ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Reborn] Lonely 1886

    ลำดับตอนที่ #3 : ความฝัน

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ย. 64


    ตอนที่ 3

    - ความฝัน -

     

     

    “ฮารุ....”

    .

    .

    .

    “เธอได้ยินฉันรึเปล่านะ?”

    .

    .

    .

    “ถ้าเป็นไปได้....”

    .

    .

    .

    “เธอจะชอบฉันอีกสักครั้งได้ไหม?”

    .

    .

    .

    หญิงสาวสบตาชายหนุ่มตรงหน้า ดวงตาที่เธอไม่ได้เห็นชัดๆมานานแล้ว แต่กลับคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด

     

    “คะ?”

     

    ..คำถามเมื่อสักครู่ เธอได้ยินผิดไปรึเปล่านะ..

     

    ชายหนุ่มตรงหน้าเธอสังเกตเห็นว่าเธอยังดูไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาถาม คำพูดที่เธอไม่เชื่อว่าจะมีโอกาสได้ยิน 

     

    “ฮารุ”

     

    หญิงสาวเงยหน้าตามชื่อเรียก สบตากับคนตรงหน้า

     

    “ฉันขอโอกาสได้ไหม”

     

    .

     

    โอกาสอะไร?

     

    .

     

    “ฉันอยากจะชอบเธอบ้าง แบบที่เธอเคยชอบฉัน”

     

    สมองเธอหมุนติ้ว คำพูดที่ปกติสามารถออกมาได้ทันที แต่ตอนนี้กลับวนตีกันไปมาในหัวของเธอ ดวงตาแสดง อาการกระสับกระส่าย

    .

    .

    .

    ทำไมคะ? ทำไมถึงเป็นตอนนี้ คุณก็รู้นิคะว่า.....

     

    ไม่ว่าเมื่อไหร่

     

    ฮารุก็......

    .

    .

    .

    “ฮารุ”

     

    “เธอจะชอบฉันอีกครั้งได้ไหม?”

    .

    .

    .

    ความรักครั้งแรกน่ะ

     

    ไม่ว่าเมื่อไหร่

     

    มันก็ไม่เคยหายไปจากหัวใจหรอกนะคะ

    .

    .

    .

    คุณสึนะ

     

     

    ------------------------------------------

     

     

    “...ความฝันน่ะ”

     

    ประโยคนี้ทำให้ชายหนุ่มที่กำลังเหม่อลอยอยู่สะดุดฟัง ฮิบาริหันกลับมาสบตาคู่สนทนาตรงหน้า ประโยคก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไรนัก

     

    เฮ้อ.....

     

    ยามาโมโตะ โอดครวญในใจ ฮิบาริเป็นฝ่ายเรียกเขาออกมาแท้ๆ แต่ดันไม่ตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูดสักนิด แต่อย่างว่า คนอย่าง ฮิบาริ เคียวยะ จะสนใจใยดีคนอื่นขนาดไหนกันเชียว

     

    “ถ้านายหมายถึงเครื่องรางที่นายเก็บมาได้ มันคือตาข่ายดักความฝันน่ะ”

     

    ในที่สุดก็มีประโยคที่เรียกความสนใจฮิบาริได้ คนที่ไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่นแบบเขา ถ้าหากไม่ใช่ธุระที่สะสางไม่เสร็จ หรือเรื่องที่กวนใจตลอดเวลาแบบนี้ ไม่มีทางที่จะนัดเจอผู้พิทักษ์คนอื่นแน่นอน

     

    ยามาโมโตะและฮิบารินั่งอยู่ในร้านกาแฟประจำ พวกเขามักจะนัดเจอกันที่นี่เมื่อมีธุระต้องสะสาง ยามาโมโตะเป็นไม่กี่คนในวองโกเล่ที่ฮิบาริสุงสิงด้วย ไม่มีใครรู้ว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้เป็นอย่างไร

     

    แก้วกาแฟที่ยังมีไอร้อนวางอยู่ตรงหน้า กลิ่นของกาแฟดำที่ชวนให้หลงใหล ตัดกับรสชาติของมันที่ไม่ได้อ่อนโยนกับผู้ดื่มเลยแม้แต่น้อย ช่างเข้ากันได้ดีกับภาพลักษณ์ของผู้พิทักษ์แห่งเมฆาของวองโกเล่ ชายหนุ่มตั้งใจฟังต่อพร้อมกับซดกาแฟดำไปพลางๆ

     

    “เป็นความเชื่อของคนโบราณน่ะ ว่าถ้าแขวนตาข่ายนี้ไว้เหนือหัวตอนนอน ตาข่ายจะช่วยดักจับฝันร้าย คนที่นอนจะเจอแต่ฝันดี”

     

    “ของแบบนี้ คนเขานิยมกันเหรอ”

     

    ฮิบาริถามด้วยเสียงเย็นชา

     

    “ฉันได้ยินมาว่าในฝั่งตะวันตกคนนิยมกันพอตัวนะ แต่ถ้าอย่างในญี่ปุ่นเอง ดูเหมือนจะฮิตในหมู่เด็กผู้หญิงมากกว่าแฮะ”

     

    ยามาโมโตะอธิบายอย่างใจเย็น

     

    “ว่าแต่... นายสนใจของพรรค์นี้ด้วยหรอ”

     

    ยามาโมโตะถาม น้ำเสียงฟังดูเหมือนหยั่งเชิงมากกว่าสงสัย

     

    “ฉันก็ไม่คิดว่านายจะรู้จักของพรรค์นี้เหมือนกันล่ะนะ”

     

    ฮิบาริยอกย้อน มุมปากเหยียดยิ้ม คิดในใจว่าของพรรค์นี้ก็เหมาะกับพวกสัตว์กินพืชจริงๆ คนอ่อนแอที่ต้องอยู่รวมกันเป็นฝูง ซ้ำยังต้องมีเครื่องรางนำโชคไร้สาระอีก ถึงในใจเขาจะดูแคลนของแบบนี้ แต่สาเหตุที่เขาถึงกับต้องเปลืองตัวออกมาสุงสิงกับคนอื่น นี่ยังไม่ใช่คำตอบที่เขาพอใจ 

     

    ยามาโมโตะมองหน้าฮิบาริ เขาพอจะเดาอารมณ์ของฮิบาริได้

     

    “มีอะไรที่นายรู้อีก บอกมาให้หมด”

     

    เสียงของฮิบาริแข็งขึ้น คาดคั้นคำตอบจากคนตรงหน้า

     

    “ความจริงแล้ว ในตะวันตกที่เขานิยมกันตอนนี้ มันก็ไม่เชิงเป็นเครื่องรางหรอกนะ...”

     

    ยามาโมโตะพูด สีหน้าลังเลเล็กน้อย เหมือนจะพูดต่อ แต่ก็เงียบไป

     

    ฮิบาริมองหน้าคนตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา เขารำคาญคนประเภทที่ชอบทำตัวลังเล จะพูดดีหรือไม่พูดดี ความรำคาญในใจเขาเริ่มจะเปลี่ยนเป็นโทสะแทนแล้ว

     

    “หึ! ซาวาดะสั่งห้ามพูดหรือไง”

     

    “...”

     

    “สัตว์กินพืชอย่างพวกนาย ที่ก้มหัวให้กับคนพรรค์นั้น...”

     

    สายตาของยามาโมโตะเย็นชาขึ้น บรรยากาศรอบตัวเริ่มเปลี่ยน ถึงเขาจะขึ้นชื่อเรื่องความอารมณ์ดี แต่การยอกย้อนและดูถูกเพื่อนของเขาแบบนี้ ก็ทำให้คนแบบเขาหมดความอดทนได้เหมือนกัน

     

    “ฉันได้ยินมาว่าที่อิตาลีมีคนกำลังสืบข่าวเรื่องตาข่ายดักความฝันอยู่”

     

    เสียงของยามาโมโตะจริงจังขึ้น

     

    “ตอนแรกวองโกเล่ก็เข้าใจว่ามันคือเครื่องรางแบบนี้นายถามถึงนั่นแหละ แต่ดูเหมือนความจริงแล้ว จะเป็นอย่างอื่นที่ใช้ชื่อเดียวกัน"

     

    “ถ้าฉันไม่ถาม นายคงไม่คิดจะเล่าสินะ”

     

    ไม่รู้ว่าการที่ยามาโมโตะเล่า ทำให้ฮิบาริใจเย็นลง หรือโมโหมากขึ้นกันแน่

     

    “เรื่องนี้ทางวองโกเล่ยังไม่มีข้อมูลมากพอ เลยยังไม่ได้บอกกับผู้พิทักษ์ทุกคน แต่สึนะเองก็ไม่ได้คิดจะปิดบังนายอยู่แล้ว”

     

    “ถ้าอย่างนั้นที่นายเล่าให้ฉันฟัง ก็เป็นการล้ำเส้นซาวาดะสินะ”

     

    ไม่มีใครเดาอารมณ์ฮิบาริออก เขายิ้มเหยียด น้ำเสียงท้าทาย

     

    “เรื่องตาข่ายดักฝันที่วองโกเล่ในอิตาลีสืบอยู่น่ะ ดูท่าจะอันตรายกว่าที่คิด ฉันเห็นแก่ฮารุที่ต้องมาพัวพันกับนาย เลยไม่อยากปิดบังนายมาก”

     

    “อยู่ในวงการนี้ ยัยผู้หญิงนั่นยังไม่ได้เตรียมใจมาอีกเรอะ”

     

    ฮิบาริดูแคลนในใจ คนที่เข้ามาอยู่ในวงการมาเฟียโดยไม่เตรียมใจรับอันตราย แถมยังต้องให้คนอื่นมาปกป้องอีก คนแบบนี้ช่างอ่อนแอและเป็นตัวถ่วงจริง ๆ

     

    “สึนะน่ะ.... ให้ความสำคัญกับฮารุมากนะ”

     

    “...”

     

    “นายเอง ก็อย่าทำให้ฮารุเขาลำบากมาก”

     

    ฮิบาริไม่ได้ตอบอะไรกลับไป นี่ไม่ใช่ประเด็นที่เขาสนใจแล้ว

     

    เอาเถอะ สัตว์กินพืชตัวไหน ๆ ก็เหมือนกันหมด แค่มาช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับเขาจะเป็นใครก็ไม่สำคัญ

     

    ฮิบาริยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่มจนหมด เป็นสัญญาณว่าเขาเสร็จธุระที่นี่แล้ว

     

    “ฉันหมดธุระกับนายแล้ว”

     

    ร่างสูงของผู้พิทักษ์แห่งเมฆาลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะเดินออกไปจากร้านกาแฟที่วุ่นวายแห่งนี้ เขาเกลียดสถานที่ที่คนพลุ่กพล่านเป็นที่สุด

     

    ไม่มีใครรู้ว่าความสัมพันธ์ของผู้พิทักษ์แห่งเมฆาและผู้พิทักษ์แห่งพิรุณ เป็นความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่ คนอื่นในวองโกเล่ทำได้แค่สงสัย แต่ไม่มีใครกล้าถามทั้งคู่

     

    ยามาโมโตะยังนั่งอยู่ที่เดิม สายตาของเขาเย็นชา ไม่แสดงสีหน้าใด ๆ เป็นที่รู้กันว่าหากผู้พิทักษ์แห่งพิรุณเย็นชาแบบนี้ แสดงว่ามีเรื่องที่กวนใจเขาอยู่

     

    ‘ดูท่าสิ่งที่ฮิบาริเข้าไปพัวพันรอบนี้ น่าจะเกี่ยวข้องกับตาข่ายดักความฝัน’

     

    ยามาโมโตะคิดในใจว่า ถ้าหากเป็นเรื่องนี้จริง ที่แม้แต่ฮิบาริก็สืบไม่ได้ วองโกเล่ก็ไม่มีข้อมูล เรื่องแบบนี้ด้วยลางสังหรณ์แล้ว มันต้องมาพร้อมอันตรายแน่

     

    เขานั่งอยู่ในร้านกาแฟสักพัก เรียบเรียงความคิดเสร็จ ก่อนจะเดินออกจากร้านเพื่อกลับไปยังฐานทัพของวองโกเล่

     

     

    ------------------------------------------

     

     

    15.00 น. ณ ฐานทัพวองโกเล่

     

    ร่างเล็กยืนอยู่หน้าทางเข้าฐานทัพ ประตูลิฟท์ภายในตึกที่เป็นลานจอดรถกลางเมือง ที่ที่ฐานทัพวองโกเล่แฝงอยู่ คนภายนอกอาจจะเข้าใจว่านี่เป็นตึกสำหรับจอดรถธรรมดาๆ แต่สำหรับสมาชิกวองโกเล่แล้วเป็นที่รู้กันว่าการลงลิฟท์ไปยังชั้นใต้ดินของตึกแห่งนี้ จะเชื่อมไปสู่ฐานทัพใต้ดินที่มีขนาดครอบคลุมหลายช่วงตึกเลยทีเดียว

     

    มาถึงพอดีเป๊ะอะไรขนาดนี้ ฮารุนี่กะเวลาเก่งจริงๆ’

     

    สาวน้อยวัยยี่สิบสามปีนึกชมตัวเองในใจ เธอก้าวเท้าเข้าไปในลิฟท์ ก่อนจะกดปุ่มชั้นใต้ดิน ลิฟท์ค่อยๆพาร่างเล็กลงสู่เบื้องล่างอย่างช้าๆ ก่อนจะขึ้นสัญญาณเตือนว่าลิฟท์ขัดข้อง

     

    แน่นอนว่าถ้าเป็นคนทั่วไปก็จะต้องตกใจเป็นธรมมดา แต่จริงๆแล้วนี่เป็นกลไกไว้ป้องกันคนนอกเข้ามาต่างหาก ฮารุกดเลข 2 ตามด้วย 7 หลังจากนั้นสัญญาณเตือนก็หยุดลง ก่อนจะเคลื่อนลงต่ำไปยังจุดหมายที่แท้จริง

     

    ติ๊ง!

     

    ประตูลิฟท์เปิดออก พร้อมกับปรากฏชายที่ได้ชื่อว่าวองโกเลรุ่นที่สิบยืนอยู่เบื้องหน้า

     

    ซาวาดะ สึนะโยชิ ชายหนุ่มวัยเดียวกับเธอยิ้มทักทายด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นเช่นเคย

     

    “มาแล้วหรอฮารุ กำลังรออยู่เลย”

     

    “สวัสดีค่ะคุณสึนะ”

     

    ฮารุยิ้มตาหยีให้เขา เธอพาร่างของตัวเองเดินออกมาจากลิฟท์ ก่อนจะเดินไปตามทางเดินในฐานทัพวองโกเล่

     

    ฐานทัพวองโกเล่นี้ประกอบด้วย 3 ชั้น ชั้นที่เธอเดินอยู่เป็นชั้นที่ติดกับพื้นดินมากสุด ลึกลงไปยังมีอีกสองชั้นที่ถูกเก็บไว้สำหรับคนที่มีตำแหน่งสูงในวองโกเล่แฟมิลี่ แน่นอนว่าฮารุไม่เคยลงไปลึกกว่าชั้นนี้

     

    ชั้นที่ฮารุกำลังเดินอยู่ ทางเดินถูกออกแบบเป็นทางเดินยาว ตกแต่งอย่างเรียบง่าย แต่กระนั้นก็ไม่ทำให้รู้สึกอึดอัดเกินไปแม้จะไม่มีหน้าต่าง ประตูเรียงรายตามแนวทางเดิน ข้างหลังของประตูแต่ละบานเป็นห้องที่ถูกจัดไว้สำหรับใช้งานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องประชุม ห้องฝึกซ้อม ห้องเก็บอาวุธ และอีกมากมายที่ฮารุไม่มีวันจะได้รับรู้

     

    “ฮารุเดินตามฉันมานะ”

     

    ร่างที่สูงกว่าเธอไม่มากนัก พาเธอเดินไปตามทางเดิน ก่อนจะหยุดลงหน้าประตูบานหนึ่ง ประตูบางที่ฮารุไม่เคยเข้ามาก่อน เธอสังเกตจากบานประตูที่เป็นแบบเปิดสองฝั่ง เดาว่าห้องนี้คงจะมีขนาดใหญ่กว่าห้องอื่นๆในชั้นเดียวกัน

     

    “เธอยังไม่เคยมาเลยนิเนอะ อันนี้ห้องทำงานของฉันเอง พอดีเพิ่งตกแต่งเสร็จได้ไม่นานนี้เอง”

     

    สึนะพาเธอเดินเข้าไปในห้องทำงานของเขา ภายในนั้นตกแต่งอย่างเรียบง่าย ให้ความรู้สึกเหมือนห้องนั่งเล่นมากกว่าห้องทำงาน กลางห้องมีโซฟาชุดสีดำ โต๊ะกาแฟตรงกลาง ด้านหนึ่งของห้องมีโต๊ะทำงานพร้อมเก้าอี้เลื่อน ข้างหลังเป็นชั้นหนังสือยาวเรียงราย

     

    “ฮารุนั่งรอที่โซฟาแปปนึงนะ เดี๋ยวฉันไปหยิบของก่อน”

     

    “ได้เลยค่ะคุณสึนะ”

     

    ฮารุตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงเช่นเคย ก่อนจะเดินไปตรงโซฟากลางห้อง ค่อยๆทิ้งตัวนั่งลง รอให้สึนะหยิบของที่เขาพูดถึงมาให้

     

    วองโกเล่รุ่นที่สิบเดินไปที่โต๊ะทำงานของเขา เขาเปิดลิ้นชัก รื้อค้นอยู่สักครู่ก่อนจะหยิบกล่องสีดำทำจากโลหะขนาดไม่ใหญ่มากออกมา

     

    เขาเดินกลับมานั่งลงที่โซฟาเยื้องกับฮารุ ก่อนจะยื่นกล่องสีดำให้

     

    “ของที่ฉันบอกน่ะ พอดีเพิ่งได้มาจากอิตาลี”

     

    “อ้อค่ะ”

     

    ‘ของสิ่งนั้นสินะ’

     

    ฮารุคิดในใจ เธอยื่นมือไปรับกล่องจากชายตรงหน้า สายตาจ้องมองเก็บรายละเอียดรอบตัวกล่องที่ทำจากวัสดุอย่างดี ให้เดาของข้างในน่าจะแพงมากอยู่

     

    “ฮารุ เธอไหวใช่ไหม...”

     

    แววตาของสึนะมองมาทางฮารุอย่างห่วงใย หญิงสาวสบตาชายตรงหน้า ในใจเธอรู้สึกหวิวทันใด

     

    ‘สายตาแบบนี้อีกแล้ว’

     

    สายตาที่คอยแสดงถึงความเป็นห่วงเธอ ไม่อยากให้เธอเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องอันตราย สายตาที่คุณสึนะมอบให้กับทุกคนที่คุณสึนะห่วงใย ไม่ใช่กับแค่ฮารุคนเดียว

     

    “ไหวค่ะ!”

     

    เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์อ่อนไหวที่กำลังก่อตัวขึ้นภายในใจของเธอ

     

    สึนะทำหน้าลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดกับหญิงสาวตรงหน้าด้วยความเป็นห่วง

     

    “ฮารุ งานนี้อาจจะอันตรายกว่าที่เธอคิดนะ เธอต้องระวังตัวดีๆนะ”

     

    “คุณสึนะ...”

     

    น้ำเสียงของฮารุอ่อนลงจนแทบจะไม่ได้ยิน

     

    ใช่ เธอรู้อยู่แล้วว่างานในวงการมาเฟีย ไม่มีงานไหนที่ไม่อันตรายหรอก ฮารุเข้าใจว่ายิ่งคุณสึนะพูดว่ามันอันตราย มันคงเป็นเรื่องที่อันตรายจริงๆ แต่เธอก็เตรียมใจมาแล้ว

     

    ‘คุณสึนะอย่าดูถูกการเตรียมใจของฮารุเลยนะคะ’

     

    ประโยคที่เต็มไปด้วยความน้อยใจที่เธอไม่มีวันเอ่ยให้ชายตรงหน้าได้ยินอย่างแน่นอน

     

    “คุณฮิบาริน่ะ เป็นคนคาดเดายากกว่าที่คิดนะฮารุ”

     

    สึนะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเสียไม่ได้ เขาคงรู้ว่าไม่ว่าจะพูดอย่างไร หญิงสาวตรงหน้าก็คงจะพยายามแสดงให้เขาเห็นอยู่ดีว่าเธอเตรียมใจมาแล้ว ถึงแม้ในใจของสึนะจะวางใจได้แค่ครึ่งหนึ่งก็เถอะ

     

    “ฮารุเจอคุณฮิบาริมากครั้งนึงแล้ว ฮารุพอจะสัมผัสได้อยู่ค่ะ”

     

    “ฉันเชื่อใจเธอนะ”

     

    ประโยคที่ฮารุไม่มั่นใจว่าเธอจะเชื่อมันได้สักแค่ไหน จากปากของชายที่ติดอยู่ในใจของเธอมาหลายปีนี้ ความสัมพันธ์ของเธอกับเขามันเป็นแบบนี้มานานแล้ว เขาที่ห่วงใยเธอเสมอ แต่ก็ไม่ได้มีใจให้ ไม่ใช่อะไรที่พิเศษเกินกว่าความเป็นเพื่อน

     

    .

    .

    .

     

    ‘ฮารุรู้ดีว่าคุณสึนะชอบเคียวโกะจัง’

     

    ‘ถึงบางทีจะสงสัยเหมือนกัน ว่าทำไมช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้’’

     

    ‘ความสัมพันธ์ของคุณสึนะกับเคียวโกะจัง ก็ไม่ได้ขยับเกินกว่าความเป็นเพื่อนเลย’

     

    ‘ฮารุถือว่าฮารุก็มีหวังเล็กๆได้ไหมนะ…’

     

    .

    .

    .

     

    “ฮารุจะทำเต็มที่เลยค่ะ คุณสึนะ ไม่ต้องเป็นห่วงฮารุ”

     

    เอาเถอะ เรื่องของเธอกับสึนะ หรือสึนะกับเคียวโกะไม่ใช่เรื่องสำคัญขนาดนั้นหรอก ตอนนี้สิ่งที่เธอควรทำคือทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อวองโกเล่แฟมิลี่มากกว่า

     

    สึนะมองฮารุด้วยสายตาที่เดาไม่ออก ชายหนุ่มเจ้าของผมสีน้ำตาลอ่อนยิ้มให้กับเธอ ยิ้มที่อบอุ่นเช่นเคยเสมอมา

     

    “ขอบใจนะฮารุ”

     

    แกร้ก!

     

    เสียงของประตูถูกเปิดออก ดึงให้ทั้งสองคนภายในห้องหันไปมองที่ประตู ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ฉายาผู้พิทักษ์แห่งพิรุณของวองโกเล่ยืนอยู่หน้าประตูนั้น

     

    “คุณยามาโมโตะ!”

     

    เสียงใสทักทายขึ้นก่อนด้วยความประหลาดใจ

     

    “อ้าว ฮารุก็อยู่ด้วยหรอ แหม... ครึกครื้นกันดีจริงๆ ฮ่าๆ”

     

    ยามาโมโตะพูดทักทายตามแบบของเขา แน่นอนว่าสึนะกับฮารุสัมผัสได้ถึงเรื่องกวนใจของยามาโมโตะในคำพูดนั้น มันคงเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าชายกนุ่มอารมณ์ดีคนนี้มีเรื่องกวนใจเมื่อไร แต่ถ้าหากเป็นเพื่อนกันมามากกว่าสิบปีแล้ว ก็พอจะสัมผัสได้ล่ะนะ

     

    “ฮารุ ฉันขอโทษนะ... วันนี้เธออาจจะต้องกลับก่อน ฉันกับยามาโมโตะน่าจะมีเรื่องต้องคุยกันหน่อย”

     

    “อ้อ… ไม่เป็นไรค่ะคุณสึนะ”

     

    หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วลงจนยามาโมโตะสังเกตได้ เขาเลยพูดปลอบใจเธอด้วยอีกคน

     

    “ขอโทษจริงๆนะฮารุ ไว้รอบหน้าไปกินขนมกันนะ”

     

    ไม่รู้ว่าประโยคของยามาโมโตะทำให้ฮารุรู้สึกดีขึ้น หรือทำให้เธอรู้สึกแย่ลงกันแน่ ทำไมใครๆถึงได้ปฏิบัติกับเธอราวกับว่าเธอนั้นอ่อนแอเหลือเกิน

     

    ‘ถึงฮารุจะไม่ได้ถนัดด้านการต่อสู้ แต่ว่าเรื่องจิตใจแล้ว ฮารุก็เข้มแข็งอยู่นะคะ’

     

    ถึงหญิงสาวจะน้อยใจ แต่เธอก็ไม่โทษพวกเขาหรอกนะ เธอเข้าใจดีว่าพวกเขาเป็นห่วงเธอด้วยใจจริง ถึงแม้นั่นจะทำให้เธอยิ่งรู้สึกว่าตัวเองนั้นอ่อนแอมากก็ตาม

     

    “โอ้ย… ไม่ต้องขอโทษฮารุหรอกค่าคุณสึนะ คุณยามาโมโตะ โนพร้อบเบลิมอยู่แล้ว ฮารุตั้งใจว่าเย็นนี้จะกลับไปกินข้าวกับที่บ้านอยู่แล้วล่ะค่า”

     

    เธอโกหก

     

    ถึงแม้เสียงจะไม่สั่นเครือ ฟังดูสดใสร่าเริงอย่างที่หญิงสาวพูดเป็นปกติ แต่ประโยคเมื่อครู่ เธอใช้ความพยายามอย่างมากที่จะกลั่นกรองมันออกมาให้ดูปกติที่สุด

     

    “ไว้ว่างๆ ฮารุจะแวะมากินข้าวด้วยนะค้า…”

     

    เธอเก็บของก่อนจะเดินออกไปจากห้อง พยายามก้าวเท้าให้ดูไม่รีบร้อนจนเกินไป ถึงแม้ในใจจะร้อนรน ไม่อยากหันกลับไปมองเลยก็ตาม

     

    เธออาย

     

    อายในความอ่อนแอของตัวเอง

     

    ความอ่อนแอที่ต้องคอยให้คนอื่นปกป้อง

     

     

    ------------------------------------------

     

     

    ท้องฟ้าในเมืองนามิโมริยามประอาทิตย์กำลังเคลื่อนตัวต่ำใกล้จะตกดิน ย้อมท้องฟ้าให้กลายเป็นสีส้ม ผิวน้ำของแม่น้ำสะท้อนแสงหยอกล้อกับท้องฟ้า ประกายระยิบระยับบนผิวน้ำ บรรยากาศยามโพล้เพล้ช่างชวนให้ว้าเหว่ใจยิ่งนัก

     

    บรรยากาศที่ ‘ฮิบาริ เคียวยะ’ ชอบ

     

    ชายหนุ่มร่างสูง ผมสีดำราวท้องฟ้ายามค่ำคืน เดินอยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำ เขากำลังอิ่มเอมกับบรรยากาศในตอนนี้

     

    สงบ…

     

    ความเงียบรอบข้างที่ไร้ผู้คนพลุกพล่านทำให้ใจของเขาสงบ สายตามองไปตามทางเดินเบื้องล่างที่ขนานไปกับแม่น้ำของเมืองนามิโมริที่เขารัก ทางเดินที่ผู้คนใช้สัญจรไปมา ถึงแม้ว่าเส้นทางนี้ผู้คนจะไม่นิยมใช้เท่าไรนัก

     

    ดวงตาสีดำของเขามองแนวของต้นไม้ที่เรียงรายอยู่ตามทางเดิน เงาสะท้อนของต้นไม้ในผิวน้ำ ภาพที่อิ่มเอมไปด้วยความงดงามของธรรมชาติ

     

    แต่ก แต่ก แต่ก

     

    เสียงฝีเท้าของใครบางคนเรียกความสนใจจากฮิบาริ เคียวยะ เสียงฝีเท้าที่กำลังเดินมาตามทางเดินที่สงบนี้

     

    หญิงสาวผมสั้นสีน้ำตาล เดินมาด้วยความเร็วที่มองก็รู้ว่าไม่ปกติ คนที่จะเดินด้วยความเร็วเท่านี้ ในเวลาแบบนี้ โดยที่หน้าก้มมองแต่ทางเดิน ไม่สนใจความสุนทรีย์ของบรรยากาศรอบข้าง ก็คงจะต้องมีเรื่องกวนใจอยู่ไม่มากก็น้อย

     

    สายตาของผู้พิทักษ์เมฆาแห่งวองโกเล่ มองตามร่างที่กำลังเดินผ่านไป ใบหน้าของเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ

     

    ‘มิอุระ ฮารุ เรอะ’

     

    จะว่าไป ก็เป็นคนที่เขาไม่ได้เจอมานานมากแล้ว หลังจากช่วงมัธยมต้น เธอคนนั้นก็ไม่ได้มาวนเวียนอยู่ในระยะที่เขาได้เจอเท่าไร

     

    ‘ซาวาดะยังเก็บผู้หญิงคนนี้ไว้อีกเรอะ’

     

    ‘คิดจะทำอะไรกับผู้หญิงคนนี้กันนะ’

     

     

    ------------------------------------------

     

     

    23.56 น.

     

    ฮารุนอนพลิกตัวไปมาบนเตียงนุ่มของเธอ ภายในห้องนั้นเงียบสนิท มีเพียงความมืดเท่านั้นที่เป็นเพื่อนเธอตอนนี้ 

     

    'เกลียดเวลานอนไม่หลับจริงๆ'

     

    การนอนไม่หลับแล้วทำให้วันพรุ่งนี้ไม่มีแรงนั้น สำหรับฮารุเธอเองไม่ได้สนใจตรงจุดนี้มาก แต่การนอนไม่หลับ โดยเฉพาะในห้องเงียบๆ และยิ่งอยู่คนเดียวนี่สิ ที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของเธอ 

     

    ความเงียบทำให้เธอเริ่มพูดคุยกับตัวเองในใจ และนั่นคือสิ่งที่เธอไม่ต้องการ 

     

    เรื่องราวต่างๆในอดีตถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปมาในหัวของเธอ ราวกับคำสาปที่ไม่มีทางถอนได้ไปชั่วชีวิต

     

    น้ำตาค่อยๆไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย

     

     ‘เห้อ... ทรมาณจัง...’

     

    คนหลายคนอาจจะคิดว่าความเจ็บปวดทางกายคือที่สุดของความเจ็บปวด หากคนพวกนั้นได้ลองเป็นแบบฮารุในตอนนี้สักครั้ง ร้อยทั้งร้อยก็คงยอมบอกว่าให้เอามีดมาแทงตัวเองดีกว่า

     

    ฮารุพยายามลืมตามองไปที่เพดานเพื่อไม่ให้ตัวเธอเองหลับตาแล้วมองเห็นภาพความทรงจำที่วนเวียนอยู่ในหัวเธอตอนนี้

     

    แต่ความทรงจำมันช่างเป็นสิ่งที่น่าประหลาด ตอนนี้ถึงเธอจะไม่เห็นมัน ไม่ได้ยินมัน สัมผัสไม่ได้ แต่ความรู้สึกในช่วงเวลานั้น กลับชัดเจนอยู่ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน โดยเฉพาะความทรงจำที่เจ็บปวด

     

    ราวกับว่าเธอเพิ่งอกหักเมื่อวาน…

     

    น้ำตายังคงไหลอาบอยู่ทั้งสองแก้ม ไม่ใช่เพราะเธอเศร้าหรอก แต่เป็นเพราะอะไรนั้นฮารุเองก็ไม่รู้

     

    รู้แค่เพียงว่าเธอเกลียดความเงียบ ความเงียบทำให้ความคิดฟุ้งซ่าน

     

    ‘คงมีแค่ในความฝันสินะคะ ที่คุณสึนะจะชอบฮารุเหมือนกัน’

     

    เธอพยายามข่มตาหลับลงหลังจากพยายามมานับครั้งไม่ถ้วน และโชคดีที่ครั้งนี้เธอทำสำเร็จ 

     

     

    ------------------------------------------

    ------------------------------------------

     

     

    7 ส.ค. 2564

    ผุดมาจากดิน มาต่อแล้วค่า รอบนี้จะพยายามมาต่อให้จบนะคะ เอา intro บทนี้ไปก่อน 5555

     

    12 ส.ค. 2564

    ไม่ได้แต่งนิยายมา 3-4 ปีแล้ว เริ่มใช้คำไม่ค่อยถูก บทนี้อยากโฟกัสตีมความฝัน ถามว่าความสัมพันธ์ของฮิบาริกับยามาโมโตะเป็นยังไง ต้องติดตามต่อไปนะคะทุกคน (ถ้าแต่งต่อจนจบนะ)

    บทนี้ยังขาดอีกครึ่งนึง จะพยายามมาต่อก่อนสิ้นเดือนนี้นะ

     

    30 ส.ค. 2564

    มาต่อตามสัญญาแล้วค่า ช่วงนี้มู้ดมันมามากเลย รู้สึกแต่งเพลิน 555 ส่วนตัวไรท์ชอบซีนแบบมองกันไกลๆ ฮึ่ยยยย มันน่ารักนักน้าาา คุณฮิบารินานๆทีจะมองตามใครสักคนเชียวนะ มันอาจจะมีช่วงบรรยายแล้วดูประหลาดๆบ้าง เพราะไรท์ขุดเอาของเก่าที่เคยแต่งไว้แล้วมาเสริมๆเอา มู้ดมันคนละช่วงกันอะนะ

    ฝากฟิคเรื่องอื่นๆด้วยนะคะ Summer Rain 8086 เป็นเรื่องสั้น แวะไปชมได้ (มาแอบกระซิบว่า 8086 มีภาคต่อแน่เลยค่ะ ซีนในหัวมันมาแล้ว คู่นั้นก็น่ารักนุบนับนะคะ อิอิ)

     

    แก้ไขคำผิด จัดหน้านิยาย 13 ก.ย. 2564

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×