ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO,SNSD,F(X)] GIRLS IN LOVE { krissica x kaistal }

    ลำดับตอนที่ #3 : my toy ( krissica )

    • อัปเดตล่าสุด 13 เม.ย. 56


    .




    ..

     



    มหาวิทยาลัยเกาหลี วิทยาเขตหลักกรุงโซล (Korea University)

         มหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อเสียงติดท็อปทรีระดับประเทศ  มหาวิทยาลัยนี้เป็นมหาวิทยาลัยที่มีอัตราผู้สมัครเข้าเรียนปริญญาตรีมากที่สุดของประเทศ ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1950 ปัจจุบันมีนักศึกษาทั้งหมดประมาณ 24,000 คน วิทยาเขตหลักอยู่ในกรุงโซล ย่านอันนัม และอีกที่อยู่ที่เมืองเซจง เนื่องจากเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนจึงค่อนข้างหรูมาก นักศึกษาส่วนใหญ่แต่งกายตามเทรนด์ ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า รวมทั้งรถยี่ห้อดังก็ขับเฉี่ยวกันไปมาหน้ามหาวิทยาลัยแห่งนี้

        ร่างบางก้าวลงจากรถไฟฟ้าใต้ดินที่แสนเบียดเสียด แทบทั้งขบวนเต็มไปด้วยนักศึกษาทั้งชายและหญิง เวลาเดินออกก็อัดแน่นกันอย่างกับปลากระป๋อง ค่อยๆลงไม่ได้หรือไงกันนะ มหาวิทยาลัยพียงเดินขึ้นบันไดไปก็ถึงแล้วไม่ใช่หรือ รีบไปเข้าเรียนกันขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีจริงๆอย่างที่คุณพ่อบอกเลย

       หญิงสาวปล่อยตัวเองให้ลอยไปตามคลื่นของคนมากกว่าร้อยอย่างช่วยไม่ได้ ลำพังแค่ปกป้องกระเป๋าไว้ไม่ให้โดนล้วงก็เต็มกำลังของเธอแล้ว ไม่น่ารีบลุกจากที่นั่งเพราะความตื่นเต้นเลยแฮะ น่าจะรออีกสักหน่อย ไม่งั้นคงไม่ต้องมาแออัดอยู่ในฝูงคนมากขนาดนี้หรอก

       กว่าจะออกมาได้ ร่างบางลมแทบจับอยู่ตรงนั้น เธอเดินมาพิงเสาที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่ขึ้นบันไดมา ทรงผมที่อุตส่าห์จัดแต่งมาอย่างดีกลับดูยุ่งเหยิงไปหมด นั่นทำให้หญิงสาวไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะคนเยอะมากจริงๆ พักเพียงพอให้ได้รับอากาศบริสุทธิ์สักเล็กน้อยก่อนจะมุ่งหน้าเข้าสู่มหาวิทยาลัยแห่งใหม่ที่เธอต้องทำความรู้จัก

        ร่างบางในชุดเดรสสีชมพูพาสเทลแสนหวานเดินก้าวเข้ามาพร้อมรองเท้าส้นสูงสีขาวคู่โปรด ผิวขาวยามต้องแสงอาทิตย์อ่อนๆ ช่างน่ามองยิ่งกว่าดอกไม้ในสวนรอบๆเสียอีก ผมยาวสีน้ำตาลถูกม้วนเป็นลอนเล็กน้อย แม้จะดูยุ่งนิดๆ แต่มันก็เพิ่มความเซ็กซี่อย่างเป็นธรรมชาติให้กับเธอโดยที่เธอไม่รู้ด้วยด้วยซ้ำ ชายหนุ่มที่เดินผ่านไปผ่านมา ต่างมองกันจนต้องเหลียวหลัง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาทักเธออยู่ดี อาจเพราะรูปลักษณ์ที่ดูหยิ่งนิดๆแต่มีเสน่ห์นั่นกระมัง ทำไมผู้คนต้องหยุดคิดก่อนจะเข้ามาทัก จนสุดท้ายก็ไม่กล้าทักไปโดยปริยาย

       ปรื้นน

       Ferrari F12 Berlinetta สีดำแล่นเข้ามาจอดบริเวณที่จอดรถหน้ามหาวิทยาลัยด้วยความเร็วสูง อีกทั้งยังแม่นยำมาก เพราะเพียงชั่วพริบตา รถคันหรูก็ถอยเข้าซองตรงตามเส้นที่กำหนดไว้อย่างพอดิบพอดี

      ร่างสูงก้าวลงจากรถเปิดประทุนคันนี้ ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายที่หยุดจ้องมองดูเขาด้วยความตกตะลึง ผู้หญิงหลายคนแทบจะลงไปดิ้นให้ได้ เพราะไม่ว่าจะเห็นกี่รอบๆเขาก็ยังคงเท่เหมือนเดิมทุกวัน แม้ครั้งนี้การจอดรถออกจะดูเกรี้ยวกราดไปบ้าง แต่เพราะความหล่อเท่และความมีอำนาจของเขา ทำไห้ไม่มีใครคิดจะตักเตือนเขาสักนิด ไม่มีแม้สักคน

        ชายหนุ่มเดินออกมาจากบริเวณนั้นก่อนที่จะตกเป็นเป้าสายตามากกว่านี้ ปกติเขาไม่เคยนึกรำคาญผู้คนที่อยู่รอบข้างเลยสักนิด รู้สึกดีเสียอีกที่ทำให้ใครหลายคนจ้องมองเขาด้วยความอิจฉาและความลุ่มหลง... แต่วันนี้มันไม่ใช่ ทุกอย่างรอบตัวเขามันดูน่าหงุดหงิดไปหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้คน เสียงพูดคุยจอกแจกจอแจ ขนาดแค่ใบไม้ปลิวเขายังรู้สึกหงุดหงิดเลย

        คงเป็นเพราะแก้วใบนั้น ...แก้วใบสำคัญของเขาที่น้องชายตัวแสบมันทำแตก แล้วหนีหายไปไหนตั้งแต่เช้าก็ไม่รู้ เจอหน้ากันเมื่อไรต้องจัดสักหมัดสองหมัดให้หายหงุดหงิดสักหน่อย แต่พอมาคิดดูอีกที ที่แก้วแตกอาจจะเป็นสัญญาณบ่งบอก บอกว่ามันอาจจะถึงเวลาแล้ว...

        เวลาที่จะลืมเธอ และเริ่มต้นใหม่กับใครสักคน

         ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเดินเข้ามาในมหาวิทยาลัยเพื่อไปเข้าเรียน นี่ก็ใกล้เวลาแล้ว คลาสแรกของเขาต้องไปเรียนภาษาอังกฤษที่คณะศิลปศาสตร์ ซึ่งเป็นคาบที่เขาไม่คิดอยากจะเรียนเลยสักนิด แม้ตึกจะใกล้ๆกับคณะบริหารที่เขาเรียนอยู่ก็เถอะ แต่มันดูเก่าคร่ำครึจนชวนให้น่าหงุดหงิดชะมัด

        ร่างสูงเดินเข้ามาถึงหน้าบริเวณน้ำพุ ก็สะดุดตาเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังหันซ้ายหันขวา พลางเอามือเล็กๆของเธอเกาหัวไปด้วย ตามปกติเขาคงปล่อยผ่านและรอให้พลเมืองดีสักคนมาช่วยหญิงสาวคนนี้เอาไว้ แต่ไม่ใช่วันนี้ ไม่ใช่วันที่เขาเห็นอะไรก็หงุดหงิดไปหมดแบบนี้ ทำไมเธองี่เง่าขนาดนี้วะ มีแผ่นที่ในมือไว้ทำบ้าอะไรเนี่ย  

       

         “เอ จำได้ว่ามาถึงตรงนี้ก็ต้องเจอแล้วนี่นา” เสียงหวานพึมพำเบาๆก่อนจะมองไปรอบๆอีกครั้ง ใจจริงอยากจะให้ใครสักคนมาถามเธอว่า ให้ช่วยไหม จะไปที่ไหนเหรอ แต่เธอก็ทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น เพราะดูจากผู้คนรอบๆแล้วคงกลัวหน้าตาของเธอสินะ เฮอะ แบบนี้หรือเปล่านะที่เรียกว่ามีหน้าตาเป็นอาวุธน่ะ

        “ให้ช่วยไหม”เสียงทุ้มดังอยู่ข้างหลังเธอ ทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อยอย่างไม่ทันตั้งตัว ไม่กล้าทันไปมองเลยแม้แต่น้อย เพราะถึงแม้หน้าเธอจะหยิ่งบอกบุญไม่รับ แต่เธอก็กลัวผู้คนมากเหมือนกันนะ

       “จะไปที่ไหนเหรอ” หญิงสาวต้องสะดุ้งอีกครั้งด้วยความตกใจ เพราะประโยคที่เขาเอ่ยออกมาทั้งสองประโยคเป็นประโยคที่เธอคิดอยู่ในใจทั้งคู่เลยนี่นา นี่เขาอ่านใจเธอออกรึเปล่าเนี่ย

        “ถ้ายังไม่พูดอะไร ผมจะไปแล้วนะ”ชายหนุ่มถามย้ำอีกครั้ง เพราะเธอกำลังทำให้เขาหงุดหงิดขึ้นมากกว่าเดิมอีก ตัวเล็กๆแบบนี้บีบที่เดียวกระดูกคงหักแน่นอน ลองดูสักทีดีไหมนะ เผื่อความหงุดหงิดมันจะลดลงไปได้บ้าง

     “เอ่อคือว่า...”หญิงสาวค่อยๆหันมาเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงทุ้มที่ฟังดูหงุดหงิดแต่ก็แฝงไปด้วยความอบอุ่นอย่างน่าประหลาด อยากเห็นหน้าคนที่อ่านใจเธอได้สักครั้งเหมือนกัน

       ทันทีที่สองสายตาประสานกัน ราวกับมีกระแสไฟฟ้าช็อตที่หัวใจของคนทั้งคู่ แต่เพียงแวบเดียวมันก็หายไปจากใจของชายหนุ่ม ต่างจากหญิงสาวที่เมื่อครู่รู้สึกหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม ก่อนจะเด้งขึ้นมาจากตาตุ่มอย่างรวดเร็วราวกับเพิ่มอัตราการสูบฉีดของเลือดให้หัวใจเต้นแรงและถี่ขึ้น อะไร เธอเป็นอะไร...

       “ปีหนึ่งเหรอ”เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น ก่อนจะเอาตัวเข้าบังแดดให้คนตัวเล็กที่อยู่ข้างหน้า ไม่รู้ทำไมเขาต้องทำเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ถ้าเขาไม่ทำ หญิงสาวตรงหน้าอาจจะเป็นลมล้มพับไปตรงนี้ก็ได้

       “ไม่ใช่ค่ะ! ปีสามแล้วนะ...คะ” หญิงสาวไม่พูดเปล่าพลางยื่นบัตรนักศึกษาให้คนตัวสูงดู เพราะท่าทางที่เขาแสดงออกราวกับว่าเธอหลอกลวงเขา มันทำให้เธอไม่ชอบใจเอาเสียเลย

       “โกหกหรือเปล่า คุณตัวเล็กขนาดนี้อยู่ปีสามได้เหรอ งั้นผมไม่อยู่ปีห้าเลยหรือไง”ชายหนุ่มยังคงเพ่งมองหญิงสาวตัวจริงกับหญิงสาวในรูปสลับกันไปมา ปีเกิดก็ปีเดียวกับเขานี่หว่า ทำไมตัวเล็กจังวะ

        “ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าที่นี่วัดระดับชั้นนักศึกษากันที่ส่วนสูงหรือไงกันคะ” หญิงสาวพูดพลางเชิดหน้าขึ้นนิดๆอย่างไม่สบอารมณ์ และหวังให้คนตรงหน้าหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง ตรงกันข้ามเมื่อเธอพูดจบ เขากลับยิ้มออกมานิดๆ ราวกับถูกอกถูกใจอะไรบางอย่าง ปฏิเสธไม่ได้ว่ารอยยิ้มของเขาทำให้เธอหายงอนได้ไม่ยาก ทำไมยิ้มแล้วดูดีขนาดนี้นะ ถ้ายิ้มบ่อยๆคงดูเป็นมิตรมากกว่านี้แน่นอน

        “เข้าใจคิดนะคุณ ไม่มีใครกวนผมแบบนี้มานานมากแล้ว...นานมากแล้วจริงๆ”เสียงทุ้มเอ่ยออกมาเรียบๆ แต่ร่างบางกลับสัมผัสได้ถึงความเศร้าสร้อยในน้ำเสียงนั้น น่าเสียดายที่เธอไม่สามารถเห็นแววตาของเขาได้ชัดๆ เพราะแว่นกันแดดสีชาที่เขาสวมอยู่ แต่หญิงสาวก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก เธอไม่คิดจะไปยุ่งเรื่องของคนอื่นอยู่แล้ว มันเสียมารยาทจะตายไป

       “เอาเถอะครับ ถึงแม้ตัวคุณจะเล็ก แต่ผมก็จะยอบรับว่าคุณอยู่ปีสามก็ได้ เพราะอย่างน้อยคุณก็มีบางส่วนที่ผมพอจะเชื่อได้ว่าคุณอยู่ปีสาม....” ชายหนุ่มจ้องมองที่บริเวณหน้าอกของหญิงสาวผ่านแว่นกันแดดสีชาของตนเอง มันใหญ่เกินไปที่จะอยู่บนร่างกายเล็กๆนี่หรือเปล่านะ

        “มองอะไรคะ ลามกที่สุด” หญิงสาวรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดบริเวณหน้าอกของตัวเอง แม้จะเห็นไม่ชัดก็เถอะ แต่ตาคมภายใต้แว่นกันแดดนั่นจงใจมองหน้าอกเธอชัดๆเลยนี่นา

         “ไม่ต้องปิดหรอกครับ ใหญ่กว่านี้ผมก็เคยเห็นมาแล้ว...อย่ากรี๊ดนะครับ ผมไม่ชอบ แล้วอย่าหาว่าผมไม่เตือน” ชายหนุ่มพูดพลางถอดแว่นกันแดดออก ก่อนจะพูดดักทางเมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังจะส่งเสียงกรี๊ด ทำเอาหญิงสาวยกมืออุดปากตัวเองแทบไม่ทัน ชายหนุ่มเห็นดังนั้นเกือบจะหลุดขำออกมา เขาเดินผ่านหน้าหญิงสาวและถือวิสาสะจับข้อมือเล็กให้เดินตามเขามา รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหนุ่มหล่อ ตอนนี้เขารู้สึกอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ อาการหงุดหงิดหายเป็นปลิดทิ้ง คงเพราะผู้หญิงหน้าบึ้งที่เดินตามเขาอยู่ตอนนี้ คงเพราะเธอ เขาถึงอารมณ์ดีแบบนี้ ไว้โอกาสหน้าต้องขอบคุณเธอสักหน่อย    

        “ว่าแต่คุณชื่ออะไรครับ”ใบหน้าหล่อเปลี่ยนจากเดินนำ กลายมาเป็นเดินข้างๆเพื่อจะได้คุยถนัดมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ปล่อยข้อมือของเธออยู่ดี

        “เจสสิก้า” เสียงหวานตอบกลับมาอย่างไม่พอใจเท่าไหร่ ลวนลามเธอด้วยสายตาไม่พอ ยังจะลวนลามทางด้านร่างกายอีก เขาเป็นผู้ชายคนแรกที่จับข้อมือเธอแบบนี้ เขารู้ตัวหรือเปล่าเนี่ย

       “ชื่ออะไรของคุณครับนั่น ในบัตรนักศึกษาคุณชื่อว่า จองซูยอนนี่นา”ชายหนุ่มถามด้วยความฉงนเล็กน้อย โกรธเขาถึงขนาดคิดชื่อปลอมเลยหรือ

        “คุณต้องเรียกฉันว่าเจสสิก้า คุณห้ามเรียกฉันว่าจองซูยอนนะ มันเป็นชื่อจริงของฉันที่คนในครอบครัวแล้วก็คนสนิทเรียกกันเท่านั้น ฉันย้ายมาจากแคลิฟอร์เนีย และเพื่อนๆที่นั่นก็เรียกฉันว่าเจสสิก้า มันไม่สนิทกันเกินไปแล้วก็ยังไม่ห่างเหินเกินไปอีกด้วย”หญิงสาวพูดพลางรำลึกความหลัง คิดถึงเพื่อนๆที่แสนใจดีที่นั่นจัง แม้เธอจะมีเพื่อนไม่มาก แต่พวกเขาก็รักเธอจริงๆ ไม่ใช่เพราะชื่อเสียง ฐานะ หน้าตา หรืออะไรก็ตาม

        “แต่ที่นี่เกาหลีนะคุณ แต่ก็นะ...ตามที่คุณต้องการ”หญิงสาวยิ้มออกมาอย่างพอใจ เมื่อชายหนุ่มว่าง่ายกว่าที่คิดไว้ แต่ไม่ทันที่เธอจะได้คิดอะไรมากกว่านั้น มือหนาก็กระชากเธอเข้ามาในหลืบเล็กๆเสียแล้ว

        “นี่คุณ...”หญิงสาวตาเบิกโพลงไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น เพราะถ้าหากเธอขืนพูดออกไป ริมฝีปากของเธอและเขาต้องสัมผัสกันแน่ๆ

        “ต้องสนิทกันขนาดไหน...”ชายหนุ่มก้มหน้ากระซิบลงที่ข้างหูของร่างบางอย่างแผ่วเบา ทำเอาเธอขนลุกไปทั้งตัว เขากำลังเล่นอะไรกับเธอกัน

        “ตอบผมหน่อยสิครับ...” ใบหน้าหล่อยังคงวนเวียนอยู่ที่ใบหูเล็กของหญิงสาว ใช้ปลายจมูกโด่งคลอเคลียที่ใบหูของเธอเบาๆอย่างหยอกล้อ “แค่นี้พอหรือเปล่าครับคุณเจสสิก้า...” กลิ่นหอมอ่อนๆจากกายของเธอ ทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าได้ไม่ยาก ใบหน้าหล่อเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ร่างกายของหญิงสาวตรงหน้าเขาตอนนี้แข็งทื่อราวกับน้ำแข็งขั้วโลกเหนือไม่มีผิด ยิ่งเห็นไม่ประสีประสาแบบนี้ ยิ่งหน้าแกล้งเข้าไปใหญ่

         “คุณเจสสิก้า...”สัมผัสเบาๆตรงปลายจมูก ทำให้ร่างเล็กรู้สึกตัว ก่อนจะใช้สองมือผลักอกแกร่งของชายหนุ่มอย่างสุดแรง ใบหน้าหวานใสขึ้นสีแดงจัดจนต้องก้มต่ำลง เธอไม่อยากให้ใครเห็นสภาพหน้าอายของเธอแบบนี้

        “พอแล้ว ยอมแล้ว ซูยอน เรียกฉันซูยอนก็ได้!” เสียงหวานสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ ขนาดพยายามตะโกนแล้วมันก็ได้เพียงเท่านี้ เขาทำอะไร ทำอะไรกับร่างกายและจิตใจของเธอ

     “ครับ ซุยอน งั้นไปเข้าเรียนกันเถอะ เรากำลังจะสายแล้วนะ”ชายหนุ่มยิ้มให้เธออย่างอารมณ์ดี พลางคว้าข้อมือเล็กและจูงออกมาจากหลืบนั่น

       “คุณนี่อ่อนหัดกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีกนะครับ ซูยอน” ชายหนุ่มพูดขึ้นตามที่เขาคิดอย่างหน้าตาเฉย ต่างจากหญิงสาวที่ก้มหน้างุดๆเอาแต่มองพื้น ไม่คุยกับเขามาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว

        “ข้อมือของคุณ ผมก็คงจับเป็นคนแรกสินะครับ ใบหูของคุณผมก็ได้สัมผัสเป็นคนแรก จมูกของคุณผมก็ได้สัมผัสเป็นคนแรก และอีกนิดเดียวริมฝีปากของคุณผมก็จะได้สัมผัสเป็นคน...โอ๊ยๆๆ ครับๆ ไม่แกล้งแล้วครับ เลิกจิกแขนผมสักที ผมเจ็บนะซูยอน”หญิงสาวอายเกินกว่าจะตอบโต้อะไรกลับไปเป็นคำพูด จึงใช้เล็บจากมือที่เขาไม่ได้จับมาจิกที่แขนของเขาโดยที่ไม่ได้ออมแรงเลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง และที่น่าอายกว่านั้นเขาพูดมันออกมาอย่างหน้าตาเฉย เขาเกือบพรากเวอร์จิ้นที่เธออุตส่าห์รักษามากว่ายี่สิบเอ็ดปีนะ นึกแล้วก็อยากจะร้องไห้จริงๆ   

       ทั้งคู่เงียบไปอีกครั้ง โดยที่ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตนเอง สำหรับชายหนุ่ม เขาคิดดูแล้วเธออ่อนหัดเกินกว่าจะเป็นเด็กนอก ความจริงอายุยี่สิบเอ็ดแล้ว แถมรูปร่างหน้าตาแบบนี้ บอกตามตรงไม่น่ารอดมาให้เขาแกล้งเล่นอย่างนี้หรอก มีอยู่จริงๆด้วยแฮะ ผู้หญิงที่บริสุทธิ์ผุดผ่องเพียงแค่โดนผู้ชายจับข้อมือยังสั่นขนาดนี้ ถ้าเขาทำมากกว่าเมื่อกี้ เธออาจจะสลบไปเลยก็ได้ ไร้เดียงสาแบบนี้คงเป็น ของเล่น ของเขาอีกนานทีเดียว

         ที่เป็นเพียงของเล่นก็เพราะเขาไม่เคยคิดว่าจะรักใครได้อีก นอกจากผู้หญิงคนนั้น คนเดียว...    

     

    -------------------------------------------------------------------------------
    มาแล้วค่ะ ปวดหลังจังเลย T_____T
    อันนี้เป็นตอนของคริสสิกนะคะ ขอให้มีความสุขกับการอ่านค่ะ ^^



     

    © Tenpoints!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×