NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โคตรคน โรงเรียนเถื่อน

    ลำดับตอนที่ #2 : สี่จตุรเทพแห่งพระนคร (2)

    • อัปเดตล่าสุด 14 ต.ค. 65


    ภายหลังจากการรอดพ้นวิกฤตชีวิตเมื่อสักครู่มาได้ 

    ไตรภพหลีกหนีการเผชิญหน้ากับเด็กนักเรียนโรงเรียนอื่นที่พบเห็นตามป้ายรถเมล์ตลอดทาง 

    ไม่ว่าจะเป็นเด็กสายอาชีวะหรือสายสามัญ ขาสั้นหรือขายาว ด้วยความที่หัวเดียวกระเทียมลีบประการหนึ่ง และความที่ไม่อยากนำตัวเองเข้าไปเสี่ยงอีกประการหนึ่ง 

    เขาถึงกับต้องกระชากสายเข็มขัดและถอดถุงเท้าสีดำออกมาซ่อนไว้เลยทีเดียว 

    ไตรภพกระโดดลงจากรถเมล์ที่แยกสามย่าน วิ่งข้ามทางม้าลายไปยังอีกฝั่งของถนน วิ่งหวนคืนทางที่นั่งมาอย่างใจลอยเมื่อครู่ด้วยอาการกระสับกระส่ายเกรงกลัว เหลือบมองนาฬิกาข้อมือแล้วนึกตกใจ 

    “บ้าชะมัด เหลืออีกสี่สิบนาที” 

    เขาพูดราวกับกระตุ้นตัวเอง วิ่งจนตัวโชกเหงื่อท่ามกลางแดดร้อนระอุ 

    มองไปทางไหนก็เห็นแต่ชุดนักเรียนที่อยู่ต่างสถาบันกับตนแทบทั้งสิ้น 

    สายตาถมึงทึงจ้องมายังเขาไม่เว้นตอน บางทีถึงขั้นถูกแช่งชักหักกระดูกเลยทีเดียว

    “เฮ้ย ! ไอ้ลูกหมาวสันต์ศิลป์ กลับบ้านไปดูพ่อกับแม่มึงเอากันไป !” 

    มีเสียงตะโกนจากอีกฝั่งฟากของทางบาทวิถีแว่วมายังเขา 

    พอปรายตามองขณะวิ่งก็เห็นกลุ่มนักเรียนขายาวชุดเครื่องแบบสีดำยืนเกาะกลุ่มปานจะจ้องกินเลือดกินเนื้อ ชี้ปลายดาบที่แหลมคมมายังตน 

    หากไม่มีรถราที่วิ่งผ่านไปผ่านมาเป็นอุปสรรคขวางกั้น เขาไม่แม้แต่จะคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนกันแน่

    ไตรภพพอจะรู้จักสายถนนในการสัญจรในละแวกนี้อยู่บ้าง เมื่อครู่ที่มีเหตุชุลมุนเป็นพัลวันกันคือแยกอังรีดูนังต์ ถัดไปเป็นแยกสามย่าน 

    แต่ถ้าหากย้อนกลับมาจะเป็นแยกศาลาแดง หากหารถเมล์ขึ้นนั่งไปตามถนนราชดำริได้ละก็ คงจะเป็นราชรถมาเกยอย่างแน่แท้ 

    สมมุติว่าหากไม่มีรถเมล์สักคันเลยล่ะ เส้นทางจากจุดตรงนี้ไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิที่เขตราชเทวีก็เกือบสิบกิโลเมตรเห็นจะได้ 

    เปิดเทอมวันแรกก็เจอเรื่องซวยซ้ำซวยซ้อนเข้าจนได้ ไม่คิดไม่ฝนว่าวันแรกจะหนักเอาเรื่องแบบนี้ 

    ถึงอย่างนั้นเขาก็หารู้ไม่ ตั้งแต่เลยสวนลุมพินีนี้ไปจะเข้าเขตปทุมวัน ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนขาสั้นที่ลื่อลั่นเรื่องความร้ายกาจไม่แพ้ขายาว 

    ทั้งความบ้าบิ่นและความป่าเถื่อน ว่ากันว่าสามารถทัดเทียมกับวสันต์ศิลป์ได้เลยทีเดียว เป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาตั้งแต่อดีตสมัยก่อตั้งสถาบันใหม่ ๆ 

    โรงเรียนเทพอุทัย มัจจุราชแดงเพลิงแห่งปทุมวัน  

    ขณะวิ่งถือกระเป๋านักเรียนจนชายเสื้อหลุดลุ่ย เหงื่อพลั่กเต็มแผ่นหลังและซอกรักแร้ ไหลย้อยจากหน้าผากลงมายังปลายจมูก ไตรภพก็ฉุกคิดขึ้นได้อย่างเจ็บแสบหัวใจ 

    ไม่มีทางเลือกอื่นเลยจริง ๆ หรือ หากจะนั่งรถไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิอย่างสะดวก มันต้องไปขึ้นรถเมล์ที่แยกสามย่านแล้ววิ่งตัดขึ้นเหนือไป

    ถ้าหากจุดที่เขาถูกกลุ่มของจอมยุทธ์บุกรุกคารถเมล์เมื่อครู่อยู่ถัดเลยไปอีกหน่อย 

    อย่างน้อยเขาก็คงไม่ต้องมาวิตกเรื่องการเดาเส้นทางไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิแน่นอน 

    เพราะว่าไตรภพไม่ทราบเส้นทางที่จะไปอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิตั้งแต่ทีแรก… 

    รถมอเตอร์ไซค์ รถกระบะ และรถเก๋งวิ่งพลุกพล่านไปตามถนนราชดำริ 

    เด็กหนุ่มตะลีตะลานจนตาลีตาเหลือก เหงื่อเม็ดเป้งไหลพรากราวกับน้ำตาไหล เขากระสับกระส่ายและหวั่นวิตกเหลือแสน

    สมกับที่เรียกว่าบ้านนอกเข้ากรุงโดยแท้ เขาเหมือนจะหลงทางเข้าเสียแล้ว 

    ตามทางบาทวิถีมีผู้คนคลาคล่ำพอสมควร เขาชะโงกคอมองขณะเขย่งเท้า ไกลออกไปพอจะเห็นป้ายรถเมล์เว้นช่วงอยู่เป็นหย่อม ๆ  

    แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหวั่นพรั่นพรึงราวกับเห็นผีก็คือ กลุ่มเด็กนักเรียนในชุดเครื่องแบบกางเกงสีกากี ถุงเท้าสีน้ำตาล ยืนออกันนับสิบอยู่ตรงป้ายรถเมล์ข้างหน้า 

    ไตรภพทำเป็นไม่สบตาขณะเดิน พยายามมองต่ำดูปลายเท้าตนเองเงียบ ๆ  ก้มหน้าเดินกระชั้นชิดเข้าไปทีละนิดทีละหน่อย 

    ดูเหมือนว่าจะได้ผลก็จริง ทว่าฉับพลันนั้นก็ถูกโพล่งเรียกจากทางเบื้องหน้า 

    “เฮ้ย ! มึงอยู่โรงเรียนอะไรวะ ?” 

    เขาเงยหน้าขึ้นมองช้า ๆ  ไล่สายตาขึ้นมาที่ละนิด พอโงหัวขึ้นมามองดูจนอยู่ในระดับสายตา 

    ร่างของกลุ่มเด็กนักเรียนเมื่อครู่ที่ยืนอยู่ตรงป้ายรถเมล์ก็มาปรากฏตัวอยู่ล้อมรอบตัวเขา 

    สายตาทุกสายตามองตัวเขาอย่างไม่เป็นมิตร แฝงความข่มเหงคะเนงร้ายอยู่ในแววตาพวกนั้น

    ท.อ.ท เป็นอักษรที่อยู่บนหน้าออกของอีกฝ่าย ไม่ผิดแน่ที่จะเป็นเทพอุทัย เพราะมีแค่เจ้าเดียวในจังหวัดกรุงเทพมหานคร

    ที่สำคัญพวกเขามีทั้งสิ้นหกคน ถึงจะดูน้อยกว่าที่เผชิญหน้ากับกลุ่มขายาวบนรถเมล์ 

    แต่กระนั้นผลลัพธ์คงไม่ลงเอยอย่างเก่าอยู่เห็น ๆ 

    “กูถามว่ามึงอยู่โรงเรียนอะไร หูหนวกหรือยังไงวะ ไอ้หน้าจืด” 

    อีกฝ่ายพูดข่มอีกครั้ง ใบหน้าที่มีหนวดเข้มมองอย่างดูแคลน 

    ไม่แปลกที่พวกเขาจะพูดเช่นนั้น ไตรภพเป็นคนที่มีบุคลิกเย็นชาราวกับไร้ความรู้สึกนึกคิด เอื่อยเฉื่อยเหมือนกับคนไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไร แถมยังดูมืนมนและไม่มีสง่าราศีอันใดน่าดึงดูดเลยสักนิดเดียว

    หลังจากได้ยินดังนั้นเด็กหนุ่มก็พลันได้สติ เขาอยู่ในสภาพกอดกระเป๋าบังหน้าอก ในสายตาคนเหล่านั้นคงมองเขาเป็นเด็กติ๋มหรือไม่ก็พวกอ่อนแอไร้กำลัง ซึ่งไตรภพก็ภาวนาขอให้เป็นเช่นนั้นในใจ

    เขายิ้มกร่อย ๆ ออกมา ปั้นหน้าเป็นมิตร พูดเสียงอ่อนแอดูไร้เดียงสา 

    “เอ่อ… โรงเรียนไทยวิริยะฯ ครับผม” 

    เขาอ้างชื่อโรงเรียนมัธยมปลายที่รู้จักขึ้นมาพูด เนื่องจากโรงเรียนดังกล่าวใช้ชุดเครื่องแบบแทบจะเหมือนกันทุกอย่าง เว้นเสียอย่างเดียวคือถุงเท้า โรงเรียนวสันต์ศิลป์ใช้ถุงเท้าสีดำ ส่วนโรงเรียนไทยวิริยะวิทยาใช้ถุงเท้าสีขาว 

    “อ๋อ โรงเรียนเด็กเรียนนี่นา โทษที ๆ  นึกว่าที่อื่นน่ะ ยังไงพวกเราก็อยู่ใกล้ ๆ กัน ไม่ได้มีเรื่องบาดหมางอะไร จะขึ้นรถเมล์ใช่เปล่า ?” 

    “ใช่ครับ พี่” 

    ไตรภพมีท่าทางพินอบพิเทา โน้มคอพลางพยักหน้า 

    หลังจากที่กลุ่มเด็กนักเรียนนั้นยอมอ่อนข้อให้ เลี่ยงหลีกให้ไตรภพเดินแหวกไปยังป้ายรถเมล์เบื้องหน้า 

    ใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่มเด็กเทพอุทัยเมื่อครู่ก็โพล่งขึ้นราวกับคิดขึ้นได้ ซึ่งทำให้ใจของไตรภพหล่นวูบไปถึงตาตุ่มเลยทีเดียว 

    “เฮ้ย ! พวกมึงไม่ดูหัวเข็มขัดกับถุงเท้ามันวะ แม่งเมื่อกี้ก็พูดขี้นอยู่” 

    บัดนั้นทุกอย่างกลับตกอยู่ท่ามกลางความเงียบงัน ความรู้สึกเหมือนยมทูตหายใจรดต้นคอบังเกิดแก่ไตรภพ เหงื่อแตกซิกจนโชก เมื่อครู่ที่เขาทำตัวโอบกอดกระเป๋าและเดินโก่งหลังนั้น 

    ตอนนี้ค่อย ๆ ยืดตัวกลับมายืนเหยียดสันหลังตรง หายใจเข้าออกช้า ๆ เหมือนเตรียมใจอะไรบางอย่างได้ และทันใดนั้นเอง การไล่ล่าก็ได้ถืออุบัติขึ้น 

    เสียงเพลงจากวิทยุโซนี่มีหูหิ้วดังมาจากป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้าม เพลงร็อกอัลเทอร์เนทีฟเริ่มบรรเลงเสียงตีคอร์ดกีตาร์ ตามด้วยเสียงกลองที่รัวสแนร์ถี่เร็วขึ้น ก่อนจะลงน้ำหนักคอร์ดร็อกบนกีตาร์และคำร้องที่ตะโกนแผดอย่างดุดัน เป็นบทเพลงที่เข้ากับสถานการณ์อันระทึกขวัญนี้อย่างยิ่งยวด

    ไตรภพวิ่งพรวดสับตีนแตก กัดฟันทำหน้าขึงขังหนีตายอย่างไม่ลดละ เสียงรองเท้าผ้าใบกระทบกับพื้นดังถี่ยิบ ผู้คนตามบาทวิถีหันขวับมามอง เบื้องหลังร่างของฝูงหมาป่าสีน้ำตาลต่างก็วิ่งตามมาติด ๆ  

    “ไอ้เวรเอ๊ย ! มึงโดนพวกกูเล่นแน่” 

    ตามทางเท้ามีผู้คนคลาคล่ำค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นคนวัยทำงานในชุดเครื่องแบบเอกชนหรือข้าราชการสีกากี พนักงานเก็บกวาดขยะ 

    เด็กนักเรียนวัยรุ่นในชุดเครื่องแบบที่ซ้ำกันบ้าง แตกต่างกันไปบ้าง ไม่พอยังมีเสาไฟกิ่งและต้นไม้ที่ปลูกประดับตามทางเท้าอยู่เรียงรายไป 

    ไตรภพวิ่งหลบหลีกซิกแซ็กอย่างว่องไว บางทีก็เผลอไปชนกับคนแปลกหน้าที่ไหนไม่รู้เข้า 

    “โอ๊ย !” 

    อีกฝ่ายล้มลงไปนอนพับกับพื้น ข้าวของฟุ้งกระจายเกลื่อนกลาด 

    ทว่าไตรภพก็ไม่อาจจะใช้สามัญสำนึกที่ดีรับผิดชอบสิ่งที่ตนกระทำได้ในสถานการณ์คอขาดบาดตายนี้ได้ นอกจากเอ่ยขอโทษขอขมา

    “ขอโทษครับ ผมขอโทษจริง ๆ” 

    เขาพูดเช่นนั้นก่อนจะวิ่งหนีไป ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง จนมีพลเมืองดีที่อยู่ใกล้ ๆ ช่วยกันประคองผู้หญิงคนนั้นขึ้น 

    ทว่าก็ต้องแตกตื่นอีกครั้งเมื่อถูกกลุ่มของโรงเรียนเทพอุทัยวิ่งเฉียดฉิว 

    “ว้าย !” 

    ไตรภพไม่รู้ว่าทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปเส้นไหน รู้เพียงแต่ว่าอยู่ทางทิศเหนือ อยู่ในเขตราชเทวี และที่สำคัญคือเป็นจุดรวมป้ายรถเมล์ที่สำคัญเลยก็ว่าได้ในใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร 

    เป็นสถานที่ที่มีคนจากทุกคนแห่งในละแวกพระนครไปกระจุกตัวกันที่ตรงนั้น และที่สำคัญเลย รถเมล์ส่วนใหญ่ที่วิ่งขึ้นเหนือลงใต้ย่อมต้องผ่านที่ตรงนั้น 

    เด็กหนุ่มยอมเสี่ยงโชค โดยยอมเสียเงินไม่กี่สตางค์เพื่อต่อรถเมล์อีกสองเที่ยวไปลงที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ก่อนต่อไปวสันต์ศิลป์อีกทีหนึ่ง 

    รวม ๆ แล้วเช้านี้เขาต้องใช้เงินไปกับค่านั่งรถเมล์โดยสารหลายเที่ยวตั้งแต่ออกจากบ้าน ไหนจะขากลับจากโรงเรียนอีก เอาเป็นว่าขอให้รอดพ้นจากวิกฤตินี้ให้ได้ก่อน

    ไม่รู้ว่าฟ้าประทานพรหรือสวรรค์เมตตาหรือกระไร ระหว่างที่ไตรภพผู้แต่งกายชายเสื้อหลุดลุ่ย เชือกรองเท้าหลุดวิ่งแทบไม่ถนัดถนี่ 

    เบื้องหน้านั้นเอง รถเมล์โดยสารคันหนึ่งหมายเลขบ่งบอกเส้นสายในการสัญจรอย่าง 74 กำลังเคลื่อนตัวออกจากป้ายรอรถ 

    หากเกิดอุปัทวเหตุสะดุดล้มเสียตรงนั้น คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเช่นใด ไตรภพหายใจแทบจะหอบเพราะอากาศร้อน ลำคอแห้งเหือดหิวกระหายน้ำ 

    รู้สึกใจหนึ่งก็คิดว่าโชคช่วย อีกใจก็หวั่นวิตกคิดไม่ซื่อหากพลาดท่าตกรถ แต่เวลานี้มันไม่ใช่การที่จะมาระย่อท้อถอยแล้ว ระยะทางเพียงห้าสิบเมตรเอง ไตรภพรีบสับตีนแตกเร่งความเร็วกระชั้นเข้าไป 

    “ไอ้สัตว์ ! มันจะวิ่งขึ้นรถเมล์แล้วโว้ย !” 

    กลุ่มเทพอุทัยเร่งฝีเท้าตามไตรภพบ้าง ทว่าไตรภพกลับว่องไวและประเปรียวกว่า 

    รถเมล์โดยสารคันนั้นวิ่งออกไปแล้ว จากนั้นค่อย ๆ เร่งความเร็วขึ้นทีละวินาทีที่ตัวรถถูกทำให้เคลื่อนที่ด้วยความเร่ง 

    ใกล้ถึงแล้ว… อีกนิดเดียว… ไตรภพกัดฟันพูดกับตนเองในใจพลางวิ่งหลบหลีกผู้คนที่เดินสัญจรไปมา อีกแค่ยี่สิบเมตรเองเท่านั้นเอง เขากัดกรามแน่น ใช้แรงเฮือกสุดท้ายก่อนที่ร่างกายจะอ่อนเปลี้ยหืดหอบวิ่งไล่รถเมล์โดยสารคันด้งกล่าว กระทั่งวิ่งขึ้นไปประชิดตัวรถได้ 

    ด้วยสภาพที่เหงื่อชุ่มโชกไปทั่วทั้งหน้าทั้งเผ้าผม แถมยังทำหน้าบูดบึ้งกัดกรามแน่นขณะวิ่งประชิดกับประตูทางขึ้นด้านขึ้น 

    เหล่าเด็กมัธยมปลายรุ่นราวคราวเดียวกันไม่ว่าหญิงหรือชายที่อยู่บนรถต่างอุทานตกใจ ตื่นตระหนกเนื่องจากการกระทำที่แสนจะบ้าบิ่นของไตรภพ 

    ‘ต้องกระโดดสถานเดียว…’

    วินาทีแห่งความเป็นความตาย ถนนหนทางช่างโล่งโจ้งอำนวยให้รถเมล์คันนี้วิ่งไปด้วยความเร็วเหลือเกิน หากพลาดพลั้งขึ้นมาไตรภพต้องประสบพบเจอกับอุบัติเหตุสาหัสสากรรจ์แน่นอน 

    ทุกอย่างแทบจะหยุดนิ่งไร้การเคลื่อนไหว จนคนรอบข้างที่รู้ทันต้องหวาดผวาจนอ้าปากค้าง กระทั่งเขาได้ทำมันเข้าจริง ๆ

    ‘สำเร็จ !’

    เด็กหนุ่มลิงโลดขึ้นมาในบัดดลขณะกระโดดเข้าทางประตูรถที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วสำเร็จ 

    ทว่าก็เกือบเท้าพลิกเท้าแพลง ล้มลงไปนอนที่บันไดทางขึ้นพอดี จนเท้าเกือบลากกับถนนขณะตัวรถกำลังวิ่ง 

    เขารีบตะกุยตะกายเข้าไปยังตัวรถจนแทบนอนอยู่บนพื้นรถ หายใจหอบออกปากราวกับจะตายแหล่มิตายแหล่ หน้าแทบซีดเซียว ดวงตาเลื่อนลอยเหมือนคนสติหลุดลอย 

    ผู้คนที่อยู่บนรถต่างจ้องมองมาที่เขาด้วยความประหลาดใจระคนโล่งอก สำหรับเหตุการณ์อันแสนจะบ้าบิ่นของไตรภพเมื่อครู่ 

    แต่กระนั้นตัวเขาก็ยังไม่อาจพักหายใจได้ครบสักนาทีหนึ่ง 

    ภาพสายตาที่ดูพร่าเลือนก็ค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้น เขาเพิ่งจะสำเหนียกรู้ได้ทัน ว่าตรงหน้าได้ของเขามีเด็กมัธยมปลายในชุดเครื่องแบบกางเกงน้ำตาล ถุงเท้าน้ำตาล แถมยังมีบางคนที่ใส่เครื่องแบบชุดพละสีแดงเหลืองบ่งบอกสีประจำโรงเรียนอีกด้วย ซึ่งมองอย่างไรก็เป็นเด็กเทพอุทัยสามสี่คนยืนจับราวเหล็กอยู่ และกำลังเพ่งมองมาที่เขาด้วยสายตาอันไม่อาจบรรยายถูก 

    จ้องมองมาที่สีกางเกงของเขา และที่สำคัญคืออักษรย่อที่ปักบนหน้าอกขวา อันไร้การปกปิดมิดชิดอันใด

    มันคือการหนีเสือปะจระเข้โดยแท้ !

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×