NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โคตรคน โรงเรียนเถื่อน

    ลำดับตอนที่ #7 : รู้ไว้ซะ...ฉันเป็นใคร (2)

    • อัปเดตล่าสุด 30 เม.ย. 65


    ไตรภพวิ่งไปตามทางเท้าที่มุงด้วยหลังคาดัดโค้งครึ่งวงกลม ผ่านลานโมฆราชที่ใช้นั่งพักผ่อนด้านขวามือไป 

    ส่วนด้านซ้ายมือตรงหางตามองเห็นเป็นโดมอาคารใหญ่ที่ถูกบังบดด้วยต้นอโศกอินเดียสูงชะลูด ลึกไปหน่อยก็มีอีกหลังที่เล็กลงมาหน่อย 

    คาดว่าน่าจะเป็นโดมสนามวอลเลย์บอล และโดมสนามบาสเกตบอล 

    เด็กหนุ่มวิ่งทะลุมาถึงถนนเส้นหลักของโรงเรียน ตรงหน้าเป็นสนามฟุตบอลขนาดใหญ่ 

    ทางฝั่งตะวันออกหรือที่เขายืนอยู่จะมีแสตนด์เชียร์แบบเหล็กอยู่ห้าที่ ซึ่งทาสีแตกต่างกัน คาดว่าน่าจะใช้สำหรับแข่งกีฬาสี 

    แต่สิ่งที่ไตรภพสนใจเป็นกลุ่มนักเรียนแต่ละชั้นที่กำลังแยกย้ายเข้าห้องเรียนต่างหาก 

    ถนนหนทางมีเหล่านักเรียนเดินพลุกพล่านกันเต็มไปหมด แต่ที่น่าแปลกก็คือ การแต่งกายของแต่ละคนล้วนแต่พิสดารแตกต่างราวกับอยู่ในยุคฮิปปี้ 

    บางคนสวมเสื้อพละกับกางเกงนักเรียน รองเท้าแฟชั่นหลากสี บางคนใส่เสื้อนักเรียนกับกางเกงยีนรีไวล์ แต่สวมรองเท้าแตะ มีสวมผ้าโพกหัวธงชาติสหรัฐอเมริกา สวมแว่นตากันแดด สวมสร้อยทอง รวมไปถึงเจาะต่างหูแฟชั่นอีกด้วย โดยส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนชายที่แต่งกายแบบนี้

    ไตรภพอ้าปากหวอเป็นครั้งที่สองของเช้านี้ กวาดสายตาไปรอบ ๆ  แต่มิใช่ในความรู้สึกอึ้งทึ่งแต่อย่างใด ทว่าเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดจนอยากจะหนีมันไปให้พ้น 

    “กริ้ว ๆ  พี่คะ สนใจเอาหนูไปเป็นแฟนไหมคะ ?” 

    “ฮิ ฮิ ฮิ”

    เสียงนักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินขึ้นอาคารเรียนข้าง ๆ แซวไตรภพขึ้นพร้อมกับหัวเราะ เด็กหนุ่มตกตะลึงพลางมองไปที่เลขปักตรงหน้าอกที่บอกชั้นปี เด็กผู้หญิงพวกนั้นอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามนั่นเอง ซึ่งกำลังเดินขึ้นอาคารเรียนข้าง ๆ ตรงนี้ และมันก็เป็นอาคารที่ไตรภพมองเห็นกางเกงชั้นในและเสื้อชั้นในของผู้หญิงแขวนตากที่หน้าต่างห้อง โดยอาคารเรียนดังกล่างหากแหงนมองดูชื่อจะรู้ว่าเป็น ‘อาคารสารีบุตร’ 

    “เฮ้อ... ง่วงจังวะ ไอ้สัตว์ อยากงัดหน้าพวกเทพอุทัยแล้วว่ะ” 

    “พ่อมึงมาส่งเช้ายังไงเล่า มึงเลยอดสนุกกับพวกพี่ ม.ปลาย” 

    “แม่มึงก็เหมือนกันนั่นแหละ” 

    กลุ่มเด็กนักเรียนชายนับสิบที่เดินเกาะกลุ่มกอดคอกันมาก็พูดหยอกล้อกันขึ้น หน้าตากร้านเกรียมไว้หนวดเข้ม แถมการแต่งตัวยังดูอิดหนาระอาใจไม่น้อย 

    พวกนั้นหันมามองไตรภพที่ยืนมองเป็นตาเดียวกัน ดูอย่างไรก็เหมือนการมุ่งร้ายเสียมากกว่า ไตรภพรีบหลบหน้า เดินหนีออกมาจากที่ตรงนั้นซึ่งเป็นจุดสังเกตของทุก ๆ คนที่เดินผ่านมา เดินเลี้ยวซ้ายลงไป ก่อนจะข้ามถนนเยื้องไปยังถนนเส้นมุ่งตัดไปยังอีกฟากของโรงเรียน อันคั่นกลางระหว่างอาคารเรียนราหุลและสนามฟุตบอล 

    ไตรภพยังคงจดจำได้คร่าว ๆ เกี่ยวกับเส้นทางในโรงเรียนแห่งนี้ ซึ่งตนมาสมัครเข้าเรียนต่อที่นี่เมื่อช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา โดยอาคารเรียนอำนวยการที่เขาได้ไปยื่นสมัครเข้าเรียนจะตั้งตระหง่านขนานกับแนวสนามฟุตบอล อันมีชื่อว่า ‘อาคารอานนท์’ เป็นอาคารแบบตึกสามชั้นที่ใช้สำหรับการเรียนการสอนในรายวิชาวิทยาศาสตร์และคอมพิวเตอร์ รวมไปถึงที่ดำเนินการต่าง ๆ ของโรงเรียนอีกด้วย 

    อาคารโมคคัลลานะจะอยู่ด้านหลังอาคารอานนท์ติดกับลำน้ำเจ้าพระยา ถือว่าเป็นสถานศึกษาที่ครบครันในเรื่องสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติมากโข ทั้งพืชพรรณที่ปลูกเขียวขจี และลำน้ำเจ้าพระยาที่ไหลผ่าน 

    เด็กหนุ่มเดินมาถือกระเป๋าไปตามถนนด้วยอาการเหงื่อชุ่มหลัง ผ่านอาคารเรียนราหุลที่เป็นห้องเรียนของเด็กมัธยมปลายปีที่หก ระหว่างทางก็สวนกับบรรดาเด็กนักเรียนหลายกลุ่ม ทั้งที่เป็นรุ่นพี่และรุ่นน้อง แต่สิ่งที่สะกิดใจไตรภพมากที่สุดท่ามกลางเหล่าเด็กนักเรียนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็คือ 

    กลุ่มก้อนของเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่เดินรวมกันเกือบสามสิบคน โดยมีหัวโจกเป็นชายร่างสูงระหงราวหนึ่งร้อยแปดสิบ แต่งกายด้วยชุดนักเรียนปล่อยชายเสื้อไม่เป็นระเบียบ ผิวกายคล้ำดำ หน้าอกหนา บึกบึนล่ำสันไม่ต่างอะไรกับยักษ์ปักหลั่น ตัดผมทรงสกินเฮด เดินนำหน้าคนอื่น ๆ ที่อยู่ในกลุ่มอย่างสุขุม

    ฉับพลันเดียวกันนั้นที่อีกฝ่ายมองมาทางนี้ด้วยหางตา ไตรภพรีบเบือนหน้าหลบ มิใช่เพราะกริ่งเกรงหรือปอดแหกแต่อย่างใด ทว่าด้วยนิสัยไม่อยากกระทบกระทั่งก็ดี บวกกับสภาพของตนที่ปล้ำเปลี้ยมาแล้วทั้งเช้าก็ดี จึงพยายามเลี่ยงหลีกสถานการณ์ปะทะเท่าที่จะทำได้ 

    ท้ายที่สุดก็ผ่านวิกฤตอันน่าใจหายใจคว่ำนั้นมาได้ แต่เขาก็ไม่วายหันหลังกลับไปมองกลุ่มเด็กรุ่นพี่ที่มีชายผิวเกรียมแดดคนนั้นเป็นผู้นำเดินขึ้นอาคารเรียนราหุล 

    “เรื่องนั้นจะยังไงก็ช่าง แต่กูคิดว่าพวกเทวะจะเป็นปรปักษ์กับเราตั้งแต่วันนั้นแน่นอน” 

    “แม่งเอ๊ย ! ถ้าเทวะไม่มีไอ้เวรนั่นนะ กูจะไม่กลัวเลยสักนิด” 

    “แต่ปีนี้พวกแม่งก็หนักหนาอยู่นะ เห็นว่ามีสงครามกับทักษ์ไท คงไม่มายุ่งกับพวกเราหรอก” 

    “เออ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ดี แค่ไอ้พวกเทพทัยก็หนักแล้ว”

    ไตรภพที่เดินพ้นผ่านไปเงี่ยหูฟัง มันเป็นบทสนทนาของใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่มรุ่นพี่ที่เขาเดินผ่านมาเมื่อกี้ เกิดคำถามขึ้นในใจอีกครั้ง

    ‘เรื่องนี้อีกแล้วเหรอ ?’ 

    น่าแปลกที่กลุ่มรุ่นพี่ที่ดูอย่างไรก็ต้องเป็นนักเลงหัวไม้กลับมาทันโรงเรียนเข้าแถว แตกต่างจากพวกที่เจอระหว่างทางมากโข หรือว่ากับเรื่องแค่มาโรงเรียนก่อนหรือสายจะไม่ใช่ตัววัดความเกกมะเหรกเกเร

    ไตรภพเลิกสนใจ รีบย่างเดินเลียบเลาะไปตลอดแนวของต้นดอกเข็มที่ปลูกยาวเหยียดอยู่หน้าอาคารเรียน กระทั่งไปเจอสี่แยกตอนหนึ่งของโรงเรียน อันมีแท่นพระพุทธรูปเป็นลานกว้างอยู่ตรงมุมหนึ่งของแยก ซึ่งอยู่ถัดจากอาคารอานนท์นั่นเอง

    เขาจำได้แม่นว่าตนมาสมัครเรียนต่อที่ชั้นสองของอาคารหลังนี้ ในใจรู้สึกผิดหวังกับสถานศึกษาแห่งนี้อย่างมาก ทั้งที่ต้องการจะตั้งใจเรียนเป็นหลัก เพื่อจะได้สอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย แต่ดูจากสภาพของนักเรียนที่ผ่านตามาคร่าว ๆ แล้ว ดูเหมือนสิ่งที่เขาตั้งเป้าไว้จะเป็นเพียงวิมานที่เลื่อนลอยเสียมากกว่า เพราะตนไม่มีวาสนาพอที่จะไปเข้าเตรียมอุดมศึกษา สวนกุหลาบ สตรีวิทยา ฯลฯ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการศึกษาก็ด้วย เรื่องค่าเทอมที่จ่ายไปแล้วก็ด้วย 

    แต่เสียงเลื่องลือในเรื่องของการศึกษาของโรงเรียนแห่งนี้ค่อนข้างหนาหูไม่น้อย ไม่ทราบว่าเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร

    อาคารที่อยู่ซ้ายมือตรงข้ามอาคารอานนท์ที่อยู่ขวามือคือ ‘อาคารพาหิยะ’ อันเป็นอาคารเรียนของเด็กนักเรียนชั้นมัธยมต้นปีที่หนึ่ง ระหว่างทางก็พอจะเจอบ้าง แน่นอนว่าเครื่องแต่งกายของเด็กนักเรียนหญิงย่อมต้องแตกต่างจากของมัธยมปลาย ทีแรกไตรภพคิดว่าชั้นปีที่เด็กที่สุดคงจะไม่มีอะไรให้หวั่นเกรง แต่ที่ไหนได้เขากลับคิดผิด 

    ทั้งเครื่องแต่งกาย ทรงผม และการวางตัว มันแทบไม่ต่างจากพวกมัธยมปลายปีที่หกที่เขาพบก่อนหน้าเลยด้วยซ้ำ 

    ‘เจ้าพวกนี้... เป็นเด็ก ม.ต้น จริง ๆ อย่างงั้นเหรอ ?’ 

    ไตรภพตะลึงมองอย่างรู้สึกมหัศจรรย์ในด้านลบ ยิ้มแหย ๆ ปากกระตุกตาขยิบอยู่อย่างนั้น ก่อนจะรีบเดินผ่านไป ผ่านแท่นพระที่อยู่ด้านข้างอาคารอานนท์ หรืออยู่ตรงข้ามอาคารพาหิยะที่ตนเดินผ่าน 

    เดินเลยอาคารพาหิยะไปเพียงไม่กี่เมตรจะเจอทางสามแยกที่แยกไปทางขวา เบื้องหน้าที่เป็นทางตรงจะไปสิ้นสุดสามแยกซ้ายขวาหลังข้างแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมองจากตรงที่ไตรภพยืนอยู่จะเห็นมหาสาครใหญ่ไหลหลากอยู่ราง ๆ  ผิวน้ำที่กระเพื่อมเนื่องด้วยแรงลมและเรือสัญจรที่แล่นผ่านเป็นระยิบระยับแวบวับอยู่กลางแดด ราวกับเป็นหนทางสู่สุขาวดีก็ไม่ปาน 

    ขณะที่กำลังเคลิ้บเคลิ้มมองดูนกพิราบบินอยู่เหนือหัวไปยังแม่น้ำ เสียงเอิกเกริกเซ็งแซ่ของเหล่าเด็กนักเรียนก็แว่วมาจากทางขวา เป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่รุ่นเดียวกับไตรภพนั่นเอง ซึ่งกำลังเลิกแถวเดินขึ้นอาคารเรียนกัน

    ไตรภพเห็นดังนั้นก็เดินไปยังบริเวณหน้าอาคารเรียน แหงนมองดูป้ายชื่อที่ประจักษ์ให้เห็นเต็มตาว่า ‘อาคารโมคคัลลานะ’ 

    เด็กหนุ่มยิ้มละไม ถือกระเป๋าพาดบนบ่าไปด้านหลัง มือข้างหนึ่งล้วงกางเกงนักเรียน นึกคิดขึ้นในใจ

    ‘นี่สินะ... อาคารเรียนหลังแรกของการเข้าเรียนยังโรงเรียนแห่งนี้’ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×