ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [NCT] The Way We Are (Johnil)

    ลำดับตอนที่ #3 : The Way We Are - 3

    • อัปเดตล่าสุด 31 มี.ค. 62


    The Way We Are – 3

     



                ฮันซลอาบน้ำแต่งตัวขับรถออกจากบ้านประมาณเที่ยง เพราะคุณพ่อของแทลที่น่ารักของเขามีเรื่องอยากจะปรึกษาซึ่งนัดกันไว้ตอนบ่ายๆ เขาขับรถมายังสถานที่ที่เป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของเขา นั่นก็คือบ้านของแทอิล

     

                เมื่อมาถึงก็เห็นว่ามีรถอีกคันจอดอยู่หน้าบ้าน ไม่รู้ว่าเป็นรถของใครแต่ก็ไม่ได้คิดสนใจ ฮันซลดับเครื่องยนต์ลงจากรถ เปิดประตูบ้านที่ไม่ได้ล๊อคเข้ามาโดยไม่ขออนุญาตเพราะเขาก็ทำแบบนี้เป็นประจำ เจ้าของบ้านอนุญาตให้เขาเข้า-ออกบ้านหลังนี้ได้ตลอดเวลาเหมือนบ้านตัวเอง

     

                แต่แล้วฝีเท้าที่กำลังจะเยื้องย่างเข้ามาในบ้านของแทอิลก็ต้องชะงัก เมื่อฮันซลเห็นร่างของชายคนหนึ่งกำลังคุกเข่าลงตรงพื้นต่อหน้าบิดาและมารดาของคนรัก

     

              ผมอยากจะแต่งงานกับแทอิล กรุณาอนุญาตให้แทอิลแต่งงานกับผมด้วยนะครับ

     

                ในตอนนั้น ใจของฮันซลสั่นระรัวเต้นไม่เป็นจังหวะกับคำพูดของชายแปลกหน้าที่นั่งคุกเข่าและก้มศีรษะขอร้องต่อหน้าบุพการีทั้งสองของแทอิล ฮันซลมองใบหน้าหวานที่ริมฝีปากสั่นขยับเรียกชื่อเขาออกมาด้วยเสียงเพียงน้อยนิดแต่เขาได้ยินมันอย่างชัดเจน

     

                “หมายความว่ายังไง..”

     

                ฮันซลก้าวเท้าเข้าไปยืนค้ำหัวของคนที่กำลังจะมาแย่งคนรักของเขาไป มือสองข้างกำแน่นราวกับจะบีบให้กระดูกมือร้าวเสียให้ได้ ยองโฮยังคงไม่รับรู้ว่าคนที่กำลังยืนเหนือศีรษะตนตอนนี้คือใครหรือรู้สึกอย่างไร สิ่งที่เขาสนใจคือการที่บุคคลที่มีสิทธิ์จะยกแทอิลให้กับเขาเท่านั้น

     

                “ที่แกพูดว่าจะแต่งงานกับแทอิล มันหมายความว่ายังไง!!!

     

                มือของฮันซลกระชากคอเสื้อของยองโฮให้ลุกขึ้นมาและมองใบหน้าของเขา แต่ไม่ทันจะลุกได้ดีก็เซล้มไปกับพื้นเพราะแรงผลักด้วยอำนาจของความโกรธ ฮันซลขึ้นคร่อมร่างใหญ่ของยองโฮ มือขวากำแน่นเตรียมจะปล่อยหมัดเข้าสู่ใบหน้าหล่อของอีกคนเพราะความโมโห แทอิลรีบเข้ามาดึงคนรักให้ลุกออกจากตัวของยองโฮแต่ก็ถูกปัดจนเซไป

     

                “คุณซล อย่าทำอะไรเขา”

                “แกเป็นใคร ทำไมถึงจะต้องมาแย่งคนรักของฉันไปด้วย!

     

                จีฮันซลปล่อยหมัดลงบนใบหน้าคมของคนที่ตัวเขาตราหน้าให้เป็นไอ้เลวขี้ขโมย เขาไม่มีความอดทนมากพอและไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องอดทน กำลังจะถูกแย่งคนรักไปต่อหน้าต่อตา เขาจะอยู่เฉยได้อย่างไรกัน ฮันซลกระหน่ำรัวกำปั้นของตนใส่หน้ายองโฮไม่ยั้ง ยองโฮเองก็ไม่คิดจะต่อสู้และปล่อยให้อีกฝ่ายกระทำตนให้จนพอใจ ใช่ ซอยองโฮสมควรได้รับมันแล้ว ความเจ็บปวดแบบนี้สิที่เขาสมควรได้รับ ไม่ใช่ความอ่อนโยนหรือความเข้าใจแบบที่เตนล์ให้

     

                “คุณซล หยุดได้แล้ว แทลขอร้อง”

     

                แม้จะขอร้องสักเพียงใดฮันซลก็ไม่มีทีท่าจะหยุด แทอิลใช้แรงทั้งหมดจับแขนคนรักที่กำลังทำร้ายเพื่อนร่วมรุ่นของตน กำแขนฮันซลแน่นจนนิ้วแดง น้ำตาก็ไหลออกมาเป็นสายไม่หยุดเพราะความกลัว กลัวและหมดหนทางในทุกสิ่ง เสียงสะอื้นของแทอิลทำให้ฮันซลหยุดยั้งมือที่จะต่อยหน้ายองโฮไปในทันใด เรียกสติของฮันซลให้กลับมาคิดได้ว่ากำลังทำอะไร เกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา แล้วทำไมคนรักของเขาถึงได้ร้องไห้

     

                “แทล.. แทลร้องไห้ทำไม”

     

                ฮันซลลุกจากตัวยองโฮไปสนใจคนรักที่ร้องไห้หนักอยู่เคียงข้าง โอบร่างบางเข้าสู่อ้อมแขน ใช้มือลูบศีรษะปลอบประโลมให้แทอิลหยุดร้องไห้ เจ้าของบ้านอีกสองคนเข้ามาช่วยพยุงแขกคนแปลกหน้าที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือดที่เปรอะเปื้อน แทอิลกอดแขนฮันซลแน่นเพราะกลัวว่าแฟนของเขาจะไปทำร้ายอีกคนอีก

     

                “แทล หยุดร้อง.. ไม่ร้องนะ อย่าร้องไห้เลยนะแทล คุณซลยอมแล้ว คุณซลหยุดแล้วนะครับแทล”

     

                เจ็บปวดหัวใจเมื่อเห็นแทลของเขามีน้ำตา ยิ่งสาเหตุมาจากเขาก็ยิ่งเจ็บมากกว่า แทอิลคงตกใจและเสียขวัญที่เห็นเหตุการณ์แบบนี้ มันคงไม่เหมือนกับคุณซลที่อ่อนโยนและใจดีที่แทอิลรัก ในตอนนี้สายตาของแทอิล คงมีแต่จีฮันซลที่เป็นผู้ชายโหดร้ายที่แทอิลไม่รู้จัก

     

                “คุณฮันซลพาแทอิลขึ้นไปบนห้อง เดี๋ยวทางนี้แม่จัดการเอง”

     

                ฮันซลพยักหน้ารับ ค่อยๆประคองแทอิลลุกจากพื้น พาขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง เปิดประตูห้องนอนฝั่งขวา พาแทอิลเข้าไปยังห้องนอน คนตัวเล็กทรุดนั่งลงบนเตียง แขนปาดน้ำตาที่ไหลรินบนใบหน้า ฮันซลนั่งลงที่พื้นข้างเตียง กุมมือของหนึ่งของคนรักเอาไว้แน่น ใบหน้าหวานที่เปื้อนน้ำตาเบือนหันไปทางอื่นไม่มองหน้าคนที่กุมมือเพราะไม่กล้าสู้หน้า

     

                “หันหน้ามาหาคุณซลนะแทล”

     

                ร่างเล็กส่ายศีรษะไปมา ไม่มีทีท่าจะหันมาสนใจ

     

                “อย่าโกรธคุณซลนะ คุณซลขอโทษที่ทำร้ายผู้ชายคนนั้น”

                “...”

                “หันหน้ามาคุยกันดีๆ คุยกันให้เข้าใจนะแทล อย่าทะเลาะกับคุณซลเลยนะครับคนดี”

     

                ยิ่งคุณซลบอกว่าเขาเป็นคนดี น้ำตาก็ยิ่งหลั่งไหลออกมา เขาหรือคนดี? คำว่าคนดีของคุณซล มันจบสิ้นไปตั้งแต่คืนวันเลี้ยงรุ่นเมื่อสองเดือนก่อนแล้ว มันไม่หลงเหลืออยู่ในตัวมุนแทอิลคนนี้อีกแล้ว

     

                “พูดความจริงกับคุณซลว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น คุณซลจะช่วยแทลแก้ปัญหา จะไม่ทิ้งแทลไปไหน คุณซลสัญญา”

                “แทล.. แทลผิดสัญญากับคุณซล”

     

                ฮันซลตั้งใจฟังในสิ่งที่แทอิลกำลังจะพูดอย่างตั้งใจ มือสองข้างของตนยังคงกุมมือบางของแฟนจนแน่นให้อุ่นใจ

     

                “เมื่อเดือนก่อนมีงานเลี้ยงรุ่นสมัยมัธยม คืนนั้นแทลดื่มเหล้า ทั้งๆที่คุณซลสั่งห้ามแทล แต่ว่าแทลก็ยังดื่ม”

                “...”

                “คืนนั้นแทลดื่มจนเมา เมามากไม่มีสติ จำไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตะ..แต่ว่า.. พอตื่นมาตอนเช้า แทลก็รู้ว่า.. แทลมีอะไรกันกับเพื่อน แล้วแทลก็เพิ่งจะรู้ ว่าความจริงร่างกายแทลมันผิดปกติ..”

     

                มือของฮันซลยิ่งกำมือคนรักแน่นมากขึ้นไปอีกเช่นเดียวกับหัวใจของเขาที่บีบรัดแน่นจนเจ็บปวดหัวใจไปหมด แต่ก็ยังคงตั้งใจฟังสิ่งที่กำลังจะได้รับฟังต่อ

     

                “ตอนนี้.. แทลกำลังท้อง.. แทลท้องกับเพื่อนคนนั้น..”

     

                สองมือที่กุมแน่นในตอนนี้กลับคลายออกจนหลุดออกจากอีกสองมือที่ถูกกุม ฮันซลช็อคจนไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อ หมดเรี่ยวแรงเมื่อได้ยินสิ่งที่ไม่คาดคิดยิ่งกว่าการที่แทอิลบอกเขาว่ามีสัมพันธ์ทางกายกับคนอื่นที่ไม่ใช่เขา เพราะแทลของเขาบอกว่ากำลังท้อง

     

                ความจริงแล้วที่ตรวจการตั้งครรภ์ที่เขาเจอ คือของแทอิลใช่ไหม? ที่แทอิลเอาแต่นอนทั้งวัน ที่แทอิลจะอาเจียนตอนได้กลิ่นน้ำหอม มันคืออาการของคนที่กำลังท้องใช่ไหม? ที่แทอิลบอกว่าง่วงนอนเพราะพักผ่อนน้อย ที่แทอิลบอกว่าจะอาเจียนเพราะกินมากไป ที่แทอิลบอกว่าไปหาหมอแล้วบอกว่าไม่มีอะไร คือคำโกหกทั้งหมดเลยใช่ไหม?

     

                “เพื่อนคนนั้นของแทล..”

                “เพื่อนคนนั้นที่แทลหมายถึง ก็คือผู้ชายที่คุณซลต่อยเขา..”

     

                 ฮันซลก้มหน้านิ่งไม่พูดอะไร ทำไมหัวใจถึงได้เจ็บปวดแบบนี้ เขาไม่เคยรู้สึกโกรธใครเท่ากับวันนี้มาก่อน ไม่เคยรู้สึกผิดหวังมากมายเท่ากับในเวลานี้ โกรธแทอิล โกรธผู้ชายคนนั้น ผิดหวังที่แทอิลโกหกเขา ผิดหวังที่แทอิลผิดสัญญากับเขา ไม่ใช่แค่ข้อเดียวที่ว่าห้ามไม่ให้ดื่มของมึนเมาแต่ก็ยังดื่ม แต่ยังเป็นสัญญาอีกข้อที่ว่าถ้ามีเรื่องอะไรจะต้องไม่ปิดบัง แต่แทอิลก็ปิดบังเรื่องนี้กับเขา ถ้าเกิดผู้ชายคนนั้นไม่มาหาวันนี้ เขาก็คงไม่มีทางรู้เรื่องคืนนั้น และไม่รู้ว่าแทอิลกำลังจะมีลูก เขาจะได้รู้เมื่อไรในเมื่อแทอิลไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ

               

                ที่ผู้ชายคนนั้นมาที่นี่ และบอกว่าจะแต่งงานกับแทอิล ก็เพราะว่าเรื่องนี้ใช่ไหม หรือว่ามันมีเหตุผลอะไรที่มากกว่านั้น

     

                “แทลรักเขาไหม แทลจะแต่งงานกับเขาไหม”

                “แทลรักคุณซล แทลไม่ได้รักเขา เรื่องแต่งงานแทลไม่รู้ เขาไม่ถามอะไรเลยสักคำ แต่ใจของแทล ยังไงแทลก็ไม่อยากแต่งกับเขา คนที่แทลอยากใช้ชีวิตด้วยมีแค่คุณซล”

     

                แทอิลไม่ได้โกหกฮันซลเลยสักนิด ทั้งหมดที่พูดวันนี้คือความจริงจากหัวใจของเขา เขาไม่เคยมีใจคิดอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับใครอื่น นอกจากบิดา มารดา และคนรักเพียงคนเดียวของเขาที่ชื่อว่าจีฮันซลแต่คุณซลจะเชื่อเขาไหมว่าเขาพูดความจริง

     

                แล้วเรื่องที่ยองโฮมาแล้วบอกว่าอยากแต่งงานกับเขา เขาก็ไม่รู้มาก่อนว่าอีกฝ่ายจะทำเช่นนี้ หรือว่านี่คือสิ่งที่ยองโฮบอกว่าจะรับผิดชอบ?

     

                มือของฮันซลที่เผลอปล่อยจากคนที่นั่งบนเตียงเมื่อครู่ เลื่อนขึ้นมากุมมือบางอีกครั้ง ลูบมือสวยอย่างทะนุถนอมด้วยความรักทั้งหมดของเขาที่มีต่อแทอิล จ้องมองใบหน้าที่เขาอยากจะมองไปจนชั่วชีวิตหมดลมหายใจ และอยากมองใบหน้านี้เพียงคนเดียวไม่แบ่งให้ใครได้เชยชม

     

                “ลูกของแทล ชีวิตของแทล ต่อจากนี้ ให้คุณซลรับผิดชอบได้ไหม”

                “คุณซล..”

                “คุณซลสัญญากับแทลไว้แล้วว่าจะไม่ทิ้งแทลไปไหน ความจริงคุณซลกะจะขอแทลแต่งงานตอนวันเกิดคุณซล แต่คุณซลขอแทลแต่งวันนี้เลยก็แล้วกัน.. เรื่องของแทลต่อจากนี้ ให้มันเป็นเรื่องของคุณซลนะ แต่งงานกับจีฮันซลคนนี้นะครับ มุนแทอิล”

     

                นัยน์ตาที่คลอด้วยน้ำสีใสจ้องมองแววตาที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มและความหวังของคนรัก อยากเอ่ยปากตอบตกลงยิ่งนัก แต่ยังคงลังเล ไม่กล้าตกลง เพราะหากคนอีกคนที่บอกว่าจะรับผิดชอบเขาไม่ตกลงเห็นด้วย จะทำให้คุณซลผิดหวังและเสียใจ เขาไม่อยากทำร้ายคุณซลอีกซ้ำสอง

     

                “แทลท้องนะคุณซล แทล.. แทลไม่อยากให้คุณซลต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ คุณซลไม่ใช่พ่อของเขา ลูกของแทล.. คุณซลควรเจอใครที่ดีกว่านี้”

                “แทลครับ คุณซลเต็มใจที่จะดูแลแทลกับลูกอยู่แล้ว ต่อจากนี้ถ้าเราแต่งงานกัน คุณซลก็อยากให้ลูกของแทลเรียกคุณซลว่าพ่อนะครับ สามคนพ่อแม่ลูก เป็นครอบครัวของเรา”

                “ยองโฮ.. คือคนที่คุณซลต่อยเขา.. เขารู้ว่าแทลท้อง เขาบอกว่าจะรับผิดชอบ แทลว่าคุณซลไปคุยกับเขาก่อนดีกว่า เหมือนเขาจะเข้าใจว่าแทลตกลงจะให้เขารับผิดชอบแทลแล้ว”

                “ถ้าเขาตกลงจะให้คุณซลรับผิดชอบแทลแทนเขา แทลต้องแต่งกับคุณซลนะ”

                “ถ้าพ่อกับแม่ยอมยกแทลให้คุณซล.. แทลก็ตกลง”

     

                ฮันซลลุกจากพื้น ขึ้นมานั่งบนเตียงเคียงกายแทอิล โอบกอดแทอิลด้วยร่างกายทั้งหมดของเขา

     

                แทอิลอยากขอโทษฮันซลสักพันครั้งกับการที่เขาไม่รักษาสัญญา อยากขอบคุณฮันซลสักหมื่นครั้งที่ไม่ต่อว่าหรือทิ้งเขาไปถึงจะรู้ความจริงทั้งหมด ขอบคุณที่ยังเชื่อมั่นในตัวเขา และพร้อมที่จะดูแลชีวิตเขากับอีกหนึ่งชีวิตที่กำลังจะเกิดมา เชื่อแล้วว่าความรักของผู้ชายที่ชื่อจีฮันซลคนนี้มันมีมากมายมหาศาลอย่างที่คุณซลบอกกับเขา

     

     

              เราคิดถูกแล้วใช่ไหมที่จะแต่งงานกับคุณซล ตัดสินใจแบบนี้ดีแล้วใช่ไหม

     

     

     

               

     

     

     

    ----- The Way We Are -----

     

     

     

     

                แทอิลตื่นจากการพักผ่อนกับความเหนื่อยล้าที่แสนสาหัดเมื่อตอนช่วงบ่าย ตอนนี้ก็ดูท่าว่าจะเย็นแล้ว เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่รู้คือเขาอยากจะหลับตาอีกครั้งและไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป ไม่อยากเจอความจริงหลังจากนี้อีกแล้ว แทอิลยอมรับว่าเขาอาจจะขี้ขลาดสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่กล้าสู้หน้าครอบครัว ไม่กล้าสู้หน้าคุณซลอีกแล้ว ถ้าต้องมีชีวิตอยู่ จะหนีไปไกลๆดีไหม หนีไปไหนสักที่ที่ไม่มีคนรู้จัก จะได้ไม่มีใครต้องมาเดือดร้อนกับความผิดพลาดและความผิดปกติของร่างกายตัวเอง

     

                เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น แทอิลหยุดความคิดต่างๆนานาทิ้งไป ยันกายลุกจากเตียงเพื่อเปิดประตูให้กับคนข้างนอกที่ต้องการจะพบเขา แทอิลลังเลที่จะเปิดมันเพราะไม่รู้ว่าภายหลังประตูสีขาวบานนี้จะเป็นใครที่รอเจอหน้าเขาอยู่ แต่ท้ายที่สุดมือก็ได้บิดลูกบิดประตูเพื่อพบเจอกับคนหลังประตูนี้

     

                "เย็นแล้วนะลงไปกินข้าวได้แล้วลูก"

                โล่งใจขึ้นมาเล็กน้อยที่เป็นมารดาของตน ไม่ใช่ชายสองคนที่มาเยี่ยมบ้านในวันนี้ และประโยคที่มารดาพูดก็ผิดคาดไปจากที่คิด แทอิลคิดว่าผู้เป็นแม่คงจะมาเพื่ออยากพูดคุยถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ไม่ใช่เลย มันเป็นประโยคธรรมดาๆเหมือนในวันที่เขามัวแต่ทำงานจนไม่ยอมลงไปกินข้าว น้ำเสียงที่พูดตามให้ลงไปกินข้าวยังคงเหมือนเดิม เสียงหวานของมารดาเคยพูดเช่นไร ลักษณะท่าทางเป็นอย่างไร ไม่ได้ผิดปกติแสดงให้เขาได้กังวล

     

                แต่อาจจะเป็นตัวเขาเสียอีกที่ผิดปกติและไม่ตอบอะไรกลับไปจนมารดาต้องพูดบางสิ่งเป็นคำตอบของคำถามที่เขาไม่ได้เอ่ยถาม


                "สองคนนั้นเขากลับไปแล้วล่ะ ตอนนี้ที่บ้านมีแค่ครอบครัวของเราแล้ว ไม่มีอะไรให้ลูกกลัวแล้วนะแทล ลงไปกินข้าวกับพ่อแม่เถอะ พ่อคงหิวแย่แล้วเนี่ย"

     

                เหมือนมารดาจะรู้ว่าใจของเขาลังเลหรือกลัวกับหลายสิ่ง และคำพูดที่ว่าไม่มีอะไรให้กลัวแล้ว มีแค่ครอบครัวของเรา แทอิลถึงพยักหน้าและเดินลงไปรับประทานอาหารเย็นกับมารดาอย่างอุ่นใจ

                ที่โต๊ะอาหารมีกับข้าวไม่กี่อย่างตามปกติที่บ้านเขาทำ ชายผู้ที่แทอิลเรียกว่าพ่อก็นั่งรออยู่ที่ประจำมุมหัวโต๊ะเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด แต่บนใบหน้าของทุกคนมีรอยยิ้มบางๆบนใบหน้า รอยยิ้มที่ไม่ใช่การฝืนใดๆ แทอิลรับรู้มันแบบนั้น คนที่ฝืนยิ้มตอบกลับเป็นตัวเองเสียอีกที่ยิ้มแบบนั้นตอบกลับไปไม่ได้

     

                "พร้อมหน้าพร้อมตา เริ่มกินกันเถอะเนอะ"

     

                คนหัวโต๊ะเป็นคนเริ่มชวนกิน ทุกคนทำทุกอย่างเป็นปกติ แม่ยังคงตักกับข้าวให้เหมือนเดิม และพ่อก็ยังบอกให้กินเยอะๆแบบเดิม มีบทสนทนาระหว่างกันเหมือนมื้อก่อนๆที่ดูไม่มีการเสแสร้งเพื่อทำลายความอึดอัดที่อาจเกิดขึ้นอย่างที่แทอิลกลัว

     

                หลังจากมื้ออาหารเย็นเสร็จ แทอิลขอเป็นคนล้างจานที่ปกติแล้วจะเป็นหน้าที่ของผู้หญิงคนเดียวในบ้านอย่างแม่ และเมื่อล้างจานเสร็จ เดินกลับมายังโต๊ะอาหาร ทั้งสองท่านยังคงนั่งอยู่ แม่ของเขากำลังถือมีดเพื่อปลอกแอปเปิ้ลของโปรดเขา ส่วนพ่อก็กำลังรินนมใส่แก้ว

                "มาๆแทอิล มานั่งกินผลไม้ก่อนลูก กินนมด้วยมา"

                แม้ว่าท้องจะอิ่มแต่เพราะแม่เตรียมของโปรดไว้ให้ แทอิลถึงนั่งลงเพื่อรับประทานแอปเปิ้ลต่อ สายตาอ่อนโยนของทั้งคู่ที่จ้องมองมายังตัวเขา แทอิลรับรู้ว่ามันคือความเป็นห่วงแต่ก็แฝงไปด้วยความสงสัย และเขามั่นใจว่าตอนนี้คงมีคำถามหลายคำถาม ความอยากรู้มากมายที่พ่อกับแม่คงอยากจะพูดกับเขา

     
                "แทล ลูกอยากจะคุยกับพ่อแม่เรื่องวันนี้หน่อยไหม"

                เป็นอย่างที่คิดไว้ว่าทั้งสองท่านเองก็อยากจะรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้น คำถามนี้อาจจะไม่ได้เกิดในระหว่างมื้ออาหารเพราะอาจทำให้เสียบรรยากาศ แต่ตอนนี้มันคงเป็นเวลาที่เหมาะสมกว่าในการพูดคุย มื้ออาหารเย็นเป็นเวลาให้เขาเตรียมใจที่จะพูด แต่เมื่อให้ถึงเวลาจะพูดจริงๆ เขาไม่มีใจจะพูดมันเลย


                "ถ้าวันนี้ลูกยังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าวันไหนลูกพร้อม ไม่ว่าเรื่องมันจะดีหรือร้ายยังไง พ่อกับแม่พร้อมที่จะฟังลูกนะ"


                แทอิลไม่ได้พูดตอบอะไร เพียงแต่ลุกจากเก้าอี้แล้วเดินขึ้นไปยังชั้นบนของบ้าน บุคคลทั้งสองไม่อย่างเร่งให้ลูกชายคนเดียวของพวกเขาเล่าบางสิ่งที่พวกเขาคิดว่าควรรับรู้ มันอาจจะสร้างความกดดันและความกังวลมากเกินไป วันนี้มันคงหนักหนามากพอแล้วที่จะต้องเผชิญกับเรื่องบางอย่าง ตอนนี้แก้วตาดวงใจของพวกเขาคงต้องต่อสู้กับความทุกข์ในจิตใจ วันนี้มันอาจมากไปแล้ว

     

                แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้ ลูกชายของพวกเขาเดินกลับลงมาพร้อมบางสิ่งในมือ ซองกระดาษสีขาวประทับตราและชื่อโรงพยาบาลถูกเลื่อนมาให้บนโต๊ะ ผู้เป็นพ่อเป็นฝ่ายหยิบมันขึ้นมาเปิดพร้อมๆกับแม่ที่ร่วมมองเอกสารในมือ

     

                 "ผมไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลมาครับ แล้วหมอเจอความผิดปกติ"
                "ผลตรวจ?"
                "ร่างกายผมผิดปกติ ผมเป็นผู้ชาย แต่ว่า.. แต่ว่าผมท้องได้"


                ทั้งสองมองหน้าแทอิล แม้ริมฝีปากคล้ายจะส่งเสียงพูดบางสิ่ง แต่มันก็ไม่มีเสียงใด น่าตกใจจนไม่สามารถจะแสดงอะไรออกมาได้มากกว่านี้


                "ผมท้องกับซอยองโฮ คนนั้นที่เขามาบ้านเราวันนี้"
                "ลูก.. ลูกท้อง?"
                "พ่อกับแม่จำเมื่อเดือนก่อนได้ไหมครับที่ผมบอกว่าไปงานเลี้ยงรุ่น คืนนั้นผมกับเขาเมามาก เราก็เลย.. มันก็เลยเกิดเรื่องนี้ขึ้น ทำให้ผมท้องกับเขา"
                “...”

                "ผมขอโทษนะครับ ขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง ทำให้ผิดหวังอีกแล้ว ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังอีกแล้ว"

     

                แทอิลร้องไห้พร้อมกล่าวคำขอโทษซ้ำไปมา ศีรษะก้มจนแนบติดโต๊ะตรงหน้า ไม่รู้จะทำเช่นไรให้พ่อกับแม่รับรู้ถึงความรู้สึกผิดที่ทำให้ผิดหวังในตัวของลูกแบบเขา เขาทำได้แค่พูดว่าขอโทษพร้อมกับน้ำตาแห่งความผิดหวังในตัวเอง ผิดหวังที่ทำให้คนที่ตัวเองรักผิดหวังอีกแล้ว
               

                "ผิดหวังอะไรกันลูก ผิดหวังอีกแล้วคืออะไรกัน ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องที่ลูกทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังเลย"
                "ผม..ผมมันเป็นคนผิดปกติ.."

     

                มารดาตระกูลมุนเดินเข้ามากอดลูกชายอันเป็นที่รัก ลูบศีรษะปลอบประโลมลูกชายที่น่าสงสารของเธอ วันนี้มันช่างคล้ายกับวันนั้น วันที่แทอิลเดินมาบอกเธอว่าเขาชอบผู้ชาย อยากจะคบหากับผู้ชายคนที่เป็นคนรักปัจจุบันของลูก วันนั้นแทอิลเองก็บอกว่าเขาคงทำให้เธอผิดหวังมาก วันนั้นเธออาจจะรู้สึกว่าผิดหวังแต่มันก็เป็นความรู้สึกเล็กน้อย ในปัจจุบันมันไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรกับการชอบเพศเดียวกัน แต่วันนี้มันไม่ใช่ เธอไม่ได้ผิดหวังในตัวลูกชายคนนี้ ร่างกายที่ผิดแปลกไปจากชายทั่วไปจนเกิดเรื่องเช่นนี้ มันไม่ใช่ความน่าผิดหวังเลย ธรรมชาติสร้างมาแบบนี้ พระเจ้าประทานความมหัศจรรย์มาให้ลูกชายของเธอแบบนี้ มันจะเป็นความน่าผิดหวังไปได้อย่างไร


                "แทอิล แม่ไม่มองว่าลูกผิดปกติ การที่ลูกมีลูกเองได้ มันไม่ใช่ความน่าผิดหวังเลย ใครคนนึงจะเกิดมา มันควรเป็นความน่ายินดีไม่ใช่หรอ เหมือนการที่แทอิลเกิดมาไงลูก"


                แทอิลยอมรับไม่ได้หรอกว่ามันน่ายินดีหรือมันเหมือนกัน เขาเกิดมาจากผู้ชายคนหนึ่งกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความรักซึ่งกันและกัน แต่เด็กที่จะเกิดมาจากเขา เกิดมาจากตัวเขาที่เป็นผู้ชายผิดปกติทางร่างกายกับผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้มีความรักให้กัน มันไม่เหมือนกัน จะให้พูดตามจริง เขาไม่ยินดีสักนิดที่เขากำลังจะมีลูก เขาสงสารเด็กที่จะเกิดมาจับใจ 


                "แล้วผมทำให้คุณซลเสียใจ ยองโฮเขาก็มีแฟนอยู่แล้วด้วย ผมไม่อยากมีลูก ผมไม่รู้.. ไม่รู้จะทำยังไง"
                "แทอิลคุยกับคุณฮันซลกับยองโฮแล้วใช่ไหม"
                "คุยแล้วครับ"
                "เขาว่ายังไง"
                "ยองโฮบอกว่าจะรับผิดชอบ คุณซลก็บอกว่าถึงจะท้องยังไงก็ยังรักผม แล้วคุณซลก็ขอแต่งงานด้วย"

                ทั้งสองเงียบไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น สถานการณ์ที่น่าลำบากได้เกิดขึ้นแล้วอย่างแน่นอน พ่อแท้ๆของหลานพวกเขาก็อยากรับผิดชอบอย่างแน่แท้ไม่เช่นนั้นคงไม่มาขอร้องกันถึงบ้าน ส่วนคนรักของลูกชายรู้ความจริงยังอยากจะอยู่เคียงข้างกันต่อไปก็คงจะไม่ยอมกันง่ายๆ ตัวพวกเขายังไม่มีโอกาสได้คุยกับสองฝ่ายก็คงช่วยตัดสินหรือให้คำปรึกษาใดไปมากกว่านี้ไม่ได้


                "แทอิล ตอนนี้ลูกก็ยังไม่ต้องคิดอะไรมาก พ่อกับแม่จะเป็นกำลังใจให้ จัดการไปตามที่มันควรจะเป็น เรื่องนี้มันจะต้องมีทางออกที่ดีแน่นอน แม่เชื่อว่าลูกทำได้"
                "แล้วลูกสัญญากับพ่อได้ไหม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต้องเก็บเด็กน้อยในท้องของลูกเอาไว้ อย่าทำร้ายเขา ใครจะทิ้งลูกชายของพ่อกับแม่ยังไง จะทิ้งหลานคนนี้ยังไง แต่พ่อกับแม่สัญญาจะไม่มีวันทิ้งลูกชายที่รักของพ่อ กับหลานคนแรกของเรา"
                "ถึงจะไม่มีใคร แต่ก็ยังมีพ่อกับแม่อยู่ที่บ้านหลังนี้เสมอจ้ะแทอิล"

     

                แม้ตอนนี้จะไม่มีทางออกใด แต่สิ่งเดียวที่พวกเขารู้ สุดท้ายแล้วแม้ว่าจะไม่มีใครอยู่เคียงข้างลูกชายของพวกเขา มุนแทอิลคนเก่งของพวกเขาจะไม่มีทางต้องอยู่เพียงลำพัง

                บ้านตระกูลมุน จะยังเป็นที่พักพิงให้กับแทอิลเสมอและตลอดไป

     

     

     

     

    ----- The Way We Are -----

     

     

     

                ในวันนั้น เมื่อทำความเข้าใจกับแทอิลเรียบร้อย ร่างบางก็เผลอหลับไปในอ้อมกอดของเขา เขาจึงปล่อยให้แทอิลได้นอนพักผ่อน ฮันซลออกมาจากห้องนอน ลงมาด้านล่างเพื่อจะพูดคุยกับบุคคลสองคนที่คนรักรักมากที่สุดในชีวิต และหากบุคคลอีกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ยังอยู่ก็จะได้พูดคุยไปด้วยเลย แต่เป็นว่าคนที่ฮันซลทำร้ายร่างกายก็นอนแน่นิ่งหลับตาอยู่บนโซฟาไปจึงไม่ได้พูดคุย ส่วนฝ่ายพ่อกับแม่ของแทอิลพอรู้ว่าเขาจะคุยเรื่องแต่งงานกลับขอไม่คุยเรื่องนี้ด้วยก่อน เพราะอยากคุยกับลูกชายและคนอีกคนที่นอนหน้าฟกช้ำอยู่บนโซฟาเสียก่อน ไว้ได้ฟังความจากลูกชายให้รู้เรื่องแล้วจะเป็นฝ่ายขอคุยกับฮันซลอีกที วันนั้นฮันซลจึงขอตัวกลับก่อน

     

                หลังจากนั้นสองวัน ฮันซลโทรศัพท์หาแทอิลของเขาเพื่อถามเรื่องที่พูดคุยกับคุณพ่อและแม่ของคนรัก แต่แทอิลบอกเขาว่าพ่อและแม่ยังไม่ได้ตัดสินใจ และคงเล่าอะไรให้เขาฟังมากไม่ได้ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด เมื่อถามถึงเรื่องของเพื่อนที่เป็นพ่อของลูกในท้องแทอิลว่าผู้ชายคนนั้นว่าอย่างไร แทอิลก็ตอบเขาว่ายังไม่ได้คุยด้วย เพราะพอตื่นมาอีกเพื่อนก็กลับไปแล้ว แทอิลจึงขอเบอร์โทรศัพท์ผู้ชายที่เขาต่อยหมัดใส่ไปเพื่อจะพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว แทอิลอยากไปด้วยแต่ตัวฮันซลก็ห้ามไว้ อยากจะคุยกับอีกฝ่ายแบบลูกผู้ชายตัวต่อตัวและได้ให้สัญญาไว้ว่าจะไม่ทำร้ายร่างกายเพื่อนของคนรักอีกซ้ำสอง แทอิลจึงยอมให้เบอร์โทรศัพท์กับที่อยู่ที่ทำงานที่ยองโฮได้ให้เอาไว้กับตน

     

                วันนี้ฮันซลจึงมาหาคู่กรณีถึงบริษัท เขาโทรบอกอีกฝ่ายล่วงหน้าไว้แล้วว่าอยากพบ เมื่อมาถึงที่ทำงานของคู่กรณี ก็พบกับร่างสูงที่ยืนรออยู่ตรงประชาสัมพันธ์ ใบหน้ามีพลาสเตอร์แปะอยู่สองสามแห่ง แต่ก็ไม่ทำให้เค้าโครงความหล่อนั้นหายไป

     

                “สวัสดีครับ คุณจีฮันซล”

                “สวัสดีครับ คุณซอยองโฮ”

     

                คนตัวสูงกว่าซึ่งเป็นพนักงานของที่นี่พาฮันซลขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นบน ซึ่งเป็นที่ทำงานของยองโฮ ห้องทำงานของคนหน้าหล่อแยกอยู่อีกฝั่งกับโต๊ะทำงานของพนักงานคนอื่นๆ คิดในใจว่าคงมีตำแหน่งน่าดูถึงได้มีห้องทำงานแยก เจ้าของห้องทำงานเป็นคนเปิดประตูต้อนรับแขกผู้มาเยือนอย่างให้เกียรติ ฮันซลก้มศีรษะให้เพื่อขอบคุณ เดินนำเข้าไป โดยที่ยองโฮเป็นคนปิดประตู

     

                “เชิญนั่งก่อนครับ”

     

                ยองโฮผายมือให้ฮันซลนั่งที่โซฟารับแขก ฮันซลนั่งลงอย่างเกร็งๆเพราะอีกฝ่ายต้อนรับเขาดีเกินไป เป็นผู้ชายที่มีมารยาทมากจนเขาชื่นชมอยู่ในใจ

     

                “จะดื่มอะไรก่อนไหมครับ ผมจะไปเอามาให้”

                “ไม่เป็นไรครับ เข้าเรื่องที่ผมจะคุยเลยดีกว่า คุณซอยองโฮก็นั่งเถอะครับ อย่ามัวแต่เสียเวลารับแขกอย่างผมเลย”

     

                ฮันซลเชิญให้ยองโฮนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้าม เจ้าของห้องทำงานค่อยๆหย่อนกายลงบนโซฟา แขกผู้มาเยือนจ้องใบหน้าหล่อของอีกฝ่ายอย่างพิจารณา ก่อนที่จะเอ่ยปากพูดคุย

     

                “ครั้งก่อนที่บ้านของแทอิล ผมต้องขอโทษที่ทำร้ายร่างกายคุณ และขอบคุณที่คุณไม่เอาเรื่อง”
                “ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจดีว่าทำไมคุณถึงทำแบบนั้น”

     

                ยิ้มพอเป็นมารยาทส่งมาให้ฮันซลเพื่อให้ได้ความสบายใจ แต่คนได้รับยิ้มนั้นกลับไม่ได้ยิ้มตอบ เขาไม่ได้มาเพื่อผูกสัมพันธ์ไมตรีนี่ ถึงจะได้ต้องมายิ้มให้ทั้งๆที่ไม่อยากยิ้ม ฮันซลเป็นคนตรงไปตรงมากับการแสดงออกต่อความรู้สึกอยู่แล้ว

     

                “ผมไม่ทราบว่าคุณคุยกับแทอิลหรือพ่อกับแม่ของแทอิลว่ายังไง แต่ที่ผมจะพูดวันนี้ขอให้คุณตัดสินใจเรื่องของแทอิลใหม่”

                “...”

                “ผมรู้ว่าแทอิลท้องกับคุณ แต่ผมคิดว่าคุณไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรแทอิลทั้งนั้น ผมจะเป็นคนรับผิดชอบแทอิลกับลูกของแทอิลเอง คุณไม่ต้องกังวลว่าแทอิลจะไปเรียกร้องสิทธิ์ให้คุณต้องดูแลเขากับลูกในภายหลัง ไม่ต้องกังวลว่าแทอิลกับลูกจะต้องลำบาก ผมจะดูแลทั้งสองคนอย่างดี เงินเดือนผมมากพอที่จะให้ทุกอย่างที่แทอิลต้องการได้”

               

                ฮันซลพูดตรงๆไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลาเพราะอยากให้การเจรจาจบลงโดยไว ยองโฮนั่งรับฟังแขกของเขาพูดโดยไม่ขัดจังหวะ สีหน้านิ่งเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว ก่อนจะเอ่ยปากพูดกับอีกฝ่าย

     

                “แทอิลขอร้องให้คุณมาพูดกับผมเรื่องนี้หรือครับ คุณฮันซล”

                “เปล่าครับ ผมเป็นคนอยากมาเอง มาในฐานะคนรักของแทอิล”

               

                เน้นคำว่า คนรักให้ได้ยินอย่างชัดเจน ถึงไม่บอกก็รู้ว่าคนตรงหน้าเขาตอนนี้เป็นคนรักที่แทอิลเคยบอกว่ามีคนที่คบหาอยู่ด้วยแล้ว รู้ตั้งแต่ตอนที่ไปหาที่บ้านแทอิลคราวนั้นแล้วถูกกระหน่ำหมัดใส่ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเจอ

     

                “คุณฮันซลครับ ผมเคยบอกกับแทอิลว่ายังไง ผมก็จะรักษาคำพูดที่ผมเคยให้ไว้ ว่าผมยินดีจะรับผิดชอบแทอิลกับลูก”

                “ไม่จำเป็นต้องทำในสิ่งที่ฝืนใจหรอกนะครับคุณยองโฮ”

                “ไม่ฝืนใจครับ ผมเต็มใจที่จะดูแลแทอิล และผมก็คิดดีแล้ว ผมสัญญาว่าจะดูแลแทอิลอย่างดี”

     

                ฮันซลกำมือแน่น อยากจะต่อยคนตรงหน้านี่อีกสักรอบ แต่ก็ไม่ทำแบบนั้น ได้แต่ระงับอารมณ์โกรธที่กำลังปะทุขึ้นในใจ เขาอุตส่าห์ใช้น้ำเย็นเข้าลูบแต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ผล

     

                “แต่คุณมีคุณเตนล์อยู่แล้วไม่ใช่หรือไงครับ”

     

                เหมือนว่าจะเพิ่งนึกออกว่าเคยเห็นหน้าหล่อนี่จากที่ไหน ซอยองโฮคนนี้เป็นแฟนกับคุณเตนล์ ดาราซูเปอร์สตาร์ที่กำลังโด่งดังอยู่ในขณะนี้ เรื่องนี้ดูเหมือนว่าเขาพอจะเอามาทำให้ซอยองโฮปฏิเสธการขอสิทธิ์ในตัวแทอิลได้มากทีเดียว

     

                “ผมเลิกกับเตนล์แล้วครับ และเตนล์ก็เข้าใจเรื่องทั้งหมด”

     

                อยากจะเลิกเป็นแฟนคลับของเตนล์ที่ฮันซลแอบชื่นชมในความสามารถอยู่ไม่น้อยเสียเดี๋ยวนั้น ทำไมคนรักกันถึงไม่พยายามเหนี่ยวรั้งกันเอาไว้บ้าง จะเกิดมาเป็นคนดีอะไรในเรื่องใหญ่โตแบบนี้ ยอมเลิกรากันง่ายๆได้อย่างไร ฮันซลมั่นใจว่าถ้าเขาเป็นเตนล์ ไม่มีทางที่เรื่องทุกอย่างจะจบลงง่ายดายอย่างที่ยองโฮบอก

     

                “ยังไงคุณก็จะไม่ยอมผมใช่ไหมครับ คุณซอยองโฮ”

                “ถ้าจะให้พูดตรงๆก็ไม่ยอมครับ คุณจีฮันซล”

     

                ดูเหมือนจะเป็นคนที่ยอมคนเพราะกิริยามารยาทที่ดูอ่อนน้อม แต่ฮันซลกลับคิดผิดถนัด ผู้ชายคนนี้หัวแข็งกว่าที่เขาคิดเอาไว้ นึกว่าจะตกลงกันได้ง่ายๆเสียอีก ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ไม่สามารถโน้มน้าวหรือทำให้ใจที่มุ่งมั่นของยองโฮนั้นสั่นคลอนไปได้เลย เขาต้องทำเช่นไรยองโฮถึงจะยอม เขาไม่อยากเสียแทอิลไปให้กับยองโฮ รู้ว่าสองคนไม่ได้รักกัน อยู่ด้วยกันไปก็มีแต่จะความทุกข์ ทำไมยองโฮถึงอยากจะแต่งงานกับแทอิลนัก เป็นสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ

     

                ฮันซลลุกขึ้นจากโซฟาสีดำที่นั่งอยู่ ค่อยๆก้าวเท้าเดินไปใกล้ยองโฮ ยืนมองใบหน้าอีกคนฝ่ายอยู่นาน ความคิดว่าอยากจะใช้กำลังระบายโทสะในใจก็ถูกระงับด้วยสติที่บอกว่าเขาควรทำบางสิ่งที่ดีกว่านั้น           ขายาวที่เคยแข็งแกร่งกลับแปรเปลี่ยนไป เข่าสองข้างงอลงจนกลายเป็นว่าเขาต้องคุกเข่าให้กับร่างสูงคนนี้ ยองโฮพูดไม่ออกกับสิ่งที่ฮันซลกำลังทำ ทำไมถึงได้ยอมเสียศักดิ์ศรีคุกเข่าก้มศีรษะต่อหน้าเขา ทั้งที่วันก่อนยังต่อยหน้าเขาอย่างไม่ยอมแพ้อยู่เลยด้วยซ้ำ

     

                “คุณ...คุณฮันซล ลุกขึ้นเถอะครับ”

                “ขอร้องล่ะคุณยองโฮ กรุณายอมแพ้เรื่องแทอิล ให้ผมได้รักกับแทอิลอย่างเดิมเถอะครับ เขาเป็นทุกอย่างในชีวิตผมแล้วจริงๆ”

                “ลุกขึ้นเถอะครับคุณฮันซล อย่าทำแบบนี้เลย”

                “ผมมีทั้งเงิน มีหน้าที่การงานที่ดี ผมมีความรักที่จะให้แทอิล ในแบบที่คุณก็มีให้เขาไม่ได้ คุณไม่ได้รักแทอิล การแต่งงานเพื่อรับผิดชอบมันมีความสุขหรือครับ คุณก็เห็นแบบอย่างจากในละครตั้งเยอะแยะว่ามันไม่ได้ดีอะไร เด็กที่จะเกิดมามีแต่จะไม่ได้รับความอบอุ่นจากการที่พ่อกับแม่ไม่ได้รักกัน เขาไม่มีความสุขหรอกนะครับ”

     

                ยองโฮฟังก็เงียบไป เขารู้ว่าฮันซลเป็นผู้ใหญ่กว่าและคิดถึงเรื่องนี้เอาไว้ในขณะที่เขาไม่ได้คิด ต้องขอบคุณฮันซลที่ทำให้เขาได้คิดในตอนนี้ว่าการแต่งงานไม่ใช่เรื่องของคนสองคน แต่ต้องคิดถึงเรื่องของลูกของเขากับแทอิลที่กำลังจะเกิดมา เหมือนว่าเขาจะเห็นแก่ตัวที่เอาแต่จะรับผิดชอบ รู้ว่าแทอิลไม่ได้เต็มใจนัก แต่ก็ยังผูกมัดแทอิลในทุกเรื่องเพื่อให้คนที่อาจบอกได้ว่าเป็นแม่ของลูกยินยอม

     

                ยองโฮดึงฮันซลให้ลุกขึ้นจากพื้น แม้ทีแรกจะขัดขืนเพราะยังไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ แต่ฮันซลยอมลุกในทีหลังและกลับไปนั่งที่โซฟาฝั่งเดิมหวังว่าจะได้รับคำตอบที่เขาพึงพอใจ

     

                “คุณฮันซลครับ ผมขอบคุณที่คุณทำให้ผมคิดได้”

                “คุณยองโฮยอมแล้วใช่ไหมครับ”

                “คุณบอกว่าคุณมีหน้าที่การงานที่ดี มีเงิน ผมเองก็มีทุกอย่างที่คุณพูด คุณบอกว่าคุณมีความรักที่ผมไม่สามารถให้แทอิลได้ ผมว่าคุณคงคิดผิดไปบ้าง ผมเองก็มีความรักที่จะให้แทอิลในแบบของผม ดังนั้น สิ่งใดที่คุณมี ผมเองก็มีเหมือนๆกัน มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนกันคือรูปแบบของความรักที่ให้แทอิล แต่ผมมีสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าผมมี แต่คุณไม่มี..”

                “อะไร อะไรที่คุณมี แต่ผมไม่มี”

                “สิ่งที่ผมมี แต่คุณไม่มี ก็คือ.. เชื้อสายความเป็นพ่อของลูกในท้องแทอิลไงครับ”

     

                ยอมรับว่าแพ้จริงๆ ทำไมถึงเอาชนะคนๆนี้ไม่ได้เสียที นั่นสินะ สิ่งที่คนเราจะมี ของนอกกายอยากมีเหมือนใครก็มีได้ แต่เรื่องของเชื้อสายพันธุกรรมในร่างกาย จะไปเปลี่ยนแปลงได้ยังไง ต่อให้ฮันซลได้เป็นพ่อที่เลี้ยงดูลูกของแทอิลยังไง ก็ไม่มีวันที่จะพูดได้ว่าเด็กที่จะเกิดมานั้นเป็นเชื้อสายที่แท้จริงของเขา หน้าตาเหมือนเขาสักนิดก็คงไม่มีเค้าโครงให้เหมือน ในเมื่อไม่ได้รับอะไรจากฮันซลมาเลย

     

                ทำไมเขาถึงเจ็บกับคำพูดของยองโฮนัก ทำไมการที่คนรักของเขาท้องกับผู้ชายตรงหน้าเขามันถึงทำให้เขาทรมานมากขนาดนี้

     

                “ผมขอโทษที่อาจจะพูดแรงไป แต่ผมก็อยากให้คุณเลิกดูถูกว่าผมจะไม่สามารถทำให้แทอิลมีความสุขได้ ลูกของแทอิลที่จะเกิดมา เป็นลูกของผมจริงๆ ในอนาคตผมก็จะเป็นพ่อคน คนเป็นพ่อ มีหรือครับที่จะไม่รักลูก”

     

                ถึงใครจะบอกว่าคนที่รักลูกมากที่สุดจะเป็นคนที่ให้กำเนิดจริงๆอย่างแม่ คนถึงได้ให้ความสำคัญกับวันแม่มากกว่าวันพ่อ แต่สำหรับยองโฮ ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่ ก็คือบุคคลที่จะรักคนๆหนึ่งที่เรียกว่าลูกได้มากที่สุดอย่างเท่าเทียมกัน  ถึงจะเป็นลูกที่เกิดมาอย่างไม่ได้ตั้งใจและเขารู้สึกกังวลในทีแรก แต่เขาก็ดีใจไม่น้อยที่จะมีคนๆหนึ่งเรียกเขาว่า พ่อมันคงเป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์

                ยองโฮเห็นใจฮันซลในเรื่องของแทอิล แต่เขาเองก็ต้องลาจากกับเตนล์ที่เขาเองก็รักเพราะความรับผิดชอบที่มีมากกว่า ดังนั้นฮันซลควรจะเห็นใจเขาบ้างเช่นกัน ควรจะเห็นในความตั้งใจของเขาบ้าง

     

                “แต่ผมจะลองคิดดูใหม่อีกครั้งก็ได้ครับเรื่องของผมกับแทอิล ถ้าแทอิลเป็นคนมาขอร้องด้วยตัวของเขาเอง ผมอาจจะเห็นแก่แทอิล”

     

                เหมือนว่ายองโฮจะใจร้ายที่กดดันให้แทอิลเป็นคนทำทุกอย่าง แต่เรื่องแบบนี้คนที่จะตัดสินใจได้ก็มีเพียงแค่เขากับแทอิล จีฮันซลเป็นคนรักแทอิลก็จริงแต่ก็ถือเป็นคนนอกสำหรับเรื่องนี้ ยองโฮตัดสินใจแล้วว่ายังไงเขาก็จะรับผิดชอบ เหลือเพียงแต่แทอิลที่ยังไม่ได้เอ่ยปากบอกให้เขาได้รับรู้อย่างแท้จริงว่าตัดสินใจเช่นไร ถ้าแทอิลยอมขอร้องเขาอย่างจริงจังสักครั้ง เขาอาจจะใจอ่อนลงบ้าง ยองโฮไม่ได้ใจร้าย แต่แค่เป็นคนที่มีความรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป เขาสามารถทำสิ่งใดได้ก็ควรทำก่อนจะสายไป ไม่อยากต้องมาเป็นกังวลเหมือนที่ผ่านๆมา ถ้าไม่ทำ เขาอาจจะเสียใจไปตลอดชีวิตก็ได้

     

                ฮันซลลุกพรวดขึ้นจากโซฟา เดินออกไปจากห้องทำงานของคนที่กำลังจะแย่งคนรักไปโดยไม่กล่าวลาเหมือนตอนมาที่ทักทายเสียดิบดี ยองโฮมองแผ่นหลังของฮันซลที่จากไปด้วยความสงสาร เอนศีรษะพิงกับเบาะนุ่มของโซฟาอย่างเหนื่อยใจ

     

                ถ้าแทอิลเกิดมาขอร้องเข้าจริงๆ ควรจะปล่อยไปดีหรือเปล่า ปล่อยให้แทอิลไปตามทางอันแสนหวานของแทอิลกับจีฮันซลแบบเดิมมันจะดีหรือเปล่า

     

                แล้วเขาที่ยอมเลิกกับเตนล์ล่ะ มันจะกลายเป็นเรื่องเสียเปล่าใช่ไหม

     

     

     

     

     

    ----- The Way We Are -----

     

     

     

     

     

                ทั้งที่วันนี้ตั้งใจจะไปนอนค้างที่หอพักของบริษัทที่เดินจากบริษัทไปห้านาทีก็ถึงเพราะอยากจะทำอัลบั้มใหม่ของนักร้องสาวในค่ายให้สมบูรณ์ ที่คาดว่ากว่าจะเสร็จคงดึก แต่คุณซลก็โทรศัพท์มาบอกว่าอยากจะคุยกับเขาให้รู้เรื่อง โทรหาพ่อและแม่ของเขาเรียบร้อยแล้วว่าจะไปทานข้าวเย็นด้วย แทอิลจึงต้องหยุดความตั้งใจเอาไว้ก่อน และยอมไปกับฮันซล แล้วไว้ค่อยกลับมาหลังจากพูดคุยกับแฟนของเขาเสร็จก็ได้

     

                คนรักมารับแทอิลตรงเวลา ใบหน้าที่เคยมีแต่ยิ้มหวานแบบหล่อๆของฮันซลไม่มีปรากฏให้แทอิลได้เห็นเหมือนเช่นเคย มีแต่ยิ้มที่ฝืนออกมาให้ได้เห็น ฮันซลขับเคลื่อนรถออกจากหน้าค่ายเพลงยักษ์ใหญ่เพื่อขับไปที่ไหนสักแห่ง อาจเป็นร้านอาหารหรือบ้านของแทอิลเองก็ไม่แน่ใจ

     

                “วันนี้คุณซลไปหาซอยองโฮมาแล้วนะ”

     

                ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร ไม่คิดว่าฮันซลจะไปหาเพื่อนร่วมรุ่นคนนั้นจริงๆ ไม่กล้าถามว่าเกิดอะไรขึ้น เหมือนว่าเห็นสีหน้าของหน้าหล่อคนรักแล้วก็พอจะรู้ว่ามันไม่ค่อยดีสักเท่าไร

     

                “เขายืนยันว่าจะรับผิดชอบแทล ไม่ว่าจะพูดอะไรเขาก็ไม่เปลี่ยนใจเลย”

     

                ไม่อยากเชื่อว่ายองโฮจะอยากรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นมากขนาดนี้ สมัยเรียนก็ไม่เห็นว่าซอยองโฮจะดูเป็นคนมีความรับผิดชอบอะไรเท่าไร ทำไมในตอนนี้ถึงดูเปลี่ยนไป หรือว่าแท้จริงแทอิลรู้จักยองโฮไม่ดีพอ ก็อาจจะเป็นแบบนั้น หน้ายังไม่มองกันนับประสาอะไรกับนิสัยที่อยู่ภายในแทอิลถึงจะต้องรู้

     

                “คุณซลเหนื่อยไหม”

     

                แทอิลถามด้วยความเป็นห่วง แต่ฮันซลไม่มีคำตอบให้สำหรับคำถาม ถ้าถามว่าเหนื่อยไหม เขาไม่เหนื่อยกายแต่รู้สึกเหนื่อยใจ เหมือนว่าลมหายใจกำลังจะหมดลงทุกครั้งที่คิดว่าแทอิลจะต้องจากเขาไป แต่ถามว่าเขาท้อไหม คำตอบคือไม่ หากเขาท้อใจ ก็คงยอมปล่อยแทอิลไปให้กับผู้ชายคนนั้นแล้วในเมื่อฝ่ายนั้นเองก็มีทุกอย่างที่เขามี แถมยังมีมากกว่าอยู่หนึ่งสิ่งซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ เขาจะยอมแพ้ก็ต่อเมื่อคนที่เขารักมากที่สุดอย่างแทอิลเป็นคนบอกให้เขายอมแพ้ เพราะนั่นหมายความว่าเขาได้คำตอบแล้วว่าแทอิลเลือกใคร

     

                “มีอะไรหรือเปล่าคุณซล มีอะไรก็บอกแทลบ้าง”

                “เขาบอกว่าถ้าแทลไปขอร้องเขา เขาอาจจะยอม”

     

                ใจจริงฮันซลไม่อยากบอกแทอิล ทำไมคนที่เขารักจะต้องไปอ้อนวอนขอร้องอะไรกับคนแบบนั้น ซอยองโฮมันเป็นเจ้าชีวิตแทลของเขาหรืออย่างไรถึงต้องจะให้ทำกันขนาดนี้ แต่เมื่อแทอิลฟังแล้วก็ไม่ได้แสดงความเห็นว่าจะทำหรือไม่ทำอย่างไร เพียงแค่หันมามองหน้าฮันซลที่มุ่งมั่นขับรถให้ถึงที่หมายโดยไว

                รถถูกจอดที่ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ฮันซลชอบพาครอบครัวแทอิลมาทานบ่อยๆ เมื่อลงจากรถ ฮันซลก็จับมือนุ่มของแทอิลให้เดินเข้าร้านไปด้วยกัน ร้านอาหารเป็นแบบห้องส่วนตัว ซึ่งฮันซลโทรมาจองไว้เรียบร้อยแล้ว พนักงานนำทั้งคู่ไปยังห้องที่ถูกจองไว้ พบว่าภายในมีบุคคลสองคนที่มาอยู่ก่อนหน้าแล้วนั่นคือพ่อและแม่ของแทอิล สองคนที่เพิ่งมาใหม่ค่อยๆนั่งลงกับพื้นเสื่อญี่ปุ่น ตรงข้ามกับฝั่งที่ผู้ใหญ่นั่ง

     

                บนโต๊ะอาหารมีอาหารมากมายที่ถูกสั่งมาก่อนหน้า และมันก็ครบถ้วนเพียงพอสำหรับสี่คน พ่อและแม่ของแทอิลรู้ว่าลูกชายของตนและคนรักของลูกชายชอบอะไรจึงได้สั่งไว้หมดแล้ว บรรยากาศวันนี้ไม่ดีนัก เงียบไม่มีใครพูดคุยอะไร แม้จะสนิทกันเป็นเหมือนครอบครัว แต่ก็ไม่เป็นครอบครัวที่อบอุ่นเหมือนเคย มันเงียบยิ่งกว่าวันแรกที่ฮันซลมาพบกับพ่อแม่ของคนรัก วันนั้นเขายังคงเกร็งถึงได้ไม่พูดคุยสักเท่าไร วันนี้รักและสนิทกันจนรู้แทบทุกเรื่อง ทั้งที่มีเรื่องมากมายให้ได้พูดคุย กลับเป็นว่าไร้ซึ่งคำพูดใดๆ

     

                อาหารค่อยๆพร่องลงไปเรื่อยๆ จนอาหารหมดไปหลายจาน ฮันซลเป็นคนวางตะเกียบที่คีบรับประทานอาหารลงเป็นคนแรก หลังจากนั้นบุคคลอีกสามคนที่นั่งร่วมโต๊ะก็หยุดการทานไปด้วย

     

                เหมือนเวลาที่ฮันซลและแทอิลรอคอยจะมาถึง บิดาและมารดาของแทอิลหันมองหน้ากัน หญิงยกลางคนผู้เป็นมารดาพยักหน้าให้กับชายผู้เป็นสามีอย่างช้าๆด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง

     

                “คุณฮันซล แทอิล พ่อกับแม่อยากให้แทอิลแต่งงานกับคุณยองโฮ”

     

                อยากให้เขาได้ยินผิดไป อยากให้เขาแค่หูฟาด ฮันซลไม่อยากจะเชื่อว่าเขาได้ยินประโยคที่บิดาของคนรักพูดอย่างถูกต้อง ทำไมคนที่เขามั่นใจว่าต้องเข้าในความรักของเขากับแทอิลถึงได้ตัดสินใจเช่นนี้ สุดท้ายแล้วก็ไม่เข้าใจในความรักของเขาหรือเช่นไร

     

                “ทำไมละครับคุณพ่อ”

     

                ฮันซลอยากฟังเหตุผลให้หายข้องใจถึงการตัดสินใจของผู้ใหญ่ที่เขาเคารพรักทั้งสองจึงได้เอ่ยถาม

     

                “คุณฮันซล พ่อขอถามอะไรหน่อย ถ้าคุณฮันซลเป็นคุณยองโฮ คุณฮันซลจะทำยังไง”

     

                ไม่รู้จะตอบว่าอะไร เพราะฮันซลก็ไม่รู้ว่าถ้าเขาเป็นยองโฮ หากเกิดเรื่องแบบนี้กับตัวเขา เขาจะทำเช่นไร ควรรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นแม้อีกฝ่ายจะไม่เต็มใจ หรือควรจะทำตามใจอีกฝ่ายโดยการไม่รับผิดชอบ สิ่งใดดูเห็นแก่ตัวกว่ากันเขาไม่รู้

     

                “พ่อไม่รู้ว่าถ้าเป็นคุณฮันซล คุณฮันซลจะทำยังไง แต่ถ้าเป็นพ่อ พ่อก็จะทำแบบที่คุณยองโฮทำ วันนั้นที่เขามาที่บ้าน หลังจากที่คุณฮันซลกลับไป คุณยองโฮเขาก็ตื่นขึ้นมา หลังจากที่เขาตื่นสิ่งแรกที่เขาทำคือคุกเข่าลงต่อหน้าพ่อกับแม่อีกครั้ง ก้มศีรษะขอโทษเรื่องแทอิลซ้ำแล้วซ้ำเล่า อธิบายเรื่องราวทั้งหมด ขอร้องและอ้อนวอนให้พ่อกับแม่ยกแทอิลให้เขาดูแล”

                “แม้ว่าแทลจะท้องกับคนอื่น แต่ว่าผมรับได้นะครับ แทลเป็นคนที่ผมรัก ไม่ว่ายังไงผมก็จะไม่ทิ้งแทล”

                “พ่อรู้ว่าคุณฮันซลรักแทอิลของพ่อมาก พ่อไม่ได้อยากขัดขวางความรักของลูกสองคน แต่เรื่องแบบนี้มันรับผิดชอบแทนกันไม่ได้นะคุณฮันซล ในเมื่อเรื่องนี้มันเกิดขึ้นก็เพราะคุณยองโฮกับแทอิล คุณยองโฮก็ต้องรับผิดกับสิ่งที่เขาทำ มันถูกต้องแล้ว และจากที่คุณยองโฮทำและบอกกับพ่อและแม่ พ่อเชื่อว่าเขาก็จะทำให้แทอิลของเรามีความสุขได้”

     

                ฮันซลได้เพียงแค่นั่งนิ่งรับฟังเรื่องราวด้วยหัวใจที่สั่นไหว ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเพื่อกลั้นอารมณ์ความรู้สึกที่หัวใจของเขารู้สึกและไม่อาจแสดงออกมา ดวงตาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง พยายามกลอกลูกตาไปมาไม่ให้น้ำได้เอ่อไหล

     

                “ถ้าพ่อรู้ว่ากำลังจะมีลูกคนแรก แต่พ่อไม่สนใจใยดี ปล่อยให้คนที่ต้องอุ้มท้องเป็นคนเลี้ยงลูกอยู่คนเดียว พ่อคงเสียใจไปตลอดชีวิต”

                “เข้าใจแล้วครับคุณพ่อ ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณที่คุณพ่อทำให้ผมคิดได้”

     

                น้ำตาที่อดกลั้นไว้ ท้ายที่สุดก็หลั่งไหลออกมาจากดวงตา ฮันซลก้มศีรษะสองครั้งก่อนจะลุกเดินออกจากห้องอาหารไป แทอิลรีบลุกตามฮันซลที่หุนหันออกไปโดยไม่กล่าวลา มือบางปาดน้ำตาที่เอ่อล้นอยู่ในตาให้มองเห็นสิ่งต่างๆได้ชัดเจนขึ้น รีบสาวเท้าเดินตามคนรักที่ห่างเขาออกไปทุกที

     

                แทอิลวิ่งมาถึงลานจอดรถ เห็นอีกคนที่ออกมาก่อนหน้านั่งอยู่ในรถ ศีรษะของคนรักก้มชิดติดพวงมาลัย เขารู้ว่าคุณซลกำลังร้องไห้ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่คบกันที่เขาทำให้คุณซลของตนเสียใจมากขนาดนี้ เขาไม่เคยเห็นน้ำตาของฮันซลสักครั้งและนี่เป็นครั้งแรก แทอิลหยุดยืนที่ข้างรถ อยากบอกให้เจ้าของรถเปิดประตูให้เขาได้พูดคุย อยากบอกฮันซลให้หยุดร้องไห้ กลับมาเป็นคนเดิมที่มีแต่รอยยิ้มให้เขา แต่ก็ทำได้เพียงแค่เฝ้ามองอยู่ข้างนอกผ่านกระจกใสบางๆที่คั่นระหว่างพวกเขา มือลูบกระจกรถอย่างอ่อนโยนเสมือนว่าคือใบหน้าของคนรัก

     

                ฮันซลรู้ดีว่าคนที่เขารักที่สุดยืนมองเขาอยู่ข้างๆ มีเพียงแค่ประตูรถที่กั้นทั้งสองเอาไว้ เขารู้ว่าแทอิลร้องไห้ อยากดึงแทอิลมากอดเหมือนทุกคราที่แทลของเขาอ่อนแอ แต่เขาก็กำลังร้องไห้ สภาพเขาในตอนนี้มันย่ำแย่เกินกว่าที่จะบอกให้แทอิลหยุดร้อง เพราะเขาเองก็ยังทำไม่ได้ ไม่อยากให้แทอิลต้องเห็นว่าเขาเองอ่อนแอ พอคิดว่าการที่เขานิ่งเฉยทำเป็นไม่สนใจแทอิลตั้งแต่ตอนนี้เสียก็ดี เพราะลมหายใจต่อจากนี้ก็จะไม่มีสิทธิ์ได้ทำแบบที่เคยทำ แต่เหมือนหัวใจจะต่อต้านความคิด ท้ายที่สุดฮันซลก็ยกแขนขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้า เปิดประตูรถยนต์ออก จ้องมองใบหน้าแทอิลที่มีแต่คราบน้ำตา แขนยาวพาดเข้ากอดคนตัวเล็กของเขา แทอิลสั่นและสะอื้นอยู่ในกอดของฮันซล น้ำตามากมายไหลพรั่งพรู

     

                คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้กอดกันแบบนี้ ครั้งสุดท้ายที่จะได้ปลอบประโลมกันและกันด้วยกอดที่ลึกซึ้งเช่นนี้

     

                “แทล.. อย่าร้องสิ คุณซลเจ็บปวดใจมากพอแล้ว เห็นแทลร้องไห้แบบนี้.. คุณซลก็ยิ่งเจ็บปวด”

     

                ยิ่งพูดก็หยิ่งหลั่งน้ำตา ยิ่งฟังน้ำตาก็ยิ่งไหล ฮันซลยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มของคนรักที่อยู่ชิดติดใบหน้าของตน มีแต่เสียงร่ำไห้ที่ดังกังวานอยู่ในโสตประสาท นั่นยิ่งทำให้หัวใจของฮันซลบีบรัดยิ่งขึ้นไป 

     

                “ร่าเริงเข้าไว้สิแทล ตอนนี้กำลังท้องนะ ร้องไห้แบบนี้ ลูกของแทลจะแย่เอานะ”

                “ฮะ..ฮึก... คุณซล..”

                “คุณซลมีเรื่องอยากจะพูดกับแทลมากมาย แต่คุณซลไม่มีแรงจะพูดเลยแทล..”

     

                อยากบอกมากเหลือเกินว่าเขารู้สึกอย่างไร อยากบอกว่าตอนนี้คิดอย่างไร อยากบอกให้หมดทุกสิ่งอย่าง แต่มันมากมาย ให้พูดจนน้ำเสียงเหือดแห้งก็คงบอกความในใจได้ไม่หมด อยากบอกคนในอ้อมกอดก่อนที่จะต้องจากลา ที่ผ่านมานึกว่าฟ้าจะลิขิตให้เขากับแทอิลเกิดมาคู่กัน ลมหายใจสุดท้ายของใครสักคน ไม่เขาหรือแทอิล จะต้องมีกันและกันอยู่เคียงข้าง แต่เขาคงคิดผิดไป วันที่ไม่คิดว่าจะมีก็กลับมี และมาโดยไม่ทันตั้งตัว ไม่เคยคิดว่าจะต้องจากกันนอกเสียจากความตายมาพราก หากเขารู้ก่อนหน้าว่าจะต้องจากกัน เขาคงจะบอกแทอิลทุกอย่างในเวลาที่เขามีเหลืออยู่

     

                เวลาที่มีอยู่ตอนนี้มันเหลือน้อยเหลือเกิน

     

                “จะได้แต่งงานแล้วสินะแทลของคุณซล กำลังจะมีลูกแล้วด้วยสิ ยินดีด้วยนะ”

                “ฮะ...ฮือ...”

                “แทลเคยทำดียังไงให้คุณซล เคยดูแลคุณซลดียังไง เคยรักคุณซลแบบไหน เคยมีความสุขกับคุณซลยังไง ก็ทำแบบที่เคยทำ ทำให้คุณยองโฮมีความสุขนะ เขาจะได้รักแทลมากๆ แล้วแทลก็จะได้มีความสุข ถ้ามีปัญหาก็ให้ใจเย็น ทุกข์ใจก็ให้อดทน ชีวิตมันจะกระทบกระทั่งกันบ้างก็เป็นธรรมดา”

                “ฮะ...ฮึก... ฮือ..”

                “เป็นทั้งพ่อและแม่ที่ดีให้กับลูก เลี้ยงลูกของแทลด้วยความรัก ให้เขาเติบโตมาเป็นคนดี เรียนหนังสือเก่งๆ ดูพ่อกับแม่แทลเป็นตัวอย่าง ท่านทั้งสองเลี้ยงแทลมาให้ดีแบบนี้ได้ยังไง แทลกับคุณยองโฮก็ต้องเป็นแบบนั้นได้”

     

                คงมีแค่คำอวยพรและความเป็นห่วงใยให้กับแทอิลของเขา แทลของคุณซลเก่งจะตายไป เชื่อฟังเขาเสมอมา ครั้งสุดท้ายนี้ที่เขาจะฝากอะไรไว้แทลของเขาก็คงจำได้ขึ้นใจทุกคำพูดและทำตามคำขอได้

     

                ฮันซลกลอกตาไปมาเพื่อหยุดยั้งน้ำตาที่ตอนนี้เกือบจะหยุดไหลแล้ว แต่ก็ยังมีน้ำตาคลอ พยายามคิดว่ามีสิ่งใดที่เขาอยากพูดแต่ยังไม่ได้พูดอีก

     

                “คะ..คุณซล.. ฮะ..ฮึก.. จะจากแทลไปไหน..”
                “คุณซลไม่ได้จากแทลไปไหน คุณซลจะยังอยู่ข้างแทลเสมอ เป็นผู้ชายคนนึงที่รักแทล รักยิ่งกว่าที่คุณซอยองโฮจะรักแทล และรักตลอดไป”

     

                มันอาจไม่ใช่รักที่เป็นรักในแบบเดิมที่เขาเคยมีให้กับแทอิล มันอาจเป็นความรักแบบคนที่ห่วงใยกันแต่ไม่ใช่คนรัก อาจเป็นความรักระหว่างเพื่อนกับเพื่อน อาจเป็นความรักสักแบบที่ไม่สามารถบ่งบอกได้ชัดเจน แต่ไม่ว่าจะเป็นรักในแบบใด ฮันซลก็มั่นใจว่ารักที่เขาจะมีให้แทอิลทั้งหมด เขาจะรักให้ได้มากกว่ารักที่ยองโฮจะมีให้แทอิล อาจมีรูปแบบที่แตกต่างกันแต่จะต้องไม่น้อยไปกว่า

     

                “สะ..สัญญา... ฮึก.. สัญญานะ”

     

                ฮันซลคลายกอดแทอิล มือสองข้างจับที่ไหล่บาง มองตาแทอิลเพื่อสื่อความหมายของคำสัญญา ว่ามันจะมั่นคงมากเพียงใด

     

                “คุณซลเคยโกหกแทลไหม หืม? เคยผิดสัญญากับแทลหรือเปล่า”

     

                คนถูกถามส่ายศีรษะไปมา รอยยิ้มเริ่มปรากฏบนใบหน้าของทั้งสอง ยิ้มเพื่อทุกอย่างที่กำลังจะจากลา ยิ้มให้กับการที่จะเริ่มต้นใหม่กับสถานะของทั้งคู่ที่จะแปรเปลี่ยนไป ความหวังของแทอิลต่อฮันซล คือการที่คนรักจะได้พบเจอกับคนที่ดีและรักฮันซลเท่าๆกับที่ฮันซลจะรักคนๆนั้น แทอิลรู้ดีว่าคนๆนั้นจะโชคดีมากแค่ไหนที่จะได้มีฮันซลอยู่ข้างกาย จะมีความสุขอย่างมากมายกับความรักที่ไม่สิ้นสุดของฮันซล ความหวังของฮันซลก็ได้บอกแทอิลไปหมด แต่สิ่งที่หวังที่สุดก็คือการที่ยองโฮจะรักและดูแลแทอิลอย่างดี แค่ยองโฮมีใจอยากจะดูแลแทอิลอย่างแน่วแน่ ก็ทำให้ฮันซลเชื่อแล้วบ้างว่ายองโฮเป็นคนดี

     

                “และอยากให้แทลรู้ไว้ แม้ว่ากาลเวลาอาจจะเปลี่ยนแปลงให้คุณซลเป็นแค่ฮันซลหรือแทลอาจจะเป็นแค่แทอิล จีฮันซลคนนั้นก็พร้อมจะอยู่ข้างๆมุนแทอิลเสมอ”

     

                วันพรุ่งนี้ถ้าแทลไม่มีคุณซล จากคุณซลไปเป็นแค่ฮันซล ชีวิตจะเป็นอย่างไร

                มันยากหรือไม่ที่จะอยู่โดยไร้คนที่หัวใจไม่เคยอยู่ห่างกัน

     

     

     

     

     

     

     

     

    ----- The Way We Are -----

     

               

     

     

     

                แทอิลนอนไม่หลับ ความคิดวุ่นวายมันตีกันยุ่งเหยิงไปหมด แม้คุยกับฮันซลรู้เรื่องและเป็นอันจบความสัมพันธ์ที่ถึงแม้จะเจ็บปวดแต่ก็จบลงอย่างสวยงามด้วยความเข้าใจ แต่ก็ยังมีอีกบุคคลหนึ่งที่กำลังจะได้ใช้ชีวิตร่วมกัน แต่ก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรของกันและกันสักอย่าง แทอิลหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้บนเตียงขึ้นมาอยากโทรไปหา แต่พอเห็นเวลาบนหน้าจอแสดงเวลาเกือบจะเข้าวันใหม่ในอีกไม่กี่นาทีก็เปลี่ยนใจ เลือกเข้าเมนูข้อความ กดหารายชื่อของยองโฮ แล้วพิมพ์ข้อความ

     

              ตอนนี้นอนหรือยัง อยากคุยด้วย – แทอิล

     

                พิมพ์เสร็จก็กดปุ่มส่งข้อความไป เพียงแค่ตัวเลขบอกนาทีของนาฬิกาเปลี่ยนไปเป็นอีกเลข ก็มีสายโทรเข้า ซึ่งแสดงรายชื่อของคนที่เพิ่งจะส่งข้อความไปหา แทอิลสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อตั้งสติให้มั่นแล้วจึงกดรับสาย

     

                “สวัสดียองโฮ คือเราไม่ได้ส่งข้อความไปรบกวนใช่ไหม”

                (“ไม่รบกวนหรอก มีอะไรหรือเปล่าแทอิล”)

                “นายจะทำอย่างที่พูดจริงๆหรือเปล่ายองโฮ เรื่องของเราสองคน”

                (“ถ้าเป็นเรื่องที่จะแต่งงานกับแทอิล ฉันพูดจริง”)

     

                ยองโฮยังคงยืนยันในคำพูดที่เคยพูดไว้ ยองโฮอยากเดาว่าที่แทอิลโทรมาเพราะได้คุยกับฮันซลแล้ว อาจโทรมาเพื่อทำตามที่เขาบอกฮันซลเอาไว้ก็ได้ หากแทอิลยอมขอร้องด้วยตัวเอง ก็อาจจะคิดใหม่

     

                “แล้วนายจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเหรอยองโฮ” 

                (“ถ้าเป็นเรื่องเตนล์ ฉันเลิกกับเขาแล้วล่ะ เตนล์เข้าใจเรื่องของฉันกับแทอิล ส่วนครอบครัวของฉัน ฉันก็บอกแล้ว ทุกคนก็ยอมรับแทอิลเข้ามาอยู่ในบ้าน ส่วนเรื่องพ่อกับแม่ของแทอิล ท่านทั้งสองก็ยอมยกแทอิลให้ฉันแล้ว”)

                “คุยกับพ่อแม่เราวันนี้เหรอ”

                (“เปล่า หลังจากวันที่ไปหาแทอิลที่บ้านก็ได้นัดเจอกันอีกครั้งน่ะ”)

                “เรากับคุณฮันซลก็เพิ่งรู้วันนี้ว่าพ่อกับแม่ตกลงจะให้เราแต่งงานกับนาย ถ้าพ่อกับแม่เราคิดแบบนั้น คุณฮันซลเองก็เห็นด้วย เรื่องมันก็คงต้องเป็นแบบที่นายตั้งใจไว้แล้วล่ะยองโฮ”

     

                ยองโฮเข้าใจว่าที่แทอิลพูดหมายความว่าอย่างไร มันก็คือการตอบตกลงที่จะให้เขารับผิดชอบกับชีวิตแทอิลและลูกต่อจากนี้ ความกังวลที่เขามีมาตลอดทั้งวันหลังฮันซลมาหาถึงบริษัทลดน้อยลง ในเมื่อแทอิลตอบตกลง และแทอิลก็เป็นบอกเขาเมื่อครู่ว่าฮันซลเห็นด้วย เป็นอันว่าเรื่องที่ว่ายุ่งยากตอนนี้ก็เป็นจบไป ต่อจากนี้ก็คือการเริ่มใช้ชีวิตกับคนอีกคนที่เขาจะขอใช้ชีวิตด้วยแล้ว

     

                (“ขอบใจนะ ที่ตัดสินใจแบบนี้”)

                “คนที่ทำถูกมาตั้งแต่แรกก็คือยองโฮต่างหาก ว่าแต่.. เราสองคนจะเอายังไงต่อไปดี”

                (“ฉันตั้งใจว่าจะให้แทอิลมาอยู่ที่บ้านฉันก่อนสักพัก พอจัดการเรื่องบ้านของเราเสร็จ เราค่อยย้ายไปอยู่ด้วยกันสองคน.. แต่ว่าบ้านที่เราจะย้ายไปอยู่มันไม่ได้เป็นบ้านใหม่นะแทอิล มันเป็นบ้านที่ฉันเคยอยู่ตอนมัธยม แทอิลคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม”)

                “ไม่ว่าอะไรหรอกยองโฮ เราไม่ได้เป็นคนเรื่องมาก”

     

                แค่ยองโฮอยากจะดูแลเขากับลูก มันก็มากมายพอแล้ว มีบ้านให้อยู่อาศัย ไม่ว่ามันจะเล็กหรือใหญ่ เก่าหรือใหม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยสำหรับแทอิล

     

                (“ถ้าจะให้ย้ายมาอยู่บ้านฉันวันเสาร์นี้ เร็วไปไหม แทอิลพร้อมหรือเปล่า”)

                “อื้ม ตามใจยองโฮเถอะ ถ้าอยากให้ย้ายวันเสาร์เราก็ไม่มีปัญหา”

                (“ถ้างั้นก็เก็บเอาเฉพาะเสื้อผ้ากับของที่จำเป็นไปพอนะ บ้านฉันมีพวกเครื่องใช้ให้พร้อมอยู่แล้ว ส่วนของอื่นๆไว้ถ้าย้ายไปอยู่บ้านใหม่เดี๋ยวค่อยกลับมาเก็บอีกทีนะ แล้วเดี๋ยววันเสาร์ฉันจะไปรับที่บ้านตอนสิบโมง”)

                “อื้ม”

                (“มีอะไรอีกไหมแทอิล ถ้าไม่มีก็นอนได้แล้วนะ กำลังท้องอยู่ ต้องพักผ่อนให้มากๆ”)

                “ไม่มีแล้วละ ขอโทษที่รบกวนตอนดึกๆนะ ราตรีสวัสดิ์ยองโฮ”

                (“ราตรีสวัสดิ์แทอิล”)

     

                เมื่อสิ้นเสียงราตรีสวัสดิ์ยองโฮ แทอิลเป็นฝ่ายกดวางสายก่อน แล้วจึงวางโทรศัพท์ไว้ข้างหัวเตียง ปิดโคมไฟที่ให้แสงสว่าง ล้มตัวนอนลงกับเตียง หลับตาลงพร้อมความเหนื่อยล้า แต่ทว่าสมองก็ยังคงคิดเรื่องราวต่างๆวนไปมาซ้ำๆถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา ปัจจุบันที่กำลังจะผ่านไป และอนาคตที่ไม่รู้จะเป็นเช่นไร

     

     

     

     

    ----- The Way We Are -----

     

               

     

     

     

                ยองโฮมาที่บ้านแทอิลตรงวันและเวลาที่ได้นัดเอาไว้เมื่อหลายคืนก่อน วันนี้ก็เหมือนเช่นคราวที่แล้วที่มาหา พ่อของแทอิลเป็นคนมาเปิดประตูให้ยองโฮเข้าไปในบ้าน เมื่อเข้าไปก็เห็นว่ามีกระเป๋าเสื้อผ้าและกล่องใส่ของวางไว้อยู่เรียบร้อยแล้ว เหลือก็แต่เจ้าของที่ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน

     

                “สวัสดีครับ คุณน้า”

                “ต่อจากนี้เรียกแม่เถอะจ้ะ คุณยองโฮ”

                “เรียกผมว่ายองโฮเฉยๆก็ได้ครับ”

     

                ต่างฝ่ายต่างก็ต้องปรับเปลี่ยนการพูดคุย ตอนนี้ยองโฮก็เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแทอิล และครอบครัวแทอิลก็จะเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวยองโฮ อาจมีเก้อเขินกันไปบ้าง แต่ก็คงจะชินในอีกไม่นาน

                ยองโฮยังไม่ทันจะได้นั่ง พอเห็นคนที่เขาตั้งใจมารับกำลังถือกล่องใส่ของดูท่าทางหนักลงมาจากบันได ยองโฮจึงรีบเข้าไปช่วยถือ ซึ่งก็สร้างความประทับใจให้กับบิดาและมารดาของแทอิลอยู่ไม่น้อย

     

                “ของหมดหรือยังแทล เดี๋ยวคุณยองโฮจะรอนะ”

                “หมดแล้วครับแม่”

                “งั้นเดี๋ยวฉันเอาของไปที่รถนะ แทอิลจะได้อยู่คุยกับคุณพ่อคุณแม่

     

                แม้แทอิลทำท่าจะยกสัมภาระตัวเองเอาไปไว้ที่รถยองโฮด้วยตัวเอง แต่ก็ถูกยองโฮสั่งห้ามเพราะแทอิลกำลังตั้งครรภ์ไม่ควรยกของหนักๆ อีกทั้งแทอิลจะไม่ได้อยู่บ้านนี้แล้ว ควรให้เวลาแทอิลได้ร่ำลากับคนที่แทอิลอยู่ด้วยไม่เคยห่างและรักแทอิลสุดหัวใจ ยองโฮจึงเป็นฝ่ายยกของทั้งหมดคนเดียว ซึ่งก็มีกระเป๋าเสื้อผ้าสามใบ กับกล่องใส่ของอีกสามกล่อง ใช้เวลาไม่นานก็ยกใส่รถได้จนหมด

                เมื่อเก็บของเสร็จ ก็ถึงเวลาที่ต้องจากลา บิดาและมารดาของแทอิลออกมาส่งแทอิลและยองโฮหน้าบ้าน แทอิลกอดผู้มีพระคุณทั้งสองไม่อยากปล่อยพร้อมน้ำตาซึม

     

                ไปได้แล้วแทล คุณยองโฮรอนานแล้ว

                “แล้วผมจะกลับมาเยี่ยมบ่อยๆนะครับพ่อ แม่

     

                แทอิลคลายกอดจากบุคคลทั้งสอง ยองโฮก้มศีรษะให้ผู้ใหญ่แล้วจึงเปิดประตูรถให้แทอิลขึ้นรถ ส่วนตัวเองกำลังจะไปขึ้นรถอีกฝั่ง แต่พ่อของแทอิลก็สะกิดยองโฮเอาไว้เสียก่อน พร้อมทั้งยื่นซองสีขาวให้

     

                “อะไรเหรอครับ”

                “รับไว้เถอะคุณยองโฮ แล้วค่อยเปิดดูทีหลังนะ”

                “ขอบคุณครับคุณพ่อ คุณแม่ ผมลานะครับ”

     

                ยองโฮรับซองสีขาวจากบิดาของแทอิลมา แล้วโค้งตัวเพื่อขอบคุณและเป็นการลาอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปขึ้นรถ แล้วขับพาเครื่องยนต์ออกจากหน้าบ้านหลังสวยของแทอิลไป คนข้างๆเอาแต่นั่งมองทางไม่พูดจาอะไร บางทีก็หันมองหน้าคนขับเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น

     

                “มีอะไรอยากพูดหรือเปล่าแทอิล ไม่ต้องกลัว”

                “เราเกรงใจ กลัวว่ายองโฮจะรำคาญเรา”

                “อย่าคิดแบบนั้นสิ เรากำลังจะใช้ชีวิตด้วยกันแล้วนะ”

     

                นั่นคือสิ่งที่แทอิลกังวลที่สุด ไม่รู้ว่าการที่คบหากันเป็นแฟนกับชีวิตหลังแต่งงาน มันจะเหมือนหรือแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด ยิ่งการใช้ชีวิตร่วมกับคนที่ไม่ค่อยจะคุ้นเคย มันจะยากมากหรือเปล่า

     

                “พ่อกับแม่ของนายดุไหม”

                “ไม่ดุหรอก ท่านทั้งสองใจดี ถ้าเจอพวกท่านก็ไม่ต้องเกร็งนะ ทำตัวเหมือนปกติ”

                “ท่านเสียใจไหมยองโฮ ที่คนที่นายจะแต่งงานด้วยเป็นเรา ไม่ใช่คุณเตนล์”

     

                คำถามของแทอิลช่างยากเย็นที่จะตอบ เพราะมันเป็นเรื่องของความรู้สึกคน ยองโฮเองก็ไม่แน่ใจว่าแท้จริงมารดาของตนรู้สึกเช่นไร หลังบอกว่าจะแต่งงานกับผู้ชายคือแทอิล ท่านก็แค่บอกว่าตามใจ และยังคงทำตัวเหมือนกับปกติ แม้จะรู้ว่าไม่ได้ปกติเสียทุกอย่าง

                ความจริงแล้วการที่ยองโฮบอกว่าครอบครัวยอมรับได้ นั่นเป็นคำพูดที่ทำให้แทอิลสบายใจ หรือเป็นสิ่งที่ครอบครัวของอีกฝ่ายรู้สึกจริงๆ

     

                “เอ่อ.. ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องตอบหรอก”

     

                ยองโฮเงียบไปนานจนแทอิลไม่อยากได้คำตอบ ก็พอจะรู้ว่ามันไม่ควรถาม และถึงได้คำตอบ ก็คงไม่ใช่คำตอบที่เป็นความจริง

               

                “แทอิลได้บอกเรื่องนี้กับคนอื่นบ้างหรือยัง นอกจากคุณฮันซลกับครอบครัว”

                “ยัง เรายังไม่กล้าบอก ไว้พร้อมกว่านี้เอาไว้เราค่อยบอกดีกว่า.. แล้วยองโฮล่ะ พวกเซฮุนรู้เรื่องหรือยัง”

                “ยังไม่รู้หรอก ฉันไม่ได้บอกเพราะว่าเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของแทอิล แทอิลอาจจะไม่อยากให้ฉันเล่าให้คนอื่นฟังก็ได้ มีเตนล์กับครอบครัวฉันที่รู้ ฉันขอร้องพวกเขาว่ายังไม่ให้บอกใครทั้งนั้น”

     

                บทสนทนาสั้นๆระหว่างทั้งสองได้จบลงแค่นั้น แทอิลหันหน้ามองเส้นทางที่ตนไม่ค่อยคุ้นเคยสักเท่าไรเพื่อทำความเคยชิน ยองโฮก็มุ่งขับรถไปตามทาง ขับบนถนนใหญ่มาสักพัก ยองโฮก็เลี้ยวรถเข้ายังปากทางหมู่บ้านซึ่งหรูหราเกินกว่าที่คาดคิดไว้ แทอิลได้แต่จ้องมองบ้านที่อยู่ภายในแต่ละหลัง ช่างแตกต่างกับบ้านตัวเองนัก ไม่รู้ว่าราคาแพงเท่าไร ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินจะซื้อ แต่หากซื้อทีคงเสียดายเงินแย่ บ้านที่อยู่ก็ดูสุขสบายดีอยู่แล้ว

     

                รถคันสวยของยองโฮหยุดจอดที่หน้าบ้านซึ่งมีรั้วสีดำเตี้ยๆกั้นพอให้รู้เขตบ้าน รั้วถูกเปิดออกเองโดยอัตโนมัติ ยองโฮเลี้ยวรถเข้าจอดในโรงจอดรถซึ่งมีรถจอดอยู่แล้วสี่คัน เมื่อร่างสูงซึ่งเป็นคนขับดับเครื่องยนต์ ก็หันมองหน้าคนนั่งข้างๆแล้วยิ้มให้เล็กน้อย

     

                “ไม่ต้องกลัวนะ มีฉันอยู่ทั้งคน”

     

                ยองโฮให้คำมั่นกับแทอิลแล้วจึงเป็นฝ่ายลงจากรถไปก่อน แทอิลได้แต่ถอนหายใจ ไม่กล้าลงจากรถ แต่ท้ายที่สุดยังไงก็ต้องลง จึงเปิดประตูรถก้าวลงจากรถช้าๆ ยองโฮซึ่งรออยู่ข้างๆ เมื่อแทอิลลงมาก็พาแทอิลเดินเข้าไปในบ้าน ไม่สิ ควรเรียกมันว่าคฤหาสน์จะดีกว่า

     

                เพียงแค่เห็นห้องโถงที่ตกแต่งสวยงามสะอาดสะอ้านและกว้างใหญ่ก็ทำเอาแทอิลไม่กล้าเดินเข้าไปเพราะกลัวสกปรก แต่ยองโฮจ้องให้แทอิลรีบตามเขาเข้าไปโดยไม่ต้องกลัวจึงทำให้ต้องเข้าไป ยังไงเสียก็ต้องอยู่ที่นี่ไปพักหนึ่ง ถ้ามัวแต่กลัวหรือกังวลคงไม่ได้อยู่อย่างมีความสุข ซ้ายมือถัดจากโถงทางเข้าก็เป็นห้องรับแขก ซึ่งก็มีบุคคลนั่งอยู่ภายในแล้วสี่คน แทอิลโค้งตัวเพื่อทำความเคารพอย่างอ่อนน้อม แม้ไม่รู้ว่าบุคคลทั้งสี่เป็นใคร

     

                “อ้าว นั่นไงมากันแล้ว”

     

                เสียงของคนดูมีอายุที่สวมแว่นสายตาทักขึ้น แทอิลโค้งตัวให้อีกครั้ง และยืนอยู่ห่างๆตามยองโฮ

     

                “นี่มุนแทอิลครับ ที่จะย้ายเข้ามาอยู่กับเรา”
                “สวัสดีครับ ผมมุนแทอิลครับ”

     

                ยองโฮแนะนำแทอิลให้กับครอบครัวได้รู้จัก ทุกคนต่างยิ้มแย้มให้กับแทอิลที่เพิ่งเคยเห็นค่าตาเป็นครั้งแรกด้วยใบหน้าต้อนรับ แม้ยองโฮจะแนะนำชื่อของแทอิลไปแล้ว แต่แทอิลก็แนะนำตัวอีกครั้งตามมารยาทที่เราควรแนะนำตัวเองให้กับคนที่อยากให้รู้จักตัวเรา

     

                “แทอิล นี่คุณพ่อ คุณแม่ แล้วก็พี่ชายฉัน พี่อินกุก แล้วก็ข้างๆคือพี่สะใภ้ พี่อึนจี”

     

                แทอิลโค้งให้ทุกคนอีกครั้ง ผู้เป็นมารดาของยองโฮลุกขึ้นเข้ามาต้อนรับแทอิลอย่างอบอุ่น แม้บนใบหน้าของเธอจะมีรอยยิ้มจางๆ แต่แทอิลเห็นแววตาที่ดูแฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่แทอิลเองก็พูดไม่ถูก

     

                “ยินดีต้อนรับสู่บ้านของเรานะคะ คุณแทอิล”

                “ระ..เรียกผมว่าแทอิลเฉยๆก็ได้ครับ”

                “แล้วนี่ข้าวของคุณแทอิลอยู่ไหนละยองโฮ”

                “อยู่ในรถครับ เดี๋ยวผมค่อยไปเอา”

                “ไม่ต้องหรอก ก็เปิดรถเอาไว้แล้วกัน เดี๋ยวให้คุณปาร์คไปยกให้ พาแทอิลไปเดินดูรอบๆบ้านเถอะ.. ทำตัวตามสบายนะคะแทอิล อยากได้อะไรก็บอกพวกเราได้ทุกคน”

                “คระ..ครับ”

     

                เมื่อแนะนำตัวกันเสร็จสรรพ ยองโฮจึงพาแทอิลออกมาเดินดูบริเวณรอบๆบ้าน ด้านหน้าเป็นโรงจอดรถ และมีสนามหญ้าเล็กๆ มีม้านั่งและชิงช้าอยู่ ส่วนด้านหลังมีสระน้ำเล็กๆเป็นบ่อปลา และมีห้องซักล้าง หลังจากนั้นจึงพาเข้าเดินดูภายในบ้าน แทอิลได้แต่ชื่นชมความงามภายในบ้านของยองโฮที่ทั้งใหญ่ สะอาด และตกแต่งได้อย่างสวยงามในสไตล์แบบยุโรปโบราณผสมผสานกับความสวยงามแบบทันสมัย ในส่วนด้านล่าง ด้านขวาติดกับห้องโถงทางเข้า เป็นห้องรับแขกที่เพิ่งเข้าไปเมื่อครู่ ส่วนฝั่งซ้ายของโถงทางเข้าเป็นห้องนั่งเล่นเล็กๆ ทั้งยังมีห้องน้ำ ห้องครัว ห้องรับประทาน และห้องพักของแม่บ้าน ชั้นสองมีห้องเพียงสองห้อง แต่เป็นห้องใหญ่ คือห้องนอนของพ่อและแม่ยองโฮ ส่วนฝั่งตรงกันข้ามเป็นห้องนอนของพี่ชายและพี่สะใภ้ยองโฮ ชั้นสามมีสองห้องนอนเช่นกัน ห้องหนึ่งเป็นของยองโฮ ส่วนอีกห้องเป็นห้องที่ไม่มีใครอยู่แต่ก็มีเครื่องนอนและของใช้พร้อม

     

                “คือ.. แทอิลอยากจะนอนห้องเดียวกับฉัน หรือว่า.. อยากนอนคนเดียว”

     

                มันน่าอึดอัดใจทั้งสองอย่าง การที่ยองโฮจะนอนห้องเดียวกับแทอิลมันคงทำให้เขาหรือแทอิลนอนไม่หลับเพราะไม่คุ้นเคยกันสักเท่าไร แต่หากจะให้แทอิลนอนอีกห้องมันอาจทำให้ทั้งสองสบายใจต่อกัน แต่ยองโฮกลัวว่าอาจจะเป็นการไม่ให้เกียรติแทอิล ทั้งๆที่เขาบอกว่าจะแต่งงานด้วยแท้ๆ แต่คนแต่งงานกันที่ไหนเขานอนแยกห้องกัน ดังนั้นเขาไม่ควรเป็นคนตัดสินใจ ควรเคารพในการตัดสินใจของแทอิลดีกว่า

     

                “ถ้าจะนอนคนเดียว.. ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

                “อื้ม ไม่หรอก แล้วแต่แทอิล.. ถ้างั้นเดี๋ยวให้คุณปาร์คยกของมาไว้ที่ห้องนี้แล้วกันนะ”

     

                แทอิลพยักหน้าขึ้นลงตอบรับ พูดไม่ทันไร คนที่ยองโฮพูดถึงก็เดินยกของขึ้นมาจากข้างล่างมาสู่ชั้นสามของบ้าน ยองโฮเรียกให้นำของเข้ามาวางเอาไว้ในห้องว่างที่แทอิลกำลังจะเป็นเจ้าของ ด้านหลังก็มีหญิงอีกสองคนช่วยกันถือของตามมา

     

                “แทอิล ฉันจะแนะนำให้รู้จักนะ นี่เป็นคนดูแลบ้านทั่วไป คุณลุงรูปหล่อคนนี้เรียกว่าคุณปาร์ค ส่วนคุณป้าคนสวยคนนี้คอยดูแลเรื่องอาหาร ดูแลบ้านชั้นล่างแล้วก็ดูแลรับใช้คุณพ่อกับคุณแม่ฉัน  เรียกว่าคุณคิมนะ ส่วนอีกคนเป็นสาวสวย จะดูแลบ้านชั้นสองกับชั้นสาม แล้วก็ดูแลความเป็นอยู่ของฉัน พี่ชาย แล้วก็พี่สะใภ้ เรียกว่าคุณอันนะ.. คุณปาร์ค คุณคิม คุณอันครับ นี่เป็น.. คนรักของผมครับ ชื่อมุนแทอิล”

     

                คนดูแลบ้านทั้งสามตกใจกับสิ่งที่ยองโฮบอกว่าคนที่จะย้ายเข้ามาอยู่ใหม่เป็นคนรัก ทั้งๆที่รู้ดีว่าคนรักของยองโฮที่แท้จริงนั้นคือใคร พอจะได้ทราบจากคุณนายใหญ่ของบ้านว่าคุณชายเล็กแห่งตระกูลซอจะพาคนเข้ามาอยู่ แต่ไม่คิดว่าคุณชายเล็กจะเรียกคนมาใหม่ว่าเป็นคนรักได้อย่างเต็มปาก แทอิลที่ได้ฟังยองโฮบอกกับคนดูแลบ้านทั้งสามแบบนั้นก็ตกใจอยู่ไม่น้อย

     

                “ฝาก..ฝากตัวด้วยนะครับ”

                “ถ้ามีอะไรคุณมุนแทอิลก็เรียกใช้พวกเราได้ทั้งสามคนเลยนะคะ”

                “คุณปาร์ค คุณคิม คุณอัน ไปพักเถอะครับ ไว้เดี๋ยวมีอะไรให้ช่วยผมค่อยเรียกนะครับ”

     

                ทั้งสามก้มศีรษะให้กับคุณชายเล็กของบ้าน แล้วออกไปตามคำสั่ง ยองโฮหันมองแทอิลที่กำลังเดินดูรอบๆห้อง

     

                “แทอิลทำงานจันทร์ถึงศุกร์ หยุดเสาร์กับอาทิตย์ใช่ไหม”

                “ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนั้น แต่ว่าบางทีก็ทำงานทุกวัน”

                “อื้ม งั้นแทอิลพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวพอถึงมื้อเที่ยงแล้วฉันจะมาเรียกแล้วกัน”

     

                แทอิลพยักหน้าตอบรับ ร่างสูงจึงเดินออกจากห้องไป แทอิลถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ รู้สึกทำตัวไม่ถูก ตอนสมัยเรียนเพื่อนเล่ากันว่ากลุ่มของยองโฮบ้านรวยกันทุกคน บ้านวินวินนั้นฐานะดีที่สุด ส่วนบ้านยองโฮรองลงมา เพิ่งจะได้เห็นกับตาตัวเองแบบไม่ต้องสงสัยอีกต่อไปว่าจะฐานะดีกันสักแค่ไหน บ้านของยูตะเพื่อนตัวเองที่ว่าใหญ่แล้วก็ยังใหญ่น้อยกว่า

     

                ทีแรกกะจะจัดของให้เข้าที่เข้าทาง แต่ก็จัดได้เพียงแค่เสื้อผ้ากะเผลอหลับไป รู้ตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงเปิดประตูห้องนอน ลืมตาขึ้นมาเห็นร่างสูงเดินเข้ามาสะกิดตัวให้รู้สึก ตามลงไปรับประทานอาหารเที่ยงด้านล่าง ภายในห้องทานอาหาร สมาชิกในครอบครัวของยองโฮนั่งกันพร้อมหน้าเรียบร้อย ส่วนใหญ่แล้วผู้เป็นใหญ่สุดของบ้านอย่างหัวหน้าครอบครัวผู้เป็นพ่อจะชอบนั่งหัวโต๊ะ แต่บ้านของยองโฮนั้นแตกต่าง พ่อของยองโฮนั่งอยู่ติดกับลูกชายคนโตของบ้านซึ่งติดกับลูกชายคนโตก็มีลูกสะใภ้บ้านตระกูลซอนั่ง ส่วนฝั่งตรงกันข้ามก็มีแม่ของยองโฮนั่งติดกันก็คือลูกชายคนเล็กนั่ง ซึ่งแทอิลก็ได้นั่งติดกันต่อจากยองโฮ

     

                “คุณแทอิลมาแล้ว ทานข้าวกันเถอะค่ะ”

     

                อึนจี ภรรยาคนสวยของลูกชายคนโตชวนให้ทุกคนทานอาหาร บนโต๊ะมีอาหารมากมายให้เลือกทาน จนแทอิลไม่รู้ว่าจะเลือกทานอะไรก่อน แต่หลายอย่างที่เขาเคยชอบตอนนี้ก็รู้สึกว่ากลิ่นมันทำให้ทานไม่ลง คงเป็นอาการแพ้ท้อง แทอิลจึงเลือกตักทานแต่แกงจืดเพียงอย่างเดียว มื้ออาหารเที่ยงเรียบๆได้ผ่านพ้นไป หลังทานอาหารเสร็จก็คิดว่าควรจะขึ้นไปบนห้องนอนดีไหม เพราะอยู่ข้างล่างคงรู้สึกอึดอัด แต่ถ้าอยู่แต่ข้างบนจะโดนมองว่าขี้เกียจหรือเปล่าก็ไม่รู้ แทอิลจึงคิดจะหาอะไรทำ จึงเดินขึ้นไปหยิบของจากในห้อง ลงมาทำงานที่ชั้นล่าง แต่พอลงมาก็เหมือนว่าบ้านจะเงียบจนน่าแปลกใจ

     

                “แทอิล หาอะไรอยู่หรือเปล่าลูก”

     

                เสียงชายวัยกลางคนที่ดังขึ้นจากข้างหลังทำให้แทอิลสะดุ้งเล็กน้อย พบว่าบิดาของยองโฮกำลังเดินเข้ามาหา

               

                “ก็.. บ้านเงียบน่ะครับ ผมก็เลยสงสัยว่าทุกคนกำลังทำอะไรกันอยู่”

                “อ๋อ แม่ ยองโฮ พี่อินกุก พี่อึนจีเขาออกไปซื้อของกัน ตอนนี้ก็เหลือพ่อกับแทอิลอยู่บ้านกันสองคนนี่ละ.. แล้วนั่นจะไปไหนละแทอิล”

                “จะออกไปนั่งทำงานที่สวนครับ น่าจะดีกว่านั่งทำในห้องครับ”

                “งั้นพ่อออกไปด้วยได้ไหม ขอไปนั่งตากลมเฉยๆ ไม่กวนหรอก”

     

                ว่าจบ บิดาของยองโฮก็เดินเคียงข้างแทอิลพาเดินออกไปยังสวนหน้าบ้าน แทอิลวางของในมือลงบนโต๊ะ รอให้คนที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่านั่งลงให้เรียบร้อยก่อนจึงค่อยนั่งตาม มือบางเปิดสมุดเล่มโปรดที่มีเนื้อเพลงมากมายอยู่ในนั้น เปิดมายังหน้าที่มีโน้ตเพลงอยู่เล็กน้อย เตรียมจะแต่งเติมเพลงให้สมบูรณ์ต่อ แต่พอรู้สึกว่าการที่ตัวเองเอาแต่นั่งก้มหน้าทำงานในขณะที่มีคนอีกคนซึ่งเป็นผู้ใหญ่กว่านั่งอยู่ด้วย มันทำให้รู้สึกเหมือนเสียมารยาทที่ละเลยหรือไม่สนใจ แถมอีกฝ่ายก็อาจนับได้ว่าเป็นพ่อสามีของตน ควรพูดคุยและทำความสนิทสนมกันเอาไว้เสียบ้างก็คงดี

     

                “คุณลุง..”

                “อะไรกัน เรียกพ่อสิแทอิล ใครเขาเรียกพ่อสามีตัวเองว่าลุงกันบ้างล่ะหืม”

                “ครับ คุณ..พ่อ”

                “เรายังไม่ค่อยรู้จักกันเลย มาทำความรู้จักกันหน่อยดีไหมล่ะ แทอิล”

     

                จากการที่แทอิลเรียกพ่อของยองโฮว่าลุง นั่นก็ทำให้เกิดบทสนทนามากมายตามมา จริงอย่างที่ยองโฮบอกไว้ก่อนหน้าว่าพ่อและแม่ของตัวเองไม่ดุเลย นอกจากจะใจดีแล้วยังเป็นคนอารมณ์ขันอีกต่างหาก แทอิลได้รู้หลายๆอย่างเกี่ยวกับบ้านของยองโฮและตัวของยองโฮมากขึ้น และอีกฝ่ายก็ได้รู้จักแทอิลมากขึ้นเช่นกันอย่างเช่นหน้าที่การงาน ครอบครัวของแทอิล แต่การพูดคุยครั้งนี้ก็ยังไม่ได้ทำให้แทอิลรู้จักยองโฮได้ดีพอ เรื่องบางอย่างที่แทอิลสงสัยว่ายองโฮทำงานอะไร ที่ไหน ชอบกินอะไร คำถามประเภทนี้ท่านบอกว่าแทอิลควรรู้ด้วยตัวเอง มีเรื่องอะไรก็ให้ถามยองโฮเองจะดีกว่าฟังจากปากคนอื่นเล่า วิธีนี้เป็นเรื่องเบื้องต้นในการทำความรู้จักกันและจะพัฒนาความสัมพันธ์ไปได้เร็วยิ่งขึ้น

     

                นั่งคุยกันอยู่นานสองนาน รถที่ถูกขับออกไปจากโรงรถก็ถูกขับกลับเข้ามาภายในบ้าน  บุคคลทั้งสี่ที่เพิ่งกลับมาเห็นหัวหน้าครอบครัวกับคนสำคัญของยองโฮนั่งกันอยู่ตรงสวนก็เดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย ทุกคนต่างชวนแทอิลพูดคุยแต่กลายเป็นว่าแทอิลไม่ค่อยได้ตอบ เอาแต่นั่งฟังสมาชิกในบ้านคุยกันเสียมากกว่า

     

                หลังอาหารมื้อเย็น ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเอง แทอิลเห็นว่าห้องนั่งเล่นไม่มีคน จึงเลือกลงมานั่งเล่นที่ห้องนั่งเล่น ภายในห้องมีเปียโนหลังสีขาวสวยอยู่ แทอิลนั่งลงตรงเก้าอี้เปียโน ตั้งใจจะบรรเลงสักเพลงสองเพลง แต่ก็นึกได้ว่าถ้าเล่นไปเสียงอาจจะดังรบกวนคนอื่น จึงได้แค่นั่งมองและแต่งทำนองเล่นๆไปในหัว

     

                “ไม่ลองเล่นดูหน่อยเหรอแทอิล”

     

                เสียงทักดังขึ้นพร้อมกับเจ้าของเสียง ยองโฮเดินเข้ามาหาแทอิลในห้องนั่งเล่น เห็นว่าอีกคนนั่งอยู่หน้าเปียโนเสียพักใหญ่แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงบรรเลงเพลงแต่อย่างใดไม่รู้ด้วยเหตุผลใด

     

                “เสียงจะดังรบกวนคนอื่นเปล่าๆน่ะ”

                “ก่อนจะเล่นก็ปิดประตูสิ ห้องนี้มันเก็บเสียง ถ้าจะเล่นเดี๋ยวฉันปิดประตูให้เอาไหม”

                “ไม่ดีกว่า คิดไม่ออกว่าจะเล่นเพลงอะไร”

     

                ยองโฮพยักหน้าแล้วหย่อนตัวนั่งลงที่พื้นที่ที่เหลือของเก้าอี้เปียโนข้างๆกับแทอิล แทอิลจึงขยับตัวเลื่อนให้ยองโฮได้นั่งสบายขึ้น

     

                “พรุ่งนี้ฉันจะพาไปข้างนอกนะ ไม่ได้นัดใครไว้ใช่ไหม”

                “อื้ม พรุ่งนี้ว่าง.. จะพาไปไหนเหรอ”

     

                ยองโฮชั่งใจไม่รู้ควรบอกคนข้างๆดีหรือไม่ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเก็บเป็นความลับอะไรขนาดนั้น แต่ถ้าให้ได้รู้พรุ่งนี้ตอนที่ไปถึงที่นั่นมันก็อาจจะเป็นการเซอร์ไพรส์ที่ดี

     

                “เอาไว้เดี๋ยวตอนไปถึงที่นั่นก็รู้เอง.. แล้วนี่ปกติแทอิลนอนกี่ทุ่มเนี่ย”

                “ไม่มีเวลาที่แน่นอนหรอก แต่เร็วสุดก็ห้าทุ่ม แล้วยองโฮล่ะ”

                “ฉันอยากนอนเมื่อไรก็นอนน่ะ ต่อไปนี้แทอิลต้องนอนเร็วๆนะ พักผ่อนให้เยอะๆ เด็กน้อยในท้องแทอิลจะได้พักผ่อนไปด้วย”

     

                บางทีแทอิลก็ลืมไปว่าตอนนี้จะเป็นอย่างก่อนไม่ได้ ยังมีอีกหนึ่งชีวิตที่ฝากไว้กับแทอิล จะหักโหมงานยันเช้าเหมือนอย่างที่เคยทำก็คงต้องลดละไป เพราะไม่ดีต่อตัวเองและเด็กในท้อง

     

                “วันนี้กินนมหรือยัง”

     

                แทอิลส่ายศีรษะเป็นการตอบแทนคำพูด ร่างสูงลุกขึ้นจากเก้าอี้ไปเสียเฉยๆ แทอิลเฝ้ารออยู่ตรงนั้นคาดว่าอีกคนคงเดินกลับมา เป็นอย่างที่คิด ยองโฮกลับมาพร้อมกับแก้วใสที่มีของเหลวสีขาว แก้วถูกยื่นมาให้แทอิล

     

                “ไม่รู้ว่าแทอิลชอบดื่มนมหรือว่าไม่ชอบ แต่ว่าหลังจากนี้ต้องพยายามดื่มทุกวันนะ เขาบอกว่าตอนท้องจะสูญเสียแคลเซียมเยอะ นมนี่แหละเป็นแคลเซียมที่กินได้ง่ายๆ”

     

                อยากตอบออกไปดังๆว่าไม่ชอบ ถ้าอยู่กับฮันซล  แทอิลคงจะอ้อนขอไม่ดื่มจนท้ายที่สุดฮันซลคงใจอ่อนยอม แต่แทอิลไม่กล้าจะปฏิเสธในความหวังดีของยองโฮ จึงต้องจำใจรับแก้วนมมาดื่มทั้งๆที่ไม่อยาก ยองโฮพอดูออกว่าแทอิลคงไม่ชอบมันแต่ก็คงเกรงใจเขา

     

                ยองโฮแค่หวังว่าวันเวลาจะทำให้เขาและแทอิลอยู่ด้วยกันได้อย่างสบายใจและไม่ปิดบังความรู้สึกใดๆต่อกัน

     

     

     

     

     

     

    ----- The Way We Are -----

     

     

     

               

                ยองโฮพาแทอิลออกมาจากบ้านตั้งแต่เช้า ขับรถทางไกลอยู่หลายชั่วโมงไม่รู้ว่าคนขับจะพาไปแห่งหนใด แต่ท้ายที่สุดหลังจากนั่งมานาน เห็นจากป้ายบอกทางก็พอได้รู้ว่ายองโฮกำลังจะพาไปมหานครปูซาน

                รถถูกจอดใกล้กับชายทะเล แทอิลหันมองหน้ายองโฮ ไม่เข้าใจนักว่าทำไมถึงได้พามาไกลถึงที่นี่ หรือว่าอยากมาทะเลแต่ไม่มีเพื่อนหรืออย่างไร

     

                “ลงไปเดินเล่นริมทะเลกัน”

     

                ยองโฮชวนให้คนที่มาด้วยลงไปเดินเล่นริมชายหาด แทอิลปลดเข็มขัดนิรภัยออก ลงจากรถมองไปยังผืนน้ำทะเลที่กว้างใหญ่ หันมองอีกทีก็ไม่เห็นว่าคนพามาไปอยู่แห่งหนใด แทอิลจึงเลือกเดินไปบนหาดทรายที่อยู่ตรงหน้าเพียงลำพัง ลมที่พัดเย็นโชยส่งกลิ่นของทะเลแตะจมูก ทอดสายตามองไปตามผืนทรายที่แสนยาวไกลก็เหมือนเห็นภาพในความทรงจำย้อนหวนกลับมา ทะเลแห่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวของเขากับยองโฮ ทะเลที่จัดงานเลี้ยงรุ่นเมื่อเกือบสามเดือนก่อน

     

                กลิ่นน้ำทะเลถูกเปลี่ยนเป็นกลิ่นหอมของดอกไม้ ช่อดอกกุหลาบขาวปนแดงถูกยื่นมาติดกับใบหน้าของแทอิลจากใครบางคนที่อยู่ด้านหลัง จึงหมุนตัวกลับมาหาเจ้าของช่อดอกไม้ เห็นร่างสูงหน้าหล่อส่งยิ้มบางมาให้

     

                “ไม่รู้ว่าแทอิลชอบดอกไม้อะไร แต่ว่ากุหลาบมันคลาสสิคดี ยังไงก็รับไว้หน่อยนะ”

     

                คนให้อุตส่าห์ตั้งใจจะให้ จะปฏิเสธได้อย่างไรกัน แทอิลรับมาพร้อมกับกล่าวขอบคุณ แปลกใจที่จู่ๆยองโฮก็พามาเที่ยวตั้งไกล แถมยังซื้อดอกไม้ให้อีก ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่

     

                “พรุ่งนี้ต้องไปทำงานไม่ใช่เหรอยองโฮ ทำไมวันนี้ถึงมาทะเลตั้งไกล กว่าจะกลับถึงโซลคงขับรถเหนื่อยแย่”

     

                คนถูกถามไม่ได้ตอบอะไร ยองโฮล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบกล่องแก้วใสออกมา เมื่อเปิดออกก็พบว่าเป็นแหวนสองวงตั้งอยู่เคียงกัน แหวนสองวงแบบเดียวกันที่ทำด้วยทองคำขาวสลักเพชรไว้ภายใน ยองโฮหยิบแหวนหนึ่งวงในกล่องออกมา มืออีกข้างก็จับมือซ้ายของแทอิลขึ้นมา บรรจงสวมแหวนเข้าที่นิ้วนางข้างซ้าย

     

                “ฉันมีแค่แหวนหนึ่งวง กับดอกไม้หนึ่งช่อ มีแค่หาดทรายและน้ำทะเลสวยงามเป็นสถานที่จัดงาน ไม่มีแขกเป็นร้อยเป็นพันคนเป็นสักขีพยาน มีเพียงแค่เราสองคนที่จะมีคำสัญญาให้กันและกัน.. นี่เป็นงานแต่งงานที่ฉันจัดขึ้น มันอาจไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไร แทอิลจะยอมรับงานแต่งงานนี้ไหม”

                “ยองโฮ..”

                “ฉันไม่ได้ทำเพราะมันเป็นหน้าที่หรือเป็นความรับผิดชอบ แต่ฉันทำทุกอย่างด้วยใจของฉัน ในตอนนี้เราสองคนอาจจะยังไม่ได้มีความรักให้แก่กัน แต่ฉันหวังว่าหลังจากที่เราแต่งงานกันไป เราจะเริ่มมีความผูกพันให้กันและกัน และเลี้ยงลูกของเราด้วยความรักของเราทั้งสอง”

     

                เป็นคำพูดที่ดียิ่งกว่าคำพูดไหนๆที่แทอิลเคยได้ฟังจากยองโฮ หากเป็นคำพูดจากบทละครเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มันก็เป็นบทละครที่ยอดเยี่ยม หากมันเป็นคำพูดจากใจ ยองโฮก็ช่างลึกซึ้งและน่าประทับใจ

     

                “ขอบคุณนะยองโฮ ขอบคุณที่จะแต่งงานกับเรา ขอบคุณจริงๆที่ไม่ทิ้งเรา”

                “ถ้าตกลงจะแต่งงานกับฉันแล้วก็สวมแหวนให้ฉันด้วยนะ”

     

                มือหนาหยิบยื่นกล่องแก้วใสที่มีแหวนอีกวงอยู่ข้างใน มือข้างหนึ่งของแทอิลกำช่อดอกไม้ของยองโฮไว้มั่น ส่วนอีกข้างก็หยิบแหวนในกล่องจากมือยองโฮ มาสวมใส่ให้นิ้วนางข้างซ้ายของเจ้าของช่อดอกกุหลาบ การแต่งงานได้เสร็จสมบูรณ์เมื่อแหวนแทนใจได้ถูกสวมเข้าที่เจ้าของทั้งสอง

     

                “ขอกอดหน่อยได้ไหม มาลองกอดกันเป็นครั้งแรก”

     

                คำขอของร่างสูงทำเอาคนที่เพิ่งจะเป็นฝ่ายสวมแหวนให้ถึงกับตาโต ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนขอเรื่องแบบนี้ตรงๆ แล้วตัวเองก็ยังทำใจไม่ค่อยได้กับการที่เพิ่งจะเลิกรากับคนรักเก่ามา แต่ว่าแทอิลเองก็ต้องคิดใหม่ เขาเพิ่งจะแต่งงานกับยองโฮไปเมื่อครู่ ทั้งสองก็คือคู่สมรสและคู่ชีวิตของกันและกันไปแล้ว หากจะกอดกันก็คงไม่เสียหาย หากมัวแต่คิดเรื่องคนรักเก่า ก็คงไม่มีทางจะได้เริ่มใหม่

     

                แทอิลส่งเสียงตอบรับอยู่ในลำคอเป็นการอนุญาต ยองโฮจึงค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าใกล้แทอิล สอดแขนสองข้างเข้าใต้วงแขนของอีกคน ส่วนสูงที่ต่างกันทำให้คนตัวสูงต้องโน้มตัวลงมาหา แต่ก็มันก็ไม่ใช่เรื่องลำบาก ส่วนคนถือดอกไม้ก็โอบรัดที่ช่วงเอวของคนที่เป็นฝ่ายขอกอดเป็นการกอดตอบ การกอดครั้งแรกอาจไม่แสดงถึงความรักอย่างมากมาย แต่ทั้งคู่ก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและความจริงใจที่มีให้ต่อกัน

     

                “ในวันก่อนหน้านั้นเราสองคนเคยมีชีวิตเช่นไร ขอให้ลืมมันไป ในวันนี้และในวันพรุ่งนี้เราสองคนจะเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน แม้มันจะทุกข์ใจเพียงใด ขอให้เราสองคนยอมรับ แม้ว่าจะเศร้าเพียงใด ขอให้เราอยู่เคียงคู่กัน ขอให้เราอดทนกับความยากลำบากที่จะเกิดขึ้น เราจะต้องยิ้มไปด้วยกัน หัวเราะไปด้วยกัน และมีความสุขไปด้วยกัน ฉันเชื่อในตัวแทอิลนะ เพราะอย่างนั้น ช่วยเชื่อในตัวฉันนะแทอิล”

     

     

     

     

     

    ----- The Way We Are -----

    ----- TBC -----

     

     




             The Way We Are – 3

     

                ฮันซลอาบน้ำแต่งตัวขับรถออกจากบ้านประมาณเที่ยง เพราะคุณพ่อของแทลที่น่ารักของเขามีเรื่องอยากจะปรึกษาซึ่งนัดกันไว้ตอนบ่ายๆ เขาขับรถมายังสถานที่ที่เป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของเขา นั่นก็คือบ้านของแทอิล

     

                เมื่อมาถึงก็เห็นว่ามีรถอีกคันจอดอยู่หน้าบ้าน ไม่รู้ว่าเป็นรถของใครแต่ก็ไม่ได้คิดสนใจ ฮันซลดับเครื่องยนต์ลงจากรถ เปิดประตูบ้านที่ไม่ได้ล๊อคเข้ามาโดยไม่ขออนุญาตเพราะเขาก็ทำแบบนี้เป็นประจำ เจ้าของบ้านอนุญาตให้เขาเข้า-ออกบ้านหลังนี้ได้ตลอดเวลาเหมือนบ้านตัวเอง

     

                แต่แล้วฝีเท้าที่กำลังจะเยื้องย่างเข้ามาในบ้านของแทอิลก็ต้องชะงัก เมื่อฮันซลเห็นร่างของชายคนหนึ่งกำลังคุกเข่าลงตรงพื้นต่อหน้าบิดาและมารดาของคนรัก

     

              ผมอยากจะแต่งงานกับแทอิล กรุณาอนุญาตให้แทอิลแต่งงานกับผมด้วยนะครับ

     

                ในตอนนั้น ใจของฮันซลสั่นระรัวเต้นไม่เป็นจังหวะกับคำพูดของชายแปลกหน้าที่นั่งคุกเข่าและก้มศีรษะขอร้องต่อหน้าบุพการีทั้งสองของแทอิล ฮันซลมองใบหน้าหวานที่ริมฝีปากสั่นขยับเรียกชื่อเขาออกมาด้วยเสียงเพียงน้อยนิดแต่เขาได้ยินมันอย่างชัดเจน

     

                “หมายความว่ายังไง..”

     

                ฮันซลก้าวเท้าเข้าไปยืนค้ำหัวของคนที่กำลังจะมาแย่งคนรักของเขาไป มือสองข้างกำแน่นราวกับจะบีบให้กระดูกมือร้าวเสียให้ได้ ยองโฮยังคงไม่รับรู้ว่าคนที่กำลังยืนเหนือศีรษะตนตอนนี้คือใครหรือรู้สึกอย่างไร สิ่งที่เขาสนใจคือการที่บุคคลที่มีสิทธิ์จะยกแทอิลให้กับเขาเท่านั้น

     

                “ที่แกพูดว่าจะแต่งงานกับแทอิล มันหมายความว่ายังไง!!!

     

                มือของฮันซลกระชากคอเสื้อของยองโฮให้ลุกขึ้นมาและมองใบหน้าของเขา แต่ไม่ทันจะลุกได้ดีก็เซล้มไปกับพื้นเพราะแรงผลักด้วยอำนาจของความโกรธ ฮันซลขึ้นคร่อมร่างใหญ่ของยองโฮ มือขวากำแน่นเตรียมจะปล่อยหมัดเข้าสู่ใบหน้าหล่อของอีกคนเพราะความโมโห แทอิลรีบเข้ามาดึงคนรักให้ลุกออกจากตัวของยองโฮแต่ก็ถูกปัดจนเซไป

     

                “คุณซล อย่าทำอะไรเขา”

                “แกเป็นใคร ทำไมถึงจะต้องมาแย่งคนรักของฉันไปด้วย!

     

                จีฮันซลปล่อยหมัดลงบนใบหน้าคมของคนที่ตัวเขาตราหน้าให้เป็นไอ้เลวขี้ขโมย เขาไม่มีความอดทนมากพอและไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องอดทน กำลังจะถูกแย่งคนรักไปต่อหน้าต่อตา เขาจะอยู่เฉยได้อย่างไรกัน ฮันซลกระหน่ำรัวกำปั้นของตนใส่หน้ายองโฮไม่ยั้ง ยองโฮเองก็ไม่คิดจะต่อสู้และปล่อยให้อีกฝ่ายกระทำตนให้จนพอใจ ใช่ ซอยองโฮสมควรได้รับมันแล้ว ความเจ็บปวดแบบนี้สิที่เขาสมควรได้รับ ไม่ใช่ความอ่อนโยนหรือความเข้าใจแบบที่เตนล์ให้

     

                “คุณซล หยุดได้แล้ว แทลขอร้อง”

     

                แม้จะขอร้องสักเพียงใดฮันซลก็ไม่มีทีท่าจะหยุด แทอิลใช้แรงทั้งหมดจับแขนคนรักที่กำลังทำร้ายเพื่อนร่วมรุ่นของตน กำแขนฮันซลแน่นจนนิ้วแดง น้ำตาก็ไหลออกมาเป็นสายไม่หยุดเพราะความกลัว กลัวและหมดหนทางในทุกสิ่ง เสียงสะอื้นของแทอิลทำให้ฮันซลหยุดยั้งมือที่จะต่อยหน้ายองโฮไปในทันใด เรียกสติของฮันซลให้กลับมาคิดได้ว่ากำลังทำอะไร เกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา แล้วทำไมคนรักของเขาถึงได้ร้องไห้

     

                “แทล.. แทลร้องไห้ทำไม”

     

                ฮันซลลุกจากตัวยองโฮไปสนใจคนรักที่ร้องไห้หนักอยู่เคียงข้าง โอบร่างบางเข้าสู่อ้อมแขน ใช้มือลูบศีรษะปลอบประโลมให้แทอิลหยุดร้องไห้ เจ้าของบ้านอีกสองคนเข้ามาช่วยพยุงแขกคนแปลกหน้าที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือดที่เปรอะเปื้อน แทอิลกอดแขนฮันซลแน่นเพราะกลัวว่าแฟนของเขาจะไปทำร้ายอีกคนอีก

     

                “แทล หยุดร้อง.. ไม่ร้องนะ อย่าร้องไห้เลยนะแทล คุณซลยอมแล้ว คุณซลหยุดแล้วนะครับแทล”

     

                เจ็บปวดหัวใจเมื่อเห็นแทลของเขามีน้ำตา ยิ่งสาเหตุมาจากเขาก็ยิ่งเจ็บมากกว่า แทอิลคงตกใจและเสียขวัญที่เห็นเหตุการณ์แบบนี้ มันคงไม่เหมือนกับคุณซลที่อ่อนโยนและใจดีที่แทอิลรัก ในตอนนี้สายตาของแทอิล คงมีแต่จีฮันซลที่เป็นผู้ชายโหดร้ายที่แทอิลไม่รู้จัก

     

                “คุณฮันซลพาแทอิลขึ้นไปบนห้อง เดี๋ยวทางนี้แม่จัดการเอง”

     

                ฮันซลพยักหน้ารับ ค่อยๆประคองแทอิลลุกจากพื้น พาขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง เปิดประตูห้องนอนฝั่งขวา พาแทอิลเข้าไปยังห้องนอน คนตัวเล็กทรุดนั่งลงบนเตียง แขนปาดน้ำตาที่ไหลรินบนใบหน้า ฮันซลนั่งลงที่พื้นข้างเตียง กุมมือของหนึ่งของคนรักเอาไว้แน่น ใบหน้าหวานที่เปื้อนน้ำตาเบือนหันไปทางอื่นไม่มองหน้าคนที่กุมมือเพราะไม่กล้าสู้หน้า

     

                “หันหน้ามาหาคุณซลนะแทล”

     

                ร่างเล็กส่ายศีรษะไปมา ไม่มีทีท่าจะหันมาสนใจ

     

                “อย่าโกรธคุณซลนะ คุณซลขอโทษที่ทำร้ายผู้ชายคนนั้น”

                “...”

                “หันหน้ามาคุยกันดีๆ คุยกันให้เข้าใจนะแทล อย่าทะเลาะกับคุณซลเลยนะครับคนดี”

     

                ยิ่งคุณซลบอกว่าเขาเป็นคนดี น้ำตาก็ยิ่งหลั่งไหลออกมา เขาหรือคนดี? คำว่าคนดีของคุณซล มันจบสิ้นไปตั้งแต่คืนวันเลี้ยงรุ่นเมื่อสองเดือนก่อนแล้ว มันไม่หลงเหลืออยู่ในตัวมุนแทอิลคนนี้อีกแล้ว

     

                “พูดความจริงกับคุณซลว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น คุณซลจะช่วยแทลแก้ปัญหา จะไม่ทิ้งแทลไปไหน คุณซลสัญญา”

                “แทล.. แทลผิดสัญญากับคุณซล”

     

                ฮันซลตั้งใจฟังในสิ่งที่แทอิลกำลังจะพูดอย่างตั้งใจ มือสองข้างของตนยังคงกุมมือบางของแฟนจนแน่นให้อุ่นใจ

     

                “เมื่อสองเดือนก่อนมีงานเลี้ยงรุ่นสมัยมัธยม คืนนั้นแทลดื่มเหล้า ทั้งๆที่คุณซลสั่งห้ามแทล แต่ว่าแทลก็ยังดื่ม”

                “...”

                “คืนนั้นแทลดื่มจนเมา เมามากไม่มีสติ จำไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตะ..แต่ว่า.. พอตื่นมาตอนเช้า แทลก็รู้ว่า.. แทลมีอะไรกันกับเพื่อน แล้วแทลก็เพิ่งจะรู้ ว่าความจริงร่างกายแทลมันผิดปกติ..”

     

                มือของฮันซลยิ่งกำมือคนรักแน่นมากขึ้นไปอีกเช่นเดียวกับหัวใจของเขาที่บีบรัดแน่นจนเจ็บปวดหัวใจไปหมด แต่ก็ยังคงตั้งใจฟังสิ่งที่กำลังจะได้รับฟังต่อ

     

                “ตอนนี้.. แทลกำลังท้อง.. แทลท้องกับเพื่อนคนนั้น..”

     

                สองมือที่กุมแน่นในตอนนี้กลับคลายออกจนหลุดออกจากอีกสองมือที่ถูกกุม ฮันซลช็อคจนไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อ หมดเรี่ยวแรงเมื่อได้ยินสิ่งที่ไม่คาดคิดยิ่งกว่าการที่แทอิลบอกเขาว่ามีสัมพันธ์ทางกายกับคนอื่นที่ไม่ใช่เขา เพราะแทลของเขาบอกว่ากำลังท้อง

     

                ความจริงแล้วที่ตรวจการตั้งครรภ์ที่เขาเจอคือของแทอิลใช่ไหม? ที่แทอิลเอาแต่นอนทั้งวัน ที่แทอิลจะอาเจียนตอนได้กลิ่นน้ำหอม มันคืออาการของคนที่กำลังท้องใช่ไหม? ที่แทอิลบอกว่าง่วงนอนเพราะพักผ่อนน้อย ที่แทอิลบอกว่าจะอาเจียนเพราะกินมากไป ที่แทอิลบอกว่าไปหาหมอแล้วบอกว่าไม่มีอะไร คือคำโกหกทั้งหมดเลยใช่หรือเปล่า?

     

                “เพื่อนคนนั้นของแทล..”

                “เพื่อนคนนั้นที่แทลหมายถึง ก็คือผู้ชายที่คุณซลต่อยเขา..”

     

                 ฮันซลก้มหน้านิ่งไม่พูดอะไร ทำไมหัวใจถึงได้เจ็บปวดแบบนี้ เขาไม่เคยรู้สึกโกรธใครเท่ากับวันนี้มาก่อน ไม่เคยรู้สึกผิดหวังมากมายเท่ากับในเวลานี้ โกรธแทอิล โกรธผู้ชายคนนั้น ผิดหวังที่แทอิลโกหกเขา ผิดหวังที่แทอิลผิดสัญญากับเขา ไม่ใช่แค่ข้อเดียวที่ว่าห้ามไม่ให้ดื่มของมึนเมาแต่ก็ยังดื่ม แต่ยังเป็นสัญญาอีกข้อที่ว่าถ้ามีเรื่องอะไรจะต้องไม่ปิดบัง แต่แทอิลก็ปิดบังเรื่องนี้กับเขา ถ้าเกิดผู้ชายคนนั้นไม่มาหาวันนี้ เขาก็คงไม่มีทางรู้เรื่องคืนนั้น และไม่รู้ว่าแทอิลกำลังจะมีลูก เขาจะได้รู้เมื่อไรในเมื่อแทอิลไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ

               

                ที่ผู้ชายคนนั้นมาที่นี่ และบอกว่าจะแต่งงานกับแทอิล ก็เพราะว่าเรื่องนี้ใช่ไหม หรือว่ามันมีเหตุผลอะไรที่มากกว่านั้น

     

                “แทลรักเขาไหม แทลจะแต่งงานกับเขาไหม”

                “แทลรักคุณซล แทลไม่ได้รักเขา เรื่องแต่งงานแทลไม่รู้ เขาไม่ถามอะไรเลยสักคำ แต่ใจของแทล ยังไงแทลก็ไม่อยากแต่งกับเขา คนที่แทลอยากใช้ชีวิตด้วยมีแค่คุณซล”

     

                แทอิลไม่ได้โกหกฮันซลเลยสักนิด ทั้งหมดที่พูดวันนี้คือความจริงจากหัวใจของเขา เขาไม่เคยมีใจคิดอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับใครอื่น นอกจากบิดา มารดา และคนรักเพียงคนเดียวของเขาที่ชื่อว่าจีฮันซลแต่คุณซลจะเชื่อเขาไหมว่าเขาพูดความจริง

     

                แล้วเรื่องที่ยองโฮมาแล้วบอกว่าอยากแต่งงานกับเขา เขาก็ไม่รู้มาก่อนว่าอีกฝ่ายจะทำเช่นนี้ หรือว่านี่คือสิ่งที่ยองโฮบอกว่าจะรับผิดชอบ?

     

                มือของฮันซลที่เผลอปล่อยจากคนที่นั่งบนเตียงเมื่อครู่ เลื่อนขึ้นมากุมมือบางอีกครั้ง ลูบมือสวยอย่างทะนุถนอมด้วยความรักทั้งหมดของเขาที่มีต่อแทอิล จ้องมองใบหน้าที่เขาอยากจะมองไปจนชั่วชีวิตหมดลมหายใจ และอยากมองใบหน้านี้เพียงคนเดียวไม่แบ่งให้ใครได้เชยชม

     

                “ลูกของแทล ชีวิตของแทล ต่อจากนี้ ให้คุณซลรับผิดชอบได้ไหม”

                “คุณซล..”

                “คุณซลสัญญากับแทลไว้แล้วว่าจะไม่ทิ้งแทลไปไหน ความจริงคุณซลกะจะขอแทลแต่งงานตอนวันเกิดคุณซล แต่คุณซลขอแทลแต่งวันนี้เลยก็แล้วกัน.. เรื่องของแทลต่อจากนี้ ให้มันเป็นเรื่องของคุณซลนะ แต่งงานกับจีฮันซลคนนี้นะครับ มุนแทอิล”

     

                นัยน์ตาที่คลอด้วยน้ำสีใสจ้องมองแววตาที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มและความหวังของคนรัก อยากเอ่ยปากตอบตกลงยิ่งนัก แต่ยังคงลังเล ไม่กล้าตกลง เพราะหากคนอีกคนที่บอกว่าจะรับผิดชอบเขาไม่ตกลงเห็นด้วย จะทำให้คุณซลผิดหวังและเสียใจ เขาไม่อยากทำร้ายคุณซลอีกซ้ำสอง

     

                “แทลท้องนะคุณซล แทล.. แทลไม่อยากให้คุณซลต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ คุณซลควรเจอใครที่ดีกว่านี้”

                “แทลครับ คุณซลเต็มใจที่จะดูแลแทลกับลูกอยู่แล้ว ต่อจากนี้ถ้าเราแต่งงานกัน คุณซลก็อยากให้ลูกของแทลเรียกคุณซลว่าพ่อนะครับ สามคนพ่อแม่ลูกเป็นครอบครัวของเรา”

                “ยองโฮ.. คือคนที่คุณซลต่อยเขา.. เขารู้ว่าแทลท้อง เขาบอกว่าจะรับผิดชอบ แทลว่าคุณซลไปคุยกับเขาก่อนดีกว่า เหมือนเขาจะเข้าใจว่าแทลตกลงจะให้เขารับผิดชอบแทลแล้ว”

                “ถ้าเขาตกลงจะให้คุณซลรับผิดชอบแทลแทนเขา แทลต้องแต่งกับคุณซลนะ”

                “ถ้าพ่อกับแม่ยอมยกแทลให้คุณซล.. แทลก็ตกลง”

     

                ฮันซลลุกจากพื้น ขึ้นมานั่งบนเตียงเคียงกายแทอิล โอบกอดแทอิลด้วยร่างกายทั้งหมดของเขา

     

                แทอิลอยากขอโทษฮันซลสักพันครั้งกับการที่เขาไม่รักษาสัญญา อยากขอบคุณฮันซลสักหมื่นครั้งที่ไม่ต่อว่าหรือทิ้งเขาไปถึงจะรู้ความจริงทั้งหมด ขอบคุณที่ยังเชื่อมั่นในตัวเขา และพร้อมที่จะดูแลชีวิตเขากับอีกหนึ่งชีวิตที่กำลังจะเกิดมา เชื่อแล้วว่าความรักของผู้ชายที่ชื่อจีฮันซลคนนี้มันมีมากมายมหาศาลอย่างที่คุณซลบอกกับเขา

     

     

              เราคิดถูกแล้วใช่ไหมที่จะแต่งงานกับคุณซล ตัดสินใจแบบนี้ดีแล้วใช่ไหม

     

     

     

     

     

    – The Way We Are –

     

     

     

     

     

     

                แทอิลตื่นจากการพักผ่อนกับความเหนื่อยล้าที่แสนสาหัดเมื่อตอนช่วงบ่าย ตอนนี้ก็ดูท่าว่าจะเย็นแล้ว เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่รู้คือเขาอยากจะหลับตาอีกครั้งและไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป ไม่อยากเจอความจริงหลังจากนี้อีกแล้ว แทอิลยอมรับว่าเขาอาจจะขี้ขลาดสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่กล้าสู้หน้าครอบครัว ไม่กล้าสู้หน้าคุณซลอีกแล้ว ถ้าต้องมีชีวิตอยู่ จะหนีไปไกลๆดีไหม หนีไปไหนสักที่ที่ไม่มีคนรู้จัก จะได้ไม่มีใครต้องมาเดือดร้อนกับความผิดพลาดและความผิดปกติของร่างกายตัวเอง

     

                เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น แทอิลหยุดความคิดต่างๆนานาทิ้งไป ยันกายลุกจากเตียงเพื่อเปิดประตูให้กับคนข้างนอกที่ต้องการจะพบเขา แทอิลลังเลที่จะเปิดมันเพราะไม่รู้ว่าภายหลังประตูสีขาวบานนี้จะเป็นใครที่รอเจอหน้าเขาอยู่ แต่ท้ายที่สุดมือก็ได้บิดลูกบิดประตูเพื่อพบเจอกับคนหลังประตูนี้

     

                "เย็นแล้วนะลงไปกินข้าวได้แล้วลูก"

                โล่งใจขึ้นมาเล็กน้อยที่เป็นมารดาของตน ไม่ใช่ชายสองคนที่มาเยี่ยมบ้านในวันนี้ และประโยคที่มารดาพูดก็ผิดคาดไปจากที่คิด แทอิลคิดว่าผู้เป็นแม่คงจะมาเพื่ออยากพูดคุยถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ไม่ใช่เลย มันเป็นประโยคธรรมดาๆเหมือนในวันที่เขามัวแต่ทำงานจนไม่ยอมลงไปกินข้าว น้ำเสียงที่พูดตามให้ลงไปกินข้าวยังคงเหมือนเดิม เสียงหวานของมารดาเคยพูดเช่นไร ลักษณะท่าทางเป็นอย่างไร ไม่ได้ผิดปกติแสดงให้เขาได้กังวล

     

                แต่อาจจะเป็นตัวเขาเสียอีกที่ผิดปกติและไม่ตอบอะไรกลับไปจนมารดาต้องพูดบางสิ่งเป็นคำตอบของคำถามที่เขาไม่ได้เอ่ยถาม


                "สองคนนั้นเขากลับไปแล้วล่ะ ตอนนี้ที่บ้านมีแค่ครอบครัวของเราแล้ว ไม่มีอะไรให้ลูกกลัวแล้วนะแทล ลงไปกินข้าวกับพ่อแม่เถอะ พ่อคงหิวแย่แล้วเนี่ย"

     

                เหมือนมารดาจะรู้ว่าใจของเขาลังเลหรือกลัวกับหลายสิ่ง และคำพูดที่ว่าไม่มีอะไรให้กลัวแล้ว มีแค่ครอบครัวของเรา แทอิลถึงพยักหน้าและเดินลงไปรับประทานอาหารเย็นกับมารดาอย่างอุ่นใจ

                ที่โต๊ะอาหารมีกับข้าวไม่กี่อย่างตามปกติที่บ้านเขาทำ ชายผู้ที่แทอิลเรียกว่าพ่อก็นั่งรออยู่ที่ประจำมุมหัวโต๊ะเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด แต่บนใบหน้าของทุกคนมีรอยยิ้มบางๆบนใบหน้า รอยยิ้มที่ไม่ใช่การฝืนใดๆ แทอิลรับรู้มันแบบนั้น คนที่ฝืนยิ้มตอบกลับเป็นตัวเองเสียอีกที่ยิ้มแบบนั้นตอบกลับไปไม่ได้

     

                "พร้อมหน้าพร้อมตา เริ่มกินกันเถอะเนอะ"

     

                คนหัวโต๊ะเป็นคนเริ่มชวนกิน ทุกคนทำทุกอย่างเป็นปกติ แม่ยังคงตักกับข้าวให้เหมือนเดิม และพ่อก็ยังบอกให้กินเยอะๆแบบเดิม มีบทสนทนาระหว่างกันเหมือนมื้อก่อนๆที่ดูไม่มีการเสแสร้งเพื่อทำลายความอึดอัดที่อาจเกิดขึ้นอย่างที่แทอิลกลัว

     

                หลังจากมื้ออาหารเย็นเสร็จ แทอิลขอเป็นคนล้างจานที่ปกติแล้วจะเป็นหน้าที่ของผู้หญิงคนเดียวในบ้านอย่างแม่ และเมื่อล้างจานเสร็จ เดินกลับมายังโต๊ะอาหาร ทั้งสองท่านยังคงนั่งอยู่ แม่ของเขากำลังถือมีดเพื่อปลอกแอปเปิ้ลของโปรดเขา ส่วนพ่อก็กำลังรินนมใส่แก้ว

                "มาๆแทล มานั่งกินผลไม้ก่อนลูก กินนมด้วยมา"

                แม้ว่าท้องจะอิ่มแต่เพราะแม่เตรียมของโปรดไว้ให้ แทอิลถึงนั่งลงเพื่อรับประทานแอปเปิ้ลต่อ สายตาอ่อนโยนของทั้งคู่ที่จ้องมองมายังตัวเขา แทอิลรับรู้ว่ามันคือความเป็นห่วงแต่ก็แฝงไปด้วยความสงสัย และเขามั่นใจว่าตอนนี้คงมีคำถามหลายคำถาม ความอยากรู้มากมายที่พ่อกับแม่คงอยากจะพูดกับเขา

     
                "แทล ลูกอยากจะคุยกับพ่อแม่เรื่องวันนี้หน่อยไหม"

                เป็นอย่างที่คิดไว้ว่าทั้งสองท่านเองก็อยากจะรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้น คำถามนี้อาจจะไม่ได้เกิดในระหว่างมื้ออาหารเพราะอาจทำให้เสียบรรยากาศ แต่ตอนนี้มันคงเป็นเวลาที่เหมาะสมกว่าในการพูดคุย มื้ออาหารเย็นเป็นเวลาให้เขาเตรียมใจที่จะพูด แต่เมื่อให้ถึงเวลาจะพูดจริงๆ เขาไม่มีใจจะพูดมันเลย


                "ถ้าวันนี้ลูกยังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าวันไหนลูกพร้อม ไม่ว่าเรื่องมันจะดีหรือร้ายยังไง พ่อกับแม่พร้อมที่จะฟังลูกนะ"


                แทอิลไม่ได้พูดตอบอะไร เพียงแต่ลุกจากเก้าอี้แล้วเดินขึ้นไปยังชั้นบนของบ้าน บุคคลทั้งสองไม่อย่างเร่งให้ลูกชายคนเดียวของพวกเขาเล่าบางสิ่งที่พวกเขาคิดว่าควรรับรู้ มันอาจจะสร้างความกดดันและความกังวลมากเกินไป วันนี้มันคงหนักหนามากพอแล้วที่จะต้องเผชิญกับเรื่องบางอย่าง ตอนนี้แก้วตาดวงใจของพวกเขาคงต้องต่อสู้กับความทุกข์ในจิตใจ วันนี้มันอาจมากไปแล้ว

     

                แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้ ลูกชายของพวกเขาเดินกลับลงมาพร้อมบางสิ่งในมือ ซองกระดาษสีขาวประทับตราและชื่อโรงพยาบาลถูกเลื่อนมาให้บนโต๊ะ ผู้เป็นพ่อเป็นฝ่ายหยิบมันขึ้นมาเปิดพร้อมๆกับแม่ที่ร่วมมองเอกสารในมือ

     

                 "ผมไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลมาครับ แล้วหมอเจอความผิดปกติ"
                "ผลตรวจ?"
                "ร่างกายผมผิดปกติ ผมเป็นผู้ชาย แต่ว่า.. แต่ว่าผมท้องได้"


                ทั้งสองมองหน้าแทอิล แม้ริมฝีปากคล้ายจะส่งเสียงพูดบางสิ่ง แต่มันก็ไม่มีเสียงใด น่าตกใจจนไม่สามารถจะแสดงอะไรออกมาได้มากกว่านี้


                "ผมท้องกับซอยองโฮ คนนั้นที่เขามาบ้านเราวันนี้"
                "ลูก.. ลูกท้อง?"
                "พ่อกับแม่จำเมื่อสองเดือนก่อนได้ไหมครับที่ผมบอกว่าไปงานเลี้ยงรุ่น คืนนั้นผมกับเขาเมามาก เราก็เลย.. มันก็เลยเกิดเรื่องนี้ขึ้น ทำให้ผมท้องกับเขา"
                “...”

                "ผมขอโทษนะครับ ขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง ทำให้ผิดหวังอีกแล้ว ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังอีกแล้ว"

     

                แทอิลร้องไห้พร้อมกล่าวคำขอโทษซ้ำไปมา ศีรษะก้มจนแนบติดโต๊ะตรงหน้า ไม่รู้จะทำเช่นไรให้พ่อกับแม่รับรู้ถึงความรู้สึกผิดที่ทำให้ผิดหวังในตัวของลูกแบบเขา เขาทำได้แค่พูดว่าขอโทษพร้อมกับน้ำตาแห่งความผิดหวังในตัวเอง ผิดหวังที่ทำให้คนที่ตัวเองรักผิดหวังอีกแล้ว
               

                "ผิดหวังอะไรกันลูก ผิดหวังอีกแล้วคืออะไรกัน ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องที่ลูกทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังเลย"
                "ผม..ผมมันเป็นคนผิดปกติ.."

     

                มารดาตระกูลมุนเดินเข้ามากอดลูกชายอันเป็นที่รัก ลูบศีรษะปลอบประโลมลูกชายที่น่าสงสารของเธอ วันนี้มันช่างคล้ายกับวันนั้น วันที่แทอิลเดินมาบอกเธอว่าเขาชอบผู้ชาย อยากจะคบหากับผู้ชายคนที่เป็นคนรักปัจจุบันของลูก วันนั้นแทอิลเองก็บอกว่าเขาคงทำให้เธอผิดหวังมาก วันนั้นเธออาจจะรู้สึกว่าผิดหวังแต่มันก็เป็นความรู้สึกเล็กน้อย ในปัจจุบันมันไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรกับการชอบเพศเดียวกัน แต่วันนี้มันไม่ใช่ เธอไม่ได้ผิดหวังในตัวลูกชายคนนี้ ร่างกายที่ผิดแปลกไปจากชายทั่วไปจนเกิดเรื่องเช่นนี้ มันไม่ใช่ความน่าผิดหวังเลย ธรรมชาติสร้างมาแบบนี้ พระเจ้าประทานความมหัศจรรย์มาให้ลูกชายของเธอแบบนี้ มันจะเป็นความน่าผิดหวังไปได้อย่างไร


                "แทล แม่ไม่มองว่าลูกผิดปกติ การที่ลูกมีลูกเองได้มันไม่ใช่ความน่าผิดหวังเลย ใครคนนึงจะเกิดมามันควรเป็นความน่ายินดีไม่ใช่หรอ เหมือนการที่แทลเกิดมาไงลูก"


                แทอิลยอมรับไม่ได้หรอกว่ามันน่ายินดีหรือมันเหมือนกัน เขาเกิดมาจากผู้ชายคนหนึ่งกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความรักซึ่งกันและกัน แต่เด็กที่จะเกิดมาจากเขา เกิดมาจากตัวเขาที่เป็นผู้ชายผิดปกติทางร่างกายกับผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้มีความรักให้กัน มันไม่เหมือนกัน จะให้พูดตามจริง เขาไม่ยินดีสักนิดที่เขากำลังจะมีลูก เขาสงสารเด็กที่จะเกิดมาจับใจ  


                "แล้วผมทำให้คุณซลเสียใจ ยองโฮเขาก็มีแฟนอยู่แล้วด้วย ผมไม่อยากมีลูก ผมไม่รู้.. ไม่รู้จะทำยังไง"
                "แทลคุยกับคุณฮันซลกับยองโฮแล้วใช่ไหม"
                "คุยแล้วครับ"
                "เขาว่ายังไง"
                "ยองโฮบอกว่าจะรับผิดชอบ คุณซลก็บอกว่าถึงจะท้องยังไงก็ยังรักผม แล้วคุณซลก็ขอแต่งงานด้วย"

                ทั้งสองเงียบไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น สถานการณ์ที่น่าลำบากได้เกิดขึ้นแล้วอย่างแน่นอน พ่อแท้ๆของหลานพวกเขาก็อยากรับผิดชอบอย่างแน่แท้ไม่เช่นนั้นคงไม่มาขอร้องกันถึงบ้าน ส่วนคนรักของลูกชายรู้ความจริงยังอยากจะอยู่เคียงข้างกันต่อไปก็คงจะไม่ยอมกันง่ายๆ ตัวพวกเขายังไม่มีโอกาสได้คุยกับสองฝ่ายก็คงช่วยตัดสินหรือให้คำปรึกษาใดไปมากกว่านี้ไม่ได้


                "แทล ตอนนี้ลูกก็ยังไม่ต้องคิดอะไรมาก พ่อกับแม่จะเป็นกำลังใจให้ จัดการไปตามที่มันควรจะเป็น เรื่องนี้มันจะต้องมีทางออกที่ดีแน่นอน แม่เชื่อว่าลูกทำได้"
                "แล้วลูกสัญญากับพ่อได้ไหม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต้องเก็บเด็กน้อยในท้องของลูกเอาไว้ อย่าทำร้ายเขา ใครจะทิ้งลูกชายของพ่อกับแม่ยังไง จะทิ้งหลานคนนี้ยังไง แต่พ่อกับแม่สัญญาจะไม่มีวันทิ้งลูกชายที่รักของพ่อ กับหลานคนแรกของเรา"
                "ถึงจะไม่มีใคร แต่ก็ยังมีพ่อกับแม่อยู่ที่บ้านหลังนี้เสมอจ้ะแทอิล"

     

                แม้ตอนนี้จะไม่มีทางออกใด แต่สิ่งเดียวที่พวกเขารู้ สุดท้ายแล้วแม้ว่าจะไม่มีใครอยู่เคียงข้างลูกชายของพวกเขา มุนแทอิลคนเก่งของพวกเขาจะไม่มีทางต้องอยู่เพียงลำพัง

                บ้านตระกูลมุน จะยังเป็นที่พักพิงให้กับแทอิลเสมอและตลอดไป

     

     

     

     

     

    – The Way We Are –

     

     

     

     

     

                ในวันนั้น เมื่อทำความเข้าใจกับแทอิลเรียบร้อย ร่างบางก็เผลอหลับไปในอ้อมกอดของเขา เขาจึงปล่อยให้แทอิลได้นอนพักผ่อน ฮันซลออกมาจากห้องนอน ลงมาด้านล่างเพื่อจะพูดคุยกับบุคคลสองคนที่คนรักรักมากที่สุดในชีวิต และหากบุคคลอีกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ยังอยู่ก็จะได้พูดคุยไปด้วยเลย แต่เป็นว่าคนที่ฮันซลทำร้ายร่างกายก็นอนแน่นิ่งหลับตาอยู่บนโซฟาไปจึงไม่ได้พูดคุย ส่วนฝ่ายพ่อกับแม่ของแทอิลพอรู้ว่าเขาจะคุยเรื่องแต่งงานกลับขอไม่คุยเรื่องนี้ด้วยก่อน เพราะอยากคุยกับลูกชายและคนอีกคนที่นอนหน้าฟกช้ำอยู่บนโซฟาเสียก่อน ไว้ได้ฟังความจากลูกชายให้รู้เรื่องแล้วจะเป็นฝ่ายขอคุยกับฮันซลอีกที วันนั้นฮันซลจึงขอตัวกลับก่อน

     

                หลังจากนั้นสองวัน ฮันซลโทรศัพท์หาแทอิลของเขาเพื่อถามเรื่องที่พูดคุยกับคุณพ่อและแม่ของคนรัก แต่แทอิลบอกเขาว่าพ่อและแม่ยังไม่ได้ตัดสินใจ และคงเล่าอะไรให้เขาฟังมากไม่ได้ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด เมื่อถามถึงเรื่องของเพื่อนที่เป็นพ่อของลูกในท้องแทอิลว่าผู้ชายคนนั้นว่าอย่างไร แทอิลก็ตอบเขาว่ายังไม่ได้คุยด้วย เพราะพอตื่นมาอีกเพื่อนก็กลับไปแล้ว แทอิลจึงขอเบอร์โทรศัพท์ผู้ชายที่เขาต่อยหมัดใส่ไปเพื่อจะพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว แทอิลอยากไปด้วยแต่ตัวฮันซลก็ห้ามไว้ อยากจะคุยกับอีกฝ่ายแบบลูกผู้ชายตัวต่อตัวและได้ให้สัญญาไว้ว่าจะไม่ทำร้ายร่างกายเพื่อนของคนรักอีกซ้ำสอง แทอิลจึงยอมให้เบอร์โทรศัพท์กับที่อยู่ที่ทำงานที่ยองโฮได้ให้เอาไว้กับตน

     

                วันนี้ฮันซลจึงมาหาคู่กรณีถึงบริษัท เขาโทรบอกอีกฝ่ายล่วงหน้าไว้แล้วว่าอยากพบ เมื่อมาถึงที่ทำงานของคู่กรณี ก็พบกับร่างสูงที่ยืนรออยู่ตรงประชาสัมพันธ์ ใบหน้ามีพลาสเตอร์แปะอยู่สองสามแห่ง แต่ก็ไม่ทำให้เค้าโครงความหล่อนั้นหายไป

     

                “สวัสดีครับ คุณจีฮันซล”

                “สวัสดีครับ คุณซอยองโฮ”

     

                คนตัวสูงกว่าซึ่งเป็นพนักงานของที่นี่พาฮันซลขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นบน ซึ่งเป็นที่ทำงานของยองโฮ ห้องทำงานของคนหน้าหล่อแยกอยู่อีกฝั่งกับโต๊ะทำงานของพนักงานคนอื่นๆ คิดในใจว่าคงมีตำแหน่งน่าดูถึงได้มีห้องทำงานแยก เจ้าของห้องทำงานเป็นคนเปิดประตูต้อนรับแขกผู้มาเยือนอย่างให้เกียรติ ฮันซลก้มศีรษะให้เพื่อขอบคุณ เดินนำเข้าไป โดยที่ยองโฮเป็นคนปิดประตู

     

                “เชิญนั่งก่อนครับ”

     

                ยองโฮผายมือให้ฮันซลนั่งที่โซฟารับแขก ฮันซลนั่งลงอย่างเกร็งๆเพราะอีกฝ่ายต้อนรับเขาดีเกินไป เป็นผู้ชายที่มีมารยาทมากจนเขาชื่นชมอยู่ในใจ

     

                “จะดื่มอะไรก่อนไหมครับ ผมจะไปเอามาให้”

                “ไม่เป็นไรครับ เข้าเรื่องที่ผมจะคุยเลยดีกว่า คุณซอยองโฮก็นั่งเถอะครับ อย่ามัวแต่เสียเวลารับแขกอย่างผมเลย”

     

                ฮันซลเชิญให้ยองโฮนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้าม เจ้าของห้องทำงานค่อยๆหย่อนกายลงบนโซฟา แขกผู้มาเยือนจ้องใบหน้าหล่อของอีกฝ่ายอย่างพิจารณา ก่อนที่จะเอ่ยปากพูดคุย

     

                “ครั้งก่อนที่บ้านของแทอิล ผมต้องขอโทษที่ทำร้ายร่างกายคุณ และขอบคุณที่คุณไม่เอาเรื่อง”
                “ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจดีว่าทำไมคุณถึงทำแบบนั้น”

     

                ยิ้มพอเป็นมารยาทส่งมาให้ฮันซลเพื่อให้ได้ความสบายใจ แต่คนได้รับยิ้มนั้นกลับไม่ได้ยิ้มตอบ เขาไม่ได้มาเพื่อผูกสัมพันธ์ไมตรีนี่ ถึงจะได้ต้องมายิ้มให้ทั้งๆที่ไม่อยากยิ้ม ฮันซลเป็นคนตรงไปตรงมากับการแสดงออกต่อความรู้สึกอยู่แล้ว

     

                “ผมไม่ทราบว่าคุณคุยกับแทอิลหรือพ่อกับแม่ของแทอิลว่ายังไง แต่ที่ผมจะพูดวันนี้ขอให้คุณตัดสินใจเรื่องของแทอิลใหม่”

                “...”

                “ผมรู้ว่าแทอิลท้องกับคุณ แต่ผมคิดว่าคุณไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรแทอิลทั้งนั้น ผมจะเป็นคนรับผิดชอบแทอิลกับลูกของแทอิลเอง คุณไม่ต้องกังวลว่าแทอิลจะไปเรียกร้องสิทธิ์ให้คุณต้องดูแลเขากับลูกในภายหลัง ไม่ต้องกังวลว่าแทอิลกับลูกจะต้องลำบาก ผมจะดูแลทั้งสองคนอย่างดี เงินเดือนผมมากพอที่จะให้ทุกอย่างที่แทอิลต้องการได้”

               

                ฮันซลพูดตรงๆไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลาเพราะอยากให้การเจรจาจบลงโดยไว ยองโฮนั่งรับฟังแขกของเขาพูดโดยไม่ขัดจังหวะ สีหน้านิ่งเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว ก่อนจะเอ่ยปากพูดกับอีกฝ่าย

     

                “แทอิลขอร้องให้คุณมาพูดกับผมเรื่องนี้หรือครับ คุณฮันซล”

                “เปล่าครับ ผมเป็นคนอยากมาเอง มาในฐานะคนรักของแทอิล”

               

                เน้นคำว่า คนรักให้ได้ยินอย่างชัดเจน ถึงไม่บอกก็รู้ว่าคนตรงหน้าเขาตอนนี้เป็นคนรักที่แทอิลเคยบอกว่ามีคนที่คบหาอยู่ด้วยแล้ว รู้ตั้งแต่ตอนที่ไปหาที่บ้านแทอิลคราวนั้นแล้วถูกกระหน่ำหมัดใส่ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเจอ

     

                “คุณฮันซลครับ ผมเคยบอกกับแทอิลว่ายังไง ผมก็จะรักษาคำพูดที่ผมเคยให้ไว้ ว่าผมยินดีจะรับผิดชอบแทอิลกับลูก”

                “ไม่จำเป็นต้องทำในสิ่งที่ฝืนใจหรอกนะครับคุณยองโฮ”

                “ไม่ฝืนใจครับ ผมเต็มใจที่จะดูแลแทอิล และผมก็คิดดีแล้ว ผมสัญญาว่าจะดูแลแทอิลอย่างดี”

     

                ฮันซลกำมือแน่น อยากจะต่อยคนตรงหน้านี่อีกสักรอบ แต่ก็ไม่ทำแบบนั้น ได้แต่ระงับอารมณ์โกรธที่กำลังปะทุขึ้นในใจ เขาอุตส่าห์ใช้น้ำเย็นเข้าลูบแต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ผล

     

                “แต่คุณมีคุณเตนล์อยู่แล้วไม่ใช่หรือไงครับ”

     

                เหมือนว่าจะเพิ่งนึกออกว่าเคยเห็นหน้าหล่อนี่จากที่ไหน ซอยองโฮคนนี้เป็นแฟนกับคุณเตนล์ ดาราซูเปอร์สตาร์ที่กำลังโด่งดังอยู่ในขณะนี้ เรื่องนี้ดูเหมือนว่าเขาพอจะเอามาทำให้ซอยองโฮปฏิเสธการขอสิทธิ์ในตัวแทอิลได้มากทีเดียว

     

                “ผมเลิกกับเตนล์แล้วครับ และเตนล์ก็เข้าใจเรื่องทั้งหมด”

     

                อยากจะเลิกเป็นแฟนคลับของเตนล์ที่ฮันซลแอบชื่นชมในความสามารถอยู่ไม่น้อยเสียเดี๋ยวนั้น ทำไมคนรักกันถึงไม่พยายามเหนี่ยวรั้งกันเอาไว้บ้าง จะเกิดมาเป็นคนดีอะไรในเรื่องใหญ่โตแบบนี้ ยอมเลิกรากันง่ายๆได้อย่างไร ฮันซลมั่นใจว่าถ้าเขาเป็นเตนล์ ไม่มีทางที่เรื่องทุกอย่างจะจบลงง่ายดายอย่างที่ยองโฮบอก

     

                “ยังไงคุณก็จะไม่ยอมผมใช่ไหมครับ คุณซอยองโฮ”

                “ถ้าจะให้พูดตรงๆก็ไม่ยอมครับ คุณจีฮันซล”

     

                ดูเหมือนจะเป็นคนที่ยอมคนเพราะกิริยามารยาทที่ดูอ่อนน้อม แต่ฮันซลกลับคิดผิดถนัด ผู้ชายคนนี้หัวแข็งกว่าที่เขาคิดเอาไว้ นึกว่าจะตกลงกันได้ง่ายๆเสียอีก ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ไม่สามารถโน้มน้าวหรือทำให้ใจที่มุ่งมั่นของยองโฮนั้นสั่นคลอนไปได้เลย เขาต้องทำเช่นไรยองโฮถึงจะยอม เขาไม่อยากเสียแทอิลไปให้กับยองโฮ รู้ว่าสองคนไม่ได้รักกัน อยู่ด้วยกันไปก็มีแต่จะความทุกข์ ทำไมยองโฮถึงอยากจะแต่งงานกับแทอิลนัก เป็นสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ

     

                ฮันซลลุกขึ้นจากโซฟาสีดำที่นั่งอยู่ ค่อยๆก้าวเท้าเดินไปใกล้ยองโฮ ยืนมองใบหน้าอีกคนฝ่ายอยู่นาน ความคิดว่าอยากจะใช้กำลังระบายโทสะในใจก็ถูกระงับด้วยสติที่บอกว่าเขาควรทำบางสิ่งที่ดีกว่านั้น ขายาวที่เคยแข็งแกร่งกลับแปรเปลี่ยนไป เข่าสองข้างงอลงจนกลายเป็นว่าเขาต้องคุกเข่าให้กับร่างสูงคนนี้ ยองโฮพูดไม่ออกกับสิ่งที่ฮันซลกำลังทำ ทำไมถึงได้ยอมเสียศักดิ์ศรีคุกเข่าก้มศีรษะต่อหน้าเขา ทั้งที่วันก่อนยังต่อยหน้าเขาอย่างไม่ยอมแพ้อยู่เลยด้วยซ้ำ

     

                “คุณ...คุณฮันซล ลุกขึ้นเถอะครับ”

                “ขอร้องล่ะคุณยองโฮ กรุณายอมแพ้เรื่องแทอิล ให้ผมได้รักกับแทอิลอย่างเดิมเถอะครับ เขาเป็นทุกอย่างในชีวิตผมแล้วจริงๆ”

                “ลุกขึ้นเถอะครับคุณฮันซล อย่าทำแบบนี้เลย”

                “ผมมีทั้งเงิน มีหน้าที่การงานที่ดี ผมมีความรักที่จะให้แทอิล ในแบบที่คุณก็มีให้เขาไม่ได้ คุณไม่ได้รักแทอิล การแต่งงานเพื่อรับผิดชอบมันมีความสุขหรือครับ คุณก็เห็นแบบอย่างจากในละครตั้งเยอะแยะว่ามันไม่ได้ดีอะไร เด็กที่จะเกิดมามีแต่จะไม่ได้รับความอบอุ่นจากการที่พ่อกับแม่ไม่ได้รักกัน เขาไม่มีความสุขหรอกนะครับ”

     

                ยองโฮฟังก็เงียบไป เขารู้ว่าฮันซลเป็นผู้ใหญ่กว่าและคิดถึงเรื่องนี้เอาไว้ในขณะที่เขาไม่ได้คิด ต้องขอบคุณฮันซลที่ทำให้เขาได้คิดในตอนนี้ว่าการแต่งงานไม่ใช่เรื่องของคนสองคน แต่ต้องคิดถึงเรื่องของลูกของเขากับแทอิลที่กำลังจะเกิดมา เหมือนว่าเขาจะเห็นแก่ตัวที่เอาแต่จะรับผิดชอบ รู้ว่าแทอิลไม่ได้เต็มใจนัก แต่ก็ยังผูกมัดแทอิลในทุกเรื่องเพื่อให้คนที่อาจบอกได้ว่าเป็นแม่ของลูกยินยอม

     

                ยองโฮดึงฮันซลให้ลุกขึ้นจากพื้น แม้ทีแรกจะขัดขืนเพราะยังไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ แต่ฮันซลยอมลุกในทีหลังและกลับไปนั่งที่โซฟาฝั่งเดิมหวังว่าจะได้รับคำตอบที่เขาพึงพอใจ

     

                “คุณฮันซลครับ ผมขอบคุณที่คุณทำให้ผมคิดได้”

                “คุณยองโฮยอมแล้วใช่ไหมครับ”

                “คุณบอกว่าคุณมีหน้าที่การงานที่ดี มีเงิน ผมเองก็มีทุกอย่างที่คุณพูด คุณบอกว่าคุณมีความรักที่ผมไม่สามารถให้แทอิลได้ ผมว่าคุณคงคิดผิดไปบ้าง ผมเองก็มีความรักที่จะให้แทอิลในแบบของผม ดังนั้น สิ่งใดที่คุณมี ผมเองก็มีเหมือนๆกัน มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนกันคือรูปแบบของความรักที่ให้แทอิล แต่ผมมีสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าผมมี แต่คุณไม่มี..”

                “อะไร อะไรที่คุณมี แต่ผมไม่มี”

                “สิ่งที่ผมมี แต่คุณไม่มี ก็คือ.. เชื้อสายความเป็นพ่อของลูกในท้องแทอิลไงครับ”

     

                ยอมรับว่าแพ้จริงๆ ทำไมถึงเอาชนะคนๆนี้ไม่ได้เสียที นั่นสินะ สิ่งที่คนเราจะมี ของนอกกายอยากมีเหมือนใครก็มีได้ แต่เรื่องของเชื้อสายพันธุกรรมในร่างกาย จะไปเปลี่ยนแปลงได้ยังไง ต่อให้ฮันซลได้เป็นพ่อที่เลี้ยงดูลูกของแทอิลยังไง ก็ไม่มีวันที่จะพูดได้ว่าเด็กที่จะเกิดมานั้นเป็นเชื้อสายที่แท้จริงของเขา หน้าตาเหมือนเขาสักนิดก็คงไม่มีเค้าโครงให้เหมือน ในเมื่อไม่ได้รับอะไรจากฮันซลมาเลย

     

                ทำไมเขาถึงเจ็บกับคำพูดของยองโฮนัก ทำไมการที่คนรักของเขาท้องกับผู้ชายตรงหน้าเขามันถึงทำให้เขาทรมานมากขนาดนี้

     

                “ผมขอโทษที่อาจจะพูดแรงไป แต่ผมก็อยากให้คุณเลิกดูถูกว่าผมจะไม่สามารถทำให้แทอิลมีความสุขได้ ลูกของแทอิลที่จะเกิดมา เป็นลูกของผมจริงๆ ในอนาคตผมก็จะเป็นพ่อคน คนเป็นพ่อ มีหรือครับที่จะไม่รักลูก”

     

                ถึงใครจะบอกว่าคนที่รักลูกมากที่สุดจะเป็นคนที่ให้กำเนิดจริงๆอย่างแม่ คนถึงได้ให้ความสำคัญกับวันแม่มากกว่าวันพ่อ แต่สำหรับยองโฮ ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่ ก็คือบุคคลที่จะรักคนๆหนึ่งที่เรียกว่าลูกได้มากที่สุดอย่างเท่าเทียมกัน  ถึงจะเป็นลูกที่เกิดมาอย่างไม่ได้ตั้งใจและเขารู้สึกกังวลในทีแรก แต่เขาก็ดีใจไม่น้อยที่จะมีคนๆหนึ่งเรียกเขาว่า พ่อมันคงเป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์

                ยองโฮเห็นใจฮันซลในเรื่องของแทอิล แต่เขาเองก็ต้องลาจากกับเตนล์ที่เขาเองก็รักเพราะความรับผิดชอบที่มีมากกว่า ดังนั้นฮันซลควรจะเห็นใจเขาบ้างเช่นกัน ควรจะเห็นในความตั้งใจของเขาบ้าง

     

                “แต่ผมจะลองคิดดูใหม่อีกครั้งก็ได้ครับเรื่องของผมกับแทอิล ถ้าแทอิลเป็นคนมาขอร้องด้วยตัวของเขาเอง ผมอาจจะเห็นแก่แทอิล”

     

                เหมือนว่ายองโฮจะใจร้ายที่กดดันให้แทอิลเป็นคนทำทุกอย่าง แต่เรื่องแบบนี้คนที่จะตัดสินใจได้ก็มีเพียงแค่เขากับแทอิล จีฮันซลเป็นคนรักแทอิลก็จริงแต่ก็ถือเป็นคนนอกสำหรับเรื่องนี้ ยองโฮตัดสินใจแล้วว่ายังไงเขาก็จะรับผิดชอบ เหลือเพียงแต่แทอิลที่ยังไม่ได้เอ่ยปากบอกให้เขาได้รับรู้อย่างแท้จริงว่าตัดสินใจเช่นไร ถ้าแทอิลยอมขอร้องเขาอย่างจริงจังสักครั้ง เขาอาจจะใจอ่อนลงบ้าง ยองโฮไม่ได้ใจร้าย แต่แค่เป็นคนที่มีความรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป เขาสามารถทำสิ่งใดได้ก็ควรทำก่อนจะสายไป ไม่อยากต้องมาเป็นกังวลเหมือนที่ผ่านๆมา ถ้าไม่ทำ เขาอาจจะเสียใจไปตลอดชีวิตก็ได้

     

                ฮันซลลุกพรวดขึ้นจากโซฟา เดินออกไปจากห้องทำงานของคนที่กำลังจะแย่งคนรักไปโดยไม่กล่าวลาเหมือนตอนมาที่ทักทายเสียดิบดี ยองโฮมองแผ่นหลังของฮันซลที่จากไปด้วยความสงสาร เอนศีรษะพิงกับเบาะนุ่มของโซฟาอย่างเหนื่อยใจ

     

                ถ้าแทอิลเกิดมาขอร้องเข้าจริงๆ ควรจะปล่อยไปดีหรือเปล่า ปล่อยให้แทอิลไปตามทางอันแสนหวานของแทอิลกับจีฮันซลแบบเดิมมันจะดีหรือเปล่า

     

                แล้วเขาที่ยอมเลิกกับเตนล์ล่ะ มันจะกลายเป็นเรื่องเสียเปล่าใช่ไหม

     

     

     

     

     

    – The Way We Are –

     

     

     

     

     

                ทั้งที่วันนี้ตั้งใจจะไปนอนค้างที่หอพักของบริษัทที่เดินจากบริษัทไปห้านาทีก็ถึงเพราะอยากจะทำอัลบั้มใหม่ของนักร้องสาวในค่ายให้สมบูรณ์ ที่คาดว่ากว่าจะเสร็จคงดึก แต่คุณซลก็โทรศัพท์มาบอกว่าอยากจะคุยกับเขาให้รู้เรื่อง โทรหาพ่อและแม่ของเขาเรียบร้อยแล้วว่าจะไปทานข้าวเย็นด้วย แทอิลจึงต้องหยุดความตั้งใจเอาไว้ก่อน และยอมไปกับฮันซล แล้วไว้ค่อยกลับมาหลังจากพูดคุยกับแฟนของเขาเสร็จก็ได้

     

                คนรักมารับแทอิลตรงเวลา ใบหน้าที่เคยมีแต่ยิ้มหวานแบบหล่อๆของฮันซลไม่มีปรากฏให้แทอิลได้เห็นเหมือนเช่นเคย มีแต่ยิ้มที่ฝืนออกมาให้ได้เห็น ฮันซลขับเคลื่อนรถออกจากหน้าค่ายเพลงยักษ์ใหญ่เพื่อขับไปที่ไหนสักแห่ง อาจเป็นร้านอาหารหรือบ้านของแทอิลเองก็ไม่แน่ใจ

     

                “วันนี้คุณซลไปหาซอยองโฮมาแล้วนะ”

     

                ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร ไม่คิดว่าฮันซลจะไปหาเพื่อนร่วมรุ่นคนนั้นจริงๆ ไม่กล้าถามว่าเกิดอะไรขึ้น เหมือนว่าเห็นสีหน้าของหน้าหล่อคนรักแล้วก็พอจะรู้ว่ามันไม่ค่อยดีสักเท่าไร

     

                “เขายืนยันว่าจะรับผิดชอบแทล ไม่ว่าจะพูดอะไรเขาก็ไม่เปลี่ยนใจเลย”

     

                ไม่อยากเชื่อว่ายองโฮจะอยากรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นมากขนาดนี้ สมัยเรียนก็ไม่เห็นว่าซอยองโฮจะดูเป็นคนมีความรับผิดชอบอะไรเท่าไร ทำไมในตอนนี้ถึงดูเปลี่ยนไป หรือว่าแท้จริงแทอิลรู้จักยองโฮไม่ดีพอ ก็อาจจะเป็นแบบนั้น หน้ายังไม่มองกันนับประสาอะไรกับนิสัยที่อยู่ภายในแทอิลถึงจะต้องรู้

     

                “คุณซลเหนื่อยไหม”

     

                แทอิลถามด้วยความเป็นห่วง แต่ฮันซลไม่มีคำตอบให้สำหรับคำถาม ถ้าถามว่าเหนื่อยไหม เขาไม่เหนื่อยกายแต่รู้สึกเหนื่อยใจ เหมือนว่าลมหายใจกำลังจะหมดลงทุกครั้งที่คิดว่าแทอิลจะต้องจากเขาไป แต่ถามว่าเขาท้อไหม คำตอบคือไม่ หากเขาท้อใจ ก็คงยอมปล่อยแทอิลไปให้กับผู้ชายคนนั้นแล้วในเมื่อฝ่ายนั้นเองก็มีทุกอย่างที่เขามี แถมยังมีมากกว่าอยู่หนึ่งสิ่งซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ เขาจะยอมแพ้ก็ต่อเมื่อคนที่เขารักมากที่สุดอย่างแทอิลเป็นคนบอกให้เขายอมแพ้ เพราะนั่นหมายความว่าเขาได้คำตอบแล้วว่าแทอิลเลือกใคร

     

                “มีอะไรหรือเปล่าคุณซล มีอะไรก็บอกแทลบ้าง”

                “เขาบอกว่าถ้าแทลไปขอร้องเขา เขาอาจจะยอม”

     

                ใจจริงฮันซลไม่อยากบอกแทอิล ทำไมคนที่เขารักจะต้องไปอ้อนวอนขอร้องอะไรกับคนแบบนั้น ซอยองโฮมันเป็นเจ้าชีวิตแทลของเขาหรืออย่างไรถึงต้องจะให้ทำกันขนาดนี้ แต่เมื่อแทอิลฟังแล้วก็ไม่ได้แสดงความเห็นว่าจะทำหรือไม่ทำอย่างไร เพียงแค่หันมามองหน้าฮันซลที่มุ่งมั่นขับรถให้ถึงที่หมายโดยไว

                รถถูกจอดที่ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ฮันซลชอบพาครอบครัวแทอิลมาทานบ่อยๆ เมื่อลงจากรถ ฮันซลก็จับมือนุ่มของแทอิลให้เดินเข้าร้านไปด้วยกัน ร้านอาหารเป็นแบบห้องส่วนตัว ซึ่งฮันซลโทรมาจองไว้เรียบร้อยแล้ว พนักงานนำทั้งคู่ไปยังห้องที่ถูกจองไว้ พบว่าภายในมีบุคคลสองคนที่มาอยู่ก่อนหน้าแล้วนั่นคือพ่อและแม่ของแทอิล สองคนที่เพิ่งมาใหม่ค่อยๆนั่งลงกับพื้นเสื่อญี่ปุ่น ตรงข้ามกับฝั่งที่ผู้ใหญ่นั่ง

     

                บนโต๊ะอาหารมีอาหารมากมายที่ถูกสั่งมาก่อนหน้า และมันก็ครบถ้วนเพียงพอสำหรับสี่คน พ่อและแม่ของแทอิลรู้ว่าลูกชายของตนและคนรักของลูกชายชอบอะไรจึงได้สั่งไว้หมดแล้ว บรรยากาศวันนี้ไม่ดีนัก เงียบไม่มีใครพูดคุยอะไร แม้จะสนิทกันเป็นเหมือนครอบครัว แต่ก็ไม่เป็นครอบครัวที่อบอุ่นเหมือนเคย มันเงียบยิ่งกว่าวันแรกที่ฮันซลมาพบกับพ่อแม่ของคนรัก วันนั้นเขายังคงเกร็งถึงได้ไม่พูดคุยสักเท่าไร วันนี้รักและสนิทกันจนรู้แทบทุกเรื่อง ทั้งที่มีเรื่องมากมายให้ได้พูดคุย กลับเป็นว่าไร้ซึ่งคำพูดใดๆ

     

                อาหารค่อยๆพร่องลงไปเรื่อยๆ จนอาหารหมดไปหลายจาน ฮันซลเป็นคนวางตะเกียบที่คีบรับประทานอาหารลงเป็นคนแรก หลังจากนั้นบุคคลอีกสามคนที่นั่งร่วมโต๊ะก็หยุดการทานไปด้วย

     

                เหมือนเวลาที่ฮันซลและแทอิลรอคอยจะมาถึง บิดาและมารดาของแทอิลหันมองหน้ากัน หญิงยกลางคนผู้เป็นมารดาพยักหน้าให้กับชายผู้เป็นสามีอย่างช้าๆด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง

     

                “คุณฮันซล แทล พ่อกับแม่อยากให้แทอิลแต่งงานกับคุณยองโฮ”

     

                อยากให้เขาได้ยินผิดไป อยากให้เขาแค่หูฟาด ฮันซลไม่อยากจะเชื่อว่าเขาได้ยินประโยคที่บิดาของคนรักพูดอย่างถูกต้อง ทำไมคนที่เขามั่นใจว่าต้องเข้าในความรักของเขากับแทอิลถึงได้ตัดสินใจเช่นนี้ สุดท้ายแล้วก็ไม่เข้าใจในความรักของเขาหรือเช่นไร

     

                “ทำไมละครับคุณพ่อ”

     

                ฮันซลอยากฟังเหตุผลให้หายข้องใจถึงการตัดสินใจของผู้ใหญ่ที่เขาเคารพรักทั้งสองจึงได้เอ่ยถาม

     

                “คุณฮันซล พ่อขอถามอะไรหน่อย ถ้าคุณฮันซลเป็นคุณยองโฮ คุณฮันซลจะทำยังไง”

     

                ไม่รู้จะตอบว่าอะไร เพราะฮันซลก็ไม่รู้ว่าถ้าเขาเป็นยองโฮ หากเกิดเรื่องแบบนี้กับตัวเขา เขาจะทำเช่นไร ควรรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นแม้อีกฝ่ายจะไม่เต็มใจ หรือควรจะทำตามใจอีกฝ่ายโดยการไม่รับผิดชอบ สิ่งใดดูเห็นแก่ตัวกว่ากันเขาไม่รู้

     

                “พ่อไม่รู้ว่าถ้าเป็นคุณฮันซล คุณฮันซลจะทำยังไง แต่ถ้าเป็นพ่อ พ่อก็จะทำแบบที่คุณยองโฮทำ วันนั้นที่เขามาที่บ้าน หลังจากที่คุณฮันซลกลับไป คุณยองโฮเขาก็ตื่นขึ้นมา หลังจากที่เขาตื่นสิ่งแรกที่เขาทำคือคุกเข่าลงต่อหน้าพ่อกับแม่อีกครั้ง ก้มศีรษะขอโทษเรื่องแทอิลซ้ำแล้วซ้ำเล่า อธิบายเรื่องราวทั้งหมด ขอร้องและอ้อนวอนให้พ่อกับแม่ยกแทอิลให้เขาดูแล”

                “แม้ว่าแทลจะท้องกับคนอื่น แต่ว่าผมรับได้นะครับ แทลเป็นคนที่ผมรัก ไม่ว่ายังไงผมก็จะไม่ทิ้งแทล”

                “พ่อรู้ว่าคุณฮันซลรักแทอิลของพ่อมาก พ่อไม่ได้อยากขัดขวางความรักของลูกสองคน แต่เรื่องแบบนี้มันรับผิดชอบแทนกันไม่ได้นะคุณฮันซล ในเมื่อเรื่องนี้มันเกิดขึ้นก็เพราะคุณยองโฮกับแทอิล คุณยองโฮก็ต้องรับผิดกับสิ่งที่เขาทำ มันถูกต้องแล้ว และจากที่คุณยองโฮทำและบอกกับพ่อและแม่ พ่อเชื่อว่าเขาก็จะทำให้แทอิลของเรามีความสุขได้”

     

                ฮันซลได้เพียงแค่นั่งนิ่งรับฟังเรื่องราวด้วยหัวใจที่สั่นไหว ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเพื่อกลั้นอารมณ์ความรู้สึกที่หัวใจของเขารู้สึกและไม่อาจแสดงออกมา ดวงตาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง พยายามกลอกลูกตาไปมาไม่ให้น้ำได้เอ่อไหล

     

                “ถ้าพ่อรู้ว่ากำลังจะมีลูกคนแรก แต่พ่อไม่สนใจใยดี ปล่อยให้คนที่ต้องอุ้มท้องเป็นคนเลี้ยงลูกอยู่คนเดียว พ่อคงเสียใจไปตลอดชีวิต”

                “เข้าใจแล้วครับคุณพ่อ ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณที่คุณพ่อทำให้ผมคิดได้”

     

                น้ำตาที่อดกลั้นไว้ ท้ายที่สุดก็หลั่งไหลออกมาจากดวงตา ฮันซลก้มศีรษะสองครั้งก่อนจะลุกเดินออกจากห้องอาหารไป แทอิลรีบลุกตามฮันซลที่หุนหันออกไปโดยไม่กล่าวลา มือบางปาดน้ำตาที่เอ่อล้นอยู่ในตาให้มองเห็นสิ่งต่างๆได้ชัดเจนขึ้น รีบสาวเท้าเดินตามคนรักที่ห่างเขาออกไปทุกที

     

                แทอิลวิ่งมาถึงลานจอดรถ เห็นอีกคนที่ออกมาก่อนหน้านั่งอยู่ในรถ ศีรษะของคนรักก้มชิดติดพวงมาลัย เขารู้ว่าคุณซลกำลังร้องไห้ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่คบกันที่เขาทำให้คุณซลของตนเสียใจมากขนาดนี้ เขาไม่เคยเห็นน้ำตาของฮันซลสักครั้งและนี่เป็นครั้งแรก แทอิลหยุดยืนที่ข้างรถ อยากบอกให้เจ้าของรถเปิดประตูให้เขาได้พูดคุย อยากบอกฮันซลให้หยุดร้องไห้ กลับมาเป็นคนเดิมที่มีแต่รอยยิ้มให้เขา แต่ก็ทำได้เพียงแค่เฝ้ามองอยู่ข้างนอกผ่านกระจกใสบางๆที่คั่นระหว่างพวกเขา มือลูบกระจกรถอย่างอ่อนโยนเสมือนว่าคือใบหน้าของคนรัก

     

                ฮันซลรู้ดีว่าคนที่เขารักที่สุดยืนมองเขาอยู่ข้างๆ มีเพียงแค่ประตูรถที่กั้นทั้งสองเอาไว้ เขารู้ว่าแทอิลร้องไห้ อยากดึงแทอิลมากอดเหมือนทุกคราที่แทลของเขาอ่อนแอ แต่เขาก็กำลังร้องไห้ สภาพเขาในตอนนี้มันย่ำแย่เกินกว่าที่จะบอกให้แทอิลหยุดร้อง เพราะเขาเองก็ยังทำไม่ได้ ไม่อยากให้แทอิลต้องเห็นว่าเขาเองอ่อนแอ พอคิดว่าการที่เขานิ่งเฉยทำเป็นไม่สนใจแทอิลตั้งแต่ตอนนี้เสียก็ดี เพราะลมหายใจต่อจากนี้ก็จะไม่มีสิทธิ์ได้ทำแบบที่เคยทำ แต่เหมือนหัวใจจะต่อต้านความคิด ท้ายที่สุดฮันซลก็ยกแขนขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้า เปิดประตูรถยนต์ออก จ้องมองใบหน้าแทอิลที่มีแต่คราบน้ำตา แขนยาวพาดเข้ากอดคนตัวเล็กของเขา แทอิลสั่นและสะอื้นอยู่ในกอดของฮันซล น้ำตามากมายไหลพรั่งพรู

     

                คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้กอดกันแบบนี้ ครั้งสุดท้ายที่จะได้ปลอบประโลมกันและกันด้วยกอดที่ลึกซึ้งเช่นนี้

     

                “แทล.. อย่าร้องสิ คุณซลเจ็บปวดใจมากพอแล้ว เห็นแทลร้องไห้แบบนี้.. คุณซลก็ยิ่งเจ็บปวด”

     

                ยิ่งพูดก็หยิ่งหลั่งน้ำตา ยิ่งฟังน้ำตาก็ยิ่งไหล ฮันซลยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มของคนรักที่อยู่ชิดติดใบหน้าของตน มีแต่เสียงร่ำไห้ที่ดังกังวานอยู่ในโสตประสาท นั่นยิ่งทำให้หัวใจของฮันซลบีบรัดยิ่งขึ้นไป 

     

                “ร่าเริงเข้าไว้สิแทล ตอนนี้กำลังท้องนะ ร้องไห้แบบนี้ ลูกของแทลจะแย่เอานะ”

                “ฮะ..ฮึก... คุณซล..”

                “คุณซลมีเรื่องอยากจะพูดกับแทลมากมาย แต่คุณซลไม่มีแรงจะพูดเลยแทล..”

     

                อยากบอกมากเหลือเกินว่าเขารู้สึกอย่างไร อยากบอกว่าตอนนี้คิดอย่างไร อยากบอกให้หมดทุกสิ่งอย่าง แต่มันมากมาย ให้พูดจนน้ำเสียงเหือดแห้งก็คงบอกความในใจได้ไม่หมด อยากบอกคนในอ้อมกอดก่อนที่จะต้องจากลา ที่ผ่านมานึกว่าฟ้าจะลิขิตให้เขากับแทอิลเกิดมาคู่กัน ลมหายใจสุดท้ายของใครสักคน ไม่เขาหรือแทอิล จะต้องมีกันและกันอยู่เคียงข้าง แต่เขาคงคิดผิดไป วันที่ไม่คิดว่าจะมีก็กลับมี และมาโดยไม่ทันตั้งตัว ไม่เคยคิดว่าจะต้องจากกันนอกเสียจากความตายมาพราก หากเขารู้ก่อนหน้าว่าจะต้องจากกัน เขาคงจะบอกแทอิลทุกอย่างในเวลาที่เขามีเหลืออยู่

     

                เวลาที่มีอยู่ตอนนี้มันเหลือน้อยเหลือเกิน

     

                “จะได้แต่งงานแล้วสินะแทลของคุณซล กำลังจะมีลูกแล้วด้วยสิ ยินดีด้วยนะ”

                “ฮะ...ฮือ...”

                “แทลเคยทำดียังไงให้คุณซล เคยดูแลคุณซลดียังไง เคยรักคุณซลแบบไหน เคยมีความสุขกับคุณซลยังไง ก็ทำแบบที่เคยทำ ทำให้คุณยองโฮมีความสุขนะ เขาจะได้รักแทลมากๆ แล้วแทลก็จะได้มีความสุข ถ้ามีปัญหาก็ให้ใจเย็น ทุกข์ใจก็ให้อดทน ชีวิตมันจะกระทบกระทั่งกันบ้างก็เป็นธรรมดา”

                “ฮะ...ฮึก... ฮือ..”

                “เป็นทั้งพ่อและแม่ที่ดีให้กับลูก เลี้ยงลูกของแทลด้วยความรัก ให้เขาเติบโตมาเป็นคนดี เรียนหนังสือเก่งๆ ดูพ่อกับแม่แทลเป็นตัวอย่าง ท่านทั้งสองเลี้ยงแทลมาให้ดีแบบนี้ได้ยังไง แทลกับคุณยองโฮก็ต้องเป็นแบบนั้นได้”

     

                คงมีแค่คำอวยพรและความเป็นห่วงใยให้กับแทอิลของเขา แทลของคุณซลเก่งจะตายไป เชื่อฟังเขาเสมอมา ครั้งสุดท้ายนี้ที่เขาจะฝากอะไรไว้แทลของเขาก็คงจำได้ขึ้นใจทุกคำพูดและทำตามคำขอได้

     

                ฮันซลกลอกตาไปมาเพื่อหยุดยั้งน้ำตาที่ตอนนี้เกือบจะหยุดไหลแล้ว แต่ก็ยังมีน้ำตาคลอ พยายามคิดว่ามีสิ่งใดที่เขาอยากพูดแต่ยังไม่ได้พูดอีก

     

                “คะ..คุณซล.. ฮะ..ฮึก.. จะจากแทลไปไหน..”
                “คุณซลไม่ได้จากแทลไปไหน คุณซลจะยังอยู่ข้างแทลเสมอ เป็นผู้ชายคนนึงที่รักแทล รักยิ่งกว่าที่คุณซอยองโฮจะรักแทล และรักตลอดไป”

     

                มันอาจไม่ใช่รักที่เป็นรักในแบบเดิมที่เขาเคยมีให้กับแทอิล มันอาจเป็นความรักแบบคนที่ห่วงใยกันแต่ไม่ใช่คนรัก อาจเป็นความรักระหว่างเพื่อนกับเพื่อน อาจเป็นความรักสักแบบที่ไม่สามารถบ่งบอกได้ชัดเจน แต่ไม่ว่าจะเป็นรักในแบบใด ฮันซลก็มั่นใจว่ารักที่เขาจะมีให้แทอิลทั้งหมด เขาจะรักให้ได้มากกว่ารักที่ยองโฮจะมีให้แทอิล อาจมีรูปแบบที่แตกต่างกันแต่จะต้องไม่น้อยไปกว่า

     

                “สะ..สัญญา... ฮึก.. สัญญานะ”

     

                ฮันซลคลายกอดแทอิล มือสองข้างจับที่ไหล่บาง มองตาแทอิลเพื่อสื่อความหมายของคำสัญญา ว่ามันจะมั่นคงมากเพียงใด

     

                “คุณซลเคยโกหกแทลไหม หืม? เคยผิดสัญญากับแทลหรือเปล่า”

     

                คนถูกถามส่ายศีรษะไปมา รอยยิ้มเริ่มปรากฏบนใบหน้าของทั้งสอง ยิ้มเพื่อทุกอย่างที่กำลังจะจากลา ยิ้มให้กับการที่จะเริ่มต้นใหม่กับสถานะของทั้งคู่ที่จะแปรเปลี่ยนไป ความหวังของแทอิลต่อฮันซล คือการที่คนรักจะได้พบเจอกับคนที่ดีและรักฮันซลเท่าๆกับที่ฮันซลจะรักคนๆนั้น แทอิลรู้ดีว่าคนๆนั้นจะโชคดีมากแค่ไหนที่จะได้มีฮันซลอยู่ข้างกาย จะมีความสุขอย่างมากมายกับความรักที่ไม่สิ้นสุดของฮันซล ความหวังของฮันซลก็ได้บอกแทอิลไปหมด แต่สิ่งที่หวังที่สุดก็คือการที่ยองโฮจะรักและดูแลแทอิลอย่างดี แค่ยองโฮมีใจอยากจะดูแลแทอิลอย่างแน่วแน่ ก็ทำให้ฮันซลเชื่อแล้วบ้างว่ายองโฮเป็นคนดี

     

                “และอยากให้แทลรู้ไว้ แม้ว่ากาลเวลาอาจจะเปลี่ยนแปลงให้คุณซลเป็นแค่ฮันซลหรือแทลอาจจะเป็นแค่แทอิล จีฮันซลคนนั้นก็พร้อมจะอยู่ข้างๆมุนแทอิลเสมอ”

     

                วันพรุ่งนี้ถ้าแทลไม่มีคุณซล จากคุณซลไปเป็นแค่ฮันซล ชีวิตจะเป็นอย่างไร

                มันยากหรือไม่ที่จะอยู่โดยไร้คนที่หัวใจไม่เคยอยู่ห่างกัน

     

     

     

     

     

    – The Way We Are –

     

     

     

     

     

                แทอิลนอนไม่หลับ ความคิดวุ่นวายมันตีกันยุ่งเหยิงไปหมด แม้คุยกับฮันซลรู้เรื่องและเป็นอันจบความสัมพันธ์ที่ถึงแม้จะเจ็บปวดแต่ก็จบลงอย่างสวยงามด้วยความเข้าใจ แต่ก็ยังมีอีกบุคคลหนึ่งที่กำลังจะได้ใช้ชีวิตร่วมกัน แต่ก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรของกันและกันสักอย่าง แทอิลหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้บนเตียงขึ้นมาอยากโทรไปหา แต่พอเห็นเวลาบนหน้าจอแสดงเวลาเกือบจะเข้าวันใหม่ในอีกไม่กี่นาทีก็เปลี่ยนใจ เลือกเข้าเมนูข้อความ กดหารายชื่อของยองโฮ แล้วพิมพ์ข้อความ

     

              ตอนนี้นอนหรือยัง อยากคุยด้วย – แทอิล

     

                พิมพ์เสร็จก็กดปุ่มส่งข้อความไป เพียงแค่ตัวเลขบอกนาทีของนาฬิกาเปลี่ยนไปเป็นอีกเลข ก็มีสายโทรเข้า ซึ่งแสดงรายชื่อของคนที่เพิ่งจะส่งข้อความไปหา แทอิลสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อตั้งสติให้มั่นแล้วจึงกดรับสาย

     

                “สวัสดียองโฮ คือเราไม่ได้ส่งข้อความไปรบกวนใช่ไหม”

                (“ไม่รบกวนหรอก มีอะไรหรือเปล่าแทอิล”)

                “นายจะทำอย่างที่พูดจริงๆหรือเปล่ายองโฮ เรื่องของเราสองคน”

              (“ถ้าเป็นเรื่องที่จะแต่งงานกับแทอิล ฉันพูดจริง”)

     

                ยองโฮยังคงยืนยันในคำพูดที่เคยพูดไว้ ยองโฮอยากเดาว่าที่แทอิลโทรมาเพราะได้คุยกับฮันซลแล้ว อาจโทรมาเพื่อทำตามที่เขาบอกฮันซลเอาไว้ก็ได้ หากแทอิลยอมขอร้องด้วยตัวเอง ก็อาจจะคิดใหม่

     

                “แล้วนายจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเหรอยองโฮ” 

              (“ถ้าเป็นเรื่องเตนล์ ฉันเลิกกับเขาแล้วล่ะ เตนล์เข้าใจเรื่องของฉันกับแทอิล ส่วนครอบครัวของฉัน ฉันก็บอกแล้ว ทุกคนก็ยอมรับแทอิลเข้ามาอยู่ในบ้าน ส่วนเรื่องพ่อกับแม่ของแทอิล ท่านทั้งสองก็ยอมยกแทอิลให้ฉันแล้ว”)

                “คุยกับพ่อแม่เราวันนี้เหรอ”

              (“เปล่า หลังจากวันที่ไปหาแทอิลที่บ้านก็ได้นัดเจอกันอีกครั้งน่ะ”)

                “เรากับคุณฮันซลก็เพิ่งรู้วันนี้ว่าพ่อกับแม่ตกลงจะให้เราแต่งงานกับนาย ถ้าพ่อกับแม่เราคิดแบบนั้น คุณฮันซลเองก็เห็นด้วย เรื่องมันก็คงต้องเป็นแบบที่นายตั้งใจไว้แล้วล่ะยองโฮ”

     

                ยองโฮเข้าใจว่าที่แทอิลพูดหมายความว่าอย่างไร มันก็คือการตอบตกลงที่จะให้เขารับผิดชอบกับชีวิตแทอิลและลูกต่อจากนี้ ความกังวลที่เขามีมาตลอดทั้งวันหลังฮันซลมาหาถึงบริษัทลดน้อยลง ในเมื่อแทอิลตอบตกลง และแทอิลก็เป็นบอกเขาเมื่อครู่ว่าฮันซลเห็นด้วย เป็นอันว่าเรื่องที่ว่ายุ่งยากตอนนี้ก็เป็นจบไป ต่อจากนี้ก็คือการเริ่มใช้ชีวิตกับคนอีกคนที่เขาจะขอใช้ชีวิตด้วยแล้ว

     

              (“ขอบใจนะ ที่ตัดสินใจแบบนี้”)

                “คนที่ทำถูกมาตั้งแต่แรกก็คือยองโฮต่างหาก ว่าแต่.. เราสองคนจะเอายังไงต่อไปดี”

                (“ฉันตั้งใจว่าจะให้แทอิลมาอยู่ที่บ้านฉันก่อนสักพัก พอจัดการเรื่องบ้านของเราเสร็จ เราค่อยย้ายไปอยู่ด้วยกันสองคน.. แต่ว่าบ้านที่เราจะย้ายไปอยู่มันไม่ได้เป็นบ้านใหม่นะแทอิล มันเป็นบ้านที่ฉันเคยอยู่ตอนมัธยม แทอิลคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม”)

                “ไม่ว่าอะไรหรอกยองโฮ เราไม่ได้เป็นคนเรื่องมาก”

     

                แค่ยองโฮอยากจะดูแลเขากับลูก มันก็มากมายพอแล้ว มีบ้านให้อยู่อาศัย ไม่ว่ามันจะเล็กหรือใหญ่ เก่าหรือใหม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยสำหรับแทอิล

     

                (“ถ้าจะให้ย้ายมาอยู่บ้านฉันวันเสาร์นี้ เร็วไปไหม แทอิลพร้อมหรือเปล่า”)

                “อื้ม ตามใจยองโฮเถอะ ถ้าอยากให้ย้ายวันเสาร์เราก็ไม่มีปัญหา”

                (“ถ้างั้นก็เก็บเอาเฉพาะเสื้อผ้ากับของที่จำเป็นไปพอนะ บ้านฉันมีพวกเครื่องใช้ให้พร้อมอยู่แล้ว ส่วนของอื่นๆไว้ถ้าย้ายไปอยู่บ้านใหม่เดี๋ยวค่อยกลับมาเก็บอีกทีนะ แล้วเดี๋ยววันเสาร์ฉันจะไปรับที่บ้านตอนสิบโมง”)

                “อื้ม”

              (“มีอะไรอีกไหมแทอิล ถ้าไม่มีก็นอนได้แล้วนะ กำลังท้องอยู่ ต้องพักผ่อนให้มากๆ”)

                “ไม่มีแล้วละ ขอโทษที่รบกวนตอนดึกๆนะ ราตรีสวัสดิ์ยองโฮ”

              (“ราตรีสวัสดิ์แทอิล”)

     

                เมื่อสิ้นเสียงราตรีสวัสดิ์ยองโฮ แทอิลเป็นฝ่ายกดวางสายก่อน แล้วจึงวางโทรศัพท์ไว้ข้างหัวเตียง ปิดโคมไฟที่ให้แสงสว่าง ล้มตัวนอนลงกับเตียง หลับตาลงพร้อมความเหนื่อยล้า แต่ทว่าสมองก็ยังคงคิดเรื่องราวต่างๆวนไปมาซ้ำๆถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา ปัจจุบันที่กำลังจะผ่านไป และอนาคตที่ไม่รู้จะเป็นเช่นไร

     

     

     

     

     

    – The Way We Are –

     

     

     

     

     

                ยองโฮมาที่บ้านแทอิลตรงวันและเวลาที่ได้นัดเอาไว้เมื่อหลายคืนก่อน วันนี้ก็เหมือนเช่นคราวที่แล้วที่มาหา พ่อของแทอิลเป็นคนมาเปิดประตูให้ยองโฮเข้าไปในบ้าน เมื่อเข้าไปก็เห็นว่ามีกระเป๋าเสื้อผ้าและกล่องใส่ของวางไว้อยู่เรียบร้อยแล้ว เหลือก็แต่เจ้าของที่ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน

     

                “สวัสดีครับ คุณน้า”

                “ต่อจากนี้เรียกแม่เถอะจ้ะ คุณยองโฮ”

                “เรียกผมว่ายองโฮเฉยๆก็ได้ครับ”

     

                ต่างฝ่ายต่างก็ต้องปรับเปลี่ยนการพูดคุย ตอนนี้ยองโฮก็เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแทอิล และครอบครัวแทอิลก็จะเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวยองโฮ อาจมีเก้อเขินกันไปบ้าง แต่ก็คงจะชินในอีกไม่นาน

                ยองโฮยังไม่ทันจะได้นั่ง พอเห็นคนที่เขาตั้งใจมารับกำลังถือกล่องใส่ของดูท่าทางหนักลงมาจากบันได ยองโฮจึงรีบเข้าไปช่วยถือ ซึ่งก็สร้างความประทับใจให้กับบิดาและมารดาของแทอิลอยู่ไม่น้อย

     

                “ของหมดหรือยังแทล เดี๋ยวคุณยองโฮจะรอนะ”

                “หมดแล้วครับแม่”

                “งั้นเดี๋ยวฉันเอาของไปที่รถนะ แทอิลจะได้อยู่คุยกับคุณพ่อคุณแม่

     

                แม้แทอิลทำท่าจะยกสัมภาระตัวเองเอาไปไว้ที่รถยองโฮด้วยตัวเอง แต่ก็ถูกยองโฮสั่งห้ามเพราะแทอิลกำลังตั้งครรภ์ไม่ควรยกของหนักๆ อีกทั้งแทอิลจะไม่ได้อยู่บ้านนี้แล้ว ควรให้เวลาแทอิลได้ร่ำลากับคนที่แทอิลอยู่ด้วยไม่เคยห่างและรักแทอิลสุดหัวใจ ยองโฮจึงเป็นฝ่ายยกของทั้งหมดคนเดียว ซึ่งก็มีกระเป๋าเสื้อผ้าสามใบ กับกล่องใส่ของอีกสามกล่อง ใช้เวลาไม่นานก็ยกใส่รถได้จนหมด

                เมื่อเก็บของเสร็จ ก็ถึงเวลาที่ต้องจากลา บิดาและมารดาของแทอิลออกมาส่งแทอิลและยองโฮหน้าบ้าน แทอิลกอดผู้มีพระคุณทั้งสองไม่อยากปล่อยพร้อมน้ำตาซึม

     

                ไปได้แล้วแทล คุณยองโฮรอนานแล้ว

                “แล้วผมจะกลับมาเยี่ยมบ่อยๆนะครับพ่อ แม่

     

                แทอิลคลายกอดจากบุคคลทั้งสอง ยองโฮก้มศีรษะให้ผู้ใหญ่แล้วจึงเปิดประตูรถให้แทอิลขึ้นรถ ส่วนตัวเองกำลังจะไปขึ้นรถอีกฝั่ง แต่พ่อของแทอิลก็สะกิดยองโฮเอาไว้เสียก่อน พร้อมทั้งยื่นซองสีขาวให้

     

                “อะไรเหรอครับ”

                “รับไว้เถอะคุณยองโฮ แล้วค่อยเปิดดูทีหลังนะ”

                “ขอบคุณครับคุณพ่อ คุณแม่ ผมลานะครับ”

     

                ยองโฮรับซองสีขาวจากบิดาของแทอิลมา แล้วโค้งตัวเพื่อขอบคุณและเป็นการลาอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปขึ้นรถ แล้วขับพาเครื่องยนต์ออกจากหน้าบ้านหลังสวยของแทอิลไป คนข้างๆเอาแต่นั่งมองทางไม่พูดจาอะไร บางทีก็หันมองหน้าคนขับเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น

     

                “มีอะไรอยากพูดหรือเปล่าแทอิล ไม่ต้องกลัว”

                “เราเกรงใจ กลัวว่ายองโฮจะรำคาญเรา”

                “อย่าคิดแบบนั้นสิ เรากำลังจะใช้ชีวิตด้วยกันแล้วนะ”

     

                นั่นคือสิ่งที่แทอิลกังวลที่สุด ไม่รู้ว่าการที่คบหากันเป็นแฟนกับชีวิตหลังแต่งงาน มันจะเหมือนหรือแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด ยิ่งการใช้ชีวิตร่วมกับคนที่ไม่ค่อยจะคุ้นเคย มันจะยากมากหรือเปล่า

     

                “พ่อกับแม่ของนายดุไหม”

                “ไม่ดุหรอก ท่านทั้งสองใจดี ถ้าเจอพวกท่านก็ไม่ต้องเกร็งนะ ทำตัวเหมือนปกติ”

                “ท่านเสียใจไหมยองโฮ ที่คนที่นายจะแต่งงานด้วยเป็นเรา ไม่ใช่คุณเตนล์”

     

                คำถามของแทอิลช่างยากเย็นที่จะตอบ เพราะมันเป็นเรื่องของความรู้สึกคน ยองโฮเองก็ไม่แน่ใจว่าแท้จริงมารดาของตนรู้สึกเช่นไร หลังบอกว่าจะแต่งงานกับผู้ชายคือแทอิล ท่านก็แค่บอกว่าตามใจ และยังคงทำตัวเหมือนกับปกติ แม้จะรู้ว่าไม่ได้ปกติเสียทุกอย่าง

                ความจริงแล้วการที่ยองโฮบอกว่าครอบครัวยอมรับได้ นั่นเป็นคำพูดที่ทำให้แทอิลสบายใจ หรือเป็นสิ่งที่ครอบครัวของอีกฝ่ายรู้สึกจริงๆ

     

                “เอ่อ.. ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องตอบหรอก”

     

                ยองโฮเงียบไปนานจนแทอิลไม่อยากได้คำตอบ ก็พอจะรู้ว่ามันไม่ควรถาม และถึงได้คำตอบ ก็คงไม่ใช่คำตอบที่เป็นความจริง

               

                “แทอิลได้บอกเรื่องนี้กับคนอื่นบ้างหรือยัง นอกจากคุณฮันซลกับครอบครัว”

                “ยัง เรายังไม่กล้าบอก ไว้พร้อมกว่านี้เอาไว้เราค่อยบอกดีกว่า.. แล้วยองโฮล่ะ พวกเซฮุนรู้เรื่องหรือยัง”

                “ยังไม่รู้หรอก ฉันไม่ได้บอกเพราะว่าเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของแทอิล แทอิลอาจจะไม่อยากให้ฉันเล่าให้คนอื่นฟังก็ได้ มีเตนล์กับครอบครัวฉันที่รู้ ฉันขอร้องพวกเขาว่ายังไม่ให้บอกใครทั้งนั้น”

     

                บทสนทนาสั้นๆระหว่างทั้งสองได้จบลงแค่นั้น แทอิลหันหน้ามองเส้นทางที่ตนไม่ค่อยคุ้นเคยสักเท่าไรเพื่อทำความเคยชิน ยองโฮก็มุ่งขับรถไปตามทาง ขับบนถนนใหญ่มาสักพัก ยองโฮก็เลี้ยวรถเข้ายังปากทางหมู่บ้านซึ่งหรูหราเกินกว่าที่คาดคิดไว้ แทอิลได้แต่จ้องมองบ้านที่อยู่ภายในแต่ละหลัง ช่างแตกต่างกับบ้านตัวเองนัก ไม่รู้ว่าราคาแพงเท่าไร ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินจะซื้อ แต่หากซื้อทีคงเสียดายเงินแย่ บ้านที่อยู่ก็ดูสุขสบายดีอยู่แล้ว

     

                รถคันสวยของยองโฮหยุดจอดที่หน้าบ้านซึ่งมีรั้วสีดำเตี้ยๆกั้นพอให้รู้เขตบ้าน รั้วถูกเปิดออกเองโดยอัตโนมัติ ยองโฮเลี้ยวรถเข้าจอดในโรงจอดรถซึ่งมีรถจอดอยู่แล้วสี่คัน เมื่อร่างสูงซึ่งเป็นคนขับดับเครื่องยนต์ ก็หันมองหน้าคนนั่งข้างๆแล้วยิ้มให้เล็กน้อย

     

                “ไม่ต้องกลัวนะ มีฉันอยู่ทั้งคน”

     

                ยองโฮให้คำมั่นกับแทอิลแล้วจึงเป็นฝ่ายลงจากรถไปก่อน แทอิลได้แต่ถอนหายใจ ไม่กล้าลงจากรถ แต่ท้ายที่สุดยังไงก็ต้องลง จึงเปิดประตูรถก้าวลงจากรถช้าๆ ยองโฮซึ่งรออยู่ข้างๆ เมื่อแทอิลลงมาก็พาแทอิลเดินเข้าไปในบ้าน ไม่สิ ควรเรียกมันว่าคฤหาสน์จะดีกว่า

     

                เพียงแค่เห็นห้องโถงที่ตกแต่งสวยงามสะอาดสะอ้านและกว้างใหญ่ก็ทำเอาแทอิลไม่กล้าเดินเข้าไปเพราะกลัวสกปรก แต่ยองโฮจ้องให้แทอิลรีบตามเขาเข้าไปโดยไม่ต้องกลัวจึงทำให้ต้องเข้าไป ยังไงเสียก็ต้องอยู่ที่นี่ไปพักหนึ่ง ถ้ามัวแต่กลัวหรือกังวลคงไม่ได้อยู่อย่างมีความสุข ซ้ายมือถัดจากโถงทางเข้าก็เป็นห้องรับแขก ซึ่งก็มีบุคคลนั่งอยู่ภายในแล้วสี่คน แทอิลโค้งตัวเพื่อทำความเคารพอย่างอ่อนน้อม แม้ไม่รู้ว่าบุคคลทั้งสี่เป็นใคร

     

                “อ้าว นั่นไงมากันแล้ว”

     

                เสียงของคนดูมีอายุที่สวมแว่นสายตาทักขึ้น แทอิลโค้งตัวให้อีกครั้ง และยืนอยู่ห่างๆตามยองโฮ

     

                “นี่มุนแทอิลครับ ที่จะย้ายเข้ามาอยู่กับเรา”
                “สวัสดีครับ ผมมุนแทอิลครับ”

     

                ยองโฮแนะนำแทอิลให้กับครอบครัวได้รู้จัก ทุกคนต่างยิ้มแย้มให้กับแทอิลที่เพิ่งเคยเห็นค่าตาเป็นครั้งแรกด้วยใบหน้าต้อนรับ แม้ยองโฮจะแนะนำชื่อของแทอิลไปแล้ว แต่แทอิลก็แนะนำตัวอีกครั้งตามมารยาทที่เราควรแนะนำตัวเองให้กับคนที่อยากให้รู้จักตัวเรา

     

                “แทอิล นี่คุณพ่อ คุณแม่ แล้วก็พี่ชายฉัน พี่อินกุก แล้วก็ข้างๆคือพี่สะใภ้ พี่อึนจี”

     

                แทอิลโค้งให้ทุกคนอีกครั้ง ผู้เป็นมารดาของยองโฮลุกขึ้นเข้ามาต้อนรับแทอิลอย่างอบอุ่น แม้บนใบหน้าของเธอจะมีรอยยิ้มจางๆ แต่แทอิลเห็นแววตาที่ดูแฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่แทอิลเองก็พูดไม่ถูก

     

                “ยินดีต้อนรับสู่บ้านของเรานะคะ คุณแทอิล”

                “ระ..เรียกผมว่าแทอิลเฉยๆก็ได้ครับ”

                “แล้วนี่ข้าวของคุณแทอิลอยู่ไหนละยองโฮ”

                “อยู่ในรถครับ เดี๋ยวผมค่อยไปเอา”

                “ไม่ต้องหรอก ก็เปิดรถเอาไว้แล้วกัน เดี๋ยวให้คุณปาร์คไปยกให้ พาแทอิลไปเดินดูรอบๆบ้านเถอะ.. ทำตัวตามสบายนะคะแทอิล อยากได้อะไรก็บอกพวกเราได้ทุกคน”

                “คระ..ครับ”

     

                เมื่อแนะนำตัวกันเสร็จสรรพ ยองโฮจึงพาแทอิลออกมาเดินดูบริเวณรอบๆบ้าน ด้านหน้าเป็นโรงจอดรถ และมีสนามหญ้าเล็กๆ มีม้านั่งและชิงช้าอยู่ ส่วนด้านหลังมีสระน้ำเล็กๆเป็นบ่อปลา และมีห้องซักล้าง หลังจากนั้นจึงพาเข้าเดินดูภายในบ้าน แทอิลได้แต่ชื่นชมความงามภายในบ้านของยองโฮที่ทั้งใหญ่ สะอาด และตกแต่งได้อย่างสวยงามในสไตล์แบบยุโรปโบราณผสมผสานกับความสวยงามแบบทันสมัย ในส่วนด้านล่าง ด้านขวาติดกับห้องโถงทางเข้า เป็นห้องรับแขกที่เพิ่งเข้าไปเมื่อครู่ ส่วนฝั่งซ้ายของโถงทางเข้าเป็นห้องนั่งเล่นเล็กๆ ทั้งยังมีห้องน้ำ ห้องครัว ห้องรับประทาน และห้องพักของแม่บ้าน ชั้นสองมีห้องเพียงสองห้อง แต่เป็นห้องใหญ่ คือห้องนอนของพ่อและแม่ยองโฮ ส่วนฝั่งตรงกันข้ามเป็นห้องนอนของพี่ชายและพี่สะใภ้ยองโฮ ชั้นสามมีสองห้องนอนเช่นกัน ห้องหนึ่งเป็นของยองโฮ ส่วนอีกห้องเป็นห้องที่ไม่มีใครอยู่แต่ก็มีเครื่องนอนและของใช้พร้อม

     

                “คือ.. แทอิลอยากจะนอนห้องเดียวกับฉัน หรือว่า.. อยากนอนคนเดียว”

     

                มันน่าอึดอัดใจทั้งสองอย่าง การที่ยองโฮจะนอนห้องเดียวกับแทอิลมันคงทำให้เขาหรือแทอิลนอนไม่หลับเพราะไม่คุ้นเคยกันสักเท่าไร แต่หากจะให้แทอิลนอนอีกห้องมันอาจทำให้ทั้งสองสบายใจต่อกัน แต่ยองโฮกลัวว่าอาจจะเป็นการไม่ให้เกียรติแทอิล ทั้งๆที่เขาบอกว่าจะแต่งงานด้วยแท้ๆ แต่คนแต่งงานกันที่ไหนเขานอนแยกห้องกัน ดังนั้นเขาไม่ควรเป็นคนตัดสินใจ ควรเคารพในการตัดสินใจของแทอิลดีกว่า

     

                “ถ้าจะนอนคนเดียว.. ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

                “อื้ม ไม่หรอก แล้วแต่แทอิล.. ถ้างั้นเดี๋ยวให้คุณปาร์คยกของมาไว้ที่ห้องนี้แล้วกันนะ”

     

                แทอิลพยักหน้าขึ้นลงตอบรับ พูดไม่ทันไร คนที่ยองโฮพูดถึงก็เดินยกของขึ้นมาจากข้างล่างมาสู่ชั้นสามของบ้าน ยองโฮเรียกให้นำของเข้ามาวางเอาไว้ในห้องว่างที่แทอิลกำลังจะเป็นเจ้าของ ด้านหลังก็มีหญิงอีกสองคนช่วยกันถือของตามมา

     

                “แทอิล ฉันจะแนะนำให้รู้จักนะ นี่เป็นคนดูแลบ้านทั่วไป คุณลุงรูปหล่อคนนี้เรียกว่าคุณปาร์ค ส่วนคุณป้าคนสวยคนนี้คอยดูแลเรื่องอาหาร ดูแลบ้านชั้นล่างแล้วก็ดูแลรับใช้คุณพ่อกับคุณแม่ฉัน  เรียกว่าคุณคิมนะ ส่วนอีกคนเป็นสาวสวย จะดูแลบ้านชั้นสองกับชั้นสาม แล้วก็ดูแลความเป็นอยู่ของฉัน พี่ชาย แล้วก็พี่สะใภ้ เรียกว่าคุณอันนะ.. คุณปาร์ค คุณคิม คุณอันครับ นี่เป็น.. คนรักของผมครับ ชื่อมุนแทอิล”

     

                คนดูแลบ้านทั้งสามตกใจกับสิ่งที่ยองโฮบอกว่าคนที่จะย้ายเข้ามาอยู่ใหม่เป็นคนรัก ทั้งๆที่รู้ดีว่าคนรักของยองโฮที่แท้จริงนั้นคือใคร พอจะได้ทราบจากคุณนายใหญ่ของบ้านว่าคุณชายเล็กแห่งตระกูลซอจะพาคนเข้ามาอยู่ แต่ไม่คิดว่าคุณชายเล็กจะเรียกคนมาใหม่ว่าเป็นคนรักได้อย่างเต็มปาก แทอิลที่ได้ฟังยองโฮบอกกับคนดูแลบ้านทั้งสามแบบนั้นก็ตกใจอยู่ไม่น้อย

     

                “ฝาก..ฝากตัวด้วยนะครับ”

                “ถ้ามีอะไรคุณมุนแทอิลก็เรียกใช้พวกเราได้ทั้งสามคนเลยนะคะ”

                “คุณปาร์ค คุณคิม คุณอัน ไปพักเถอะครับ ไว้เดี๋ยวมีอะไรให้ช่วยผมค่อยเรียกนะครับ”

     

                ทั้งสามก้มศีรษะให้กับคุณชายเล็กของบ้าน แล้วออกไปตามคำสั่ง ยองโฮหันมองแทอิลที่กำลังเดินดูรอบๆห้อง

     

                “แทอิลทำงานจันทร์ถึงศุกร์ หยุดเสาร์กับอาทิตย์ใช่ไหม”

                “ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนั้น แต่ว่าบางทีก็ทำงานทุกวัน”

                “อื้ม งั้นแทอิลพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวพอถึงมื้อเที่ยงแล้วฉันจะมาเรียกแล้วกัน”

     

                แทอิลพยักหน้าตอบรับ ร่างสูงจึงเดินออกจากห้องไป แทอิลถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ รู้สึกทำตัวไม่ถูก ตอนสมัยเรียนเพื่อนเล่ากันว่ากลุ่มของยองโฮบ้านรวยกันทุกคน บ้านวินวินนั้นฐานะดีที่สุด ส่วนบ้านยองโฮรองลงมา เพิ่งจะได้เห็นกับตาตัวเองแบบไม่ต้องสงสัยอีกต่อไปว่าจะฐานะดีกันสักแค่ไหน บ้านของยูตะเพื่อนตัวเองที่ว่าใหญ่แล้วก็ยังใหญ่น้อยกว่า

     

                ทีแรกกะจะจัดของให้เข้าที่เข้าทาง แต่ก็จัดได้เพียงแค่เสื้อผ้ากะเผลอหลับไป รู้ตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงเปิดประตูห้องนอน ลืมตาขึ้นมาเห็นร่างสูงเดินเข้ามาสะกิดตัวให้รู้สึก ตามลงไปรับประทานอาหารเที่ยงด้านล่าง ภายในห้องทานอาหาร สมาชิกในครอบครัวของยองโฮนั่งกันพร้อมหน้าเรียบร้อย ส่วนใหญ่แล้วผู้เป็นใหญ่สุดของบ้านอย่างหัวหน้าครอบครัวผู้เป็นพ่อจะชอบนั่งหัวโต๊ะ แต่บ้านของยองโฮนั้นแตกต่าง พ่อของยองโฮนั่งอยู่ติดกับลูกชายคนโตของบ้านซึ่งติดกับลูกชายคนโตก็มีลูกสะใภ้บ้านตระกูลซอนั่ง ส่วนฝั่งตรงกันข้ามก็มีแม่ของยองโฮนั่งติดกันก็คือลูกชายคนเล็กนั่ง ซึ่งแทอิลก็ได้นั่งติดกันต่อจากยองโฮ

     

                “คุณแทอิลมาแล้ว ทานข้าวกันเถอะค่ะ”

     

                อึนจี ภรรยาคนสวยของลูกชายคนโตชวนให้ทุกคนทานอาหาร บนโต๊ะมีอาหารมากมายให้เลือกทาน จนแทอิลไม่รู้ว่าจะเลือกทานอะไรก่อน แต่หลายอย่างที่เขาเคยชอบตอนนี้ก็รู้สึกว่ากลิ่นมันทำให้ทานไม่ลง คงเป็นอาการแพ้ท้อง แทอิลจึงเลือกตักทานแต่แกงจืดเพียงอย่างเดียว มื้ออาหารเที่ยงเรียบๆได้ผ่านพ้นไป หลังทานอาหารเสร็จก็คิดว่าควรจะขึ้นไปบนห้องนอนดีไหม เพราะอยู่ข้างล่างคงรู้สึกอึดอัด แต่ถ้าอยู่แต่ข้างบนจะโดนมองว่าขี้เกียจหรือเปล่าก็ไม่รู้ แทอิลจึงคิดจะหาอะไรทำ จึงเดินขึ้นไปหยิบของจากในห้อง ลงมาทำงานที่ชั้นล่าง แต่พอลงมาก็เหมือนว่าบ้านจะเงียบจนน่าแปลกใจ

     

                “แทอิล หาอะไรอยู่หรือเปล่าลูก”

     

                เสียงชายวัยกลางคนที่ดังขึ้นจากข้างหลังทำให้แทอิลสะดุ้งเล็กน้อย พบว่าบิดาของยองโฮกำลังเดินเข้ามาหา

               

                “ก็.. บ้านเงียบน่ะครับ ผมก็เลยสงสัยว่าทุกคนกำลังทำอะไรกันอยู่”

                “อ๋อ แม่ ยองโฮ พี่อินกุก พี่อึนจีเขาออกไปซื้อของกัน ตอนนี้ก็เหลือพ่อกับแทอิลอยู่บ้านกันสองคนนี่ละ.. แล้วนั่นจะไปไหนละแทอิล”

                “จะออกไปนั่งทำงานที่สวนครับ น่าจะดีกว่านั่งทำในห้องครับ”

                “งั้นพ่อออกไปด้วยได้ไหม ขอไปนั่งตากลมเฉยๆ ไม่กวนหรอก”

     

                ว่าจบ บิดาของยองโฮก็เดินเคียงข้างแทอิลพาเดินออกไปยังสวนหน้าบ้าน แทอิลวางของในมือลงบนโต๊ะ รอให้คนที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่านั่งลงให้เรียบร้อยก่อนจึงค่อยนั่งตาม มือบางเปิดสมุดเล่มโปรดที่มีเนื้อเพลงมากมายอยู่ในนั้น เปิดมายังหน้าที่มีโน้ตเพลงอยู่เล็กน้อย เตรียมจะแต่งเติมเพลงให้สมบูรณ์ต่อ แต่พอรู้สึกว่าการที่ตัวเองเอาแต่นั่งก้มหน้าทำงานในขณะที่มีคนอีกคนซึ่งเป็นผู้ใหญ่กว่านั่งอยู่ด้วย มันทำให้รู้สึกเหมือนเสียมารยาทที่ละเลยหรือไม่สนใจ แถมอีกฝ่ายก็อาจนับได้ว่าเป็นพ่อสามีของตน ควรพูดคุยและทำความสนิทสนมกันเอาไว้เสียบ้างก็คงดี

     

                “คุณลุง..”

                “อะไรกัน เรียกพ่อสิแทอิล ใครเขาเรียกพ่อสามีตัวเองว่าลุงกันบ้างล่ะหืม”

                “ครับ คุณ..พ่อ”

                “เรายังไม่ค่อยรู้จักกันเลย มาทำความรู้จักกันหน่อยดีไหมล่ะ แทอิล”

     

                จากการที่แทอิลเรียกพ่อของยองโฮว่าลุง นั่นก็ทำให้เกิดบทสนทนามากมายตามมา จริงอย่างที่ยองโฮบอกไว้ก่อนหน้าว่าพ่อและแม่ของตัวเองไม่ดุเลย นอกจากจะใจดีแล้วยังเป็นคนอารมณ์ขันอีกต่างหาก แทอิลได้รู้หลายๆอย่างเกี่ยวกับบ้านของยองโฮและตัวของยองโฮมากขึ้น และอีกฝ่ายก็ได้รู้จักแทอิลมากขึ้นเช่นกันอย่างเช่นหน้าที่การงาน ครอบครัวของแทอิล แต่การพูดคุยครั้งนี้ก็ยังไม่ได้ทำให้แทอิลรู้จักยองโฮได้ดีพอ เรื่องบางอย่างที่แทอิลสงสัยว่ายองโฮทำงานอะไร ที่ไหน ชอบกินอะไร คำถามประเภทนี้ท่านบอกว่าแทอิลควรรู้ด้วยตัวเอง มีเรื่องอะไรก็ให้ถามยองโฮเองจะดีกว่าฟังจากปากคนอื่นเล่า วิธีนี้เป็นเรื่องเบื้องต้นในการทำความรู้จักกันและจะพัฒนาความสัมพันธ์ไปได้เร็วยิ่งขึ้น

     

                นั่งคุยกันอยู่นานสองนาน รถที่ถูกขับออกไปจากโรงรถก็ถูกขับกลับเข้ามาภายในบ้าน  บุคคลทั้งสี่ที่เพิ่งกลับมาเห็นหัวหน้าครอบครัวกับคนสำคัญของยองโฮนั่งกันอยู่ตรงสวนก็เดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย ทุกคนต่างชวนแทอิลพูดคุยแต่กลายเป็นว่าแทอิลไม่ค่อยได้ตอบ เอาแต่นั่งฟังสมาชิกในบ้านคุยกันเสียมากกว่า

     

                หลังอาหารมื้อเย็น ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเอง แทอิลเห็นว่าห้องนั่งเล่นไม่มีคน จึงเลือกลงมานั่งเล่นที่ห้องนั่งเล่น ภายในห้องมีเปียโนหลังสีขาวสวยอยู่ แทอิลนั่งลงตรงเก้าอี้เปียโน ตั้งใจจะบรรเลงสักเพลงสองเพลง แต่ก็นึกได้ว่าถ้าเล่นไปเสียงอาจจะดังรบกวนคนอื่น จึงได้แค่นั่งมองและแต่งทำนองเล่นๆไปในหัว

     

                “ไม่ลองเล่นดูหน่อยเหรอแทอิล”

     

                เสียงทักดังขึ้นพร้อมกับเจ้าของเสียง ยองโฮเดินเข้ามาหาแทอิลในห้องนั่งเล่น เห็นว่าอีกคนนั่งอยู่หน้าเปียโนเสียพักใหญ่แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงบรรเลงเพลงแต่อย่างใดไม่รู้ด้วยเหตุผลใด

     

                “เสียงจะดังรบกวนคนอื่นเปล่าๆน่ะ”

                “ก่อนจะเล่นก็ปิดประตูสิ ห้องนี้มันเก็บเสียง ถ้าจะเล่นเดี๋ยวฉันปิดประตูให้เอาไหม”

                “ไม่ดีกว่า คิดไม่ออกว่าจะเล่นเพลงอะไร”

     

                ยองโฮพยักหน้าแล้วหย่อนตัวนั่งลงที่พื้นที่ที่เหลือของเก้าอี้เปียโนข้างๆกับแทอิล แทอิลจึงขยับตัวเลื่อนให้ยองโฮได้นั่งสบายขึ้น

     

                “พรุ่งนี้ฉันจะพาไปข้างนอกนะ ไม่ได้นัดใครไว้ใช่ไหม”

                “อื้ม พรุ่งนี้ว่าง.. จะพาไปไหนเหรอ”

     

                ยองโฮชั่งใจไม่รู้ควรบอกคนข้างๆดีหรือไม่ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเก็บเป็นความลับอะไรขนาดนั้น แต่ถ้าให้ได้รู้พรุ่งนี้ตอนที่ไปถึงที่นั่นมันก็อาจจะเป็นการเซอร์ไพรส์ที่ดี

     

                “เอาไว้เดี๋ยวตอนไปถึงที่นั่นก็รู้เอง.. แล้วนี่ปกติแทอิลนอนกี่ทุ่มเนี่ย”

                “ไม่มีเวลาที่แน่นอนหรอก แต่เร็วสุดก็ห้าทุ่ม แล้วยองโฮล่ะ”

                “ฉันอยากนอนเมื่อไรก็นอนน่ะ ต่อไปนี้แทอิลต้องนอนเร็วๆนะ พักผ่อนให้เยอะๆ เด็กน้อยในท้องแทอิลจะได้พักผ่อนไปด้วย”

     

                บางทีแทอิลก็ลืมไปว่าตอนนี้จะเป็นอย่างก่อนไม่ได้ ยังมีอีกหนึ่งชีวิตที่ฝากไว้กับแทอิล จะหักโหมงานยันเช้าเหมือนอย่างที่เคยทำก็คงต้องลดละไป เพราะไม่ดีต่อตัวเองและเด็กในท้อง

     

                “วันนี้กินนมหรือยัง”

     

                แทอิลส่ายศีรษะเป็นการตอบแทนคำพูด ร่างสูงลุกขึ้นจากเก้าอี้ไปเสียเฉยๆ แทอิลเฝ้ารออยู่ตรงนั้นคาดว่าอีกคนคงเดินกลับมา เป็นอย่างที่คิด ยองโฮกลับมาพร้อมกับแก้วใสที่มีของเหลวสีขาว แก้วถูกยื่นมาให้แทอิล

     

                “ไม่รู้ว่าแทอิลชอบดื่มนมหรือว่าไม่ชอบ แต่ว่าหลังจากนี้ต้องพยายามดื่มทุกวันนะ เขาบอกว่าตอนท้องจะสูญเสียแคลเซียมเยอะ นมนี่แหละเป็นแคลเซียมที่กินได้ง่ายๆ”

     

                อยากตอบออกไปดังๆว่าไม่ชอบ ถ้าอยู่กับฮันซล  แทอิลคงจะอ้อนขอไม่ดื่มจนท้ายที่สุดฮันซลคงใจอ่อนยอม แต่แทอิลไม่กล้าจะปฏิเสธในความหวังดีของยองโฮ จึงต้องจำใจรับแก้วนมมาดื่มทั้งๆที่ไม่อยาก ยองโฮพอดูออกว่าแทอิลคงไม่ชอบมันแต่ก็คงเกรงใจเขา

     

                ยองโฮแค่หวังว่าวันเวลาจะทำให้เขาและแทอิลอยู่ด้วยกันได้อย่างสบายใจและไม่ปิดบังความรู้สึกใดๆต่อกัน

     

     

     

     

     

    – The Way We Are –

     

     

     

     

     

                ยองโฮพาแทอิลออกมาจากบ้านตั้งแต่เช้า ขับรถทางไกลอยู่หลายชั่วโมงไม่รู้ว่าคนขับจะพาไปแห่งหนใด แต่ท้ายที่สุดหลังจากนั่งมานาน เห็นจากป้ายบอกทางก็พอได้รู้ว่ายองโฮกำลังจะพาไปมหานครปูซาน

                รถถูกจอดใกล้กับชายทะเล แทอิลหันมองหน้ายองโฮ ไม่เข้าใจนักว่าทำไมถึงได้พามาไกลถึงที่นี่ หรือว่าอยากมาทะเลแต่ไม่มีเพื่อนหรืออย่างไร

     

                “ลงไปเดินเล่นริมทะเลกัน”

     

                ยองโฮชวนให้คนที่มาด้วยลงไปเดินเล่นริมชายหาด แทอิลปลดเข็มขัดนิรภัยออก ลงจากรถมองไปยังผืนน้ำทะเลที่กว้างใหญ่ หันมองอีกทีก็ไม่เห็นว่าคนพามาไปอยู่แห่งหนใด แทอิลจึงเลือกเดินไปบนหาดทรายที่อยู่ตรงหน้าเพียงลำพัง ลมที่พัดเย็นโชยส่งกลิ่นของทะเลแตะจมูก ทอดสายตามองไปตามผืนทรายที่แสนยาวไกลก็เหมือนเห็นภาพในความทรงจำย้อนหวนกลับมา ทะเลแห่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวของเขากับยองโฮ ทะเลที่จัดงานเลี้ยงรุ่นเมื่อเกือบสามเดือนก่อน

     

                กลิ่นน้ำทะเลถูกเปลี่ยนเป็นกลิ่นหอมของดอกไม้ ช่อดอกกุหลาบขาวปนแดงถูกยื่นมาติดกับใบหน้าของแทอิลจากใครบางคนที่อยู่ด้านหลัง จึงหมุนตัวกลับมาหาเจ้าของช่อดอกไม้ เห็นร่างสูงหน้าหล่อส่งยิ้มบางมาให้

     

                “ไม่รู้ว่าแทอิลชอบดอกไม้อะไร แต่ว่ากุหลาบมันคลาสสิคดี ยังไงก็รับไว้หน่อยนะ”

     

                คนให้อุตส่าห์ตั้งใจจะให้ จะปฏิเสธได้อย่างไรกัน แทอิลรับมาพร้อมกับกล่าวขอบคุณ แปลกใจที่จู่ๆยองโฮก็พามาเที่ยวตั้งไกล แถมยังซื้อดอกไม้ให้อีก ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่

     

                “พรุ่งนี้ต้องไปทำงานไม่ใช่เหรอยองโฮ ทำไมวันนี้ถึงมาทะเลตั้งไกล กว่าจะกลับถึงโซลคงขับรถเหนื่อยแย่”

     

                คนถูกถามไม่ได้ตอบอะไร ยองโฮล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบกล่องแก้วใสออกมา เมื่อเปิดออกก็พบว่าเป็นแหวนสองวงตั้งอยู่เคียงกัน แหวนสองวงแบบเดียวกันที่ทำด้วยทองคำขาวสลักเพชรไว้ภายใน ยองโฮหยิบแหวนหนึ่งวงในกล่องออกมา มืออีกข้างก็จับมือซ้ายของแทอิลขึ้นมา บรรจงสวมแหวนเข้าที่นิ้วนางข้างซ้าย

     

                “ฉันมีแค่แหวนหนึ่งวง กับดอกไม้หนึ่งช่อ มีแค่หาดทรายและน้ำทะเลสวยงามเป็นสถานที่จัดงาน ไม่มีแขกเป็นร้อยเป็นพันคนเป็นสักขีพยาน มีเพียงแค่เราสองคนที่จะมีคำสัญญาให้กันและกัน.. นี่เป็นงานแต่งงานที่ฉันจัดขึ้น มันอาจไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไร แทอิลจะยอมรับงานแต่งงานนี้ไหม”

                “ยองโฮ..”

                “ฉันไม่ได้ทำเพราะมันเป็นหน้าที่หรือเป็นความรับผิดชอบ แต่ฉันทำทุกอย่างด้วยใจของฉัน ในตอนนี้เราสองคนอาจจะยังไม่ได้มีความรักให้แก่กัน แต่ฉันหวังว่าหลังจากที่เราแต่งงานกันไป เราจะเริ่มมีความผูกพันให้กันและกัน และเลี้ยงลูกของเราด้วยความรักของเราทั้งสอง”

     

                เป็นคำพูดที่ดียิ่งกว่าคำพูดไหนๆที่แทอิลเคยได้ฟังจากยองโฮ หากเป็นคำพูดจากบทละครเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มันก็เป็นบทละครที่ยอดเยี่ยม หากมันเป็นคำพูดจากใจ ยองโฮก็ช่างลึกซึ้งและน่าประทับใจ

     

                “ขอบคุณนะยองโฮ ขอบคุณที่จะแต่งงานกับเรา ขอบคุณจริงๆที่ไม่ทิ้งเรา”

                “ถ้าตกลงจะแต่งงานกับฉันแล้วก็สวมแหวนให้ฉันด้วยนะ”

     

                มือหนาหยิบยื่นกล่องแก้วใสที่มีแหวนอีกวงอยู่ข้างใน มือข้างหนึ่งของแทอิลกำช่อดอกไม้ของยองโฮไว้มั่น ส่วนอีกข้างก็หยิบแหวนในกล่องจากมือยองโฮ มาสวมใส่ให้นิ้วนางข้างซ้ายของเจ้าของช่อดอกกุหลาบ การแต่งงานได้เสร็จสมบูรณ์เมื่อแหวนแทนใจได้ถูกสวมเข้าที่เจ้าของทั้งสอง

     

                “ขอกอดหน่อยได้ไหม มาลองกอดกันเป็นครั้งแรก”

     

                คำขอของร่างสูงทำเอาคนที่เพิ่งจะเป็นฝ่ายสวมแหวนให้ถึงกับตาโต ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนขอเรื่องแบบนี้ตรงๆ แล้วตัวเองก็ยังทำใจไม่ค่อยได้กับการที่เพิ่งจะเลิกรากับคนรักเก่ามา แต่ว่าแทอิลเองก็ต้องคิดใหม่ เขาเพิ่งจะแต่งงานกับยองโฮไปเมื่อครู่ ทั้งสองก็คือคู่สมรสและคู่ชีวิตของกันและกันไปแล้ว หากจะกอดกันก็คงไม่เสียหาย หากมัวแต่คิดเรื่องคนรักเก่า ก็คงไม่มีทางจะได้เริ่มใหม่

     

                แทอิลส่งเสียงตอบรับอยู่ในลำคอเป็นการอนุญาต ยองโฮจึงค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าใกล้แทอิล สอดแขนสองข้างเข้าใต้วงแขนของอีกคน ส่วนสูงที่ต่างกันทำให้คนตัวสูงต้องโน้มตัวลงมาหา แต่ก็มันก็ไม่ใช่เรื่องลำบาก ส่วนคนถือดอกไม้ก็โอบรัดที่ช่วงเอวของคนที่เป็นฝ่ายขอกอดเป็นการกอดตอบ การกอดครั้งแรกอาจไม่แสดงถึงความรักอย่างมากมาย แต่ทั้งคู่ก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและความจริงใจที่มีให้ต่อกัน

     

                “ในวันก่อนหน้านั้นเราสองคนเคยมีชีวิตเช่นไร ขอให้ลืมมันไป ในวันนี้และในวันพรุ่งนี้เราสองคนจะเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน แม้มันจะทุกข์ใจเพียงใด ขอให้เราสองคนยอมรับ แม้ว่าจะเศร้าเพียงใด ขอให้เราอยู่เคียงคู่กัน ขอให้เราอดทนกับความยากลำบากที่จะเกิดขึ้น เราจะต้องยิ้มไปด้วยกัน หัวเราะไปด้วยกัน และมีความสุขไปด้วยกัน ฉันเชื่อในตัวแทอิลนะ เพราะอย่างนั้น ช่วยเชื่อในตัวฉันนะแทอิล”

     

     

     

     

     

     

    - The Way We Are -

    - TBC –

     

     

     ในเมื่อแต่งงานกันแล้ว เรื่องราวก็จบลงเพียงเท่านี้ แฮปปี้เอนดิ้ง (อ่ะยังสิ!! เธอรีบหรอ!!)       

                 พอแต่งตอนนี้(รวมถึงตอนที่แล้ว)จบก็คิดว่าทุกอย่างมันง่ายไปหรือเปล่านะ เพราะถ้าสมมุติเรื่องจริง เราเป็นฮันซลอาจจะเอาปืนไปยิงยองโฮหรือถ้าเป็นเตนล์เราอาจจะตามไปตบแทอิลถึงบ้าน 5555 แต่พอคิดอีกทีในสังคมเราเรื่องของความรุนแรงจากการขาดสติเนี่ยมันมีเยอะมากแล้วค่ะถ้าเอาแบบนั้นมาอยู่ในฟิคอีกก็ไม่รู้จะแต่งทำไมไปอ่านเรื่องจริงกันเต๊อะ ตอนแรกๆมันก็จะเจ็บและโกรธแน่นอนอยู่แล้วแต่พอเวลาผ่านไปหลายเรื่องมันก็จะเข้าที่เข้าทางของมันเอง เราแค่ขอเอาความเข้าที่เข้าทางนี้มาใส่ไว้ตั้งแต่ต้นเลยดีกว่า ขอคุมโทนความเรียบง่ายเอาไว้ในตอนนี้เพื่อสร้างความไม่ง่ายต่อไปในอนาคตดีกว่า หุหุ  

                ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนท์เลยนะคะ เราได้อ่านทุกคอมเมนท์เลย(เพราะว่ามีไม่เยอะมากก็เลยอ่านครบ ฮิฮิ) ก็ดีใจที่มีคนอ่านทอล์คตอนท้ายและตอบเราด้วย มันทำให้รู้ว่าทุกวันนี้ที่แต่งเนี่ยมีคนอ่าน ที่ทอล์คไปไม่ได้คุยอยู่คนเดียว(เพราะการชอบเอ็นซีทีอยู่คนเดียวในกลุ่มเพื่อนก็ทำเราต้องคุยคนเดียวอยู่ทุกวันแล้ว แงๆ) ขอบคุณมากจริงๆนะคะ

                อย่างสุดท้าย เราเปิดเทอมแล้วค่ะ ถ้าต่อจากนี้อาจจะหายไปบ้างตามประสาเรียนปีสูงๆก็อย่าได้วอรี่เน้อ ความเครียดจากการเรียนอาจเป็นไปได้สองแบบคือเครียดจนทำให้แต่งไม่ออก(แป่วว)กับเครียดจนต้องหาความบันเทิงด้วยการแต่งฟิค ก็ภาวนาให้เป็นแบบหลังละกัน แต่จะพยายามอัพสัปดาห์ละตอนให้ได้ตามตั้งใจไว้ค่ะ

                 

                2018.01.13 – Nilbackgo

     

     

     

                ป.ล.เดี๋ยวๆ เหมือนจะลืมอีกเรื่อง ทอล์คตอนท้ายของตอนที่แล้ว ขอพรวันปีใหม่ว่าขอให้พี่แทอิลมีสเตชั่น ได้ตามคำขอจริงๆด้วย แง้งงงง มาเป็นยูนิตรักด้วย เป็นการเริ่มต้นปีแบบน้ำตาจะไหล ดีใจที่ได้ตามคำขอจริงๆ ทุกคนได้ฟังเพลง ได้ดูเอ็มวีกันแล้วใช่ไหมคะ? ดีงามมากเลยใช่ไหมคะทุกคน!  

                ป.ล.นี่จะทอล์คยาวกว่าฟิคตอนนึงแล้วอ่ะ -___-

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×