คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : รู้ไว้ซะ...ฉันเป็นใคร (1)
โรงเรียนวสันต์ศิลป์แห่งนี้เป็นโรงเรียนสหศึกษาที่มีเนื้อที่ประมาณ 16 ไร่ ทอดยาวกินพื้นที่ข้างแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเปิดสอนเด็กนักเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจนถึงตอนปลาย โดยมีจำนวนนักเรียนเฉลี่ยอยู่ที่หนึ่งพันสองร้อยกว่าคน
บริเวณด้านหน้าทางประตูทางเข้าโรงเรียนจะเป็นป้อมรักษาความปลอดภัย ข้าง ๆ ทางฝั่งซ้ายจะเป็นศาลาสำหรับนั่งพักคอย มีถนนทางอยู่ถัดไปอีกหน่อย เบื้องหลังลึกเข้าไปสักยี่สิบเมตรมองเห็นเป็นอาคารเรียนไม้สามชั้น หลังคาทรงปั้นหยา หันหลังให้กับทางป้อมยามตรงหน้าประตู มีต้นไม้ปลูกประดับอยู่ด้านหลังอาคารหลายต้น
โรงเรียนวสันต์ศิลป์แห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องโรงเรียนสีเขียว มองไปยังทิศทางใดก็มีแต่ต้นไม้เต็มไปหมด นอกจากจะช่วยสร้างความร่มรื่นร่มเย็น ความสวยงามสบายตา แถมยังช่วยทำให้ตัวโรงเรียนมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น
ไตรภพมองต่ำเดินถือกระเป๋าเข้าไป ขณะเดียวกันก็ถูกเรียกขานขึ้น
“นักเรียน ! ทำไมถึงมาสาย !”
เด็กหนุ่มตกใจเงยหน้าขึ้น เบื้องหน้าของเขาตรงศาลาสำหรับพักคอยมีร่างของชายวัยห้าสิบปลาย ๆ ยืนถือไม้เรียว อีกฝ่ายใส่ชุดเสื้อยืดสีม่วงคอปก กางเกงผ้าร่มขายาว มองอย่างไรก็เหมือนอาจารย์สอนรายวิชาพลศึกษา สวมแว่นสายตา ตัดผมสั้นเกรียนเหมือนนักเรียน แต่มีหงอกขาวขึ้นมากกว่าผมสีดำ
“ครับ ?” ไตรภพเก้ ๆ กัง ๆ ทำอะไรไม่ถูก เบิกตาโตอย่างงงงวยมองอาจารย์ท่านนั้น “ผมเป็นเด็กใหม่ครับ...”
“หา ! อย่ามาโกหกพกลม มานี้ !”
“ครับ...”
ไตรภพเดินเข้าไปหาอาจารย์คนนั้นหลังจากถูกกวักมือเรียกให้เข้าไป
“ต้องโดนแบบนี้ !”
อีกฝ่ายเอื้อมมือมาจับบริเวณที่หน้าอกด้านขวาของเขา จัดการบิดหัวนมอย่างรุนแรง
“อ๊าก !”
ไตรภพร้องลั่นอยู่อย่างนั้นขณะถูกจับบิดหัวนมข้างขวา กัดฟันเบิกตาโตอย่างเจ็บปวดจนหน้าดำหน้าแดง ดิ้นพรวดพราด
“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ผมว่าเขาคงเป็นเด็กใหม่จริง ๆ ดังว่าแหละครับ ครูกมล”
เสียงของใครคนหนึ่งดังมาจากในป้อมยาม ไตรภพที่สลัดหลุดจากการถูกบิดหัวนมร้องโอดโอย ยกมือคลำบริเวณหน้าอกอย่างปวดแสบ น้ำคลอหน่วย ก่อนจะหันหน้าไปมอง เป็นคุณลุงยามนั่นเอง
“ไม่หรอก ผมคุ้น ๆ หน้ามันอยู่ เพราะฉะนั้นต้องเอาให้เข็ดขยาดไปเลย”
‘คุ้นที่ไหนเล่า ครู ผมเพิ่งมาโรงเรียนวันแรก’
สังเกตดูบริเวณรอบ ๆ แล้ว นอกจากไตรภพที่มาสายหลังจากเพลงมาร์ชประจำโรงเรียนจบลง ไม่มีนักเรียนคนไหนเลยที่มาสายเหมือนกับเขา
เด็กหนุ่มฉงนฉงายในใจเป็นหนักหนา งงงวยในสิ่งที่ตนต้องพบเผชิญ คิดดูอย่างไรไอ้พวกที่โหนรถเมล์โดยสารเมื่อครู่ไม่น่าจะมาถึงก่อนเขา แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้หายหัวไปไหนต่อไหนเสียแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่แปลกหากพวกนั้นเป็นเด็กเกเรแล้วเข้าโรงเรียนสาย แต่ทว่าทำไมกลับไม่มีนักเรียนคนอื่น ๆ มาสายเหมือนเขาเลย
หรือว่าเป็นวันเปิดเทอมวันแรก ?
ขณะที่พักหายใจได้แค่ห้าวินาทีเท่านั้นเอง อาจารย์คนนั้นก็พูดด้วยเสียงกร้าว ๆ ขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นก็เข้าแถวอยู่ตรงนี้ รอให้กิจกรรมหน้าเสาธงสิ้นสุดก่อน แต่อย่าได้ดีใจไปล่ะ เพราะเธอจะต้องถูกบำเพ็ญประโยชน์กับลงโทษก่อน”
‘วันนี้มันวันเหี้ยอะไรเนี่ย !’
ไตรภพคิดในใจขณะก้มตัวลงจับหัวเข่าเพราะความเหนื่อย เหงื่อแตกชุ่ม หัวใจหอบ ๆ อย่างผ่าวร้อน เพราะหัวนมของเขากำลังร้อนผ่าวอย่างปวดแสบปวดร้อน
เสียงไมโครโฟนดังก้องอยู่เบื้องหลังอาคาร และต้นไม้น้อยใหญ่ที่บดบังทัศนวิสัยจากบริเวณด้านหน้าของโรงเรียน เป็นเสียงพูดชี้แจงอะไรนิดอะไรหน่อยของอาจารย์ พอสิ้นเสียงดังกล่าว ตัวแทนนำร้องเพลงชาติก็ร้องขึ้น มีวงดุริยางค์ของโรงเรียนบรรเลงลั่น ตามด้วยเสียงของเด็กนักเรียนที่ช่วยกันร้องขึ้น
อาจารย์คนที่ดูอย่างไรก็เหมือนอาจารย์สอนวิชาพลศึกษากอดอกมองไตรภพไม่ละสายตา แกมีชื่อว่า อาจารย์กมล โกมลวิเศษชานนท์ เป็นหัวหน้าฝ่ายปกครองของโรงเรียน และก็เป็นอาจารย์สอนในรายวิชาสุขศึกษาและพลศึกษาจริงดังที่ไตรภพคิด
“เธอก็ร้องตามสิ ทำกิจกรรมให้เหมือนกับว่าอยู่ตรงหน้าเสาธงตามปกติ”
อาจารย์กมลพูดขึ้นห้าว ๆ ยกไม้เรียวชี้มาทางเด็กหนุ่ม
ไตรภพก็ค่อย ๆ แหกปากร้องอย่างอิดออด ทำเสียงยานคางอย่างได้ยินชัดเจน ก่อนจะถูกไม้เรียวฟาดเข้าที่แขน
“โอ๊ย !”
เด็กหนุ่มร้องขึ้นเบา ๆ ยกมือคลำที่แขนเบา ๆ เพราะว่าถูกฟาดไม่ค่อยแรง
“ร้องดี ๆ และก็ยืนตรง ๆ”
ได้ยินดังนั้นไตรภก็ยืดตัวตรง อกผายไหล่ผึ่ง ทำหน้าบึ้งตาโตอย่างกับชายชาติทหาร แม้จะดูเป็นเต็มใจทำอย่างขันแข็ง แต่ในสายตาของอาจารย์กมล มันคือการกวนบาทาดี ๆ นั่นเอง
“โอ๊ย !?” ไตรภพร้องออกมาหลังจากถูกหวดด้วยไม้เรียวที่น่อง กระโดดแผล็วถอยหลัง ยกขาข้างขวาที่ถูกฟาดเป็นรอยแดงขึ้นมาดู “คุณครูตีผมทำไมเนี่ย ?”
“อย่ากวนตีน ยืนดี ๆ และก็ร้องให้มันดี ๆ ด้วย”
‘หา ! อะไรของเขากันวะ’
เด็กหนุ่มสบถอย่างหัวร้อนในใจ แม้ในสายตาของคุณลุงยามและอาจารย์กมลจะเห็นเป็นแบบนั้น แต่ไตรภพกลับรู้สึกโมโหโทโส มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยที่เช้าทั้งเช้านี้ของตนต้องมาพบเจอกับอะไรต่อมิอะไร ทั้งเกือบถูกยิงปลิดชีพ ถูกไล่ฟัน และยิงตามหลัง ไหนจะมาโรงเรียนสายจนมามีสภาพแบบนี้
อากาศในตอนนี้ก็ยิ่งร้อนทวีขึ้นไปอีก ทั่วทั้งตัวของไตรภพมีเหงื่อซึมจนเสื้อนักเรียนโปร่งแสง เปียกชุ่มจนแนบชิดกับลำตัว โดยอาจารย์กมลคนลงโทษกลับยืนอยู่ในร่มตรงศาลาพักคอย
ตอนนี้เสียงร้องเพลงชาติจบลงแล้ว เสียงสวดมนต์ไหว้พระก็ดังกระหึ่มขึ้นมา ไตรภพได้ยินดังนั้นก็ยกมือขึ้นไหว้ สายตาเลื่อนลอยเพราะความร้อนระอุของแดดยามเช้า ในท้องฟ้าที่ไร้เมฆบดบัง
“เหลี่ยมจริง ๆ ไอ้พวกบ้านั่น”
อาจารย์กมลสถบพลางจุ๊ปาก เดินกอดอกถือไม้เรียวเดินไปยังป้อมยาม
“ไม่ต้องรอหรอกครับ ครูกมล” คุณลุงยามพูดอย่างปลงอนิจจัง นั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ ประสานมือหนุนท้ายทอย “โน่นแหละ เก้าโมงสิบโมงโน่นแหละ มันรู้ว่าจะมีครูตรวจมาสาย เลยพากันรวมหัวมาสาย ๆ”
“เฮ้อ ผมล่ะเบื่อจริง ๆ ที่ต้องขับเคี่ยวกับเจ้าพวกนี้ ฉลาดเสียไม่มี เดี๋ยวผมจะรอดูว่าจะมากันสักกี่ร้อย ตอนนี้ที่กลางสนามคาดคะเนว่าไม่ถึงพัน หายไปตั้งหนึ่งส่วนสี่”
ไตรภพเป็นคนฉลาด เขาพอจะรู้เรื่องรู้ราวตามที่อาจารย์กมลและคุณลุงยามคนนั้นพูดสนทนากัน กล่าวถึงวิธึการหลบหลีกการถูกจับมาโรงเรียนสายของกลุ่มเด็กเกเรพวกนั้น จนตอนนี้เขาเพิ่งจะตระหนักรู้แล้วว่า เหตุผลที่กลุ่มเด็กวสันต์ศิลป์มากมายที่ตนพบเห็นระหว่างทางและบนรถเมล์โดยสารหายไป เป็นเพราะพวกเขาหลีกหนีการถูกจับมาเข้าแถวหน้าป้อมยามและถูกลงโทษนั่นเอง
ถ้ามาเช้าก็มาเช้าให้ทันโรงเรียนเข้า ถ้ามาสายก็มาให้สายหลังจากโรงเรียนเข้า
ไตรภพใสซื่อเกินไป เนื่องจากเป็นเด็กใหม่ที่ไม่รู้เรื่องอะไร มันเป็นเรื่องที่บ้าบอที่สุด ทำไมโรงเรียนต่างจังหวัดที่ตนเพิ่งจะย้ายออกมาถึงไม่มีเรื่องแบบนี้กันนะ ไม่ใช่สิ เกิดมาเขายังไม่เคยพบเห็นการต่อยตีกันระหว่างสถาบันทั่วทุกหัวระแหงขนาดนี้
“ยังไงผมก็คิดว่าเขาเป็นเด็กใหม่นะครับ” คุณลุงยามคนนั้นพูดยิ้ม ๆ มองมายังไตรภพด้วยแววตาอ่อนโยน “ไม่อย่างนั้นคงหนีตามพวกนักเรียนคนอื่น ๆ ที่ช่ำชองไปแล้ว”
“ยามประเสริฐพูดถูกอยู่นะ จะว่าไปแล้วเด็กคนนี้ดูใสซื่อเกินไป แต่ก็อย่าอะไรนักเลย ถ้าเป็นเด็กใหม่เดี๋ยวเข้าอยู่ได้สักพักก็กลายร่างกันหมด ปีกกล้าขาแข็งจะตายไป เฆี่ยนให้หลาบสักครั้งก่อนดีที่สุด”
ไตรภพเป็นคนหูดีไม่ใช่น้อย เขายิ้มกระตุกอย่างเซ็ง ๆ เมื่อได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ แต่ก็พ่นลมหายใจออกปากออกมา ขอให้มันสุด ๆ ไปเลยแล้วกัน ชักรู้สึกถึงความเส็งเคร็งมากหลายที่ตนได้รับเต็มกลืน
การสวดมนต์ไหว้พระจบลง ต่อด้วยการแผ่เมตตาสงบนิ่ง ไตรภพในที่นี้เลิกทำกิจกรรมเหล่านี้ตั้งแต่ถูกฟาดเมื่อครู่แล้ว เขาได้ยินย่นหัวเข่าข้างใดข้างหนึ่ง ปั้นหน้าเซ็ง ๆ เบื่อหน่ายเป็นที่สุดออกมา ก่อนจะถูกอาจารย์กมลสั่งให้ไปเก็บขยะ
“ไปหาเก็บขยะแถวนี้มายี่สิบชิ้น”
“ครับ”
ไตรภพเอ่ยต่ำ ๆ เดินผละออกจากบริเวณหน้าป้อมยามและศาลาพักคอยออกมา เสาะหาเศษขยะชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ตกเกลื่อนกลาดบริเวณโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นหลอดพลาสติก เศษกระดาษ ถุงพลาสติก เขาสาละวนอยู่กับการเก็บเศษขยะนานพอดู จนกระทั่งการแผ่เมตตาสงบนิ่งจบลง ต่อด้วยการขึ้นมาชี้แจงหน้าเสาธงของอาจารย์
“สวัสดีนะคะ นักเรียนที่น่ารักทุกคน สำหรับการเปิดภาคเรียนที่สอง วันนี้อากาศค่อนข้างที่จะน้อยนิดหน่อย นักเรียนบางคนอาจจะทนไม่ไหว เพราะฉะนั้นอาจารย์ขอชี้แจงอะไรก่อนนะคะ”
หลังจากเก็บเศษขยะจนครบยี่สิบชิ้น ไตรภพก็เดินกำมือทั้งสองข้างไปแบให้อาจารย์กมลเห็น อีกฝ่ายบึนปากมองดูฝ่ามือที่เปื้อนดำมีเศษขยะมากมายของไตรภพ จากนั้นก็บุ้ยหน้าไปยังถังขยะที่อยู่ข้าง ๆ ป้อมยาม พูดบอกอะไรสักหน่อย
“ไปล้างมือที่ก๊อกน้ำด้านหลัง แล้วกลับมาที่นี่ก่อน มาเซ็นชื่อลงในสมุดบันทึกหน้าลุงยาม”
ไตรภพวางกระเป๋าตรงเคาน์เตอร์หน้าป้อมยาม เดินวกอ้อมไปยังด้านหลัง ระหว่างตัวอาคารที่อยู่ห่างออกไปจะมีลานม้าหินอ่อนสำหรับนั่งเล่นกั้นกลาง อันมีชื่อว่า ‘ลานโมฆราช’ แต่สิ่งที่ไตรภพสนใจคือตัวอาคารเรียนไม้ที่ตั้งตระหง่านอยู่อย่างแจ่มชัดเบื้องหน้า เขาหลิ่วตาเงยหน้ามองสภาพห้องแต่ละห้องที่ประตูหน้าต่างเปิดอ้า เกิดความนึกคิดในใจขึ้นมาในบัดดล
‘นี่มันโรงเรียนที่ฉันมาสมัครเข้าตอนเรียนปิดเทอมจริง ๆ เหรอเนี่ย ?’
ห้องที่อยู่ตรงชั้นแรกซึ่งไม่สูงมากจนเกินไป เขามองเห็นสภาพโต๊ะเก้าอี้ที่ล้มระเนระนาดราวกับถูกเขวี้ยงขว้าง อีกห้องข้าง ๆ ก็ไม่ต่างกันนัก มีเศษขยะเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด ตรงกระดานดำก็มีคำหยาบคายขีดเขียนเต็มไปหมด ชั้นสองที่สูงขึ้นไปหน่อยมองเห็นกางเกงในนักเรียนชายแขวนตากตรงหน้าต่างของห้อง แม้แต่เสื้อในผู้หญิงก็ยังมี
ไตรภพกัดฟันมองดูอย่างขยาดหวาดกลัวในความวิปริตเช่นนี้ เขาอึ้งมองมันอย่างรู้สึกขยะแขยง รีบเดินไปที่ตัวก๊อกน้ำข้าง ๆ หมุนเปิดน้ำเพื่อล้างมือ ก่อนจะกลับมายังหน้าป้อมยามเหมือนเดิม
“เอาล่ะ มาเซ็นชื่อตรงนี้ ตอนนี้แปดโมงครึ่งพอดีเป๊ะ”
ยามประเสริฐเปิดสมุดบันทึกรายชื่อออก หน้าแรกของภาคเรียนที่สองนี้ยังคงว่างเปล่า คล้ายกับว่าเป็นเกียรติสูงสุดหรือเปล่า ซึ่งตนได้เป็นคนแรกที่ได้เขียนบันทึกการมาโรงเรียนสายเป็นคนแรกของภาคเรียนนี้ ไตรภพรู้สึกเอือมระอาในใจ
“วันนี้ถือว่าอนุโลมให้ เพราะว่าเป็นวันแรกของการเปิดภาคเรียน แต่ถ้าวันอื่นยังมาสายอีก จะโดนฟาดด้วยไม้เรียวตามจำนวนลายชื่อที่อยู่ในสมุดบันทึก แต่ถ้ามากจนเกินไป... จะถูกเรียกผู้ปกครอง”
อาจารย์กมลพูดให้เด็กหนุ่มเข้าใจ ไตรภพรับทราบ ก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณ รีบไปเอากระเป๋าแล้ววิ่งเหย่า ๆ ไปตามทางด้านข้าง
เบื้องหลังเสียงโหวกเหวกก็ดังขึ้นไล่หลังมา คาดว่าน่าจะเป็นพวกที่อยู่บนรถเมล์โดยสารเป็นแน่ ไตรภพไม่ได้สนใจ ต้องรีบไปห้องเรียนของตนที่อาคารเรียนโมคคัลลานะ เพราะไม่อยากเป็นคนสุดท้ายที่เข้าห้องเรียน
ความคิดเห็น