NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โคตรคน โรงเรียนเถื่อน

    ลำดับตอนที่ #5 : สี่จตุรเทพแห่งพระนคร (5)

    • อัปเดตล่าสุด 20 เม.ย. 65


    โรงเรียนวสันต์ศิลป์เป็นขนาดใหญ่ที่กินอาณาเขตทอดยาวติดแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก อยู่ในแขวงชนะสงคราม อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสะพานพระราม 8 ที่อยู่ทางทิศเหนือไปหน่อยเดียว และสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าที่อยู่ทางทิศใต้ หัวโรงเรียนจะอยู่ติดสวนสันติชัยปราการ ฝั่งซ้ายติดแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนฝั่งขวาติดถนนพระอาทิตย์ 

    “วสันต์ศิลป์เกรียงไกรวิทยา 

    การศึกษาของเราไม่แพ้ใคร  

    คือหัวใจของเราวสันต์ศิลป์ 

    เป็นอาจินใฝ่รู้เพียรวิชา” 

    เสียงเพลงมาร์ชโรงเรียนดังกึกก้องตามเสียงตามสาย ขณะนี้เวลาเจ็ดโมงห้าสิบห้านาที อีกห้านาทีจะเคารพธงชาติแล้ว 

    รถสามล้อเครื่องวิ่งไปตามถนนพระสุเมรุ อันอยู่ทางทิศตะวันออกของโรงเรียน ไตรภพยื่นศีรษะชะเง้อออกไปมองดู 

    อีกประมาณหนึ่งร้อยเมตรจะถึงทางโค้งเข้าถนนพระอาทิตย์หน้าป้อมพระสุเมรุ พอพ้นโค้งโรงเรียนของเขาจะอยู่บริเวณนั้นพอดี 

    “เพลงมาร์ชดังรอบสองแล้วว่ะ ไอ้น้อง” 

    เสียงของลมกลบเกลื่อนทุกสรรพเสียงรอบข้าง ชายคนขับสามล้อเครื่องจีงตะโกนบอกมาขณะประคองพวงมาลัย 

    ตามทางมีไร้วี่แววของรถเมล์โดยสารหรือเด็กนักเรียนของวสันต์ศิลป์ ไตรภพเคลือบแคลงใจในเรื่องนี้มาก เหตุใดถึงเป็นแบบนี้ได้ ตามปกติแถบบริเวณใกล้ ๆ เขตโรงเรียนจะต้องมีเหล่านักเรียนของโรงเรียนนั้น ๆ พลุกพล่านบ้าง ทว่านี่กลับไม่มี 

    แล้วพวกเด็กวสันต์ศิลป์ที่ร้องรำทำเพลงอยู่บนรถเมล์ขณะที่ออกจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อีกทั้งยังมีพวกที่อยู่ตามป้ายรถเมล์ระหว่างทางซึ่งมีให้เห็นเป็นประปรายอีกด้วย พวกนั้นมันหายไปไหนกันหมด 

    ไตรภพจะปริปากถามออกไปอยู่แล้วเชียว แต่ก็ไม่ตัดสินใจพูดออกไปในที่สุด เนื่องจากตอนนี้ตัวรถกำลังเข้าโค้งที่มุมถนน และในฉับพลันเดียวกัน เพลงมาร์ชโรงเรียนอันเป็นสัญญาณบอกกล่าวถึงเวลาเข้าแถวก็พลันเงียบลงในครานั้น 

    ในตอนนี้เขาได้มาถึงวสันต์ศิลป์แล้ว นับจากวันที่มาสมัครเรียนในวันนั้นก็นานนับเดือน คงเป็นเพราะความสดใหม่และไม่คุ้นชินแน่นอนที่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นกระสับกระส่าย ราวกับว่ามันเป็นครั้งแรกที่ได้มายังสถานศึกษาแห่งนี้ 

    ไตรภพไม่ลืมบุญคุณ เขาเดินวกกลับมาเพราะฉุกคิดขึ้นได้ ทำท่าเอามือล้วงกระเป๋าสตางค์ในกระเป๋ากางเกง

    “เอ้อ ลุงครับ ต้องขอบคุณมาก นี่ครับ ค่ารถ” 

    “เรียกซะแก่เลย หน้าข้าดูเหมือนคนรุ่นพ่อเอ็งหรือยังไงวะ ?” 

    ชายคนขับรถสามล้อเครื่องตอบกลับสรรพนามที่ไตรภพใช้เรียกตน ก่อนจะถอดแว่นดำออกมา ยิ้มให้เด็กหนุ่ม

    “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ถ้าเป็นรุ่นน้องพ่อ ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องเรียกคุณอาสิครับ” 

    “จะยังไงก็ช่างเอ็ง แต่ถ้าเรียกลุงข้าเก็บค่ารถนะโว้ย” 

    “หมายความว่ายังไงครับ...?” ไตรภพที่ยิ้มร่าเปลี่ยนสีหน้าเรวพลัน ถามย้ำอีกครั้ง “ทำไมถึงไม่เอาค่ารถเหรอครับ ?” 

    “โธ่ ไอ้งั่งเอ๊ย ไม่เอาก็คือไม่เอายังไงล่ะวะ เอ็งมีปัญหาเรื่องคิดวิเคราะห์หรือยังไง หน้าตาก็ดูฉลาดเฉลียว ไป ไปได้แล้ว” 

    “ครับ ๆ” 

    ไตรภพหัวเราะแหะ ๆ ออกมา ยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่ายอย่างนอบน้อมและเคารพ ซาบซึ้งในน้ำใจที่ชายคนตุ๊กตุ๊กมีให้ ก่อนจะหันหลังเดินเข้ารั้วโรงเรียน

    ชายคนขับรถสามล้อเครื่องมองตามแผ่นหลังเด็กหนุ่มที่ก้าวขาออกไปได้สองสามก้าว ฉับพลันนั้นมันก็เปรียบประหนึ่งมีแสงไฟลุกโชติช่วงขึ้นที่ร่างของไตรภพ สะท้อนออกมาเป็นร่างของชายปริศนาคนหนึ่ง ซ้อนทับกับร่างของเด็กหนุ่มเสมือนฝันเฟื่องพรรณนาการไปเอง 

    เขาเผลอกลั้นหายใจเพราะตื่นตกใจครู่หนึ่งก่อนจะเรียกขานเด็กหนุ่มขึ้น 

    “นี่... ไอ้หนุ่ม เอ็งมีชื่อว่าอะไรหรือ ?”  

    ไตรภพยังอยู่ในรัศมีที่โสตประสาทรับรู้ได้ หันขวับกลับมาเร็วไว เลิกคิ้วขึ้น 

    “ไตรภพครับ ผมชื่อไตรภพ” 

    “ไตรภพ... ไตรภพอย่างงั้นหรือ...” 

    ชายคนขับสามล้อเครื่องพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง ทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกตัวที่ถูกไตรภพจ้องตนอยู่ รีบลนลานตอบกลับ 

    “เอ่อ... จริงสิ ข้าไม่ได้อยู่ช่วยเอ็งได้ทุกเมื่อหรอกนะ ทั้งขามาและขากลับเอ็งต้องเจออะไรต่อมิอะไรมากมาย วันนี้ที่พบเจอมามันก็เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวเดียวเท่านั้น จะนั่งรถกลับก็ระวังด้วยล่ะ หาพรรคหาพวกไว้ด้วย” 

    “ครับผม ขอบคุณนะครับ ถ้าเช้านี้ไม่ได้คุณอา ตัวผมเองคงจะซวยไปแล้วเหมือนกัน ...ว่าแต่คุณอาชื่อว่าอะไรครับ ?”  

    ไตรภพถามอีกฝ่ายกลับบ้าง หวังในใจลึก ๆ ว่าอีกฝ่ายคงไม่แล้งน้ำใจถึงขนาดไม่ยอมบอกชื่อเหมือนกับเด็กอาชีวะที่ช่วยชีวิตตนคนนั้น อย่างน้อยรู้จักกันไว้ก็ยังดี เพราะไม่นานต้องพบเผชิญกันอีก 

    “ชีวิน... ข้าชื่อชีวิน ยินดีที่ได้รู้จัก ไตรภพ” 

    ชีวินพูดพลางสวมแว่นตาดำกลับเหมือนเดิม มองเด็กหนุ่มที่อยู่ห่างออกไป ยิ้มให้และโบกมือลา ก่อนจะขับรถออกไป

    ไตรภพยืนมองรถสามล้อเครื่องที่วิ่งไปตามถนนพระอาทิตย์ เสียงของท่อดังกระหึ่มไกลห่างออกไปเรื่อย ๆ  

    วันนี้ช่างเหนื่อยล้าเต็มกลืน ตัวเขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมาพบเจอกับอะไรแบบนี้ ถ้าไม่ได้ชีวินช่วยเอาไว้ ป่านนี้คงสะบักสะบอมไม่ได้เข้าเรียนแน่ ๆ 

    เด็กหนุ่มเดินไปตามบาทวิถี เดินเลียบเลาะแนวกำแพงของโรงเรียนสีม่วงขาวสูงสองเมตรไปเรื่อย ๆ 

    สักห้าสิบเมตรเห็นจะได้ น่าแปลกที่ไม่มีวี่แววของกลุ่มนักเรียนโรงเรียนเดียวกันที่โหนรถเมล์เมื่อกี้เล่นเลย 

    ไหนจะพวกที่อยู่เป็นกลุ่มก้อนตามป้ายรอรถอีก หรือว่าพวกเขาจะโดดเรียนกัน ไตรภพครุ่นคิดขณะเดินถือกระเป๋า 

    จนในที่สุดก็มาถึงจนได้ ป้ายโรงเรียนหินอ่อนสีดำขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างคล้ายกับศิลาจารึกอยู่ฝั่งกำแพงขวามือ หรือฝั่งที่ไตรภพเดินผ่านจะไปยังประตู 

    มันเป็นแท่นยาวเกือบสิบเมตร สูงราว ๆ สามเมตรกว่า สลักคำว่า ‘โรงเรียนวสันต์ศิลป์’ ด้วยสีทองเหลืองเด่นชัด บรรทัดล่างที่ตัวอักษรเล็กลงมาสลักอัตลักษณ์ของสถานศึกษาว่า ‘ขยันเรียนดี มีวินัย ก้าวไกลก้าวหน้า’ 

    สี่จตุรเทพแห่งพระนคร ทำไมถึงได้สมญานามชื่อนี้กันนะ ไตรภพนึกในหัวสมองก่อนหยุดเดินเพื่อเงยดูป้ายชื่ออยู่พักหนึ่ง จัดทรงผมรองทรงสูงที่ดกดำเล็กน้อยจากภาพสะท้อนของป้าย ก่อนจะเดินผ่านประตูเข้าไป 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×