คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : สี่จตุรเทพแห่งพระนคร (3)
ภายหลังจากการกระทำอันแสนบ้าดีเดือดของไตรภพเมื่อครู่ ทั่วทั้งตัวรถหลังจากตกอยู่ในความตื่นตระหนกและหวาดเสียวร่วมด้วย ตอนนี้กลับหวนสู่ความเงียบงัน แต่มิใช่ความเงียบที่บังเกิดกับการต่างคนต่างอยู่ในที่สาธารณะโดยอ้างสิทธิส่วนบุคคล ทว่าเป็นความเงียบงันที่บังเกิดโดยมีการปรากฏตัวของไตรภพนั่นเอง
เด็กหนุ่มแลซ้ายแลขวา มองไปยังด้านหน้าและก็ด้านหลัง ไม่ว่าจะเบาะนั่งฝั่งไหน ไม่ว่าจะเป็นผู้โดยสารหญิงหรือชายล้วนแล้วแต่มีเด็กโรงเรียนเทพอุทัยปะปนอยู่แทบทั้งสิ้น เป็นปริมาณที่มากกว่าผู้โดยสารคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด
ไตรภพกลืนน้ำลายที่แห้งผากดังเอื๊อก ลิ้นด้านชาไร้รสชาติ ปากเต้นระริกเพราะอาการตื่นกลัวเมื่อครู่ที่ยังไม่หาย แต่กลับต้องมาเจอกับนรกหนที่สองภายในตัวรถเมล์โดยสารคันนี้
เขาคิดในใจว่าโดดลงตอนนี้คงจะทัน หนึ่งคือไม่ต้องเสียค่ารถ สองคือปลอดภัยแน่นอนเนื่องจากตัวรถเริ่มชะลอเพราะเข้าใกล้ทางแยก
“มึงโรงเรียนไหนวะ ?”
ทว่ายังไม่ทันได้ตัดสินใจออกมาเป็นรูปเป็นร่าง จิตที่เลื่อนลอยอยู่กับความนึกคิดก็สะดุ้งตื่นมองคนตรงหน้า อะไรมันจะซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดนี้กันนะ
วสันต์ศิลป์ไปทำอะไรให้ทั่วเขตพระนครจงเกลียดจงชังถึงเพียงนี้กัน
เหล่าคนรอบข้างทำเป็นเหินห่างมองไม่เห็น บางคนก็เปิดซาวด์อะเบาท์ยัดเทปคาสเซตลงไป สวมหูฟังพร้อมกับเบือนหน้าออกหน้าต่างไป บางคนก็ก้มหน้างุด สั่นกลัวราวกับเป็นลูกนก กระเป๋ารถเมล์ทำตัวลีบไม่กล้าเข้ามาขัดขวาง ผู้โดยสารที่เป็นผู้หญิงต่างหวาดกลัวหลับตาปี๋ ผู้โดยสารที่มีลูกเด็กเล็กแดงมาด้วยโอบลูกหลานของตนมากอด
แรกเริ่มเดิมทีไตรภพหวาดเกรงในการเผชิญหน้าและพบปะกับเหล่าเด็กสถาบันต่าง ๆ ก็จริง ทว่าเมื่อการพยายามจะหลีกหนีมันยิ่งกระตุ้นให้ตนบาปซ้ำกรรมซัดลงไปเรื่อย ๆ เห็นทีว่าคราวนี้เขาต้องหาวิธีอื่นในการเอาตัวรอดมากกว่าการเตลิดหนีเสียแล้ว
“เอ๊ะ ไอ้เวรนี่ ถามไม่ตอบ เป็นใบ้หรือยังไงวะ ? เห็นแม่งวิ่งหนีตายมานี่ มองแค่กางเกงดำกูก็รู้แล้วว่ามึงอยู่วสันต์ศิลป์”
อีกฝ่ายเป็นคนร่างหนา สูงราว ๆ หนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร สวมชุดพละเสื้อสีแดงคอปกผ้าเนโร กางเกงขายาวสีดำแถบสีเหลือง ละมือจากการจับราวเหล็กเหนือศีรษะมาล้วงกระเป๋ากางเกง ก่อนเดินอาดมาดขรึมมายังไตรภพ
ขณะที่ตัวเขากำลังจะเปล่งคำพูดออกไปจากปากหลังลุกขึ้นยืน ในใจก็เตรียมพร้อมรับมือการกระทบกระทั่งที่อย่างไรก็ย่อมต้องเกิดขึ้น วินาทีระทึกขวัญนั่นเอง ตัวรถเมล์โดยสารก็พลันหยุดชะงัก เนื่องจากตอนนี้ติดไฟแดงตรงทางแยกราชดำริพอดี ไตรภพทิ้งความคิดที่จะตีรันฟันแทงไป ตัดสินใจกระโดดลงประตูหลังพร้อมกับตั้งหน้าตั้งตาวิ่งออกไป
ปัง !
เสียงกัมปนาทของกระสุนปืนไม่ทราบขนาดคำรามขึ้น วิ่งตัดอากาศมาเฉี่ยวชายเสื้อนักเรียนข้างขวาของเขาที่กระเพื่อมสะบัดขณะวิ่งอยู่ กลายเป็นรูที่มีคราบเขม่าสีเทาดำติดชายเสื้อ ตามด้วยเสียงกรีดร้องของผู้คนทั้งในรถโดยสาร และผู้คนที่กำลังสัญจรบังเกิดขึ้นหลังจากเสียงปืนนัดนั้นดังขึ้น กลายเป็นความอลหม่านขนาดย่อมขึ้นตรงใจกลางแยกนั้น
ไตรภพผวาจนใจหล่นวูบลงไปจนถึงฝ่าเท้า วินาทีนั้นเขายังไม่ทราบว่าตนถูกยิง แต่สัญชาตญาณมันทำให้เขาห้นกลับไปมอง ก่อนเห็นเป็นเด็กเทพอุทัยคนดังกล่าวที่อยู่ในสภาพโหนรถเมล์ลงมาทางประตูหลัง เอื้อมมือข้างซ้ายออกมาเหนี่ยวไกยิงเขา
แต่อีกฝ่ายรับรู้ว่าไม่อาจจับเป้านิ่งได้ จึงระดมพลพรรคที่มีอยู่กันทั้งสิ้นห้าคนวิ่งลงจากรถเมล์มา เป็นทั้งที่อยู่ในชุดเครื่องแบบนักเรียนและชุดเครื่องแบบพละศึกษา ตะโกนก่นด่าว่าแช่งไตรภพ
“ไอ้ลูกหมาวสันต์ศิลป์ ! ไอ้ชาติชั่วม่วงขาว !”
“ไอ้กากเอ๊ย ! ป้ายหน้ามึงโดนพวกกูเล่นแน่ !”
สารพัดสารพันคำด่าทอเท่าที่จะสรรหามาได้ ไตรภพได้รับเข้าเต็ม ๆ สองหูที่โสตประสาททำงานอย่างดีเยี่ยม ทว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องศักดิ์ศรีหรือความคับแค้นใจที่อีกฝ่ายย่ำยีป่นปี้ สนแต่เพียงว่าขอให้ตนเองได้รอดพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายครั้งนี้ไปได้ก็พอ
ไม่ว่าจะข้างหลัง ฝั่งตรงข้ามบาทวิถี หรือแม้กระทั่งป้ายรถเมล์ข้างหน้าที่มองเห็นเลือนราง ล้วนแล้วแต่มีเด็กโรงเรียนเทพอุทัยแทบทั้งสิ้น ไตรภพหน้าซีดเผือด กระสับกระส่าย วุ่นวายสับสน ราวกับว่าโลกใบนี้มันพร่าเลือนไปหมด อีกฝ่ายมีทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ครบครันไม่ว่าจะเป็นปืนผาหน้าไม้ มีดปลายแหลมหรือว่ามีดหัวตัด ประหนึ่งกับว่าเขาอยู่ในห้วงของอสูรกายหมายจะฆ่าฟันเขา
ไม่มีทางหนีทีไล่… หรือว่าเราต้องสังเวยชีวิตอยู่ที่นี่…
ไตรภพคิดในใจอย่างจนตรอก ทุกอย่างเหมือนจะมืดบอดดับสูญ เหตุไฉนมันถึงได้ลงเอยถึงเพียงนี้ สังคมในใจกลางเมืองกรุงเทพมหานครทำไมถึงเป็นเยี่ยงนี้ได้
ขณะที่ไตรภพกำลังจะชะลอฝีเท้าที่วิ่งหนีตายจากทางแยกราชดำริลง เพราะว่าท้อถอยและไร้หนทางที่จะหนีเอาตัวรอดแล้ว ต้องกัดฟันสู้ยิบตาสถานเดียวกับอริราชศัตรูต่างสถาบันที่หมายจะห้ำหั่นกันด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ครั้งก่อนเป็นช่างกลเทวะ ครั้งนี้เป็นเทพอุทัย จำนวนไม่ใช่เล่น ๆ เหมือนกัน ลองดูสักตั้งแล้วกัน
แต่ทันใดนั้นเอง เสียงท่อของรถตุ๊กตุ๊กสามล้อคันหนึ่งก็แผดลั่นไปทั่วท้องถนนราชดำริจากทางใต้ขึ้นมา วิ่งด้วยความเร็วที่น่าหวาดเสียว ก่อนจะมาเบรคจอดอยู่ในสภาพไม่ดับเครื่องใกล้ ๆ ไตรภพ
“เฮ้ย ! ไอ้หนู รีบขึ้นมาเร็ว”
ชายผู้เป็นคนขับตะโกนเรียกเด็กหนุ่ม เขาอายุน่าจะราว ๆ สามสิบกว่า ๆ ใบหน้าหยาบกร้าน ไว้หนวดหร็อมแหร็ม ผมทรงสกินเฮด ใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าพื้น กางเกงยีนขากระบอก สวมแว่นตากันแดดสีดำ และมีผ้าขี้ริ้วสีขาวสำหรับซับเหงื่อพาดคออยู่
ไตรภพมองด้วยความตะลึงพรึงเพริดระคนแปลกประหลาดใจอย่างหาที่สุดมิได้ ยืนแข็งค้างอ้าปากหวอ ก่อนจะถูกเรียกอีกครั้งด้วยความฉุนเฉียว
“เฮ้ย ! มึงอยากตายหรือยังไงวะ ยืนเซ่ออยู่นั่นแหละ บอกให้รีบขึ้นมา”
“ครับ ๆ”
ไตรภพไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่เออออกุลีกุจอมุดขึ้นไปนั่งบนรถ ก่อนที่ตัวรถจะถูกเร่งออกไปด้วยความเร็วระดับขวัญผวา ทำให้ตัวเขาแทบจะเอนหลังเสียการทรงตัว ควันสีดำจากตัวท่อพวยพุ่งออกมาราวกับหมึกของปลาหมึก แน่นอนว่าเสียงแผดลั่นของรถสามล้อเครื่องนั้นเป็นที่โจษจันเรื่องความน่ารำคาญมากแค่ไหน มันดังจนถึงขนาดผู้คนที่อยู่บริเวณโดยรอบอุดหูกันเลยทีเดียว
พระเครื่องพระกรุรวมไปถึงตะกรุดและมาลัยห้อยรถกวัดแกว่งส่งเสียงดัง สรรพสำเสียงรายรอบแทบจะอื้ออึงหูดับขณะรถวิ่ง ไตรภพเหลียวหลังไปมองดูเหล่าเด็กเทพอุทัยที่ตะโกนแช่งด่าตัวเขาอยู่เบื้องหลังไม่ขาดสาย ทั้งคำดูถูกและคำผรุสวาทล้วนแล้วแต่แสบสันไม่น้อยเลยทีเดียว ทว่าไตรภพกลับไม่ได้ยินอย่างกระจะ เพราะตัวรถได้พุ่งแล่นตีตัวออกหากมาแล้ว
“ไอ้หนู ! เอ็งเรียนวสันต์ศิลป์แล้วเสือกมาทำอะไรที่นี่วะ ?”
ชายคนขับรถสามล้อเครื่องตะโกนถาม เนื่องจากเสียงท่อรถที่ดังสนั่นกลบเกลื่อน
“ผมมาหารถเมล์ขึ้นครับผม ผมเพิ่งย้ายจากต่างจังหวัดมา”
“หือ แล้วบ้านเอ็งอยู่แถวไหนวะ ?”
“คลองเตยครับผม บ้านผมอยู่คลองเตย”
ไตรภพพูดตอบพลางเหลียวซ้ายแลขวามองรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง
“หา ! คลองเตยเลยเหรอวะ อย่าอำข้าเล่นนะโว้ย ไม่ตลกนะ ขอสาระ”
อีกฝ่ายอุทานหลังพลางผินหน้าครึ่งซีกมาพูดด้วยความตกใจทวีคูณ ก่อนจะหันกลับไปพร้อมกับสั่นหน้าราวกับท้อแท้สิ้นหวัง หัวเราะหึ ๆ ในลำคอเกรียมแดด
“จริง ๆ ครับ พี่ ทำไมเหรอครับ ?”
“ไม่ทำไม่หรอก ว่าแต่เอ็งเป็นลูกเต้าเหล่าใครวะ ? ทำไมถึงใจเด็ดขนาดนี้ บ้านอยู่คลองเตยแล้วไปเข้าวสันต์ศิลป์ที่พระนคร มันคือการฆ่าตัวตายชัด ๆ รู้หรือเปล่าว่าสองเดือนก่อนที่ชาร์จ ช็อค ร็อก เด็กวสันต์ศิลป์ยิงเด็กเทวะตาย”
ไตรภพแทบจะตกตะลึงจนใจหายใจคว่ำ คำบอกเล่าของเด็กอาชีวะคนนั้นบอกกับตนมันกึกก้องอยู่ในหัวของเขา แทบจะเพ้อฝันไปเลยทีเดียวที่เหตุการณ์ดังกล่าว มันเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อสองเดือนที่ผ่านมานี้เอง
มันก็จริงอยู่อย่างที่ชายคนขับรถพูด จากคลองเตยมาต้องผ่านเขตน้อยใหญ่มากมายใจกลางพระนคร ไม่ว่าจะเขตบางรัก เขตปทุมวัน หรือสัมพันธวงศ์ และที่สำคัญคือการต้องย่างกรายเข้าไปในถิ่นของสถาบันหรือว่าโรงเรียนต่าง ๆ ในแต่ละเขตเหล่านั้น ซึ่งชื่อวสันต์ศิลป์อันปรากฏอย่างโจ๋งครึ่มบนหน้าอกซ้ายมันชี้ชัดเรื่องความลือเลื่อง ไปที่ไหนย่อมเป็นอริกับทุกสถาบันอย่างไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีพรรคพวก ไม่มีใครอยากเสวนาด้วย
ไตรภพอ้ำอึ้งในข้อความที่อีกฝ่ายเอ่ยอย่างหมดหวัง มันเปรียบเสมือนการต้อนรับเด็กใหม่อย่างเขาหรือกระไร เหตุอันใดถึงเรื่องร้าย ๆ ถึงกรูกันเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน ถ้ามืดมนปัญญาอับดวงตกถึงฆาต เขาคงต้องตายตั้งแต่ถูกปืนจ่อบนรถเมล์คันนั้นแล้ว
“ผมไม่รู้จริง ๆ ครับ พี่ ผมเพิ่งย้ายมา ไม่คิดว่าทั่วทั้งกรุงเทพฯ จะมีการต่อยตีกันระหว่างสถาบันมากมายขนาดนี้”
“โอ๊ย มันมีมานานแล้วโว้ย ไอ้น้อง สมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่โน่นแล้ว”
“แล้วผมต้องทำยังไงครับ อย่างน้อยก็ไม่ให้ผ่านเส้นนี้กับเส้นบางรัก เพราะผมโดนไล่มาสองที่แล้ว”
ไตรภพโน้มตัวเข้าไปใกล้ ถามไถ่ขอความเห็นอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน หางตาก็คอยลอบมองดูตามบาทวิถีหรือรถเมล์โดยสารที่อาจจะขับประชิดมา
“มันพูดไม่ถูก ข้าแนะนำให้ไม่ได้หรอก ไม่อยากรับผิดชอบถ้าเอ็งเกิดเป็นอะไรขึ้นมา เพราะไม่ว่าเอ็งจะอ้อมเขตวัฒนาขึ้นไปห้วยขวางแล้วตรงไปอนุสาวรีย์ชัยฯ ก็เถิด ฝั่งโน้นก็มีเจ้าถิ่นเหมือนกัน แถมยังดุอีกต่างหาก เผลอ ๆ เอ็งอาจเจอหนักกว่าเมื่อกี้ที่ผ่านมา”
“พี่ช่วยผมได้ไหมครับ ? ขอร้องล่ะ แนะนำให้ผมหน่อย หรือไม่ก็บอกวิธีที่จะรอดพ้นจากสถานการณ์พวกนี้หน่อยครับ”
เด็กหนุ่มดึงดันที่จะขอคำแนะนำ เพราะเขาไม่อยากกระทบกระทั่งหรือปะทะฉะกัน และไม่ต้องการเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับสถานการณ์ตีรันฟันแทงราวกับสัตว์ป่าระหว่างสถาบันที่ว่า
“ถ้าแนะนำน่ะพอทำได้ แต่ถ้าจะให้เอ็งเลี่ยงที่จะไม่พบเจอสถานการณ์แบบนี้น่ะ อย่าฝันเลย มันเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นเอ็งจำเป็นต้องเอาตัวรอด ถ้าไม่เล่นมัน มันก็จะเล่นมึง จำไว้”
ไตรภพนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง เบิกตากว้างเหมือนตรัสรู้ถึงข้อเท็จจริงที่เป็นปัญหาในสังคมเมืองใหญ่แห่งนี้ มันคงจะเป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้มาหลายชั่วคน มนุษย์ก็คือสัตว์ชนิดหนึ่งที่มีความคิด ไม่แปลกประหลาดที่จะมีเหตุการณ์ไล่ล่ากันประหนึ่งถูกจัดอยู่ห่วงโซ่อาหาร หากไม่ถึงขั้นฆ่าแกงกัน อย่างน้อยก็คือการเอารัดเอาเปรียบแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เป็นปลาใหญ่กินปลาเล็ก
แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยอะไรตอบคำพูดของชาวคนขับรถ ภาพเบื้องหน้าก็สว่างจ้าแสบตา ขาวโพลนเจิดจรัสราวกับอยู่ในดินแดนวิมานสุขาวดี ครั้นเมื่อความสว่างนั้นเริ่มจางหาย มันแปรเปลี่ยนดินแดนสุขาวดีอย่างที่เปรียบเปรยเมื่อครู่กลายมาเป็นอเวจีบนดินในบัดดล
ภาพของอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางทางวนเวียนหลายชั้นอันกว้างใหญ่ ระหว่างถนนพหลโยธิน ถนนราชวิถี และถนนพญาไทก็ประจักษ์แก่สายตาของไตรภพในบัดนั้น
ทว่าจริงที่เปรียบเสมือนอเวจีที่น่าขนพองสยองเกล้าก็คือ ภาพของเด็กนักเรียนหลายสถาบันกำลังตีรันฟันแรงคลุกคลีเป็นพัลวันกันอยู่ตามจุดต่าง ๆ มีเสียงปืนลั่นดังขึ้น เสียงกรีดร้องและลุกฮือหนีตายกันจำนวนมาก ประหนึ่งกับว่า ณ ที่ตรงนี้ในขณะนี้
มันคือสนามรบดังชื่ออนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ !
ความคิดเห็น