คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ความเงียบ
ตอนที่ 2
- ความเงียบ -
แกร๊ง!
เสียงของโลหะกระทบกับกระจกปลุกให้ ฮิบาริ เคียวยะ ตื่นขึ้นจากภวังค์ ร่างสูงที่นอนเหยียดอยู่บนโซฟาตัวยาวภายในห้องส่วนตัว ใบหน้ายังคงนิ่งสงบดังเดิมถึงแม่ว่าจะรู้สึกตัวแล้วก็ตาม ดวงตาสีนิลเหลือบไปมองบนโต๊ะกระจกที่วางขนานอยู่กับโซฟาที่มาของเสียงสักครู่
นกน้อยตัวสีเหลืองเกาะอยู่บนพื้นกระจกที่ดูแล้วไม่น่าจะมั่นคงเท่าไหร่สำหรับตัวมัน ข้างๆมีแหวนของผู้พิทักษ์เมฆาวางอยู่ เดาได้ไม่ยากว่าเจ้านกน้อยตัวนี้คงจะเผลอไปชนกับแหวน ทำให้แหวนโลหะกระทบกับกระจกเกิดเป็นเสียงขึ้นมา
ฮิบาริค่อยๆดันตัวลุกขึ้นนั่งบนโซฟา ร่างกายโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย แขนทั้งสองข้างวางพักอยู่บนตัก ฮิบาริค่อยๆเลื่อนมือไปใกล้ๆสัตว์เลี้ยงของเขา ใบหน้าที่เดาอารมณ์ไม่ได้แต่ก็ไม่ได้แสดงถึงโทสะอย่างใด นกน้อยใช้จงอยปากแตะนิ้วเรียวของเขาอย่างอ่อนน้อม ก่อนจะพยุงตัวขึ้นไปเกาะบนนิ้วเรียวของเจ้าของตน
ความเงียบคือสิ่งที่เขาชอบ
ไม่สิ ควรจะใช้คำว่าคุ้นเคยมากกว่า
เขาลุกจากโซฟา มือเลื่อนมาบริเวณหัวไหล่เพื่อให้สัตว์เลี้ยงของเขาเกาะที่ไหล่แทน ร่างสูงเดินไปยังชั้นหนังสือภายในห้องของเขา สภาพของชั้นหนังสือตอนนี้ค่อนข้างแปลกตาไปมากเมื่อเทียบกับสภาพปกติที่จะถูดจัดเรียงอย่างเรียบร้อย แต่บัดนี้กลับมีหนังสือวางซ้อนกันไปมาอย่างไม่เป็นระเบียบ ฮิบาริแอบหงุดหงิดในใจ เขาไม่ชอบความไม่เป็นระเบียบอย่างนี้มาก แต่ว่าในตอนนี้สิ่งที่รบกวนจิตใจของเขามากกว่าคืออีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเขากำลังพยายามหาคำตอบอยู่จากชั้นหนังสือตรงหน้า
มือเขาไล่ไปตามชั้น ก่อนจะหยุดลงที่หนังสือสันปกสีขาวเล่มใหญ่ เขาค่อยๆหยิบมันออกมา เปิดดูสารบัญก่อนจะปิดกลับเข้าที่เดิม
------------------------------------------
ย้อนกลับไปเมื่อ 6 ชั่วโมงที่แล้ว
ราวๆ 20.30 น.
ร่างสูงโปร่งเดินเอ้อระเหยอยู่บนทางเท้าที่ขนานไปตามแนวแม่น้ำ สายตาของเขามองไปข้างหน้า แต่แววตากลับไม่ได้สนใจสิ่งใดเป็นพิเศษ เพียงแค่มองเส้นทางเพื่อไม่ให้เดินชนกับคนที่สวนมาเข้าเท่านั้น
เสียงน้ำไหลไปตามเส้นทางน้ำ สำหรับเขาแล้ว เสียงนี้ช่างสงบ และเรียบง่าย มันทำให้ความคิดที่ยุ่งเหยิงต่างๆหยุดลง แตกต่างกับเสียงที่วุ่นวายเวลามีพวกที่ชอบสุมหัวกัน เสียงของพวกสัตว์กินพืชพวกนั้นทำให้เขารำคาญ
แม่น้ำนี้ชื่อว่าอะไรกันนะ?
สำหรับ 'ฮิบาริ เคียวยะ' แล้ว คำถามนี้เป็นคำถามที่ผุดขึ้นมาในความคิดของเขาเสมอเมื่อเดินผ่านแม่น้ำแห่งนี้ แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะหาคำตอบของคำถามนั้น
ทำไมหน่ะหรือ?
ถ้ามีคนถามเขาด้วยคำถามนี้ เขาคงจะตอบกลับเจ้าตัวคนที่ถามคำถามที่ไม่เกิดสาระประโยชน์อะไรนี้ว่า
รู้ไปแล้วได้อะไร...
ฮิบาริมองดูโคมไฟที่รายเรียงไปตามทางเดินเลียบแม่น้ำ โคมไฟสีเขียวหม่นสูงกว่าเขาหลายช่วงตัว บริเวณตัวเสาแกะสลักเป็นลายศิลปะยุโรป ปลายยอดโค้งลงมาบรรจบกับไฟสองดวง ช่างเป็นภาพที่ไม่เข้ากันกับประเทศนี้เอาเสียเลย คนที่ออกแบบแล้วติดตั้งมันคงจะมีรสนิยมที่ดี เสียแต่ว่าไม่ได้สนใจสภาพแวดล้อมรอบข้างเท่าใดนัก
ถ้าหากสังเกตดีๆ เสาบางต้นจะมีชื่อสลักไว้คู่กัน นัยว่าความรักของพวกเขาจะคงกระพันตลอดไป
ไร้สาระ...
ความคิดของคนบางทีฮิบาริเองก็ไม่ค่อยอยากจะรับรู้มากนัก คนที่เชื่อว่าแค่สลักชื่อคู่กันแล้วความรักจะมั่นคงตลอดไปช่างน่าสมเพศเหลือเกิน การกระทำที่โง่เง่านี้ สำหรับเขาเป็นเพียงการทำลายสาธารณะสมบัติของเมืองนามิโมริที่เขารักมากกว่า
กริ๊ง!
เสียงกระดิ่งแว่วมาตามสายลมกระทบเข้ากับโสตประสาทของเขา ฮิบาริกวาดตามองหาต้นตอของเสียง เสียงมาจากทางด้านบน เหนือศรีษะของเขาเยื้องไปข้างหน้าเล็กน้อย บริเวณยอดเสาพอดี
วัตถุที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนถูกแขวนอยู่บริเวณยอดของโคมไฟ มันมีลักษณะกลมแบน ตรงกลางมีเส้นใยคล้ายด้ายถักทอเป็นเหมือนกับใยแมงมุมอย่างสวยงาม มีขนนกห้อยลงมาจากริมขอบกลมด้านล่าง นอกจากนี้ยังมีกระดิ่งเล็กๆที่ถูกผูกประดับตกแต่งไว้กับขนนกอีกด้วย
'ให้ตายเถอะ'
'เบื่อการทำงานที่ไม่จบไม่สิ้นจริงๆ'
ชายผู้ได้ชื่อว่ารักความสันโดษอย่างสุดหัวใจบ่นกับตัวเอง
------------------------------------------
แต่ก แต่ก แต่ก
เสียงของนิ้วมือที่รัวพิมพ์บนคียบอร์ดคอมพิวเตอร์อย่างคล่องแคล่ว หญิงสาวในทรงผมมัดหางม้าลวกๆ เสื้อไหมพรมแขนยาวสีพื้น กางเกงวอร์มขาสั้น นั่งอยู่บริเวณโต๊ะทำงานภายในห้องส่วนตัวของเธอเอง
สายตาของฮารุจดจ้องอยู่บนแผ่นกระดาษที่ถูกเขียนด้วยลายมือที่ไม่บรรจงนัก ตัวอักษรที่เรียงกันยาวพรืด มีการเว้นวรรคที่แปลกประหลาดในบางประโยค นั่นทำให้คิ้วของหญิงสาวขมวดเข้าหากัน เธอพยายามทำความเข้าใจรูปประโยคและความหมายที่ผู้เขียนพยายามจะสื่อออกมา ก่อนจะพิมพ์ประโยคนั้นๆ เข้าสู่คอมพิวเตอร์
หลายๆ คนอาจจะเข้าใจว่าฮารุทำงานอยู่กับแฟมิลี่ของมาเฟียแบบเต็มเวลา แต่อันที่จริงแล้วเวลาว่างของเธอนั้นเยอะมากจนน่าแปลกใจ เยอะมากจนบางครั้งเธอเองก็สงสัยว่าแฟมิลี่ต้องการเธอจริงหรือไม่ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรตราบใดที่สึนะไม่พูดออกมาด้วยตัวเอง ถึงแม้จะเป็นงานเล็กน้อย เพราะสำหรับมุมมองของฮารุแล้ว งานไม่ว่าจะงานใหญ่หรืองานยิบย่อยต่างสำคัญหมด เธอนึกถึงคำกล่าวที่เปรียบเทียบว่าหยดน้ำอาจดูน้อยนิดเมื่อเทียบกับมหาสมุทร แต่มหาสมุทรเองก็เกิดจากหยดน้ำอันมากมายรวมตัวกัน
หน้าที่ของเธอในแฟมิลี่ควรจะใช้คำว่าจิปาถะน่าจะทำให้เห็นภาพได้ดี หมายถึงงานไหนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาพรวมใหญ่หรืองานอันตราย ตัวอย่างประเภทเดินสายติดต่อสำนักงานอื่น ส่งเอกสาร หรือแม้กระทั่งชงกาแฟให้คนที่เข้าประชุม ซึ่งงานทั้งหมดนี้ต้องอาศัยคนที่มีเวลาว่างพอจะปลีกตัวมาได้เสมอ
นอกเหนือจากการถูกเรียกตัวไปทำงานในแฟมิลี่แล้ว ฮารุยังรับงานพิมพ์เอกสารต่างๆ นัยว่าเพื่อฝึกฝนทักษะพิมพ์ดีดไปในตัว อีกอย่างการพบปะกับคนทั่วไปเป็นสิ่งที่ฮารุชื่นชอบเสมอมา เช่นงานที่ฮารุรับทำอยู่ในตอนนี้ ชายผู้จ้างวานเป็นคนที่มีไอเดียแปลกใหม่ซึ่งเธอสนใจมาก เขาแต่งนิยายได้น่าติดตาม เนื้อเรื่องและการพรรณนาความรู้สึกน่าทึ่ง แต่เขากลับพิมพ์ดีดไม่เป็นจึงได้จ้างวานฮารุเพื่อที่จะพิมพ์นิยายตามที่เขาได้เขียนในกระดาษต้นฉบับให้
ครั้งแรกที่ฮารุได้อ่านต้นฉบับลายมือของเขา เธอรู้สึกตื่นเต้นมาก เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กชายคนหนึ่งที่ถูกกลุ่มมาเฟียพาตัวไปยังอิตาลี เนื่องจากพ่อของเขาได้กู้ยืมเงินมาเพื่อรักษาภรรยาของตน แต่ไม่สามารถหามาชดใช้ได้ ซึ่งในแฟมิลี่เขาถูกบังคับให้ทำหน้าที่เป็นเด็กส่งยาเสพติด เพื่อกระจายไปในย่านสลัมของเมือง และที่นั่นเขาได้พบกับเพื่อนรักคนหนึ่ง
เขาสามารถเขียนบรรยายความรู้สึกของตัวละครได้น่าทึ่งราวกับเคยเผชิญสิ่งเหล่านั้นมาก่อน ฮารุสัมผัสได้ถึงความกลัว ความคับแค้นใจของตัวเอกที่ได้เผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ นอกจากนี้เธอยังรู้สึกตลกในใจด้วยซ้ำที่เขาสามารถบรรยายสภาพแฟมิลี่ได้เหมือนจริง หรือว่าความจริงแล้วเขาอาจจะเป็นมาเฟียที่เกษียณตัวเองออกมาแล้วเล่าเรื่องราวที่ได้พบเจอก็เป็นได้ ทั้งหมดทั้งมวลแล้วนั่นทำให้เธออยากอ่านตอนถัดไปของนิยายเรื่องนี้มาก น่าเสียดายที่เขายังไม่ได้ส่งตอนถัดๆไปให้เธอ ที่เธอได้อ่านจึงเป็นเพียงตอนต้นของเรื่องเท่านั้น
'ลัลลา ลัลลา ลัลล้า ลาาาา~'
เสียงริงโทนเพลง twinkle little star จากโทรศัพท์ของฮารุดังขึ้น ฮารุรีบหยิบมันขึ้นมาแล้วกดรับทันที ฮารุตั้งเพลงนี้สำหรับสึนะโดยเฉพาะเลยทีเดียว เพราะสำหรับเธอเขาเปรียบเสมือนดวงดาวที่ส่องสว่างท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน พร้อมกับเหตุผลอีกร้อยแปดพันเก้าที่เธอเพ้อเจ้อขึ้นมาในใจ แต่ที่สำคัญสุดคือทำให้เสียงเรียกเข้านั้นเป็นเสียงที่ต่างจากคนอื่นต่างหาก
"ค่า~ คุณสึนะ"
เสียงใสตอบอย่างกระตือรือร้น
"วันนี้ ประมาณบ่ายสาม ฮารุว่างไหม?"
สึนะถามด้วยเสียงชัดเจน ประโยคสั้นกระชับ
"แปปนึงนะคะ"
เธอบอกกับปลายสายตรงข้าม ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกาปลุกที่อยู่เหนือหัวเตียงมาเพื่อดูเวลา
ตอนนี้เวลา 11.47 น.
เธอประมวลผลในหัวครู่หนึ่งก่อนจะตอบตกลง และก็ไม่ลืมที่จะถามเหตุผล พร้อมสถานที่นัดหมายจากสึนะด้วยเช่นกัน
------------------------------------------
'น่าจะได้เวลาแล้วสินะ'
หญิงสาวมองดูนาฬิกาที่บอกเวลาบ่ายสองโมง ร่างเล็กเหยียดแขนสองข้างขึ้นเหนือศีรษะเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การทำงานกับคอมพิวเตอร์ทั้งวันในท่านั่งเดิมทำให้ฮารุรู้สึกชาไปทั่วขา ที่แย่กว่าคือสายตาที่ล้าจากการจ้องมองแสงสว่างบนจอโดยไม่ได้พักสายตา เธอค่อยๆลุกขึ้นปรับสภาพขาให้ชินกับท่ายืนครู่หนึ่ง มือเล็กเอื้อมพับปิดหน้าจอลง ก่อนจะเดินไปบริเวณโต๊ะเครื่องแป้ง
สายตาของเธอไล่หาอุปกรณ์สำคัญในการแต่งหน้า ขั้นแรกเริ่มจากลงรองพื้นบางๆ เซ็ททับด้วยแป้ง แน่นอนว่าส่วนที่สำคัญที่สุดคือคิ้ว หญิงสาววัยใกล้ยี่สิบสามถือคติมาตลอดหลายปีเลยว่า คิ้วคือมงกุฏของใบหน้า คำกล่าวนี้ตอนแรกเธอเองก็ไม่ได้สนใจนัก แน่นอนว่าทุกคนก็คงไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ นอกซะจากว่าคุณอยากจะสวยขึ้นเพื่อให้ใครบางคนรู้สึกอยากหันมามอง
อาจจะด้วยความเคยชินสนิทสนมกับสึนะมาหลายปี ฮารุจึงไม่ได้แต่งหน้าเยอะแยะมากมาย น่าแปลกที่ความจริงการพบเจอกับสึนะนั้นบรรยากาศมักจะเป็นไปด้วยความสบาย ซึ่งต่างจากที่เคยได้ยินคำบอกเล่ามาว่าเมื่ออยู่กับคนที่ชอบแล้วจะรู้สึกเขิน เกร็ง และทำอะไรไม่ถูก
เธอใช้เวลาไม่นานกับการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดูดีขึ้นกว่าเดิม แน่นอนว่าก่อนออกจากบ้านก็ไม่ลืมที่จะบอกกับแม่ของเธอเองว่ากำลังจะไปที่ไหนและกลับกี่โมง ในสายตาของแม่ทุกคนลูกล้วนเป็นเด็กน้อยอยู่เสมอแหละนะ
"ว้าย!!!"
เสียงอุทานดังขึ้น
ไม่ทันที่หญิงสาวจะก้าวพ้นประตูบ้าน สายรัดบนรองเท้าคู่เก่งของเธอดันขาด
มุมปากเธอบึ้งลงเหมือนเด็กโดนน้อยที่ถูกผู้ใหญ่ใจร้ายเดินชน แล้วลูกอมในมือหล่นลงพื้น
ถึงแม้จะไม่มีใครเห็นใบหน้าของเธอตอนนี้ แต่เธอเป็นคนประเภทว่าชอบแสดงความรู้สึกออกมามากกว่าวางมาดนิ่งๆ ดูดีมีบุคลิกให้เสียสุขภาพจิตตลอดเวลา ถึงมันจะทำให้ดูเป็นเด็กน้อยก็ตาม ฮารุคิดเข้าข้างตัวเองว่าตราบใดที่มันไม่ได้กระทบกระทั่งคนอื่น การแสดงออกทำนองนี้น่าจะช่วยให้ความเครียดในแต่ละวันไม่สะสมมากเกินไป
ร่างบางเดินกลับเข้าไปในบ้านเพื่อเปลี่ยนรองเท้า โชคร้ายที่ไม่มีรองเท้าคู่ไหนสีเข้ากับชุดเธอเลย นอกจากรองเท้าคู่ใหม่ที่เธอเพิ่งซื้อมาเมื่อสามวันก่อน จะว่าโชคดีก็ไม่เชิงที่วันนั้นมันดันลดราคาพอดี เธอเลยมีรองเท้าที่เข้ากันกับชุดในตอนนี้ แต่รองเท้าใหม่มักจะทะเลาะกับผู้สวมใส่เสมอ บางครั้งบางคราวยังฝากความรักด้วยการกัดเท้าอันแสนบอบบางของผู้ใส่ด้วย
ถ้าเป็นไปได้ผู้หญิงทุกคนก็อยากจะดัดนิสัยเสียที่ว่า ยอมใส่รองเท้าที่ดูสวยงามมากกว่ารองเท้าที่ใส่สบายซึ่งดันหน้าตาขี้เหร่ แต่ให้พูดเถอะ ถ้าเลิกนิสัยอย่างว่าได้คงไม่ถือว่าตัวเองเป็นผู้หญิงอีกต่อไปแล้ว
------------------------------------------
------------------------------------------
18 มิ.ย. 2559
เหมือนเอาชีวิตมุมมืดตัวเองมาเขียนเลย 5555 ตั้งแต่ด่าคนออกแบบเสาไฟ ยันรองเท้ากัด เอาจริงชื่อตอนก็ไม่เข้ากับเนื้อเรื่องเท่าไหร่หรอก แต่อยากให้มันเป็นซีรี่ย์แบบ "ความ....." อะไรก็ว่าไป ช่วยกันหวังหน่อยว่าไรท์เตอร์จะคีพโกอิ้งแบบนี้ไปได้จนฟิคนี้จบ
แก้ไขคำผิด จัดหน้านิยาย 13 ก.ย. 2564
ความคิดเห็น