ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Reborn] Flawless X95

    ลำดับตอนที่ #6 : The Truth

    • อัปเดตล่าสุด 3 ต.ค. 64


    Chapter 6

     

    You know the truth by the way it feels.

    (เธอรับรู้ความจริงของสิ่งนั้นได้ จากความรู้สึกที่มันมอบให้เธอ)

     

     

    ผืนทะเลกว้างเบื้องหน้าสะท้อนกับท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดสนิท แววตาอำพันจ้องภาพตรงหน้าอย่างเคลิ้มลอย ในสมองไม่มีความคิดใดๆรบกวน สาวน้อยค่อยๆเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดมิด ดวงดาวเปล่งประกายสะท้อนกับแววตาสวยของเธอ ร่างเล็กจ้องมองท้องฟ้าอยู่เนิ่นนาน ความมึนงงในหัวทำให้จิตใจเธอสงบ ความกังวลความเครียดใดๆมลายหายไปโดยสิ้น ลมเย็นที่ปะทะกับใบหน้าเล็กทำให้ผิวของเธอรู้สึกชา สมองเองก็ชาจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์เช่นเดียวกัน

     

    เปลือกตาค่อยๆปิดรับสัมผัสของลมเย็นที่ปะทะเข้ากับใบหน้า ความรู้สึกภายในใจทั้งหมดหายไปพร้อมกับท้องฟ้าที่มืดมิดนั้น เคียวโกะค่อยๆลืมตาขึ้นเมื่อเริ่มประคองสติได้ก่อนจะเดินกลับไปยังห้องสมุด ร่างเล็กเดินอย่างเชื่องช้าจนในที่สุดก็ถึงห้องนอนของเธอเอง

     

    น้ำหนักของตัวถูกทิ้งลงบนเตียงทันทีที่เดินมาถึง ความรู้สึกหนักหัวหายไปทันทีที่ศีรษะแนบชิดกับสัมผัสนุ่มของเตียง ความคิดในหัวที่สงบราวกับความเงียบยามรัตติกาลส่งเธอเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างง่ายดาย ไม่มีแม้แต่ภาพฝันใดๆที่บังอาจรบกวนห้วงนิทรานั้น

     

     

    ------------------------------------------

     

     

    จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ

     

    เสียงของนกที่ร้องอย่างไพเราะปลุกให้สาวน้อยตื่นขึ้น แสงแดดอุ่นที่ส่องลอดผ่านม่านโปร่งนั้นเข้ามาย้อมเส้นผมสีน้ำผึ้งของเธอให้เงางาม ผิวพรรณเนียนถูกแสงนั้นย้อมเป็นสีขาวนวลเปล่งปลั่ง ราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบอย่างดี เปลือกตาสวยเปิดขึ้นช้าๆ ความมึนงงภายในหัวหายไปหมดสิ้นแล้ว ความรู้สึกหนักอึ้งภายในใจเบาขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับว่าความกังวลได้ลอยหายไปพร้อมกับค่ำคืนที่ผ่านพ้นไปแล้ว

     

    ร่างเล็กลุกขึ้นก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องอาบน้ำเพื่อชำระล้างกาย ดวงตามองไปยังทิวทัศน์ภายนอกหน้าต่างของห้องอาบน้ำ แนวใบไม้สีส้มสลับเหลืองอ่อน บรรยากาศยามเช้าแสนงดงาม

     

    ‘อากาศน่าจะต้องดีมากแน่เลย ไปเดินเล่นหน่อยดีกว่า’

     

    ในหัวของเคียวโกะวางแผนสิ่งที่เธอจะทำในวันนี้ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าพี่สาวคนดีเองก็จะมาวันนี้เช่นกัน

     

    ‘วันนี้คุณเบียงกี้จะมานี่นา จะมากี่โมงนะ…’

     

    พอรู้ว่าจะมีเพื่อนมาอยู่ด้วย ในใจของสาวน้อยก็สงบลงมากกว่าเดิม ร่างเล็กที่จัดการชำระล้างตัวเสร็จเปลี่ยนเป็นชุดเดรสสีขาว เนื้อผ้าโปร่งสบายถึงแบบนั้นก็ให้ความอบอุ่นกับร่างเล็กได้อย่างดี ขาเรียวก้าวออกจากห้องนอนของเธอไปสู่ตัวปราสาทกว้างใหญ่ ปราสาทที่ทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวเหลือเกิน

     

    ร่างเล็กเดินมาจนถึงห้องอาหารในที่สุด ก่อนจะเปิดเข้าไป เสียงของพ่อบ้านประจำปราสาทเอ่ยทักทายยามเช้าแทบจะทันที

     

    “อรุณสวัสดิ์ครับคุณซาซางาวะ”

     

    เสียงอันนุ่มนวลของพ่อบ้านพูดขึ้น กิริยาท่าทาง บรรยากาศที่เขาสร้างขึ้นทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายไม่กดดัน ดวงตามองกวาดไปรอบห้อง ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากเธอและพ่อบ้าน สาวน้อยรู้สึกแปลกใจนิดๆจึงเหลือบไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง

     

    เก้าโมงเช้า

     

    สมาชิกของวาเรียคนอื่นๆยังไม่ตื่นกัน หรือว่ารับประทานข้าวเช้ากันไปหมดแล้วนะ เคียวโกะนึกสงสัยในใจ ลังเลว่าจะถามพ่อบ้านดีไหมด้วยความกลัวเสียมารยาท เพราะถึงอย่างไรเธอก็เป็นแขกส่วนพวกเขาเป็นเจ้าบ้าน การถามถึงกิจวัตรประจำวันของเจ้าบ้านคงไม่เหมาะสมเท่าไร

     

    อีกความคิดพลันแล่นเข้ามาในหัวของเธอ ถ้าหากเธอรู้กิจวัตรประจำวันของพวกเขาน่าจะทำให้เธอเลี่ยงการปะทะได้มากกว่า แบบนั้นอาจจะดีกว่าก็ได้ เธอเองก็อยากอยู่อย่างสงบที่สุดเท่าที่จะทำได้แหละนะ

     

    “คนอื่นล่ะคะ?”

     

    พ่อบ้านเงยหน้าขึ้นมาจากการทำความเคารพก่อนหน้า เขาตอบคำถามเธอเรียบๆโดยไม่ได้มองมาทางเธอ กิริยาสมกับเป็นพ่อบ้านประจำตระกูลผู้ดีอย่างที่สุด

     

    “ติดธุระน่ะครับ”

     

    คำตอบที่ไม่คลายความสงสัยภายในใจเธอเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงแบบนั้นเคียวโกะก็ยิ้มให้กับคำตอบนั้น ไม่ได้ถามอะไรที่เสียมารยาทต่อ ร่างเล็กเดินไปนั่งที่เก้าอี้ใหญ่เบื้องหน้า ไม่นานอาหารเช้าก็ถูกจัดแจงให้กับเธอ

     

    อันโตนิโอยกเหยือกน้ำขึ้นมาก่อนจะรินน้ำลงในแก้วเบื้องหน้าเธอ เคียวโกะจึงใช้จังหวะนี้ถามเขาอีกคำถามหนึ่ง

     

    “คุณเบียงกี้จะมาช่วงไหนหรอคะ?”

     

    น้ำเสียงหวานที่ไม่กดดันผู้ตอบเลยแม้แต่น้อย

     

    “ช่วงบ่ายๆครับ คุณเบียงกี้แจ้งมาว่าวันนี้อาจจะไม่ได้ค้างนะครับ”

     

    คำตอบของเขาทำเอาใจของสาวน้อยโหวงนิดๆ ความหวังที่จะมีคนที่ให้ความรู้สึกสบายอยู่ด้วยหายไปทันที แต่อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศในตอนนี้ที่มีเพียงเธอกับพ่อบ้าน ทำให้เธอไม่รู้สึกกังวลเท่าเมื่อวานที่เธอถูกทิ้งไว้เผชิญกับสมาชิกวาเรียคนอื่นๆเพียงคนเดียว

     

    หลังจากเคียวโกะทานนอาหารเช้าเสร็จ เสียงของพ่อบ้านก็ถามอย่างสุภาพอีกครั้ง

     

    “รับของหวานเป็นอะไรดีครับ มีพานาคอตต้า ทีรามิสุ หรือเจลาโต้ดีครับ”

     

    เคียวโกะฟังตัวเลือกต่างๆด้วยความเกรงใจ ไม่คิดว่าทางปราสาทจะเตรียมของหวานไว้ให้เธอเลือกมากมายขนาดนี้ เธอเองก็ควรจะเลือกอะไรสักอย่างเพื่อรักษามารยาทสินะ

     

    “ทีรามิสุ... ละกันค่ะ”

     

    ไม่นานหลังจากเธอตอบ ของหวานก็ถูกเสิร์ฟตรงหน้าเธอ มือเล็กหยิบส้อมขึ้นมาก่อนจะค่อยๆรับประทานมัน แววตาเหลือมองไปที่นาฬิกา เป็นเวลาเกือบสิบโมงครึ่งแล้ว ห้องอาหารนี้ไม่มีคนอื่นจำเป็นต้องใช้เลยเหรอนะ

     

    หลังจากเธอทานทุกอย่างเสร็จ สาวน้อยที่ถูกฝึกมารยาทมาอย่างดีก็เอ่ยขอบคุณชายที่ดูแลให้บริการเธอมาโดยตลอด

     

    “ขอบคุณนะคะ”

     

    ศีรษะของชายสูงอายุพยักทีหนึ่งเป็นเชิงตอบรับ

     

    เคียวโกะกำลังวางแผนต่อจากนี้ ดูเหมือนเธอจะมีเวลาว่างอีกนานมากจนกว่าเบียงกี้จะมาหาเธอ เป็นไปได้เธอก็ไม่อยากเดินเล่นมั่วซั่วจนเท่าไร เพราะตอนนี้เธอไม่รู้ว่าสมาชิกคนอื่นๆกำลังทำอะไรอยู่ หรือจะกลับมาเมื่อไร คนพวกนั้นที่ปั่นหัวเธอเล่นจนทำให้เธอปวดหัวไปหมด สาวน้อยอยากอยู่อย่างสงบๆ ในหัวพลันนึกถึงห้องสมุดชั้น 3 ที่เธอดูลาดเลามาเมื่อคืน เดาว่าที่แบบนั้นสมาชิกคนอื่นคงไม่น่าไปอยู่หรอก ดูจากนิสัยของพวกเขาแล้วความเป็นไปได้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินสุดๆ ถ้าแบบนั้นเธอก็น่าจะได้พักผ่อนอย่างสงบๆสักที

     

    “เดี๋ยวฉันไปอยู่ที่ห้องสมุดนะคะ ถ้าคุณเบียงกี้มาถึงแล้วฝากไปตามด้วยนะคะ”

     

    เธอฝากฝังกับพ่อบ้านอย่างสุภาพ เขาจะได้ไม่ต้องตามหาตัวเธอให้ลำบาก ก่อนจะลุกขึ้นแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องสมุด

     

    ร่างเล็กที่เดินมาถึงหน้าซุ้มประตูโค้งของห้องสมุดตะลึงกับวิวทิวทัศน์ตรงหน้า ภาพที่เธอจินตนาการไว้เมื่อคืนเทียบไม่ได้กับภาพที่เธอเห็นในตอนนี้ด้วยซ้ำ แสงแดดที่ส่องผ่านแนวหน้าต่างเข้ามาขับให้บรรยากาศภายในห้องผ่อนคลาย แสงสว่างที่เพียงพอจนไม่จำเป็นต้องใช้ไฟเลยสักดวง แววตากวาดสำรวจในห้องกว้างนั้น ไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียวอย่างที่เธอคาดการณ์ไว้ ขาเรียวก้าวไปยังหน้าชั้นหนังสือที่สูงกว่าเธอหลายเท่าตัวนัก เพดานของห้องนี้สูงกว่าอาคารโดยทั่วไปมาก

     

    ดวงตาสีอำพันกวาดมองหนังสือที่ถูกเรียงรายอย่างดีบนชั้น บนสันของมันส่วนใหญ่ล้วนเป็นภาษาอิตาลี ถึงเธอจะเริ่มเรียนภาษาอิตาลีมาบ้างเพราะกำลังจะแต่งงานกับวองโกเล่รุ่นที่สิบ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังไม่สามารถอ่านได้คล่องมากนัก จะให้เอามาอ่านฆ่าเวลาคงไม่บันเทิงเท่าไร ดวงตาจึงกวาดมองไล่ไปเรื่อยๆ จนสะดุดเข้ากับนิยายภาษาอังกฤษเล่มหนึ่ง

     

    เคียวโกะหยิบหนังสือนิยายเล่มนั้นออกมา ไม่ได้สนใจอ่านเนื้อเรื่องย่อหลังปกด้วยซ้ำ ก่อนจะเดินไปที่โซฟาใหญ่กลางห้อง เธอมองไปที่นอกหน้าต่างบานใหญ่ สวนหลังปราสาทที่สนามหญ้าเป็นสีเขียวสดใส ต้นไม้สีส้มสลับเหลืองตามฤดูกาล ท้องทะเลสีน้ำเงินสวย บรรยากาศงดงามที่ทำให้สาวน้อยรู้สึกผ่อนคลายจากความตึงเครียดทุกอย่าง

     

    การไม่ต้องรับมือกับสมาชิกคนอื่นในปราสาทแห่งนี้ คงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเธอ

     

    มือเล็กเปิดอ่านหนังสือนิยายในมือ ปล่อยให้เวลาว่างของเธอล่วงเลยไป

     

     

    ------------------------------------------

     

     

    เวลาผ่านไปเนิ่นนาน สาวน้อยอ่านนิยายในมือได้ประมาณครึ่งเรื่องแล้ว เนื้อหาของมันไม่ได้น่าสนใจเท่าไร แต่ถึงแบบนั้นสาวน้อยก็ไม่ได้หงุดหงิดใจอะไร เธอเป็นคนประเภทที่ว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้น เรื่องวุ่นวาย ความขัดแย้งต่างๆมักทำให้เธอปวดหัวโดยไม่จำเป็น เธอจึงมักจะปล่อยผ่านเรื่องที่ไม่ได้สำคัญเท่าไรไปเสมอ

     

    “คุณเบียงกี้มาถึงแล้วครับ ผมให้ขึ้นมาพบเลยนะครับ”

     

    เสียงของพ่อบ้านเรียกความสนใจจากเธอ สาวน้อยกำลังจะตอบรับว่าเดี๋ยวเธอลงไปแต่พ่อบ้านเดินจากไปแล้ว ในใจรู้สึกถึงความเกรงใจอย่างมาก ตอนแรกตั้งใจว่าจะให้เขาช่วยตามเธอลงไปหาคุณเบียงกี้ ไม่ได้ถึงขนาดให้เบียงกี้ต้องเป็นคนขึ้นมาหาเธอ

     

    เขาปฏิบัติราวกับว่าเธอเป็นเจ้าของปราสาทนี้อย่างไรอย่างนั้น

     

    “เอ่อ... ขอบคุณค่ะ”

     

    เสียงขอบคุณจากสาวน้อยแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน เพราะคนที่เธอตั้งใจจะตอบรับไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว

     

    ไม่นานเกินรอหญิงสาวผมสีม่วงอ่อนก็ปรากฏตัวขึ้น ใบหน้างดงามของเบียงกี้ทำให้เคียวโกะรู้สึกประทับใจเสมอมา การมาถึงของพี่สาวคนดีของเธอทำให้สาวน้อยรู้สึกอุ่นใจขึ้นอย่างมาก

     

    “เป็นไงสาวน้อย เหงาไหม”

     

    เสียงที่ฟังกี่ครั้งก็ชวนหลงใหลกล่าวขึ้น ประโยคที่พี่สาวคนดีทักทายเธอทำให้เธอฉุกคิดครู่หนึ่งถึงคำพูดก่อนหน้าของพ่อบ้าน ว่าเบียงกี้จะไม่ค้างด้วยคืนนี้ แสดงว่าคุณเบียงกี้น่าจะมีธุระสำคัญอะไรบางอย่างแน่ คำตอบของเธอไม่ควรจะทำให้เบียงกี้เป็นห่วงไปมากกว่านี้สินะ

     

    “ไม่เหงาเลยค่ะ ปราสาทวาเรียบรรยากาศดีมากเลย”

     

    รอยยิ้มอบอุ่นประดับบนใบหน้าหวานของเคียวโกะทันที เธอไม่ได้ลงรายละเอียดว่า ‘บรรยากาศดี’ ที่เธอพูดถึง หมายถึงเรื่องของดินฟ้าอากาศและวิวทิวทัศน์ ไม่ใช่เรื่องของบรรยากาศที่สมาชิกวาเรียสร้างความกดดันให้กับเธอ พี่สาวตรงหน้าจะได้ไม่ต้องรู้สึกกังวล

     

    “ดีแล้วล่ะ…”

     

    เบียงกี้พูดออกมาอย่างโล่งใจ ในแววตาสีเขียวของหญิงสาวที่อายุมากกว่าฉายแววเป็นห่วงเล็กๆ ก่อนจะพูดต่อในสิ่งที่จำเป็นต้องพูด

     

    “เย็นนี้ฉันต้องบินไปญี่ปุ่นหน่อย ดูเหมือนฮายาโตะเองก็ตกที่นั่งลำบาก...”

     

    “ค่ะ... คุณเบียงกี้ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอกนะคะ ฉันอยู่ได้”

     

    เคียวโกะรีบออกตัวก่อนเพื่อไม่ให้เบียงกี้ต้องลำบากใจ ถึงเบียงกี้จะไม่เล่าอะไรมาก แต่ดูแล้วสถานการณ์ของวองโกเล่ที่ญี่ปุ่นคงไม่ดีเท่าไร แสดงว่าวันนี้ที่เบียงกี้เจียดเวลามาหาเธอก็เพื่อดูว่าเธออยู่ที่นี่แล้วสะดวกสบายดีไหม แบบนั้นก็น่าเกรงใจเกินไป เธอควรจะให้พี่สาวคนดีให้เวลากับสิ่งอื่นที่สำคัญกว่า 

     

    “อีกสักสองสามวัน ฉันจะมาอยู่เป็นเพื่อนนะ ขอโทษจริงๆ”

     

    ประโยคที่ทำให้เคียวโกะเกรงใจมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว พี่สาวตรงหน้าต้องบินข้ามประเทศไปมาเพื่อดูแลความเป็นอยู่ของเธอ แล้วก็ช่วยจัดการปัญหาทางฝั่งญี่ปุ่นด้วย ถึงในใจจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นทางฝั่งญี่ปุ่น แต่สาวน้อยก็เลือกที่จะไม่ถาม

     

    ‘คุณเบียงกี้ไม่เล่า ฉันก็ไม่ควรจะถามสินะ...’ 

     

    เธอพยายามนึกคำตอบดีๆที่จะทำให้หญิงสาวตรงหน้าสบายใจ

     

    “ไม่เป็นไรค่ะ ที่นี่มีคุณพ่อบ้านช่วยดูแลฉันอย่างดีเลยค่ะ คุณเบียงกี้ไม่ต้องกังวลนะคะ”

     

    เคียวโกะยืมชื่อของพ่อบ้านประจำปราสาทแห่งนี้มาอ้างอีกครั้ง คิดว่าน่าจะเป็นประโยคที่พี่สาวอยากได้ยิน และเธอคาดการณ์ไม่ผิด พอได้ยินคำกล่าวถึงพ่อบ้านเบียงกี้ก็ดูสบายใจขึ้นมาก ก่อนจะกล่าวคำอำลากับสาวน้อย

     

    “ดีแล้วล่ะ งั้นฉันไปก่อนนะ เห็นเธอดูร่าเริงเหมือนเดิมฉันก็สบายใจขึ้นหน่อย”

     

    “ไว้เจอกันค่ะคุณเบียงกี้”

     

    เคียวโกะกล่าวอำลา หญิงสาวผมสีม่วงอ่อนยิ้มให้เธออย่างอบอุ่นก่อนจะเดินออกไป

     

    ไม่นานพ่อบ้านสูงอายุประจำปราสาทก็เดินเข้ามา ก่อนจะถามอย่างนอบน้อม

     

    “คุณซาซางาวะจะรับของว่างเลยไหมครับ”

     

    สาวน้อยได้ยินคำถามถึงของว่าง เธอจึงเหลือบไปมองนาฬิกาแขวนภายในห้อง เป็นเวลาบ่ายสองกว่าแล้ว แต่เพราะเมื่อตอนเช้าเธอรับประทานอาหารสายกว่าวันปกติ เธอเลยยังไม่รู้สึกหิวเท่าไร

     

    “ไว้กินทีเดียว พร้อมอาหารเย็นเลยก็ได้ค่ะ”

     

    เสียงหวานตอบอย่างเกรงใจ

     

    “ได้ครับ งั้นเดี๋ยวช่วงเย็นผมจะมาตามคุณซาซางาวะอีกที”

     

    สาวน้อยรู้สึกเกร็งกับคำพูดและการปฏิบัติตัวของเขาที่ทำราวกับว่าเธอเป็นนายของปราสาทแห่งนี้ ก่อนที่ชายสูงอายุจะเดินออกไปเธอจึงพูดขึ้น

     

    “เรียกเคียวโกะก็ได้ค่ะ”

     

    คาดหวังว่าประโยคนี้จะช่วยให้รู้สึกเป็นกันเองมากขึ้น เธอเองก็ไม่ใช่คนถือตัวอะไรมากอยู่แล้ว

     

    “เกรงว่าแบบนั้นจะไม่เหมาะสมครับ ผมขอตัวก่อน”

     

    ชายสูงอายุโค้งให้กับสาวน้อยก่อนจะเดินออกไป ทิ้งให้สาวน้อยที่โดยปฏิเสธอ้างว้างอยู่คนเดียว 

     

    พ่อบ้านประจำปราสาทที่เธอคิดว่าน่าจะดูเป็นมิตรมากที่สุดกับเธอ ดูเหมือนจะไม่เป็นแบบที่เธอคาดการณ์ไว้ซะแล้ว สาวน้อยรู้สึกเหมือนโดนทิ้งไว้ให้โดดเดี่ยวอีกครั้ง ในปราสาทอันกว้างใหญ่แห่งนี้

                

     

    ------------------------------------------

    ------------------------------------------

     

     

    3 ต.ค. 2564

    ฟิคเรื่องนี้จะบรรยายเวิ่นๆหน่อยนะคะ ถ้าอ่านแล้วเริ่มรู้สึกอึดอัดนิดๆแสดงว่ามาถูกทางแล้ว 555 ตั้งใจบรรยายมุมมองของเคียวโกะเป็นหลักค่ะ ตอนหน้าพ่อพระเอกตาแดงจะกลับมาแล้วค่ะ อดใจอีกนิด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×