คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ความเป็นจริง
ตอนที่ 6
- ความเป็นจริง -
‘นายเคยคิดไหม ว่าจริงๆแล้วโลกที่พวกเรามีชีวิตอยู่อาจจะเป็นแค่ความฝันก็ได้…’
มือใหญ่ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน หยิบภาชนะที่ทำจากแก้วขึ้นมา ในนั้นมีผงสีขาวบางอย่างถูกบรรจุไว้ อีกมือหยิบไฟแช็คขึ้นมาจุด ความร้อนทำให้ผงที่ถูกบรรจุอยู่ในนั้นเปลี่ยนสีไป ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นควันให้ผู้ที่ถืออยู่สูดเข้าปอด
ภาพที่ค่อยๆบิดเบี้ยวจากสมองถูกที่เล่นตลก ชายสองคนที่นั่งอยู่ในซอกของตึกร้างท่ามกลางความมืดมิดของยามค่ำคืน แสงไฟที่ส่องเข้ามาเริ่มค่อยๆบิดพลิ้วเป็นคลื่น สมองที่ถูกรบกวนอย่างหนักทำให้ภาพตรงหน้ามีสีสันสุดประหลาดเกินจะจินตนาการได้
‘บางทีภาพที่เราเห็นตอนนี้… อาจจะเป็นความเป็นจริงก็ได้นะ’
.
.
.
กริ๊งงงงง
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ทำให้ฮารุที่กำลังดื่มด่ำไปกับเนื้อหาในนิยายตรงหน้าถูกดึงสติกลับมาทันที ดวงตาสีน้ำตาลจ้องไปที่หน้าจอเพื่อดูว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา
‘ยามาโมโตะ’
ชื่อของชายหนุ่มผู้พิทักษ์แห่งพิรุณแสดงอยู่บนหน้าจอ ฮารุพยายามรวบรวมสมาธิก่อนจะกดรับสายเรียกเข้า ถ้าเขาโทรมาแบบนี้ แสดงว่าคงจะมีงานให้เธอทำแล้วสินะ
“ค่า… คุณยามาโมโตะ”
เสียงใสเอ่ยทักทายคู่สนทนาผ่านทางโทรศัพท์
[ [ “สึนะหาโอกาสให้เธอได้แล้วล่ะ เธอมีกระดาษจดรึเปล่า?” ] ]
“แปปนึงนะคะ ฮารุหยิบกระดาษกับปากกาก่อน”
มือเล็กเอื้อมไปหยิบเครื่องเขียนที่ถูกวางอยู่บนโตะ ก่อนจะตอบกลับปลายสาย
“เรียบร้อยแล้วค่า”
[ [ “จดตามนี้นะ ห้องหมายเลข 0311 ชั้น 3 ตึกสำนักงานรับส่งพัศดุยามาดะ ซอยนามิโมริ 8” ] ]
ฮารุจดตามอย่างว่องไว
[ [ “ตัวตึกอยู่ติดกับร้านสะดวกซื้อนะ ถึงสำนักงานนั่นจะเปิดให้คนทั่วไปเข้าไปส่งของได้ แต่จริงๆแล้วนั่นเป็นธุรกิจบังหน้าของมาร์เทลโล่แฟมิลี่ ตอนเธอเข้าไปก็ระวังหน่อยล่ะ อย่าทำตัวสะดุดตามาก” ] ]
“ได้เลยค่ะ”
[ [ “ฮิบาริเองก็น่าจะไปถึงแล้ว เธอก็ตามไปเลยละกัน ที่เธอต้องทำคือสำรวจรอบๆชั้นนั้น ของที่สึนะให้เธอไว้เมื่อวานก็น่าจะเพียงพอแล้วล่ะ” ] ]
ในหัวของเธอคิดตามถึงกล่องสีดำที่สึนะให้เธอไว้เมื่อวาน จะว่าไปเธอก็ยังไม่ได้เปิดดูของข้างในเลย
[ [ “เอ่อ… แล้วก็ สึนะฝากอีกอย่างนึง แต่ถ้าเธอไม่ไหวก็ไม่เป็นไรนะ ฮ่าๆ ฉันว่ามันอาจจะเร็วไปหน่อยสำหรับครั้งนี้” ] ]
เสียงปลายสายพูดอย่างประหม่า ประโยคที่ทำให้ฮารุยิ่งติดใจว่าสึนะตั้งใจจะฝากฝังอะไรกันแน่ เธอเลยถามออกไปตรงๆ
“บอกมาก่อนก็ได้ค่ะ ถ้ามันเร็วไปเดี๋ยวฮารุตัดสินใจเองอีกที”
เธอตอบกลับเปิดทางให้ชายหนุ่มไม่อึดอัดเกินไป
[ [ “สึนะอยากรู้น่ะว่าตอนนี้ฮิบาริพักอยู่ที่คอนโดส่วนตัว หรือว่าบ้านของฮิบาริเอง ถ้าเธอสืบได้ตั้งแต่ครั้งนี้เลยจะได้ไม่ต้องลำบากหลายรอบน่ะ” ] ]
ฮารุที่ตอนนี้ได้รับมอบหมายทั้งภารกิจหลักและภารกิจรองกำลังคิดภาพตาม ในหัวลองคิดถึงความเป็นไปได้ตามที่สึนะขอร้องมา แต่ก็ยังนึกวิธีการดีๆไม่ออก
“เดี๋ยวฮารุลองหาจังหวะดูค่ะ”
เธอตอบปลายสาย ประโยคที่ไม่ได้สัญญาว่าจะทำได้ตามนั้น แต่ถึงแบบนั้นเธอก็จะลองพยายามดู
[ [ “ขอบใจนะฮารุ ถ้าไม่ไหวก็บอกฉันได้ เธอไม่ต้องฝืนเกินไปหรอกนะรู้ไหม” ] ]
เสียงของยามาโมโตะถูกตัดสายไปเองจากฝั่งนู้น ประโยคของเขาที่ทำให้ฮารุรู้สึกปวดใจเล็กๆ เธอรู้ดีว่าชายหนุ่มผู้พิทักษ์แห่งพิรุณเป็นห่วงเธอ แต่ถึงแบบนั้นคำพูดของเขาก็ทำให้เธอรู้สึกท้อแท้ใจนิดหน่อย
‘เอาน่าฮารุ คุณยามาโมโตะเขาหวังดีนะ’
เธอพยายามเตือนตัวเอง ตั้งแต่เธอรู้จักกับเขามา ยามาโมโตะเป็นคนที่เป็นห่วงเธอเสมอ ถึงจะไม่ได้คุยกันบ่อยนัก แต่ในช่วงเวลาที่ลำบากเขาก็เป็นคนแรกๆที่มักจะให้ความช่วยเหลือเธอก่อน
ฮารุพยายามสะบัดหัวไล่ความคิดที่ยุ่งเหยิงในใจออกไป ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะข้างเตียง กล่องสีดำขนาดไม่ใหญ่มากที่สึนะมอบให้เธอเมื่อวานตั้งอยู่บนนั้น มือเล็กเอื้อมไปเปิดฝากล่องนั้นออก ภายในมีต่างหูรูปเปลือกหอยคู่หนึ่ง ต่างหูแวววาวที่ดูก็รู้ว่าทำจากโลหะชั้นดี เธอหยิบขึ้นมาก่อนจะพิจารณาดูช้าๆ
‘วองโกเล่แปลว่าเปลือกหอยนี่นะ’
ในใจคิดว่าก็สมกับเป็นของที่ผลิตโดยวองโกเล่สมชื่อจริงๆ เธอค่อยๆหยิบต่างหูมาใส่บนใบหูเล็กของเธอทั้งสองข้าง ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่ดูไม่สะดุดตาเกินไป มือเล็กยื่นไปพับหน้าจอของโน้ตบุ๊คบนโต๊ะทำงานลง นิยายของลูกค้าที่เธอยังพิมพ์และตรวจเช็คค้างไว้เมื่อสักครู่ ก่อนจะเดินออกจากบ้านเพื่อไปทำภารกิจที่เพิ่งได้รับมอบหมายมา
------------------------------------------
ร่างเล็กของฮารุเดินมาถึงบริเวณหน้าตึกที่ยามาโมโตะบอกเอาไว้ ตึกที่เธอมองเห็นเป็นตึกสูงไม่เกิน 10 ชั้น ดูจากภายนอกก็เป็นเพียงสำนักงานธรรมดา ในมือของเธอถือกล่องพัสดุเล็กๆเพื่อที่จะไม่ได้เป็นที่น่าสงสัย สาวน้อยสังเกตผู้คนรอบข้างก่อนจะก้าวขาเข้าไปภายในตัวตึก ป้ายบริเวณทางเข้าเขียนแจกแจงรายละเอียดไว้ว่าแต่ละชั้นของตึกนี้ เป็นสำนักงานอะไรบ้าง
ชั้น 3 - สำนักงานรับส่งพัสดุยามาดะ
ดวงตาสีน้ำตาลสวยอ่านป้ายนั้น ดูท่าว่าชั้นที่เธอกำลังจะไปสำรวจน่าจะเป็นธุรกิจรับส่งพัสดุ ถ้าให้เดาจากบริบทนี้ เธอคงจะคาดเดาว่าอาจจะเป็นธุรกิจบังหน้าในการลักลอบส่งของผิดกฎหมายบางอย่าง แต่พูดถึงของผิดกฎหมายแล้ว ในโลกสีเทานี้ก็มีอยู่นับไม่ถ้วน จนเธอนึกภาพตามไม่ออกหรอกว่าเป็นของประเภทไหนกันแน่
ฮารุเดินไปตามทางเดิน ก่อนจะมองหาลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังชั้น 3 ไม่ไกลจากทางเข้าตัวตึกนักมีลิฟต์อยู่ 2 ตัว ตัวหนึ่งติดป้ายไว้ว่า ‘ชำรุด กำลังอยู่ในระหว่างการซ่อมแซม’ หญิงสาวผมสีน้ำตาลหันไปมองภาพนั้นสักพัก ในใจสงสัยว่ามีจะมีความจริงอะไรแอบซ่อนอยู่ไหม ประสบการณ์ที่อาจจะไม่ได้มากนักในวงการมาเฟียสอนเธอว่าถึงจะดูเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่ความจริงแล้วนั่นอาจจะเป็นเบาะแสที่สำคัญก็ได้ หลังจากสังเกตจนเธอรู้สึกพอใจแล้ว ฮารุจึงกดปุ่มลิฟต์เพื่อรอให้ลิฟต์ลงมารับ
จะว่าไปที่ชั้น 1 ก็แทบจะไม่มีคนอยู่เลยสักคนเดียว...
ติ๊ง!
เสียงของลิฟต์ที่จอดลงที่ชั้น 1 ดังขึ้น เรียกสติของสาวน้อยให้กลับมาตรงหน้า ประตูลิฟต์ค่อยๆเปิดออก มีชายวัยกลางคนสองคนเดินออกมา ดูจากท่าทางและการแต่งตัวแล้วเหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่มาติดต่อสำนักงาน ฮารุไม่สบตาทั้งสองคนแต่ถึงแบบนั้นเธอก็เหลือบเห็นจากหางตาว่าทั้งสองคนนั้นลอบมองมาทางเธอ ถึงทีท่าจะไม่ได้ชัดเจนมากแต่ฮารุก็รับรู้ได้ เธอพยายามเก็บอาการไว้ไม่ให้พวกเขารู้
นิ้วเรียวกดไปที่ปุ่มเลข 3 ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดลง สาวน้อยค่อยๆหลับตาลงก่อนจะถอนหายใจยาว ในใจคิดถึงภารกิจรองที่ได้รับมอบหมาย
/“สึนะอยากรู้น่ะว่าตอนนี้ฮิบาริพักอยู่ที่คอนโดส่วนตัว หรือว่าบ้านของฮิบาริเอง ถ้าเธอสืบได้ตั้งแต่ครั้งนี้เลยจะได้ไม่ต้องลำบากหลายรอบน่ะ”/
ถึงเธอจะไม่รู้เหตุผลว่าทำไมสึนะถึงอยากรู้เรื่องนี้ แต่ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่สึนะอยากรู้ เธอก็ไม่จำเป็นต้องถาม ไม่มีใครถามเหตุผลในทุกๆเรื่องหรอกนะ เธอเองก็ไม่จำเป็นต้องรู้ด้วย เพราะถ้าต้องรู้ทุกเรื่องแบบนั้นก็คงไม่เป็นอันทำงานทำการกันพอดี
หน้าที่ของเธอคือคิดหาวิธีทำให้ภารกิจรองนั้นสำเร็จลุล่วงต่างหาก...
อยู่ๆสาวน้อยก็นึกถึงคำพูดของสึนะตอนที่เธอเริ่มทำงานให้กับแฟมิลี่ใหม่ๆ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ตำแหน่งบอสวองโกเล่ของสึนะยังสั่นคลอน มีคนมากมายที่ไม่เชื่อถือในตัวเขา ต้องใช้เวลานานเลยทีเดียวกว่าคนจะยอมรับ
/“ฮารุ... พวกเราทุกคนล้วนมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบนะ ที่โลกนี้มันวุ่นวายเพราะว่าคนเราไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง แล้วก็อยากจะรู้ในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องรู้...”/
แรกๆเธอก็ไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้เท่าไร เพราะเธอคิดว่าคนเราจะทำอะไรก็ควรจะรู้เหตุผลหรือเป้าหมายของสิ่งนั้น จนกระทั่งมีเหตุการณ์หนึ่งที่ตอกย้ำคำพูดของสึนะ
เหตุการณ์ที่ไม่มีใครในวองโกเล่อยากพูดถึงอีก...
ติ๊ง!
ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อพาร่างของสาวน้อยมาถึงชั้น 3 ฮารุเดินออกจากตัวลิฟต์ก่อนจะก้าวไปตามทางเดิน สายตามองไปที่ประตูห้องต่างๆที่ติดตัวเลขไว้ ไม่นานเธอก็เจอห้องหมายเลข 0311 หน้าประตูบานนั้นติดป้ายไว้ว่า ‘ห้องเก็บพัสดุรอจำหน่าย ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้า’
สาวน้อยคิดในใจว่าก็แน่ละนะ ห้องนี้คงจะเป็นห้องที่เก็บของผิดกฎหมายไว้ ก่อนจะลักลอบขนส่งไปยังจุดหมายต่างๆ เธอมองซ้ายมองขวารอบข้างก็ยังคงไม่มีผู้คนเหมือนเดิม มือเล็กลองจับลูกบิดก่อนจะลองเปิดออก
สิ่งที่น่าตกใจคือมันไม่ได้ถูกล็อคเอาไว้ สาวน้อยจึงสามารถเปิดเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
แอ้ดดดดดด
ภาพเบื้องหน้าเธอคือ ‘ฮิบาริ เคียวยะ’ ที่ยืนหันหลังให้อยู่ เขากำลังไล่มองกล่องพัศดุบนชั้นที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ชั้นที่ถูกติดป้ายตัวอักษรภาษาอังกฤษและตัวเลขไว้ ดูท่าว่าจะเป็นระบบการจัดระเบียบพัศดุแหละนะ เขาหันมามองครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไป
“เธอเองเรอะ...”
เสียงของชายหนุ่มเบื้องหน้าพูดออกมาเรียบๆ ในห้องนี้ไม่มีคนอื่นอยู่อีกแล้วนอกจากเธอกับฮิบาริ คนที่เขาพูดด้วยก็คงจะเป็นเธอแน่นอนอยู่แล้ว คำพูดที่เหมือนกับว่าไม่พอใจที่คนๆนั้นเป็นเธอ ผู้ชายคนนี้ไม่เข้าใจเลยรึไงนะว่าคำพูดแบบไหนควรพูดหรือไม่ควรพูด หรือแม้แต่มารยาทที่ควรหันมามองคนที่กำลังคุยด้วย ฮารุเริ่มไม่พอใจชายตรงหน้านิดๆ
แต่พอนึกถึงภารกิจรองที่ต้องแอบถามเรื่องส่วนตัวของชายตรงหน้า เธอจึงกลืนเอาความไม่พอใจทั้งหมดลงไป ก่อนจะปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ
“เจอไหมคะ?”
เธอถามออกไปทั้งๆที่ไม่รู้หรอกว่าเขากำลังหาอะไรอยู่ แต่เดาเอาจากการกระทำของผู้พิทักษ์แห่งเมฆาของวองโกเล่แล้ว ภารกิจของเขาคงจะเป็นการหาของบางอย่างที่สำคัญแหละนะ
ในใจของฮิบาริเริ่มรำคาญสาวน้อยเบื้องหลัง เขาเองก็ไม่อยากสุงสิงกับใครเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คำถามของเธอทำให้เขายิ่งรำคาญมากขึ้นไปอีก แทนที่จะถามทำไมถึงไม่มาช่วยเขาหาล่ะ
อ่อ...
เพราะเธอคงไม่รู้สินะว่าเขากำลังหาอะไรอยู่
ซาวาดะคงไม่ได้บอกอะไรเธอเลยสินะ
น่าสมเพชเหลือเกิน...
ฮิบาริไม่ตอบคำถามของเธอ เขามองไปเรื่อยๆจนเจอเข้ากับกล่องพัสดุกล่องหนึ่ง ดูจากขนาดของกล่องแล้วก็มีความเป็นไปได้ว่ามันคือของที่เขากำลังหาอยู่ มือใหญ่หยิบมันขึ้นมาก่อนจะเขย่าเบาๆ น้ำหนักและความรู้สึกจากการเขย่านั้นทำให้เขายิ่งมั่นใจว่าคือของที่เขาตามหา
ฮารุมองการกระทำของชายตรงหน้า เธอรู้ว่าเขาลองเขย่ากล่องเพื่อดูว่าของในนั้นเป็นอะไร แสดงว่าของที่เขาตามหาต้องมีเอกลักษณ์พอตัวจึงสามารถเขย่าแล้วรับรู้ได้ ตอนที่เขาเขย่ามันไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา วัสดุหรือของในนั้นคงจะมีน้ำหนักพอตัว หรือไม่ก็ถูกบรรจุอัดแน่นอยู่เต็มกล่อง
แต่ก็นั่นแหละ... เธอถือคติว่าบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องรับรู้เลยไม่ได้ถามออกไป
ชายหนุ่มผมสีดำค่อยๆหันกลับมามองเธอ แววตาของเขาจ้องมองกล่องที่เธอถืออยู่ในมือ ดวงตาที่พิจารณาเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับว่าเขาสงสัยอะไรบางอย่างในตัวเธอ
“นั่นอะไร”
คำพูดเรียบๆที่ทำเอาฮารุกลืนน้ำลายลงคอ เขาคงหมายถึงกล่องที่เธอกำลังถืออยู่เป็นแน่
“ถือมาเฉยๆน่ะค่ะ จะได้ไม่ดูน่าสงสัย”
ฮารุตอบกลับตามความเป็นจริง
“ภารกิจเธอคืออะไรกันแน่...”
คำถามของเขาทำเอาฮารุใจตกวูบทันที จริงอยู่ที่ภารกิจหลักของเธอคือการสำรวจสำนักงานชั้นนี้ทั้งหมด แต่ภารกิจรองเนี่ยสิที่มีประเด็นกับชายตรงหน้า ถึงแบบนั้นเธอก็พยายามเก็บอาการไม่ให้ประหม่ามากเกินไป
“คุณสึนะให้ฮารุสำรวจชั้นนี้ของสำนักงานน่ะค่ะ”
สาวน้อยตอบกลับไป ฮิบาริยังคงจ้องมองมาทางฮารุนิ่งๆ ยามาโมโตะบอกเขาไว้แล้วว่าระหว่างทำภารกิจนี้เขาอาจจะเจอสมาชิกจากวองโกเล่ที่ถูกส่งมาทำภารกิจอื่น แต่ถึงแบบนั้นของที่เขาต้องตามหาถูกกำชับว่าเขาต้องเป็นคนนำไปให้ผู้พิทักษ์แห่งพิรุณด้วยตัวเอง ของนั้นไม่สามารถฝากให้คนอื่นไปส่งแทนได้ แสดงว่าผู้หญิงตรงหน้าเขาต้องมีภารกิจอื่นที่ได้รับมอบหมายที่ไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจของเขา
แววตาสีดำรัตติกาลของเขามองไปที่ต่างหูรูปเปลือกหอยที่เธอใส่ประดับไว้ทั้งสองข้างของใบหู ต่างหูรูปเปลือกหอยนั้นเป็นดีไซน์แบบเดียวกับเปลือกหอยบนแหวนผู้พิทักษ์ ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้จะจงรักภักดีกับวองโกเล่แฟมิลี่แบบไม่ลืมหูลืมตาเลยสินะ ในใจนึกสมเพชผู้หญิงตรงหน้าทันที
จงรักภักดีหรือถูกหลอกใช้กันแน่...
.
.
.
“ดูท่าสัตว์กินพืชนั่นจะไว้ใจเธอน่าดูเลยนะ”
ฮารุรับรู้ได้ในทันทีว่าประโยคนั้นเป็นคำดูแคลนเธอ ฮิบาริมองเธอด้วยสายตาเย็นชาลงทันทีที่พูดประโยคนั้นจบ เขากำลังจะเดินออกไป ฮารุที่ได้สตินึกถึงสิ่งที่เธอต้องถามชายตรงหน้าทันที
“เดี๋ยวค่ะ! คุณฮิบาริ”
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกชื่อสงสัยทันที คนแบบเขามีใครกล้าบังอาจรั้งตัวไว้ด้วยหรอ ผู้หญิงคนนี้ต้องการอะไรกันแน่
“จะกลับบ้านแล้วหรอคะ”
ฮารุพยายามเลือกคำพูดที่ไม่เจาะจงเกินไป คำพูดที่เหมือนการเริ่มบทสนทนาธรรมดาๆ เพียงแต่ว่าชายตรงหน้าไม่ใช่คนธรรมดากับเขาสักเท่าไร ชายหนุ่มไม่สนใจจะตอบคำถามนั้นด้วยซ้ำ
.
.
.
‘ดูท่าจะเป็นพวกพูดมากสินะ...’
ถึงจะไม่ค่อยชอบสุงสิงกับคน แต่ฮิบาริก็พอจะรู้ว่ามีคนประเภทที่ชอบชวนคุยไปเรื่อยถึงแม้จะไม่ใช่คนรู้จัก คนประเภทนั้นมักชอบชวนคุยเรื่องไร้สาระที่ไม่เกิดประโยชน์ ไม่เคยเข้าใจเลยว่าคนพวกนั้นจะเสียเวลาในการคุยเรื่องที่ตัวเองไม่สนใจทำไมกัน
ชายหนุ่มกำลังจะเดินออกไป ก่อนจะถูกเรียกอีกครั้ง
“คุณฮิบาริคะ ฮารุคุยด้วยทำไมไม่ตอบล่ะคะ”
.
.
.
‘ดูท่าจะไม่ใช่แค่พวกพูดมากอย่างเดียว...’
.
.
.
‘เป็นพวกไม่กลัวตายอีกด้วย...’
ชายหนุ่มหันกลับไปมองด้วยสายตาเย็นๆ ฮารุใจวูบทันที ความน่ากลัวของ ‘ฮิบาระ เคียวยะ’ ที่เธอเพิ่งสัมผัสได้ ดูท่าเธอจะดึงดันเกินไปจนเขาเริ่มไม่พอใจแล้ว
“ไหนบอกว่าจะพูดน้อยๆไง”
คำพูดของเธอที่พูดกับเขาในวันแรกที่เจอกันทำเอาฮารุกลืนน้ำลายทันที เสียงประตูปิดลงพร้อมกับชายหนุ่มผมสีดำฉายาปีศาจแห่งเมืองนามิโมริที่จากไปแล้ว
.
.
.
‘ภารกิจล้มเหลวสินะ...’
ความรู้สึกที่บั่นทอนกำลังใจเริ่มแทรกเข้ามาในความคิดของเธอ ความรู้สึกที่ราวกับโรคร้ายที่ค่อยๆกัดกินเจ้าของร่างกายนั้น ความรู้สึกที่ทำให้สาวน้อยจมดิ่งลงไป ตอกย้ำกับความรู้สึกอ่อนแอของตัวเอง
------------------------------------------
------------------------------------------
26 ก.ย. 2564
กลับมาต่อแล้วค่ะ ท่านฮิใกล้กลับมาแล้ว 555 (//โดนแฟนคลับฟาด) เอาไป 30% ก่อนนะคะ ไรท์ขอไปละเมียดปั้นแต่งตอนที่พระเอกจะกลับมาก่อนหลังจากหายไปหลายตอนละเกิน แต่พระนางเค้ากำลังจะได้เจอหน้ากันแล้วค่ะ >///< รออีกนิดนะคะ เดือนนี้ไรท์อาจจะยุ่งๆหน่อย อาจจะมาอัพช้านะคะ
7 ต.ค. 2564
พระเอกกลับมาแล้วค่ะ กลับมาอย่างโหดร้าย 555 เรื่องนี้ไรท์ขออัพตามใจหน่อยนะคะ ต้องบิ้วมู้ดเยอะมากเลยกว่าจะแต่งออกมาแต่ละตอนได้ ชอบไม่ชอบยังไง Comment ได้เลยนะคะ
เปลี่ยนรูปปกใหม่ด้วย อิ้อิ้ รูปนี้น่าจะเข้ากับเรื่องมากกว่า 555
ความคิดเห็น