NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โคตรคน โรงเรียนเถื่อน

    ลำดับตอนที่ #1 : สี่จตุรเทพแห่งพระนคร (1)

    • อัปเดตล่าสุด 29 มิ.ย. 65


    เช้าวันนี้ค่อนข้างที่จะมีแดดจ้า ท้องฟ้าครามอันกว้างใหญ่ไพศาลปรุโปร่งไร้เมฆฝนปลายฤดู ซึ่งเป็นผลเสียสำหรับเมืองใหญ่ที่มีสภาพชุมชนแออัด วุ่นวายซับซ้อน และร้อนระอุประหนึ่งอยู่ก้นกระทะทองแดง

    จังหวัดกรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงที่ไม่เคยหลับใหล ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนกระจุกตัวเบียดเสียดยัดเยียดกันอยู่ 

    ณ ที่แห่งนี้ ทั้งสิ่งใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีและความทันสมัย ล้วนแล้วแต่อยู่รวมกันจนกลายเป็นความแปลกตาแปลกใจสำหรับคนต่างจังหวัดที่มาเยือน

    เหตุผลที่ต้องเกริ่นเช่นนี้ก็เพราะเรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้มันเกี่ยวข้องกับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง 

    ผู้ซึ่งเป็นบุคคลต่างถิ่นที่เพิ่งจะมาพบเห็นความศิวิไลซ์ตระการตา และความทันสมัยที่คนบ้านนอกคอกนาอย่างเขาไม่เคยเผชิญพบ 

    ก่อนที่ตัวเขาจะได้ไปพบกับความโหดร้ายทารุณ และความมืดดำที่อยู่อีกมุมหนึ่งของความเป็นอารยะ อันเกิดแก่เด็กมัธยมปลายอย่างเขาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้

    วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2537 หรือวันแรกสำหรับการเปิดภาคเรียนที่สอง

    รถเมล์โดยสารคันหนึ่งวิ่งไปบนถนนสายพระราม 4 

    เสียงรถราและกลิ่นควันรถพัดผ่านเข้าออกทั้งประตูทางขึ้นและประตูหน้าต่างที่เปิดโล่ง สร้างความย่ำแย่ในการเดินทางแทบทุกครั้งสำหรับคนใช้บริการ 

    ภายในตัวรถมีผู้คนโดยสารอยู่ไม่มากเท่าไร ตอนนี้เวลาเจ็ดโมงตรง อีกหนึ่งชั่วโมงโรงเรียนจะเข้า

    เด็กชายคนหนึ่งในชุดนักเรียนสีขาวและกางเกงสีดำใหม่เอี่ยมนั่งอยู่เบาะหลังสุด อันเป็นที่นั่งแนวขวางยาวเหยียดจุคนผอมสันทัดเช่นเขาได้ประมาณสี่ห้าคน 

    เด็กหนุ่มคนดังกล่าวนั่งชิดริมซ้ายสุด มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าหนังสีดำแบบถือ ส่วนมืออีกข้างเท้าคางเหม่อลอยออกไปยังนอกหน้าต่างรถ

    เขาคนมีชื่อว่าไตรภพ อายุสิบหกปี เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่ที่เพิ่งย้ายโรงเรียนจากต่างจังหวัดมาเข้าที่กรุงเทพมหานครเมื่อปิดเทอมที่ผ่านมา

    สภาพสังคมในตัวเมืองใหญ่ช่างวุ่นวายและแออัดเป็นอย่างยิ่ง อากาศที่ร้อนระอุทำให้เขาเหงื่อแตกซึมชุดนักเรียนออกมาตั้งแต่ยังไม่ทันถึงโรงเรียน 

    อากาศที่เป็นมลพิษก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหา ยิ่งไปพบเจอกับสถานการณ์รถติดตามแยกต่าง ๆ นั้น มันยิ่งเป็นความรู้สึกที่น่าอึดอัดประหนึ่งกำลังมอดไหม้อยู่ในขุมนรก

    ขณะที่ตัวรถผ่านขับไปถึงแยกสามย่าน หลังจากเลยวัดหัวลำโพงมาได้สักพักหนึ่ง เสียงตะโกนเอ็ดอึงก็ดังขึ้น

    “เล่นแม่งเลย !” 

    ปัง !

    พอสิ้นเสียงตะโกนดังกล่าว เสียงปืนหนึ่งนัดก็กัมปนาทแผดลั่นราวกับฟ้าพิโรธ 

    ตามด้วยเสียงเอะอะโหวกเหวกโวยวายฟังไม่ได้ศัพท์ของกลุ่มเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่ง เสียงแตรรถ และเสียงของผู้คนรอบข้างที่ตื่นตระหนกหนีตาย

    ไตรภพที่ตระหนักถึงสิ่งนั้นก็พลันสะดุ้งโหยงตื่นจากภวังค์ที่กำลังเลื่อนลอยอยู่ในบัดดล 

    ตัวรถที่เขานั่งโดยสารมาก็พลันหยุดชะงัก เขาสงสัยจึงชะเง้อคอมองออกไปยังประตูหลังที่อยู่ใกล้กับตน

    พริบตาเดียวกันก็มีก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นพุ่งตัดกับสายลมเข้ามาในตัวรถ ไตรภพไหวตัวทันรีบดึงตัวกลับ 

    เพล้ง !

    ก้อนหินก้อนนั้นเฉียดผ่านใบหน้าของเขาไปเพียงแค่นิ้วเดียวเท่านั้น ก่อนที่มันจะพุ่งไปชนกับบานหน้าต่างกระจกจนแตกสนั่นบาดหู 

    ผู้โดยสารคนอื่น ๆ ในรถคันเดียวกับเขาก็อุทานลั่น ทุกคนหลับตาพลางย่นคอเอามือกุมหัว ทว่าโชคดีที่ไม่มีใครนั่งใกล้หน้าต่างบานดังกล่าว

    ภายนอกเกิดภาวะรถติดฉับพลัน มีเด็กอาชีวะไม่ทราบชื่อสถาบันกำลังปะทะกันอยู่ในละแวกใกล้ ๆ  

    จากการคาดคะเนด้วยหูคร่าว ๆ น่าจะมีจำนวนนับสิบขึ้นไป และมีเสียงปืนแผดขึ้นอีกหลายนัด

    ขณะที่ไตรภพกำลังยันตัวเองให้ลุกขึ้นจากการล้มที่หลบหลีกก้อนหินเมื่อครู่ได้อย่างหวุดหวิด

    เขาก็พลันเห็นร่างของเด็กอาชีวะคนหนึ่งวิ่งขึ้นประตูรถข้างหลังเข้ามา 

    อีกฝ่ายใส่ชุดเสื้อและกางเกงสีดำเข้มเด่นชัด ไตรภพไม่ทราบว่าเป็นโรงเรียนอะไร แต่ที่แน่ ๆ ต้องเป็นพวกเด็กอาชีวะแน่นอน

    แต่ที่สำคัญอีกฝ่ายเดินซวนเซเอามือกุมแขนข้างขวาที่มีเลือดไหลโชกเข้ามา ก่อนจะไปมุดช่องหน้าต่างหนีออกจากตัวรถไป

    เลือดที่ไหลรินหยดเต็มพื้นเป็นดวง ๆ  ไตรภพนิ่งมองอึดใจเดียวก็สำเหนียกรู้ได้ทันที

    ‘บ้าน่า...นั่นมันแผลถูกยิง !’

    หลังจากร่างของอีกฝ่ายหายลับไป เสียงฝีเท้านับสิบและเสียงตะโกนกันเป็นกลุ่มก้อนก็วิ่งใกล้ตัวรถเข้ามา จนกระทั่งร่างนับสิบของเด็กอาชีวะก็เข้ามาอยู่ออกันในตัวรถเมล์ในที่สุด 

    สังเกตจากชุดคร่าว ๆ ก็รู้ว่าเป็นคนละสถาบันกันกับเด็กคนเมื่อครู่ เพราะสีเสื้อช็อปเป็นสีเทาควัน

    ไตรภพเห็นดังนั้นก็พอจะเข้าใจแล้ว เด็กคนเมื่อครู่กับเด็กกลุ่มนี้คงจะเป็นอริกันโดยไม่ต้องสงสัย

    พอทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน ร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งในกลุ่มเด็กเหล่านั้นก็จ้องมาที่ไตรภพ ยิ้มแสยะมาทีหนึ่ง

    “เฮ้ย !” 

    เขาคนนั้นตะโกนขึ้น ก่อนพูดขึ้นพลางชี้นิ้วมายังไตรภพ 

    “กูว่าพวกมึงไม่ต้องตามไอ้ห่านั่นละ ดูแม่งดิ…” 

    ว่าแล้วเขาก็เดินเข้ามา ทำทางหักคอเสียงดังลั่นกร๊อบแกร๊บ จนกระทั่งมายืนอยู่ตรงหน้าของไตรภพในที่สุด

    ไตรภพเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างเลื่อนลอย บรรยากาศภายในรถเต็มไปด้วยความอึดอัดใจและหวั่นกลัว

    ผู้คนโดยสารคนอื่น ๆ ต่างพากันหลบหน้าแสร้งทำเป็นไม่เห็นไม่สนใจ ไม่แปลกที่เป็นเช่นนั้น เพราะร่างของเด็กอาชีวะชุดเทากำลังกลืนกินทุกอาณาเขตในตัวรถ

    เด็กอาชีวะคนดังกล่าวยิ้มมุมปาก ทำหน้าขึงขัง เขาไว้ผมยาวเสยไปข้างหลัง หนวดยาวเฟิ้มจนโง้งแลดูดุดันและมีอายุ ใช้สายตาที่คมกริบราวกับเหยี่ยวไล่ดูตามร่างกายของไตรภพทุกสัดส่วน 

    พวกข้างหลังต่างจ้องเขม็งมาทางเขาด้วยเช่นกัน ราวกับว่าตัวเขากำลังถูกล้อมรอบด้วยฝูงหมาป่า

    “อักษรย่อ ว.ส.ศ. ใส่กางเกงสีดำ ถุงเท้าสีดำ และที่สำคัญ…หัวเข็มขัดเป็นรูปวงกลมมีอักษรย่ออยู่ตรงกลาง… นี่มันโรงเรียนวสันต์ศิลป์ สี่จตุรเทพแห่งพระนครนี่หว่า …เฮ้ย ลุง ขับต่อไป”

    ทันใดนั้นตัวรถก็เคลื่อนออกไป การจราจรติดขัดเมื่อครู่กลับมาลื่นไหลเหมือนเคย

    ไตรภพทำหน้าเหลอหลา เขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก คิดจะหนีก็ทำไม่ได้ พะอืดพะอมจนไม่รู้ว่าจะทำอะไร แม้ภายในจิตใจจะไม่รู้สึกเกรงกลัวหรือยอมศิโรราบแต่อย่างใดก็ตาม

    “ยังมาทำหน้าซื่ออีก… ถ้าอย่างนั้นก็ตายเถอะมึง”

    สิ้นคำพูดดังกล่าว เด็กอาชีวะคนนั้นก็ล้วงปืนที่เหน็บไว้หลังกางเกงออกมา 

    มันเป็นปืนลูกโม่ .38 สีดำเงาคร่ำคร่า ทว่าสิ่งที่ไตรภพเห็นจะ ๆ ในตอนนั้น 

    มันคือลูกกระสุนทองเหลืองที่อยู่ในรังเพลิง ซึ่งจ้องมายังหน้าผากของตนอย่างไม่มีสิ่งใดมากำบัง 

    ‘อะไรกัน... ฉันทำอะไรผิด จู่ ๆ ถึงได้มาจ่อปืนที่หน้าผากกันแบบนี้ จงใจฆ่ากันจริง ๆ เลยเหรอ ?’

    ในวินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นเอง ภาพทุกสิ่งรอบด้านเสมือนกับจะหยุดนิ่ง มันเชื่องช้ายืดยาดราวกับตัวเขาตกอยู่ในวังวนอะไรสักอย่างที่ไม่อาจบอกถูก นิ้วชี้ของอีกฝ่ายที่อยู่ในโกร่งไกกำลังจะเหนี่ยวไกยิง 

    ทว่าวินาทีนั้นก็ได้มีเสียงเสียงหนึ่งเอ่ยเป็นเชิงห้ามอย่างกะทันหัน

    “ช้าก่อน… อาทิตย์” 

    ชายคนหนึ่งที่เดินแหวกกลุ่มพรรคพวกของตนออกมา รีบเอื้อมมือไปขวางที่นกสับปืนในมือคนที่ชื่ออาทิตย์

    การกระทำของเขาสร้างความตกตะลึงและความแปลกประหลาดใจแก่ทุกผู้ทุกนามที่อยู่ตรงนั้น 

    มันเกิดขึ้นเร็วมาก ไตรภพแทบจะปรับเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดได้ไม่ทันท่วงทีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 

    เขาถอนลมหายใจที่กลั้นไว้แทบตายเมื่อครู่ ไม่พอยังเป่าออกจากปากเสียงดัง หน้าซีดเหลืองราวกับคนขาดเลือด ตัวสั่นราวกับจับไข้ เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดตามใบหน้าและแผ่นหลัง ไหลย้อยลงมาอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่ชายผู้เข้ามาหยุดเหตุการณ์เลวร้ายดังกล่าวจะเอ่ยขึ้นอีกที

    “สังเกตดูสิ… ตั้งแต่แยกอังรีดูนังต์มาไม่มีเด็กวสันต์ศิลป์คนไหนนั่งผ่านมาเลย แต่ทำไมไอ้หมอนี่ถึงได้กล้านั่งมาได้ล่ะ ?”

    อีกฝ่ายเป็นชายรูปร่างปานกลาง ตัวเล็กกว่าคนที่ชักปืนออกมา ใบหน้านั้นโกนหนวดเนียนกริบดูหล่อเหลาเอาการ ไว้ผมยาวแสกกลาง สวมแว่นตากันแดดสีดำ มองดูไตรภพที่นั่งแข็งทื่อด้วยความแปลกใจเล็กน้อย ก่อนกดแขนเพื่อนของตนที่ประทับปืนลง

    “อ๋อ จริงสิ…” 

    จู่ ๆ เขาก็โพล่งขึ้นอีกที คราวนี้เป็นการสนทนากับไตรภพบ้าง 

    “สังเกตจากเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ดูใหม่เอี่ยม ไหนจะกระเป๋าและหัวเข็มขัดอีก นายคงจะเป็นเด็กใหม่ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรสินะ ใช่ไหม ?”

    “อะ…อืม” 

    นั่นเป็นคำพูดแรกที่ไตรภพได้เปล่งออกไป 

    “ฉันเพิ่งจะย้ายมาที่วสันต์ศิลป์ตอนเทอมนี้เอง”

    “ว้าว เด็กใหม่จริง ๆ ด้วยแฮะ”

    ไตรภพเริ่มอุ่นใจขึ้นเมื่อสถานการณ์เฉียดตายเมื่อครู่ถูกหยุดโดยอีกฝ่าย แม้ทั้งสองจะตัวเท่ากันและไม่ได้มีอะไรเป็นสง่าราศี 

    ทว่าเขากลับรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคงจะเป็นหัวโจกของกลุ่มนักเรียนอาชีวะพวกนี้แน่นอน ความรู้สึกรับรู้ถึงรังสีอำมหิตหรือจิตสังหารของเขามันเริ่มเด่นชัดขึ้น

    ‘หมอนี่ต้องเป็นบุคคลที่อันตรายอย่างแน่นอน… แต่ทำไมกลับช่วยชีวิตเราไว้กันนะ’

    “คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด มันคงจะไม่ใช่ลูกผู้ชายหากเล่นงานอีกฝ่ายแบบนี้ ว่าแต่นายชื่อว่าอะไรนะ ?”

    “ไตรภพ…” 

    เด็กหนุ่มในชุดเครื่องแบบขาสั้น ไว้ผมรองทรงสูงตอบทันที

    “อ๋อ เอาล่ะ ไตรภพ ลุกขึ้นแล้วลงจากรถไปซะ คราวหลังให้นั่งรถไปลงที่อนุสาวรีย์ชัยฯ จากนั้นก็นั่งไปที่วสันศิลป์ต่ออีกทีล่ะ หรือไม่ก็สายทางไหนก็ได้ที่ไม่ใช่สายนี้ เพราะถ้านั่งรถเมล์สาย 46 นี้จนไปถึงโรงเรียนของนายมันอันตราย แถวนี้มันเป็นถิ่นขายาวอย่างพวกฉัน ที่สำคัญนายไม่มีพรรคพวก ขืนนั่งไปนายคงต้องตายสถานเดียว”

    “ทำไมเหรอ ?” 

    ไตรภพเอ่ยถามแล้วค่อยลุกขึ้นยืน ไม่เข้าใจคำพูดของทางนั้น

    “ไม่รู้จริง ๆ สินะ คืออย่างนี้น่ะ… เด็กที่โรงเรียนนายยิงเด็กที่โรงเรียนฉันตาย อีกอย่างวสันต์ศิลป์เป็นโรงเรียนขาสั้นที่อาละวาดไปทั่วพระนครเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่ว่าสถาบันไหน ขาสั้นหรือว่าขายาวต่างก็หมั่นไส้ หวังว่านายคงจะพอเข้าใจ …นี่คุณลุงครับ จอดป้ายหน้านี้หน่อยครับ”

    ทันทีที่ตัวรถเมล์ไปจอดที่ป้ายรอรถด้านหน้า เด็กอาชีวะคนดังกล่าวก็ตบเข้าที่บ่าของไตรภพ ผายมือไปยังประตูหลังเพื่อให้เขาเดินลงไป

    “ขอบใจนะ ที่ช่วยฉัน” 

    ไตรภพเอื้อนเอ่ยอย่างซาบซึ้ง ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเดินลงไป 

    แต่ทันใดนั้นก็ฉุกคิดขึ้นได้ รีบหันกลับมา ถามอีกฝ่ายว่า 

    “ว่าแต่นายน่ะ… มีชื่อว่าอะไรหรือ ?”

    ผู้ถูกถามเลิกคิ้วหนาขึ้นสูงเป็นอาการสงสัย แต่ทว่าก็ลดลงพลางยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจ ชักมือที่ล้วงกระเป๋ากางเกงมาดันแว่นตากันแดดให้กระชับกับสันจมูก ก่อนจะพูดตอบ

    “ขอโทษทีนะ ฉันบอกไม่ได้หรอก” 

    ‘เอ๊ะ อะไรของไอ้บ้านี่กัน’

    ไตรภพพยักหน้าหงึกเป็นอันเข้าใจ ยิ้มแห้ง ๆ  เอ่ยสั้น ๆ ว่า 

    “แต่ยังไงก็ขอบใจนะ”

    “ไม่เป็นไร …เอ้อ นี่ ไตรภพ”

    ไตรภพที่ทำท่าจะเดินออกไปชะงักเท้าทัน หันกลับมาถาม

    “อะไร ?”

    “ถึงวันนี้พวกเราจะไม่ทำอะไรนาย แต่วันหลังอย่าได้ฝันล่ะ” 

    เด็กผู้ชายคนนั้นพูดพร้อมกับถอดแว่นออกมา นัยน์ตาสีดำเหล็กน่าครั่นคร้ามคู่นั้นเพ่งไปที่ไตรภพ ฉีกยิ้มมุมปากทีหนึ่ง แล้วจึงควักซองบุหรี่จากกระเป๋าเสื้อออกมา

    ไตรภพอ้ำอึ้งเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มให้ 

    “เอ่อ แต่ถึงยังไงก็ขออย่าให้เจอกันอีกเลย” 

    เขาไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายคือ จอมยุทธ์แห่งช่างกลเทวะ ช่างกลเทวดาแห่งบางกอกใหญ่ ชายผู้โด่งดังที่สุดและระบือนามที่สุดในยุคของเขา ซึ่งก็คือ ณ ขณะนี้นั่นเอง

    ภายหลังจากที่ไตรภพเดินหนีออกไป จอมยุทธ์และพรรคพวกของเขาได้กระโดดลงจากรถเมล์ที่ป้ายรอรถเดียวกัน 

    ขณะที่กลุ่มก้อนของช่างกลเทวะเดินเลียบไปตามทางบาทวิถี อาทิตย์ผู้สูงระหงกว่าใครอื่นก็โพล่งด่าจอมยุทธ์ด้วยความขุ่นเคือง

    “เฮ้ย ! ไอ้ยุทธ์ คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกล่ะ ถ้าเมื่อกี้มีตำรวจอยู่เราอาจจะซวยทั้งคณะเลยนะ ทำตัวเป็นพระเอกไปได้ โธ่โว้ย” 

    หลังจากที่อาทิตย์พูดเสร็จ เหล่าคนอื่น ๆ ในกลุ่มก็เอ่ยไล่หลังจอมยุทธ์ที่นำหน้ามา

    “เออ มึงไม่น่าปล่อยมันไปเลย ช่วงนี้วสันต์ศิลป์แม่งเหิมเกริมอยู่ น่าจะแก้แค้นให้ไอ้รักษ์ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”

    “ห่าเอ๊ย ! ไอ้เวรนั่นมันหนีไปได้ยังไงวะ กูอุตส่าห์ยิงโดนแขนมัน ดักรอมาตั้งแต่หกโมงเช้า ไอ้เวรนั่น…”

    ยังไม่ทันได้เอ่ยถึงชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่าย จอมยุทธ์ที่เดินนำหน้าอยู่ก็ครางในลำคอเหมือนรำคาญ จ้องเขม็งไปยังเหล่าเพื่อน ๆ ของตน

    “ฮึ่ม… ถ้ายิงไอ้ไตรภพนั่นไปจะมีประโยชน์อะไร สู้เล่นงานสั่งสอนไม่ดีกว่าเหรอ… แต่ถึงยังไงก็ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ รุมกินโต๊ะคนไม่รู้เรื่องแบบนั้นไปก็หมดอารมณ์ตายห่า ส่วนไอ้เวรนั่นไว้วันหลังแล้วกัน คราวหน้าฉันจะตัดลิ้นมันเอง”

    ไม่รู้เพราะเหตุอันใด เหล่าพวกพ้องที่เดินตามหลังเขามาจึงไม่เอ่ยขัดในคำขู่อวดโอ้หรือคุยโวเมื่อครู่ หรืออาจจะเป็นสิ่งที่เขากล้าลงมือทำจริง ๆ  และวีรกรรมหรือฝีมือที่ผ่านมาของเขาอาจเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคน 

    มันจะใช่สิ่งที่ไตรภพรับรู้หรือไม่นั้น ไม่อาจมีใครหยั่งรู้...

    “อย่างน้อยก็น่าจะสั่งสอนมันหน่อยนะ วันหลังมันกับพวกที่โรงเรียนต้องหวนกลับมาเล่นงานเราแน่” 

    อาทิตย์พูดมีเหตุผล ปั้นหน้าลำบากใจตั้งแต่ถูกจอมยุทธ์ขัดจังหวะเมื่อครู่ก่อนแล้ว และตอนนี้เขาก็กระวนกระวายและหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง

    วสันต์ศิลป์คงเป็นโรงเรียนที่น่าครั่นคร้ามแก่ทุกสถาบันทั่วพระนครจริง ๆ 

    ถึงกระนั้นจอมยุทธ์ก็ได้เผยอยิ้มออกมา หัวเราะหึ ๆ ในลำคอ ดึงบุหรี่ขึ้นมาคาบ เปิดซิปโป้ขึ้นเพื่อจุดไฟที่ปลายมวน พอบุหรี่ติดก็อัดควันเข้าเต็มปอด ก่อนจะพ่นออกมาทางจมูกช้า ๆ  พูดขึ้นราวกับคาดหวังสิ่งนั้นไว้ตั้งแต่ต้น

    “อย่าลืมสิ โรงเรียนของเราไม่เหมือนโรงเรียนของพวกมัน ถึงยังไงพวกมันก็ต้องตีกันเองอยู่ภายในอยู่แล้ว ปล่อยให้มันไปเจอนรกที่วสันต์ศิลป์เถอะ... ไปเจอไอ้พวกสี่จตุรเทพบ้านั่น”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×