คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : รู้ไว้ซะ...ฉันเป็นใคร (5)
เรื่องเลวร้ายที่ทำให้ไตรภพตระหนักรู้ถึงสภาพสังคมที่ฟอนเฟะและน่าขยะแขยงของโรงเรียนแห่งนี้ มันเกิดขึ้นในคาบเรียนที่สี่ก่อนพักกินข้าวของวันนี้
หลังจากเรียนวิชาภาษาอังกฤษที่อาคารกิมพิละซึ่งอยู่ติดกับสหกรณ์และโรงอาหารของโรงเรียน ที่นอกจากเขียนตัวชี้วัดกับพูดคุยสัพเพเหระกับอาจารย์ประจำวิชาในวันแรกของการเปิดภาคเรียน จึงไม่มีอะไรเป็นที่น่าหนักใจนัก
เสียงออดดังขึ้นบอกเลิกคาบเรียน เด็กนักเรียนชั้น ม.4/2 ก็เดินลงจากอาคารเรียนหลังนี้ เพื่อไปเรียนในรายวิชาชีววิทยาที่ชั้นสามของอาคารอานนท์ต่อก่อนจะพักกินข้าวเที่ยง
อาคารกิมพิละหรืออาคารเรียนที่ 4 เป็นอาคารเรียนที่เป็นห้องประจำของเด็กนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ห้า ตั้งอยู่ทางทิศเหนือสุดของโรงเรียน
หากมองจากแผนที่จะเห็นว่าขวามือของอาคารจะอยู่ติดกับสหกรณ์และโรงอาหาร ส่วนซ้ายมือจะติดกับห้องสมุดของโรงเรียน
บริเวณล้อมรอบปลูกต้นไม้เขียวขจีมากมายโดยเฉพาะด้านหลังอาคารเรียน
ตัวอาคารหลังนี้ใหญ่พอ ๆ กับอาคารโมคคัลลานะที่เป็นอาคารประจำของเด็กมัธยมศึกษาปีที่สี่ แต่ค่อนข้างที่จะใหม่เอี่ยมและสะอาดสะอ้านกว่ามากเพราะถูกสร้างใหม่
ไตรภพเดินถือกระเป๋าอย่างเนือย ๆ อยู่ข้างวายุที่ยังคงสวมแว่นดำอยู่ตลอดเวลา
ทีแรกก็เอะใจในเรื่องนี้ของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย แต่พอเอ่ยปากถามตอนเรียนคาบสองในรายวิชาสังคมศึกษานั้น เขาก็ได้คำตอบที่สมเหตุสมผลจากอีกฝ่าย
“ฉันป่วยเป็นโรคตาแพ้แดดรุนแรงน่ะ เลยต้องสวมแว่นตาดำตลอดเวลา ยกเว้นตอนกลางคืน”
“ในร่มก็ถอดไม่ได้เหรอ ?”
“ไม่ได้หรอก เพราะเคยถอดมาแล้ว”
พอหวนนึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็รู้สึกสงสัยอยู่หรอก แต่เขาเป็นคนรู้จักวางตัว
การไปซักไซ้หรือคาดคั้นอะไรจนเกินความจำเป็นมากเกินไป อาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดีก็เป็นได้
วายุเป็นคนรูปร่างปานกลางพอ ๆ กับไตรภพ สูงราว ๆ หนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามเซนติเมตร เป็นคนผมเหยียดตรง ผิวขาวใส แถมยังเป็นคนเถรตรงอยู่ค่อนข้างมาก คาดว่าน่าจะถูกปลูกฝังหรืออบรมในแบบคนมีฐานะอยู่บ้างไม่น้อย
ขณะที่เดินผ่านทางไปยังห้องน้ำหลังอาคารเรียน เขาได้แว่วเสียงพูดคุยของเด็กนักเรียนไม่ที่ทราบชั้นปีขึ้น
“กูบอกแล้วไง พวกเทพทัยตอนนี้กำลังเหิมเกริม คงเป็นเพราะไอ้สองแฝดนรกนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นคงไม่ไล่ยิงกูกับอ้วนที่รางน้ำหรอก”
“จริง ช่วงนี้พวกแม่งอาละวาดใหญ่ แม้แต่พวกอีแนนยังไม่ยุ่งด้วยเลย เป็นถึงสี่จตุรเทพแท้ ๆ”
“อสงไขยคงไม่ร่วมกับเทพทัยหรอกนะ ? เห็นว่าเหมือนขาดแกนนำว่ะ”
ไตรภพและวายุผู้เป็นบุคคลที่สามได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่เข้าเต็มสองหูโดยไม่ต้้ง เป็นไตรภพเสียมากกว่าที่เริ่มเอือมระอาในเรื่องนี้ ส่วนวายังคงสงบนิ่งเหมือนหุ่นขี้ผึ้ง
“นายคิดว่ายังไง ?”
เขาถามวายุขึ้น ทั้งสองเดินทิ้งห่างจากกลุ่มเพื่อนที่เดินติดกันเป็นพรวนเบื้องหน้า
“เรื่องอะไรเหรอ ?”
“ก็เรื่องตีกันอะไรพวกนี้ไง นายไม่เอะใจเลยเหรอว่ามันมีมากจนเกินไป”
คำถามในข้อนี้ทำให้วายุใคร่ครวญเงียบ ๆ มันนานเกินไปจนทำให้ไตรภพรู้สึกว่าตัวเองกำลังพูดอยู่กับรูปปั้น ไม่ก็พูดอยู่กับตัวเอง แต่พอจะเอ่ยถามอีกรอบ วายุก็แทรกขึ้น
“นั่นสินะ นายไม่ใช่คนกรุงเทพฯ คงจะไม่รู้อะไร ตอนที่ฉันไปอยู่กับคุณอาที่อเมริกาตอนขึ้น ม.1 กับตอนที่กลับมาเรียนที่ไทยในตอนนี้ มันแทบไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลย”
ไตรภพนิ่วหน้ามองใบหน้าด้านข้างของวายุ ยิ้มแหย ๆ อย่างงงงวย
‘จะแปลกได้ยังไงวะ เพิ่งไม่นานมานี้เอง ถ้าสักสิบปียังว่าไปอย่าง’
“ในตัวกรุงเทพฯ มีโรงเรียนมากมายผุดขึ้นมา ไม่ว่าจะของรัฐบาลหรือเอกชน การเดินทางไปไหนมาไหนต้องอาศัยรถโดยสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรถเมล์ เพราะฉะนั้นการพบเผชิญหน้ากับโรงเรียนต่าง ๆ จึงมีมาก ถ้าได้มีเรื่องตีรันฟันแทงกันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ มันก็ย่อมกลายเป็นความบาดหมางได้เมื่อนั้น”
ไตรภพอ้ำอึ้งในคำพูดของอีกฝ่ายไม่น้อย มันยิ่งทำให้เขาใคร่ครวญหนัก คำพูดของวายุมีเหตุผลค่อนข้างมาก ทั้ง ๆ ที่ต้นตอของการทะเลาะวิวาทระหว่างสถาบันเป็นสิ่งที่ไร้สาระเพราะความคึกคะนองเสียมากกว่า
ไตรภพรำพึงถึงเรื่องเมื่อเช้าที่เปรียบเสมือนฝันร้าย คิดในใจอย่างจนตรอก
‘ทั้งขาไปขากลับต้องเจอเรื่องแบบนี้ ฉันจะทำยังไงดีนะ...’
ห้องเรียนชีววิทยาจะอยู่ชั้นสามของอาคารอานนท์ การเรียกชั้นของอาคารหลังนี้จะเป็นที่สับสนของนักเรียนบางคน
เนื่องจากไม่ทราบมาก่อนว่าชั้นใต้ถุนที่เป็นสถานที่ในคาบเรียนอบรมจริยธรรม และใช้ประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ก็นับว่าเป็นชั้นหนึ่ง เพราะฉะนั้นอาคารอานนท์หลังนี้จึงมีทั้งหมดสี่ชั้น
การเดินขึ้นบันไดอาคารเป็นสิ่งที่น่าลำบากของนักเรียนไม่น้อย ยิ่งกับสภาพอากาศในเมืองหลวงที่แออัด จึงทำให้เช้าตรู่ก็อบอ้าวเหนื่อยแตกพลั่ก
โชคดีที่ห้องเรียนวิชาชีววิทยาคือห้อง 637 เพราะอยู่ติดกับบันไดทางขึ้นทางทิศเหนือ ทำให้ย่นระยะการเดินให้ลดลงมาหน่อย
มีเสียงบ่นปอดแปดของเพื่อนในห้องไม่น้อย ต่างคนต่างหืดหอบกับการเดินขี้นบันได เดินเข้าไปวางรองเท้าที่ชั้นแผงเหล็กแล้วเข้าห้องกัน
ห้องเรียน 637 แห่งนี้มีขนาดกว้างค่อนข้างมาก ข้างหน้าเป็นโต๊ะครูและกระดานดำ ส่วนข้างหลังเป็นห้องกระจกที่ใช้สำหรับเป็นห้องพักครูชีววิทยา
หากจะกล่าวอย่างถูกต้องก็คือ ห้องเรียนห้องนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ มีสามประตู เพียงติดตั้งกระจกและประตูบานเลื่อนที่หลังห้องแยกเป็นห้องพักครู
ไตรภพมองดูสภาพแวดล้อมภายในห้องขณะทิ้งตัวนั่งลงตรงโต๊ะหลังสุดพร้อมกับวายุ บริเวณหลังห้องมีชั้นวางโถสำหรับดองสัตว์มากมาย ชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนและสะอิดสะเอียนไม่น้อย สำหรับเด็กใหม่อย่างไตรภพ
สักพักหนึ่งอาจารย์สอนวิชาชีววิทยาก็เดินเข้ามา เธอชื่อ ดวงฤทัย พิกุลทอง อายุห้าสิบกว่า ตัวป้อมสั้น เครื่องหน้าทานองพื้นขาววอก ทาลิปสติกสีแดง สวมแว่นตาเลนส์นูน
“อ้าว นักเรียน พอดีคาบนี้ครูติดธุระนิดหน่อย ถ้าอย่างนั้นเขียนตัวชี้วัดในหนังสือเรียนลงสมุดเป็นการบ้านนะ หนังสือให้เพื่อนผู้ชายไปเอาที่ในตู้ข้างหลังห้อง”
หลังจากมอบหมายภาระให้ตั้งแต่คาบแรกเสร็จเธอออกไป
เพื่อน ๆ ในห้องหลายคนเฮลั่น ลุกเดินไปไหนมาไหนตามสบาย บางคนหันหน้าพูดคุยกัน บางคนก็ฟุบโต๊ะหลับไป
“เรียนกับยัยดวงฤทัยสบายจะตาย พี่กูบอกมา”
“พี่มึงอยู่ห้อง 6 ไง ถ้าอยู่ห้องวิทย์-คณิตว่าไปอย่าง”
เพื่อนผู้ชายที่นั่งข้างหน้าพูดคุยกัน ไตรภพกับวายุได้ยินชัด ทั้งคู่ค่อยได้พักหายใจบ้าง หันหลังไปดูเพื่อนผู้ชายที่ไปเอาหนังสือมาแจก
“นายจะเขียนเลยไหม ?”
“เขียนเลยสิ” ไตรภพตอบพร้อมกับเปิดหน้าหนังสือเรียนชีววิทยา พยายามหาตัวชี้วัดที่อยู่หน้าหลังสุด “ไม่กี่ข้อเอง ทำในคาบให้เสร็จเลยดีกว่า”
เพื่อนร่วมห้องที่เป็นผู้หญิงบางคนก็ก้มหน้าก้มตาทำ บางคนก็ส่องกระจกทารองพื้น หวีผมจัดทรง หรือไม่ก็พูดจาสัพเพเหระส่งเสียงหัวเราะตามประสาเด็กผู้หญิง ส่วนเพื่อนผู้ชายนั้นมีส่วนน้อยที่จะทำงาน เพราะหลายคนเดินไปมาหยอกเอินเพื่อนผู้หญิงบ้าง ฟุบหลับก็มี หรือบางทีก็สุมหัวพูดเรื่องต่อยตี
ไตรภพสองหูรับฟังสิ่งต่าง ๆ รอบกายขณะเขียนงานในสมุด ในสถานการณ์แบบนี้เขาดูมีสมาธิและแน่นิ่งดุจรูปปั้นมากกว่าวายุเสียอีก อาจเป็นเพราะมีความตั้งใจที่แน่วแน่ก็เป็นได้
“เดี๋ยวฉันมาล่ะ ไปเข้าห้องน้ำก่อน นายจะไปด้วยไหม ?”
ไตรภพบอกวายุพร้อมกับลุกขึ้น หันไปหาอีกฝ่ายก็เพิ่งจะรู้ว่าวายุฟุบหลับไปตั้งนานแล้ว
‘หลับไปตั้งแต่ตอนไหนวะนั่น !'
เขาเลิกสนใจก่อนจะเดินออกไปคนเดียว
ห้องเรียน 637 จะอยู่ติดกับห้องน้ำชายพอดี เป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจไม่น้อยสำหรับเด็กนักเรียนชายที่มาเรียนยังห้องแห่งนี้ แต่ในทำนองเดียวกันวันดีคืนดีอาจจะได้กลิ่นไม่ชอบมาพากลบ้างเวลาท่อตัน
เด็กหนุ่มเดินไปยังหน้าห้องน้ำแต่ยังไม่ได้เข้า เขาก็พบกับเด็กนักเรียนชายไม่ทราบชั้นปีนับสิบใช้ห้องน้ำอยู่ คาดว่าน่าจะเป็นแก๊งเดียวกัน
“ดูดบุหรี่ก็ไม่ได้ว่ะ อาคารนี้ เดี๋ยวเกม”
“ไอ้ห่า ถ้าตอนเย็นก็พอได้อยู่ กูเคยแอบดูดตรงชั้นสี่อยู่”
“แล้วมึงซ่อนปืนไว้ที่ไหน ใต้เบาะเปล่า ?”
“เฮ้ย ! ไอ้ศักดิ์ กูขี้อยู่ อย่าสาดน้ำดิวะ !”
ไตรภพรีบเดินถอยหลังกลับมายืนตรงหน้าทางเข้าในทันที ใจแทบร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ลืมไปเลยว่าตนเองปวดปัสสาวะอยู่
‘เหมือนตรอกซอยแถวบ้านเราไม่ผิดกันเลย ไม่เข้าท่าแฮะ ไปเข้าชั้นสี่ดีกว่า’
นึกได้เช่นนั้นเขาก็เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสี่
ห้องน้ำของอาคารอานนท์จะอยู่ริมสุดติดกับบันไดทางขึ้นทั้งสองข้าง ทิศเหนือจะเป็นห้องน้ำชาย ส่วนทิศใต้จะเป็นห้องน้ำหญิง ชั้นสี่ของอาคารเป็นห้องเรียนในรายวิชาฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ และคอมพิวเตอร์
ไตรภพชะโงกดูก่อนว่ามีใครใช้ไหม พอไม่มีใครจึงเดินเข้าไปอย่างสบายใจเฉิบ รีบปลดทุกข์ที่โถสุขภัณฑ์ติดผนัง แต่ทันใดนั้นเอง เสียงครางกระเส่าน่าบัดสีชวนรัญจวนก็แทรกมากระทบโสตประสาทของเขา
“เสียวไหม ? พี่ใกล้เสร็จแล้วนะ”
“ค่ะ ทำให้เสร็จเลย”
สุ้มเสียงของหญิงสาวเร่าร้อนครวญครางในกามอารมณ์เต็มไปด้วยไฟเสน่หา ทำเอาคนที่สดับตรับฟังท่ามกลางความเงียบสงัดของห้องน้ำอย่างไตรภพอึ้งตะลึงจนยืนค้างอยู่กับที่
บางทีก็รู้สึกร้อนรุ่มราวกับถูกยั่วยุปั่นป่วนใจราวกับถูกมนตร์สะกด เสียงครางอย่างรัญจวนใจอันแหลมเล็กราวกับกระซิบนั้นระคนไปกับเสียงทุ้มใหญ่ของฝ่ายชายที่เร่งจังหวะหนักหน่วง เกิดเสียงดังกระแทกน่าอนาจารมากยิ่งขึ้น
ความรู้สึกในตอนนั้นทำเอาไตรภพถูกตรึงด้วยความรู้สึกบางอย่าง สมองมันตันไปหมด เหงื่อแตกซิก
‘บ้าน่า ในโรงเรียนบ้านี่มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ...?’
เขาทนฟังความรุ่มร้อนในไฟกามอารมณ์ของคู่รักที่บรรเลงเพลงน่าลามกนั่นเนิ่นนานพอควร จนลืมไปเลยว่าตนยังยืนอยู่นิ่ง ๆ คาโถสุขภัณฑ์อยู่มาสักพักแล้ว
ทันทีที่รู้สึกตัวพร้อมกับรีบรูดซิปและกดน้ำลง เสียงประตูห้องน้ำริมสุดที่ปิดอยู่ก็พลันเปิดออกมา เป็นร่างของนักเรียนรุ่นพี่ที่รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาดี ไว้ผมแสกกลางตามสมัยนิยม เดินออกมา ตามด้วยร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง
ทั้งคู่อยู่ในลักษณะแต่งกายรุ่มร่าม จัดทรงผม เก็บชายเสื้อ และสวมเข็มขัด ทำเหมือนกับว่าเป็นเคหสถานของตนเอง โดยหารู้ไม่ว่ากำลังมีคนจ้องดูอยู่
คาดว่าน่าจะไม่มีสิ่งใดในโลกนี้สร้างความตกตะลึงจนแทบไม่อยากเชื่อสายตาแก่ไตรภพอีกแล้ว
เมื่อเด็กหนุ่มได้เห็นใบหน้านักเรียนผู้หญิงคนนั้น ผู้ซึ่งดูอย่างไรก็สามารถตัดสินด้วยหัวใจว่าเป็นคนน่ารักน่าเอ็นดู ซื่อใสไร้เดียงสา อ่อนโยนจนดูเปราะบาง แต่ทว่ามันกลับตาลปัตรไปหมด
เธอคนนั้นหาใช่ใครอื่นอีกที่ไหน เป็นคนใกล้ตัวที่ไตรภพรู้จักและเคยพบตามาก่อน และดูเหมือนเธอก็ตกใจจนแทบผงะเหมือนกันเมื่อเห็นหน้าไตรภพ
พวงแก้มสีชมพูเรื่อซีดเผือดไปในวินาทีนั้น ใบหน้ากระตุกเกร็ง ตาเบิกกว้าง มันเป็นอาการของคนที่ถูกคนอื่นล่วงรู้ความลับที่ตนไม่ต้องการจะเปิดเผยขนานแท้
‘ทอฝัน ! นั่นเธอเองอย่างนั้นเหรอ !?’
ความคิดเห็น