NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โคตรคน โรงเรียนเถื่อน

    ลำดับตอนที่ #4 : สี่จตุรเทพแห่งพระนคร (4)

    • อัปเดตล่าสุด 6 มี.ค. 65


    อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิอันศักดิ์สิทธ์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเทิดทูนวีรกรรมของเหล่าทหาร ตำรวจ และพลเรือนที่เสียชีวิตไปในสงครามอินโดจีน บัดนี้กลายเป็นสนามรบสำหรับตีรันฟันแทงของเหล่าเยาวชนคนในชาติเดียวกัน อันมีความแตกต่างของสีเสื้อของสถาบัน และอักษรย่อหรือสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความแตกต่างเป็นตัวยุแหย่

    เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ภาพความชุลมุนโกลาหลของฝูงคนที่ถาโถมกันอย่างกับฝูงมดฝูงแมลง มีเสียงด่ากันล้งเล้งและเสียงผัวะเผียะต่อยตีไม่ยั้งอื้ออึงไปทั่ว ระคนไปกับเสียงแช่งด่าของสาธารณชนที่รอรถอยู่ตรงบริเวณนั้น และเสียงกดบีบแตรรถแสบหูไปทั่ว 

    ความวุ่นวายอลหม่านราวกับสนามรบนี่มันคืออะไรกันแน่ ไตรภพกวาดสายตามองขณะที่ตัวรถสามล้อเครื่องได้มาจอดเลียบที่บาทวิถีตรงวงเวียนชั้นนอก เขาเห็นทั้งเด็กสายอาวีชะและสายสามัญถาโถมรบพุ่งใส่กัน ไม่ว่าจะเป็นเทพอุทัย ช่างกลเทวะบ้างเป็นประปราย ไหนจะเครื่องแบบสีดำที่ตัวเขาเคยเห็นบนรถเมล์อีก 

    แต่ทว่าที่สำคัญ เขาเห็นกลุ่มก้อนของเด็กวสันต์ศิลป์ไม่ว่าจะเป็นในเครื่องแบบนักเรียนอย่างที่เขาสวมใส่อยู่ รวมไปถึงชุดพละสีม่วงขาวอีกด้วย โดยมีจำนวนมากมายที่พุ่งจู่โจมวิ่งไล่กลุ่มนักเรียนโรงเรียนต่าง ๆ ที่ไม่ทราบชื่อแตกขจรขจายมั่วซั่ว ที่สำคัญต่างคนต่างมีอาวุธครบครันเต็มไม้เต็มมือทุกคน

    “ความจริงข้าเลี้ยวซ้ายตรงเซ็นทรัลเวิลด์ไปส่งเอ็งที่โรงเรียนก็ได้ แต่เมื่อเอ็งบอกว่าเป็นเด็กใหม่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ดังนั้นข้าจึงพามาดูอะไรเป็นขวัญตา” 

    ชายคนขับรถตุ๊กตุ๊กเอ่ยขณะนั่งหันข้างไปยังตัวอนุสาวรีย์ มองดูโดยที่ไม่รู้สึกหวั่นกลัวหรือตื่นเต้นอะไรเลย คาดว่าน่าจะพบเห็นจนเคยชินแล้วเป็นแน่ 

    เขาหันมายังไตรภพที่นั่งอึ้งตะลึงเบิกตาโพลงโตมองไปรอบ ๆ ด้วยอาการสะทกสะเทิ้น หัวเราะเย้ยก่อนเอ่ยถาม 

    “เห็นแบบนี้แล้วรู้สึกยังไง ?” 

    “สยองมากเลยครับ อย่างกับสัตว์ป่าเลยก็ว่าได้”

    ไตรภพทำหน้าขยะแขยงหวาดเสียวอย่างขมขื่น ยิ้มแหย ๆ หันข้างมามองชายคนขับรถสามล้อเครื่องที่กำลังควักบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้ที่ปาก ก่อนใช้ไม้ขีดที่บรรจุอยู่ในกล่องจุดติดไฟที่ปลายมวน อัดควันเข้าอย่างสุขุม ก่อนพ่นออกมาอย่างเยือกเย็น 

    เขาหันหน้ามาทางไตรภพ ยื่นซองบุหรี่มาให้เด็กหนุ่ม 

    “สักตัวไหม ?” 

    “ไม่ดีกว่าครับ แหะ แหะ ผมเป็นคนไม่ชอบสูบบุหรี่น่ะ” 

    ไตรภพหัวเราะแหะ ๆ พลางยกมือสองข้างปฏิเสธ เขายังคงนั่งอยู่ตรงเบาะหลัง มองดูการประจญประจัญกันของเหล่านักเรียนวัยเดียวกัน ขณะเดียวกันหางตาของเขาก็ดันเผอิญไปเห็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเข้า ซึ่งนั่งไขว่ห้างกอดอกดูความวุ่นวายตรงวงเวียนของอนุสาวรีย์ที่ม้านั่งรอรถ อีกฝ่ายเป็นชายร่างปานกลางไม่ต่างจากเขา ทว่าสูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองเจ็ดสาม สวมเสื้อยืดแขนยาวสีขาว กางเกงยีนสีดำ และสวมแว่นตากันแดด 

    ดูเหมือนอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นไตรภพจากหางตาเช่นเดียวกัน ละสายตาเบือนหน้ามายังเขา ผุดยิ้มให้ที่มุมปาก แต่ไม่อาจทราบแววตาที่อยู่ภายใต้แว่นกันแดดนั่นได้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะลุกขึ้นยืน เดินไปขึ้นรถเมล์โดยสารที่เพิ่งมาจอดเทียบได้ไม่นาน 

    เด็กหนุ่มในชุดเครื่องแบบมองด้วยความฉงนงงงวยพักหนึ่ง หลังจากร่างอีกฝ่ายหายลับเข้าไปในตัวรถเมล์โดยสารเบื้องหน้า การวางตัวของอีกฝ่ายดูสุขุมลุ่มลึกเสมอเหมือนผู้ใหญ่คนหนึ่งเป็นอย่างมาก แต่ดูอย่างไรก็เป็นคนวัยใกล้เคียงกับเขา ไตรภพรู้สึกแบบนั้น ก่อนจะเลิกสนใจไปในที่สุด 

    เขารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อชายคนขับรถเอ่ยถามบางอย่าง 

    “จะว่าไปแล้วเอ็งนั่งเส้นไหนไปวสันต์ศิลป์หรือ ?” 

    ไตรภพทำหน้าเหลอหลางก ๆ เงิ่น ๆ ครู่หนึ่ง ก่อนตอบออกไป 

    “ผมนั่งเส้นพระรามสี่ครับ เส้นบางรักกับปทุมวัน เพราะวันที่ไปสมัครเรียนก็นั่งเส้นนั้นไป” 

    “หึ หึ หึ จะบ้าตาย… ไอ้เวร” ชายคนขับรถสามล้อเครื่องหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ ยกมือขึนมือลูบหน้า “มันไม่แปลกหรอกโว้ย ถ้าเอ็งจะนั่งเส้นนั้นไปวสันต์ศิลป์ ถึงมันจะเป็นถิ่นของเทพอุทัย พิทักษ์ไท และก็เทวะ แต่มันแปลกที่บ้านเอ็งอยู่คลองเตยแล้วดันไปเข้าวสันต์ศิลป์นี่แหละ ทำไมใจเอ็งมันได้จังวะ ?” 

    ไตรภพหน้าเคร่งขรึมลง ก้มหน้ามองต่ำครุ่นคิด ขณะนี้สถานการณ์ต่อยตีกันที่วงเวียนใหญ่เริ่มสงบลง กลุ่มก้อนของเด็กนักเรียนแต่ละสถาบันแตกกระจายไปคนละทิศละทาง มีเสียงของรถตำรวจแว่วเข้ามา ตามด้วยเสียงโหวกเหวก และเสียงเป่านกหวีดลั่นอื้อน่ารำคาญ 

    “คุณพ่อผมแนะนำน่ะครับ” ไตรภพเงยหน้าพร้อมกับพูดตอบ “ถึงวันที่ไปสมัครเข้าเรียนจะนั่งเส้นพระรามสี่ก็ตาม แต่วันนี้เขาบอกให้ผมนั่งมาที่อนุสาวรีย์ชัยฯ แห่งนี้ครับ แต่ผมไม่รู้ทางมา…” 

    ก่อนที่ไตรภพจะพูดอะไรต่อ ชายคนขับรถตุ๊กตุ๊กก็พึมพำแทรก

    “พ่อแนะนำอย่างงั้นเหรอ… น่าแปลกดีแฮะ เทพอุทัยก็ไม่น่าเกลียดนะ ถ้าเป็นคนอื่นคงเข้าที่นั่นกันหมดแล้ว เอ็งนี่แปลกดี” 

    ไตรภพยิ้มน้อย ๆ  มองดวงตาของอีกฝ่ายที่ถูดบดบังด้วยแว่นกันแดดสีดำ ชายคนขับรถก็ยิ้มให้ ก่อนจะหมุนตัวกล้บไปนั่งหน้าพวงมาลัยรถ ถามไตรภพโดยไม่หันหน้ามา

    “ตอนนี้กี่โมงแล้ว ?” 

    ไตรภพพลันฉุกคิดขึ้นได้เพราะลืมไปเสียสนิท รีบก้มหน้าดูนาฬิกาข้อมือแบบเข็มของตน พึมพำออกมาอย่างใจหาย

    “แย่แล้ว… อีกสิบนาทีโรงเรียนจะเข้าแล้วครับ” 

    พอชายคนขับรถได้ยินดังนั้น ท่อรถก็ลั่นระเบิดขึ้น ไตรภพที่นั่งโดยไร้การจับยึดอะไรให้มั่นคงก็เซล้มลงไปนอนกับที่วางเท้าในทันทีทั้ง ๆ ที่นั่งอยู่ ตัวรถสามล้อเครื่องพุ่งทะยานราวกับออกจากจุดปล่อยตัว บิดเร่งอย่างกับม้าศึกในสนามรบ ท่ามกลางอารามตกอกตกใจของใครหลาย ๆ คนในที่แห่งนั้น 

    “ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ถ้าความเร็วแค่นี้ยังล้มก้นจ้ำเบ้านะ บอกเลยว่ากรุงเทพฯ ไม่ใช่ที่ที่เอ็งจะอยู่ได้โว้ย เพราะเอ็งต้องเจออะไรอีกเยอะนับจากนี้” 

    ไตรภพหัวเราะตามอย่างขำขัน รู้สึกเหมือนกับว่าเลือดในกายสูบฉีดพลุ่งพล่าน ราวกับผจญภัยในเมืองหลวงโดยมียานพาหนะส่วนตัวพาไปด้่งใจนึก 

    ตัวรถสามล้อเครื่องวิ่งไปตามถนนราชวิถีทางฝั่งทิศตะวันตก ระหว่างทางไตรภพมองเห็นเด็กวสันต์ศิลป์มากมายตามป้ายรถเมล์ กางเกงสีดำและถุงเท้าสีดำนั้นบ่งบอก บางคนก็ใส่ชุดพละสีม่วงกับกางเกงขายาว ทว่าบางคนใส่กับกางเกงขาสั้นนักเรียน สิ่งเหล่านั้นมันทำให้ตัวเขารู้สึกแช่มชื่นเหมือนกับอยู่ภายในอาณาเขตของตนเอง 

    ความเร็วของรถทำให้ลมพัดแรงจนหูอื้อ สรรพสำเนียงของเสียงต่าง ๆ ขณะตัวรถเคลื่อนผ่านคลุกเคล้าฟังไม่ได้ศัพท์ ผ่านไปรวดเร็วเหมือนถูกกลอเทป ขณะที่ตัวรถขับไปประชิดเทียบกับรถเมล์โดยสารสาย 12 คันหนึ่ง อันแน่นขนัดไปด้วยกลุ่มคนในชุดพละสีม่วงและชุดนักเรียนกางเกงดำ ซึ่งกำลังปรบมือเคาะขวดแก้วเคาะเหล็กร้องเพลงอยู่เกรียวกราว

    “ทั่วเขตแดนพระนคร คือถิ่นของเรา สุขอุราจริงหนอ จริงหนอ จริงหนอ จริงหนอ

    ติดแม่น้ำเจ้าพระยา ธาราคงคา ดูก็รู้เลือดม่วงขาว ม่วงขาว ม่วงขาว ม่วงขาว 

    เด็กวสันต์อย่างเรา ไม่ชอบเกเร ไม่เสเพลเที่ยวเตร่ เที่ยวเตร่ เที่ยวเตร่ เที่ยวเตร่ 

    เชื่อผู้ใหญ่ช่วยคนแก่ ลูกเด็กเล็กแดง เราไม่เคยรังแก รังแก รังแก รังแก” 

    เป็นการเฉลิมฉลองเปิดเทอมวันแรกหรือกระไร แต่ละคนต่างระรื่นชื่นบานสุขโขสโมสร ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่เพิ่งจะปะทะฉะตีกับสถาบันคู่อริไม่ซ้ำชื่ออยู่หลัด ๆ  ไตรภพยื่นคอออกไปเงยหน้ามอง เหล่าเด็กวสันต์ศิลป์สถาบันเดียวกันกับเขาอันคละชั้นปีรวมกันก็มองผ่านกระจกรถลงมา 

    “วสันต์โว้ย !” 

    พวกเขายิ้มพร้อมกับตะโกนลงมา ยกกำปั้นชูมือขึ้นเหนือหัว ไตรภพเห็นดังนั้นก็ยิ้มตอบ ชูกำปั้นขึ้นบ้าง เป็นการแสดงออกว่าเราเองก็เป็นพวกเดียวกับเขา 

    “แถบนี้เป็นเขตของวสันต์ศิลป์แล้ว ไอ้น้อง โรงเรียนไหนผ่านบอกเลยว่าโดนเล่นยับแน่ เว้นแต่ว่ามากันเยอะนะ แต่ถึงยังไงก็ส่วนน้อย เพราะว่าวสันต์ศิลป์น่ะ…คือขาสั้นอันดับหนึ่งของกรุงเทพฯ” 

    ไตรภพอึ้งงันในคำพูดของชายคนขับรถสามล้อเครื่องเป็นอย่างมาก เขารู้สึกเหมือนกับว่าเลือดในกายพลุ่งพล่านเดือดระอุ แววตาเป็นประกายแปลบปลาบ รู้สึกซาบซึ้งใจในความสมัครสมานสามัคคีของโรงเรียนนี้ 

    ทว่าเขาคิดผิด มันก็แค่ยามนี้เท่านั้นแหละ 

    ตัวรถขับผ่านเลยรถเมล์คันดังกล่าวไป ถนนหนทางเป็นเส้นตรงยาวเหยียดเข้าเขตดุสิตไปจนถึงสะพานกรุงธนข้ามไปยังเขตบางพลัด ชายคนขับรถขับรถหักซ้ายเพื่อไปยังทางแยกวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม จากนั้นก็หักขวาไปตามทิศตะวันตก ซึ่งรถกำลังวิ่งอยู่บนถนนศรีอยุธยา ยิงยาวไปจนถึงแยกสี่เสาเทเวศร์ ก่อนหักซ้ายมุ่งลงใต้ วิ่งไปตามถนนสามเสน ข้ามสะพานเทเวศรนฤมิตร กระทั่งไปถึงแยกบางขุนพรหม  

    ตอนนี้ติดไฟแดงอยู่ รถสามล้อเครื่องยังติดเครื่องไว้ เสียงของท่อดังกระหึ่มเหมือนเสียงหายใจของอสุรกาย ไตรภพเหงื่อแตกซิก รู้สึกแปลกใจที่ว่าทำไมตนถึงได้มาอยู่ ณ ที่ตรงนี้ได้ มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์และคิดตามแทบไม่ทัน 

    นับจากเหตุการณ์การปะทะกันของพวกขายาวที่ถนนพระรามสี่ เขาเกือบได้สังเวยชีวิตให้ความบาดหมางระหว่างสถาบันทั้ง ๆ ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไร พอหนีตายอย่างไม่รู้จุดหมายปลายทางออกมาจากที่ตรงนั้นได้ ตัวเขาก็ต้องมาหนีเสือปะจระเข้ พบสถาบันคู่อริหมายเข้าทำร้ายทั้ง ๆ ที่ตนยังไม่เคยพบหน้าค่าตามาก่อนเลยด้วยซ้ำ ก่อนจะมาพบเห็นแก่นแท้ของความจริงก็ต่อเมื่อมาถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 

    พอมาคิดดูแล้วในขณะนั่งอยู่บนรถ ภายในหนึ่งชั่วโมงเดียวของเช้าวันแรกนี้ ตัวเขาได้สูญเสียพลังงานไปแล้วครึ่งหนึ่ง แทบจะอ่อนเปลี้ยพิงเบาะที่นั่งหลับเลยทีเดียว มันเหมือนเรื่องเพ้อฝันและเกินจริงเป็นที่สุด แต่มันก็เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น 

    “ใกล้ถึงแล้วล่ะ ขับตรงไปอีกนิดจะไปตัดกับถนนพระสุเมรุพอดี เลี้ยวขวาไปอีกหน่อยก็ถึงโรงเรียนแล้ว เอ็งคงพอรู้มาบ้างแล้วสินะ” 

    ชายคนขับรถหันหน้าซีกหนึ่งมาบอกกับเขา 

    “ครับ ผมจำได้ครับ” 

    “เอ… ความจริงเอ็งนั่งสายคลองเตยมาลงเทเวศร์นี้ก็ได้นะ ถึงจะนั่งนานไปหน่อยเพราะมันต้องอ้อม แต่มันก็ปลอด… ไม่สิ ลืมไปสนิทเลย ถ้าเอ็งนั่งสายนั้นมาก็ต้องเจอเจ้าถิ่นพระโขนงกับบางนาอีก ให้ตายเถอะ” 

    ไตรภพได้ยินชัดเจนทุกอย่าง ทว่าเขาไม่อาจสำเหนียกรู้ได้ว่าสิ่งที่ชายคนขับรถพูดถึงนั้นหมายความว่าอะไร นอกจากพวกขาสั้นขายาวแถบที่ผ่านมานี้ บริเวณแถบทางใต้ใกล้บ้านของตนก็มีโรงเรียนเจ้าถิ่นอีกหรือ ไตรภพฉงนใจเป็นที่สุด แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรต่อ 

    “เพราะฉะนั้น… เอ็งต้องสู้ว่ะ” ชายคนนั้นเอ่ยขึ้นอีกครั้ง คราวนี้หันใบหน้าเต็ม ๆ มายังเด็กหนุ่ม “คราวหน้าก็พกของด้วย จะปืนหรือมีดห่าเหวอะไรของเอ็งก็ช่างเถอะ แต่ถ้าไม่พก สถานการณ์จวนตัวเข้าจะไม่มีอะไรช่วยเอ็งได้” 

    “ครับ… คราวหลังผมจะระวังตัวให้มากกว่านี้ครับ” 

    ไตรภพพูดแล้วระบายยิ้ม อีกฝ่ายก็หวังเช่นนั้นเหมือนกัน พอไฟแดงหมดจนขึ้นไฟเขียว ตัวรถสามล้อเครื่องก็แล่นฉิวตรงดิ่งไปเรื่อย ๆ  เลี้ยวขวาไปบนถนนพระสุเมรุ จนกระทั่งไปถึงโรงเรียนวสันต์ศิลป์ในที่สุด 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×