NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โคตรคน โรงเรียนเถื่อน

    ลำดับตอนที่ #10 : รู้ไว้ซะ...ฉันเป็นใคร (5)

    • อัปเดตล่าสุด 1 ต.ค. 65


    เรื่องเลวร้ายที่ทำให้ไตรภพตระหนักรู้ถึงสภาพสังคมที่ฟอนเฟะและน่าขยะแขยงของโรงเรียนแห่งนี้ มันเกิดขึ้นในคาบเรียนที่สี่ก่อนพักกินข้าวของวันนี้ 

    หลังจากเรียนวิชาภาษาอังกฤษที่อาคารกิมพิละซึ่งอยู่ติดกับสหกรณ์และโรงอาหารของโรงเรียน ที่นอกจากเขียนตัวชี้วัดกับพูดคุยสัพเพเหระกับอาจารย์ประจำวิชาในวันแรกของการเปิดภาคเรียน จึงไม่มีอะไรเป็นที่น่าหนักใจนัก 

    เสียงออดดังขึ้นบอกเลิกคาบเรียน เด็กนักเรียนชั้น ม.4/2 ก็เดินลงจากอาคารเรียนหลังนี้ เพื่อไปเรียนในรายวิชาชีววิทยาที่ชั้นสามของอาคารอานนท์ต่อก่อนจะพักกินข้าวเที่ยง 

    อาคารกิมพิละหรืออาคารเรียนที่ 4 เป็นอาคารเรียนที่เป็นห้องประจำของเด็กนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ห้า ตั้งอยู่ทางทิศเหนือสุดของโรงเรียน 

    หากมองจากแผนที่จะเห็นว่าขวามือของอาคารจะอยู่ติดกับสหกรณ์และโรงอาหาร ส่วนซ้ายมือจะติดกับห้องสมุดของโรงเรียน 

    บริเวณล้อมรอบปลูกต้นไม้เขียวขจีมากมายโดยเฉพาะด้านหลังอาคารเรียน 

    ตัวอาคารหลังนี้ใหญ่พอ ๆ กับอาคารโมคคัลลานะที่เป็นอาคารประจำของเด็กมัธยมศึกษาปีที่สี่ แต่ค่อนข้างที่จะใหม่เอี่ยมและสะอาดสะอ้านกว่ามากเพราะถูกสร้างใหม่

    ไตรภพเดินถือกระเป๋าอย่างเนือย ๆ อยู่ข้างวายุที่ยังคงสวมแว่นดำอยู่ตลอดเวลา 

    ทีแรกก็เอะใจในเรื่องนี้ของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย แต่พอเอ่ยปากถามตอนเรียนคาบสองในรายวิชาสังคมศึกษานั้น เขาก็ได้คำตอบที่สมเหตุสมผลจากอีกฝ่าย 

    “ฉันป่วยเป็นโรคตาแพ้แดดรุนแรงน่ะ เลยต้องสวมแว่นตาดำตลอดเวลา ยกเว้นตอนกลางคืน”

    “ในร่มก็ถอดไม่ได้เหรอ ?” 

    “ไม่ได้หรอก เพราะเคยถอดมาแล้ว” 

    พอหวนนึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็รู้สึกสงสัยอยู่หรอก แต่เขาเป็นคนรู้จักวางตัว 

    การไปซักไซ้หรือคาดคั้นอะไรจนเกินความจำเป็นมากเกินไป อาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดีก็เป็นได้ 

    วายุเป็นคนรูปร่างปานกลางพอ ๆ กับไตรภพ สูงราว ๆ หนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามเซนติเมตร เป็นคนผมเหยียดตรง ผิวขาวใส แถมยังเป็นคนเถรตรงอยู่ค่อนข้างมาก คาดว่าน่าจะถูกปลูกฝังหรืออบรมในแบบคนมีฐานะอยู่บ้างไม่น้อย 

    ขณะที่เดินผ่านทางไปยังห้องน้ำหลังอาคารเรียน เขาได้แว่วเสียงพูดคุยของเด็กนักเรียนไม่ที่ทราบชั้นปีขึ้น 

    “กูบอกแล้วไง พวกเทพทัยตอนนี้กำลังเหิมเกริม คงเป็นเพราะไอ้สองแฝดนรกนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นคงไม่ไล่ยิงกูกับอ้วนที่รางน้ำหรอก” 

    “จริง ช่วงนี้พวกแม่งอาละวาดใหญ่ แม้แต่พวกอีแนนยังไม่ยุ่งด้วยเลย เป็นถึงสี่จตุรเทพแท้ ๆ” 

    “อสงไขยคงไม่ร่วมกับเทพทัยหรอกนะ ? เห็นว่าเหมือนขาดแกนนำว่ะ” 

    ไตรภพและวายุผู้เป็นบุคคลที่สามได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่เข้าเต็มสองหูโดยไม่ต้้ง เป็นไตรภพเสียมากกว่าที่เริ่มเอือมระอาในเรื่องนี้ ส่วนวายังคงสงบนิ่งเหมือนหุ่นขี้ผึ้ง 

    “นายคิดว่ายังไง ?” 

    เขาถามวายุขึ้น ทั้งสองเดินทิ้งห่างจากกลุ่มเพื่อนที่เดินติดกันเป็นพรวนเบื้องหน้า 

    “เรื่องอะไรเหรอ ?” 

    “ก็เรื่องตีกันอะไรพวกนี้ไง นายไม่เอะใจเลยเหรอว่ามันมีมากจนเกินไป” 

    คำถามในข้อนี้ทำให้วายุใคร่ครวญเงียบ ๆ  มันนานเกินไปจนทำให้ไตรภพรู้สึกว่าตัวเองกำลังพูดอยู่กับรูปปั้น ไม่ก็พูดอยู่กับตัวเอง แต่พอจะเอ่ยถามอีกรอบ วายุก็แทรกขึ้น

    “นั่นสินะ นายไม่ใช่คนกรุงเทพฯ คงจะไม่รู้อะไร ตอนที่ฉันไปอยู่กับคุณอาที่อเมริกาตอนขึ้น ม.1 กับตอนที่กลับมาเรียนที่ไทยในตอนนี้ มันแทบไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลย” 

    ไตรภพนิ่วหน้ามองใบหน้าด้านข้างของวายุ ยิ้มแหย ๆ อย่างงงงวย 

    ‘จะแปลกได้ยังไงวะ เพิ่งไม่นานมานี้เอง ถ้าสักสิบปียังว่าไปอย่าง’  

    “ในตัวกรุงเทพฯ มีโรงเรียนมากมายผุดขึ้นมา ไม่ว่าจะของรัฐบาลหรือเอกชน การเดินทางไปไหนมาไหนต้องอาศัยรถโดยสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรถเมล์ เพราะฉะนั้นการพบเผชิญหน้ากับโรงเรียนต่าง ๆ จึงมีมาก ถ้าได้มีเรื่องตีรันฟันแทงกันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ มันก็ย่อมกลายเป็นความบาดหมางได้เมื่อนั้น” 

    ไตรภพอ้ำอึ้งในคำพูดของอีกฝ่ายไม่น้อย มันยิ่งทำให้เขาใคร่ครวญหนัก คำพูดของวายุมีเหตุผลค่อนข้างมาก ทั้ง ๆ ที่ต้นตอของการทะเลาะวิวาทระหว่างสถาบันเป็นสิ่งที่ไร้สาระเพราะความคึกคะนองเสียมากกว่า 

    ไตรภพรำพึงถึงเรื่องเมื่อเช้าที่เปรียบเสมือนฝันร้าย คิดในใจอย่างจนตรอก

    ‘ทั้งขาไปขากลับต้องเจอเรื่องแบบนี้ ฉันจะทำยังไงดีนะ...’

    ห้องเรียนชีววิทยาจะอยู่ชั้นสามของอาคารอานนท์ การเรียกชั้นของอาคารหลังนี้จะเป็นที่สับสนของนักเรียนบางคน

    เนื่องจากไม่ทราบมาก่อนว่าชั้นใต้ถุนที่เป็นสถานที่ในคาบเรียนอบรมจริยธรรม และใช้ประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ก็นับว่าเป็นชั้นหนึ่ง เพราะฉะนั้นอาคารอานนท์หลังนี้จึงมีทั้งหมดสี่ชั้น 

    การเดินขึ้นบันไดอาคารเป็นสิ่งที่น่าลำบากของนักเรียนไม่น้อย ยิ่งกับสภาพอากาศในเมืองหลวงที่แออัด จึงทำให้เช้าตรู่ก็อบอ้าวเหนื่อยแตกพลั่ก 

    โชคดีที่ห้องเรียนวิชาชีววิทยาคือห้อง 637 เพราะอยู่ติดกับบันไดทางขึ้นทางทิศเหนือ ทำให้ย่นระยะการเดินให้ลดลงมาหน่อย 

    มีเสียงบ่นปอดแปดของเพื่อนในห้องไม่น้อย ต่างคนต่างหืดหอบกับการเดินขี้นบันได เดินเข้าไปวางรองเท้าที่ชั้นแผงเหล็กแล้วเข้าห้องกัน 

    ห้องเรียน 637 แห่งนี้มีขนาดกว้างค่อนข้างมาก  ข้างหน้าเป็นโต๊ะครูและกระดานดำ ส่วนข้างหลังเป็นห้องกระจกที่ใช้สำหรับเป็นห้องพักครูชีววิทยา 

    หากจะกล่าวอย่างถูกต้องก็คือ ห้องเรียนห้องนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ มีสามประตู เพียงติดตั้งกระจกและประตูบานเลื่อนที่หลังห้องแยกเป็นห้องพักครู  

    ไตรภพมองดูสภาพแวดล้อมภายในห้องขณะทิ้งตัวนั่งลงตรงโต๊ะหลังสุดพร้อมกับวายุ บริเวณหลังห้องมีชั้นวางโถสำหรับดองสัตว์มากมาย ชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนและสะอิดสะเอียนไม่น้อย สำหรับเด็กใหม่อย่างไตรภพ 

    สักพักหนึ่งอาจารย์สอนวิชาชีววิทยาก็เดินเข้ามา เธอชื่อ ดวงฤทัย พิกุลทอง อายุห้าสิบกว่า ตัวป้อมสั้น เครื่องหน้าทานองพื้นขาววอก ทาลิปสติกสีแดง สวมแว่นตาเลนส์นูน

    “อ้าว นักเรียน พอดีคาบนี้ครูติดธุระนิดหน่อย ถ้าอย่างนั้นเขียนตัวชี้วัดในหนังสือเรียนลงสมุดเป็นการบ้านนะ หนังสือให้เพื่อนผู้ชายไปเอาที่ในตู้ข้างหลังห้อง” 

    หลังจากมอบหมายภาระให้ตั้งแต่คาบแรกเสร็จเธอออกไป 

    เพื่อน ๆ ในห้องหลายคนเฮลั่น ลุกเดินไปไหนมาไหนตามสบาย บางคนหันหน้าพูดคุยกัน บางคนก็ฟุบโต๊ะหลับไป 

    “เรียนกับยัยดวงฤทัยสบายจะตาย พี่กูบอกมา”

    “พี่มึงอยู่ห้อง 6 ไง ถ้าอยู่ห้องวิทย์-คณิตว่าไปอย่าง” 

    เพื่อนผู้ชายที่นั่งข้างหน้าพูดคุยกัน ไตรภพกับวายุได้ยินชัด ทั้งคู่ค่อยได้พักหายใจบ้าง หันหลังไปดูเพื่อนผู้ชายที่ไปเอาหนังสือมาแจก 

    “นายจะเขียนเลยไหม ?” 

    “เขียนเลยสิ” ไตรภพตอบพร้อมกับเปิดหน้าหนังสือเรียนชีววิทยา พยายามหาตัวชี้วัดที่อยู่หน้าหลังสุด “ไม่กี่ข้อเอง ทำในคาบให้เสร็จเลยดีกว่า” 

    เพื่อนร่วมห้องที่เป็นผู้หญิงบางคนก็ก้มหน้าก้มตาทำ บางคนก็ส่องกระจกทารองพื้น หวีผมจัดทรง หรือไม่ก็พูดจาสัพเพเหระส่งเสียงหัวเราะตามประสาเด็กผู้หญิง ส่วนเพื่อนผู้ชายนั้นมีส่วนน้อยที่จะทำงาน เพราะหลายคนเดินไปมาหยอกเอินเพื่อนผู้หญิงบ้าง ฟุบหลับก็มี หรือบางทีก็สุมหัวพูดเรื่องต่อยตี 

    ไตรภพสองหูรับฟังสิ่งต่าง ๆ รอบกายขณะเขียนงานในสมุด ในสถานการณ์แบบนี้เขาดูมีสมาธิและแน่นิ่งดุจรูปปั้นมากกว่าวายุเสียอีก อาจเป็นเพราะมีความตั้งใจที่แน่วแน่ก็เป็นได้ 

    “เดี๋ยวฉันมาล่ะ ไปเข้าห้องน้ำก่อน นายจะไปด้วยไหม ?” 

    ไตรภพบอกวายุพร้อมกับลุกขึ้น หันไปหาอีกฝ่ายก็เพิ่งจะรู้ว่าวายุฟุบหลับไปตั้งนานแล้ว

    ‘หลับไปตั้งแต่ตอนไหนวะนั่น !' 

    เขาเลิกสนใจก่อนจะเดินออกไปคนเดียว 

    ห้องเรียน 637 จะอยู่ติดกับห้องน้ำชายพอดี เป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจไม่น้อยสำหรับเด็กนักเรียนชายที่มาเรียนยังห้องแห่งนี้ แต่ในทำนองเดียวกันวันดีคืนดีอาจจะได้กลิ่นไม่ชอบมาพากลบ้างเวลาท่อตัน 

    เด็กหนุ่มเดินไปยังหน้าห้องน้ำแต่ยังไม่ได้เข้า เขาก็พบกับเด็กนักเรียนชายไม่ทราบชั้นปีนับสิบใช้ห้องน้ำอยู่ คาดว่าน่าจะเป็นแก๊งเดียวกัน 

    “ดูดบุหรี่ก็ไม่ได้ว่ะ อาคารนี้ เดี๋ยวเกม” 

    “ไอ้ห่า ถ้าตอนเย็นก็พอได้อยู่ กูเคยแอบดูดตรงชั้นสี่อยู่” 

    “แล้วมึงซ่อนปืนไว้ที่ไหน ใต้เบาะเปล่า ?” 

    “เฮ้ย ! ไอ้ศักดิ์ กูขี้อยู่ อย่าสาดน้ำดิวะ !” 

    ไตรภพรีบเดินถอยหลังกลับมายืนตรงหน้าทางเข้าในทันที ใจแทบร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ลืมไปเลยว่าตนเองปวดปัสสาวะอยู่ 

    ‘เหมือนตรอกซอยแถวบ้านเราไม่ผิดกันเลย ไม่เข้าท่าแฮะ ไปเข้าชั้นสี่ดีกว่า’ 

    นึกได้เช่นนั้นเขาก็เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสี่ 

    ห้องน้ำของอาคารอานนท์จะอยู่ริมสุดติดกับบันไดทางขึ้นทั้งสองข้าง ทิศเหนือจะเป็นห้องน้ำชาย ส่วนทิศใต้จะเป็นห้องน้ำหญิง ชั้นสี่ของอาคารเป็นห้องเรียนในรายวิชาฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ 

    ไตรภพชะโงกดูก่อนว่ามีใครใช้ไหม พอไม่มีใครจึงเดินเข้าไปอย่างสบายใจเฉิบ รีบปลดทุกข์ที่โถสุขภัณฑ์ติดผนัง แต่ทันใดนั้นเอง เสียงครางกระเส่าน่าบัดสีชวนรัญจวนก็แทรกมากระทบโสตประสาทของเขา 

    “เสียวไหม ? พี่ใกล้เสร็จแล้วนะ” 

    “ค่ะ ทำให้เสร็จเลย” 

    สุ้มเสียงของหญิงสาวเร่าร้อนครวญครางในกามอารมณ์เต็มไปด้วยไฟเสน่หา ทำเอาคนที่สดับตรับฟังท่ามกลางความเงียบสงัดของห้องน้ำอย่างไตรภพอึ้งตะลึงจนยืนค้างอยู่กับที่ 

    บางทีก็รู้สึกร้อนรุ่มราวกับถูกยั่วยุปั่นป่วนใจราวกับถูกมนตร์สะกด เสียงครางอย่างรัญจวนใจอันแหลมเล็กราวกับกระซิบนั้นระคนไปกับเสียงทุ้มใหญ่ของฝ่ายชายที่เร่งจังหวะหนักหน่วง เกิดเสียงดังกระแทกน่าอนาจารมากยิ่งขึ้น 

    ความรู้สึกในตอนนั้นทำเอาไตรภพถูกตรึงด้วยความรู้สึกบางอย่าง สมองมันตันไปหมด เหงื่อแตกซิก 

    ‘บ้าน่า ในโรงเรียนบ้านี่มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ...?’ 

    เขาทนฟังความรุ่มร้อนในไฟกามอารมณ์ของคู่รักที่บรรเลงเพลงน่าลามกนั่นเนิ่นนานพอควร จนลืมไปเลยว่าตนยังยืนอยู่นิ่ง ๆ คาโถสุขภัณฑ์อยู่มาสักพักแล้ว

    ทันทีที่รู้สึกตัวพร้อมกับรีบรูดซิปและกดน้ำลง เสียงประตูห้องน้ำริมสุดที่ปิดอยู่ก็พลันเปิดออกมา เป็นร่างของนักเรียนรุ่นพี่ที่รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาดี ไว้ผมแสกกลางตามสมัยนิยม เดินออกมา ตามด้วยร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง 

    ทั้งคู่อยู่ในลักษณะแต่งกายรุ่มร่าม จัดทรงผม เก็บชายเสื้อ และสวมเข็มขัด ทำเหมือนกับว่าเป็นเคหสถานของตนเอง โดยหารู้ไม่ว่ากำลังมีคนจ้องดูอยู่

    คาดว่าน่าจะไม่มีสิ่งใดในโลกนี้สร้างความตกตะลึงจนแทบไม่อยากเชื่อสายตาแก่ไตรภพอีกแล้ว 

    เมื่อเด็กหนุ่มได้เห็นใบหน้านักเรียนผู้หญิงคนนั้น ผู้ซึ่งดูอย่างไรก็สามารถตัดสินด้วยหัวใจว่าเป็นคนน่ารักน่าเอ็นดู ซื่อใสไร้เดียงสา อ่อนโยนจนดูเปราะบาง แต่ทว่ามันกลับตาลปัตรไปหมด 

    เธอคนนั้นหาใช่ใครอื่นอีกที่ไหน เป็นคนใกล้ตัวที่ไตรภพรู้จักและเคยพบตามาก่อน และดูเหมือนเธอก็ตกใจจนแทบผงะเหมือนกันเมื่อเห็นหน้าไตรภพ 

    พวงแก้มสีชมพูเรื่อซีดเผือดไปในวินาทีนั้น ใบหน้ากระตุกเกร็ง ตาเบิกกว้าง มันเป็นอาการของคนที่ถูกคนอื่นล่วงรู้ความลับที่ตนไม่ต้องการจะเปิดเผยขนานแท้ 

    ‘ทอฝัน ! นั่นเธอเองอย่างนั้นเหรอ !?’ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×