ตอนที่ 21 : บทที่ 20 | ตลาด (3)
บทที่ 20
“ราชาปีศาจอย่างนั้นหรือ” หลินหลันแสดงสีหน้าตกใจออกมา เรื่องของราชาปีศาจอะไรนี่ หลินหลันไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ว่าฟังจากชื่อตำแหน่งแล้วจะต้องเป็นบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างสูงแน่นอน
‘ใช่’ เสี่ยวฝานพยักหน้าอย่างเคร่งเครียด ‘ก็อย่างที่ข้าเคยบอกเจ้าว่าอาณาจักรปีศาจนั้นเป็นอาณาจักรที่ปิดตายจากโลกภายนอก สิ่งเดียวที่ทุกคนรู้เกี่ยวกับอาณาจักรปีศาจนั้นก็มีเพียงแต่ว่าอาณาจักรแห่งนั้นมีตำแหน่งของผู้นำสูงสุดนั่นก็คือราชาปีศาจ เรื่องราวนอกเหนือมาจากนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเพียงการคาดเดาของคนอื่นๆ ที่อยู่นอกอาณาจักรปีศาจเพียงเท่านั้น’
หลินหลันครุ่นคิดตามที่เสี่ยวฝาน
“ถ้าเกิดว่าคนอื่นๆ ไม่รู้เรื่องราวภายในของอาณาจักรปีศาจมากนัก เช่นนั้นแล้ว เจ้ารู้จักปีศาจชั้นสูงได้อย่างไร แล้วยังเรื่องที่ว่าคนผู้เดียวที่จะสั่งการปีศาจชั้นสูงอย่างปีศาจแมงมุมได้มีเพียงราชาปีศาจเพียงเท่านั้น” หลินหลันเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นว่าเสี่ยวฝานสะดุ้งตัวอย่างแรงเมื่อได้ยินคำถามของนาง
“เรื่องนั้น…เพราะว่าข้าเคยไปที่นั่นมาก่อน” เสี่ยวฝานหลุบตาลงต่ำไม่ยอมมองหน้าหลินหลัน ก่อนที่มันเหมือนจะตัดสินใจได้แล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา
เมื่อหลายร้อยปีก่อน ก่อนที่เสี่ยวฝานจะต้องมาอาศัยปิ่นนี้เป็นร่างของมัน เสี่ยวฝานเคยสงสัยในเรื่องของอาณาจักรปีศาจอย่างมาก มันจึงได้ลองศึกษาและหาวิธีที่จะสามารถแอบเข้าไปในอาณาจักรที่ปิดตายแห่งนี้ จนกระทั่งมันได้ไปพบกับนักเวทย์ผู้หนึ่งที่ต้องการที่จะเข้าไปตามหาบางสิ่งในอาณาจักรปีศาจ นักเวทย์ผู้นั้นเป็นนักเวทย์ที่ไร้ที่มา เสี่ยวฝานไปเคยพบเห็นเขามาก่อน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านักเวทย์ผู้นี้มาจากเผ่าใด แต่ทว่าด้วยความที่ในเวลานั้นเสี่ยวฝานยังเด็กนัก จึงได้เชื่อและยินยอมที่จะติดตามเขาไปยังอาณาจักรปีศาจด้วยกัน
ในตอนนั้นเสี่ยวฝานไม่รู้เลยว่าชายผู้นั้นพาเสี่ยวฝานไปยังอาณาจักรปีศาจได้อย่างไร ในเวลานั้นเสี่ยวฝานกำลังนอนหลับอยู่ แต่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งเสี่ยวฝานก็พบว่าตนเองนั้นอยู่ที่อาณาจักรปีศาจเสียแล้ว แต่ทว่าร่างกายของเสี่ยวฝานนั้นรู้สึกค่อนข้างอ่อนแอ แต่นักเวทย์ผู้นั้นก็บอกว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ชาวอาณาจักรเทพจะรู้สึกอ่อนแอเมื่อเข้ามาอยู่ในเขตของอาณาจักรปีศาจ
เสี่ยวฝานมัวแต่ตื่นเต้นเลยไม่ได้สงสัยอะไรในความผิดปกติที่เกิดขึ้น และเชื่อในสิ่งที่นักเวทย์ผู้นั้นกล่าวมา เพราะนักเวทย์ผู้นั้นดูจะเชี่ยวชาญเรื่องของอาณาจักรเทพและอาณาจักรปีศาจเป็นอย่างดี
หลังจากนั้นนักเวทย์และเสี่ยวฝานก็ได้เดินทางเข้าไปในตัวเมืองของอาณาจักรปีศาจด้วยกัน เมื่อเดินทางมาจนถึงตัวเมืองของอาณาจักรปีศาจ นักเวทย์ก็ขอตัวไปตามหาสิ่งที่ตนเองต้องการ
เพราะว่าเรื่องราวมันก็ผ่านมานานมากแล้วเสี่ยวฝานเองก็จำลักษณะของเมืองในอาณาจักรปีศาจได้ไม่แม่นยำนัก รู้เพียงแต่ว่ามันเป็นอาณาจักรที่แตกต่างจากอาณาจักรมนุษย์และอาณาจักรเทพอย่างมาก อาณาจักรปีศาจนั้นทั้งมืดแล้วก็หนาวเย็นอย่างมาก และในหนึ่งวันนั้นก็แทบจะไม่มีแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาให้ความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นก็ทำให้เสี่ยวฝานไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนั้นตนเองอยู่ในเมืองปีศาจมากี่วัน
ในตัวเมืองของอาณาจักรปีศาจนั้นมีปีศาจที่หน้าตาแปลกประหลาดไปจากชาวอาณาจักรเทพ และมนุษย์เดินอยู่ทั่วไปหมด และเพราะว่าปีศาจที่เดินอยู่ทั่วไปนั้นเป็นเพียงปีศาจชั้นต่ำและชั้นกลาง พวกเขาจึงไม่สามารถที่จะแปลงกายให้มีรูปลักษณ์เหมือนกับมนุษย์ได้ ระหว่างที่เดินทางนั้นเสี่ยวฝานจึงจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังอย่างมากเพราะปีศาจบางตัวก็มีขนาดตัวที่ค่อนข้างใหญ่ไปตามลำดับชั้นของมันหากว่าเสี่ยวฝานไม่ระวังก็อาจจะถูกเหยียบเอาโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้
เสี่ยวฝานเดินเที่ยวในตัวเมืองปีศาจโดยที่ไม่สนใจวันเวลาเลยแม้แต่น้อย รู้ตัวอีกทีเสี่ยวฝานก็รู้สึกเหนื่อยอ่อนลงมาก คาดว่าเป็นเพราะว่าเสี่ยวฝานนั้นอยู่ในอาณาจักรปีศาจนานจนเกินไป และอย่างที่รู้กันว่าชาวอาณาจักรเทพนั้นมีจุดอ่อนตรงที่จำเป็นจะต้องถูกแสงแดด มิเช่นนั้นพลังของชาวอาณาจักรเทพจะเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ และคงจะต้องตายไปในที่สุด เสี่ยวฝานเมื่อมาอยู่ในอาณาจักรเทพแล้วมันไม่ได้ต้องแสงอาทิตย์เลย หากว่าเป็นเช่นนี้นานไปกว่านี้มันคงจะต้องตายอยู่ที่อาณาจักรปีศาจเป็นแน่
โชคดีเหลือเกินที่ในเวลานั้นนักเวทย์ผู้นั้นก็กลับมาพอดี แต่ทว่าท่าทางของเขานั้นดูจะเร่งรีบที่จะพาเสี่ยวฝานออกไปจากอาณาจักรปีศาจ
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้หนีออกจากอาณาจักรปีศาจไปนั้น เสี่ยวฝานและนักเวทย์ผู้นั้นก็ถูกรายล้อมไปด้วยปีศาจชั้นสูงที่ถูกราชาปีศาจส่งมา ปีศาจพวกนั้นต้องการที่จะให้เสี่ยวฝานและนักเวทย์คืนของสิ่งนั้นมาให้พวกเขา เสี่ยวฝานไม่รู้ว่าของสิ่งนั้นคืออะไร แต่ดูท่าว่าจะเป็นของที่นักเวทย์ผู้นั้นขโมยมา
นักเวทย์ผู้นั้นไม่ยินยอมที่จะคืนของสิ่งนั้นให้ และได้เข้าต่อสู้กับปีศาจชั้นสูงเหล่านั้น
ทั้งที่ปีศาจชั้นสูงเหล่านั้นมีจำนวนที่มากกว่า แต่ทว่านักเวทย์ผู้นั้นกลับดูจะไม่เสียเปรียบเลยแม้แต่น้อย เขาสามารถต่อสู้กับเหล่าปีศาจชั้นสูงได้อย่างสูสีเลยทีเดียว
ระหว่างที่เสี่ยวฝานสนใจการต่อสู้ตรงหน้าอยู่นั้น ภาพทั้งหมดก็เริ่มที่จะพร่าเลือนไปเรื่อยๆ สิ่งสุดท้ายที่เสี่ยวฝานเห็นก็คือภาพของนักเวทย์ผู้นั้นที่กำลังอุ้มเสี่ยวฝานอยู่ รู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีมันก็เข้าไปอยู่ในปิ่นชิ้นนั้นเสียแล้ว
เมื่อฟังจบแล้ว หลินหลันก็เงียบไปครู่หนึ่งอย่างครุ่นคิด เสี่ยวฝานจึงได้เอ่ยต่อ
‘เพราะในเวลานั้นข้าเองก็ไม่ได้สติ ข้าจึงไม่รู้ว่าข้ามาอยู่ในปิ่นชิ้นนี้ได้อย่างไร แต่คาดว่าน่าจะเป็นนักเวทย์ผู้นั้นที่ช่วยเหลือข้าเอาไว้’ เสี่ยวฝานเงยหน้าขึ้นมามองหลินหลันแล้วเอ่ยต่อด้วยสีหน้าจริงจัง ‘จริงสิ ความจริงแล้วในตอนที่เกิดระเบิดที่ตลาดแห่งนั้น ข้าได้กลิ่นคาถาด้วย’
“กลิ่นคาถาอย่างนั้นหรือ” หลินหลันเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ นางไม่คิดว่าจะมีนักเวทย์อยู่ในอาณาจักรมนุษย์อยู่อีก เพราะจากที่นางเคยรู้มานั้น อาณาจักรเทพนั้นตัดขาดกับอาณาจักรมนุษย์เป็นร้อยปีแล้ว นักเวทย์ทั้งหมดก็น่าจะกลับอาณาจักรเทพไปจนหมด ไม่น่าจะมีหลงเหลืออยู่ในอาณาจักรมนุษย์ได้อีก
‘ใช่ ในตอนแรกข้าเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าใดนัก เพราะว่ากลิ่นนั้นมันเหมือนกับกลิ่นคาถาแต่ทว่าข้าก็ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นกลิ่นคาถาจากเผ่าใด ในคราแรกข้าคิดว่าข้าคงจะเข้าใจผิดไปเอง แต่เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ก่อนที่ข้าจะติดอยู่ในปิ่นนั่น ข้าก็นึกออกว่าข้าเคยได้กลิ่นนั้นมาจากที่ใด…’
“หมายความว่า…”
‘กลิ่นนั้น…มันเป็นกลิ่นเดียวกันกับกลิ่นคาถาของนักเวทย์ผู้นั้นไม่ผิดแน่’
“เช่นนั้นหมายความว่านักเวทย์ผู้นั้น อาจจะอยู่ในกลุ่มคนที่ยังอยู่ในตรอกนั้นพร้อมกับพี่ใหญ่อย่างนั้นหรือ”
‘เรื่องนั้นมันไม่น่าจะเป็นไปได้’ เสี่ยวฝานพูดออกมาอย่างเคร่งเครียด ‘นักเวทย์ที่เก่งกาจนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างของตนเองได้ เพียงแต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ไม่ว่าจะมีความสามารถมากเพียงใด…นั่นคือสัญลักษณ์ประจำตัว’
เสี่ยวฝานอธิบายให้หลินหลันฟังว่านักเวทย์แต่ละคนนั้นมีสัญลักษณ์ประจำตัวที่แตกต่างกัน เสี่ยวฝานเองก็ไม่แน่ใจว่าตำแหน่งของสัญลักษณ์ประจำตัวมันเลือกได้อย่างไร เพราะนักเวทย์แต่ละคนไม่สามารถกำหนดตำแหน่งของสัญลักษณ์ประจำตัวด้วยตนเองได้
สัญลักษณ์ประจำตัวนักเวทย์นั้นจะถูกกำหนดไว้หลังจากที่พลังเวทย์ของนักเวทย์ผู้นั้นตื่นขึ้นมา
ถึงจะเรียกว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวนักเวทย์ก็เพียงแค่ตำแหน่งหนึ่งของร่างกายที่จะเปลี่ยนสีไปเพียงเท่านั้น เช่นนักเวทย์บางคนเพียงแต่มีผมปอยหนึ่งที่เปลี่ยนสีไปหรือจะเส้นผมทั้งหมดที่เปลี่ยนแปลงไป หรือบางคนก็อาจจะมีส่วนหนึ่งของดวงตาที่เปลี่ยนสีไปจากเดิมหรืออาจจะเปลี่ยนไปทั้งหมด นั่นขึ้นอยู่กับระดับของพลังเวทย์ของคนผู้นั้น ยิ่งพลังสูงเท่าไหร่สัญลักษณ์ประจำตัวนักเวทย์ก็จะยิ่งขยายใหญ่เท่านั้น
‘นักเวทย์ผู้นั้น หากว่าเขาอยู่ในกลุ่มองครักษ์ที่ยังคงอยู่ในตรอกนั้นกับพี่ชายของเจ้าแล้วละก็เจ้าก็คงจะสังเกตเห็นเขาแล้วล่ะ’
“ทำไมล่ะ”
‘เพราะว่าสัญลักษณ์ประจำตัวนักเวทย์ของนักเวทย์ผู้นั้นคือดวงตาน่ะสิ…ดวงตาของเขาเป็นสีเทาสว่างเสียจนเห็นได้ชัดเลยน่ะสิ’ เสี่ยวฝานเอ่ย
(ต่อตรงนี้)
“สีเทาสว่าง หมายถึงสีเทาอ่อนอย่างนั้นหรือ” หลินหลันเอ่ยถามเสี่ยวฝานอย่างไม่ค่อยแน่ใจในความหมายที่เสี่ยวฝานต้องการจะสื่อเท่าไหร่นัก
‘ไม่ใช่’ เสี่ยวฝานพูดพลางส่ายหน้าเล็กน้อย ‘ดวงตาของชายผู้นั้นเป็นสีเทาสว่าง แม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่ที่มืดมิดก็ยังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน และยิ่งในยามที่เขาร่ายคาถาดวงตาของเขาก็ยิ่งสว่างไสวมากขึ้นไปอีก ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดมีดวงตาเช่นนั้นมาก่อนเลยล่ะ’
“เจ้าบอกว่าดวงตาของเขาเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของนักเวทย์ แล้วเหตุใดเจ้าจึงบอกว่าไม่เคยเห็นดวงตาเช่นนั้นมาก่อน หรือว่าไม่มีผู้อื่นมีสัญลักษณ์ประจำตัวของนักเวทย์ที่ดวงตาเลยอย่างนั้นหรือ”
‘ไม่ใช่หรอก เพียงแต่ว่าสัญลักษณ์ของนักเวทย์ที่ข้าเคยเห็นมานั้น ไม่เคยมีผู้ใดที่มีสัญลักษณ์ประจำตัวของนักเวทย์ที่สามารถเปล่งแสงออกมายามร่ายคาถาเลยแม้แต่คนเดียวน่ะสิ’
แต่ก่อนที่หลินหลันจะทันได้ถามอะไรต่อไป เจียงอวี้ก็เข้ามาในห้องเสียก่อน ทำให้เสี่ยวฝานรีบกระโดดกลับเข้าไปในร่างของหลินหลันในทันที
“คุณหนูเจ้าคะ คุณชายใหญ่ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ งั้นเรารีบไปหาพี่ใหญ่กันเถิด” หลินหลันรีบลุกขึ้นมาจากเตียงแล้วเดินไปยังประตูในทันที แต่เมื่อเห็นว่าเจียงอวี้มิได้เดินตามมาในทันที แต่กลับจ้องไปยังเตียงที่หลินหลันเพิ่งจะลุกขึ้นมานั่นอย่างครุ่นคิด หลินหลันจึงได้เอ่ยเร่ง
“เจียงอวี้เหม่ออะไรอยู่เล่า รีบตามข้ามาเร็วสิ”
แล้วหลินหลันก็เดินออกจากห้องนอนของตนเองไปในทันที
…ดูเหมือนว่าเมื่อครู่นี้เจียงอวี้จะเห็นเสี่ยวฝานด้วยกระมัง…
“พี่ใหญ่ฟื้นแล้ว พี่ใหญ่เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” เสียงของหวานใสดังขึ้นมาจากในห้องนอน คือสิ่งแรกที่หลินหลันได้ยินทันทีที่มาเหยียบที่เรือนของหลันเฟิ่งซือ ทำให้หลินหลันเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างประหลาดใจที่มีคนที่นางไม่คิดว่าจะอยู่ในห้องนั้นกับหลันเฟิ่งซือด้วย
หลินหลันได้ยินหลันเฟิ่งซือเอ่ยตอบหลันเหม่ยอิงอย่างสุภาพขณะที่นางกำลังเดินเข้าไปในห้อง
“พี่ใหญ่” หลินหลันทำความเคารพหลันเฟิ่งซือ ก่อนที่จะเดินไปยืนข้างๆ หลันเหม่ยอิงที่ข้างเตียงของหลันเฟิ่งซือ “ยังเจ็บตรงไหนอยู่หรือไม่”
“เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ถามข้าพร้อมๆ กันข้าจะได้ตอบทีเดียว” หลันเฟิ่งซือพูดพลางยิ้มให้หลินหลันและหลันเหม่ยอิง “ข้าสบายดีไม่เป็นอะไรแล้ว เมื่อครู่นี้ท่านหมอก็เพิ่งจะตรวจข้าเสร็จไปเอง ให้ข้าไปซ้อมกับพวกทหารในตอนนี้ก็ยังได้”
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่าพี่ใหญ่ควรจะพักผ่อนให้มากนะเจ้าคะไม่ควรที่หักโหมเท่าไรนัก” หลันเหม่ยอิงนั้นชิงตอบไปก่อนที่หลินหลันจะทันได้พูดอะไร “ว่าแต่พี่ใหญ่เจ้าคะ มีสิ่งใดที่พี่ใหญ่อยากจะทานหรือไม่เจ้าคะ ครั้งหน้าที่น้องมาเยี่ยมน้องจะได้ทำมาให้”
หลันเฟิ่งซือยิ้มให้หลันเหม่ยอิงก่อนที่จะเอ่ยปฏิเสธไปอย่างสุภาพ
หลังจากนั้นหลันเหม่ยอิงก็เอาแต่ชวนหลันเฟิ่งซือคุยไม่หยุดไม่หย่อนจนหลินหลันนั้นไม่มีโอกาสได้พูดแทรกเลยแม้แต่น้อย
หลินหลันนั้นยืนฟังเรื่องทั้งคู่คุยกันอยู่เงียบด้วยความประหลาดใจ เพราะเมื่อหลันเหม่ยอิงนั้นเอ่ยถามเรื่องสาเหตุที่หลันเฟิ่งซือถูกทำร้ายนั้น เขากลับบอกว่าเขาจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะหมดสติไปไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“พี่ใหญ่จำสิ่งใดไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือเจ้าคะ ว่าพี่ใหญ่หมดสติไปได้อย่างไร” หลันเหม่ยอิงเอ่ยถามย้ำอีกครั้งอย่างไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรนัก
“พี่บอกแล้วอย่างไรว่าพี่จำสิ่งใดไม่ได้เลยแม้แต่น้อย” หลันเฟิ่งซือเอ่ยตอบ พลางยกมือขึ้นกุมศีรษะตัวเองข้างหนึ่ง “สิ่งสุดท้ายที่พี่จำได้ก็คือตอนที่พี่ยังอยู่ที่ชายแดน พี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“จำไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือเจ้าคะ” หลินหลันขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ไม่เลย” หลันเฟิ่งซือส่ายหน้าเบาๆ ขณะที่ตอบ หลินหลันมองเข้าไปในดวงตาของเขา นางก็เห็นว่าดวงตาของเขานั้นดูสับสน และดูไม่เหมือนคนที่กำลังโกหกอยู่เลยแม้แต่น้อย “พี่ไม่เข้าใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ที่จริงแล้วพี่ควรที่จะอยู่ที่ชายแดน พี่ไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำไป พี่คงจะต้องกลับแล้ว ก่อนที่…”
หลันเฟิ่งซือทำท่าจะลุกขึ้นจากเตียง แต่ทว่าทันทีที่เท้าของเขาสัมผัสกับพื้นไม้ เขาก็ยกมือขึ้นกุมศีรษะอย่างปวดร้าว ก่อนที่เขาจะทรุดตัวลงไปกับพื้นอย่างรวดเร็ว จนทั้งหลินหลันและหลันเหม่ยอิงที่ยื่นอยู่ใกล้ๆ นั้นคว้าตัวเขาเอาไว้ไม่ทัน
“พี่ใหญ่เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ” ทั้งหลินหลันและหลันเหม่ยอิงรีบวิ่งเข้าไปพยุงหลันเฟิ่งซือที่ยังนั่งอยู่กับพื้นในทันทีทันที
“ข้าจะรีบให้คนไปตามท่านหมอกลับมา”
หลินหลันทำท่าจะลุกขึ้น แต่แล้วหลันเฟิ่งซือก็จับแขนของหลินหลันเอาไว้แน่น ท่าทางของเขาดูเหมือนพยายามที่จะต่อสู้กับอะไรบางอย่างภายใน ใบหน้าของเขามีเหงื่อเม็ดเล็กๆ เกาะอยู่เต็มไปหมดคล้ายคนที่กำลังทรมาน หลันเฟิ่งซือส่ายหน้าเบาๆ ให้หลินหลันก่อนที่จะเอ่ยออกมาอย่างกระท่อนกระแท่นด้วยน้ำเสียงที่เบาราวกับเสียงกระซิบ
“อย่า…เชื่อ…ข…” พูดได้เพียงเท่านั้น หลันเฟิ่งซือก็ปวดศีรษะมากขึ้นเสียจนเขาไม่สามารถพูดอะไรต่อได้ หลินหลันและหลันเหม่ยอิงจึงได้พยุงตัวหลันเฟิ่งซือขึ้นไปนอนที่เตียงเช่นเดิม
“พี่ใหญ่ท่านรออีกเล็กน้อยท่านหมอกำลังมาแล้ว”
“ไม่…เจ้า…ไม่เข้าใจ…ข้า…อ๊ากกก” หลันเฟิ่งซือกุมศีรษะตัวเองแน่นก่อนที่จะสลบไปอีกครั้ง
หลินหลันตรวจดูให้แน่ใจอีกครั้งว่าเขายังหายใจอยู่แน่นอน
ก่อนที่เขาจะสลบไปหลินหลันเห็นเขาขยับปากเป็นคำสามคำสั้นๆ ในมุมที่มีเพียงนางเท่านั้นที่จะมองเห็น
‘ข้าขอโทษ’
นั่นมันหมายความว่าอย่างไรกัน
หลังจากนั้นไม่นานท่านหมอก็กลับมาตรวจดูอาการของหลันเฟิ่งซืออีกครั้งหนึ่ง ท่านหมอยังคงบอกเหมือนเดิมว่าร่างกายของหลันเฟิ่งซือนั้นปลอดภัยดีทุกอย่าง ส่วนเรื่องที่เขาจำอะไรไม่ได้นั้นอาจจะเป็นเพียงอาการชั่วคราวเท่านั้น อีกไม่นานก็คงจะหายเป็นปกติ
หลังจากนั้นหลินหลันก็ให้คนไปส่งท่านหมอ และนางก็คิดที่จะกลับเรือนเพื่อปล่อยให้หลันเฟิ่งซือได้พักผ่อน แต่ในขณะที่หลินหลันกำลังจะเดินกลับเรือนของตนเองนั้น หลันเหม่ยอิงก็เดินตามมาอย่างไม่ลดละ
“พี่หญิง” หลันเหม่ยอิงเอ่ยเรียกหลินหลัน พลางพยายามสาวเท้าตนเองให้ทัน
หลินหลันเห็นว่าหากว่านางไม่ยอมที่จะหยุดคุยกับหลันเหม่ยอิงในเวลานี้ นางก็คงจะเดินตามตื๊อหลินหลันไปเรื่อยๆ จนถึงเรือน นางจึงได้หยุดเดินแล้ว หันกลับมาหาหลันเหม่ยอิง
“มีอะไรอย่างนั้นหรือ เหม่ยอิง”
“นั่นเป็นฝีมือของพี่หญิงใช่หรือไม่”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร อะไรเป็นฝีมือพี่อย่างนั้นหรือ” หลินหลันมองหน้าหลันเหม่ยอิงอย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก
“ก็พี่หญิงกับพี่ใหญ่ออกไปด้วยกัน แต่ว่าพี่ใหญ่กลับมาพร้อมกับได้รับบาดเจ็บ แต่พี่หญิงกลับไม่เป็นอะไรเลยเช่นนี้…” หลันเหม่ยอิงพูดก่อนที่จะเงียบไปเล็กน้อย “เรื่องแบบนี้ใช่ว่าพี่หญิงจะไม่เคยทำนี่เจ้าคะ”
“เหม่ยอิง อีกไม่กี่ปีเจ้าก็จะถึงวัยปักปิ่นแล้วใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ แต่นี่มันไม่เกี่ยว…”
“จวนจะถึงวัยที่จะได้ออกเรือนแล้ว แต่ยังไม่รู้จักคิดก่อนที่จะพูดอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย”
“ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ”
“หากว่าวันหนึ่งเจ้าแต่งเข้าเป็นอนุที่จวนอื่นไปหากยังทำกิริยาเช่นนี้อยู่วันหนึ่งคงจะถูกฮูหยินของสามีเจ้าสั่งสอนเป็นแน่ ทั้งยังจะทำให้เสื่อมเสียมาจนถึงท่านพ่อเป็นแน่”
“พี่หญิง!!!” ใบหน้าหลันเหม่ยอิงเปลี่ยนเป็นสีแดงสลับกับขาวซีด ด้วยความโกรธแล้วอับอายผสมปนเปกันอยู่ที่ถูกหลินหลันต่อว่า ไม่เพียงแค่ด่าว่านางไม่มีหัวคิดและไร้มารยาทแล้ว ยังจะกล่าวว่านางคงจะได้แต่งเข้าเป็นอนุที่จวนใดจวนหนึ่งก็เพียงเท่านั้น
“หากว่าเจ้ารู้จักคิดสักนิดก็คงจะพอเดาออกว่าที่ไม่เป็นอะไรเลยก็เป็นเพราะว่ามีทั้งพี่ใหญ่แล้วก็บรรดาองครักษ์ช่วยปกป้องข้าอยู่” หลินหลันเมื่อพูดจบก็ไม่รอให้หลันเหม่ยอิงพูดแทรกอะไรเข้ามาอีก นางรีบตัดบทในทันที “หากว่าเจ้ามีเรื่องที่จะพูดเท่านี้ พี่สาวก็คงจะต้องขอตัวก่อน”
เมื่อพูดจบหลินหลันก็ตั้งท่านว่าจะเดินจากไป แต่ก่อนไปนางก็ได้พูดทิ้งท้ายเอาไว้อีกหนึ่งประโยค
“ที่พี่พูดมาเมื่อครู่ก็เพราะว่าพี่หวังดี เพราะพี่เห็นว่าเจ้าทำตัวไม่รู้มารยาทมาหลายคราแล้ว คิดว่ามารดาของเจ้าคงจะสั่งสอนได้ไม่ดีพอเท่าไหร่นัก ข้าผู้เป็นพี่สาวก็เลยคิดว่าควรจะสอนเจ้าเสียหน่อย เจ้าคงจะไม่โกรธพี่สาวหรอกนะ”
พูดจบหลินหลันก็เดินจากไปในทันที และนางก็หวังว่าหลังจากที่นางพูดสิ่งที่นางคิดออกไปหมดแล้วนางจะไม่ต้องเห็นท่าทางที่ไร้มารยาท ปนความเสแสร้งของหลันเหม่ยอิงให้รกหูรกตาอีก
เพราะว่าในเวลานี้หลินหลันรู้สึกอ่อนเพลียจากเหตุการณ์ที่เจอในตลาดอย่างมาก ไม่มีอารมณ์ที่จะมานั่งอดทนกับท่าทางที่น่ารำคาญของหลันเหม่ยอิงอีกต่อไปแล้ว
เย็นวันนั้นราชครูหลันเมื่อกลับถึงจวนก็ต้องได้ยินข่าวร้ายว่าหลันเฟิ่งซือนั้นหมดสติไปหลังจากที่ถูกลอบทำร้ายในตลาด ในขณะที่ออกไปเที่ยวพร้อมกับหลินหลัน
“พี่ชายเจ้าตอนที่ฟื้นขึ้นมาเขามีอาการอย่างไรบ้าง” ราชครูหลันเอ่ยถามหลินหลันขณะที่กำลังทานข้าวกันอยู่
“พี่ใหญ่ก็ดูมึนๆ งงๆ นะเจ้าคะ เห็นว่าสิ่งสุดท้ายที่พี่ใหญ่จำได้ก็คือตอนที่พี่ใหญ่ยังอยู่ที่ชายแดนเจ้าค่ะ” หลินหลันเอ่ยตอบราชครูหลันไป
มื้ออาหารในวันนี้ดูจะแปลกไปเล็กน้อย ข้อแรกก็เพราะว่าหลังจากที่โดนหลินหลันต่อว่าไปแล้ว หลันเหม่ยอิงก็ยังคงเดินทางมาทานอาหารร่วมกันกับราชครูหลันเช่นเคย แต่ต่างกันที่ในเวลานี้ หลันเหม่ยอิงนั้นเอาแต่นั่งเงียบแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารของตนเองไม่พูดไม่จาอะไร
หลังจากที่จบมื้ออาหารหลันเหม่ยอิงก็ขอตัวกลับเรือนของตนเองไปในทันที
ท่าทางของหลันเหม่ยอิงที่ดูแปลกไป ทำให้ราชครูหลันนั้นเอ่ยถามไถ่ แต่เมื่อหลันเหม่ยอิงนั้นกล่าวว่าไม่เป็นอะไร ราชครูหลันก็ไม่ได้สนใจนางอีก แม้ว่าหลันเหม่ยอิงจะแสดงท่าทีว่านางเพิ่งจะถูกหลินหลันรังแกมาก็ตาม
“จริงสิ หลินเออร์ พ่อมีเรื่องที่จะคุยกับเจ้า ตามพ่อไปที่ห้องหนังสือเร็ว”
เมื่อพูดจบราชครูหลันก็เดินนำหลินหลันไปยังห้องหนังสือทันที
TALK
มาช้าแต่มานะ ตอนนี้มาสั้นๆ ก่อนนะคะ ยังปั่นงานอยู่เช่นเคย
TALK 2
มาแล้วจ้าาาา มาพร้อมกับตัวละครที่ทุกคนคิดถึง (หรือเปล่า?) หลันเหม่ยอิงนั่นเองงง มีใครคิดถึงบ้างคะ ช่วงนี้คือหลิงก็พยายามที่จะอัพให้ได้อย่างน้อยก็อาทิตย์ละหนึ่งตอนแต่ก็เขียนไม่ทัน เพราะว่างานเยอะมากจริงๆช่วงนี้ T T
เอาไว้เจอกันตอนหน้านะคะ ;P
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

คิดถึงมากๆ ค่ะ
ค้างงงงงรอตอนต่อไปค่ะ...ขอบคุณค่ะ
สรุปว่าคุณพี่ชายคือนักเวทย์คนนั่น แล้วๆๆๆ ยังไงต่ออ่ะ 5555 รอต่อไปจ้าา
และแต่งต่อจนจบนะคะ รออ่านอยู่เสมอ ขอบคุณมากๆนะคะ