ตอนที่ 19 : บทที่ 18 | ตลาด (1)
บทที่ 18
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินหลันได้ออกมานอกจวน ดังนั้นแม้ว่าหลันเฟิ่งซือจะบอกให้นางนั่งอยู่แต่ในรถม้า แต่นางก็ไม่วายที่จะคอยแอบเปิดม่านออกดูอยู่ตลอด จนหลันเฟิ่งซือที่ขี่ม้าอยู่ภายนอกจะต้องคอยบังคับม้าให้เข้ามาใกล้หน้าต่างเพื่อที่จะเตือนให้หลินหลันปิดม่านลง
เพราะว่าด้วยวัฒนธรรมของแคว้นเว่ยนั้น สตรีที่ยังไม่ออกเรือนจะไม่นิยมที่จะเปิดเผยหน้าตามากนัก เวลาที่ออกไปนอกจวน ดังนั้นเมื่อออกไปนอกจวนสตรีที่นั่งรถม้าก็มักจะต้องปิดม่านให้สนิท หรือไม่แล้วก็จะต้องใช้ผ้าคาดปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งเอาไว้
แต่ทว่าไม่ว่าจะห้ามเท่าไรหลินหลันก็ยังแอบเปิดม่านดูอยู่ตลอด จนท้ายที่สุดหลันเฟิ่งซือต้องเอ่ยขู่ว่าเขาก็ขู่ว่าหากนางยังคงเปิดม่านดูเช่นนี้อีก เขาจะให้คนขับรถม้าหันรถม้ากลับจวนในทันที และจะบอกราชครูหลันมิให้อนุญาตให้นางออกมาเที่ยวเล่นตามใจได้อีกต่อไป
หลินหลันจึงได้ยอมที่จะปิดม่านแล้วนั่งในรถม้าอย่างเรียบร้อย แม้จะรู้สึกไม่พอใจเท่าไรนัก
มันก็คงจะไม่แปลกที่สาวไทยในยุคดิจิตอลอย่างหลินหลันจะรู้สึกตื่นตาตื่นใจเมื่อได้เป็นบ้านเมืองในยุคอดีตด้วยตาของตนเอง
แต่ถ้าหากว่านางไม่ยอมเชื่อฟังหลันเฟิ่งซือแต่โดยดี เห็นทีว่าครั้งหน้านางอาจจะไม่ได้ออกมาเที่ยวเล่นเช่นนี้อีกแน่นอน ดังนั้นหลินหลันจึงเข้ามานั่งดี แล้วนั่งคุยกับเจียงอวี้ไปพลางๆ
นั่งรถม้าได้ไม่นานก็มาถึงตลาด แต่ทว่าในเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่มีผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยกันค่อนข้างมาก ดังนั้นหลินหลันจึงต้องลงจากรถม้าเพื่อที่จะเดินไปยังร้านหนังสือ
ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับนางเท่าไหร่
ออกจะชอบเสียด้วยที่จะได้สัมผัสกับบรรยากาศโดยรอบอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ใช่แค่ได้ยินเสียงผู้คนกับกลิ่นอาหารที่หอมฉุยอยู่บนรถม้านั่น แม้ว่าจะต้องคาดผ้าปิดครึ่งหน้าอยู่ก็ตาม
หลินหลันมองไปโดยรอบ นางก็เห็นว่านอกจากผู้คนที่ออกมาจับจ่ายใช้สอยแล้ว ในบางมุมนางก็มองเห็นว่ามีบัณฑิตบางคนที่หามุมเงียบสงบเพื่อที่จะนั่งอ่านหนังสือ และบางคนก็ออกมาจับกลุ่มเพื่อที่จะติวหนังสือกันอย่างขะมักเขม้น,เขม้นขะมัก
"ดูเหมือนว่าจะใกล้ถึงช่วงสอบจอหงวนอีกแล้วสินะ" หลันเฟิ่งซือเองก็มองไปยังเหล่าบัณฑิตที่ยังคงก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนที่จะเอ่ยออกมา "เห็นแล้วนึกถึงสมัยก่อนเลยทีเดียว"
หลินหลันได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าให้หลันเฟิ่งซือเป็นเชิงรับรู้ โดยที่ไม่ได้ตอบอะไร จากนั้นทั้งสองคนก็เดินต่อไปโดยระหว่างทางหลินหลันก็คอยมองรอบตัวอยู่ตลอดเวลาด้วยความตื่นตาตื่นใจ
บรรยากาศการสอบจอหงวนเช่นนี้ คล้ายกันกับบรรยากาศในช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัยในโลกก่อนของนางไม่น้อย
แต่ทว่าความรู้สึกตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นบรรยากาศที่นางคุ้นเคยในโลกของจีนโบราณเช่นนี้ก็หายไปทันทีที่หลินหลันและหลันเฟิ่งซือเดินมาถึงร้านหนังสือที่หลันเฟิ่งซือตั้งใจที่จะพาหลินหลันมาหาหนังสือที่นางต้องการ
ร้านหนังสือแห่งนี้เป็นร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ทั้งยังมีการรวบรวมหนังสือเอาไว้มากมาย และหากว่าหนังสือเล่มใดที่หาไม่พบในร้านหนังสือแห่งนี้ ก็คงจะหาไม่ได้ในร้านหนังสือร้านอื่นๆ เช่นกัน และหนังสือบางเล่มที่หาได้ในร้านหนังสือแห่งนี้ก็หาไม่ได้ในร้านหนังสือแห่งอื่นในเมือง
นั่นจึงทำให้ร้านหนังสือแห่งนี้ แม้ว่าในเวลาปกตินั้นก็มีคนเข้ามาแวะเวียนซื้อหนังสืออยู่ไม่ขาดสาย แต่ทว่านั่นก็เทียบไม่ได้เลยกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าของหลินหลันในเวลานี้
คงจะเป็นเพราะว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ใกล้จะถึงวันสอบจอหงวนแล้ว ร้านหนังสือแห่งนี้จึงมีบัณฑิตเข้ามาซื้อหนังสือเพื่อที่จะเตรียมสอบอยู่เต็มไปหมดจนกระทั่งพื้นที่ภายในร้านนั้นไม่เพียงพอที่จะรองรับบัณฑิตจำนวนมาก จนทำให้บรรดาบัณฑิตทั้งหลายที่ต้องการที่จะมาซื้อหนังสือที่ร้านหนังสือแห่งนี้จำต้องเข้าแถวเพื่อที่จะเข้าไปในร้าน
นับดูคร่าวๆ แล้วแถวนี้น่าจะยาวมากกว่าหนึ่งร้อยคนทีเดียว ซึ่งหลินหลันคิดว่าหากจะต้องต่อแถวยาวเพียงนี้เพื่อที่จะเข้าร้านกว่าที่จะถึงคิวนางเข้าไปในร้านก็คงจะถึงเวลาปิดร้านพอดี นอกจากนี้แม้ว่าจะเข้าไปในร้านได้แล้ว หลินหลันก็ยังไม่แน่ใจว่านางจะหาหนังสือที่นางต้องการเจอหรือไม่ หลินหลันจึงได้หันไปเอ่ยกับหลันเฟิ่งซือ
"พี่ใหญ่เจ้าคะ น้องว่าเราไปที่ร้านอื่นกันเถิดเจ้าค่ะ ร้านนี้น่าจะมีคนมากไปเสียหน่อย"
"แต่ทว่าร้านหนังสือแห่งนี้ เป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในเมืองแล้ว หากไปร้านอื่นเกรงว่าอาจจะไม่พบหนังสือที่น้องต้องการนะ"
"เช่นนั้นน้องว่าเวลานี้แถวเข้าร้านมันยังยาวอยู่เลย น้องว่าเราลองไปดูร้านอื่นที่คนน้อยกว่านี้เถิดเจ้าค่ะ หากว่าไม่เจอจริงๆ ค่อยกลับมาหาหนังสือที่ร้านนี้หลังจากที่ผ่านช่วงสอบจอหงวนนี้ไปก่อนก็ได้นี่เจ้าคะ" หลินหลันมองหน้าหลันเฟิ่งซืออยู่ครู่หนึ่ง นางก็รู้สึกได้ว่าหลันเฟิ่งซือก็ยังไม่เห็นด้วยกับนางเสียทีเดียว หลินหลันจึงเอ่ยต่อ "พี่ใหญ่เจ้าคะ เชื่อน้องเถิดเจ้าค่ะ หากว่าไม่เจอจริงก็ค่อยกลับมาก็ยังไม่สายหรอกเจ้าค่ะ"
"เช่นนั้นก็ตามใจเจ้าเถิด" หลันเฟิ่งซือได้ยินหลินหลันยืนยันดังนั้น ก็ได้แต่ตามใจนางแม้จะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ก็ตาม
หลังจากนั้นหลินหลันกับหลันเฟิ่งซือก็เดินไปยังร้านหนังสือที่อยู่ใกล้เคียงบริเวณนี้อีกสองสามร้าน ซึ่งแต่ละร้านนั้นแม้จะมีคนอยู่มาก แต่ทว่าก็ไม่ได้มากถึงกับต้องต่อแถวเพื่อเข้าไปเลือกซื้อหนังสือในร้าน ทำให้หลินหลันสามารถเข้าไปเลือกดูหนังสือที่นางต้องการได้
แต่ว่ากลับไม่มีร้านไหนเลยที่มีหนังสือที่เกี่ยวข้องกับสมุนไพรหายากเลยแม้แต่น้อย เมื่อหลินหลันลองไปถามหลงจู๊ที่ดูแลร้านหนังสืออยู่ พวกเขาต่างก็บอกว่าไม่เคยได้ยินชื่อของสมุนไพรชนิดนี้มาก่อนเลยแม้แต่น้อย
ขณะที่ทั้งคู่เดินออกมาจากร้านหนังสือร้านที่สามหลันเฟิ่งซือก็หันมาเอ่ยถามหลินหลันก่อนที่จะเดินไปยังร้านหนังสือร้านที่สี่ที่อยู่ค่อนข้างจะไกลจากบริเวณนี้ไปมากทีเดียว
"เหม่ยหลินเจ้าเดินไหวหรือไม่ หากว่าเจ้าไม่ไหว พี่ว่าเรากลับจวนกันก่อนแล้วค่อยออกมาใหม่ในภายหลัง"
หลันเฟิ่งซือเห็นว่าหลินหลันเพิ่งจะหายป่วยมาได้ไม่นาน หากจะต้องมาเดินตากแดดนานๆ อาจจะไม่ดีสักเท่าไหร่ จึงได้ถามออกมาด้วยความเป็นห่วง แต่ทว่าหลินหลันกลับส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธแล้วเอ่ยว่า
"น้องไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนั้นนะเจ้าคะ เพียงแต่ว่า..."
"อะไรอย่างนั้นหรือ"
"เราก็เดินกันมาตั้งนานแล้ว แต่ทว่ากลับไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องกันเลยนะเจ้าคะ" หลินหลันพูดพลางยิ้มให้หลันเฟิ่งซืออย่างสดใส "เมื่อครู่เราเดินผ่านมาร้านหนึ่ง กลิ่นหอมน่ารับประทานมากเลยเจ้าค่ะ"
"บัวลอยอย่างนั้นหรือ เมื่อครู่นี้เราก็เพิ่งจะทานอาหารกันก่อนที่จะออกมาจากจวนมิใช่หรือ" หลันเฟิ่งซือได้ยินว่าหลินหลันต้องการที่จะหาของกินเขาก็ขมวดคิ้วให้หลินหลันเล็กน้อย
หลินหลันทำหน้ามุ่ยใส่หลันเฟิ่งซือก่อนที่จะตอบกลับไป
"พี่ใหญ่นั่นมันก็ผ่านมานานแล้วนะเจ้าคะ อีกอย่างที่เรากินก่อนออกมาจากจวนนั่นมันเป็นอาหารหลัก เป็นของคาวเจ้าค่ะ แต่ว่าบัวลอยเป็นของหวานมันไม่เหมือนกันเจ้าค่ะ"
"แต่..."
"พี่ใหญ่เคยได้ยินหรือไม่เจ้าคะ เขาว่ากันว่ากินคาวไม่กินหวานสันดานไพร่ น้องไม่อยากเป็นไพร่เราไปกินบัวลอยกันเถิดนะเจ้าคะ"
หลังจากนั้นหลินหลันก็ไม่รอฟังคำปฏิเสธใดๆ จากหลันเฟิ่งซืออีก นางจับแขนเขาแล้วลากไปยังร้านขายบัวลอยด้วยกัน
หลันเฟิ่งซือจึงได้แต่ส่ายหัวให้กับความเอาแต่ใจของหลินหลันเบาๆ แต่ก็ยินยอมที่จะเดินตามนางไปโดยดี ส่วนเจียงอวี้และองครักษ์ที่ตามมานั้นก็ได้แต่เดินตามผู้เป็นนายทั้งสองคนไปด้วย
และเมื่อไปถึงที่ร้านหลินหลันก็เชิญชวนให้คนทั้งหมดมานั่งด้วยกัน แต่ทว่าทั้งเจียงอวี้และบรรดาองครักษ์ที่ตามมายืนยันหนักแน่นว่าพวกเขาจะไม่นั่งโต๊ะเดียวกันกับหลินหลันและหลันเฟิ่งซือ หลินหลันจึงได้แต่ปล่อยให้พวกเขานั่งแยกไปอีกโต๊ะหนึ่งที่อยู่ข้างกัน แล้วจัดแจงสั่งบัวลอยให้ทุกคนที่มาด้วยกันคนละถ้วยโดยที่นางไม่ฟังคำคัดค้านของเจียงอวี้และองครักษ์ที่ตามมาทั้งหลาย
และหลังจากนั่งรออยู่ครู่หนึ่ง บัวลอยที่สั่งเอาไว้ก็เมื่อได้บัวลอยมาแล้ว หลินหลันก็จัดการกินบัวลอยตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อยเสียจนไม่ได้สนใจว่าท่าทางของนางในเวลานี้ดึงดูดสายตาของผู้คนรอบข้างมากเพียงใด
"ดูเจ้ากินสิ ก่อนที่เราจะออกจากจวนมาเจ้ากินอาหารมาไม่อิ่มหรืออย่างไรกิน" หลันเฟิ่งซืออดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา
"อิ่มแล้วเจ้าค่ะ แต่น้องก็บอกแล้วอย่างไรเจ้าคะว่านี่มันของหวานมันต่างกันเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ไม่รู้หรืออย่างไรเจ้าคะว่าผู้หญิงน่ะมีสองกระเพาะกระเพาะหนึ่งสำหรับของคาว อีกกระเพาะสำหรับของหวานเจ้าค่ะ"
"กระเพาะอย่างนั้นหรือ"
หลินหลันเมื่อรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปจึงได้แก้ไขคำพูดของตนเองในทันที
"น้องหมายความว่าสตรีนั้นเมื่ออิ่มจากอาหารหลักแล้ว ก็สามารถทานของว่างได้เรื่อยๆ น่ะเจ้าค่ะพี่ใหญ่"
หลันเฟิ่งซือเมื่อเข้าใจในสิ่งที่หลินหลันพยายามที่จะสื่อเขาจึงได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยออกมาสั้นๆ ว่า "เจ้าตัวตะกละ"
ทำให้หลินหลันมองค้อนหลันเฟิ่งซือแทบไม่ทันเลยทีเดียว
...ตะกละที่ไหนกันเจ้าคะ...
แล้วหลินหลันก็ก้มหน้าก้มตากินบัวลอยต่ออย่างเอร็ดอร่อย บัวลอยที่อยู่ตรงหน้านางนี้เป็นบัวลอยสีขาวเพราะว่าไม่ได้ผ่านการใส่สีผสมอาหารดังเช่นในยุคปัจจุบัน แต่เนื้อของบัวลอยนั้นเหนียวนุ่มเป็นอย่างมาก น้ำเชื่อมที่กินคู่กันก็หวานหอม ทำให้หลินหลันรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก เหมาะที่จะกินหลังจากที่เหนื่อยจากการเดินตามหาหนังสือที่นางต้องการไปทั่วตลาดเป็นอย่างมาก
เมื่อกินเสร็จแล้วหลินหลันที่กำลังจะเดินตามหลันเฟิ่งซือไปที่ร้านหนังสือร้านที่สี่ก็เหลือบไปเห็นป้ายไม้เก่าๆ ที่ไม่สะดุดตาอันหนึ่งที่อยู่ปักอยู่หน้าตรอกฝั่งตรงข้ามของร้านขายบัวลอย อักษรที่เขียนบนป้ายนั้นซีดจางไปบ้างแล้ว แต่ทว่าก็ยังสามารถอ่านคำที่อยู่บนป้ายนั้นได้อยู่บ้าง และเมื่ออ่านได้ว่าป้ายไม้นั้นเขียนว่าอย่างไร หลินหลันก็รีบสะกิดเรียกหลันเฟิ่งซือให้ดูป้ายไม้นั้นในทันที
"พี่ใหญ่เจ้าคะ ดูป้ายไม้ตรงนั้นสิเจ้าคะ"
"ป้ายที่ไหนกัน" หลันเฟิ่งซือพยายามมองตามมือของหลินหลันไป แต่ด้วยความที่ป้ายนั้นมันไม่ค่อยสะดุดตาสักเท่าไรนัก หลันเฟิ่งซือจึงต้องมองหาสักหน่อยถึงจะเจอ "เจ้าหมายถึงป้ายเก่าๆ ตรงนั้นน่ะหรือ"
"ใช่เจ้าค่ะ พี่ใหญ่ดูสิเจ้าคะ ป้ายนั่นมันเขียนว่าคำว่าร้านหนังสืออยู่มิใช่หรือเจ้าคะ"
หลันเฟิ่งซือเพิ่งสายตามองป้ายนั้นสักครู่ก่อนที่จะเอ่ยตอบหลินหลันออกมา
"ดูเหมือนว่าจะใช่นะ" แล้วหลันเฟิ่งซือก็อ่านชื่อที่อยู่บนป้ายออกมา "ไม่ยักรู้ว่าในบริเวณนี้จะมีร้านหนังสืออีก แต่ว่าข้าไม่เคยเห็นได้ยินชื่อ 'ร้านหนังสือชีชู' มาก่อนเลย"
หลินหลันเห็นว่าใต้ชื่อร้านหนังสือชีชูนั้นมีลูกศรอันเล็กซีดจางที่ชี้เข้าไปในตรอกนั้นอยู่ จึงได้เชิญชวนทุกคนเข้าไปด้วยกัน
"พี่ใหญ่เราไปดูกันเถิดเจ้าค่ะ" พูดจบหลินหลันก็เดินตรงเข้าไปยังตรอกนั้นในทันที ท่าทางในการก้าวเดินของหลินหลันนั้นดูจะมั่นใจ ทั้งๆ ที่นางไม่คุ้นเคยกับตรอกนี้เลยแม้แต่น้อย
หลินหลันรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่บอกกับหลินหลันว่านางควรที่จะเข้าไปในตรอกนี้ ดังนั้นนางจึงเดินเข้าไปในตรอกโดยไม่ลังเลโดยที่ไม่ฟังคำคัดค้านจากทั้งหลันเฟิ่งซือและเจียงอวี้เลยแม้แต่น้อย
เพราะว่าตรอกแห่งนี้ดูไม่น่าไว้ใจสักเท่าไหร่ หลันเฟิ่งซือจึงให้เจียงอวี้พร้อมกับองครักษ์อีกคนหนึ่งไปตามคนขับรถม้ามา เผื่อว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา
แล้วหลันเฟิ่งซือกับองครักษ์ที่เหลือก็เดินตามหลินหลันไปในทันที
เมื่อเดินเข้ามาภายในตรอกแล้ว หลินหลันก็รู้สึกว่าตรอกแห่งนี้มันค่อนข้างจะมืดและวังเวงอยู่มาก ตรงกันข้ามกับพื้นที่ภายนอกที่มีชีวิตชีวา มีผู้คนมากมายเดินขวักไขว่กับเต็มไปหมด
ภายในตรอกนั้นเต็มไปด้วยร้านรวงที่ปิดตัวลงไปแล้วมากมายเรียงรายกันอยู่เต็มไปหมด ทั้งร้านเครื่องประดับ ร้านขายสมุนไพร หรือกระทั่งร้านขายเครื่องใช้ในบ้าน
แต่ทว่ากลับยังไม่เห็นร้านหนังสือเลยแม้แต่ร้านเดียว
เมื่อเดินมาได้สักพัก แต่ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะมีร้านหนังสือแต่อย่างใด หลันเฟิ่งซือที่สีหน้าดูจะเคร่งเครียดมากขึ้นหลังจากที่เข้ามาในตรอกนี้จึงได้เอ่ยขึ้นมา
"เหม่ยหลิน พี่ว่าเรากลับกันเถิด ร้านหนังสือที่ว่าก็อาจจะปิดไปแล้ว เช่นร้านอื่นๆ ในตรอกนี้ก็เป็นได้"
เมื่อได้ยินสิ่งที่หลันเฟิ่งซือเอ่ยมา หลินหลันเองก็ค่อนข้างที่จะเห็นด้วย และนางเองก็เริ่มไม่แน่ใจเช่นกันว่าร้านหนังสือตามป้ายนั่นจะยังเปิดอยู่หรือไม่ เพราะไม่แน่ว่าป้ายนั่นอาจจะเป็นป้ายเก่าก่อนที่ร้านหนังสือแห่งนี้จะปิดไปก็เป็นได้ ส่วนตัวร้านในเวลานี้ก็คงจะปิดไปเช่นเดียวกับร้านอื่นๆ ในตรอกนี้ แต่ก่อนที่หลินหลันจะทันได้ตอบอะไรกลับไป สายตาของนางก็ไปสะดุดเข้ากับแสงไปดวงเล็กๆ ที่ส่องสว่างอยู่ไม่ไกลจากจุดที่พวกนางยืนอยู่
"พี่ใหญ่เจ้าคะดูเหมือนว่าตรงนั้นจะมีอะไรอยู่ด้วยนะเจ้าคะ" หลินหลันชี้ไปยังดวงไฟที่นางมองเห็นให้หลันเฟิ่งซือดู ก่อนที่นางจะเดินตรงไปยังดวงไฟดวงนั้นที่นางเห็น
เมื่อเข้าไปใกล้ หลินหลันจึงได้รู้ว่าแสงไปดวงเล็กๆ ที่นางเห็นเมื่อครู่นั้นส่องสว่างออกมาจากตะเกียงน้ำมันที่ตั้งอยู่ที่หน้าร้านร้านหนึ่งที่กำลังเปิดอยู่ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นร้านเดียวในตรอกแห่งนี้เลยก็ว่าได้
ร้านแห่งนี้ แม้ว่าจะมีสภาพที่ดูจะเก่ามาก แต่ทว่ากลับดูสะอาดสะอ้าน ภายในร้านนั้นเต็มไปด้วยหนังสือมากมาย ตั้งแต่บนชั้นไปจนถึงพื้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นหนังสือทั้งนั้น
หลินหลันก็ค่อนข้างมั่นใจว่าที่นี่จะต้องเป็นร้านหนังสืออย่างแน่นอน
แต่ทว่าในร้านกลับไม่มีลูกค้าอยู่เลยแม้แต่คนเดียวทั้งที่ช่วงเวลานี้กระทั่งร้านหนังสือร้านที่เล็กที่สุดในเมืองก็ยังมีลูกค้าเข้าออกไม่ขาดสาย หลินหลันคาดว่าสาเหตุน่าจะมาจากทำเลของร้านที่ตั้งอยู่ในตรอกมืดๆ ที่ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจร ทำให้ร้านนี้ไม่เป็นที่รู้จักมากนัก
หลินหลันก้าวเดินเข้าไปในร้านอย่างเงียบเชียบ นางลองมองไปรอบร้านก็ได้แต่แปลกใจที่ไม่เห็นว่าในร้านนี้จะมีใครเฝ้าอยู่เลยแม้แต่น้อย
"มีใครอยู่หรือไม่เจ้าคะ" หลินหลันลองส่งเสียงเรียกดูแต่ทว่ากลับไม่มีเสียงผู้ใดตอบกลับมาเลยแม้แต่คนเดียว หลันเฟิ่งซือเห็นเป็นเช่นนั้นจึงคิดที่จะชวนหลินหลันกลับ
"เหม่ยหลินพี่ว่า..."
แต่ทว่าก่อนที่หลันเฟิ่งซือจะทันได้พูดอะไรต่อก็มีเสียงแหบๆ ของชายแก่ดังออกมาจากหน้าร้านเสียก่อน
"พวกเจ้าน่ะ" หลินหลันหันมองไปตามเสียงนั้นก็พบว่าเป็นเสียงของชายแก่ผู้หนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะเก็บเงินตรงหน้าร้าน แต่ทว่าน่าแปลกมากทั้งที่พวกเขานั้นได้เดินผ่านตรงหน้าร้านนั้นมาแล้วแต่ทว่ากลับไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นชายแก่ผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย
ชายแก่ผู้นั้นกวาดตามองกลุ่มคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่อย่างประเมินเล็กน้อย ก่อนที่เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ
"พวกเจ้ามาซื้อหนังสืออย่างนั้นหรือ"
"ใช่แล้วเจ้าค่ะ" หลินหลันก็พยักหน้าเล็กน้อย แม้ว่าหลินหลันจะแปลกใจแต่นางก็ทำเพียงแค่เอ่ยถามต่อไปเท่านั้น ก่อนที่จะเอ่ยต่อ "ท่านเป็นหลงจู๊ใช่หรือไม่เจ้าคะ พอดีว่าพวกเราต้องการหนังสือเกี่ยวกับสมุนไพรหายากที่ชื่อว่าว่านมิติวิญญาณเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าที่นี่มีหรือไม่"
"ว่านมิติวิญญาณอย่างนั้นหรือ" ชายแก่กล่าวก่อนที่จะลุกขึ้นยืน "ตามข้ามาสิ"
แล้วชายแก่ก็เดินนำหลินหลันเข้าไปหลังร้านในทันที หลินหลันกำลังจะเดินตามชายแก่คนนั้นไปแต่ทว่าหลันเฟิ่งซือกลับห้ามหลินหลันเอาไว้และกระซิบเสียงเบา
"เดี๋ยวก่อนเหม่ยหลิน เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกอย่างนั้นหรือ"
"แปลกอย่างไรหรือเจ้าคะ"
"ก็ทั้งที่ในเวลานี้เป็นใกล้สอบจอหงวน ร้านหนังสือร้านอื่นๆ ก็ล้วนแล้วแต่มีลูกค้าอยู่เต็มไปหมด แต่ทว่าร้านนี้กลับไม่มีลูกค้าแม้แต่คนเดียว"
"ไม่เห็นจะแปลกเลยเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ท่านคิดมากไปหรือไม่" หลินหลันพูดก่อนที่จะเงยหน้ามองหลันเฟิ่งซือ นั่นทำให้หลันเฟิ่งซือเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าดวงตาของหลินหลันนั้นเปลี่ยนไปกลายเป็นสีแดงเข้มจนเกือบดำ หากไม่เพราะว่าตอนนี้หลินหลันเงยหน้าขึ้นมองหลันเฟิ่งซือ ทำให้แสงจากโคมไฟเหนือหัวนั้นตกกระทบกับดวงตาของหลินหลัน หลันเฟิ่งซือก็คงจะไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้
"เหม่ยหลิน ตาของเจ้า..." หลันเฟิ่งซือพูดได้เพียงเท่านั้นก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นอีกว่าที่บริเวณไรผมใกล้กับขมับข้างขวาของหลินหลันดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งเกาะอยู่
และดูเหมือนว่ามันจะเป็นแมงมุมสีดำ
เพราะว่าสีของแมงมุมตัวนั้นคล้ายคลึงกับสีผมของหลินหลันทำให้หลันเฟิ่งซือนั้นไม่สังเกตเห็นตั้งแต่ต้น
หลันเฟิ่งซือเอื้อมมือไปคว้าแมงมุมตัวนั้นออกมาทันที หลินหลันแม้จะพยายามปัดมือของหลันเฟิ่งซือออกแต่ทว่าความเร็วของทั้งคู่ก็ต่างกันมาก ทำให้หลินหลันไม่สามารถปัดป้องมือของหลันเฟิ่งซือออกไปได้
เมื่อแมงมุมตัวนั้นออกมาแล้วหลินหลันก็ทรุดตัวลงคล้ายจะเป็นลม หลันเฟิ่งซือจึงต้องรีบคว้าตัวหลินหลันเอาไว้เสียก่อนที่นางจะลงไปกองลงกับพื้น
"พี่ใหญ่ ที่นี่คือที่ใดกันเจ้าคะ" หลินหลันมองไปรอบตัวอย่างสับสน ในเวลานี้สีตาของหลินหลันกลับมาเป็นสีดำเช่นเดิมแล้ว หลันเฟิ่งซือจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนที่พยุงหลินหลันให้ยืนด้วยตัวเอง
"เอาไว้พี่ค่อยเล่าให้เจ้าฟังเวลานี้เราควรที่จะออกไปจากที่นี่ก่อน"
'เหม่ยหลิน เหม่ยหลิน เจ้าได้ยินข้าหรือไม่' ระหว่างนี้ก็มีเสียงของเสี่ยวฝานดังขึ้นในหัวของหลินหลัน
'ได้ยิน'
'เจ้าตัวนี้มันน่าจะเป็นปีศาจแมงมุม เมื่อครู่มันควบคุมเจ้าอยู่ ตอนนี้ได้โอกาสแล้วเจ้ารีบหนีเร็วเข้า'
เมื่อได้ยินดังนั้นหลินหลันก็พยักหน้าให้หลันเฟิ่งซือ แล้วรีบเดินตามหลันเฟิ่งซือออกไปในทันที แต่ทว่าก่อนที่ทั้งสองคนจะทันได้เดินออกจากร้านไป ก็ปรากฏร่างของชายแก่ที่เมื่อครู่ได้เดินนำทั้งคู่ไปที่ชั้นหนังสือที่อยู่ลึกเข้าไปทางหลังร้าน มาขวางคนทั้งคู่เอาไว้
"พวกเจ้าจะรีบไปที่ใดกันอย่างนั้นหรือ" ชายแก่เอ่ยถาม
"พวกข้าคงจะต้องขอตัวก่อนตัวเหมือนว่าน้องสาวของข้าจะไม่ใคร่สบาย"
"ข้าพอจะเป็นวิชาแพทย์อยู่บ้างให้ข้าดู..." ชายแก่คนนั้นพยายามที่จะยื่นมือเข้ามาใกล้หลินหลันแต่ทว่าก็ถูกหลันเฟิ่งซือปัดออก
"อ๊ากกก" ชายแก่นั้นเมื่อถูกปัดมือออกก็ร้องออกมาทันที พลางกุมมือที่ถูกปัดทิ้งอย่างเจ็บปวด ก่อนที่ชายแก่จะเงยหน้ามองหลันเฟิ่งซือพลางชี้หน้าเขาด้วยสีหน้าโกรธแค้น "เจ้าทำอะไรข้า"
เมื่อนั้นหลินหลันก็สังเกตเห็นว่ามือของชายแก่นั้นมีรอยไหม้ในบริเวณที่ที่ถูกหลันเฟิ่งซือปัดออก ก่อนที่ผิวบริเวณนั้นของชายแก่จะกลายเป็นเกล็ดละเอียดสีดำสนิท
"เจ้ากล้า..."
และแล้วใบหน้าของชายแก่นั้นก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่มันจะเริ่มบิดเบี้ยวจนดูไม่คล้ายใบหน้าของมนุษย์ ตาดำของชายแก่เริ่มที่จะขยายใหญ่จนมองไม่เห็นตาขาวก่อนที่มันจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับเลือด ผิวหนังที่เหี่ยวย่นของชายแก่ก็ถูกแทนที่ด้วยเกล็ดละเอียดสีดำสนิทริมฝีปากของมันก็เริ่มจะเหยียดออกกว้างขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายของมันก็เปลี่ยนแปลงไป แขนและขาของชายแก่เริ่มที่จะยืดยาวออก ลำตัวของชายแก่ก็เปลี่ยนแปลงไปจนคล้ายกับแมงมุมหลังแดง
"พวกนอกรีตอย่างพวกเจ้ากล้าดีย่างไรมาทำร้ายปีศาจสายเลือดบริสุทธิ์อย่างข้า" เสียงของปีศาจแมงมุมก็เปลี่ยนแปลงไปจะเสียบแหบแห้งของชายแก่ก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นเสียงเล็กแหลมแทน
ดวงตาสีแดงราวกับเลือดของมันจับจ้องอยู่ที่ร่างของหลันเฟิ่งซืออย่างโกรธแค้น
หลันเฟิ่งซือเห็นว่าท่าไม่ดีจึงได้รีบดันตัวหลินหลันให้ออกห่างจากตนทันที ก่อนที่ร่างของปีศาจแมงมุมนั้นจะเริ่มโจมตีไปที่หลันเฟิ่งซือ
ระหว่างนั้นหลันเฟิ่งซือและบรรดาองครักษ์ทั้งหลายก็พยายามที่จะต่อสู้กับปีศาจแมงมุม ในคราแรกทางฝั่งของหลันเฟิ่งซือนั้นก็ดูจะได้เปรียบ แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่นานปีศาจแมงมุมก็ส่งเสียงร้องออกมา แล้วบรรดาหนังสือที่อยู่บนชั้นวางนั้นก็กลายร่างเป็นแมงมุมขนาดประมาณสองฝ่ามือ
แล้วแมงมุมเหล่านั้นก็เริ่มที่จะเข้ามาต่อสู้ด้วย ทำให้ทางฝั่งของหลันเฟิ่งซือเริ่มที่จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ทางด้านหลินหลันเองก็ไม่ต่างกัน นางพยายามที่จะหลบบรรดาแมงมุมที่เข้ามาใกล้ ทั้งยังได้พยายามที่จะหยิบเอาของที่ใกล้มือออกไปโยนใส่บรรดาแมงมุมที่จะเข้ามา
และเมื่อแมงมุมตัวน้อยถูกฆ่า ปีศาจแมงมุมก็กรีดร้องอย่างเจ็บปวด
"ลูกๆ ของข้า พวกเจ้าฆ่าลูกๆ ของข้า ข้าจะให้พวกเจ้าชดใช้"
แล้วปีศาจแมงมุมก็เริ่มพ่นพิษใส่หลันเฟิ่งซือและองครักษ์ ทำให้พวกเขาต้องกระโดดหลบมันทันที
"อ๊ากกกก" องครักษ์ที่หลบไม่ทันก็ถูกพิษของปีศาจแมงมุมค่อยๆ กัดกร่อนร่างกาย ก่อนที่ร่างกายขององครักษ์คนนั้นจะสลายไปในทันที
"ฟู่เซียน" เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มที่จะควบคุมไม่อยู่แล้ว หลันเฟิ่งซือจึงได้เรียกตัวฟู่เซียนออกมา "ปกป้องคุณหนูด้วย"
TALK
ช่วยหลิงด้วย ไม่ถนัดฉากต่อสู้อย่างแรงเลย T^T ตอนนี้คือเขียนนานมากกกก ไม่รู้ว่าควรจะเขียนยังให้มันตื่นเต้นอ่าาา
อ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นยังไงก็ติชมได้เลยนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จากจิ้งจอกกล้ายเป็นหมา555+
ค้างงงงงงงงงง
ค้างมากกก
เจียงอวี้ น่าจะร้าย
อืมๆ