ตอนที่ 5 : บทที่ 4 | เรื่องราวในจวนราชครู (1) (RW)
บทที่ 4
เมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เดินเข้าหลินหลันก็ตกใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อรับรู้ได้ถึงความทรงจำของหลันเหม่ยหลินคนเก่า และดูจากรูปร่างของเด็กคนนี้ก็เดาได้ว่าน่าจะมีอายุประมาณ 13 ปี เด็กกว่าหลันเหม่ยหลินประมาณ 1 ปี ดูจากอายุหลินหลันก็รู้ได้ว่านี่ไม่ใช่พลอยใสที่เธอเคยรู้จัก แต่เป็นหลันเหม่ยอิง น้องสาวต่างแม่ของหลันเหม่ยหลิน
จากความทรงจำของหลันเหม่ยหลิน หลันเหม่ยอิงเป็นบุตรสาวคนเดียวของอนุจ้าว จ้าวหมิงหมิง อนุคนหนึ่งในจวนของท่านราชครูหลัน หลันเหม่ยอิงเป็นเด็กสาวเรียบร้อย กิริยามารยาทงดงาม ความสามารถด้านต่างๆ ทั้งเพลงพิณ ร่ายรำ วาดรูป แต่งกลอนที่คุณหนูในห้องหอพึงมีก็ล้วนทำออกมาได้ดีทั้งหมด ทำให้หลันเหม่ยหลินเกิดความริษยาจึงได้กลั่นแกล้งหลันเหม่ยอิงทุกวัน ซึ่งนั่นน่าจะเป็นสาเหตุที่ทุกคนคิด
ความจริงแล้วหลันเหม่ยหลินไม่ได้แกล้งหลันเหม่ยอิงเพราะ ‘เกลียด’ หรอก แต่ที่แกล้งก็เพราะ ‘รัก’ น้องสาวต่างมารดาเสียมากกว่า
ในตอนเด็ก หลันเหม่ยหลินอยากที่จะสนิทกับหลันเหม่ยอิง แต่ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร
นางจึงเริ่มโดยการเข้าไปคุยกับน้องสาวต่างมารดา แต่กลับไม่เป็นผล เพราะว่าจ้าวหมิงหมิงสั่งห้ามไม่ให้หลันเหม่ยอิงเข้าใกล้หลันเหม่ยหลินเด็ดขาด
หลันเหม่ยหลินจึงเปลี่ยนวิธีการ เป็นการแกล้งเล็กน้อยๆ เพื่อให้หลันเหม่ยอิงสนใจพี่สาวอย่างตน ซึ่งก็ทำได้สำเร็จ
เพียงแต่เมื่อผ่านไปสักพัก หลันเหม่ยอิงก็ไม่สนใจอีก หลันเหม่ยหลินจึงเริ่มที่จะแกล้ง น้องสาวแรงขึ้น เรื่อยๆ จนหลันเหม่ยอิง ‘เกลียด’ ขึ้นมาจริงๆ และไม่ยอมเข้าใกล้หลันเหม่ยหลินอีกเลย
ส่วนหลันเหม่ยหลินก็ยังคงหาเรื่องแกล้งน้องสาวจนมันกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว และทุกครั้งที่เจอหน้ากันหลันเหม่ยหลินจึงมักจะกลั่นแกล้ง พูดจากระทบกระเทียบให้หลันเหม่ยอิงเจ็บใจไปเสียทุกครั้ง
ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนที่อยู่ต่อหน้าองค์ไท่จื่อ
หลินหลันคาดว่าการที่องค์ไท่จื่อเริ่มสนใจในตัวของหลันเหม่ยอิงน่าจะเป็นเพราะความสงสารที่เห็นหลันเหม่ยอิงถูกพี่สาวกลั่นแกล้งทุกวัน จึงทำให้พระองค์เริ่มตีตัวออกห่างหลันเหม่ยหลิน หลันเหม่ยหลินจึงเริ่มตามหึงหวงองค์ไท่จื่อและรังแกหลันเหม่ยอิงรุนแรงมากขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งเวลาที่อยู่หน้าไท่จื่อ นั่นทำให้องค์ไท่จื่อรู้สึกรังเกียจคู่หมั้นคนนี้มากยิ่งขึ้น และสงสารหลันเหม่ยอิงที่ถูกรังแกมากขึ้นไปอีก
ผิงหยู่เมื่อเห็นหลันเหม่ยอิงเดินเข้ามาในห้อง ก็แสดงสีหน้าเหมือนเจอทางรอด รีบคลานเข่าเข้าไปหาหลันเหม่ยอิงแล้วกอดขาเอาไว้ในทันที
“คุณหนูรอง ช่วยบ่าวด้วยนะเจ้าคะ บ่าวจะต้องถูกลงโทษแน่นอนเลยเจ้าค่ะ บ่าวไม่ได้ตั้งใจจะทำน้ำชาหกไปทางคุณหนูใหญ่นะเจ้าคะ แต่บ่าว...บ่าวซุ่มซ่ามเองเจ้าค่ะ บ่าว...บ่าว...” ผิงหยู่ได้ทีรีบฟ้องหลันเหม่ยอิงในทันทีพร้อมกับร้องไห้ ทำให้ดูน่าสงสารมากยิ่งขึ้น
“ผิงหยู่ เจ้าเอ่ยวาจาเลอะเลือนอันใด พี่หญิงใหญ่ไม่ถือสาเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้นหรอก”
“แต่บ่าว...”
“หยุดทำกิริยาเช่นนั้นได้แล้ว เจ้าเห็นหรือไม่ว่าองค์ไท่จื่อก็มาด้วย รีบลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้” หลันเหม่ยอิงเอ็ดผิงหยู่เบาๆ ก่อนที่ผิงหยู่จะแสดงท่าทีตกใจคล้ายเพิ่งจะสังเกตเห็นก่อนจะรีบปล่อยมือที่เกาะขาของหลันเหม่ยอิงอยู่และถวายพระพรองค์ไท่จื่อโดยที่ยังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิม ก่อนจะช้อนตามองพระองค์อย่างเขินอาย
“ถวายพระพรเพคะ องค์ไท่จื่อ”
หลินหลันเพียงแต่มองการแสดงของสองนายบ่าว ก่อนจะกลอกตามองบน
…ตัวใหญ่ราวกับยักษ์ปักหลั่นขนาดนั้น สาบานสิว่ามองไม่เห็น...
องค์ไท่จื่อเพียงแค่พยักหน้าตอบรับเบาๆ แล้วทำมือเป็นสัญญาณว่าให้ลุกขึ้นได้ ก่อนจะหันมามองหน้าหลินหลันโดยที่ไม่ได้สนใจผิงหยู่อีกต่อไป
ทันทีที่ได้สบตากันหลินหลันถึงกับลมหายใจสะดุดไปชั่วครู่
องค์ไท่จื่อ หรือ เว่ยเทียนหลง เป็นชายหนุ่มอายุก็น่าจะมากกว่าหลันเหม่ยหลินประมาณ 5 ปี แม้จะมีอายุเพียง 19 ปี แต่กลับมีรูปร่างสูงใหญ่ คล้ายจะเป็นแม่ทัพมากกว่าบัณฑิต หน้าตาก็หล่อเหลาคมเข้ม รอบกายมีกลิ่นอายน่าเกรงขาม ดูแล้วเป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง
แม้หลินหลันจะเคยเจอบุรุษหน้าตาดีมามากในตอนที่อยู่ในวงการบันเทิง แต่ไม่เคยพบเจอใครที่มีเสน่ห์มากขนาดนี้มาก่อน
…มิน่าเล่า หลันเหม่ยหลินถึงได้ทั้งรักทั้งหลงมากขนาดนี้ มีคู่หมั้นน่ากินขนาดนี้ก็น่าหวงอยู่หรอก...
ฝ่ายองค์ไท่จื่อเมื่อเห็นสายตาของหลินหลันที่มองมาก็ทำให้สายตาของเขาดำมืดลงไปอีก
...สีหน้าแบบนั้นคืออันใดกัน...
ปกติแล้วทุกครั้งที่หลันเหม่ยหลินพบกับเว่ยเทียนหลง ก็มีแต่มองด้วยสายตาชื่นชมหรือไม่ก็สายตาหวานหยาดเยิ้ม แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่มองด้วยที่มองพระองค์เหมือนกันประเมินสินค้าชิ้นหนึ่ง
หลินหลันเมื่อเห็นองค์ไท่จื่อแสดงสีหน้าไม่พอใจ ก็เข้าใจไปเองว่าเขาคงไม่พอใจที่ตนเอาแต่มองหน้าและไม่ทำความเคารพพระองค์ จึงรีบย่อตัวแสดงความเคารพทันที
“ถวายพระพรเพคะ องค์ไท่จื่อ”
โชคดีที่หลินหลันแสดงหนังโบราณมามากเรื่องมารยาทและพิธีรีตองต่างๆ ล้วนสามารถ ‘แสดง’ ออกมาได้อย่างแนบเนียนและเป็นธรรมชาติ กอปรกับหลินหลันเป็นแฟนตัวยงของซีรีส์จีนโบราณจึงพอจะรู้ขนบธรรมเนียมทั่วๆ ไปของจีน เพราะจากความรู้เดิมของหลันเหม่ยหลิน ความรู้ในด้านของกริยาที่พึงกระทำของสตรีนั้นมีค่อนข้างต่ำ เพราะว่านางไม่มีมารดาเลี้ยงดู และเพราะว่าผิงหยู่มักจะยุยงนางให้ออกไปอาละวาดหึงหวงองค์ไท่จื่อ หลินหลันจึงจำต้องอาศัยพื้นความรู้ตัวเองอยู่บ้างในการเอาตัวรอดจากการพบปะกับเหล่าชนชั้นสูง
“อืม ตามสบายเถิด” หลินหลันยืนขึ้นแล้วแต่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองหน้าไท่จื่อโดยตรง กลับมองไปที่อกของเว่ยเทียนหลงแทน
“พี่ได้ยินมาว่าเจ้าฟื้นแล้วจึงมาเยี่ยม”
“เพคะ” เมื่อได้ยินหลินหลันตอบเพียงสั้นๆ และยังไม่ยอมมองหน้า ไท่จื่อหนุ่มก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“เสด็จแม่เป็นห่วงเจ้ามาก ฝากของเยี่ยมมาให้เจ้าเต็มไปหมด พี่ให้คนขนลงมาจากรถม้าแล้ว พ่อบ้านหลิวคงจะจัดการให้อยู่”
“ขอบพระทัยเพคะ”
“หากหายดีแล้วอย่าลืมเข้าไปเยี่ยมเสด็จแม่ด้วย”
“เพคะ” เมื่อได้ยินหลินหลันตอบเขาเพียงสั้นๆ เขาก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกต่อไป ทำให้ทั้งห้องนั้นเงียบสนิทไป
...สตรีผู้นี้กวนประสาทพระองค์อยู่หรืออย่างไร...
"องค์ไท่จื่อเพคะ..." หลินหลันเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา "หม่อมฉันขออภัยที่บ่าวขอหม่อมฉันทำเรื่องไม่เหมาะสมต่อหน้าพระองค์ด้วยนะเพคะ"
องค์ไท่จื่อแปลกใจกับคำเรียกที่เปลี่ยนไปของหลันเหม่ยหลิน
"เจ้าเรียกพี่ว่าอย่างไรนะ หลินเออร์"
"องค์ไท่จื่อเพคะ"
แต่ก่อนนี้ หลันเหม่ยหลินมักจะเรียกเขาว่า 'พี่หลง' แล้วแทนตัวเองว่า 'หลินเออร์' เสมอ แต่หลังจากที่ฟื้นมาคราวนี้ นางกลับเรียกเขาว่า 'องค์ไท่จื่อ' ทั้งยังแทนตัวเองว่า 'หม่อมฉัน' อีกต่างหาก
ครานี้ดูเหมือนว่าหลินเออร์ของเขาจะโกรธเขามากทีเดียว
"หลินเออร์ เจ้ายังโกรธพี่อยู่อีกหรือ เรื่องวันนั้น..."
โครม
หลันเหม่ยอิงที่ก้าวเดินออกมาทางหลินหลันและองค์ไท่จื่อยืนอยู่ก็สะดุดล้มลงไปกองกับพื้นเพราะว่าผิงหยู่ที่นั่งคุกเข่าอยู่ก็ลุกขึ้นยืนในจังหวะเดียวกัน ทำให้ร่างของทั้งสองกระแทกกันจนล้มไปทั้งคู่
"โอ๊ยยย"
"อิงเออร์ เป็นอย่างไรบ้าง" องค์ไท่จื่อรีบเดินเข้าไปประคองร่างของหลันเหม่ยอิงให้ลุกขึ้น
เมื่อเห็นภาพนั้น ทั้งๆ ที่หลินหลันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับองค์ไท่จื่อ แต่ทว่ากลับรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก
...ดูเหมือนว่าความรู้สึกของหลันเหม่ยหลินจะยังค้างคาอยู่บางส่วนสินะ...
หลันเหม่ยอิงที่ทันเห็นสายตาที่เจ็บปวดของหลินหลันก็พลันรู้สึกสาแก่ใจ แต่นางก็พยายามที่จะควบคุมสีหน้าไม่ให้แสดงอาการอะไรออกไป ก่อนที่จะเหลือบมอง 'ตัวการ' ที่ทำให้นางต้องล้มก้นจ้ำเบ้าอย่างคาดโทษ
ทำให้ผิงหยู่รีบปล่อยก้มหน้างุดเพื่อหลบสายตาของหลันเหม่ยอิงที่มองมาทันที
"จริงสิ เหม่ยอิง ไหนมารดาเจ้าบอกว่าเจ้าออกไปหาสมุนไพรมาอย่างไรเล่า เป็นอย่างไรได้มาหรือไม่ แล้วเหตุใดจึงมาพร้อมกับไท่จื่อได้" เมื่อได้ยินคำถามของหลินหลันหลันเหม่ยอิงก็หน้าซีดลงเล็กน้อย แต่ก่อนที่นางจะทันได้กล่าวอะไร องค์ไท่จื่อก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
"ข้าเจอกับอิงเออร์ตอนที่เข้ามาในจวน แต่ข้าไม่เห็นรู้ว่านางรู้เรื่องที่อยู่ของสมุนไพรหายากชิ้นนั้นแล้ว" องค์ไท่จื่อพูดพลางเหลือบมองหน้าของหลันเหม่ยอิง
"ดูเหมือนว่าท่านแม่จะเข้าใจผิดเล็กน้อยเจ้าค่ะ ข้าเองก็ไม่ทราบที่อยู่สมุนไพรเช่นกันเจ้าค่ะ" หลันเหม่ยอิงพูดพลางแย้มยิ้ม "เมื่อเช้านี้ ข้าเพียงแต่ออกไปพบคนที่กล่าวว่ารู้ว่าสมุนไพรนั้นอยู่ที่ใด แต่สุดท้ายแล้วมันกลับเป็นเรื่องโกหกเจ้าค่ะ ข้าก็เลยกลับมาที่จวน แล้วก็ได้เจอกับองค์ไท่จื่อ"
"เช่นนั้นเองหรือ" หลินหลันยิ้มและพยักหน้า นางรู้ว่าเรื่องที่หลันเหม่ยอิงพูดมาทั้งหมดนั้นคงจะเป็นเรื่องโกหก คาดว่านางน่าจะทราบเรื่องที่องค์ไท่จื่อจะเสด็จมาจึงได้ไปดักรอ
แต่ถึงหลินหลันจะรู้ แต่นางก็ไม่คิดที่จะเปิดโปง แต่กลับเปลี่ยนเรื่องคุยแทน
"ดูเหมือนว่าข้าจะสั่งสอนบ่าวไพร่ในจวนไม่ดีพอจึงได้ก่อปัญหาให้เหม่ยอิง ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วยก็แล้วกัน" หลินหลันพูดออกมาเรียบๆ หลันเหม่ยอิงได้ยินดังนั้น ก็รีบปรับสีหน้าตัวเองกลับเป็นปกติ ก่อนที่จะยิ้มให้กับหลันเหม่ยหลินอย่างอ่อนหวาน
"ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ พี่หญิงใหญ่ เรื่องเท่านี้เอง" หลินหลันส่ายหน้าเบาๆ ก่อนที่จะเอ่ยกับหลันเหม่ยอิง
"ไม่ได้หรอก ผิงหยู่ก่อนเรื่องมาหลายครั้งแล้ว อย่างไรก็จะต้องถูกลงโทษ" หลินหลันพูดกับหลันเหม่ยอิงจบก็เหลือบมองหน้าไท่จื่อเล็กน้อยโดยที่ไม่ได้พูดสิ่งใดต่อ
ด้านองค์ไท่จื่อ ก็พอจะรับรู้ได้ว่าสายตานั้นของหลินหลันหมายถึงสิ่งใดก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ดูเหมือนว่าเจ้ามีเรื่องในจวนที่จะต้องสะสาง เช่นนั้นพี่ขอตัวกลับก่อน แล้วพี่จะมาเยี่ยมใหม่”
“หม่อมฉันส่งองค์ไท่จื่อเพคะ”
องค์ไท่จื่อเหลือบมองหลินหลันที่ยังคงไม่มองหน้าพระองค์อย่างครุ่นคิดเล็กน้อย
นางดูนิ่งและสงบขึ้น แถมยังไม่มาตามวอแวพระองค์เหมือนแต่ก่อน ที่สำคัญนางยังไล่เขาด้วยสายตาอีกด้วย ถึงจะไม่ได้ไล่ตรงๆ แต่ก็ดูจะยินดีเหลือเกินที่เขากำลังจะกลับ...
…ดูเหมือนว่าวิธีการแกล้งให้นางหึงหวงแบบเดิมๆ คงจะไม่ได้ผลเสียแล้วสิ...
เว่ยเทียนหลงยกยิ้มบางเบาให้กับหญิงสาวตรงหน้าที่ยังคงก้มหน้าไม่กล้าสบพระพักตร์พระองค์ตรงๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป โดยไม่ได้สนใจหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่ถูกลืมทิ้งไว้ในห้องเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นว่าเว่ยเทียนหลงเดินออกไปโดยไม่สนใจที่จะรอตน ทั้งที่เขาเพิ่งจะช่วยพยุงนางขึ้นมาแท้ๆ แต่กลับเอาแต่สนใจหลินหลัน หลันเหม่ยอิงก็ทำหน้าตาบูดบึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะรีบปรับสีหน้ากลับเป็นปกติ แล้วหันมาลาพี่สาวตนในทันที ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
…เปลี่ยนสีหน้าไวจริงนะ แม่นางเอก...
“เช่นนั้น เหม่ยอิงขอตัวก่อนนะเจ้าคะพี่หญิงใหญ่” พูดจบหลันเหม่ยอิงก็รีบเดินออกจากเรือนของหลันเหม่ยหลินไปในทันที
…ไม่รู้ว่าที่รีบออกไปแบบนี้ เพราะแค่ไม่อยากอยู่ใกล้พี่สาวต่างมารดา หรือว่าแค่อยากจะรีบออกไปวิ่งตามผู้ชายกันแน่...
หลินหลันคิดก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะปรับสีหน้าให้นิ่งเรียบ แล้วหันมามองผิงหยู่ที่นั่งอยู่กับพื้นห้องที่เดิม
"คุณหนู...จะลงโทษบ่าวจริงๆ หรือเจ้าคะ"
หลินหลันไม่ตอบคำถามของผิงหยู่ แล้วหันไปหาเจียงอวี้
ในเมื่อตอนนี้หลินหลันได้ตัวอย่างของกำยานบ้านั้นมาหมดแล้ว ทั้งนางยังไม่อยากที่จะทนกับพฤติกรรมของผิงหยู่อีกต่อไป
"เจียงอวี้ เจ้าให้คนไปตามพ่อบ้านหลิวมาหาข้าที เร็วที่สุดเลยนะ"
"เจ้าค่ะ" เจียงอวี้ไม่ถามสิ่งใดต่อ เดินออกไปสั่งบ่าวไพร่ที่อยู่ข้างนอกทันที
"คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูจะโบยบ่าวจริงๆ เจ้าค่ะ" ผิงหยู่นั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่กับพื้น เพื่อที่จะให้หลินหลันรู้สึกสงสาร
"ก็เจ้าพูดกับเหม่ยอิงเองไม่ใช่หรือ ว่าข้าจะลงโทษเจ้า ข้าก็ทำตามความต้องการของเจ้าแล้วอย่างไร"
"คุณหนูเจ้าคะ คือตอนนี้บ่าวแค่กลัวเจ้าค่ะ"
หลินหลันมองผิงหยู่ด้วยสายตาเย็นเยียบ ก่อนที่จะเอ่ยกับผิงหยู่ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
"ตอนแรกที่เจ้าทำผิด ข้ายังไม่พูดสักคำว่าข้าจะลงโทษเจ้า แต่ในเมื่อเจ้าเสนอมาเองวา่ให้ข้าลงโทษเจ้า ข้าก็แค่สนองให้เจ้าก็เท่านั้น"
ทันทีที่หลินหลันพูดประโยคนี้จบบ่าวชายที่ไปตามตัวพ่อบ้านหลิวก็กลับมาพร้อมกับตัวพ่อบ้านหลิว
พ่อบ้านหลิวมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างแปลกใจ
...ผิงหยู่เป็นสาวใช้คนโปรดของคุณหนู เหตุใดจึงได้ไปนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่ที่พื้นเช่นนั้นเล่า...
แม้จะสงสัยแต่พ่อบ้านหลิวก็ไม่ได้เอ่ยถามออกไป
"คุณหนู ให้คนไปเรียกบ่าวมา มีอะไรให้บ่าวรับใช้หรือขอรับ"
"พ่อบ้านหลิว หากข้าต้องการที่จะขายสาวใช้ประจำตัวข้าออกไป ข้าจะต้องทำอย่างไรบ้าง”
แต่ไม่ทันที่พ่อบ้านหลิวจะตอบสิ่งใดกลับมา ผิงหยู่ที่นั่งร้องไห้อยู่ก็ตะโกนแทรกขึ้นมาทันที
“คุณหนูเจ้าคะ!!! บ่าวแค่ทำกาน้ำชากระเด็นเท่านั้นนะเจ้าคะ คุณหนูจะไล่บ่าวไปโดยใช้เหตุผลง่ายๆ แค่นี้ไม่ได้นะเจ้าคะ บ่าวไม่ยินยอมนะเจ้าคะ!!!”
หลินหลันตาวาวด้วยความโกรธ แต่ไม่ทันที่หลินหลันจะได้พูดอะไรต่อ
"บังอาจนัก!!! เป็นแค่บ่าวกล้าตะคอกใส่คุณหนูได้อย่างไร" พ่อบ้านหลิวตะคอกใส่ผิงหยู่ แต่ก่อนที่พ่อบ้านหลิวจะพูดสิ่งใดต่อไป หลินหลันก็ยกมือขึ้นห้ามปรามเอาไว้ โดยที่สายตาเย็บวาบนั้นยังไม่ได้ละไปจากร่างของผิงหยู่ที่กองอยู่กับพื้นเลยแม้แต่น้อย
“ผิงหยู่ เจ้าบอกว่าเจ้าไม่ยินยอมงั้นหรือ" หลินหลันพูดก่อนที่ก้มลงไปมองผิงหยู่ พร้อมกับกดดันไปด้วย ทำให้ผิงหยู่หน้าซีดตัวสั่นไปด้วยความหวาดกลัว "เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน เป็นเพียงแค่บ่าวไพร่ในเรือนของข้า แต่กล้าที่จะมาออกคำสั่งคุณหนูอย่างข้างั้นหรือ บังอาจเกินไปแล้ว”
…เหตุใดคุณหนูผู้โง่งมของนางถึงได้สามารถสร้างแรงกดดันได้ขนาดนี้...
ผิงหยู่ได้แต่คิดในใจ โดยที่ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
"แล้วก็...เรื่องของเหตุผลที่ว่าทำไม่ข้าจึงจะขายเจ้าออกไปน่ะหรือ ข้าต้องมีอยู่แล้ว" หลินหลันคลี่ยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ใบหน้าอันงดงามนั้นทวีความน่ากลัวขึ้นไปอีกหลายส่วน "เหตุผลของข้าก็คือ..."
“?!” เมื่อได้ยินดังนั้นผิงหยู่ก็ตกใจเสียจนหน้าซีด เหงื่อเย็นๆ หลั่งออกมาเต็มหน้าผากไปหมด
…หรือว่าคุณหนูจะรู้แล้ว...
“ข้าชังน้ำหน้าเจ้าอย่างไรเล่า” ผิงหยู่ที่กำลังกลัวจนตัวสั่นก็เกิดอาการชะงักค้างไป แล้วมองหน้าหลินหลันอย่างเลื่อนลอย
ทางด้านพ่อบ้านหลิวเองก็ไม่ต่างกัน เขามองหน้าหลินหลันอย่างไม่เชื่อสายตา เพราะแต่ก่อนนั้นหลันเหม่ยหลินไม่ใช่คนที่จะไล่บ่าวไพร่ออกเพียงเพราะว่าตนไม่ชอบหน้า อาจจะมีการอาละวาดใส่บ้าง แต่ผิงหยู่เป็นสาวใช้คนแรกที่ถูกคุณหนูใหญ่ของจวนสั่งให้ขายออกไป
ในตอนแรกเขาก็คิดว่าผิงหยู่น่าจะทำเรื่องที่เลวร้ายมากจนคุณหนูใหญ่ทนไม่ไหว ซึ่งเรื่องนั้นก็อาจจะเกี่ยวข้องกับการที่คุณหนูใหญ่ต้องตกน้ำจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดด้วยก็ได้
ด้วยนิสัยของผิงหยู่นั้นเป็นที่รู้กันในหมู่บ่าวไพร่ทั้งจวน ว่านิสัยของผิงหยู่นั้นแย่มากเพียงไร เผลอๆ อาจจะแย่กว่าคุณหนูของนางตอนที่กำลังอาละวาดเสียอีก
ตอนที่คุณหนูกำลังจะบอกเหตุผลที่ต้องไล่ผิงหยู่ออก พ่อบ้านหลิวเองก็รอฟังอย่างเต็มที่ แต่ไม่คาดว่าเหตุผลที่ว่านั้นจะเป็นเพียงเพราะว่าจู่ๆ คุณหนูจะเกิดรู้สึกชังหน้าผิงหยู่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ทางด้านบ่าวด้านนอกเรือนที่มาแอบฟังเรื่องราวภายในเรือนของคุณหนูใหญ่ก็พากันตกใจไปตามๆ กัน เพราะในคราแรก พวกเขาเองก็มีความคิดไปในทางเดียวกันกับพ่อบ้านหลิวว่าผิงหยู่จะต้องทำเรื่องเลวร้ายมากอย่างแน่นอน
แต่ทว่าเมื่อได้ยินเหตุผลที่ค่อนข้าง ไม่สิ ไม่เข้าท่าเลยแม้แต่น้อย ความคิดของพวกเขาก็แตกออกเป็นสองทาง ส่วนหนึ่งก็รู้สึกสงสารผิงหยู่ที่ต้องถูกคุณหนูไล่ออกโดยไม่มีเหตุผล อีกส่วนหนึ่งก็รู้สึกสะใจ ซึ่งส่วนหลังนี้เป็นพวกที่เคยถูกผิงหยู่โขกสับและรังแกมาทั้งนั้น และแน่นอนว่าความคิดส่วนหลังนั้นมีมากกว่า
แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขามั่นใจว่าพวกเขาคิดตรงกัน นั่นก็คือ ต่อไม่นี้ไม่ว่าจะทำอะไรควรจะดูสีหน้าของคุณหนูใหญ่ให้ดีเสียก่อน จะได้ไม่ต้องมาลงเอยแบบผิงหยู่อีกคน
ส่วนเจียงอวี้นั้น เอาแต่จ้องเสี้ยวหน้าของหลินหลันอย่างสงสัยแต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา
"เอาล่ะพ่อบ้านหลิว สรุปว่าข้าต้องทำอย่างไรบ้าง หากข้าต้องการจะขายนาง"
"คุณหนู!!! " ผิงหยู่ตะโกนแทรกขึ้นมาทันทีที่หายตกใจ
"น่ารำคาญเสียจริง ข้างนอกมีใครอยู่หรือไม่มาลากตัวนางออกไปที"
ผิงหยู่ที่ตอนนี้รู้ตัวแล้วว่าตัวเองจะต้องถูกขายออกไปแน่นอน ทำให้ผิงหยู่รีบพุ่งเข้ามาหาหลินหลันเพื่อที่จะขอร้องแต่ก็ถูกบ่าวชายจับเอาไว้ได้เสียก่อน ผิงหยู่จึงหวีดเสียงร้องน้ำตาอาบแก้มทั้งสองข้าง
“คุณหนูเจ้าขา บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูยกโทษให้บ่าวเถิดนะเจ้าคะ” บ่าวชายที่เข้ามาลากผิงหยู่ออกไป แม้จะรู้สึกสงสารผิงหยู่ที่ถูกไล่ออกด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ก็ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งของหลินหลันด้วยเกรงว่าจะถูกขายออกไปโดยมีเหตุผลแค่ว่า ‘ข้าชังหน้าเจ้า’ เหมือนกับผิงหยู่
“เสียงร้องของน่าน่ารำคาญเสียจริง หรือข้าควรจะสั่งตัดลิ้นของเจ้าด้วยจะได้ไม่สร้างความรำคาญให้ใครอีก ดีหรือไม่เจียงอวี้” เมื่อได้ยินหลินหลันพูดแบบนั้นไม่รู้ทำไมผิงหยู่ถึงได้รู้สึกว่านางจะทำจริงๆ จริงได้รีบปิดปากเงียบ แล้วปล่อยให้บ่าวชายลากตัวนางออกไป
ระหว่างทางที่ผิงหยู่ถูกลากตัวออกไปล้วนแต่มีสาวใช้คนอื่นๆ ในจวนมายืนรอคอยส่งนางด้วยความสาแก่ใจ เพราะตอนที่ผิงหยู่เป็นสาวใช้ประจำตัวของหลันเหม่ยหลิน ผิงหยู่มักจะวางอำนาจข่มสาวใช้คนอื่นๆ อยู่เสมอ ด้วยถือว่าตนเป็นสาวใช้คนสนิทของหลันเหม่ยหลิน และมักจะมีปากเสียงกับผู้อื่นบ่อยครั้ง
เมื่อผิงหยู่เห็นสายตาของสาวใช้คนอื่นๆ ที่มองมาทางนาง นางจึงได้แต่ขบเขี้ยวและก่นด่าคนพวกนี้อยู่ในใจ และยังรู้สึกอับอายที่ต้องถูกบ่าวชายลากตัวออกไปจากเรือนของหลันเหม่ยหลินเหมือนกระสอบปลาถุงหนึ่ง
หลังจากที่ผิงหยู่ถูกลากตัวออกไป เรือนของหลันเหม่ยหลินก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง หลินหลันก็หันมาคุยกับพ่อบ้านหลิวต่อ
"ข้าไม่ถามซ้ำแล้วนะ ว่าอย่างไร"
“เรื่องนั้น...คุณหนูแค่มาแจ้งแก่บ่าว บ่าวจะจัดการเองให้ขอรับ”
“งั้นหรือ แล้วข้าต้องแจ้งแก่ท่านพ่อหรือไม่” ดูเหมือนว่าในโลกนี้ผู้ชายจะเป็นใหญ่ ดังนั้นการกระทำใดๆ อาจจะต้องแจ้งแก่ประมุขของจวนเสียก่อน
“โดยปกติแล้วก็จำเป็นขอรับ แต่ว่าหากเป็นคุณหนูแล้วไม่จำเป็นขอรับ นายท่านสั่งเอาไว้ว่าหากคุณหนูใหญ่ต้องการจะทำสิ่งใดในจวนกระทั่งจะไล่บ่าวไพร่คนใดในจวนออกไปก็สามารถทำได้ทันทีโดยไม่ต้องขออนุญาตนายท่านก่อนเลยขอรับ”
…โห ท่านพ่อสปอยลูกขนาดนี้ ไม่กลัวว่าลูกจะเสียคนหรือไรกัน...
“เช่นนั้น เจ้าไปจัดการเรื่องขายผิงหยู่ออกไปให้ข้าทันทีเลยแล้วกัน”
ในคราแรก พ่อบ้านหลิวอยากจะถามหลินหลันเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าต้องการจะขายผิงหยู่ที่เป็นสาวใช้คนสนิทของนางจริงหรือไม่ แต่เมื่อเห็นแววตานั่นของนาง เขาก็ไม่กล้าที่จะถามและรีบรับคำในทันที
หลังจากนั้นพ่อบ้านหลิวก็ตั้งท่าจะออกไปจัดการเรื่องขายตัวสาวใช้ออกไปให้หลินหลันในทันที ก่อนจะนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ แต่ก่อนที่พ่อบ้านหลิวจะทันได้ถามเรื่องของตำแหน่งสาวใช้ที่ว่างเว้นไปจะให้เขาจัดการให้หรือว่าหลินหลันจะจัดหาด้วยตนเอง แต่หลินหลันก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน ราวกับรู้ว่าเขาจะถามสิ่งใด
“ส่วนเรื่องตำแหน่งสาวใช้ที่ว่างไป ไม่ต้องหาสาวใช้มาให้ข้าเพิ่มหรอกนะ ข้ามีแค่เจียงอวี้คนเดียวก็เพียงพอแล้ว”
เหตุผลก็เพราะหลินหลันชอบที่จะทำอะไรเองมากกว่า กอปรกับเกรงว่าสาวใช้คนใหม่ที่ได้มาจะเป็นสายให้กับหลันเหม่ยอิงอีก จึงได้ปฏิเสธการรับสาวใช้เพิ่มไป
พ่อบ้านหลิวจึงพยักหน้าแล้วเดินออกไปจากเรือนในทันที ส่วนบ่าวไพร่ที่มาแอบฟังคนอื่นๆ ก็โดยพ่อบ้านหลิวไล่กลับไปทำงานของตัวเองจนหมด
ทำให้เรือนของหลันเหม่ยหลินกลับมาสงบดังเดิม
ทันทีที่พ่อบ้านหลิวออกไปแล้ว หลินหลันก็หันไปหาเจียงอวี้ที่แอบมองหน้านางอยู่หลายครั้ง
"เจ้ามีอะไรอยากจะถามข้าก็พูดมาเถอะ" เจียงอวี้เมื่อได้ยินคำอนุญาตของหลินหลันก็เอ่ยถามทันที
“คุณหนูขายผิงหยู่ออกไปด้วยเหตุผลแค่นั้นหรือเจ้าคะ” หลินหลันเหลือบมองเจียงอวี้เล็กน้อยก่อนที่จะถามย้อนกลับไป
“ทำไมหรือ ข้าจะทำแบบนั้นไม่ได้หรือ”
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่...” บ่าวแค่รู้สึกว่าคุณหนูมีเหตุผลมากกว่านั้นเจ้าค่ะ
ซึ่งประโยคหลังนั้น เจียงอวี้ไม่ได้พูดออกไปแต่หลินหลันรู้สึกได้ว่าเจียงอวี้คิดอย่างไร หลินหลันเลยได้อธิบายให้เจียงอวี้ฟังสั้นๆ
“ถึงผิงหยู่จะเป็นบ่าวคนสนิทของข้า แต่เจ้าก็เห็นว่านางก็ประพฤติตัวไม่เหมาะสมหลายครั้ง ยิ่งครั้งนี้นางทำต่อหน้าองค์ไท่จื่ออีก ข้าก็เลยคิดว่าปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว”
"แต่ว่าหากเป็นเรื่องของความประพฤติ เหตุใดคุณหนูจึงไม่ส่งนางไปอบรม..."
"นางอยู่ในจวนนี้มานานเท่าไหร่แล้ว" หลินหลันเอ่ยแทรกขึ้นมาทันที "หากการอบรมได้ผลก็คงจะได้ผลไปนานแล้วล่ะ"
“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินดังนั้น เจียงอวี้จึงพยักหน้ารับรู้ และไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีก
"เจ้าถามข้าเช่นนี้ ไม่อยากให้ข้าไล่ผิงหยู่ออกไปหรือไร" เจียงอวี้ได้ยินดังนั้นก็แอบสะดุ้งเบาๆ
เจียงอวี้เองก็ตอบไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร จะให้บอกว่าเสียใจก็ไม่เชิง แต่ว่าจะให้บอกว่าดีใจก็ดีใจไม่สุด
นางกับผิงหยู่ก็อยู่ดูแลคุณหนูด้วยกันมาหลายปีก็มีความผูกพันอยู่บ้าง แต่เจียงอวี้เองก็เคยถูกผิงหยู่กดขี่รังแกอยู่หลายครั้งเช่นกัน
และความจริงเจียงอวี้ก็ไม่ได้ชอบใจกับพฤติกรรมของผิงหยู่ในจวนสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเห็นว่านายสาวไม่ได้ถือสาหาความอันใด เจียงอวี้จึงไม่ได้พูดอะไรออกมาเกี่ยวกับพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมเหล่านั้น
การที่นางถามไปนั้นก็เพราะว่านางก็รู้สึกแปลกใจที่จู่ๆ คุณหนูของนางก็ขับไล่ผิงหยู่ออก ทั้งที่แต่ก่อนก็ดูจะชอบใจในตัวผิงหยู่มากขนาดนั้น ทั้งยังเริ่มที่จะกลับมาสนิทสนมกับตนแทน แล้วยังออกปากว่าจะช่วยนางตามหาพี่ชายเสียอีก
"บ่าว..."
เมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของเจียงอวี้ หลินหลันก็ไม่คาดคั้นอะไร แล้วสั่งให้เจียงอวี้ไปยกสำรับมาให้นางให้เร็วที่สุด
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมายังไม่อะไรตกถึงท้องเลยแม้แต่อย่างเดียว น้ำชาที่ให้ผิงหยู่ไปยกมาก็หกหมดแล้ว
มีแต่เรื่องวุ่นวายดูจากแสงอาทิตย์แล้ว หากเป็นในโลกที่เธอจากมาตอนนี้ก็คงจะเรียกว่าเป็นตอนบ่ายๆ
…ตั้งแต่ตื่นมามีแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้ หิวไส้แทบขาด...
หลินหลันนั่งรออยู่สักพัก เจียงอวี้ก็ยกสำหรับอาหารเข้ามาให้
เนื่องจากว่าหลินหลันเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา ดังนั้นอาหารที่ยกมานั้นจึงเป็นอาหารอ่อนที่มีรสชาติค่อนข้างจะจืดชืด ซึ่งหลินหลันก็ไม่ได้ติดปัญหาอะไร เพราะว่าตอนที่เธอยังเป็นดาราอยู่ในโลกก่อนเธอก็ต้องกินอาหารคลีนเพื่อรักษาหุ่นอยู่แล้ว
ระหว่างที่รับสำรับอาหารอยู่นั้นในหัวของหลินหลันก็นึกถึงเรื่องที่เจียงอวี้เล่าเกี่ยวกับพี่ชายของนางให้หลินหลันฟังก่อนหน้านี้
เจียงเว่ยหลงพี่ชายของเจียงอวี้ก่อนหน้าที่เขาจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนั้น เขามักจะนำของฝากจากต่างแดนมาให้เจียงอวี้เสมอ ซึ่งจากคำบอกเล่าของเจียงอวี้ของพวกนั้นเป็นของที่ได้เฉพาะพื้นที่เท่านั้น
ซึ่งของทั้งหมดที่ได้มานั้นมีที่มาที่ไม่ซ้ำกันเลยแม้แต่น้อย
บางชิ้นมาจากเมืองทางเหนือ บางชิ้นก็มาจากเมืองทางใต้ บางชิ้นก็เป็นเมืองทางทิศตะวันออก บางชิ้นก็เป็นของที่มาจากแคว้นอื่นด้วยซ้ำ
แสดงว่าเจียงเว่ยหลงพี่ชายของเจียงอวี้นั้นจะต้องเป็นคนที่เดินทางอยู่เป็นประจำ
การที่เขาหายไปโดยไร้ร่องรอยเช่นนี้ เป็นไปได้ว่า...
หลินหลันส่ายหัวเบาๆ ให้กับความคิดของตน
อย่างไรเสียก็ลองตามหาพี่ชายให้เจียงอวี้ดูก็ไม่เสียหาย อย่างไรเขาก็เป็นคนที่มีฝีมือคนหนึ่ง หากหาเจอแล้วเอามาไว้ข้างกายแล้วละก็คงจะเป็นเรื่องที่ส่งผลดีต่อตัวหลินหลันในอนาคตอย่างแน่นอน...
แต่ว่าหลินหลันไม่รู้เลยว่าควรที่จะเริ่มสืบจากจุดไหนก่อนดี
หากจะให้เริ่มจะของฝากที่พี่ชายของเจียงอวี้มอบเอาไว้กับนาง ก็ดูจะมีความเป็นไปได้ต่ำเหลือเกิน เพราะสถานที่ของของฝากแต่ละชิ้นนั้นไม่ได้มีที่มาแบบตายตัว และยังไม่มีแบบแผนในการเดินทางอีกด้วย...
และที่สำคัญไม่มีหลักฐานการเข้าออกเมืองต่างๆ ที่เป็นที่มาของของฝากจากพี่ชายของเจียงอวี้เลยแม้แต่น้อย แสดงว่าเจียงเว่ยหลงสามารถเดินทางเข้าออกเมืองต่างๆ ได้อย่างอิสระ หรือไม่ก็อาจจะใช้ชื่อปลอมในการเข้าออกเมืองต่างๆ โดยที่ใช้ชื่อไม่ซ้ำกันเลย ทำให้การตามหาเป็นเรื่องที่ยากขึ้นไปอีก
หากว่าเป็นเหตุผลแรกเป็นไปได้ว่าเจียงเว่ยหลงอาจจะเป็นบุคคลที่ค่อนข้างจะสำคัญอยู่มาก หรืออาจจะรู้ช่องทางลับในการเข้าเมืองต่างๆ
แต่หากว่าเป็นเหตุผลสองเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะถูกตามล่าอยู่
ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นพวกเดียวกับที่ฆ่าบิดามารดาสกุลเจียงก็เป็นได้
ไม่แน่ว่าการที่พี่ชายของเจียงอวี้จำเป็นจะต้องเข้าออกเมืองต่างๆ บ่อยๆ อาจจะเข้าไปเพื่อลอบสืบข่าวบางอย่างภายในเมืองเหล่านั้นในตอนนี้หลินหลันยังไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรไม่แน่ว่าจะต้องหาความเชื่อมโยงเกี่ยวกับเมืองต่างๆ ที่พี่ชายของเจียงอวี้ได้ซื้อของมาฝากและอาจจะต้องเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ทางการเมืองของเมืองต่างๆ เหล่านั้นอีกด้วย
แต่ปัญหาก็คือความทรงจำของหลันเหม่ยหลินนอกจากความรู้ทางด้านภาษาและความรู้ที่สตรีพึงมีในด้านต่างๆ แล้วไม่ได้มีความรู้ในด้านอื่นๆ อีกเลย
หลินหลันคาดว่าก่อนที่จะสืบเรื่องของพี่ชายเจียงอวี้ได้จำจะต้องศึกษาภูมิศาสตร์การเมืองภายในแคว้นและความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นเว่ยและแคว้นรอบข้างเพิ่มเติม
ดังนั้นเรื่องนี้หลินหลันคงจะต้องพักมันไปก่อน เพราะยังมีเรื่องภายในจวนที่หลินหลันจะต้องจัดการให้เรียบร้อยเสียก่อน
เมื่อหลินหลันรับสำรับเสร็จแล้ว นางก็เรียกให้สาวใช้ด้านนอกเข้ามาเอาสำรับไปเก็บก่อนที่นางจะหันไปสั่งบางอย่างกับเจียงอวี้เบาๆ
เจียงอวี้รับคำ แล้วเดินออกจากเรือนไปจัดการตามที่หลินหลันสั่งในทันที
TALK
เดี๋ยวอีกสองตอนหลังจากนี้ หลิงขอปิดก่อนนะคะ เพราะว่าเนื้อหามันมารวมอยู่ในตอนนี้ตอนเดียวแล้วค่ะ
TALK2
ขออนุญาตเปลี่ยนชื่อตอนให้เข้ากับเนื้อหาค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ตายห่าไปรอบนึง ทำให้หึง?
what!?!?!!
ปล. ก็ยังเกลียดไท่จื่ออยู่ดี ขอให้ตกกระป๋อง สาธู้