มีประวัติเป็นโรคเบาหวานหรือเป็นโรคความดันหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ สอบถามเพื่อนคนไข้แล้วไม่มี”
“ไม่มีเหรอ?” น้ำเสียงบ่งให้รู้ว่ามีข้อสงสัยบางอย่าง
หมอสำราญ ลองเขย่าตัวของคนไข้ดูเพื่อทดสอบความรู้สึกตัว แต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ จากคนไข้ เขาเปิดเปลือกตาของคนไข้และใช้ไฟฉายส่องดูการหดขยายของรูม่านตา พบว่ามันยังปฏิกิริยาต่อแสงเท่ากันทั้งสองข้าง
หมอสำราญสั่งพยาบาลให้วัดความดันของคนไข้ซ้ำ เมื่อพบว่าความดันของคนไข้ยังอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง จึงให้ยาเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและให้ยาเพิ่มความดันโลหิตกับคนไข้ พร้อมกับสั่งให้พยาบาลทำเรื่องส่งตัวคนไข้เข้าไปรักษาตัวที่หอผู้ป่วยหนักทันที ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการของคนไข้อยู่
...ไม่มีประวัติเป็นโรคเบาหวานหรือเป็นโรคความดัน อะไรทำให้คนไข้หมดสติได้ขนาดนี้นะ...
แต่ความสงสัยนี้เกิดขึ้นได้ไม่นาน หมอสำราญก็ถูกดึงความสนใจจากเสียงเรียกของพยาบาลอีกคนในแผนกที่เรียกเขาให้ไปดูอาการของคนไข้อุบัติเหตุที่เพิ่งถูกส่งตัวเข้ามา
*****************************
ดวงรัตน์นึกว่าเธอตายไปแล้ว แต่เธอก็ยังไม่ตาย
หลังจากที่ตกอยู่ในความมืดมิดอยู่นาน ดูเหมือนจะมีบางสิ่งบางอย่างคอยกระตุ้นเร้าให้เธอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
ดวงรัตน์หลงดีใจว่าเธอได้ตื่นจากฝันร้ายที่มีมันมาคอยราวีแล้ว
แต่ไม่ใช่...มันกลับกลายเป็นว่าเธอตื่นจากความมืดมาสู่ความฝันอีกครั้งหนึ่งต่างหาก
...ความฝันซึ่งเป็นความฝันเดิมที่ยังคงมีร่างของมันปรากฎให้เห็นอยู่ตรงหน้า
...มันไล่ล่า เธอวิ่งหนี เมื่อเธอเหนื่อยและล้มลง มันฉุดคร่าและกลืนกินหัวใจเธอ...จากนั้นในขณะที่เธอคิดว่าชีวิตของตนเองคงดับสิ้นลงแล้ว ทุกอย่างจะมลายหายไปกลายเป็นความมืด...แต่แล้วช่วงระยะเวลาไม่นานเธอก็ตื่นขึ้นมาอีก และถูกมันไล่ล่าอีก...เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนดวงจิตของดวงรัตน์เริ่มรู้สึกจะทนไม่ไหว บอกกับตัวเองว่าอยากจะตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
...แต่เธอก็ยังไม่ตาย...
...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...ดวงจิตของดวงรัตน์ดิ้นรนไขว่คว้าหาคำตอบ
...พอซักทีเถอะ พอซักที...ใครก็ได้ช่วยที ช่วยทำให้ฉันตื่นจากความฝันนี้เสียทีเถอะ...
*****************************
ตอนเวลาสิบโมงครึ่ง เสียงเครื่องตรวจวัดสัญญาณชีพของคนไข้ดังระรัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ดูเหมือนว่าพยาบาลและแพทย์เวรประจำหอผู้ป่วยหนักซึ่งเคยตื่นตระหนกในช่วงวันแรกๆ จะเริ่มรู้สึกชินชากับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว
...นับจากวันแรก วันที่คนไข้หญิงที่ชื่อดวงรัตน์ กุลนาวัฒน์ถูกส่งตัวเข้ามารักษาตัวที่หอผู้ป่วยแห่งนี้ ห้าวันมานี้มีคนไข้อาการคล้ายคลึงกับเธอถูกส่งตัวมาเพิ่มอีกสองคน และสิ่งที่เหมือนกันตลอดเวลาที่คนไข้ทั้งสามคนนั้นนอนอยู่ในตึกผู้ป่วยหนักแห่งนี้ก็คือ คนไข้จะมีอาการนอนกระสับกระส่ายสลับกับนอนหมดสติอยู่นิ่งๆ วันเว้นวันอย่างสม่ำเสมอ และทุกครั้งที่พวกเขามีอาการนอนกระสับกระส่ายเสียงเครื่องตรวจวัดสัญญาณชีพก็จะดังระรัวขึ้นทุกครั้งเหมือนกัน
หลังจากดูอาการของคนไข้ทั้งสามและให้ยาปรับความดันอยู่ครู่หนึ่ง เสียงโทรศัพท์ที่เคาน์เตอร์งานก็ดังขึ้น
“ฮัลโหล ไอซียูค่า” พยาบาลที่อยู่ใกล้โทรศัพท์ที่สุดเป็นผู้รับสาย
“ค่ะ..ค่ะ เดี๋ยวจะแจ้งให้หมอทราบนะคะ” เธอเอ่ยปากรับคำคนที่พูดอยู่ต้นสาย
หลังจากที่เธอวางหูโทรศัพท์ หมอพิษณุซึ่งเป็นแพทย์เวรก็เอ่ยถามเธอทันที
“มีอะไรเหรอ นิตย์”
“เดี๋ยวจะมีคนไข้ที่มีอาการเหมือนคนไข้ที่นอนไม่ได้สติอยู่ที่นี่ถูกส่งมาอีกสองคนค่ะ แล้วตึกบนเขาฝากบอกมาว่าหลังจากที่หมอดูอาการของคนไข้เสร็จแล้วให้เข้าประชุมชี้แจงข้อมูลให้ผอ.ด่วนค่ะ”
“เรื่องด่วนเหรอ อย่าบอกนะว่า เขาสงสัยว่ามันจะเป็น...”
“ค่ะ เขากลัวว่ามันอาจจะมีการระบาดของโรคบางอย่างเกิดขึ้นในเขตพื้นที่เรา”
*****************************
สิบเอ็ดโมงเกือบครึ่งการประชุมของหมอและพยาบาลระดับหัวหน้าเวรและหัวหน้าตึกที่เกี่ยวข้องจากตึกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน และตึกผู้ป่วยหนักรวมจำนวนแปดคนจึงเริ่มขึ้น
“สำราญ คุณเป็นคนแรกที่พบเคสนี้ใช่มั๊ย” ผู้อำนวยการเอ่ยถามผู้เข้าร่วมประชุมเพื่อนำสู่ประเด็นที่จะพูดคุยกันทันที
“ครับ ผอ. เมื่อห้าหกวันก่อน แล้วหลังจากนั้นอีกสามวันก็มีคนไข้ทะยอยเข้าอีกประมาณวันล่ะคนครับ”
“ตอนนี้มียอดคนไข้ที่มีอาการอย่างนี้กี่คนแล้ว” ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอ่ยถามหมอสำราญอีกครั้งหนึ่ง
“ยอดรวมกับคนไข้ที่ถูกส่งตัวมาเมื่อเช้าตอนนี้ก็ห้าคนแล้วครับ” หมอสำราญรายงาน “ห้าคนเหรอ...” ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทวนจำนวนคนไข้ ณ ปัจจุบันก่อนเอ่ยถามกับที่ประชุมอีกครั้งหนึ่ง
“ใครมีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมอีกบ้าง”
“คนไข้ทุกคนไม่มีประวัติเจ็บป่วยเป็นเบาหวานหรือเจ็บป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับความดันโลหิต แต่มีอาการร่วมอย่างหนึ่งที่คนไข้มีเหมือนกันก็คือ คนไข้มีประวัติเป็นลมหมดสติโดยไม่ทราบสาเหตุ ก่อนที่จะเกิดอาการอย่างนี้ประมาณหนึ่งหรือสองสัปดาห์ค่ะ” หนึ่งในห้าพยาบาลที่เข้าร่วมประชุมรายงานข้อมูลให้กับที่ประชุมทราบเพิ่มเติม
“แล้วเส้นเลือดในสมองล่ะ”
“ส่ง CT Brain แล้ว ผลปกติ ไม่มีเส้นเลือดในสมองแตก และไม่มีอาการเลือดคั่งในสมองค่ะ” พยาบาลคนเดิมเอ่ยตอบ
“เป็นไปได้มั๊ยค่ะว่าคนไข้หมดสติเพราะสูดดมเอาก๊าซพิษบางอย่างที่ลอยอยู่ในอากาศเข้าไป” พยาบาลอีกคนหนึ่งที่นั่งติดอยู่กับหมอสำราญเอ่ยถามกับที่ประชุม
“เป็นไปได้เหมือนกันครับ แต่หลังจากที่ผมส่งตัวอย่างเลือดให้ห้องแล็บเขาตรวจแล้ว เราไม่พบว่ามีก๊าซพิษในร่างกายผู้ป่วยครับ” คราวนี้เป็นหมอพิษณุจากแผนกผู้ป่วยหนักหรือไอซียูเป็นผู้ให้ข้อมูลกับที่ประชุม
“งั้นก็หมายความว่า ไม่มีอาการทางกายใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการหมดสติของผู้ป่วยเลยใช่มั๊ย” ผู้อำนวยการเอ่ยถามกับที่ประชุม ก่อนที่เขาเองจะเอ่ยถามถึงสมมติฐานใหม่
“แล้วอาการทางใจล่ะ มันมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า”
“เรายังไม่ได้ตรวจครับ เรื่องนี้ผมคิดว่าเราคงต้องให้ทางจิตเวชเขาเข้ามาช่วยตรวจสอบร่วมด้วย” หมอสำราญเอ่ย
“งั้นพวกคุณก็ส่งเรื่องปรึกษาทางจิตเวชเลยก็แล้วกัน แล้วก็ช่วยกันหาคำตอบให้ผมเร็วๆ ด้วยว่าอะไรกันแน่ที่มันทำให้คนตั้งหลายคนหมดสติในเวลาไล่เลี่ยกันเหมือนเกิดโรคระบาดในพื้นที่เราอยู่ในตอนนี้
สำราญ เรื่องนี้ผมให้คุณเป็นคนรับผิดชอบนะ ส่วนพิษณุคุณเข้ามาช่วยสำราญเขาอีกแรงหนึ่งด้วยก็แล้วกัน วันนี้พอแค่นี้ก่อน...อย่าลืมหาคำตอบมาให้ผมเร็วๆ ก่อนที่สาธารณสุขจังหวัดกับคนที่กระทรวงเขาจะเข้ามาตั้งคำถามกับผมก็แล้วกัน” ผู้อำนวยการมอบหมายงานและกล่าวปิดการประชุม ก่อนที่เขาจะลุกและเดินออกไปจากห้องประชุมเป็นคนแรก
หลังจากผู้อำนวยการออกไปแล้ว หมอสำราญยังง่วนอยู่กับการจัดเก็บเอกสารบนโต๊ะ หมอพิษณุซึ่งได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานจากผอ.เหมือนกันยังรอท่าที่จะเข้าไปคุยกับหมอสำราญเกี่ยวกับเรื่องงานที่พวกเขาได้รับมอบหมาย ส่วนหมอและพยาบาลคนอื่นๆ ค่อยๆ ทยอยออกจากห้องประชุมไปทีละคน
“หมอ คิดว่ายังไงครับ งานนี้” หมอพิษณุเอ่ยถามเมื่อมีโอกาส
“จะให้ผมว่ายังไงได้ล่ะ ในเมื่อผอ.เขามอบหมายงานมาให้อย่างนี้ ก็คงต้องดูๆ กันไป งานนี้คงต้องลำบากหมอด้วยเหมือนกัน”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เคสทั้งหมดผมก็ดูอยู่เหมือนกัน แล้วนี่หมอจะทำยังไงต่อ”
หมอสำราญยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะเอ่ยตอบ
“ถามได้ ก็ต้องไปที่แผนกจิตเวชนะสิ หมอจะไปกับผมหรือเปล่า”
หมอพิษณุมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ ตอนนี้เพิ่งเลยเวลาเที่ยงไปไม่นานนัก เขายังพอมีเวลาอยู่บ้างก่อนที่จะไปขึ้นเวรตอนบ่ายต่อ
“ไปสิครับ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าทางจิตเวชเขาจะคิดกับเรื่องนี้ว่ายังไง” หมอพิษณุตอบ
ความคิดเห็น