ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชมรมขนหัวลุก ปี2

    ลำดับตอนที่ #1 : บันไดเเห่งชีวิตและความตาย

    • อัปเดตล่าสุด 6 ต.ค. 48


    คนที่จะมาเล่าเรื่องประสบการณ์คนแรก เป็นสมาชิกคนต้นๆของชมรมเราเลย เธอบอกว่า เธออยากเล่าเป็นคนแรก และเธอก็อยากระบายเรื่องนี้ให้เพื่อนๆได้อ่านกัน

         “ค่ะ ดิฉันชื่อ ขวัญฤดีค่ะไม่รู้ว่าเรื่องที่ดิฉันจะเล่าต่อไปนี้เพื่อนๆจะเคยได้ยินมาหรือยังนะคะ

          เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งนานมาแล้ว นับตั้งแต่เพื่อนคนนั้นได้จากฉันไปไม่มีวันกลับ!

          ปี พ.ศ.2525 ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในสมุทรปราการ ฉันมีเพื่อนสนิทอยู่ 3คน คือ รุ้ง ตาลละนา ส่วนฉันชื่อลูกน้ำ ฉันอยู่ที่หอ ก็ที่นี่มันโรงเรียนประจำนี่ ใช่ เราอยู่กันที่ หอ กรรณิการ์ เป็นหอนักเรียนหญิงที่เก่าแก่มาก สงสัยว่าจะสร้างมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่2 แน่ะ เขาว่าที่นี่เคยใช้เป็นโรงพยาบาลของพวกทหารญี่ปุ่น แน่ละที่นี่ต้องมีคนตายอยู่ที่นี่แน่ๆ พอเรารื้อเสื่อน้ำมันออกยังเห็นรอยเลือดจางๆอยู่เลย แต่พวกเราไม่กล้ารื้อหรอก กลัว

          มีเรื่องเล่าที่รุ่นพี่เคยเล่าให้พวกเราฟัง(ตอนนั้นไม่รู้ว่ามันจริงหรือเปล่า) เขาเล่าว่า หากเราเดินขึ้นบันไดตอนกลางคืนและเห็นบันไดผิดปกติไปจากเดิม ห้ามเดินขึ้นไปเป็นอันขาด ตอนแรกเราก็หัวเราะกันไม่รู้นี่ว่ามันจะเป็นความจริงเล่า แต่นั้นแหละ โรงเรียนของเราน่ะ (ไม่บอกหรอกว่าเป็นโรงเรียนอะไรเดี๋ยวคนจะแห่ไปขอหวย) มีอะไรแปลกๆเสมอๆ เออ อีกเรื่องหนึ่ง ภารโรงเคยบอกว่า ที่เนี้ยะเคยเป็นสนามรบของไทยกับพม่าสมัยครั้งกรุงศรีอยุธยานู้น ผีทหารเฮี้ยนมากๆมีคนมาตั้งหมู่บ้านอยู่กี่หมู่บ้านก็ร้างหมด จนมีพระธุดงค์รูปหนึ่งมาสวดแผ่ส่วนบุญ จนวิญญาณสงบลง

          เอาละมาเข้าเรื่องเราเสียที นี่ลืมบอกไปว่าฉันน่ะเป็นดาวโรงเรียนด้วยนะ แต่แล้ววันหนึ่ง วันที่หน้าสะพรึงกลัวก็ได้เกิดขึ้น ฉันจะเล่าถึงวันนั้นเลยนะ

          วันนั้นเป็นวันที่ถือว่าท้องฟ้านั้นร้อนอบอ้าวเสียจริงๆ ไม่มีเมฆ ไม่มีลมเลย ครูป๋องว่าวันนี้พายุจะเข้า(ครูป๋องเป็นครูประจำหอเรา) วันนั้นไม่รู้ตาลเป็นอะไรเงียบๆซึมๆทั้งวัน แต่ตอนค่ำตาลเริ่มร่าเร่งอีกครั้ง เอ้อ.. เราไม่รู้จริงๆว่าตาลเป็นอะไร พวกเรานั้งคุยกันอย่างสนุกสนานเหมือนว่า พวกเรากำลังเก็บเกี่ยวช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เราต่างแยกย้ายกันไปทานอาหารเมื่อระฆังตีดังตอน 6 โมงเย็น พวกเรากินข้าวเสร็จก็ตกลงกันว่าเราจะมานั้งอ่านหนังสือกันที่ข้างล่างหอ เรานั่งอ่านกันอยู่ซัก 2-3 ชั่วโมง เริ่มรู้สึกง่วงนอนแล้ว เราเดินกันมาเงียบๆ พรึบ! ไฟทั้งหอดับลง อาจจะเป็นซัก 2-3 นาทีนี่แหละกว่าไฟจะมา แต่ไฟตรงบันไดยังคงดับๆติดๆ พวกเราเดินไปทีละขั้นๆ ความรู้สึกบางอย่างเริ่มไหลเข้ามาภายในจิตใจ ความรู้สึกเย็นยเยือก ความรู้สึกว่ากำลังอยู่โดดเดียว เหมือนกลับว่าเรากำลังก้าวล้ำเข้ามาในอาณาเขตแห่งความตาย โลกที่มีแต่คนตาย โลกที่ไม่มีแสงสว่าง โลกที่มีแต่ราตรีอันยาวนาน เรากำลังจะก้าวขึ้นบันไดขั้นต่อไป เรามองขึ้นไปข้างบน บันไดที่ไหนไม่รู้เรียงต่อกันเป็นขั้นๆยาวเหยียด สูงลิบลิ้วเลยละ เสียงๆหนึ่งก็ได้เกิดขึ้น เสียงเหมือนใครเอาด้ามโลหะกระแทกกับพื้นเบาๆ เดียวเบาเดียวแรง พวกเราหันหน้ากลับไปดู อะไรบางอย่างดูไปก็เหมือนผ้าผืนยาวๆลองลอยเหนือพื้น แต้พอมันเงยหน้าขึ้นมา นั่นมันนรกชัดๆ หัวกะโหลกสีขาวเหมือนว่ากำลังจะยิ้มให้เรา กรี๊ด.........ด........ด.........ด!  สียงตาลร้องขึ้นอย่างตกใจกลัว เธอกำลังวิ่งขึ้นไปข้างบน  ส่วนพวกเรา 3คน ยังคงยืนตะลึงไม่รู้จะทำอะไรดี ขามันแข็งไปหมด เราตกตะลึงอยู่นานนานจน

           “นี่พวกเธอมายืนทำอะไรกันตรงนี้”เสียงอาจารย์ป๋องนั่นเอง เธอกำลังยืนท้าวสะเอวอยู่ตรงประตู บันไดที่เราเห็นเมื่อตะกี๊นี้ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย พวกเรา3คนมองหน้ากันไปมา ขาพวกเราคราวนี้วิ่งได้แล้ว เรากำลังโกยอ้าวไปยังห้องของตาลกันอย่างเร่งด่วน แต่ตาลหายไป เราออกตามหาจนทั้วหอแล้วเราก็ไม่เจอแม้แต่เงาของตาล “นี่ ทาลินีไปไหน” เสียงครูดังขึ้นมาข้างๆ เราเข่าอ่อนเป็นลมไปทีละคนๆ

             ข่าววันรุ่งขึ้นผาดข่าวตัวใหญ่และมีสีแดงราวกับเลือด แต่เราไม่ได้อ่านหรอก เพราะเราสลบอยู่ในโรงพยาบาลตั้ง 2 อาทิตย์ ในความฝันเราเห็นตาลกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่าง ตาลวิ่งขึ้นไปบนบันไดที่ไม่มีวันสิ้นสุด พร้อมใบหน้าที่หวาดผวา และกลัวอย่างที่สุด ใบหน้าที่ตื่นตระหนก ใบหน้าที่ไร้ความหวัง ใบหน้าที่พวกเราจะจดจำไปจนตาย”

              เอาละครับสำหรับวันนี้เราก็คงจะต้องหยุดไว้ ณ ที่นี้ เดียวเรามาติดตามกันต่อว่าใครในชมรมของเราจะเป็นคนเล่าเรื่องคนต่อไป หรือว่าเราจะมาลองของกันดี รอพบคำตอบในตอนหน้านะครับ    

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×