NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โคตรคน โรงเรียนเถื่อน

    ลำดับตอนที่ #9 : รู้ไว้ซะ...ฉันเป็นใคร (4)

    • อัปเดตล่าสุด 25 มี.ค. 65


    คาบแรกของเช้าวันนี้คือการพบปะกับอาจารย์ที่ปรึกษาประจำห้องของตน 

    ห้อง 523 ที่เป็นห้องประจำของเด็กนักเรียน ม.4/2 แห่งนี้นั้น หน้ากระดานดำจะหันไปทางทิศใต้ติดกับบันได ที่นั่งของไตรภพซึ่งอยู่ท้ายสุดของแถว อีกทั้งยังอยู่ติดกับหน้าต่าง สามารถมองเห็นภาพของลำน้ำเจ้าพระยาสะท้อนแสงแดดกล้าเต็มสองตา เป็นทิวทัศน์ที่ตระการตางดงามเป็นอย่างมาก 

    ลมอ่อนพัดโชยมากระทบใบหน้าของเด็กหนุ่ม นกกากระพือปีกบินอยู่บนท้องฟ้ากว้างใหญ่ มองเห็นเรือข้ามฟากแล่นไปกลับอยู่ไกล ๆ  ไม่มีสิ่งไหนน่าอภิรมย์ใจเท่านี้อีกแล้ว 

    “ไตรภพ” 

    เสียงของวายุทักขึ้นพร้อมกับสะกิดที่แขน 

    “อ๊ะ ! เอ่อ... มีอะไรเหรอ ?” 

    เด็กหนุ่มหันขวับกลับมาเพราะถูกเรียกโดยไม่ตั้งตัว มองอีกฝ่ายตาปริบ ๆ 

    “คุณครูมาแล้วน่ะ” 

    พร้อมกันนั้น เสียงของหัวหน้าห้องที่เป็นผู้หญิงก็เอ่ยทำความเคารพขึ้น 

    “นักเรียนทั้งหมดทำความเคารพ” 

    พอเสร็จสิ้นการทำความเคารพ อาจารย์หญิงสองท่านผู้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาก็ชี้แจงอะไรนิดหน่อยสำหรับเปิดภาคเรียนนี้ พร้อมกันนั้นก็ถามถึงกลุ่มเพื่อนที่ไปรับสมุดกับทางโรงเรียน

    “พวกผู้ชายไปสมุดที่ใต้ถุนอาคารอานนท์กันแล้วใช่ไหม ?” 

    อาจารย์คนที่อายุราว ๆ ห้าสิบกว่าใกล้เกษียณ รูปร่างอวบ ไว้ผมสั้นกุดย้อมสีน้ำตาลเอ่ยถามหัวหน้าห้องขึ้น เธอคือ อาจารย์ดรุณี ศรีสวัสดิ์ นอกจากจะเป็นที่ปรึกษาห้องของไตรภพแล้ว เธอยังเป็นหัวหน้าระดับชั้นอีกด้วย 

    “ใช่ค่ะ พวกไอ้เบสไปเอาค่ะ” 

    ยังไม่สิ้นประโยคของหัวหน้าห้อง พวกที่ไปรับสมุดเรียนตรงใต้ถุนอาคารอานนท์ก็เดินเข้ามาในห้อง เป็นเด็กผู้ชายจำนวนห้าคนที่เข้ามาพร้อมกับช่วยแบกสมุดที่ห่อกระดาษสีน้ำตาลเข้ามา ขณะเดียวกันพวกของทอฝันที่ไปเข้าห้องน้ำก็ตามเข้ามาด้วย

    ไตรภพไม่ได้สนใจพวกที่ไปเอาสมุดเรียนเลยสักนิด มองไปยังทอฝันที่เดินนวยนาดเข้ามาอย่างยิ้มแย้มกับพวกเพื่อน ๆ ของเธอ ช่างอกตระหง่านงามกระเพื่อมเสียกระไร 

    “เธอทั้งสวยและน่ารักจริง ๆ เนอะ ว่าไหม ?”  

    ไตรภพทำหน้าเหลอหลาเพราะวายุถูกทักในเรื่องนี้ ยิ้มร้ายกาจมองหน้าอีกฝ่าย

    “เอ๊ะ ! นายก็ตาดีเหมือนกันนะเนี่ย” 

    “ก็เห็นนายมองก่อนยังไงล่ะ”  

    “แล้วคิดว่ายังไง ?”

    “ขาวสวยหมวยอึ๋ม”

    วายุพูดยิ้ม ๆ  ใบหน้าที่สวมแว่นกันแดดดูเหมือนเรียบเฉยแม้จะอยู่ในอารมณ์ต่าง ๆ  จนทำให้ไตรภพรู้สึกเหมือนกับว่าตนกำลังพูดกับรูปปั้น 

    เด็กหนุ่มหันไปมองดูหญิงสาวผู้เปรียบเสมือนเพื่อนคนแรกของตนอีกครั้ง เธอคนนั้นนั่งอยู่ตรงแถวที่สามจากในห้าแถวหากนับจากแถวข้างหน้าต่างไป สามารถมองเห็นใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายได้ชัดเจน พวงแก้มสีชมพูผุดผาดผ่องใสกับรอยยิ้มชื่นใจนั่น มันทำให้ไตรภพลืมเรื่องเลวร้ายที่ตนพบเผชิญมาในเช้าวันนี้จนหมด

    ยกมือคลำตรงหัวนมข้างที่ถูกบิดตอนมาโรงเรียนสายก็พลันหายปวดแสบไปเสียอย่างนั้น 

    ขณะที่กำลังฝันหวานเพราะแอบดูทอฝันสาวงามประจำห้องนั้น ฝันกลางวันดังกล่าวก็พลันถูกทำลายโดยเสียงของอาจารย์ดรุณี 

    “ทุกคนมากันครบแล้ว วันนี้มีเรื่องเซอร์ไพรส์อยู่เรื่องหนึ่ง นักเรียนพอจะทราบกันแล้วว่ามีเพื่อนใหม่ย้ายเข้าอยู่สองคน เอาล่ะ... อยู่ตรงไหนนะ” 

    อาจารย์ดรุณีหลิ่วตามองไปรอบ ๆ ห้อง จนกระทั่งมองเห็นไตรภพและวายุผู้ใส่แว่นดำเด่นชัดที่นั่งอยู่มุมห้อง ก่อนจะกวักมือเรียกพวกเขาทั้งสอง 

    “เอาล่ะ นักเรียน มาแนะนำชื่อให้เพื่อน ๆ รู้จักหน่อยเร็ว”  

    บรรยากาศภายในห้องเงียบดับไปในบัดดล เพื่อน ๆ พากันหันขวับมามองที่พวกเขาเป็นตาเดียว ไตรภพและวายุเผลอมองหน้ากันโดยไม่รู้ตัว แล้วจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นจากที่นั่งของตน เดินตามกันออกมายังข้างหน้าห้องเรียน ยืนอยู่ใกล้ ๆ กับอาจารย์ดรุณีและอาจารย์หญิงอีกคนหนึ่ง 

    “แหม วายุ หล่อเชียวนะวันนี้ เอาล่ะแนะนำชื่อให้เพื่อน ๆ รู้จักหน่อยนะ” 

    อาจารย์ดรุณีพูดแซววายุขึ้นราวกับรู้จักมาก่อน ไตรภพพลันสังสัย แต่ก็ได้แต่ยืนเฉย ๆ 

    “สวัสดีครับ ผม นายธีรวัฒน์ ทรัพยภักดิ์โภคิน ครับ ชื่อเล่นว่า วายุ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”  

    เพื่อน ๆ ในห้องปรบมือขึ้น ตามด้วยเสียงอุทานแว่วมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ตามด้วยเสียงซุบซิบพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้น 

    “นามสกุลทรัพยภักดิ์โภคิน ใช่นามสกุลที่เป็นเจ้าของโรงแรมโภคินเพลสหรือเปล่า ?” 

    “ใช่ ๆ  ตายแล้ว ๆ มีลูกมหาเศรษฐีมาอยู่ห้องเราด้วย” 

    “แล้วทำไมเขาต้องใส่แว่นดำด้วยล่ะ เป็นพวกขี้เก๊กหรือเปล่า ?” 

    “หรือไม่ก็พวกติ๋มแหละ อยากอวดเก่งให้คนอื่นคิดว่าตัวเองไม่กระจอก”

    เด็กหนุ่มผู้สวมแว่นตาดำสนิทยิ้มเล็กน้อย อยู่ในท่าอ่อนน้อมถ่อมตน เขาไม่ได้ฟังในสิ่งที่เพื่อนร่วมห้องซุบซิบนินทา อาจารย์ดรุณีจึงคะยัันคะยอให้พูดต่อ 

    “บ้านอยู่ที่ไหน... ย้ายมาจากโรงเรียนอะไร... บอกเพื่อน ๆ ไปสิ วายุ” 

    “บ้านผมอยู่แถว ๆ ทองหล่อ-เอกมัยครับ ผมเพิ่งย้ายมาจากอเมริกาครับ เอ่อ...” 

    เสียงจ้อกแจ้กของเพื่อน ๆ ภายในห้องดังขึ้นเป็นคำรบสอง แน่นอนว่าเป็นความตกใจพร้อมกับรู้สึกทึ่งในตัววายุไปในคราวเดียวกัน อาจารย์ดรุณีจึงไม่คาดคั้นอะไรต่อ กระแอมเล็กน้อยก่อนพูด

    “จ้ะ ยังไงก็ฝากเพื่อนใหม่ด้วยนะ ทุกคน ...เอาล่ะ ต่อไปตาเธอแล้ว”  

    อาจารย์ดรุณีหันมาทางไตรภพบ้าง เด็กหนุ่มทำตัวไม่ถูกอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงรวบรวมความกล้าลั่นปากออกไปบ้าง โดยลอกเลียนแนวการพูดของวายุมา

    “สวัสดีครับ ผม นายไตรภพ ลาวัณย์เลิศ ชื่อเล่นว่า ไตรภพ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

    “จ้ะ แล้วบ้านของเธออยู่แถวไหนเหรอจ๊ะ ? ไตรภพ” 

    “อยู่คลองเตยครับ บ้านผมอยู่แถวชุมชน 70 ไร่ครับ ย้ายมาจากต่างจังหวัดครับ” 

    สิ้นเสียงพูดของเด็กหนุ่ม บรรดาเพื่อนในห้องตลอดจนครูอาจารย์ทั้งสองที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็ตกตะลึง บังเกิดเป็นเสียงซุบซิบพูดคุยกันดังเต็มห้อง อาจารย์ดรุณีก็เกิดอาการกระสับกระส่าย ไม่รู้เป็นเพราะสาเหตุใดกัน 

    “นั่นมันสลัมคลองเตยนี่หว่า ไอ้หมอนี่เป็นเด็กสลัมเหรอ ?” 

    “อาชญากรรม แหล่งเสื่อมโทรม ยาเสพติด อะไรอีกล่ะ ?” 

    “แต่มันนั่งรถเมล์มาโรงเรียนเราได้ยังไงกัน ไม่โดนพวกยัคฆา เทวะ กับทักษ์ไทดักเล่นเหรอ ? บ้านกูอยู่จตุจักรยังโดนเทพทัยกับพวกเด็กอสงไขยข่มเลย โดยเฉพาะพวกอายะ” 

    “น่ากลัวชะมัด โดนล้อมทั่วสารทิศเลย จะอยู่ครบหนึ่งเดือนเหรอวะ” 

    “กับผีมึงสิ ! กูให้สามวันพอว่าจะอยู่หรือจะไป” 

    เสียงพูดจาอย่างเคร่งเครียดและรู้สึกสยดสยองแกมรังเกียจในตัวไตรภพค่อนข้างที่จะดังฟังชัด สายตาหลายคู่จ้องมองมาที่เขา แฝงความรังเกียจเดียดฉันท์ ความน่าสังเวชสมเพช และความหมดอาลัยตายยาก จนมันทำให้เขารับรู้ถึงสภาพสังคมที่อยู่ในระดับสูงกว่าตนขึ้นมาในบัดนั้น 

    ไตรภพกัดริมฝีปากแน่น รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ก้มหน้าพยายามหมดหลีกสายตาทุกคู่ที่จ้องมายังตน เพียงแค่เสี้ยววินาทีที่ผ่านพ้นไปในตอนนั้น มันเปรียบเสมือนกับว่าผ่านไปเป็นชั่วโมง 

    ‘ความรู้สึกนี้อีกแล้ว... ฉันไม่อยากโดนใครข่มเหงอีก... ไม่อยากเห็นใครมาดูถูกเหยียดหยามอีก ! ต้นข้าว... พี่จะทำยังไงดี...’   

    เด็กหนุ่มพยายามหาที่พึ่งทางใจในสถานการณ์อันแสนหนักอึ้งนี้ กลอกตาดูเพื่อน ๆ ในห้องที่มองมาทางตนทีละคน ก่อนจะไปจับกับใบหน้าของทอฝัน เธอมองมาที่เขาด้วยแววตาโศกเศร้าอย่างรู้สึกสงสาร จนไตรภพต้องหลบสายตาอาทรคู่นั้น

    ‘ทอฝัน... เธอคงจะไม่รังเกียจฉันใช่ไหม ?’

    ชั่วขณะเดียวกันนั้นเอง อาจารย์ดรุณีก็พูดทำลายบรรยากาศอันน่าตึงเครียดนั้นขึ้น 

    “เอาล่ะ ๆ พอได้แล้ว มีอะไรก็แนะนำเพื่อนใหม่กันด้วยนะ ...ไตรภพ วายุ ไปนั่งที่ได้” 

    ทั้งสองกลับไปนั่งยังที่ของตนข้างหน้าต่างเหมือนเดิม สายตาของเพื่อนในห้องบางคนยังคงเหลียวมามองตามหลัง 

    “โอเคหรือเปล่า ? ไตรภพ” 

    วายุถามขึ้นโดยไม่อาจทราบแววตาผ่านแว่นดำด้านของเขาได้ แต่น้ำเสียงแฝงความเป็นห่วงสุดแสน 

    อากาศในห้องร้อนอ้าวขึ้นมาในทันใด ไตรภพเหงื่อโชกตัวเพราะอาการตื่นเกร็งเมื่อครู่ แม้จะยิ้มเฝื่อน ๆ กลบเกลื่อน แต่เขายังรู้สึกมวนท้องอย่างบอกไม่ถูก พร่ำบอกกับตัวเองว่าคิดดีแล้วหรือที่ย้ายมาอยู่ยังเมืองกรุง แม้จะไม่มีทางเลือกก็ตาม 

    “ฉันโอเค... เพราะชินแล้วล่ะ” 

    เขาฝืนยิ้มด้วยการมองโลกในแง่ดี ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเสียงนกเสียงการอบข้าง หันไปมองยังสายธาราอันกว้างใหญ่เห็นอีกฟากฝั่งสลัวเลือนรางเพราะปรากฏการณ์มิราจ อันเกิดจากการหักเหของแสงเนื่องจากชั้นของอากาศที่แสงเดินทางผ่านมีอุณหภูมิต่างกัน ปลอบประโลมตัวเองให้ใจเย็นลง จนกระทั่งรู้สึกเบาโล่งขึ้นมา

    อาจารย์ดรุณีทำการเช็กชื่อนักเรียนภายในของตน ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้นสามสิบคนพอดี โดยมีวายุและไตรภพอยู่ลำดับท้ายสุดของรายชื่อเพราะเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ ขณะเช็กชื่อก็เรียกให้ออกมารับสมุดที่หน้าห้องตามลำดับเลขที่ หลังจากชี้แจงอะไรอีกไม่กี่เรื่อง เสียงออดบอกหมดคาบเรียนก็ดังขึ้น

    “ฉันยังไม่ได้ตารางเรียนเลย คาบสองเราเรียนวิชาอะไรนะ ?” 

    ไตรภพถามวายุ แต่วายุก็ไม่ทราบเหมือนกัน เขาจึงโน้มไปถามเพื่อนผู้หญิงสองคนที่นั่งหน้าตน พูดถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร 

    “เอ่อ... พวกเธอพอจะรู้ไหมว่าคาบต่อไปเรียนวิชาอะไร ?” 

    เพื่อนผู้หญิงสองคนนั้นหันมายังวายุที่ยังคงสวมแว่นตาดำด้วยความลนลานเล็กน้อย มองหน้ากันส่งภาษาอะไรกันครู่หนึ่ง คาดว่าน่าจะไม่ทราบเหมือนกัน แต่พอพวกเขาถามเพื่อนที่นั่งข้างหน้าอีกทีก็ได้คำตอบ

    “วิชาสังคมน่ะ” 

    “อ๋อ ขอบใจนะ” 

    วายุเอ่ยเป็นมารยาทพร้อมกับหันมายิ้มให้ไตรภพ 

    หลังจากทำความเคารพเสร็จ เพื่อนในห้องก็ต่างเก็บสัมภาระเข้ากระเป๋า ลุกออกจากห้องเพื่อไปเรียนในรายวิชาต่อไป

    เด็กหนุ่มทั้งสองถึงจะเงอะงะเพราะยังเป็นเด็กใหม่ แต่การที่ไม่ลำพังตัวเองคอยช่วยเหลือกันก็กลับกลายเป็นความสบายใจขึ้นมาบ้าง และหลังจากนี้สังคมของโรงเรียนแห่งนี้จะค่อย ๆ สำแดงฤทธิ์เดชแก่พวกเขาทีละเล็กทีละน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับไตรภพ 

    โดยมีสี่จตุรเทพแห่งวสันต์ศิลป์เข้ามาพันพัว !

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×