คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : The Way We Are - 2
The Way We Are
--- 2
เสียงที่วินวินอ่านหัวข้อข่าว
‘ผู้ชายท้องได้’ เมื่อหลายวันก่อนมันวนเวียนติดอยู่ในหัวยองโฮมากเหลือเกิน
เขาพยายามหาอะไรทำตลอดเวลาเพื่อไม่ปล่อยให้สมองว่างจนนั่งคิดเรื่องนี้
ยองโฮกลัวว่าเรื่องที่เคยเห็นว่าไกลตัว มันอาจจะเป็นเรื่องใกล้ตัว ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดได้ง่ายๆ
แต่กลับกังวลอะไรนักก็ไม่ทราบสาเหตุ ทำไมถึงได้คิดมากเป็นสิ่งที่ตัวเขาก็ไม่เข้าใจ
ได้แต่คิดเข้าข้างตัวเองว่า ถ้ามีเรื่องอะไรจริงๆ
เพื่อนที่เขามีความทรงจำเล็กน้อยด้วยสมัยมัธยม
แต่มีความทรงจำอันยิ่งใหญ่ด้วยในวัยทำงานคงหาทางติดต่อเขามาแล้ว
ดังนั้นก็ไม่ควรจะคิดมากไปเอง
ความเครียดจากการทำงานทำให้สมองและร่างกายไม่สดชื่นเอาเสียเลย
ยองโฮเลยทิ้งงานบนโต๊ะทำงานออกไปหาเครื่องดื่มที่เขาโปรดปรานที่ร้านกาแฟร้านโปรด
ซึ่งไม่ได้อยู่ในตึกของบริษัท ต้องขับรถออกมาเพราะไม่ได้อยู่ใกล้กับบริษัทนัก
แต่พอมาถึงร้านกลับพบว่าร้านปิด
จึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาค้นหาร้านกาแฟอร่อยๆในเว็บพาชิมอาหาร
ก็เจอร้านที่ได้รับความนิยมพอสมควร ถึงจะอยู่ไกลจากที่ที่อยู่ตอนนี้ไปเสียหน่อย
แต่ยองโฮก็เลือกจะขับรถไปซื้อกาแฟที่ร้านนี้ หากว่ามันอร่อยจริงก็จะได้มีร้านโปรดเพิ่มมาอีกร้าน
ขับมาพักหนึ่งก็จอดรถเทียบกับถนนตรงหน้าร้านกาแฟที่ได้รับคำแนะนำจากเว็บ
ภายในร้านมีคนนั่งอยู่เกือบจะทุกโต๊ะ ร้านก็ถูกตกแต่งสวยงาม
ร่างสูงคิดว่าคงมาถูกร้านเข้าให้แล้ว
เดิมทีตอนก่อนออกจากบริษัทยองโฮคิดว่าจะกินอเมริกาโน่เย็นซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ดื่มทุกวัน
เหมือนกับที่คนวัยทำงานชอบจะดื่มกาแฟ
แต่ในเว็บพาชิมที่เขาเข้าไปบอกว่าร้านนี้มีเมนูที่มาร้านนี้ไม่สั่งถือว่ามาไม่ถึงร้าน
เลยเลือกจะสั่งเมนูดังของร้านแทน
“ไอซ์ไวท์ช็อคสตรอว์เบอร์รี่แก้วนึงครับ
/ ไอซ์ไวท์ช็อคสตรอว์เบอร์รี่แก้วนึงครับ”
เมนูเดียวกันถูกสั่งพร้อมกันโดยคนสองคน
ซึ่งยองโฮเป็นคนหนึ่งที่สั่ง ส่วนอีกคนคือคนที่ยืนข้างๆเขา
ทำให้ร่างสูงต้องหันไปมองด้วยความแปลกใจที่บังเอิญสั่งพร้อมกัน อีกฝ่ายเองก็หันมามองหน้าเขาเช่นกัน
สีหน้าที่แสดงออกและความรู้สึกภายในใจคงเหมือนกันอย่างไม่ต้องเดาหรือเอ่ยถาม
----- The Way We
Are -----
ตอนแรกตั้งใจจะแค่มาซื้อเครื่องดื่มแล้วกลับไปทำงานต่อ
แต่พอเจอบุคคลที่วนเวียนอยู่ในความคิดเขามาตลอดเกือบสามสัปดาห์
ยองโฮถึงเปลี่ยนใจชวนให้เพื่อนสมัยมัธยมนั่งดื่มเครื่องดื่มยอดนิยมของร้านกันก่อน
ทั้งสองอยากจะยิ้มออกมาเพื่อสลายความอึดอัดต่อกัน
แต่มันยิ้มไม่ออก
“แทอิล..
มากินร้านนี้บ่อยเหรอ”
อยากจะพูดอะไรบ้างแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มพูดยังไง
เลยทำให้ต้องถามคำถามที่ดูสิ้นคิดออกมา
“ก็เกือบทุกวัน
ร้านอยู่ใกล้ๆที่ทำงาน”
“ทำงานแถวนี้เหรอ”
“อะ..อือ
ทำงานที่ RN”
ยองโฮพยักหน้าเข้าใจ
แทอิลทำงานอยู่ที่ RN
Entertainment หรือ RN ค่ายเพลงชื่อดังที่สร้างศิลปินแถวหน้าของเกาหลี
เขารู้เพียงแค่แทยงทำงานที่ค่ายเพลงแห่งนี้คนเดียว
ไม่ยักกะรู้ว่าคนตรงข้ามเองก็ทำงานที่นี่เช่นเดียวกัน
“เป็นนักร้อง?”
“เคยเห็นเราออกเทปหรือไง?
เราเป็นโปรดิวเซอร์กับนักแต่งเพลงของค่ายน่ะ”
บางทีเขาก็ไม่ควรถามอะไรโง่ๆออกไป
ถ้าหากแทอิลเป็นนักร้อง เพื่อนในกลุ่มคงต้องพูดถึงเรื่องนี้บ้าง
เพื่อนร่วมห้องสมัยมัธยมเป็นถึงนักร้องจะไม่ถูกพูดถึงก็ยังไงอยู่
แต่แค่เพื่อนร่างบางบอกว่าเป็นโปรดิวเซอร์กับนักแต่งเพลงก็เหนือความคาดหมายของเขาไม่น้อย
เท่าที่จำได้ ในสายตาของเขา แทอิลดูเป็นเด็กเรียน
น่าจะสนใจหรือเลือกทำงานที่เป็นสายวิชาการ ไม่นึกว่าจะเลือกใช้งานที่ใช้พรสวรรค์
และก็ไม่ได้คิดว่าแทอิลจะชอบทางด้านนี้
เพราะตอนสมัยเรียนก็ไม่เคยเห็นร่วมกิจกรรมอะไรที่เกี่ยวกับด้านดนตรีแบบที่แทยงทำ
“คือ..”
“...”
“เรื่องคืนนั้น..
ฉันเสียใจนะแทอิล”
ทั้งๆที่เคยสัญญากันเอาไว้ว่าจะทำเป็นเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
แต่ยองโฮกลับพูดถึงมันอีกครั้ง เมื่อก่อนก็แทบจะไม่มองหน้ากันแล้ว
ตอนนี้แทอิลยิ่งไม่อยากพบเจอกับซอยองโฮคนนี้อีกเลยด้วยซ้ำ
“อย่าพูดถึงมันอีกเลยนะ
มันผ่านไปแล้ว”
ทำไมแทอิลจะไม่เสียใจ
เขาเองก็เสียใจ แต่จะให้ทำอะไรได้ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว
ให้ย้อนวันกลับไปมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ มีแค่การทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
และปล่อยให้วันเวลาผ่านไป คงทำให้เขาลืมมันไปได้เอง
“ถะ...”
“เราไปก่อนนะยองโฮ
เกินเวลาพักแล้ว”
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไร
แต่ในตอนนี้เขาไม่อยากจะรับรู้หรือสนทนาอะไรกับคนตรงหน้านี้แล้ว
ทีเมื่อก่อนไม่เห็นอยากจะพูดจาด้วย มาวันนี้กลับอยากจะพูดคุย
อยากจะรู้สึกขอบคุณที่ยังจำชื่อเขาได้และชวนให้นั่งโต๊ะเดียวกัน แต่ก็คงจะไม่แสดงความรู้สึกนั้นออกไป
แค่ทำตัวให้เหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น เป็นทางที่ดีสำหรับทั้งคู่แล้ว
แทอิลหยิบแก้วเครื่องดื่ม ลุกออกจากโต๊ะแล้วเดินออกจากร้านไป
คนที่ถูกทิ้งให้นั่งอยู่ต่อได้แต่ถอนหายใจ มีบางอย่างที่เขาต้องการจะพูด
แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร เหมือนจะติดอยู่ในใจแต่ก็ไม่กล้าพูด
หากปล่อยให้ค้างคาก็คงค้างคาอยู่เรื่อยไป
สุดท้ายเมื่อสมองกลั่นกรองแล้วว่าเขาไม่ควรเก็บมันเอาไว้ให้กังวล
ยองโฮรีบลุกจากเก้าอี้วิ่งออกไปนอกร้าน มองซ้ายขวาตามหาคนที่เพิ่งจะจากกันและยังมองเห็นว่าแทอิลเดินห่างออกไปได้ไม่ไกล
รีบวิ่งสาวเท้าตามแผ่นหลังที่ดูห่างออกไปทุกที โชคดีที่ขายาวเลยสามารถตามคนที่จากกันได้ทัน
แขนของคนที่หันหลังเดินจากร้านกาแฟมาถูกคว้าอย่างกะทันหัน
ตกใจเผลอปล่อยแก้วไอซ์ไวท์ช็อคสตรอว์เบอร์รี่ตกลงพื้น
มองหน้าเจ้าของมือที่คว้าแขนตนไว้
“แทอิล..”
“ทะ..ทำไมถะ..”
“ถ้าเกิดว่า..
แทอิล.. ท้อง.. เพราะว่าฉัน.. ต้องบอกนะ บอกฉัน”
ไม่รู้จะต้องอ้อมค้อมยังไง
ยองโฮถึงได้พูดตรงๆออกไป แม้ฟังแล้วมันจะพิลึกเพราะมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แต่ก็เขาก็ได้พูดไปแล้ว ไม่ต้องเก็บเอาไว้ในใจให้อึดอัด คนฟังอยากจะขำ แต่ขำไม่ออก
เรื่องแบบนี้คนไม่สนิทกันควรเอามาล้อเล่นหรือ?
“คิดมากไปหรือเปล่ายองโฮ
เราเป็นผู้ชาย จะท้องได้ยังไง”
พูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นมือบางก็จับมือหนาของอีกคนออกจากแขน
ก้มลงเก็บแก้วของร้านเครื่องดื่มที่เพิ่งจะตกลงพื้นไปทิ้งถังขยะ
แล้วเดินจากคนที่วิ่งตามมาให้เร็วเท่าที่จะทำได้ ไม่อยากจะอยู่ให้เพื่อนร่วมรุ่นที่คิดมากและไม่ยอมปล่อยวางกับเรื่องคืนนั้นมาพูดอะไรให้ใจเสียไปมากกว่านี้
ขอแค่จากไปเหมือนคราวก่อนทำเป็นว่าไม่มีอะไรจะต้องพูดคุยกันอีก
ถ้าแค่จากไปอย่างเช่นคราวก่อน
มันก็ต้องเหมือนครั้งก่อน
จากกัน
ก็ต้องกลับมาพบกันอีก
----- The Way We Are -----
ช่วงนี้แทอิลต้องทำอัลบั้มใหม่ให้กับนักร้องหญิงเดี่ยวคู่ใจที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่เธอออกมินิอัลบั้มแรก
งานเลยหนักจนแทบไม่มีเวลานอน แต่ถึงแม้จะได้คำสั่งจากนักร้องหญิงว่าอย่าหักโหมให้มากนัก
แทอิลก็ไม่ได้เชื่อเรื่องนั้นสักเท่าไร
ตั้งใจและรีบทำทุกอย่างจนอัลบั้มเสร็จไปเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์
เหลืออีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็เรียบร้อย แต่นักร้องหญิงดันมาป่วยหนักจนต้องหยุดการทำงานไปก่อน
นั่นก็ส่งผลให้แทอิลได้พักไปด้วยหนึ่งสัปดาห์
หนึ่งสัปดาห์ที่ได้หยุดพัก
โปรดิวเซอร์คนขยันตั้งใจจะนั่งทำเพลงพิเศษเป็นของขวัญเนื่องในวันเกิดของจีฮันซลคนรักที่กำลังจะถึงในเดือนหน้า
แต่ความตั้งใจกลับล้มเหลวหมด เพราะไม่รู้ร่างกายมันเป็นอะไร แทอิลถึงได้เอาแต่นอนเกือบทั้งวัน
เวลาห้าวันจากเจ็ดวันที่ได้หยุดพักหมดไปกับการนอน
เขาคิดว่าเป็นเพราะการที่พักผ่อนไม่เพียงพอมันสะสม
พอได้พักเข้าจริงๆถึงได้พักแบบจริงจัง
แทอิลเลือกจะสละวันหยุดหนึ่งวันให้กับแทยงเพื่อนรัก
ที่เมื่อวานโทรศัพท์ตามให้เขาเข้าบริษัทวันนี้เพื่อไปช่วยดูศิลปินใหม่ที่กำลังจะเดบิวต์
แทยงเป็นครูสอนเต้นของค่าย ร่วมเป็นนักแต่งเพลงบ้าง รวมถึงยังเป็นเอนเตอร์เทนเมนท์เทรนเนอร์
ซึ่งจะสอนทักษะการสร้างความบันเทิงให้กับนักร้องอีกด้วย
หลังจากตื่นนอนไม่นาน
โทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวเตียงก็สั่นครืด เบอร์ที่แทอิลไม่คุ้นเคยทำให้แทอิลครุ่นคิดก่อนว่าอาจจะเป็นเบอร์ใครได้บ้าง
แต่ในเมื่อคิดไม่ออกก็ตัดสินใจกดรับสายไม่ให้คนโทรมาต้องรอนานไปมากกว่านี้
“สวัสดีครับ”
(“…”)
“สวัสดีครับ
นี่ใครพูดสายครับ”
(“ฉัน..
ยองโฮ”)
เจ้าของเบอร์บอกตัวตนที่แท้จริงทำเอาคนรับสายพูดอะไรไม่ออก
ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้รับโทรศัพท์จากเจ้าของเบอร์นี้ ต่างฝ่ายต่างก็เงียบใส่กัน
จนสุดท้ายแทอิลถึงตั้งสติและหาคำมาพูดคุยให้กลับมาเป็นปกติที่สุด
“อะ..อ๋อ
ยองโฮเหรอ”
(“อืม
ฉันยองโฮเอง”)
แทอิลไม่อยากถามว่าทำไมยองโฮถึงโทรมา
เพราะประเดี๋ยวเจ้าตัวก็คงจะบอกเหตุผลนั้นเอง ต่างฝ่ายต่างรอว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร
แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูด เสียงในสายจึงเงียบสนิทอีกครั้ง แต่สัญญาณก็ยังไม่ถูกตัด
(“วันนี้แทอิลว่างหรือเปล่า”)
สุดท้ายคนที่เป็นฝ่ายโทรมาก็ตัดสินใจจะพูดเข้าเรื่องถึงเหตุผลที่โทรมาตามที่ควรจะเป็น
“ไม่ว่าง
เรามีนัดแล้วน่ะ”
(“ไม่เป็นไร
คือ.. ฉันอยากเจอแทอิล แทอิลพอจะมีเวลาว่างวันไหนมาเจอกันบ้างไหม”)
อยากตอบอีกฝ่ายเหลือเกินว่าไม่มีเวลาว่าง
เพราะเขาไม่อยากเจอคนปลายสาย แม้เรื่องคืนนั้นจะผ่านมาเกือบเดือนแล้ว
แต่ก็ยังลืมไม่ลง มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ถ้าชีวิตแทอิลจะไม่มีเวลาส่วนตัวเลย
ถึงจะหนีไม่ไปเจอวันนี้ สักวันก็ต้องเจออยู่ดี แทอิลหยิบนาฬิกาที่วางอยู่หัวเตียงขึ้นมาดูเวลา
แทยงนัดเขาไว้บ่ายโมง ตอนนี้เก้าโมงครึ่ง ถ้าเขารีบอาบน้ำแต่งตัว
ก็พอมีเวลาให้อีกฝ่ายได้เจออยู่
“ความจริงวันนี้ก่อนถึงเวลานัดเราก็พอมีเวลาบ้าง
ถ้าเป็นตอนสิบเอ็ดโมงก็พอจะเจอได้”
(“ถ้างั้นตอนสิบเอ็ดโมง
เจอกันที่ร้านกาแฟใกล้ๆกับบริษัทแทอิล สะดวกไหม”)
“อืม
สะดวก”
(“งั้น..
เจอกันนะ สิบเอ็ดโมง”)
“อื้ม..
แล้วเจอกัน”
เพียงแค่นั้นแทอิลก็เป็นฝ่ายตัดสายไปก่อน
เขาอยากนอนต่ออีกสักงีบเพราะรู้สึกเพลียอยู่ แต่ในเมื่อนัดกับยองโฮเอาไว้แล้วก็ต้องฝืนใจเดินไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกจากบ้าน
หวังว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน
จะต้องไม่มีคราวหน้าอีก ถ้าซอยองโฮจะอยากเจออีก เขาต้องปฏิเสธให้ได้
----- The Way We Are -----
ผ่านมาเกือบเดือนแล้วแต่ยองโฮก็ยังไม่เลิกคิดเรื่องที่ผู้ชายจะท้องได้
เขากลัวว่าแทอิลจะเป็นแบบนั้น ครั้งสุดท้ายที่เจอกันเขาก็บอกแทอิลแล้วว่าหากแทอิลท้องจริงๆก็ให้บอกเขา
แต่หลังจากวันนั้นก็ไม่ได้รับการติดต่อจากอีกฝ่าย แสดงว่าคงไม่ได้ท้องจริงๆ เขาควรจะสบายใจ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังกังวลอยู่ดี กังวลยิ่งกว่าตอนที่คนรักของตนโกรธเสียอีก
ถ้าความไม่ชัดเจนทำให้เขารู้สึกค้างคา
เขาก็ควรเลือกจะทำให้มันชัดเจนไปเลยดีกว่า
ให้แน่ใจไปเลยว่าจะไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก เขาจะได้ใช้ชีวิตมีความสุขเหมือนเดิม
จะได้กล้ายิ้มให้กับคนรักผู้เป็นดาราดังหวานใจของเขาได้จากใจไม่ใช่ฝืนยิ้มเสียที
ระหว่างทางไปร้านกาแฟ
ยองโฮแวะร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อของบางอย่างที่จะทำให้ทุกอย่างมันจบลง
แต่มันจะจบอย่างที่หวังไว้หรือเปล่าก็ไม่รู้
ได้แต่ภาวนาให้มันจบลงในวันนี้ก็เป็นพอ
ยองโฮเป็นฝ่ายไปถึงร้านกาแฟก่อน
เลือกสั่งเครื่องดื่มขึ้นชื่อของร้านมาสองแก้ว สำหรับเขาและสำหรับอีกคนที่เขานัด
ยองโฮเดินไปนั่งในโต๊ะมุมในสุดของร้านเป็นการรอเมนูที่สั่งไปรวมถึงรอคนที่นัดหมายด้วย
สักพักพนักงานก็นำเครื่องดื่มเย็นสองแก้วมาเสิร์ฟที่โต๊ะ
ไม่นานนักหลังจากนั้นคนที่นัดก็มาถึงร้านตามมา แทอิลเดินมาที่โต๊ะของเขาอย่างช้าๆเพราะความกลัวอย่างบอกไม่ถูก
แต่สุดท้ายก็เดินมาถึงและนั่งลงตรงข้ามเหมือนคราวก่อน
“รอเรานานหรือเปล่า
เรามาช้าไปหน่อย ขอโทษนะ”
“ไม่หรอก
แทอิลก็มาตรงเวลา ฉันแค่มาเร็วไป.. ดื่มก่อนสิ ฉันสั่งมาให้
คราวที่แล้วที่ทำให้นายอดกิน”
ยองโฮเลื่อนแก้วไอซ์ไวท์ช็อคสตรอว์เบอร์รี่แก้วหนึ่งให้กับแทอิล
คราวที่แล้วเขาทำอีกคนตกใจจนเผลอปล่อยแก้วเครื่องดื่มหลุดมือจนอดกิน แทอิลพยักหน้ารับแล้วหยิบแก้วมาดื่มผ่านหลอดที่ปักอยู่ในแก้วพอเป็นมารยาทก็วางแก้วลงที่เดิม
“ที่นัดมา
มีอะไรหรือเปล่า”
คนถูกนัดมารีบเข้าเรื่องเพราะไม่อยากอยู่นานนัก
รวมถึงต้องไปหาแทยงตามนัดต่ออีก ยองโฮเบนสายตาไปทางอื่นกังวลที่จะพูดและใช้เวลาเพื่อรวบรวมความกล้า
สุดท้ายก็เบนสายตากลับมายังใบหน้าของคนที่นั่งร่วมโต๊ะ
“ไปห้องน้ำกับฉันหน่อยสิ”
ประโยคที่ไม่ถึงว่าคนหน้าหล่อจะพูดกับเขาทำเอาแทอิลอ้ำอึ้งไม่น้อย
ทำไมถึงได้ชวนเขาไปห้องน้ำ หากยองโฮอยากจะไปทำธุระส่วนตัวเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปด้วย
เขาสามารถนั่งรออีกคนได้
“คะ..คือ..”
“ขอร้องล่ะแทอิล
กรุณาไปห้องน้ำกับฉันนะ”
ในเมื่ออีกคนถึงขั้นกับขอร้อง
แทอิลก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง มันอาจจะมีเรื่องที่ยองโฮไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน
ถ้าไปคุยในห้องน้ำจะสะดวกกว่าหรือเปล่า แทอิลพยักหน้าตกลงแทนคำพูด
ร่างสูงเป็นฝ่ายลุกขึ้นแล้วเดินนำไปยังห้องน้ำ ร่างบางถึงค่อยเดินตามไป
เมื่อมาถึงห้องน้ำ
คนหน้าหล่อกวาดสายตามองไปในทุกส่วนของห้องน้ำเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่นอกจากเขากับแทอิล
เมื่อมั่นใจว่ามีเพียงแค่สองคน มือหนาจึงได้ล้วงหยิบของบางอย่างที่อยู่ในชุดสูทสีดำออกมา
เป็นถุงของร้านสะดวกซื้อ แล้วจึงหยิบของที่อยู่ภายในถุงออกมา ยื่นให้กับแทอิล
“มะ..มันคือ..”
“เอาไปตรวจซะแทอิล
ฉันจะรออยู่ในห้องน้ำ ไม่ต้องรีบ ฉันรอได้”
ยองโฮไม่ได้ตอบว่ามันคืออะไร
คนรับของพลิกกล่องที่คนตัวสูงหยิบยื่นมาให้อ่านฉลากอยู่ในใจก็ถึงกับตาโตและนิ่งไป
ที่ตรวจการตั้งครรภ์
คือสิ่งที่ฉลากบอก
“นะ..นาย..
นายเพี้ยนไปแล้วหรือไงยองโฮ เอามันมาให้เราทำไม”
“ฉันไม่อยากจะกังวลอีกแล้วแทอิล
เรื่องคืนนั้นมันยังค้างคาใจฉันอยู่
มันมีแค่นายเท่านั้นที่จะทำให้ความค้างคาในใจฉันมันหายไปได้”
“นายคาใจเรื่องว่าเราจะท้องเหรอ?
นายควรจะมองความจริงบ้างสิว่าเราเป็นผู้ชาย”
“เมื่อหลายเดือนก่อนมันมีข่าวว่าผู้ชายท้องได้มันถึงทำให้ฉันกังวลไงแทอิล! ขอร้องล่ะ
นายจะช่วยฉันสักครั้งไม่ได้หรือไง แค่ตรวจให้ฉัน
ถ้ามันไม่มีอะไรก็จะไม่ยุ่งกับนายตามที่นายต้องการแล้ว”
สายตาที่วิงวอนขอร้องทำเอาใจแทอิลอดสงสารไม่ได้
เรื่องที่เพื่อนร่วมรุ่นที่คล้ายจะเป็นคนแปลกหน้าขอให้ช่วยเหลือถึงมันจะแปลกจนคาดไม่ถึง
แต่มันก็ไม่ได้เหนือบ่าไปกว่าแรง
ถ้าตัวเองมั่นใจว่าไม่ท้องแล้วจะกลัวกับการตรวจทำไม
ถือเสียว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ได้ลองในสิ่งที่ไม่เคยลอง และช่วยเหลือเพื่อนสักครั้ง
และถ้าทำให้ยองโฮหายแคลงใจได้ เรื่องระหว่างเขากับคนตรงหน้าก็จะได้จบเสียที
“ถ้ามันจะทำให้นายสบายใจ
เราจะตรวจให้นายก็ได้ยองโฮ รออยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน”
แทอิลกำกล่องตรวจการตั้งครรภ์ในมือแน่น เดินปิดประตูเข้าห้องน้ำภายใน
คนตัวสูงยืนพิงอ่างล้างหน้ารอผลอย่างใจจดจ่อ
เรื่องที่ผู้ชายจะท้องได้มีโอกาสเป็นไปได้น้อยมากที่สุดจนถึงเป็นไปไม่ได้
ภาวนาให้มุนแทอิลไม่เป็นหนึ่งในกลุ่มที่น้อยมากที่สุด
เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องกังวลอะไรมากมายขนาดต้องให้อีกคนมาตรวจการตั้งครรภ์
เขาวิตกจริตเกินไปหรือเปล่า หรือเขามีปัญหาทางจิตก็ไม่รู้
การรอคอยมันช่างเนินนานแต่ยองโฮก็ยังคงรอ
เสียงกดชักโครกทำให้คนรอเลิกคิดเรื่องต่างๆนานาในหัวหันไปสนใจประตูห้องที่แทอิลเข้าไป
แต่มองอยู่นานหวังว่าประตูจะเปิดออกแต่มันก็ยังคงปิด เพื่อนตัวเล็กเข้าไปนานเกินไป
แต่จะไปเคาะประตูให้อีกคนออกมาก็ไม่กล้าทำ
หลังจากสิ้นเสียงน้ำในชักโครกทำงานครึ่งชั่วโมง เสียงปลดล๊อคประตูห้องน้ำที่อยู่ริมสุดที่แทอิลเข้าไปก็ดังขึ้น
ประตูจึงถูกเปิดออก
สีหน้าของคนที่ออกมาจากห้องน้ำดูเป็นปกติ
แต่ทำไมยองโฮถึงสัมผัสได้ว่ามันไม่ปกติ
“เป็น...
เป็นยังไงบ้าง ผลเป็นยังไง”
เครื่องตรวจการตั้งครรภ์ที่แทอิลกำอยู่ในมือแน่นถูกยื่นมาให้คนถาม
มือหนาหยิบเครื่องตรวจสีขาวที่มีแผ่นกระดาษเต็มไปด้วยอักษรพันอยู่จากมือบางออกมา
ยองโฮเอาแผ่นกระดาษที่ห่อเครื่องตรวจออกเพื่อดูผลที่เครื่องตรวจแสดง
สองขีด..
แถบบอกผลตรวจมีสองขีด
มือหนาคลี่แผ่นกระดาษที่แทอิลยื่นมาให้พร้อมกับที่ตรวจการตั้งครรภ์
อ่านวิธีการอ่านผลตรวจอย่างตั้งใจ
รูปภาพที่ประกอบคำอธิบายทำให้เข้าใจง่ายขึ้นมันยิ่งทำให้ชัดเจน
‘หากขึ้นสองขีด
หมายถึง ตั้งครรภ์’
“หายค้างคาใจหรือยังยองโฮ”
แทอิลเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ
สิ่งที่เขาทำมันคงทำให้ยองโฮพอใจได้แล้วว่าสิ่งที่เขากังวลในความจริงแล้วมันเป็นยังไง
วันนี้ ตอนนี้ยองโฮได้รู้หรือยังว่าเรื่องที่ติดค้างในใจมันจะหายไปได้หรือยัง
“แทอิล..”
“ถ้าหมดธุระแล้วเราขอตัว
ต่อไปก็.. หวังว่าจะไม่ได้เจอกันอีก”
ร่างบางว่าจบก็หมุนตัวยกเท้าเดินออกห่างยองโฮ
แต่ยังไม่ทันจะก้าวพ้นให้ออกห่าง คนตัวสูงก็คว้าแขนแทอิลเอาไว้จนคนตัวเล็กเซจนเกือบล้ม
“นายจะไปได้ยังไงแทอิล เราจะไม่เจอกันอีกได้ยังไง
นายไม่เห็นหรือไงว่าผลตรวจมันออกมาเป็นยังไง”
“เราไม่เชื่อผลตรวจไอ้เครื่องบ้าๆนี่หรอกนะยองโฮ
เราเป็นผู้ชาย เราเป็นผู้ชาย! นายได้ยินไหม!
ผู้ชายท้องไม่ได้!”
“แต่เขาบอกว่าผลตรวจนี่มันเชื่อถือได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
แล้วถ้าตรวจครั้งแรกขึ้นสองขีดหมายถึงว่าท้องแน่ๆ
ฉันรู้ว่านายอ่านคู่มือการใช้อย่างละเอียดแล้ว นายอย่าทำเป็นไม่รู้หรือไม่เชื่อเลยแทอิล!”
ใช่
อีกฝ่ายพูดถูก หลังแกะกล่องแทอิลอ่านวิธีใช้อย่างละเอียดแล้วรอบหนึ่ง
ยิ่งพอตรวจเสร็จเขาก็แทบจะไม่เชื่อกับสิ่งที่เห็น
เขาอ่านมันซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
แค่หวังว่าตาเขาจะฝาดหรือบกพร่องทางการอ่าน
แต่ไม่ว่าจะอ่านกี่ครั้งเขาก็อ่านถูกต้องไม่ผิดแน่ แต่จะให้เขาทำใจกับเรื่องนี้ได้อย่างไร
อยู่บนโลกนี้มายี่สิบเจ็ดปี ร่างกายของมุนแทอิลไม่เคยผิดปกติ
วันหนึ่งเขามีอะไรกับผู้ชายคนนึง สองเดือนต่อมาก็ท้อง
เรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์มันดันมาเกิดกับเขา
เขาแค่อยากทำเป็นไม่สนใจ ทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทั้งๆที่ในใจมันแทบจะหยุดเต้น สมองมันขาวโพลนไปหมด
“ทำเหมือนวันนั้นเถอะยองโฮ
เราแค่จากกันเหมือนวันนั้น ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“นายกล้าพูดไหมแทอิลว่าหลังจากวันนั้นนายรู้สึกเหมือนเดิม
นายไม่คิด ไม่กังวล เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สาบานไหมแทอิล”
“...”
“ไม่
ใช่ไหมล่ะ”
“ถ้างั้นก็บอกเรามาสิ
นายจะให้เราทำยังไง เราต้องทำยังไงนายถึงจะพอใจ”
แทอิลพยายามใจเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้
อารมณ์ของเขามันไม่ดีตั้งแต่เห็นสองขีดบนเครื่องตรวจที่ยองโฮให้มาแล้ว
ยิ่งถูกขึ้นเสียงใส่ ยิ่งยองโฮรบเร้าให้เขาทำอะไรสักอย่าง ในสิ่งที่เขาเองก็ไม่รู้
แต่จะให้มาพาลอารมณ์เสียใส่ยองโฮมันก็ไม่ถูก มันใช่ความผิดของยองโฮคนเดียวเมื่อไร
ยองโฮไม่ใช่ที่รองรับหรือระบายอารมณ์ เขาไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้น ยิ่งโมโหใส่
เรื่องที่คิดว่าจะจบไวๆก็ยิ่งจะจบช้าเข้าไปอีก
“ฉันจะรับผิดชอบนายเอง”
“...”
“เพราะว่านายท้องกับฉัน
ฉันจะรับผิดชอบนายเองแทอิล”
มันไม่ใช่คำพูดที่น่าหัวเราะ
แต่ไม่รู้ทำไมคนฟังถึงกลับขำออกมา หัวเราะออกมาราวกับกำลังรับฟังเรื่องตลกทั้งที่ไม่ใช่ ยองโฮไม่เข้าใจว่าทำไมปฏิกิริยาของแทอิลที่มีต่อคำพูดของเขาถึงเป็นแบบนี้
แต่เสียงหัวเราะในทีแรกกลับแปรเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้นในไม่ช้า บนใบหน้าสวยเจ้าของเสียงสะอื้นมีน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสาย
ขาของคนตรงหน้ายองโฮสั่นจนยืนไม่ไหวถึงขั้นทรุดลงไปกับพื้น ยองโฮค่อยๆย่อลงมาในระดับเดียวกันกับแทอิล
มือขวาเอื้อมไปแตะไหล่เจ้าของเสียงสะอื้นเพื่อปลอบใจ ไม่กล้าจะเข้าใกล้แทอิลไปมากกว่านี้
“ยะ..ยองโฮ
ความจริง..”
แม้จะยังไม่หยุดร้องไห้
แต่แทอิลมีบางสิ่งบางอย่างที่อยากจะพูด และเขารอจนกว่าจะหยุดร้องไม่ได้
มันคงนานเกินกว่าที่เขาจะทนรอ
“ระ..เรา
ฮะ..ฮึก.. ไม่ได้..ท้อง.. ฮึก.. กับนาย”
คิ้วคมบนใบหน้าหล่อขมวดเข้าหากัน
คำพูดที่แทอิลบอกหมายความว่าอย่างไร จะมีอะไรที่จะทำให้เขาตกใจไปมากกว่านี้อีกหรือ
“นายหมายความว่ายังไง”
“เรา..
ไม่ได้ท้อง.. กับนายหรอกนะยองโฮ”
“ถ้าไม่ใช่ฉัน
แล้วคือใคร ใครที่ทำให้..”
หากคนที่กำลังนั่งร้องไห้ตรงหน้าเขาตอนนี้ไม่ได้กำลังตั้งท้องเพราะเขา
แล้วใครคือเจ้าของเด็กในท้องที่กำลังจะเกิดมาของเพื่อนสมัยมัธยม สถานะของเขากับแทอิลไม่ได้ดีมากจนถึงขั้นที่เขาจะมาถามเรื่องแบบนี้ได้
แต่ยองโฮเองก็อาจมีสิทธิ์เป็นพ่อของลูกในท้องแทอิล
เพราะเขาก็เคยมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งด้วย
“แฟนของเรา..
แฟน.. แฟนเราก็เป็นผู้ชาย”
ในตอนแรกแทอิลคิดหาหนทางไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
หลังจากที่ตรวจแล้วเครื่องตรวจขึ้นสองขีดเขาก็เอาแต่คิดว่าชีวิตจะต้องเดินไปทางไหน
ควรจะบอกกับคนที่เขารักมากรองจากบุพการีอย่างไร เมื่อยองโฮบอกว่าจะรับผิดชอบ
ก็ยิ่งคิดไม่ตก แต่คำพูดคำว่า ‘รับผิดชอบ’ มันทำให้แทอิลนึกถึงคนรักขึ้นมา
เพราะเป็นคำที่คนรักพร่ำบอกกับเขาเสมอ มันทำให้เขาคิดได้ว่า
ถ้าเขาบอกว่าเด็กในท้องไม่ใช่ลูกของยองโฮ แต่เป็นลูกของฮันซล ซอยองโฮคงจะเลิกยุ่งกับชีวิตเขาเสียที
“อย่ามาโกหกฉันนะแทอิล”
“แล้วนายไม่คิดว่าหลังจากที่มีอะไรกับนายแล้วเราจะไปมีอะไรกับแฟนบ้างหรือไง!
เรามีอะไรกับนายได้คนเดียวเหรอ!”
ไม่คิดว่าแทอิลจะพูดตรงถึงเพียงนี้
แต่นั่นก็ทำให้ยองโฮพินิจในคำพูดแทอิลได้โดยไม่ต้องแปลความให้มันซับซ้อน นั่นสินะ
แทอิลอาจจะไม่ท้องกับเขาจริงๆก็ได้ คนรักของแทอิลอาจจะเป็นพ่อของลูกก็ได้
แต่ถ้าคิดอีกแง่หนึ่ง ถ้าเราเกิดไปมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ
จิตใต้สำนึกคนเรามันคงจะมีความรู้สึกผิดกับคนรัก แล้วไม่กล้าจะมีอะไรกับคนรัก
เขาเชื่อว่าเพื่อนร่วมรุ่นของเขาจะเป็นอย่างที่สองที่มีจิตใต้สำนึกเรื่องความรู้สึกผิด
“ถามตรงๆนะแทอิล
ฉันคือคนสุดท้ายที่นายมีอะไรด้วยใช่ไหม”
“...”
“ฉันคือพ่อของลูกในท้องนายใช่ไหม”
“...”
“ฉันจะไม่ยุ่งกับนายอีกก็ได้
ถ้านายจะสาบานต่อฉันและฟ้าดิน ว่านายไม่ได้ท้องกับฉัน
ตอบฉันมาชัดๆว่านายเคยมีอะไรกับแฟนแล้วจริงๆ
และลูกในท้องของนายเป็นลูกของผู้ชายคนนั้น ไม่ใช่ลูกของฉัน”
ยองโฮยื่นคำขาดเป็นครั้งสุดท้าย
ต่อมน้ำตาของแทอิลที่เกือบจะหยุดทำงานเหมือนจะถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง ทำไมจะต้องให้เขาสาบาน
ทำไมถึงอยากจะมั่นใจอะไรมากขนาดนี้ ทำไมซอยองโฮถึงคิดมากขนาดนี้
ลังเลที่จะสาบานอย่างที่ยองโฮสั่ง
เพราะถ้าสาบานไปว่านั่นไม่ใช่ลูกของคนๆนี้ หากฟ้าดินได้รับรู้ก็คงจะลงโทษเขา
เพราะที่สาบานไม่ใช่ความจริงและเป็นการโกหกอย่างร้ายแรงที่สุด ราวกับยองโฮรู้ว่าเขาโกหกและกำลังบีบเค้นให้เขาพูดความจริง
สิ่งมหัศจรรย์มีชีวิตที่อยู่ในท้องของแทอิล
เป็นลูกของแทอิลกับใครเจ้าตัวย่อมรู้อยู่แก่ใจ ไม่มีทางจะเป็นลูกของคนรักที่คบกันมาเกือบสามปีไปได้
เพราะเขาไม่เคยมีอะไรกับฮันซล และมันจะเป็นลูกของใครที่ไหนไม่รู้ก็ไม่ได้
เพราะมุนแทอิลไม่ใช่คนใจง่ายหรือสำส่อน
‘ฉันคือคนสุดท้ายที่นายมีอะไรด้วยใช่ไหม’
‘ฉันคือพ่อของลูกในท้องนายใช่ไหม’
คำตอบคือใช่
ยองโฮไม่ใช่แค่คนสุดท้ายที่แทอิลมีความสัมพันธ์ทางกายที่ลึกซึ้งด้วย
แต่ซอยองโฮคือคนแรกและคนเดียวที่แทอิลมอบร่างกายให้แม้จะไม่ใช่ด้วยความเต็มใจ
มันแน่ชัดอยู่แล้วว่าเขาท้องกับใคร
“สาบานออกมาสิ!”
“ไม่ต้องสาบงสาบานอะไรมันแล้ว!
ถ้าเราท้องจริงๆ เราก็ท้องกับนายนั่นแหละ! พอใจหรือยังยองโฮ!”
แทอิลเลิกที่จะอดทนแล้วระเบิดอารมณ์ออกมา
เบื่อที่จะต้องยืดเยื้อกับคนตรงหน้าอีกแล้ว
อยากให้พูดความจริงที่แม้จะรู้แล้วจะต้องเจ็บปวดมากนักก็ขอให้เชิญรับฟังอย่างที่ต้องการ
ในครั้งนี้ไม่มีน้ำตาที่ไหลออกมาเหมือนก่อนหน้าเพราะมันได้ถูกใช้ไปหมดแล้ว
เขาไม่อยากให้ยองโฮต้องมาเห็นว่าเขาอ่อนแอ
“จริงๆใช่ไหมแทอิล”
“นายไม่ใช่แค่คนสุดท้าย
นายเป็นคนเดียว.. กับคนอื่นหรือแม้กระทั่งคนที่เรารักมากที่สุด.. เราก็ไม่เคย”
พอเพื่อนยอมรับจริงๆก็เหมือนว่าเรื่องที่ยองโฮหนักอกหนักใจมาตลอดเกือบสองเดือนก็หายไป
แต่กลับมีเรื่องอีกมากมายที่ผุดขึ้นมาในสมองเขาสร้างความกังวลมากยิ่งกว่า
ต่อจากนี้ไม่รู้ว่าจะเริ่มทำอะไรจากตรงไหน ดูวุ่นวายและน่าสับสนไปหมด
เรื่องมันยากจนเขาอยากจะร้องไห้ออกมา
เขาทำคนๆหนึ่งท้องมันทำให้เขาอยากจะร้องออกมามากเพียงนี้
แต่คนที่เป็นฝ่ายท้องอย่างแทอิลล่ะ มันไม่ยิ่งมากกว่าเขาหรือ
ยองโฮตั้งสติมั่น
ถือวิสาสะจับมือของแทอิลค่อยออกแรงดึงให้ร่างเล็กลุกจากพื้นห้องน้ำ พาเดินมายังอ่างแล้วหน้า
เปิดก๊อกน้ำแล้วใช้มือยื่นไปรับน้ำให้พอเปียก ลูบบนใบหน้าสวยของแทอิลอย่างเบามือ
ล้างคราบน้ำตาแห่งความเสียใจที่ไหลรินออกมาจนหมด สายตาของแทอิลไม่มองเจ้าของมือบนใบหน้าที่ชำระร่องรอยของน้ำตาเลยสักนิด
ทำได้เพียงแค่มองแต่กระจกที่สะท้อนเงาของตัวเองกับคนข้างๆ
แค่การได้ยืนอยู่ในกระจกบานเดียวกันกับซอยองโฮ
คนที่แทบจะไม่เคยมองหน้าหรือรู้สึกว่าเขามีตัวตนบนโลกใบนี้
กระจกที่สะท้อนเงาว่าคนข้างๆกำลังเช็ดน้ำตาให้ ราวกับว่าเขากำลังอยู่ในความฝัน
และก็อยากภาวนาให้มันเป็นแค่ฝัน หากเล่าให้ใครสักคนฟัง คนฟังคงบอกว่ามันเป็นฝันที่สวยหรูที่มียองโฮยืนอยู่ข้างกาย
แต่กับคนที่ฝันอยู่อย่างแทอิลมันช่างเป็นฝันร้าย
ยิ่งมันไม่ใช่ความฝันแต่มันคือความจริง
มันก็คือความจริงที่โหดร้าย
ความจริงที่โหดร้ายนั้นไม่ใช่ความจริงว่ายองโฮสัมผัสใบหน้าของเขา
ไม่ใช่ความจริงที่ว่ายองโฮยืนอยู่ข้างเขา
แต่เป็นความจริงที่ว่าเขากำลังจะมีลูกกับผู้ชายที่ใครๆต่างก็บอกว่าคือเทวดาที่ได้มาเกิดลงบนโลก
นามว่า ‘ซอยองโฮ’
เสียงน้ำหยุดไหลเมื่อก๊อกน้ำถูกปิด
เงาในกระจกสะท้อนว่ายองโฮไม่ได้ลูบใบหน้าของเขาอีกแล้ว
แต่กำลังหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อ แล้วซับความชื้นบนใบหน้าขาวจนใบหน้ากลับมาดูสะอาดสะอ้านเช่นเดิม
“เราไม่มั่นใจเลยยองโฮ”
ทุกครั้งที่มุนแทอิลเปิดปากพูดอะไรบางอย่าง
จะต้องมีเรื่องให้คิดทุกครา คราวนี้จะบอกอะไรกับเขาอีกก็ไม่อาจเดาได้
“ผลตรวจจากเครื่องมันเชื่อได้จริงๆหรือเปล่า
เราขอไม่มั่นใจได้ไหม นายก็อย่ามั่นใจได้ไหม”
“ถ้าอยากจะให้มั่นใจจริงๆ
ฉันจะพาแทอิลไปตรวจที่โรงพยาบาลก็ได้”
“มะ..ไม่เป็นไร
เดี๋ยวเราจะไปตรวจเอง”
“ฉันไม่ลำบากที่จะพาแทอิลไปหรอกนะ
เพราะว่าเรื่องนี้มันก็ถือเป็นเรื่องของฉันเหมือนกัน”
ยองโฮก็ไม่ได้อยากจะมองแทอิลในแง่ร้าย
แต่การที่แทอิลจะขอไปตรวจคนเดียวอาจจะทำอะไรบางอย่างเพื่อปกปิดความจริงอีกอย่างที่โกหกกับเขาไปเมื่อครู่ก็ได้
ถ้าเขาไปด้วย ฟังผลตรวจจากปากหมอพร้อมกัน แทอิลจะปฏิเสธอะไรเขาไม่ได้
สุดท้ายแทอิลก็ไม่ได้ปฏิเสธ
ทั้งสองเดินออกมาจากห้องน้ำของร้านกาแฟที่ตลอดระยะเวลาที่เข้าไปถือว่าเป็นโชคดีที่ไม่มีใครเข้าไปเลยนอกจากทั้งคู่
ทั้งสองเดินออกมาจากร้านเพื่อจะเดินทางไปโรงพยาบาล แทอิลรู้สึกว่าแสงแดดนอกร้านที่ร้อนระอุกลับเยือกเย็นไปเมื่อพบกับเรื่องที่ร้อนกว่าในใจของเขา
ยองโฮเปิดประตูรถข้างคนขับที่จอดเทียบริมถนนอยู่หน้าร้านให้แทอิลเข้าไปนั่ง
และเขาก็ขึ้นนั่งฝั่งคนขับหลังจากนั้น
รถสีขาวมุกเคลื่อนตัวออกจากที่ด้วยความเร็วที่พอจะให้คนนั่งรู้สึกสบายใจ
แม้บรรยากาศภายในรถจะเต็มไปด้วยความรู้สึกที่แย่จนไม่สามารถอธิบายได้ก็ตาม ไม่มีเสียงพูดคุยในรถ
ถ้าคนขับอย่างยองโฮพูดก็คงจะเหมือนคนบ้าที่คุยคนเดียว
เพราะคนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆหลับไปเรียบร้อยแล้ว
ยองโฮเลือกจะขับรถไปที่โรงพยาบาลแถบชานเมืองที่เขาเคยขับผ่านอยู่บ้าง
แม้จะมีอีกโรงพยาบาลที่เขาไปเป็นประจำ ถ้าไปที่นั่นนอกจากจะได้รับความอุ่นใจเพราะชื่อเสียงที่โด่งดังแล้วยังจะได้รับส่วนลดค่ารักษาเพราะเขาเป็นพนักงานของบริษัทที่ให้การสนับสนุนโรงพยาบาลนั้น
แต่มันก็อันตรายเพราะเพื่อนสนิทของเขากับเพื่อนสนิทของแทอิลต่างก็เป็นแพทย์อยู่ที่นั่น
จึงได้เลือกไปโรงพยาบาลแถบชานเมืองที่ไม่ค่อยมีผู้คนและไม่มีคนที่รู้จักเขาดีกว่า
เมื่อถึงโรงพยาบาลและหาที่จอดรถเรียบร้อย
ยองโฮจึงปลุกคนข้างๆที่หลับอยู่ให้ตื่น
ทั้งคู่เดินจากลานจอดรถเข้าไปยังตึกของโรงพยาบาลโดยไม่พูดอะไรต่อกัน แต่ก่อนจะผ่านประตูของตึกโรงพยาบาล
ยองโฮจับไหล่ของแทอิลทำให้การเดินหยุดชะงัก ในมือของยองโฮยื่นแว่นตากันแดดสีดำดูมีราคาให้กับแทอิล
สายตาที่เต็มไปด้วยคำถามถูกส่งมาแทนคำถามที่จะออกมาเป็นคำพูด
“ใส่ไว้นะแทอิล
นายคงไม่อยากให้ใครเห็นนายใช่ไหม”
ตอบคำว่า
‘ใช่’ แค่เพียงในใจ แล้วรับแว่นตาดำในมือยองโฮมาสวมทัดหู
ความจริงอยากจะถามว่ายองโฮเองไม่กลัวบ้างหรือว่าจะมีใครเห็นว่าพาเขามาโรงพยาบาล
ถ้ามาเป็นเพื่อนตรวจร่างกายธรรมดาก็คงไม่มีอะไร แต่หลังจากนี้ถ้าเดินเข้าแผนกสูตินรีเวชละ?
เพราะยองโฮไม่ใช่คนธรรมดา ยองโฮเคยออกสื่อมาแล้วและโด่งดังพอสมควรเพราะเป็นคนรักของดาราชื่อดังระดับแนวหน้าที่มีผลงานทั้งในประเทศบ้านเกิดของเจ้าตัว
ประเทศบ้านเกิดของแทอิล แถมยังมีชื่อเสียงไปถึงระดับฮอลลิวูด
ถ้ามีคนพบเห็นจะไม่ถูกนำเอาไปเมาท์หรอกหรือว่าทำใครเขาท้อง ยิ่งคนๆนั้นไม่ใช่คุณเตนล์แน่ๆ
ก็คุณเตนล์เป็นผู้ชาย แถมคุณเตนล์ไม่ได้อยู่เกาหลีเพราะไปถ่ายละครที่จีนอย่างไม่มีกำหนดกลับ
แต่ถ้าเกิดแทอิลถามขึ้นมา
เจ้าของแว่นก็จะตอบว่า ‘ไม่ใส่’ ไม่ใช่เพราะไม่กลัวว่าใครจะมอง
แต่เขามีแว่นกันแดดอยู่อันเดียว และควรจะสละอันนั้นให้แทอิลมากกว่า เพราะคนที่จะต้องตรวจการตั้งครรภ์เป็นแทอิลไม่ใช่เขา
คนที่ควรจะปกปิดเรื่องนี้มากกว่าคือตัวแทอิลต่างหาก เขารู้ว่าแทอิลอายมากเพียงใดที่เป็นผู้ชายแต่ต้องมาตรวจเรื่องแบบนี้
แทอิลสงสารที่ยองโฮจะต้องพาเขามาตรวจที่โรงพยาบาล
เลยเป็นฝ่ายขอจัดการเรื่องด้วยตัวเอง ติดต่อเจ้าหน้าที่ว่าจะมาตรวจร่างกายเพราะหากบอกว่ามาตรวจการตั้งครรภ์ก็คงจะโดนมองด้วยสายตาที่พอเดาได้ว่าไม่ดี
เจ้าหน้าที่ก็จัดการให้ ไม่นานนักก็ถูกเรียกให้เข้าไปตรวจ ซึ่งแทอิลบอกให้ยองโฮตามไปทีหลังเพราะกลัวว่าจะทำให้เป็นข่าว
แต่ยองโฮดึงดันจะไปด้วยและไม่สนว่าใครจะมองเช่นไร
เพราะอนาคตมันอาจจะเป็นเรื่องปกติที่เขาต้องทำก็ได้
ในเวลาที่ไป
ไม่มีคนไข้มากนัก เลยได้เข้าตรวจเลย ยองโฮนั่งรออยู่ข้างนอก
ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไร
แม้โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงจะสั่นเตือนว่ามีสายเข้า
แต่แค่หยิบขึ้นมาเห็นชื่อคนโทรเข้าเป็นเพื่อนสนิทผิวเข้มก็เลือกจะกดปุ่มพักหน้าจอแทนการเลื่อนไม่รับสาย
ซึ่งถือเป็นการปฏิเสธการรับสายที่มีมารยาทมากกว่าตัดสายทิ้งโดยตรง
ขืนกดรับสายไปแล้วพูดอะไรแปลกๆออกไปละก็คงแย่แน่
----- The Way We
Are -----
เมื่อได้เข้ามาในห้องตรวจ
ผู้รับบทเป็นคนไข้อย่างแทอิลก็เกิดกลัวขึ้นมา
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มาโรงพยาบาลแล้วรู้สึกอยากจะร้องไห้ อยากหนีออกไปจากที่นี่
แต่เรื่องมาถึงขนาดนี้เพื่อให้มันชัดเจน ก็คงต้องเผชิญหน้ากับมันไป
แพทย์ผู้ทำการรักษาสอบถามอาการป่วย
แทอิลถึงได้บอกสภาพร่างกายในสัปดาห์ที่ผ่านมาในสิ่งที่คิดว่าสุขภาพเขาไม่ได้รู้สึกสบายเหมือนเดิม
“จากที่คนไข้บอกว่าร่างกายอ่อนเพลีย
อยากนอนตลอดเวลา น้ำหนักขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุแล้วท้องนูนขึ้น
ถ้าเป็นผู้หญิงหมออาจจะสงสัยว่าคนไข้กำลังตั้งครรภ์นะครับเนี่ย อืม..
หมอคงจะต้องขอตรวจให้ละเอียดขึ้นหน่อยนะครับ”
“คุณหมอครับ
คือ.. ถ้าผมถามอะไรสักอย่าง คือมันอาจจะเป็นไปไม่ได้
แต่คุณหมอช่วยอย่าคิดว่าผมเป็นบ้าได้ไหมครับ”
แทอิลไม่อยากเสียเวลาตรวจไปมากกว่านี้
ไม่อยากอ้อมค้อมแต่ก็ไม่กล้าพูดตรงๆ อยากจะได้ผลลัพธ์ที่เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ภายในใจมันร้อนรนให้อยู่นิ่งกว่านี้มันยากเกินกว่าจะทำแล้ว
“ได้สิครับ”
“คือ..
ผมมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายน่ะครับ ผม.. ผมเป็น.. เป็นฝ่ายถูกสอดใส่ แล้วคือ..
ทีนี้คนที่ผมมีอะไรด้วยเขาอ่านข่าวผู้ชายท้องได้ เขาก็เลย.. เอ่อ..
ขอให้ผมตรวจการตั้งครรภ์.. ก่อนมาที่นี่ แล้ว.. คือมันขึ้นสองขีด”
แต่ละคำที่จะต้องพูดออกมามันช่างยากเย็นและน่าอาย
แทอิลล้วงภายในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบแท่งสีขาวต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องมานั่งอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ให้กับแพทย์ที่กำลังเป็นผู้ตรวจเขาอยู่
แพทย์หยิบสิ่งที่แทอิลวางให้บนโต๊ะขึ้นมาดูจนคิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติราวกับไม่เชื่อสายตา
“คนไข้ตรวจด้วยปัสสาวะของตัวเองเหรอครับ”
“ครับ
คือ.. สองขีดมันแปลว่า..”
“สองขีดแปลว่าตั้งครรภ์ครับ
แต่แปลกมากนะครับ โอกาสน้อยมากที่จะเกิดเรื่องแบบนี้..”
ใช่
คุณหมอจะไม่เชื่อก็ไม่แปลกหรอกเพราะถ้าเอาไปบอกใครก็ไม่มีใครอยากจะเชื่อทั้งนั้น
เจ้าของผลตรวจยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเขาในตอนนี้
“มีวิธีที่จะตรวจให้ละเอียดกว่านี้ไหมครับคุณหมอ”
“ถ้าเป็นแบบที่คนไข้สงสัย
หมอจะขออนุญาตตรวจแบบการตั้งครรภ์ของผู้หญิงนะครับ”
----- The Way We
Are -----
คนที่มาด้วยกันเข้าไปเกือบจะชั่วโมงแล้ว
เหมือนว่าการรอคอยจะเนิ่นนานเกินกว่าความอดทนที่มีอยู่ ยองโฮตัดสินใจลุกจากที่นั่งรอหน้าห้อง
ถือวิสาสะค่อยๆเลื่อนประตูห้องตรวจที่คนที่เขาพามาด้วยเข้าไปก่อนหน้าออก แทอิลกำลังนอนอยู่บนเตียงตรวจ
แพทย์กำลังใช้เครื่องมือที่เขาพบเห็นในโทรทัศน์บ่อยๆถูไปมาบริเวณหน้าท้องของแทอิล
ยองโฮเข้ามาแล้วนั่งเงียบๆอยู่ตรงหน้าโต๊ะคุณหมอ
หลังจากที่เข้าไปนั่งได้ไม่นานเหมือนการตรวจจะเสร็จสิ้นพอดี
แพทย์ผู้ทำการตรวจกลับมานั่งที่โต๊ะพร้อมๆกับแทอิลที่เพิ่งลุกจากเตียงตรวจ
ซึ่งตอนนี้ก็มานั่งข้างๆยองโฮแล้ว
“ไม่ใช่เนื้องอกแน่นอนครับ
ถ้าจากที่คนไข้สงสัย ผมว่ามีแนวโน้มจะเป็นแบบนั้นจริงๆ”
“หมะ..หมายความ..ว่า”
“กำลังตั้งครรภ์ครับ”
ผลตรวจจากปากของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคงทำให้ทั้งสองมั่นใจได้แล้วจริงๆ
และแทอิลคงไม่มีข้อโต้แย้งอะไรกับยองโฮอีกถึงเรื่องนี้ เพราะยองโฮได้ฟังจากปากของคนที่น่าเชื่อถือที่สุดสำหรับเรื่องนี้ไปพร้อมๆกันแล้ว
“คุณหมอ
ทำไมผมถึงท้องได้ ร่างกายผมมันแตกต่างจากผู้ชายคนอื่นตรงไหน อธิบายให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ”
“เรื่องนี้หมอเองก็ยังไม่ทราบว่าทำไม
แต่เรื่องผลการตรวจออกมาทั้งตรวจปัสสาวะหรืออัลตราซาวด์มีผลออกมาเหมือนคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์
หมอไม่อยากให้คนไข้มองว่าการที่ผู้ชายตั้งครรภ์ได้เป็นเรื่องผิดปกติ
อยากให้มองว่ามันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากกว่านะครับ
บนโลกนี้มันน้อยจนแทบจะไม่มีนะครับเรื่องแบบนี้”
คิดว่าฟังแล้วคนฟังจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้างไหม?
ไม่เลย คุณหมออยากจะคลายความกังวลให้เขา แต่มันไม่ได้ลดน้อยลงเลย
แค่ผลตรวจมันออกมาว่าท้องมันจบทุกอย่าง แถมแทอิลยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการว่าทำไมเขาถึงท้องได้ยิ่งรู้สึกแย่
“ผู้ชายท้อง..
ไม่เป็นอันตรายใช่ไหมครับ”
ยองโฮกลัวว่าเรื่องมหัศจรรย์ที่คุณหมอว่าจะเป็นอันตรายหรือเปล่า
ถึงหมอจะว่ามันมหัศจรรย์ แต่ในความคิดของทั้งคู่มันก็ยังคงเป็นความผิดปกติอยู่ดี
“ตอนนี้ยังไม่มีอะไรผิดปกตินะครับ
แต่ต้องสังเกตและดูแลตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ยิ่งตอนนี้เพิ่งจะเริ่มตั้งครรภ์ยิ่งต้องระวัง ไม่งั้นจะแท้งได้”
ได้ฟังอย่างนั้นยองโฮก็สบายใจ
พอตรวจเสร็จเรียบร้อยทั้งคู่ก็ออกมาจากห้องตรวจ ยองโฮขอตัวไปเคลียร์ค่ารักษาพยาบาล
เมื่อเดินกลับมา แทอิลเดินก้มหน้าแสดงสีหน้าที่ไม่ดีนัก ยองโฮอยากพูดอะไรให้อีกฝ่ายได้สบายใจ
แต่ก็รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ในเวลานี้ ยิ่งเป็นคำพูดของเขา ก็คงยิ่งทำให้แย่
“บ้านแทอิลอยู่ไหนล่ะ
ฉันจะไปส่ง”
“แถวๆโรงเรียนซองวอน
แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวเรากลับเอง”
“ฉันจะไปส่งนายเอง
สติดูไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแบบนี้ฉันปล่อยนายไปไม่ได้หรอก”
จะให้ปฏิเสธความหวังดีที่ยองโฮมีให้ก็คงไม่มีประโยชน์เพราะมันคงเป็นการปฏิเสธที่ไม่มีความหมาย
แทอิลถึงได้ยอมให้คนที่พามาเป็นคนพากลับไป ทั้งสองแค่เดินไปที่รถอย่างเงียบๆ
ภายในรถก็กลับมาเงียบเหมือนตอนขามา เจ้าของรถอยากจะพูดอะไรหลายอย่าง แต่พอเหลือบไปเห็นสายตาที่ว่างเปล่าของคนข้างๆก็กลืนคำพูดที่อยากเปล่งออกมาลงคอ
เหมือนฟ้าจะเป็นใจ
ช่วยคลายความอึดอัด โทรศัพท์ของคนที่นั่งเบาะข้างคนขับมีสายโทรเข้าพอดี
สายเข้าจากเพื่อนสนิทมากความสามารถที่ทำงานอยู่ค่ายเพลงชื่อดังเหมือนกัน
“ว่าไงตะยง”
(“ยังจะถามอีกว่ายังไง! แกผิดนัดฉันนะมุนแทล!!!”)
“นัด..
โอย.. ขอโทษจริงๆตะยง ตอนแรกตั้งใจจะไป แต่มันมีเรื่องนิดหน่อย เลยไปไม่ได้
เราก็ลืมโทรบอก”
(“เกิดเรื่องอะไรขึ้น
มุนแทอิลผู้ไม่เคยผิดสัญญาถึงได้ไม่มาหาอีแทยงคนนี้ เล่ามาสิ!”)
พอมาเจอเรื่องของเขากับยองโฮทำให้แทอิลลืมเรื่องนัดที่นัดกับแทยงไปเสียสนิท
ทั้งๆที่ความจริงแทยงเป็นคนนัดก่อนด้วยซ้ำ แทอิลไม่เคยผิดสัญญาอะไรกับใคร
ครั้งนี้เป็นครั้งแรก เพื่อนสนิทที่รู้จักนิสัยแทอิลดีย่อมสงสัยว่าเรื่องอะไรที่ทำให้เพื่อนรักของเขาถึงกับผิดนัดได้
แล้วเขาควรจะตอบเพื่อนรักว่าอะไร ถึงจะดูเป็นเรื่องใหญ่ขนาดทำให้ผิดนัดได้
หากบอกว่าต้องไปโรงพยาบาลเพราะป่วย เพื่อนรักต้องมาเยี่ยมที่บ้านแน่ แทอิลยังไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่เขากำลังจะมีลูก
แม้จะเป็นเพื่อนก็ตาม ตอนนี้เขายังไม่พร้อมจะบอกใครทั้งนั้น
“คือ..
ทะเลาะกับแม่น่ะ ก็เลยไม่อยากออกจากบ้าน”
(“อ่าๆงั้นเหรอ
แล้วนี่ปรับความเข้าใจกับแม่ยังเนี่ย”)
“อื้ม
ดีกันแล้วล่ะ แล้วถ้าจะไปตอนนี้ยังทันอยู่ไหม”
(“ไม่ต้องมาแล้ว
เด็กๆกลับกันหมดละ เดี๋ยวมะรืนแกเข้ามาบริษัทค่อยมาดูก็ได้ มาอีกทีวันจันทร์ใช่ป่ะ”)
“อ่าหะ..
อืมๆโอเค.. ขอโทษจริงๆแก ไว้จะไถ่โทษให้อย่างสาสมเลย.. โอเคๆ บ๊ายบายตะยง”
เมื่อคุยจบก็วางสายจากเพื่อนรักไป
ยองโฮไม่ได้จงใจแอบฟังแต่ก็ดันเผลอฟังไปแล้ว เพิ่งจะนึกออกว่าคนข้างๆบอกตนแล้วว่ามีธุระ
แต่พอมาเจอเรื่องระหว่างพวกเขาเลยลืมไปว่าแทอิลต้องไปทำธุระต่อ ถ้าให้เดา
ปลายสายที่แทอิลคุยด้วยก็คือแทยงเพื่อนหน้าหล่อที่เป็นเพื่อนสนิทของแทอิล
เป็นคนที่แทอิลตั้งใจจะไปหา แต่ก็คงไม่ต้องไปแล้ว ไม่เช่นนั้นคงบอกให้เขาไปส่งที่ที่นัดหมายกันแทน
แต่นี่กลับนั่งนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไร ยองโฮอยากจะขอโทษที่ทำให้ผิดนัดแต่ถ้าเขาเอ่ยกล่าวอะไรไปมันก็เหมือนว่าเขาไปแอบฟังแทอิลคุยโทรศัพท์ถึงได้นิ่งเฉยเสียดีกว่า
เมื่อขับรถมาถึงแถวโรงเรียนเก่าของทั้งคู่
แทอิลก็บอกทางไปบ้านของตนต่อ
อยู่ในหมู่บ้านที่อยู่ห่างจากโรงเรียนประมาณหกกิโลเมตร
เป็นหมู่บ้านที่ไม่ใหญ่และไม่ซับซ้อน
เมื่อเข้าทางหมู่บ้านขับรถเข้าไปไม่ไกลก็ถึงบ้านเดี่ยวสองชั้นที่กั้นบริเวณด้านหน้าด้วยรั้วไม้สีน้ำตาลแก่
ซึ่งเป็นบ้านของแทอิล ยองโฮชะลอรถจนหยุดเทียบตรงหน้าบ้านพอดี
“ขอบคุณที่มาส่งนะ”
แทอิลยิ้มไปตามมารยาท
รวมถึงขอบคุณที่ยองโฮมาส่ง และเหมารวมว่ามันคือคำบอกลาไปด้วยในตัว
กล่าวเสร็จก็ทำท่าจะเปิดประตูลงจากรถ แต่ก็ถูกคนมาส่งรั้งไว้เสียก่อนจึงยังไม่ทันได้เปิดประตู
“เดี๋ยวก่อนสิแทอิล
ฉันยังคุยกับนายไม่จบเลย”
อยากจะเอ่ยปากถามไปว่านั่งรถกันมานานสองนานทำไมไม่พูดระหว่างทางมา
แต่ก็ไม่สนิทขนาดจะไปพูดอย่างเสียมารยาทแบบนั้น
“ขอโทรศัพท์มือถือหน่อย
ฉันจะเมมเบอร์ให้”
แม้ไม่อยากจะให้แต่ก็หยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ายื่นให้คนข้างๆ
เหมือนจะมากกว่าการบันทึกเบอร์โทรศัพท์ลงไป ยองโฮรับมือถือแทอิลมากดอยู่นานสองนานแล้วจึงคืนให้กับเจ้าของ
“ฉันเมมเบอร์ฉันไว้ในเครื่องให้เรียบร้อยแล้ว
บันทึกชื่อไว้ว่ายองโฮ ในบันทึกชื่อนอกจากเบอร์ ยังมีที่อยู่ที่ทำงานของฉัน
แล้วก็มีที่อยู่บ้านด้วย ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรหาหรือว่าไปหาฉันที่บ้านได้..
ฉันรู้ว่าแทอิลกังวล แต่ฉันไม่ใช่คนไม่มีความรับผิดชอบ
ฉันจะรับผิดชอบนายกับลูกอย่างแน่นอน”
“อื้ม”
“ภายในสัปดาห์นี้ฉันจะติดต่อนายอีกทีนะ..
ฉันก็.. ไม่มีอะไรจะพูดแล้วล่ะ แทอิลก็.. พักผ่อนให้มากๆนะ”
“นายเองก็อย่าเครียดมากนะยองโฮ”
ยองโฮพยักหน้าให้
แทอิลจึงลงจากรถและเข้าบ้านไป
ลมหายใจที่ถูกเก็บไว้ในปอดเพราะความเกร็งถูกปล่อยออกมาเฮือกใหญ่เมื่อแทอิลลงจากรถ ตั้งสติพักหนึ่งก็ค่อยๆขับรถออกจากบริเวณหน้าบ้านแทอิลไป
มีเรื่องให้คิดและจัดการมากมาย
จะให้ไม่เครียดอย่างที่อีกคนบอกเอาไว้จะทำได้ไหมก็ไม่รู้
----- The Way We
Are -----
พอกลับมาบ้านแทอิลก็ทำตัวเหมือนปกติ
ยังไม่คิดจะบอกเรื่องความผิดปกติของตัวเองกับบิดาและมารดาในตอนนี้เพราะยังไม่พร้อม
พอเสร็จมื้อค่ำก็ขอตัวขึ้นห้องนอนเพราะรู้สึกอ่อนเพลียและใกล้จะหมดแรง
รีบเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำเตรียมตัวจะเข้านอน
เมื่อก้าวขึ้นเตียงก็ตั้งใจจะชาร์จแบตให้กับโทรศัพท์มือถือ
แต่ก็นึกได้ว่ายังไม่ได้เอาออกจากกระเป๋าเลยตั้งแต่เก็บไว้หลังให้ยองโฮบันทึกเบอร์โทรศัพท์
จึงเดินไปที่กระเป๋าซึ่งวางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ
พอเจอโทรศัพท์มือถือก็บังเอิญเจอกับสิ่งที่ไม่อยากเก็บไว้แต่เผลอหยิบใส่กระเป๋ามาด้วย
คือเครื่องตรวจการตั้งครรภ์
แทอิลเดินกลับมายังเตียงนอนพร้อมกับโทรศัพท์มือถือในมือและที่ตรวจการตั้งครรภ์ในมืออีกข้าง
ล้มตัวลงนอนหวังจะหลับตาลงให้เวลาของวันนี้ได้ผ่านพ้นไปแต่กลับไม่เป็นดังหวัง
ไม่รู้เหตุใดสายตาถึงได้มองแต่เครื่องแสดงผลการตรวจที่ขึ้นสองขีดอยู่ได้ไม่ยอมละสายตา
น้ำใสๆไหลออกมาจากดวงตาอีกครั้ง
ความกลัดกลุ้มในสมองมันถ่าโถมเข้ามาให้คิดจนท้อใจพาลส่งผลให้น้ำตาไหลยิ่งกว่าเดิม
ชีวิตจะก้าวเดินต่อไปอย่างไร
คิดไม่ออกเลยสักนิดเดียว
“คุณซล แทลจะทำยังไงดี..”
----- The Way We
Are -----
หนุ่มอายุจะย่างเข้ายี่สิบเก้าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้ายืนยิ้มอยู่หน้าประตูสีขาว
ใช้กุญแจที่ไปขอจากว่าที่พ่อตากับแม่ยายไขปลดล๊อคกลอนประตูห้องนอนของคนรักจนสามารถเปิดประตูเข้าห้องไปได้
คนที่เพิ่งเข้าห้องมาก้าวเดินอย่างเบาเท้า
มุ่งตรงไปยังเตียงที่เจ้าของห้องกำลังนอนหลับใหลไม่รู้เรื่องว่าใครกำลังเข้ามาโดยพลการ
ขึ้นไปนั่งบนเตียงสีขาวอย่างค่อยๆ
พินิจมองใบหน้าของคนรักที่ไม่ได้เจอกันนานเกือบเดือนอย่างโหยหา
เมื่อมองจนพอใจก็เอนตัวลงไปนอนข้างคนรัก
เลื่อนตัวไปใกล้แล้วใช้แขนพาดเอวคนที่นอนไม่ยอมตื่น
“แทล
ตื่นได้แล้ว”
จีฮันซลกระซิบข้างหูของคนรักเบาๆ
คนโดนกระซิบเริ่มจะรู้สึกตัวโดยการขยับไปมา
ดวงตาที่หนักอึ้งเพราะผลพวงจากการร้องไห้เมื่อคืนเริ่มลืมตาขึ้นมา
ใบหน้าสวยหันหน้าไปหาคนต้นเสียงที่นอนอยู่ข้างกาย
ตื่นเช้ามาวันนี้ได้เจอกับแฟนสุดหล่อเป็นคนแรก
คลี่ยิ้มให้ด้วยความดีใจและคิดถึงไปพร้อมกัน
“ตอนนี้แทลคิดถึงคุณซลจนเห็นภาพหลอนเลยเหรอเนี่ย”
“ภาพหลอนหรือตัวจริง
ลองพิสูจน์ดูไหมละ”
“จะพิสูจน์ยังไง”
“มอร์นิ่งคิสแบบหวานฉ่ำกับคุณซลไหมละจ๊ะ
แทลจ๋า~”
ว่าไปก็โน้มใบหน้าเข้าใกล้คนอยากรู้ว่าจะพิสูจน์ให้เชื่อได้ยังไงว่าที่เห็นอยู่ตอนนี้ภาพหลอนเพราะความคิดถึงหรือเป็นตัวจริงเสียงจริง
แทอิลใช้มือที่สอดอยู่ใต้ผ้าห่มกั้นใบหน้าหล่อของฮันซลผลักออกเบาๆ
“ไม่คิส
แทลยังไม่ได้แปรงฟัน”
“ไม่คิสก็ได้.. หอมเลยแล้วกัน!”
พูดจบก็รีบชิงหอมแก้มก่อนจะโดนแทอิลห้าม
แต่ถ้าฮันซลจะขอหอมจริงๆก็คงไม่ห้าม ด้วยความรักและคิดถึงหลังจากห่างกันนาน
จะขอกอดหรือหอมแก้ม ก็ไม่ปฏิเสธ
“ไหนคุณซลบอกแทลว่าจะกลับวันเสาร์”
“ก็อยากรีบกลับมาหาแทล
เซอร์ไพรส์!”
“โกหกหรือเปล่า
บอกความจริงมาซะดีๆ ทำไมกลับก่อนกำหนด”
“พูดจริงๆ
ที่รีบกลับมานี่เพราะคิดถึงแทลจริงๆ คิดถึงแทบขาดใจ”
ถ้าไม่ติดว่าคบกันมานานตั้งสามปี
แทอิลคงไม่อยากจะเชื่อคนหล่อแบบที่คุณซลของเขาที่บอกว่าคิดถึง คนหล่อน่ะเจ้าชู้ ลมปากไม่น่าเชื่อถือ
แต่คุณฮันซลเคยมองใครอื่นนอกจากแทอิลที่ไหน เถลไถลอื่นไกลไม่เคยมี
อย่างนี้ที่บอกว่าคิดถึงจะยอมเชื่อก็ได้ เขาเองไม่ใช่ว่าไม่คิดถึงคุณฮันซลเสียเมื่อไร
คิดถึงไม่แพ้กัน เมื่อคืนก่อนนอนก็ยังคิดถึงอยู่เลย
“รีบไปอาบน้ำได้แล้วแทล
นี่คุณซลหิวข้าวเช้าจะแย่ กะมาฝากท้องไว้กับคุณพ่อตากับคุณแม่ยายเลยเนี่ย”
“โอเค
แทลจะรีบอาบน้ำนะ คุณซลลงไปรอข้างล่างก็ได้
แต่ถ้าจะนั่งรอบนห้องก็เก็บที่นอนให้ด้วยนะ ฮ่าฮ่า”
แทอิลยันเตียงแล้วลุกขึ้นอย่างขี้เกียจหน่อยๆ
รีบเดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวที่ตากไว้ ออกจากห้องไปยังห้องน้ำเพื่อทำภารกิจส่วนตัว
ฮันซลค่อยลุกจากเตียงเมื่อเจ้าของห้องเดินออกจากห้องไปพักหนึ่ง
ลุกขึ้นมาช่วยเก็บที่นอนของแทอิลให้เป็นระเบียบ มือตบๆหมอนให้ฟูน่านอน
แล้วดึงผ้าห่มออกเพื่อจะพับเก็บ ตอนที่ดึงผ้าห่มออกจากเตียง
ได้ยินเสียงเหมือนของบางอย่างตกลงจากเตียงลงสู่พื้น ฮันซลจึงหยุดที่จะพับผ้าห่มชั่วคราว
ก้มลงมองหาของที่ตกตรงพื้นบริเวณรอบเตียงก็เจออย่างง่ายดายเพราะอยู่ใกล้กับปลายเท้า
แต่เมื่อหยิบขึ้นมาก็ต้องชะงัก
ของที่เขาไม่เคยใช้แต่ก็รู้จักมันเพราะเคยเห็นอยู่บ้างในโทรทัศน์
และไม่คิดว่าจะเห็นของสิ่งนี้ตกอยู่ในห้องของแฟนที่น่ารักของตน ทำไมแทลของเขาถึงมีของสิ่งนี้ได้?
ทำไมเครื่องตรวจการตั้งครรภ์ถึงมาอยู่กับแทอิลได้? ยิ่งเห็นว่าช่องแสดงผลขึ้นเป็นสองขีดที่แสดงว่ากำลังตั้งครรภ์ยิ่งทำให้ใจเต้นแรงเข้าไปอีก
นี่มันเป็นผลตรวจของใครกัน?
ระหว่างที่เขาไม่อยู่เกาหลี
แทอิลไปทำอะไรไว้หรือเปล่านะ ปิดบังอะไรเขาอยู่หรือเปล่า
----- The Way We
Are -----
ฮันซลลงมานั่งคุยกับคุณพ่อและคุณแม่ของแทอิลได้พักหนึ่ง
แทอิลก็ลงมาหลังอาบน้ำเสร็จ จึงได้เริ่มรับประทานอาหารเช้ากัน เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จ
คุณพ่อและแม่ของแทอิลก็ออกไปทำธุระนอกบ้าน ในบ้านจึงมีเพียงแค่สองคนที่อยู่ ซึ่งมันก็ถือว่าดีที่จะได้อยู่กันสองคน
“คุณซลซื้อของมาฝากแทลด้วยนะ
โอยย แพงมาก ไม่อยากซื้อมาเล้ยยย แต่กลัวคนน่ารักแถวนี้จะน้อยใจ”
“คุณซลไปต่างประเทศตั้งกี่รอบ
ซื้อของมาฝากแทลตั้งเท่าไรแล้ว จะไปน้อยใจได้ยังไง.. แต่นี่ไปถึงฝรั่งเศสนะ
ถ้าของฝากไม่ใช่หอไอเฟลละก็นะ..”
ฟังแล้วก็ขำกับคำพูดน่ารักๆของแทอิล
ฮันซลยื่นถุงกระดาษที่มีตราสัญลักษณ์ของแบรนด์สินค้าชื่อดังที่มีต้นกำเนิดจากฝรั่งเศส
ถิ่นที่ฮันซลไปเหยียบมา แทอิลเปิดถุงกระดาษดูก็พบกล่องผูกโบว์สวย
เปิดดูในกล่องก็พบว่าเป็นน้ำหอมในตำนานที่ใครต่างก็รู้จัก และหากชื่นชอบในน้ำหอมจะต้องมีไว้ครอบครองสักขวด
สีหน้าแทอิลยิ้มชอบใจกับของฝากจากปารีสเป็นที่สุด
“พอจะทดแทนหอไอเฟลได้ไหม
แทลแทล”
“ได้อยู่แล้ว..
แทลชอบนะ แต่ว่าเกรงใจอ่ะ มันแพงมากเลยไม่ใช่เหรอ”
“แทลก็รู้ว่าเงินเดือนคุณซลซื้อของแค่นี้มันไม่เท่าไรหรอก
แล้วอีกอย่าง ถ้าเทียบราคาน้ำหอมขวดนี้กับความรักที่คุณซลมีให้แทลเนี่ยนะ
น้ำหอมราคามันน่าจะถูกกว่ากันเยอะ เพราะความรักของคุณซลที่ให้แทลมันแพงมากมายมหาศาลจนตีค่าเป็นเงินไม่ได้เลย
รักของคุณซลมีค่ามากเลยนะ รู้หรือเปล่า”
“แทลรักคุณซลนะ”
แทอิลเอนตัวเข้ากอดฮันซล ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งมั่นใจว่าคนที่กอดรักตนไม่เปลี่ยนแปลง
แต่นับต่อจากนี้มันอาจจะแปลงเปลี่ยนไป จะต้องบอกคุณฮันซลอย่างไรดีว่าเขากำลังจะมีลูก
เขาจะเป็นทั้งพ่อและแม่ในคราวเดียวกัน และยังมีคนอีกคนที่เป็นพ่อแท้จริงของเด็กในท้อง
คนที่ไม่ใช่จีฮันซล
คุณฮันซลจะรับได้ไหมว่าเขามีความสัมพันธ์กับคนอื่น
แม้จะเป็นทางกายไม่ใช่ทางใจ จะรับได้ไหมว่าความจริงแล้วเขาผิดปกติ
ที่สามารถท้องได้ทั้งที่ไม่ใช่ผู้หญิง รู้ว่ายังไงคุณฮันซลก็ต้องรู้เรื่อง
แต่ควรจะบอกให้คุณซลรับรู้จากปากของเขาเอง หรือควรจะปล่อยให้รู้เองแม้แทอิลจะไม่ได้บอกดีคือสิ่งที่ลังเล
“ไหนลองดมน้ำหอมสิ
ว่ากลิ่นเป็นยังไง ถูกใจไหม”
กอดกันนานจนเกือบจะลืมของฝากจากต่างประเทศ
ฮันซลหยิบขวดน้ำหอมมาเปิดฝาชวนให้แทอิลดมกลิ่น แม้ปากขวดจะไม่ได้อยู่ติดจมูกแทอิล
แต่ก็รู้สึกได้ว่ากลิ่นมันไม่น่าพิสมัยเสียเท่าไร เขารู้สึกเหมือนจะคลื่นไส้อย่างไรอย่างนั้น
แทอิลกำลังจะรับขวดน้ำหอมมาจากมือฮันซล หวังจะตั้งใจดมให้มากกว่าเดิม
แต่เหมือนอาหารในท้องที่เพิ่งจะกินเข้าไปจะขย้อนออกมา ยังไม่ทันจะรับน้ำหอมมาก็รีบปล่อยมือจากขวด
โชคดีที่ฮันซลยังไม่ได้ปล่อยมือจากขวดน้ำหอมทำให้ไม่ตกแตก ฮันซลรีบปิดฝาขวดน้ำหอมแล้ววางลงบนโต๊ะทันที
“เป็นอะไรหรือเปล่าแทล
กลิ่นไม่ถูกใจเหรอ”
“ปะ..เปล่าคุณซล
เมื่อกี๊แทลคงกินเยอะไปหน่อย กลิ่นน้ำหอมมันคงเข้าไปปั่นป่วนน่ะ”
“แล้วกลิ่นเป็นไง
สรุปว่าชอบหรือเปล่า”
“ชอบอยู่แล้ว
กลิ่นหอมมาก ขอบคุณนะคุณซล”
แทอิลทำเป็นหยิบน้ำหอมมาดมอีกครั้ง
ทั้งที่ความจริงกลั้นหายใจอยู่ทุกครั้งที่ได้กลิ่น นั่งสนใจของฝากกันอยู่พักหนึ่ง
ฮันซลก็ถามไถ่ถึงความเป็นอยู่ของคนรักในช่วงที่ตนไปทำงานต่างประเทศ
แม้ปัจจุบันจะไม่ต้องเสียค่าโทรศัพท์คุยกันให้เปลืองเงิน
ใช้การสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไร้พรมแดนก็ได้ แต่เวลาของโซลและปารีสต่างกันนัก
ตอนคนอยู่ปารีสทำงานอีกคนที่โซลก็เข้านอน พออีกคนที่ปารีสจะนอนอีกคนโซลก็ทำงาน
จึงไม่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไร ในทีแรกแทอิลก็พูดคุยเล่าเรื่องทำอัลบั้มใหม่ให้กับนักร้องสาวในค่าย
แต่พอผ่านไปพักหนึ่งก็กลายเป็นว่าเสียงที่เจื้อยแจ้วเล่านั้นกลับเบาลงจนเงียบไป
คนหน้าหวานเผลอพิงไหล่แฟนหนุ่มที่มาหาที่บ้าน หลับไปเป็นที่เรียบร้อย ฮันซลจึงค่อยๆเอามือประคองศีรษะแทอิลออก
ตัวก็ลุกขึ้นแล้วค่อยๆวางศีรษะแทอิลลงกับโซฟา จัดท่านอนให้แทลของเขานอนสบาย
ฮันซลรู้สึกผิดหวังอยู่หน่อย
เขาเพิ่งจะมาถึงโซลเมื่อตอนเกือบตีห้า พอมาถึงก็รีบกลับไปบ้านของตน ไปเก็บของกับนอนพักสองชั่วโมงก็รีบมาบ้านแทอิลที่เขาคิดถึงแทบขาดใจ
ความจริงวันนี้เป็นวันทำงานของแทอิล ถึงได้รีบมาหา
พอมาถึงก็ได้รู้จากคุณพ่อของแฟนที่น่ารักว่าแฟนได้หยุดหนึ่งสัปดาห์
วันนี้หยุดวันสุดท้ายเสียด้วย ก็ยิ่งดีใจใหญ่กะจะพาออกไปเดทกันสองต่อสอง แต่แทอิลกลับหลับไปแล้ว
เขาไม่กล้าจะปลุกเพราะเห็นว่าเรื่องของคนจะหลับ ไปปลุกคงไม่ดีจึงต้องปล่อยให้นอนไป
ส่วนตัวเองก็ได้แต่นั่งมองหน้าหวานของคนรักที่หลับตาพริ้ม
ทั้งๆที่แทอิลเพิ่งจะลุกจากที่นอนมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วเอง
ทำไมถึงยังง่วงนอนอีกได้ หรือว่าเมื่อคืนแทลของเขานอนไม่หลับ?
มันจะเกี่ยวกับของที่เขาเจอบนเตียงหรือเปล่า อยากถามให้หายสงสัย ให้หายคิดมาก
แต่ถ้าเกิดว่าถามไปแล้วเขาเกิดไม่เชื่อว่าที่แทอิลพูดเป็นความจริง
จะทำให้พาลหัวเสียโกรธไปเปล่าๆ
เขาอาจจะคิดมากไปเองก็ได้..
ได้แต่คิดแบบนั้น
----- The Way We
Are -----
แทอิลรู้สึกหลับจนเต็มอิ่ม
ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ไม่เห็นคุณซลของตนอยู่ใกล้ๆ
จำได้ว่าตอนก่อนหน้าที่จะหลับไปยังนั่งคุยกันอยู่
แต่แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังมาจากไหนสักแห่งในบ้าน ซึ่งน่าจะเป็นห้องครัว
จึงเดินไปยังที่มาของเสียง
เห็นว่าคนรักของตนกำลังนั่งคุยกับบิดาและมารดาอยู่อย่างสนุกสนาน
“นั่นไงคุณฮันซล
แทลของเราตื่นแล้ว”
พอแทอิลเดินเข้ามาในครัวแม่ก็ทักเข้าให้
ฮันซลหันมายิ้ม ทั้งยังลุกขึ้นมาดึงเก้าอี้ที่สอดอยู่ใต้โต๊ะออกมาเพื่อให้ลูกชายหน้าหวานของเจ้าของบ้านได้นั่ง
“แย่จริงๆเลยแทล
คุณฮันซลเขาอุตส่าห์มาหา มาหลับได้ยังไง”
“ก็คนมันง่วงนี่ครับแม่”
พูดไปก็ทำท่าเหมือนจะหาววอดออกมา
แต่ก็เกรงใจฮันซลถึงได้เลือกจะยิ้มให้แทนที่จะแสดงอาการหาวออกมา
“วันนี้เราออกไปกินข้าวนอกบ้านกันดีไหมครับ
แถวบ้านผมมีร้านอาหารไทยเปิดใหม่ คุณพ่อกับคุณแม่น่าจะชอบ”
ฮันซลเห็นว่าวันนี้อีกครอบครัวหนึ่งของเขาอยู่บ้านกันพร้อมหน้าพร้อมตา
มีความคิดอยากจะพาทั้งสามคนออกไปกินข้าวด้วยกัน เขาไม่ค่อยได้มาเยี่ยมพ่อกับแม่ของแทอิลสักเท่าไร
คะแนนจะตกหรือเปล่าก็ไม่รู้ วันนี้มีโอกาสต้องเร่งทำคะแนนอย่าให้ตก ไม่เช่นนั้นเดือนหน้า
พ่อกับแม่ของแทลของเขาอาจจะไม่ยกลูกชายให้เขาก็ได้
“คุณฮันซลไปกับแทลสองคนเถอะ
ไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคนมาตั้งเกือบเดือน อยากอยู่กันสองต่อสอง พ่อรู้หรอกน่า”
ชายผู้เป็นบิดาของแทอิลเอ่ยปากแซว
คนโดนแซวทั้งคู่ถึงกับอาย แม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรก
แต่ก็ยังเขินอายในทุกครั้งที่พ่อพูดแบบนี้
“ถ้างั้นก็ขอพาลูกชายที่น่ารักของคุณพ่อกับคุณแม่ออกไปกินอาหารมื้อเย็นหน่อยแล้วกันนะครับ”
----- The Way We
Are -----
เมื่อแทอิลล้างหน้าเปลี่ยนชุดออกจากบ้านเสร็จ
ทั้งคู่ก็นั่งรถออกมาจากบ้านเพื่อจะไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน
ฮันซลหันมามองคุณแฟนที่นั่งเบาะข้างระหว่างขับรถเหมือนว่าคนที่เพิ่งจะตื่นไม่นานกำลังจะหลับตาลงอีกครั้ง
จึงเอื้อมไปเปิดวิทยุในรถให้ส่งเสียงสร้างความรำคาญให้กับคนกำลังจะหลับ
จะได้ไม่ต้องหลับอีก ไม่ใช่อยากจะแกล้งหรือฝืนบังคับให้อีกคนต้องตื่น
แต่เห็นว่าแทอิลหลับมาเพียงพอแล้ว เขาอยากจะนั่งคุยกับแฟนบ้างสิ
“แทล
เราไม่สบายอะไรหรือเปล่า คุณซลเห็นเราเอาแต่จะนอนท่าเดียว
เมื่อครู่คุยกับพ่อแม่แทล ท่านบอกว่าช่วงนี้แทลนอนเกือบจะทั้งวันเลย”
อดจะห่วงแทอิลไม่ได้จริงๆ
แทลของเขารักในงานโปรดิวเซอร์มาก จึงได้หักโหมกับงานมากเพราะความรักในสิ่งนั้น
แต่หลายครั้งมันทำให้แทอิลไม่ได้นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ ร่างกายมันก็มีขีดจำกัด
ไม่รู้คราวนี้หักโหมมากขนาดไหนถึงได้เอาแต่นอนทั้งวัน
“พักผ่อนน้อยสะสมละมั้งคุณซล
ไม่ได้เป็นอะไรหรอก”
แทอิลได้แต่ปัดเกี่ยงเหตุผลไปให้กับพฤติกรรมที่ไม่ดีของตนที่ฮันซลก็รู้ว่าตนชอบทำบ่อยๆ
แม้แท้จริงจะพอเดาออกว่าเหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไร
ไม่ใช่เพราะพักผ่อนน้อยอย่างที่ว่า ก่อนหน้านี้เขาพักผ่อนน้อยก็จริง
แต่มันก็คงไม่ส่งผลเป็นสัปดาห์ขนาดนี้ แค่นอนหลับพักผ่อนกินอาหารให้ครบสองสามวันก็หาย
ที่เป็นเช่นนี้ก็อาจเพราะสิ่งมีชีวิตในท้องของเขากำลังแย่งพลังงานไปจนเกือบหมด
แทอิลไม่ได้มีพลังงานเหลือเฟือไว้ใช้คนเดียวเหมือนเมื่อก่อน
ตอนนี้ยังมีอีกหนึ่งชีวิตที่ร่างกายเขาต้องแบ่งปันทุกสิ่งอย่างให้
“ไหนๆก็ว่างแล้ว
ก่อนไปกินข้าว แวะไปหาหมอที่โรงบาลก่อนดีกว่ามั้ง คุณซลเป็นห่วงจริงๆนะ”
“ไม่เอาน่าคุณซล
แทลไม่เป็นอะไรมากจริงๆ”
“รู้ได้ไง
หืม? แทลของคุณซลไม่ได้เป็นโปรดิวเซอร์แต่เป็นหมอแล้วเหรอ?”
“กะ..ก็..
เมื่อวานแทลเพิ่งจะไปหาหมอมา หมอเขาก็บอกว่าแทลพักผ่อนน้อยไปนั่นแหละ
เขาถึงได้ให้พักผ่อนมากๆ นอนเยอะๆ จะได้หายไวๆไง”
พอแทอิลบอกอย่างนั้นฮันซลก็ล้มเลิกความคิดจะพาแฟนขี้เซาไปโรงพยาบาล
โชคดีที่ฮันซลเชื่อว่าเป็นเพราะพักผ่อนน้อย โชคดีที่ฮันซลจะไม่พาเขาไปโรงพยาบาล
ไม่งั้นคุณซลต้องรู้ความจริงๆแน่ สักวันยังไงก็ต้องรู้
แต่จะให้มารู้อย่างกะทันหันแบบนี้เขาก็ยังไม่พร้อมบอก ฮันซลเองก็คงไม่พร้อมจะฟัง
ถึงตอนนั้นที่บอกความจริง
แม้จะเกิดอะไรขึ้นมุนแทอิลจะยอมรับมันทุกอย่าง ต่อให้ต้องเสียคนรักไปก็ตาม
แต่เขาจะไม่มีวันทำลายชีวิตเด็กคนหนึ่งที่กำลังจะเกิดมา หากจะต้องทำร้ายเด็กคนนี้
เขาคงรู้สึกผิดมากกว่าการที่สามารถรั้งให้คุณฮันซลอยู่กับเขาได้แต่ลูกของเขาในอนาคตจะต้องจากไป
----- The Way We
Are -----
ยองโฮตั้งใจจะบอกกับครอบครัวเรื่องของแทอิล
แต่เหมือนฟ้าจะยังไม่เป็นใจ เตนล์ผู้เป็นคนรักโทรมาหาเสียก่อน
บอกว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าจะบินมาเกาหลี อยากให้ไปรับที่สนามบิน ยองโฮจึงหยุดเรื่องที่จะพูดคุยกับครอบครัวเอาไว้
ก่อนที่เขาจะบอกครอบครัว เขาควรจะตัดสินใจเรื่องนี้กับเตนล์เสียก่อน เตนล์..
คนที่เขารักที่สุด เขาจึงคิดว่าควรให้เกียรติกับเตนล์ได้รู้เรื่องก่อน
แม้เรื่องที่เขาทำไปจะถือว่าทำให้คนรักของเขาเสียเกียรติมากไปแล้วก็ตาม
พอเลิกงานของตัวเองก็รีบไปสนามบินทันที
พอไปถึงเครื่องที่ดาราหนุ่มบินกลับมาก็ลงจอดพอดี ยองโฮทำตัวเหมือนแฟนคลับที่สนามบิน
ไปยืนรอติดตรงบริเวณทางออก ไม่นานนักก็เห็นแฟนหนุ่มตัวเล็กของเขาใส่เสื้อยืดตัวอักษร
T ที่เขาเป็นคนซื้อให้ ก็ทำให้เห็นได้ทันทีว่าเตนล์มาถึงแล้วจริงๆ
ยองโฮเดินเข้าไปหาแล้วช่วยเข็นกระเป๋าของแฟนหนุ่มคนดังอย่างที่เคยทำ
“น่าจะโทรบอกล่วงหน้าสักหน่อยนะครับว่าจะกลับ
มาบอกเอาวันกลับแบบนี้เกือบมารับไม่ทัน”
“นี่ก็อุตส่าห์โทรบอกก่อนเครื่องจะออกแล้ว
ไม่โทรบอกตอนมาถึงก็ดีแค่ไหนแล้วพี่ยองโฮ”
“ครับๆ
ไม่บ่นแล้วครับคุณชิตพล”
เตนล์ยิ้มกว้างกับความว่าง่ายของแฟนรุ่นพี่ตัวสูง
ระหว่างทางเดินไปที่รถก็มีคนเข้ามาขอถ่ายรูปและขอลายเซ็นกับเตนล์มากมาย แต่ยองโฮก็หยุดยืนรอไม่มีบ่นหรือมีท่าทีเบื่อหน่าย
มีเสียงกระซิบให้ได้ยินว่าทั้งคู่ดูเหมาะสมกันมากขนาดไหนก็ยิ่งทำให้ยองโฮรู้สึกผิดกับเตนล์มากเท่านั้น
เมื่อถึงรถของยองโฮ
เตนล์ก็เป็นฝ่ายเอากระเป๋าขึ้นรถเอง ให้ยองโฮไปสตาร์ทเครื่องรอจะได้ไม่เสียเวลา เมื่อเก็บกระเป๋าใส่รถเสร็จดาราหนุ่มจึงขึ้นไปนั่งเบาะข้างคนขับ
เมื่อพร้อมรถจึงออกจากลานจอดรถ
“จะกลับบ้านเลยหรือว่าจะไปไหนก่อนหรือเปล่า”
“ขับรถไปเรื่อยๆก่อนได้ไหมอ่ะ
ผมอยากนั่งรถเล่น”
การที่บอกให้ขับไปเรื่อยๆนั้นยองโฮรู้ดีว่าเตนล์หมายถึงให้ขับไปที่ไหน
ยองโฮจึงค่อยๆขับไปอย่างช้าๆไม่เร่งรีบ ขับด้วยอัตราเร็วที่ช้ากว่าปกติเพื่อให้แฟนของเขานั่งสบาย
“ทำไมกลับเกาหลีกะทันหันจังล่ะเตนล์”
“มีงานด่วนก็เลยต้องรีบมา
ขอโทษด้วยนะที่จู่ๆก็บอกจะให้มารับ ช่วงนี้พี่ยองโฮคงยุ่งมากแน่เลย”
พอพูดจบก็เงียบไปกันอีกครั้ง
ปกติระหว่างนั่งรถจะต้องนั่งคุยกัน
แต่วันนี้กลับแปลกไปเพราะไร้ซึ่งเสียงพูดคุยไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งที่ไม่ได้เจอกันมานานพอสมควร
ไม่มีเรื่องที่โกรธเคืองกัน
“เตนล์
พี่มีเรื่องอยากคุยด้วย”
“เป็นคำพูดที่น่ากลัวสำหรับผมจัง
ว่าแต่มีอะไรเหรอพี่ยองโฮ”
คนเริ่มประเด็นยังไม่ได้พูดอะไร
แต่เปิดไฟเลี้ยวเพื่อเปลี่ยนเลนส์ในการขับรถจากเลนส์กลางไปยังริมขวาสุด
ค่อยๆลงระดับความเร็วลงจนรถหยุดในที่สุด สีหน้าของยองโฮดูไม่ดีจนเตนล์แอบหวั่นใจ
ฝ่ายหนึ่งอยากพูดและอีกฝ่ายรอจะรับฟังด้วยหัวใจที่เต้นรัว
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า
ถึงกับต้องจอดรถคุย”
“คือพี่มีเรื่องจะสารภาพ
มันไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แต่ว่าเตนล์ต้องรู้”
มันลำบากใจที่จะพูด
ยากที่จะพูดยิ่งนัก แต่ยองโฮก็ต้องพูดมันออกมาก่อนที่จะสายเกินไป
เขาต้องรีบจัดการทุกอย่างให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตอนนี้ก็รู้สึกว่ามันเกือบจะสายไป แต่ช้าแค่ไหนก็ต้องรับผิดชอบ
“พี่ทำคนๆนึงท้อง”
ใจของเตนล์เต้นแรงเสียจนแทบจะระเบิดออกมา
ไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนรักที่แสนดีของเขาจะมีเรื่องราวเช่นนี้ได้ เพราะยองโฮไม่เคยมีเรื่องเสียหาย
มีแต่เรื่องที่จะทำให้เขารู้สึกว่าเขาช่างเป็นคนที่โชคดีเสมอที่ได้คบหากับผู้ชายคนนี้
ในใจของเตนล์มันรู้สึกหนาวเย็นและร้อนรุ่มไปพร้อมกัน แต่เตนล์ไม่ใช่คนใจร้อน
เขาเป็นคนใจเย็นและพร้อมจะรับฟังคนรักเสมอ
“เรื่องมันเป็นยังไงพี่ยองโฮ”
“...”
“พี่ยองโฮบอกผมที
ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“เมื่อสองเดือนก่อนมีงานเลี้ยงรุ่นสมัยมัธยม
คืนนั้นพี่เมามาก แล้วเขาก็เมามาก เราสองคนก็เลย.. มีอะไรกันโดยไม่รู้ตัว พี่เพิ่งจะรู้ว่า..
เขาท้อง เมื่อสองสามวันก่อน”
ยองโฮยอมรับผิดทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง
สีหน้าคล้ายจะร้องไห้ออกมา มือเรียวเล็กของเตนล์บีบไหล่คนรักให้คลายความกังวล
แม้จะผิดหวังในตัวพี่ยองโฮอยู่บ้าง ไม่สิ เขาคงต้องยอมรับว่าผิดหวังมาก อยากจะโกรธ
โกรธจนอยากจะระบายออกมา แต่ไม่รู้จะแสดงมันออกมายังไง มันช็อคเกินกว่าจะควบคุมความคิดหรือการแสดงออก
ในเมื่อเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะความไม่มีสติของคนทั้งคู่ จะโทษคนรักของตนฝ่ายเดียวก็ไม่ได้
แม้ไม่รู้ว่ามันจะจริงเท็จแค่ไหนสำหรับคำพูดที่ว่า ‘เมาไม่รู้ตัว’
แต่ถ้าซอยองโฮจะพูดแบบนั้น จะเล่าแบบนี้ เตนล์ก็จะเชื่อคนรักที่ไม่เคยหลอกลวงอะไรเขาแม้แต่อย่างเดียว
“แล้วพี่จะทำยังไงต่อ”
“พี่จะรับผิดชอบเขาครับ
พี่คงให้เขาเลี้ยงลูกคนเดียวไม่ได้
มันเป็นเรื่องเดียวที่พี่คิดว่าพี่จะทำได้ดีที่สุดแล้วเตนล์
เตนล์จะโกรธหรือเกลียดพี่ก็ได้ แต่พี่อยากจะรับผิดชอบในสิ่งที่พี่เองก็มีส่วนผิด”
เขารู้ว่าที่ยองโฮพูดหมายความว่าอย่างไรในเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับยองโฮ
ต่อจากนี้มันคงจะเป็นอย่างเดิมไม่ได้ คงเป็นคู่รักที่ใครๆต่างก็อิจฉาไม่ได้อีกแล้ว
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่ากับความคิดของยองโฮ
เตนล์เข้าใจและเคารพการตัดสินใจของคนรักรุ่นพี่เสมอ คนรักของเขามีวุฒิภาวะมากพอที่จะตัดสินใจเรื่องตัวเอง
“ตัดสินใจถูกแล้วล่ะครับ
ตัดสินใจได้ดีแล้ว”
เตนล์คงพูดได้แค่นี้จริงๆ
มันคงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าความรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง จะให้อยู่ด้วยกันต่อไป
จะรั้งอีกฝ่ายไว้ยังไงความรู้สึกมันก็คงเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว
ต่อให้จะยังรักยังไง ความผิดหวังต่อพี่ยองโฮของเขามันก็ก่อตัวขึ้นไปแล้ว
สำหรับเรื่องแบบนี้ ไม่รู้จะรู้สึกยังไงแล้วจริงๆ
“โกรธพี่ไหมครับ
เกลียดพี่หรือเปล่า”
“ไม่เกลียดครับ
ผมควรจะดีใจที่พี่ยองโฮจะรับผิดชอบเขา ถ้าพี่ยองโฮปิดบังผมไปมากกว่านี้
แล้วไม่ยอมที่จะรับผิดชอบคนที่กำลังจะมีลูกกับพี่ นั่นสิครับ ที่จะทำให้ผมอยากโกรธแล้วก็เกลียดมากกว่า”
“เตนล์เข้าใจพี่ใช่ไหม”
ซอยองโฮอยากจะหลั่งน้ำตาให้กับผู้ชายที่นั่งข้างๆเขาตอนนี้
ผู้ชายที่งดงามทั้งใบหน้าและจิตใจ ทั้งๆที่เขากำลังจะทรยศต่อความรักที่เตนล์มีให้
แต่ก็เข้าใจและไม่คิดโกรธ ทั้งในตอนนี้ยังยิ้มให้เขาได้แม้ควรจะแสดงว่าคนรักของเขาเจ็บปวดมากเพียงใดกับเรื่องนี้
“เตนล์จะทำอะไรพี่ก็ได้
จะต่อยจะตีพี่ยังไงก็ได้
เอาให้เตนล์รู้สึกว่าพี่สมควรที่จะเจ็บปวดกับการกระทำของพี่ที่ทำแบบนี้กับเตนล์”
“ถ้างั้น..
ผมเป็นคนขอบอกเลิกพี่ได้ไหม”
“ครับ ได้สิ”
“เรา..
เราเลิกกันเถอะพี่ยองโฮ”
น้ำตาที่กลั้นไว้
สุดท้ายในเมื่อมันไม่ไหวเตนล์ก็คงไม่ฝืนต่อ
น้ำใสๆไหลรินออกมาจากนัยน์ตาหวานทั้งสองข้างที่แปรเปลี่ยนมาเป็นนัยน์ตาเศร้า
บทบาททางการแสดงที่เคยได้รับแม้บทของมันจะเลวร้ายแค่ไหน จะเป็นบทที่ทุกข์ใจเพียงใด
แต่มันก็ไม่เท่ากับความจริงตอนนี้เลย
อยากภาวนาให้มันเป็นแค่บทละครที่ทำให้รู้สึกอิน
แต่คงต้องยอมรับว่ามันคือความจริงของหัวใจชิตพลแล้ว
“ผู้หญิงที่จะได้พี่ยองโฮไปเป็นพ่อของลูกโชคดีมากเลยนะเนี่ย
อยากรู้จังว่าเป็นใครกัน เป็นเพื่อนสมัยเรียนใช่ไหมครับ
ถ้างั้นคงต้องไปสืบกับวินวินหน่อยแล้ว”
ลืมคิดเรื่องนี้ไปสนิท
ถ้าเขาบอกเรื่องนี้กับเตนล์ ซึ่งเตนล์สนิทก็สนิทกับวินวินเพื่อนเขา
แสดงว่าเพื่อนเขาก็จะต้องรู้เรื่องนี้ด้วยสิ ความจริงที่ว่าวินวินรู้มันไม่เท่าไร
ถ้าจะขอให้เพื่อนคนนี้ไม่พูดก็คงจะเก็บเป็นความลับได้
แต่ยังไงเสียยองโฮก็ต้องบอกกับครอบครัวเรื่องแทอิล
ถ้าเซฮุนหรือจงอินไปที่บ้านคงต้องรู้เรื่อง คงเป็นเรื่องใหญ่แน่
“เตนล์ครับ
พี่มีเรื่องจะขอร้องอีกเรื่อง”
“ครับ?”
“คือ..
เรื่องนี้พี่ยังไม่ได้บอกพวกวินวิน เตนล์อย่าเพิ่งบอกหรือถามเกี่ยวกับเรื่องของพี่กับพวกเขานะครับ
ไว้พี่จะบอกพวกนั้นเอง ตอนนี้เรื่องมันยังไม่ค่อยเรียบร้อย
ถ้าบอกไปมันอาจจะจัดการยาก”
“ครับ
จะเก็บไว้เป็นความลับให้ก่อนนะ”
เมื่อเข้าใจกันแล้วยองโฮก็รู้สึกโล่งใจไปบ้างที่จัดการเรื่องไปได้ส่วนหนึ่ง
เขาอยากจะกอดเตนล์เป็นครั้งสุดท้ายด้วยความรักและความรู้สึกรัก
แต่เขาไม่กล้าพอที่จะทำ และไม่กล้าขอจะได้รับอ้อมกอดนั้นแบบที่เคยทำอย่างในวันวาน
สองปีที่คบกันอย่างคนรัก กอดตลอดสองปีนั้นคงมากพอแล้ว
ทั้งคู่คงไม่ใช่คนที่เกิดมาคู่กันอย่างแท้จริง
แต่ในสักวัน ในวันหนึ่งเตนล์คงได้ครองรักกับคนที่รักและพร้อมจะปกป้องและอยู่เคียงข้างไปตลอดชีวิตแทนเขา
คนที่ดีและคู่ควรกับผู้ชายที่มีจิตใจงดงามอย่างเตนล์
----- The Way We
Are -----
เมื่อพูดคุยเรื่องของตนกับเตนล์เสร็จ
เตนล์ก็ตัดสินใจได้ว่าจะกลับบ้านของตนเลย แม้ในทีแรกตั้งใจอยากจะไปนั่งรถเล่น
รู้ว่ายองโฮคงเหนื่อยและมีเรื่องต้องจัดการอีกมาก จึงขอให้ยองโฮไปส่งที่บ้าน
ก่อนจะแยกจากกันก็มีรอยยิ้มให้และคำให้กำลังใจให้กันและกัน
ก่อนที่ยองโฮจะออกจากบ้านเตนล์กลับมายังบ้านตน
พอกลับถึงที่บ้านตระกูลซอ
อาหารมื้อเย็นก็กำลังตั้งโต๊ะพอดี ปกติต้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะลงมาทานอาหารเย็น
แต่วันนี้กลับมาช้าแล้ว ยองโฮจึงแค่ทำความสะอาดมือ แล้วจึงเดินมาร่วมโต๊ะอาหารเลย
ตอนนี้คงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะบอกกับครอบครัว
เพราะเป็นเวลาที่ทุกคนอยู่กันอย่างพร้อมหน้า
“เอ่อ..
ทุกคนครับ”
หลังอาหารมื้อเย็นเริ่มไปได้สักพัก
ยองโฮจึงตัดสินใจที่เปิดปากคุยเรื่องของตัวเอง บุคคลที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารทั้งสี่คน
ไม่ว่าจะเป็นบิดา มารดา พี่ชาย
และพี่สะใภ้ของยองโฮต่างก็ให้ความสนใจในเรื่องที่ยองโฮกำลังจะพูด
“มีอะไรหรือเปล่ายองโฮ
หน้าเครียดเชียว”
“คือ..
ผมจะแต่งงานครับ”
สิ้นเสียงของยองโฮ
เสียงช้อนส้อมที่กระทบจานอาหารเมื่อครู่กลับเงียบลงเมื่อบุตรชายคนสุดท้องของบ้านเอ่ยปากว่าจะแต่งงาน
ภายในโต๊ะอาหารต่างมองหน้ากันไปมา ไม่ได้มีสีหน้าตื่นตกใจ
แต่เหมือนจะเป็นสีหน้ายินดี
“ในที่สุดลูกชายพ่อก็จะได้เป็นฝั่งเป็นฝาสักทีสินะ! ว่าแต่นี่เราขอหนูเตนล์แต่งงานแล้วหรือ
หรือว่ายังไม่ได้ขอ”
ยองโฮอ้ำอึ้งไม่รู้จะพูดเช่นไร
นี่แสดงว่าที่ทุกคนดูยิ้มแย้มดีใจกับเขานี่เป็นเพราะเข้าใจว่าเขาจะแต่งงานกับเตนล์สินะ
นั่นสิ เขายังไม่ได้บอกกับทุกคนว่าเลิกรากับแฟนหนุ่มไปเมื่อก่อนหน้านี้นี่ เพราะคนที่เขาจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันต่อจากนี้เป็นคนอีกคน
“ผมเลิกกับเตนล์แล้วครับ
คนที่ผมจะแต่งงานด้วย.. ไม่ใช่เตนล์ครับ”
สีหน้าของทุกคนที่ยิ้มแย้มเมื่อครู่กลับเปลี่ยนเป็นสีหน้าตกใจและงุงงง
รอให้ยองโฮอธิบายเรื่องราวต่อ
“ถ้าแกไม่แต่งกับคุณเตนล์
แกจะแต่งกับใครหะ ยองโฮ”
พี่ชายเป็นคนเอ่ยปากถามแทนบุคคลที่นั่งร่วมโต๊ะอาหาร
ที่รอให้น้องคนเล็กของบ้านเอ่ยปากพูดให้ไว แทนที่จะมานั่งอ้ำอึ้งพูดชักช้า
“เขาชื่อมุนแทอิลครับ
เป็นเพื่อนสมัยมัธยมของผม เป็นผู้ชาย”
บุคคลทั้งสี่บนโต๊ะอาหารแปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นสีหน้าซีดกันเกือบหมด
เมื่อบุตรชายคนเล็กตระกูลซอเอ่ยปากจะแต่งงานกับคนที่สมาชิกในครอบครัวไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาก่อน
ไม่มีใครรู้ว่ามุนแทอิลคนนี้เป็นใคร เพราะยองโฮไม่เคยพูดถึง
ไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตา
“เรื่องมันเป็นยังไงเล่ามาสิ! มุนแทอิลนี่เป็นใคร
ทำไมถึงเลิกกับหนูเตนล์แล้วถึงจะตัดสินใจแต่งงานกับผู้ชายชื่อมุนแทอิลคนนี้”
“ผมทำเขาท้องครับ
แทอิลกำลังจะมีลูกกับผม..
มันอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าเขาเป็นผู้ชายแต่ว่ากลับท้อง
ผมพาเขาไปตรวจที่โรงพยาบาลมาแล้ว เขากำลังท้องจริงๆครับ ”
หญิงผู้เป็นใหญ่ที่สุดของบ้านฟังแล้วลมแทบจับ
เรื่องแต่งงานของลูกชายเป็นเรื่องที่รู้ว่ายังไงเสียก็ต้องมี และเธอก็พร้อมจะยินดี
ตลอดสองปีที่ผ่านมาเธอคิดว่าหากลูกชายจะแต่งงาน แม้รู้อยู่แล้วว่าลูกของเธอจะแต่งงานกับผู้ชายอย่างเตนล์ดาราชื่อดังผู้เป็นคนรักของลูกชายที่เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างเธอก็พร้อมยินดี
ในวันนี้ลูกชายกลับบอกว่าเลิกกับคนที่เธอหมายว่าลูกชายเธอคงจะได้ครองรัก
ถึงได้ทั้งผิดหวังและตกใจไปพร้อมกัน
“เขาก็เลยบังคับให้แกแต่งงานกับเขา?”
“เปล่าครับ
ผมเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้เอง ความจริงเขาก็ไม่อยากให้ผมรับผิดชอบ
แต่ผมคิดว่ายังไงผมก็ควรรับผิดชอบในสิ่งที่ผมเองก็มีส่วนผิด”
“แล้วแกจะแต่งเมื่อไร”
“คงไม่ได้จัดงานเป็นเรื่องเป็นราวครับ
พรุ่งนี้ผมคิดว่าจะไปขอขมาพ่อกับแม่ของแทอิลเขา แล้วก็จะซื้อบ้านใหม่สักหลัง
ย้ายไปอยู่กันสองคน แต่ว่าก่อนจะหาบ้านใหม่ได้
ผมอยากจะขอให้เขามาอยู่บ้านเราก่อนสักพัก พ่อกับแม่จะอนุญาตไหมครับ”
ต่างคนต่างก็มองหน้ากันไปมา
มองหาคำตอบว่าควรจะช่วยเหลือน้องเล็กของบ้านอย่างไร แต่ก็ไม่มีใครอยากจะแสดงความคิดเห็นใดๆ
เห็นว่ายองโฮโตพอจะคิดอะไรเองได้ ก็คงมีเพียงเรื่องที่ยองโฮจะขอให้แทอิลย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านที่ต้องอาศัยการตัดสินใจของผู้เป็นใหญ่สุดในบ้านอย่างบิดาและมารดาของตน
ชายเจ้าของบ้านมองหน้าภรรยาผู้เป็นใหญ่กว่าในบ้านให้เกียรติในการตัดสินใจ แม่ว่าอย่างไรพ่อก็ว่าตามนั้น
“เอาเถอะลูก
ให้เขาย้ายมาอยู่บ้านเรา แต่ก่อนจะย้ายมายังไงก็พาเขามาพบครอบครัวเราหน่อย
ให้แม่ได้พูดคุยเห็นหน้าเห็นตาสักครั้งแล้วกัน”
ยองโฮก้มศีรษะจนแทบติดโต๊ะอาหาร
กล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า มารดาที่นั่งอยู่เคียงข้างตบหลังลูกชายเบาๆเป็นการให้กำลังใจแทนคำพูด
และสั่งให้ลูกชายสุดที่รักรับประทานอาหารต่อไม่ต้องคิดอะไรมาก
เธอเองก็ต้องฝืนทนกินข้าวแม้พอรู้เรื่องก็เครียดแทนลูกชาย
แต่ถ้าไม่กินนั่นจะยิ่งทำให้ลูกกังวลมากกว่า
ในเวลาที่ลูกมีปัญหา
สิ่งที่ดีกว่าการด่าทอต่อว่า คือการให้กำลังใจและคอยอยู่เคียงข้างไม่ห่าง
----- The Way We
Are -----
ยองโฮขับรถมายังเส้นทางที่ไม่ได้มานานหลังจากจบชั้นมัธยมปลาย
แต่ก็เพิ่งจะมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ขับรถมายังบ้านของแทอิล ความจริงก็ยังไม่รู้ว่าวันนี้แทอิลอยู่บ้านหรือเปล่า
เพราะไม่ได้โทรมาบอกก่อนว่าจะมา แต่คิดว่าวันเสาร์แบบนี้ก็คงจะอยู่บ้านพักผ่อน
ถึงได้มาหาเพื่อจัดการเรื่องให้เรียบร้อย
ยองโฮกดออดหน้าบ้านหลังสวยของแทอิล
รอไม่นานนักประตูรั้วสีน้ำตาลแก่ก็ถูกเปิดออก ใบหน้านิ่งของยองโฮในทีแรกเริ่มมีรอยยิ้มส่งให้กับคนที่มาเปิดประตู
ไม่ใช่เพื่อนร่วมรุ่น แต่เป็นชายวัยกลางคนที่อายุน่าจะพอๆกับพ่อของเขา
“สวัสดีครับ
คือผมมาหาแทอิล ไม่ทราบว่าแทอิลอยู่หรือเปล่าครับ”
“อ๋อ
แขกแทอิลหรอกเหรอ เชิญเข้ามาก่อนสิครับ”
ชายเจ้าของบ้านเชิญชวนให้ยองโฮเข้าไปในบ้าน
ยองโฮโน้มตัวลงเพื่อขอบคุณและเดินเข้าไปอย่างถ่อมตัว แขกผู้มาเยือนเดินเข้าไปภายในตัวบ้านซึ่งมีมุมนั่งพักผ่อนถูกจัดแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ดูสบายตา
ตรงโซฟามีหญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ ถ้าให้เดาก็คงจะเป็นมารดาของแทอิล
“สวัสดีครับ”
ร่างสูงโน้มตัวลงเพื่อทักทาย
“สวัสดีค่ะ
พ่อ.. นี่แขกของพ่อหรือของแทอิลล่ะเนี่ย”
“แขกของแทอิลน่ะ”
“ผมซื้อผลไม้มาฝากครับ”
หญิงผู้มีใบหน้าสวยหวานราวกับแทอิลถอดแบบออกมายิ้มและรับกระเช้าผลไม้จากมือยองโฮมาวางไว้บนโต๊ะแบบญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ตรงหน้าโซฟา
ยองโฮก็ถูกเชิญให้นั่งที่โซฟาซึ่งตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
“เป็นเพื่อนกับแทอิลเหรอคะ”
“เอ่อ...”
ยังไม่ทันได้ตอบ
ร่างของแทอิลก็ปรากฏอยู่ในระยะสายตาพร้อมกับชายที่ออกไปเปิดประตูบ้านให้ แทอิลอยู่ในชุดเตรียมจะออกไปข้างนอก
แต่เหมือนว่ายองโฮจะมาที่บ้านพอดีทำให้แทอิลยังไม่ได้ออกไป เมื่อเห็นว่าใครกำลังนั่งอยู่ในบ้านของตนก็ช็อคเล็กน้อย
แต่ก็ทำตัวเหมือนรู้จักกับยองโฮดี เพื่อไม่ให้บิดามารดาของตนผิดสังเกต
“อ้าว
มะ..มาทำอะไรที่นี่น่ะยองโฮ”
“ก็..
มาจัดการเรื่องของเรา”
ร่างเล็กรีบเดินเข้าไปฉุดแขนแขกไม่ได้รับเชิญของตนให้ลุกออกจากที่นั่ง
แต่แทอิลตัวเล็กกว่ายองโฮนักจึงไม่ได้ส่งผลให้คนถูกดึงลุกตาม
คนถูกดึงรู้ว่าอีกคนกำลังจะทำอะไร เขาถึงไม่เออออไปกับอีกฝ่าย
“ไปคุยกันที่อื่นนะ
ที่นี่ไม่สะดวกคุยหรอก”
เพื่อนหน้าหวานส่งยิ้มมาให้
ไม่ใช่ยิ้มที่ดูจริงใจและมีความนัยน์แฝงอยู่ ยองโฮมองแทอิลด้วยสายตานิ่งเหมือนจะรั้นไม่ยอมทำตาม
แต่สุดท้ายก็ยอมลุกขึ้นตามคำขอ แต่มืออีกข้างของยองโฮที่ไม่ได้ถูกจับไว้
พยายามเอามือของแทอิลที่จับมือตนเองออก แล้วมันก็ออกอย่างง่ายดาย
จู่ๆขายาวของยองโฮก็คุกเข่าลงต่อหน้าชายและหญิงเจ้าของบ้านที่นั่งบนโซฟา
ทั้งสองมองใบหน้ากันและกัน
สลับกับมองใบหน้าแขกผู้มาเยือนรวมถึงใบหน้าลูกชายคนเดียวของทั้งคู่
“นะ..
นี่.. เกิดเรื่องอะไรกันจ๊ะ แม่กับพ่องงไปหมดแล้วแทอิล”
“สวัสดีครับคุณพ่อกับคุณแม่ของแทอิล
ผมชื่อซอยองโฮครับ”
ยองโฮแนะนำตัวเองในขณะที่ยังคุกเข่าอยู่
แทอิลพยายามจะดึงตัวเพื่อนร่วมรุ่นให้ออกห่างจากบุพการีของตน แต่ยองโฮก็นั่งนิ่งและทำเป็นไม่สนใจ
“ผมอยากจะแต่งงานกับแทอิล
กรุณาอนุญาตให้แทอิลแต่งงานกับผมด้วยครับ”
บิดาและมารดาของแทอิลหันมองหน้ากันอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ตกใจ
แทอิลที่ไม่รู้เรื่องหรือสิ่งที่ซอยองโฮจะทำ ยังไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจก็ตกใจและนิ่งไป
แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจของแทอิลแทบหยุดเต้นมากกว่าคือการเห็นใบหน้าของคนอีกคนที่ยืนอยู่หน้าประตู
แววตาที่ไร้ซึ่งความรู้สึกของคนที่มาใหม่ทำให้ใจของเขาราวกับกำลังแตกสลาย
“คุณซล..”
----- The Way We
Are -----
----- TBC -----
The Way We Are – 2
เสียงที่วินวินอ่านหัวข้อข่าว
‘ผู้ชายท้องได้’ เมื่อหลายวันก่อนมันวนเวียนติดอยู่ในหัวยองโฮมากเหลือเกิน
เขาพยายามหาอะไรทำตลอดเวลาเพื่อไม่ปล่อยให้สมองว่างจนนั่งคิดเรื่องนี้
ยองโฮกลัวว่าเรื่องที่เคยเห็นว่าไกลตัวมันอาจจะเป็นเรื่องใกล้ตัว ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดได้ง่ายๆ
แต่กลับกังวลอะไรนักก็ไม่ทราบสาเหตุ ทำไมถึงได้คิดมากเป็นสิ่งที่ตัวเขาก็ไม่เข้าใจ
ได้แต่คิดเข้าข้างตัวเองว่า ถ้ามีเรื่องอะไรจริงๆ
เพื่อนที่เขามีความทรงจำเล็กน้อยด้วยสมัยมัธยม
แต่มีความทรงจำอันยิ่งใหญ่ด้วยในวัยทำงานคงหาทางติดต่อเขามาแล้ว
ดังนั้นก็ไม่ควรจะคิดมากไปเอง
ความเครียดจากการทำงานทำให้สมองและร่างกายไม่สดชื่นเอาเสียเลย
ยองโฮเลยทิ้งงานบนโต๊ะทำงานออกไปหาเครื่องดื่มที่เขาโปรดปรานที่ร้านกาแฟร้านโปรด
ซึ่งไม่ได้อยู่ในตึกของบริษัท ต้องขับรถออกมาเพราะไม่ได้อยู่ใกล้กับบริษัทนัก
แต่พอมาถึงร้านกลับพบว่าร้านปิด
จึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาค้นหาร้านกาแฟอร่อยๆในเว็บพาชิมอาหาร
ก็เจอร้านที่ได้รับความนิยมพอสมควร ถึงจะอยู่ไกลจากที่ที่อยู่ตอนนี้ไปเสียหน่อย
แต่ยองโฮก็เลือกจะขับรถไปซื้อกาแฟที่ร้านนี้
หากว่ามันอร่อยจริงก็จะได้มีร้านโปรดเพิ่มมาอีกร้าน
ขับมาพักหนึ่งก็จอดรถเทียบกับถนนตรงหน้าร้านกาแฟที่ได้รับคำแนะนำจากเว็บ
ภายในร้านมีคนนั่งอยู่เกือบจะทุกโต๊ะ ร้านก็ถูกตกแต่งสวยงาม
ร่างสูงคิดว่าคงมาถูกร้านเข้าให้แล้ว
เดิมทีตอนก่อนออกจากบริษัทยองโฮคิดว่าจะกินอเมริกาโน่เย็นซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ดื่มทุกวัน
เหมือนกับที่คนวัยทำงานชอบจะดื่มกาแฟ แต่ในเว็บพาชิมที่เขาเข้าไปบอกว่าร้านนี้มีเมนูที่มาร้านนี้ไม่สั่งถือว่ามาไม่ถึงร้าน
เลยเลือกจะสั่งเมนูดังของร้านแทน
“ไอซ์ไวท์ช็อคสตรอว์เบอร์รี่แก้วนึงครับ
/ ไอซ์ไวท์ช็อคสตรอว์เบอร์รี่แก้วนึงครับ”
เมนูเดียวกันถูกสั่งพร้อมกันโดยคนสองคน
ซึ่งยองโฮเป็นคนหนึ่งที่สั่ง ส่วนอีกคนคือคนที่ยืนข้างๆเขา
ทำให้ร่างสูงต้องหันไปมองด้วยความแปลกใจที่บังเอิญสั่งพร้อมกัน อีกฝ่ายเองก็หันมามองหน้าเขาเช่นกัน
สีหน้าที่แสดงออกและความรู้สึกภายในใจคงเหมือนกันอย่างไม่ต้องเดาหรือเอ่ยถาม
– The Way We Are –
ตอนแรกตั้งใจจะแค่มาซื้อเครื่องดื่มแล้วกลับไปทำงานต่อ
แต่พอเจอบุคคลที่วนเวียนอยู่ในความคิดเขามาตลอดเกือบสามสัปดาห์
ยองโฮถึงเปลี่ยนใจชวนให้เพื่อนสมัยมัธยมนั่งดื่มเครื่องดื่มยอดนิยมของร้านกันก่อน
ทั้งสองอยากจะยิ้มออกมาเพื่อสลายความอึดอัดต่อกัน
แต่มันยิ้มไม่ออก
“แทอิล..
มากินร้านนี้บ่อยเหรอ”
อยากจะพูดอะไรบ้างแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มพูดยังไง
เลยทำให้ต้องถามคำถามที่ดูสิ้นคิดออกมา
“ก็เกือบทุกวัน
ร้านอยู่ใกล้ๆที่ทำงาน”
“ทำงานแถวนี้เหรอ”
“อะ..อือ
ทำงานที่ RN”
ยองโฮพยักหน้าเข้าใจ
แทอิลทำงานอยู่ที่ RN
Entertainment หรือ RN ค่ายเพลงชื่อดังที่สร้างศิลปินแถวหน้าของเกาหลี
เขารู้เพียงแค่แทยงทำงานที่ค่ายเพลงแห่งนี้คนเดียว
ไม่ยักกะรู้ว่าคนตรงข้ามเองก็ทำงานที่นี่เช่นเดียวกัน
“เป็นนักร้อง?”
“เคยเห็นเราออกเทปหรือไง?
เราเป็นโปรดิวเซอร์กับนักแต่งเพลงของค่ายน่ะ”
บางทีเขาก็ไม่ควรถามอะไรโง่ๆออกไป
ถ้าหากแทอิลเป็นนักร้อง เพื่อนในกลุ่มคงต้องพูดถึงเรื่องนี้บ้าง
เพื่อนร่วมห้องสมัยมัธยมเป็นถึงนักร้องจะไม่ถูกพูดถึงก็ยังไงอยู่
แต่แค่เพื่อนร่างบางบอกว่าเป็นโปรดิวเซอร์กับนักแต่งเพลงก็เหนือความคาดหมายของเขาไม่น้อย
เท่าที่จำได้ ในสายตาของเขาแทอิลดูเป็นเด็กเรียน
น่าจะสนใจหรือเลือกทำงานที่เป็นสายวิชาการ ไม่นึกว่าจะเลือกใช้งานที่ใช้พรสวรรค์
และก็ไม่ได้คิดว่าแทอิลจะชอบทางด้านนี้เพราะตอนสมัยเรียนก็ไม่เคยเห็นร่วมกิจกรรมอะไรที่เกี่ยวกับด้านดนตรีแบบที่แทยงทำ
“คือ..”
“...”
“เรื่องคืนนั้น..
ฉันเสียใจนะแทอิล”
ทั้งๆที่เคยสัญญากันเอาไว้ว่าจะทำเป็นเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
แต่ยองโฮกลับพูดถึงมันอีกครั้ง เมื่อก่อนก็แทบจะไม่มองหน้ากันแล้ว ตอนนี้แทอิลยิ่งไม่อยากพบเจอกับซอยองโฮคนนี้อีกเลยด้วยซ้ำ
“อย่าพูดถึงมันอีกเลยนะ
มันผ่านไปแล้ว”
ทำไมแทอิลจะไม่เสียใจ
เขาเองก็เสียใจ แต่จะให้ทำอะไรได้ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว ให้ย้อนวันกลับไปมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้
มีแค่การทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น และปล่อยให้วันเวลาผ่านไป คงทำให้เขาลืมมันไปได้เอง
“ถะ...”
“เราไปก่อนนะยองโฮ
เกินเวลาพักแล้ว”
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไร
แต่ในตอนนี้เขาไม่อยากจะรับรู้หรือสนทนาอะไรกับคนตรงหน้านี้แล้ว ทีเมื่อก่อนไม่เห็นอยากจะพูดจาด้วย
มาวันนี้กลับอยากจะพูดคุย อยากจะรู้สึกขอบคุณที่ยังจำชื่อเขาได้และชวนให้นั่งโต๊ะเดียวกัน
แต่ก็คงจะไม่แสดงความรู้สึกนั้นออกไป แค่ทำตัวให้เหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น
เป็นทางที่ดีสำหรับทั้งคู่แล้ว
แทอิลหยิบแก้วเครื่องดื่ม ลุกออกจากโต๊ะแล้วเดินออกจากร้านไป
คนที่ถูกทิ้งให้นั่งอยู่ต่อได้แต่ถอนหายใจ มีบางอย่างที่เขาต้องการจะพูด
แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร เหมือนจะติดอยู่ในใจแต่ก็ไม่กล้าพูด
หากปล่อยให้ค้างคาก็คงค้างคาอยู่เรื่อยไป
สุดท้ายเมื่อสมองกลั่นกรองแล้วว่าเขาไม่ควรเก็บมันเอาไว้ให้กังวล
ยองโฮรีบลุกจากเก้าอี้วิ่งออกไปนอกร้าน มองซ้ายขวาตามหาคนที่เพิ่งจะจากกันและยังมองเห็นว่าแทอิลเดินห่างออกไปได้ไม่ไกล
รีบวิ่งสาวเท้าตามแผ่นหลังที่ดูห่างออกไปทุกที
โชคดีที่ขายาวเลยสามารถตามคนที่จากกันได้ทัน
แขนของคนที่หันหลังเดินจากร้านกาแฟมาถูกคว้าอย่างกะทันหัน ตกใจเผลอปล่อยแก้วไอซ์ไวท์ช็อคสตรอว์เบอร์รี่ตกลงพื้น
มองหน้าเจ้าของมือที่คว้าแขนตนไว้
“แทอิล..”
“ทะ..ทำไมถะ..”
“ถ้าเกิดว่า..
แทอิล.. ท้อง.. เพราะว่าฉัน.. ต้องบอกนะ บอกฉัน”
ไม่รู้จะต้องอ้อมค้อมยังไง
ยองโฮถึงได้พูดตรงๆออกไป แม้ฟังแล้วมันจะพิลึกเพราะมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แต่ก็เขาก็ได้พูดไปแล้ว ไม่ต้องเก็บเอาไว้ในใจให้อึดอัด คนฟังอยากจะขำแต่ขำไม่ออก
เรื่องแบบนี้คนไม่สนิทกันควรเอามาล้อเล่นหรือ?
“คิดมากไปหรือเปล่ายองโฮ
เราเป็นผู้ชาย จะท้องได้ยังไง”
พูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นมือบางก็จับมือหนาของอีกคนออกจากแขน
ก้มลงเก็บแก้วของร้านเครื่องดื่มที่เพิ่งจะตกลงพื้นไปทิ้งถังขยะ
แล้วเดินจากคนที่วิ่งตามมาให้เร็วเท่าที่จะทำได้
ไม่อยากจะอยู่ให้เพื่อนร่วมรุ่นที่คิดมากและไม่ยอมปล่อยวางกับเรื่องคืนนั้นมาพูดอะไรให้ใจเสียไปมากกว่านี้
ขอแค่จากไปเหมือนคราวก่อนทำเป็นว่าไม่มีอะไรจะต้องพูดคุยกันอีก
ถ้าแค่จากไปอย่างเช่นคราวก่อน
มันก็ต้องเหมือนครั้งก่อน
จากกัน
ก็ต้องกลับมาพบกันอีก
– The Way We Are –
ช่วงนี้แทอิลต้องทำอัลบั้มใหม่ให้กับนักร้องหญิงเดี่ยวคู่ใจที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่เธอออกมินิอัลบั้มแรก
งานเลยหนักจนแทบไม่มีเวลานอน แต่ถึงแม้จะได้คำสั่งจากนักร้องหญิงว่าอย่าหักโหมให้มากนัก
แทอิลก็ไม่ได้เชื่อเรื่องนั้นสักเท่าไร
ตั้งใจและรีบทำทุกอย่างจนอัลบั้มเสร็จไปเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์
เหลืออีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็เรียบร้อย แต่นักร้องหญิงดันมาป่วยหนักจนต้องหยุดการทำงานไปก่อน
นั่นก็ส่งผลให้แทอิลได้พักไปด้วยหนึ่งสัปดาห์
หนึ่งสัปดาห์ที่ได้หยุดพัก
โปรดิวเซอร์คนขยันตั้งใจจะนั่งทำเพลงพิเศษเป็นของขวัญเนื่องในวันเกิดของจีฮันซลคนรักที่กำลังจะถึงในอีกสองเดือนข้างหน้า
แต่ความตั้งใจกลับล้มเหลวหมด เพราะไม่รู้ร่างกายมันเป็นอะไร แทอิลถึงได้เอาแต่นอนเกือบทั้งวัน
เวลาห้าวันจากเจ็ดวันที่ได้หยุดพักหมดไปกับการนอน
เขาคิดว่าเป็นเพราะการที่พักผ่อนไม่เพียงพอมันสะสม
พอได้พักเข้าจริงๆถึงได้พักแบบจริงจัง
แทอิลเลือกจะสละวันหยุดหนึ่งวันให้กับแทยงเพื่อนรัก
ที่เมื่อวานโทรศัพท์ตามให้เขาเข้าบริษัทวันนี้เพื่อไปช่วยดูศิลปินใหม่ที่กำลังจะเดบิวต์
แทยงเป็นครูสอนเต้นของค่าย ร่วมเป็นนักแต่งเพลงบ้าง
รวมถึงยังเป็นเอนเตอร์เทนเมนท์เทรนเนอร์ ซึ่งจะสอนทักษะการสร้างความบันเทิงให้กับนักร้องอีกด้วย
หลังจากตื่นนอนไม่นาน
โทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวเตียงก็สั่นครืด เบอร์ที่แทอิลไม่คุ้นเคยทำให้แทอิลครุ่นคิดก่อนว่าอาจจะเป็นเบอร์ใครได้บ้าง
แต่ในเมื่อคิดไม่ออกก็ตัดสินใจกดรับสายไม่ให้คนโทรมาต้องรอนานไปมากกว่านี้
“สวัสดีครับ”
(“…”)
“สวัสดีครับ
นี่ใครพูดสายครับ”
(“ฉัน..
ยองโฮ”)
เจ้าของเบอร์บอกตัวตนที่แท้จริงทำเอาคนรับสายพูดอะไรไม่ออก
ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้รับโทรศัพท์จากเจ้าของเบอร์นี้ ต่างฝ่ายต่างก็เงียบใส่กัน
จนสุดท้ายแทอิลถึงตั้งสติและหาคำมาพูดคุยให้กลับมาเป็นปกติที่สุด
“อะ..อ๋อ
ยองโฮเหรอ”
(“อืม
ฉันยองโฮเอง”)
แทอิลไม่อยากถามว่าทำไมยองโฮถึงโทรมา
เพราะประเดี๋ยวเจ้าตัวก็คงจะบอกเหตุผลนั้นเอง ต่างฝ่ายต่างรอว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร
แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูด เสียงในสายจึงเงียบสนิทอีกครั้ง แต่สัญญาณก็ยังไม่ถูกตัด
(“วันนี้แทอิลว่างหรือเปล่า”)
สุดท้ายคนที่เป็นฝ่ายโทรมาก็ตัดสินใจจะพูดเข้าเรื่องถึงเหตุผลที่โทรมาตามที่ควรจะเป็น
“ไม่ว่าง
เรามีนัดแล้วน่ะ”
(“ไม่เป็นไร
คือ.. ฉันอยากเจอแทอิล แทอิลพอจะมีเวลาว่างวันไหนมาเจอกันบ้างไหม”)
อยากตอบอีกฝ่ายเหลือเกินว่าไม่มีเวลาว่าง
เพราะเขาไม่อยากเจอคนปลายสาย แม้เรื่องคืนนั้นจะผ่านมาเกือบเดือนแล้ว
แต่ก็ยังลืมไม่ลง มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ถ้าชีวิตแทอิลจะไม่มีเวลาส่วนตัวเลย
ถึงจะหนีไม่ไปเจอวันนี้ สักวันก็ต้องเจออยู่ดี
แทอิลหยิบนาฬิกาที่วางอยู่หัวเตียงขึ้นมาดูเวลา แทยงนัดเขาไว้บ่ายโมง
ตอนนี้เก้าโมงครึ่ง ถ้าเขารีบอาบน้ำแต่งตัว ก็พอมีเวลาให้อีกฝ่ายได้เจออยู่
“ความจริงวันนี้ก่อนถึงเวลานัดเราก็พอมีเวลาบ้าง
ถ้าเป็นตอนสิบเอ็ดโมงก็พอจะเจอได้”
(“ถ้างั้นตอนสิบเอ็ดโมง
เจอกันที่ร้านกาแฟใกล้ๆกับบริษัทแทอิล สะดวกไหม”)
“อืม
สะดวก”
(“งั้น..
เจอกันนะ สิบเอ็ดโมง”)
“อื้ม..
แล้วเจอกัน”
เพียงแค่นั้นแทอิลก็เป็นฝ่ายตัดสายไปก่อน
เขาอยากนอนต่ออีกสักงีบเพราะรู้สึกเพลียอยู่
แต่ในเมื่อนัดกับยองโฮเอาไว้แล้วก็ต้องฝืนใจเดินไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกจากบ้าน
หวังว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน
จะต้องไม่มีคราวหน้าอีก ถ้าซอยองโฮจะอยากเจออีก เขาต้องปฏิเสธให้ได้
– The Way We Are –
ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้วแต่ยองโฮก็ยังไม่เลิกคิดเรื่องที่ผู้ชายจะท้องได้
เขากลัวว่าแทอิลจะเป็นแบบนั้น
ครั้งสุดท้ายที่เจอกันเขาก็บอกแทอิลแล้วว่าหากแทอิลท้องจริงๆก็ให้บอกเขา
แต่หลังจากวันนั้นก็ไม่ได้รับการติดต่อจากอีกฝ่าย แสดงว่าคงไม่ได้ท้องจริงๆ
เขาควรจะสบายใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังกังวลอยู่ดี
กังวลยิ่งกว่าตอนที่คนรักของตนโกรธเสียอีก
ถ้าความไม่ชัดเจนทำให้เขารู้สึกค้างคา
เขาก็ควรเลือกจะทำให้มันชัดเจนไปเลยดีกว่า ให้แน่ใจไปเลยว่าจะไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก
เขาจะได้ใช้ชีวิตมีความสุขเหมือนเดิม จะได้กล้ายิ้มให้กับคนรักผู้เป็นดาราดังหวานใจของเขาได้จากใจไม่ใช่ฝืนยิ้มเสียที
ระหว่างทางไปร้านกาแฟ
ยองโฮแวะร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อของบางอย่างที่จะทำให้ทุกอย่างมันจบลง
แต่มันจะจบอย่างที่หวังไว้หรือเปล่าก็ไม่รู้
ได้แต่ภาวนาให้มันจบลงในวันนี้ก็เป็นพอ
ยองโฮเป็นฝ่ายไปถึงร้านกาแฟก่อน
เลือกสั่งเครื่องดื่มขึ้นชื่อของร้านมาสองแก้ว สำหรับเขาและสำหรับอีกคนที่เขานัด
ยองโฮเดินไปนั่งในโต๊ะมุมในสุดของร้านเป็นการรอเมนูที่สั่งไปรวมถึงรอคนที่นัดหมายด้วย
สักพักพนักงานก็นำเครื่องดื่มเย็นสองแก้วมาเสิร์ฟที่โต๊ะ
ไม่นานนักหลังจากนั้นคนที่นัดก็มาถึงร้านตามมา แทอิลเดินมาที่โต๊ะของเขาอย่างช้าๆเพราะความกลัวอย่างบอกไม่ถูก
แต่สุดท้ายก็เดินมาถึงและนั่งลงตรงข้ามเหมือนคราวก่อน
“รอเรานานหรือเปล่า
เรามาช้าไปหน่อย ขอโทษนะ”
“ไม่หรอก
แทอิลก็มาตรงเวลา ฉันแค่มาเร็วไป.. ดื่มก่อนสิ ฉันสั่งมาให้
คราวที่แล้วที่ทำให้นายอดกิน”
ยองโฮเลื่อนแก้วไอซ์ไวท์ช็อคสตรอว์เบอร์รี่แก้วหนึ่งให้กับแทอิล
คราวที่แล้วเขาทำอีกคนตกใจจนเผลอปล่อยแก้วเครื่องดื่มหลุดมือจนอดกิน
แทอิลพยักหน้ารับแล้วหยิบแก้วมาดื่มผ่านหลอดที่ปักอยู่ในแก้วพอเป็นมารยาทก็วางแก้วลงที่เดิม
“ที่นัดมา
มีอะไรหรือเปล่า”
คนถูกนัดมารีบเข้าเรื่องเพราะไม่อยากอยู่นานนัก
รวมถึงต้องไปหาแทยงตามนัดต่ออีก
ยองโฮเบนสายตาไปทางอื่นกังวลที่จะพูดและใช้เวลาเพื่อรวบรวมความกล้า
สุดท้ายก็เบนสายตากลับมายังใบหน้าของคนที่นั่งร่วมโต๊ะ
“ไปห้องน้ำกับฉันหน่อยสิ”
ประโยคที่ไม่ถึงว่าคนหน้าหล่อจะพูดกับเขาทำเอาแทอิลอ้ำอึ้งไม่น้อย
ทำไมถึงได้ชวนเขาไปห้องน้ำ หากยองโฮอยากจะไปทำธุระส่วนตัวเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปด้วย
เขาสามารถนั่งรออีกคนได้
“คะ..คือ..”
“ขอร้องล่ะแทอิล
กรุณาไปห้องน้ำกับฉันนะ”
ในเมื่ออีกคนถึงขั้นกับขอร้อง
แทอิลก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง มันอาจจะมีเรื่องที่ยองโฮไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน
ถ้าไปคุยในห้องน้ำจะสะดวกกว่าหรือเปล่า แทอิลพยักหน้าตกลงแทนคำพูด
ร่างสูงเป็นฝ่ายลุกขึ้นแล้วเดินนำไปยังห้องน้ำ ร่างบางถึงค่อยเดินตามไป
เมื่อมาถึงห้องน้ำ
คนหน้าหล่อกวาดสายตามองไปในทุกส่วนของห้องน้ำเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่นอกจากเขากับแทอิล
เมื่อมั่นใจว่ามีเพียงแค่สองคน
มือหนาจึงได้ล้วงหยิบของบางอย่างที่อยู่ในชุดสูทสีดำออกมา เป็นถุงของร้านสะดวกซื้อ
แล้วจึงหยิบของที่อยู่ภายในถุงออกมา ยื่นให้กับแทอิล
“มะ..มันคือ..”
“เอาไปตรวจซะแทอิล
ฉันจะรออยู่ในห้องน้ำ ไม่ต้องรีบ ฉันรอได้”
ยองโฮไม่ได้ตอบว่ามันคืออะไร
คนรับของพลิกกล่องที่คนตัวสูงหยิบยื่นมาให้อ่านฉลากอยู่ในใจก็ถึงกับตาโตและนิ่งไป
ที่ตรวจการตั้งครรภ์
คือสิ่งที่ฉลากบอก
“นะ..นาย..
นายเพี้ยนไปแล้วหรือไงยองโฮ เอามันมาให้เราทำไม”
“ฉันไม่อยากจะกังวลอีกแล้วแทอิล
เรื่องคืนนั้นมันยังค้างคาใจฉันอยู่
มันมีแค่นายเท่านั้นที่จะทำให้ความค้างคาในใจฉันมันหายไปได้”
“นายคาใจเรื่องว่าเราจะท้องเหรอ?
นายควรจะมองความจริงบ้างสิว่าเราเป็นผู้ชาย”
“เมื่อหลายเดือนก่อนมันมีข่าวว่าผู้ชายท้องได้มันถึงทำให้ฉันกังวลไงแทอิล! ขอร้องล่ะ
นายจะช่วยฉันสักครั้งไม่ได้หรือไง แค่ตรวจให้ฉัน
ถ้ามันไม่มีอะไรก็จะไม่ยุ่งกับนายตามที่นายต้องการแล้ว”
สายตาที่วิงวอนขอร้องทำเอาใจแทอิลอดสงสารไม่ได้
เรื่องที่เพื่อนร่วมรุ่นที่คล้ายจะเป็นคนแปลกหน้าขอให้ช่วยเหลือถึงมันจะแปลกจนคาดไม่ถึง
แต่มันก็ไม่ได้เหนือบ่าไปกว่าแรง ถ้าตัวเองมั่นใจว่าไม่ท้องแล้วจะกลัวกับการตรวจทำไม
ถือเสียว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ได้ลองในสิ่งที่ไม่เคยลอง
และช่วยเหลือเพื่อนสักครั้ง และถ้าทำให้ยองโฮหายแคลงใจได้
เรื่องระหว่างเขากับคนตรงหน้าก็จะได้จบเสียที
“ถ้ามันจะทำให้นายสบายใจ
เราจะตรวจให้นายก็ได้ยองโฮ รออยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน”
แทอิลกำกล่องตรวจการตั้งครรภ์ในมือแน่น
เดินปิดประตูเข้าห้องน้ำภายใน คนตัวสูงยืนพิงอ่างล้างหน้ารอผลอย่างใจจดจ่อ
เรื่องที่ผู้ชายจะท้องได้มีโอกาสเป็นไปได้น้อยมากที่สุดจนถึงเป็นไปไม่ได้
ภาวนาให้มุนแทอิลไม่เป็นหนึ่งในกลุ่มที่น้อยมากที่สุด เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องกังวลอะไรมากมายขนาดต้องให้อีกคนมาตรวจการตั้งครรภ์
เขาวิตกจริตเกินไปหรือเปล่า หรือเขามีปัญหาทางจิตก็ไม่รู้
การรอคอยมันช่างเนินนานแต่ยองโฮก็ยังคงรอ
เสียงกดชักโครกทำให้คนรอเลิกคิดเรื่องต่างๆนานาในหัวหันไปสนใจประตูห้องที่แทอิลเข้าไป
แต่มองอยู่นานหวังว่าประตูจะเปิดออกแต่มันก็ยังคงปิด เพื่อนตัวเล็กเข้าไปนานเกินไป
แต่จะไปเคาะประตูให้อีกคนออกมาก็ไม่กล้าทำ
หลังจากสิ้นเสียงน้ำในชักโครกทำงานครึ่งชั่วโมง
เสียงปลดล๊อคประตูห้องน้ำที่อยู่ริมสุดที่แทอิลเข้าไปก็ดังขึ้น ประตูจึงถูกเปิดออก
สีหน้าของคนที่ออกมาจากห้องน้ำดูเป็นปกติ
แต่ทำไมยองโฮถึงสัมผัสได้ว่ามันไม่ปกติ
“เป็น...
เป็นยังไงบ้าง ผลเป็นยังไง”
เครื่องตรวจการตั้งครรภ์ที่แทอิลกำอยู่ในมือแน่นถูกยื่นมาให้คนถาม
มือหนาหยิบเครื่องตรวจสีขาวที่มีแผ่นกระดาษเต็มไปด้วยอักษรพันอยู่จากมือบางออกมา ยองโฮเอาแผ่นกระดาษที่ห่อเครื่องตรวจออกเพื่อดูผลที่เครื่องตรวจแสดง
สองขีด..
แถบบอกผลตรวจมีสองขีด
มือหนาคลี่แผ่นกระดาษที่แทอิลยื่นมาให้พร้อมกับที่ตรวจการตั้งครรภ์
อ่านวิธีการอ่านผลตรวจอย่างตั้งใจ
รูปภาพที่ประกอบคำอธิบายทำให้เข้าใจง่ายขึ้นมันยิ่งทำให้ชัดเจน
‘หากขึ้นสองขีด
หมายถึง ตั้งครรภ์’
“หายค้างคาใจหรือยังยองโฮ”
แทอิลเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ
สิ่งที่เขาทำมันคงทำให้ยองโฮพอใจได้แล้วว่าสิ่งที่เขากังวลในความจริงแล้วมันเป็นยังไง
วันนี้ ตอนนี้ยองโฮได้รู้หรือยังว่าเรื่องที่ติดค้างในใจมันจะหายไปได้หรือยัง
“แทอิล..”
“ถ้าหมดธุระแล้วเราขอตัว
ต่อไปก็.. หวังว่าจะไม่ได้เจอกันอีก”
ร่างบางว่าจบก็หมุนตัวยกเท้าเดินออกห่างยองโฮ
แต่ยังไม่ทันจะก้าวพ้นให้ออกห่าง
คนตัวสูงก็คว้าแขนแทอิลเอาไว้จนคนตัวเล็กเซจนเกือบล้ม
“นายจะไปได้ยังไงแทอิล เราจะไม่เจอกันอีกได้ยังไง นายไม่เห็นหรือไงว่าผลตรวจมันออกมาเป็นยังไง”
“เราไม่เชื่อผลตรวจไอ้เครื่องบ้าๆนี่หรอกนะยองโฮ
เราเป็นผู้ชาย เราเป็นผู้ชาย! นายได้ยินไหม!
ผู้ชายท้องไม่ได้!”
“แต่เขาบอกว่าผลตรวจนี่มันเชื่อถือได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
แล้วถ้าตรวจครั้งแรกขึ้นสองขีดหมายถึงว่าท้องแน่ๆ ฉันรู้ว่านายอ่านคู่มือการใช้อย่างละเอียดแล้ว
นายอย่าทำเป็นไม่รู้หรือไม่เชื่อเลยแทอิล!”
ใช่
อีกฝ่ายพูดถูก หลังแกะกล่องแทอิลอ่านวิธีใช้อย่างละเอียดแล้วรอบหนึ่ง
ยิ่งพอตรวจเสร็จเขาก็แทบจะไม่เชื่อกับสิ่งที่เห็น เขาอ่านมันซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
แค่หวังว่าตาเขาจะฝาดหรือบกพร่องทางการอ่าน แต่ไม่ว่าจะอ่านกี่ครั้งเขาก็อ่านถูกต้องไม่ผิดแน่
แต่จะให้เขาทำใจกับเรื่องนี้ได้อย่างไร อยู่บนโลกนี้มายี่สิบเจ็ดปี
ร่างกายของมุนแทอิลไม่เคยผิดปกติ วันหนึ่งเขามีอะไรกับผู้ชายคนนึง
สองเดือนต่อมาก็ท้อง เรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์มันดันมาเกิดกับเขา
เขาแค่อยากทำเป็นไม่สนใจ ทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทั้งๆที่ในใจมันแทบจะหยุดเต้น
สมองมันขาวโพลนไปหมด
“ทำเหมือนวันนั้นเถอะยองโฮ
เราแค่จากกันเหมือนวันนั้น ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“นายกล้าพูดไหมแทอิลว่าหลังจากวันนั้นนายรู้สึกเหมือนเดิม
นายไม่คิด ไม่กังวล เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สาบานไหมแทอิล”
“...”
“ไม่
ใช่ไหมล่ะ”
“ถ้างั้นก็บอกเรามาสิ
นายจะให้เราทำยังไง เราต้องทำยังไงนายถึงจะพอใจ”
แทอิลพยายามใจเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้
อารมณ์ของเขามันไม่ดีตั้งแต่เห็นสองขีดบนเครื่องตรวจที่ยองโฮให้มาแล้ว
ยิ่งถูกขึ้นเสียงใส่ ยิ่งยองโฮรบเร้าให้เขาทำอะไรสักอย่าง ในสิ่งที่เขาเองก็ไม่รู้
แต่จะให้มาพาลอารมณ์เสียใส่ยองโฮมันก็ไม่ถูก มันใช่ความผิดของยองโฮคนเดียวเมื่อไร
ยองโฮไม่ใช่ที่รองรับหรือระบายอารมณ์ เขาไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้น ยิ่งโมโหใส่ เรื่องที่คิดว่าจะจบไวๆก็ยิ่งจะจบช้าเข้าไปอีก
“ฉันจะรับผิดชอบนายเอง”
“...”
“เพราะว่านายท้องกับฉัน
ฉันจะรับผิดชอบนายเองแทอิล”
มันไม่ใช่คำพูดที่น่าหัวเราะ
แต่ไม่รู้ทำไมคนฟังถึงกลับขำออกมา หัวเราะออกมาราวกับกำลังรับฟังเรื่องตลกทั้งที่ไม่ใช่ ยองโฮไม่เข้าใจว่าทำไมปฏิกิริยาของแทอิลที่มีต่อคำพูดของเขาถึงเป็นแบบนี้
แต่เสียงหัวเราะในทีแรกกลับแปรเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้นในไม่ช้า
บนใบหน้าสวยเจ้าของเสียงสะอื้นมีน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสาย
ขาของคนตรงหน้ายองโฮสั่นจนยืนไม่ไหวถึงขั้นทรุดลงไปกับพื้น
ยองโฮค่อยๆย่อลงมาในระดับเดียวกันกับแทอิล มือขวาเอื้อมไปแตะไหล่เจ้าของเสียงสะอื้นเพื่อปลอบใจ
ไม่กล้าจะเข้าใกล้แทอิลไปมากกว่านี้
“ยะ..ยองโฮ
ความจริง..”
แม้จะยังไม่หยุดร้องไห้
แต่แทอิลมีบางสิ่งบางอย่างที่อยากจะพูด และเขารอจนกว่าจะหยุดร้องไม่ได้
มันคงนานเกินกว่าที่เขาจะทนรอ
“ระ..เรา
ฮะ..ฮึก.. ไม่ได้..ท้อง.. ฮึก.. กับนาย”
คิ้วคมบนใบหน้าหล่อขมวดเข้าหากัน
คำพูดที่แทอิลบอกหมายความว่าอย่างไร จะมีอะไรที่จะทำให้เขาตกใจไปมากกว่านี้อีกหรือ
“นายหมายความว่ายังไง”
“เรา..
ไม่ได้ท้อง.. กับนายหรอกนะยองโฮ”
“ถ้าไม่ใช่ฉัน
แล้วคือใคร ใครที่ทำให้..”
หากคนที่กำลังนั่งร้องไห้ตรงหน้าเขาตอนนี้ไม่ได้กำลังตั้งท้องเพราะเขา
แล้วใครคือเจ้าของเด็กในท้องที่กำลังจะเกิดมาของเพื่อนสมัยมัธยม สถานะของเขากับแทอิลไม่ได้ดีมากจนถึงขั้นที่เขาจะมาถามเรื่องแบบนี้ได้
แต่ยองโฮเองก็อาจมีสิทธิ์เป็นพ่อของลูกในท้องแทอิล เพราะเขาก็เคยมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งด้วย
“แฟนของเรา..
แฟน.. แฟนเราก็เป็นผู้ชาย”
ในตอนแรกแทอิลคิดหาหนทางไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
หลังจากที่ตรวจแล้วเครื่องตรวจขึ้นสองขีดเขาก็เอาแต่คิดว่าชีวิตจะต้องเดินไปทางไหน
ควรจะบอกกับคนที่เขารักมากรองจากบุพการีอย่างไร เมื่อยองโฮบอกว่าจะรับผิดชอบ
ก็ยิ่งคิดไม่ตก แต่คำพูดคำว่า ‘รับผิดชอบ’ มันทำให้แทอิลนึกถึงคนรักขึ้นมา
เพราะเป็นคำที่คนรักพร่ำบอกกับเขาเสมอ มันทำให้เขาคิดได้ว่า
ถ้าเขาบอกว่าเด็กในท้องไม่ใช่ลูกของยองโฮ แต่เป็นลูกของฮันซล
ซอยองโฮคงจะเลิกยุ่งกับชีวิตเขาเสียที
“อย่ามาโกหกฉันนะแทอิล”
“แล้วนายไม่คิดว่าหลังจากที่มีอะไรกับนายแล้วเราจะไปมีอะไรกับแฟนบ้างหรือไง!
เรามีอะไรกับนายได้คนเดียวเหรอ!”
ไม่คิดว่าแทอิลจะพูดตรงถึงเพียงนี้
แต่นั่นก็ทำให้ยองโฮพินิจในคำพูดแทอิลได้โดยไม่ต้องแปลความให้มันซับซ้อน นั่นสินะ
แทอิลอาจจะไม่ท้องกับเขาจริงๆก็ได้ คนรักของแทอิลอาจจะเป็นพ่อของลูกก็ได้ แต่ถ้าคิดอีกแง่หนึ่ง
ถ้าเราเกิดไปมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ
จิตใต้สำนึกคนเรามันคงจะมีความรู้สึกผิดกับคนรัก แล้วไม่กล้าจะมีอะไรกับคนรัก
เขาเชื่อว่าเพื่อนร่วมรุ่นของเขาจะเป็นอย่างที่สองที่มีจิตใต้สำนึกเรื่องความรู้สึกผิด
“ถามตรงๆนะแทอิล
ฉันคือคนสุดท้ายที่นายมีอะไรด้วยใช่ไหม”
“...”
“ฉันคือพ่อของลูกในท้องนายใช่ไหม”
“...”
“ฉันจะไม่ยุ่งกับนายอีกก็ได้
ถ้านายจะสาบานต่อฉันและฟ้าดิน ว่านายไม่ได้ท้องกับฉัน ตอบฉันมาชัดๆว่านายเคยมีอะไรกับแฟนแล้วจริงๆ
และลูกในท้องของนายเป็นลูกของผู้ชายคนนั้น ไม่ใช่ลูกของฉัน”
ยองโฮยื่นคำขาดเป็นครั้งสุดท้าย
ต่อมน้ำตาของแทอิลที่เกือบจะหยุดทำงานเหมือนจะถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง
ทำไมจะต้องให้เขาสาบาน ทำไมถึงอยากจะมั่นใจอะไรมากขนาดนี้ ทำไมซอยองโฮถึงคิดมากขนาดนี้
ลังเลที่จะสาบานอย่างที่ยองโฮสั่ง
เพราะถ้าสาบานไปว่านั่นไม่ใช่ลูกของคนๆนี้ หากฟ้าดินได้รับรู้ก็คงจะลงโทษเขา
เพราะที่สาบานไม่ใช่ความจริงและเป็นการโกหกอย่างร้ายแรงที่สุด
ราวกับยองโฮรู้ว่าเขาโกหกและกำลังบีบเค้นให้เขาพูดความจริง
สิ่งมหัศจรรย์มีชีวิตที่อยู่ในท้องของแทอิล
เป็นลูกของแทอิลกับใครเจ้าตัวย่อมรู้อยู่แก่ใจ ไม่มีทางจะเป็นลูกของคนรักที่คบกันมาเกือบสามปีไปได้
เพราะเขาไม่เคยมีอะไรกับฮันซล และมันจะเป็นลูกของใครที่ไหนไม่รู้ก็ไม่ได้
เพราะมุนแทอิลไม่ใช่คนใจง่ายหรือสำส่อน
‘ฉันคือคนสุดท้ายที่นายมีอะไรด้วยใช่ไหม’
‘ฉันคือพ่อของลูกในท้องนายใช่ไหม’
คำตอบคือใช่
ยองโฮไม่ใช่แค่คนสุดท้ายที่แทอิลมีความสัมพันธ์ทางกายที่ลึกซึ้งด้วย
แต่ซอยองโฮคือคนแรกและคนเดียวที่แทอิลมอบร่างกายให้แม้จะไม่ใช่ด้วยความเต็มใจ
มันแน่ชัดอยู่แล้วว่าเขาท้องกับใคร
“สาบานออกมาสิ!”
“ไม่ต้องสาบงสาบานอะไรมันแล้ว!
ถ้าเราท้องจริงๆ เราก็ท้องกับนายนั่นแหละ! พอใจหรือยังยองโฮ!”
แทอิลเลิกที่จะอดทนแล้วระเบิดอารมณ์ออกมา
เบื่อที่จะต้องยืดเยื้อกับคนตรงหน้าอีกแล้ว อยากให้พูดความจริงที่แม้จะรู้แล้วจะต้องเจ็บปวดมากนักก็ขอให้เชิญรับฟังอย่างที่ต้องการ
ในครั้งนี้ไม่มีน้ำตาที่ไหลออกมาเหมือนก่อนหน้าเพราะมันได้ถูกใช้ไปหมดแล้ว
เขาไม่อยากให้ยองโฮต้องมาเห็นว่าเขาอ่อนแอ
“จริงๆใช่ไหมแทอิล”
“นายไม่ใช่แค่คนสุดท้าย
นายเป็นคนเดียว.. กับคนอื่นหรือแม้กระทั่งคนที่เรารักมากที่สุด.. เราก็ไม่เคย”
พอเพื่อนยอมรับจริงๆก็เหมือนว่าเรื่องที่ยองโฮหนักอกหนักใจมาตลอดเกือบสองเดือนก็หายไป
แต่กลับมีเรื่องอีกมากมายที่ผุดขึ้นมาในสมองเขาสร้างความกังวลมากยิ่งกว่า
ต่อจากนี้ไม่รู้ว่าจะเริ่มทำอะไรจากตรงไหน ดูวุ่นวายและน่าสับสนไปหมด
เรื่องมันยากจนเขาอยากจะร้องไห้ออกมา เขาทำคนๆหนึ่งท้องมันทำให้เขาอยากจะร้องออกมามากเพียงนี้
แต่คนที่เป็นฝ่ายท้องอย่างแทอิลล่ะ มันไม่ยิ่งมากกว่าเขาหรือ
ยองโฮตั้งสติมั่น
ถือวิสาสะจับมือของแทอิลค่อยออกแรงดึงให้ร่างเล็กลุกจากพื้นห้องน้ำ
พาเดินมายังอ่างแล้วหน้า เปิดก๊อกน้ำแล้วใช้มือยื่นไปรับน้ำให้พอเปียก ลูบบนใบหน้าสวยของแทอิลอย่างเบามือ
ล้างคราบน้ำตาแห่งความเสียใจที่ไหลรินออกมาจนหมด
สายตาของแทอิลไม่มองเจ้าของมือบนใบหน้าที่ชำระร่องรอยของน้ำตาเลยสักนิด
ทำได้เพียงแค่มองแต่กระจกที่สะท้อนเงาของตัวเองกับคนข้างๆ
แค่การได้ยืนอยู่ในกระจกบานเดียวกันกับซอยองโฮ
คนที่แทบจะไม่เคยมองหน้าหรือรู้สึกว่าเขามีตัวตนบนโลกใบนี้
กระจกที่สะท้อนเงาว่าคนข้างๆกำลังเช็ดน้ำตาให้ ราวกับว่าเขากำลังอยู่ในความฝัน
และก็อยากภาวนาให้มันเป็นแค่ฝัน หากเล่าให้ใครสักคนฟัง
คนฟังคงบอกว่ามันเป็นฝันที่สวยหรูที่มียองโฮยืนอยู่ข้างกาย แต่กับคนที่ฝันอยู่อย่างแทอิลมันช่างเป็นฝันร้าย
ยิ่งมันไม่ใช่ความฝันแต่มันคือความจริง
มันก็คือความจริงที่โหดร้าย
ความจริงที่โหดร้ายนั้นไม่ใช่ความจริงว่ายองโฮสัมผัสใบหน้าของเขา
ไม่ใช่ความจริงที่ว่ายองโฮยืนอยู่ข้างเขา
แต่เป็นความจริงที่ว่าเขากำลังจะมีลูกกับผู้ชายที่ใครๆต่างก็บอกว่าคือเทวดาที่ได้มาเกิดลงบนโลก
นามว่า ‘ซอยองโฮ’
เสียงน้ำหยุดไหลเมื่อก๊อกน้ำถูกปิด
เงาในกระจกสะท้อนว่ายองโฮไม่ได้ลูบใบหน้าของเขาอีกแล้ว
แต่กำลังหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อ แล้วซับความชื้นบนใบหน้าขาวจนใบหน้ากลับมาดูสะอาดสะอ้านเช่นเดิม
“เราไม่มั่นใจเลยยองโฮ”
ทุกครั้งที่มุนแทอิลเปิดปากพูดอะไรบางอย่าง
จะต้องมีเรื่องให้คิดทุกครา คราวนี้จะบอกอะไรกับเขาอีกก็ไม่อาจเดาได้
“ผลตรวจจากเครื่องมันเชื่อได้จริงๆหรือเปล่า
เราขอไม่มั่นใจได้ไหม นายก็อย่ามั่นใจได้ไหม”
“ถ้าอยากจะให้มั่นใจจริงๆ
ฉันจะพาแทอิลไปตรวจที่โรงพยาบาลก็ได้”
“มะ..ไม่เป็นไร
เดี๋ยวเราจะไปตรวจเอง”
“ฉันไม่ลำบากที่จะพาแทอิลไปหรอกนะ
เพราะว่าเรื่องนี้มันก็ถือเป็นเรื่องของฉันเหมือนกัน”
ยองโฮก็ไม่ได้อยากจะมองแทอิลในแง่ร้าย
แต่การที่แทอิลจะขอไปตรวจคนเดียวอาจจะทำอะไรบางอย่างเพื่อปกปิดความจริงอีกอย่างที่โกหกกับเขาไปเมื่อครู่ก็ได้
ถ้าเขาไปด้วย ฟังผลตรวจจากปากหมอพร้อมกัน แทอิลจะปฏิเสธอะไรเขาไม่ได้
สุดท้ายแทอิลก็ไม่ได้ปฏิเสธ
ทั้งสองเดินออกมาจากห้องน้ำของร้านกาแฟที่ตลอดระยะเวลาที่เข้าไปถือว่าเป็นโชคดีที่ไม่มีใครเข้าไปเลยนอกจากทั้งคู่
ทั้งสองเดินออกมาจากร้านเพื่อจะเดินทางไปโรงพยาบาล
แทอิลรู้สึกว่าแสงแดดนอกร้านที่ร้อนระอุกลับเยือกเย็นไปเมื่อพบกับเรื่องที่ร้อนกว่าในใจของเขา
ยองโฮเปิดประตูรถข้างคนขับที่จอดเทียบริมถนนอยู่หน้าร้านให้แทอิลเข้าไปนั่ง
และเขาก็ขึ้นนั่งฝั่งคนขับหลังจากนั้น รถสีขาวมุกเคลื่อนตัวออกจากที่ด้วยความเร็วที่พอจะให้คนนั่งรู้สึกสบายใจ
แม้บรรยากาศภายในรถจะเต็มไปด้วยความรู้สึกที่แย่จนไม่สามารถอธิบายได้ก็ตาม
ไม่มีเสียงพูดคุยในรถ ถ้าคนขับอย่างยองโฮพูดก็คงจะเหมือนคนบ้าที่คุยคนเดียว
เพราะคนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆหลับไปเรียบร้อยแล้ว
ยองโฮเลือกจะขับรถไปที่โรงพยาบาลแถบชานเมืองที่เขาเคยขับผ่านอยู่บ้าง
แม้จะมีอีกโรงพยาบาลที่เขาไปเป็นประจำ ถ้าไปที่นั่นนอกจากจะได้รับความอุ่นใจเพราะชื่อเสียงที่โด่งดังแล้วยังจะได้รับส่วนลดค่ารักษาเพราะเขาเป็นพนักงานของบริษัทที่ให้การสนับสนุนโรงพยาบาลนั้น
แต่มันก็อันตรายเพราะเพื่อนสนิทของเขากับเพื่อนสนิทของแทอิลต่างก็เป็นแพทย์อยู่ที่นั่น
จึงได้เลือกไปโรงพยาบาลแถบชานเมืองที่ไม่ค่อยมีผู้คนและไม่มีคนที่รู้จักเขาดีกว่า
เมื่อถึงโรงพยาบาลและหาที่จอดรถเรียบร้อย
ยองโฮจึงปลุกคนข้างๆที่หลับอยู่ให้ตื่น ทั้งคู่เดินจากลานจอดรถเข้าไปยังตึกของโรงพยาบาลโดยไม่พูดอะไรต่อกัน
แต่ก่อนจะผ่านประตูของตึกโรงพยาบาล ยองโฮจับไหล่ของแทอิลทำให้การเดินหยุดชะงัก ในมือของยองโฮยื่นแว่นตากันแดดสีดำดูมีราคาให้กับแทอิล
สายตาที่เต็มไปด้วยคำถามถูกส่งมาแทนคำถามที่จะออกมาเป็นคำพูด
“ใส่ไว้นะแทอิล
นายคงไม่อยากให้ใครเห็นนายใช่ไหม”
ตอบคำว่า
‘ใช่’ แค่เพียงในใจ
แล้วรับแว่นตาดำในมือยองโฮมาสวมทัดหู ความจริงอยากจะถามว่ายองโฮเองไม่กลัวบ้างหรือว่าจะมีใครเห็นว่าพาเขามาโรงพยาบาล
ถ้ามาเป็นเพื่อนตรวจร่างกายธรรมดาก็คงไม่มีอะไร
แต่หลังจากนี้ถ้าเดินเข้าแผนกสูตินรีเวชละ? เพราะยองโฮไม่ใช่คนธรรมดา ยองโฮเคยออกสื่อมาแล้วและโด่งดังพอสมควรเพราะเป็นคนรักของดาราชื่อดังระดับแนวหน้าที่มีผลงานทั้งในประเทศบ้านเกิดของเจ้าตัว
ประเทศบ้านเกิดของแทอิล แถมยังมีชื่อเสียงไปถึงระดับฮอลลิวูด
ถ้ามีคนพบเห็นจะไม่ถูกนำเอาไปเมาท์หรอกหรือว่าทำใครเขาท้อง ยิ่งคนๆนั้นไม่ใช่คุณเตนล์แน่ๆ
ก็คุณเตนล์เป็นผู้ชาย แถมคุณเตนล์ไม่ได้อยู่เกาหลีเพราะไปถ่ายละครที่จีนอย่างไม่มีกำหนดกลับ
แต่ถ้าเกิดแทอิลถามขึ้นมา
เจ้าของแว่นก็จะตอบว่า ‘ไม่ใส่’ ไม่ใช่เพราะไม่กลัวว่าใครจะมอง
แต่เขามีแว่นกันแดดอยู่อันเดียว และควรจะสละอันนั้นให้แทอิลมากกว่า
เพราะคนที่จะต้องตรวจการตั้งครรภ์เป็นแทอิลไม่ใช่เขา คนที่ควรจะปกปิดเรื่องนี้มากกว่าคือตัวแทอิลต่างหาก
เขารู้ว่าแทอิลอายมากเพียงใดที่เป็นผู้ชายแต่ต้องมาตรวจเรื่องแบบนี้
แทอิลสงสารที่ยองโฮจะต้องพาเขามาตรวจที่โรงพยาบาล
เลยเป็นฝ่ายขอจัดการเรื่องด้วยตัวเอง
ติดต่อเจ้าหน้าที่ว่าจะมาตรวจร่างกายเพราะหากบอกว่ามาตรวจการตั้งครรภ์ก็คงจะโดนมองด้วยสายตาที่พอเดาได้ว่าไม่ดี
เจ้าหน้าที่ก็จัดการให้ ไม่นานนักก็ถูกเรียกให้เข้าไปตรวจ
ซึ่งแทอิลบอกให้ยองโฮตามไปทีหลังเพราะกลัวว่าจะทำให้เป็นข่าว
แต่ยองโฮดึงดันจะไปด้วยและไม่สนว่าใครจะมองเช่นไร
เพราะอนาคตมันอาจจะเป็นเรื่องปกติที่เขาต้องทำก็ได้
ในเวลาที่ไป
ไม่มีคนไข้มากนัก เลยได้เข้าตรวจเลย ยองโฮนั่งรออยู่ข้างนอก
ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไร
แม้โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงจะสั่นเตือนว่ามีสายเข้า
แต่แค่หยิบขึ้นมาเห็นชื่อคนโทรเข้าเป็นเพื่อนสนิทผิวเข้มก็เลือกจะกดปุ่มพักหน้าจอแทนการเลื่อนไม่รับสาย
ซึ่งถือเป็นการปฏิเสธการรับสายที่มีมารยาทมากกว่าตัดสายทิ้งโดยตรง
ขืนกดรับสายไปแล้วพูดอะไรแปลกๆออกไปละก็คงแย่แน่
– The Way We Are –
เมื่อได้เข้ามาในห้องตรวจ
ผู้รับบทเป็นคนไข้อย่างแทอิลก็เกิดกลัวขึ้นมา เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มาโรงพยาบาลแล้วรู้สึกอยากจะร้องไห้
อยากหนีออกไปจากที่นี่ แต่เรื่องมาถึงขนาดนี้เพื่อให้มันชัดเจน
ก็คงต้องเผชิญหน้ากับมันไป แพทย์ผู้ทำการรักษาสอบถามอาการป่วย แทอิลถึงได้บอกสภาพร่างกายในสัปดาห์ที่ผ่านมาในสิ่งที่คิดว่าสุขภาพเขาไม่ได้รู้สึกสบายเหมือนเดิม
“จากที่คนไข้บอกว่าร่างกายอ่อนเพลีย
อยากนอนตลอดเวลา
น้ำหนักขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุแล้วท้องนูนขึ้น
ถ้าเป็นผู้หญิงหมออาจจะสงสัยว่าคนไข้กำลังตั้งครรภ์นะครับเนี่ย อืม.. หมอคงจะต้องขอตรวจให้ละเอียดขึ้นหน่อยนะครับ”
“คุณหมอครับ
คือ.. ถ้าผมถามอะไรสักอย่าง คือมันอาจจะเป็นไปไม่ได้
แต่คุณหมอช่วยอย่าคิดว่าผมเป็นบ้าได้ไหมครับ”
แทอิลไม่อยากเสียเวลาตรวจไปมากกว่านี้
ไม่อยากอ้อมค้อมแต่ก็ไม่กล้าพูดตรงๆ อยากจะได้ผลลัพธ์ที่เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ภายในใจมันร้อนรนให้อยู่นิ่งกว่านี้มันยากเกินกว่าจะทำแล้ว
“ได้สิครับ”
“คือ..
ผมมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายน่ะครับ ผม.. ผมเป็น.. เป็นฝ่ายถูกสอดใส่ แล้วคือ..
ทีนี้คนที่ผมมีอะไรด้วยเขาอ่านข่าวผู้ชายท้องได้ เขาก็เลย.. เอ่อ..
ขอให้ผมตรวจการตั้งครรภ์.. ก่อนมาที่นี่ แล้ว.. คือมันขึ้นสองขีด”
แต่ละคำที่จะต้องพูดออกมามันช่างยากเย็นและน่าอาย
แทอิลล้วงภายในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบแท่งสีขาวต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องมานั่งอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ให้กับแพทย์ที่กำลังเป็นผู้ตรวจเขาอยู่
แพทย์หยิบสิ่งที่แทอิลวางให้บนโต๊ะขึ้นมาดูจนคิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติราวกับไม่เชื่อสายตา
“คนไข้ตรวจด้วยปัสสาวะของตัวเองเหรอครับ”
“ครับ
คือ.. สองขีดมันแปลว่า..”
“สองขีดแปลว่าตั้งครรภ์ครับ
แต่แปลกมากนะครับ โอกาสน้อยมากที่จะเกิดเรื่องแบบนี้..”
ใช่
คุณหมอจะไม่เชื่อก็ไม่แปลกหรอกเพราะถ้าเอาไปบอกใครก็ไม่มีใครอยากจะเชื่อทั้งนั้น
เจ้าของผลตรวจยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเขาในตอนนี้
“มีวิธีที่จะตรวจให้ละเอียดกว่านี้ไหมครับคุณหมอ”
“ถ้าเป็นแบบที่คนไข้สงสัย
หมอจะขออนุญาตตรวจแบบการตั้งครรภ์ของผู้หญิงนะครับ”
– The Way We Are –
คนที่มาด้วยกันเข้าไปเกือบจะชั่วโมงแล้ว
เหมือนว่าการรอคอยจะเนิ่นนานเกินกว่าความอดทนที่มีอยู่
ยองโฮตัดสินใจลุกจากที่นั่งรอหน้าห้อง
ถือวิสาสะค่อยๆเลื่อนประตูห้องตรวจที่คนที่เขาพามาด้วยเข้าไปก่อนหน้าออก
แทอิลกำลังนอนอยู่บนเตียงตรวจ
แพทย์กำลังใช้เครื่องมือที่เขาพบเห็นในโทรทัศน์บ่อยๆถูไปมาบริเวณหน้าท้องของแทอิล
ยองโฮเข้ามาแล้วนั่งเงียบๆอยู่ตรงหน้าโต๊ะคุณหมอ
หลังจากที่เข้าไปนั่งได้ไม่นานเหมือนการตรวจจะเสร็จสิ้นพอดี
แพทย์ผู้ทำการตรวจกลับมานั่งที่โต๊ะพร้อมๆกับแทอิลที่เพิ่งลุกจากเตียงตรวจ
ซึ่งตอนนี้ก็มานั่งข้างๆยองโฮแล้ว
“ไม่ใช่เนื้องอกแน่นอนครับ
ถ้าจากที่คนไข้สงสัย ผมว่ามีแนวโน้มจะเป็นแบบนั้นจริงๆ”
“หมะ..หมายความ..ว่า”
“กำลังตั้งครรภ์ครับ”
ผลตรวจจากปากของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคงทำให้ทั้งสองมั่นใจได้แล้วจริงๆ
และแทอิลคงไม่มีข้อโต้แย้งอะไรกับยองโฮอีกถึงเรื่องนี้
เพราะยองโฮได้ฟังจากปากของคนที่น่าเชื่อถือที่สุดสำหรับเรื่องนี้ไปพร้อมๆกันแล้ว
“คุณหมอ
ทำไมผมถึงท้องได้ ร่างกายผมมันแตกต่างจากผู้ชายคนอื่นตรงไหน
อธิบายให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ”
“เรื่องนี้หมอเองก็ยังไม่ทราบว่าทำไม
แต่เรื่องผลการตรวจออกมาทั้งตรวจปัสสาวะหรืออัลตราซาวด์มีผลออกมาเหมือนคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์
หมอไม่อยากให้คนไข้มองว่าการที่ผู้ชายตั้งครรภ์ได้เป็นเรื่องผิดปกติ
อยากให้มองว่ามันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากกว่านะครับ
บนโลกนี้มันน้อยจนแทบจะไม่มีนะครับเรื่องแบบนี้”
คิดว่าฟังแล้วคนฟังจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้างไหม?
ไม่เลย คุณหมออยากจะคลายความกังวลให้เขา แต่มันไม่ได้ลดน้อยลงเลย แค่ผลตรวจมันออกมาว่าท้องมันจบทุกอย่าง
แถมแทอิลยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการว่าทำไมเขาถึงท้องได้ยิ่งรู้สึกแย่
“ผู้ชายท้อง..
ไม่เป็นอันตรายใช่ไหมครับ”
ยองโฮกลัวว่าเรื่องมหัศจรรย์ที่คุณหมอว่าจะเป็นอันตรายหรือเปล่า
ถึงหมอจะว่ามันมหัศจรรย์ แต่ในความคิดของทั้งคู่มันก็ยังคงเป็นความผิดปกติอยู่ดี
“ตอนนี้ยังไม่มีอะไรผิดปกตินะครับ
แต่ต้องสังเกตและดูแลตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ยิ่งตอนนี้เพิ่งจะเริ่มตั้งครรภ์ยิ่งต้องระวัง ไม่งั้นจะแท้งได้”
ได้ฟังอย่างนั้นยองโฮก็สบายใจ
พอตรวจเสร็จเรียบร้อยทั้งคู่ก็ออกมาจากห้องตรวจ ยองโฮขอตัวไปเคลียร์ค่ารักษาพยาบาล
เมื่อเดินกลับมา แทอิลเดินก้มหน้าแสดงสีหน้าที่ไม่ดีนัก
ยองโฮอยากพูดอะไรให้อีกฝ่ายได้สบายใจ แต่ก็รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ในเวลานี้
ยิ่งเป็นคำพูดของเขา ก็คงยิ่งทำให้แย่
“บ้านแทอิลอยู่ไหนล่ะ
ฉันจะไปส่ง”
“แถวๆโรงเรียนซองวอน
แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวเรากลับเอง”
“ฉันจะไปส่งนายเอง
สติดูไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแบบนี้ฉันปล่อยนายไปไม่ได้หรอก”
จะให้ปฏิเสธความหวังดีที่ยองโฮมีให้ก็คงไม่มีประโยชน์เพราะมันคงเป็นการปฏิเสธที่ไม่มีความหมาย
แทอิลถึงได้ยอมให้คนที่พามาเป็นคนพากลับไป ทั้งสองแค่เดินไปที่รถอย่างเงียบๆ
ภายในรถก็กลับมาเงียบเหมือนตอนขามา เจ้าของรถอยากจะพูดอะไรหลายอย่าง
แต่พอเหลือบไปเห็นสายตาที่ว่างเปล่าของคนข้างๆก็กลืนคำพูดที่อยากเปล่งออกมาลงคอ
เหมือนฟ้าจะเป็นใจ
ช่วยคลายความอึดอัด โทรศัพท์ของคนที่นั่งเบาะข้างคนขับมีสายโทรเข้าพอดี
สายเข้าจากเพื่อนสนิทมากความสามารถที่ทำงานอยู่ค่ายเพลงชื่อดังเหมือนกัน
“ว่าไงตะยง”
(“ยังจะถามอีกว่ายังไง! แกผิดนัดฉันนะมุนแทล!!!”)
“นัด..
โอย.. ขอโทษจริงๆตะยง ตอนแรกตั้งใจจะไป แต่มันมีเรื่องนิดหน่อย เลยไปไม่ได้
เราก็ลืมโทรบอก”
(“เกิดเรื่องอะไรขึ้น
มุนแทอิลผู้ไม่เคยผิดสัญญาถึงได้ไม่มาหาอีแทยงคนนี้ เล่ามาสิ!”)
พอมาเจอเรื่องของเขากับยองโฮทำให้แทอิลลืมเรื่องนัดที่นัดกับแทยงไปเสียสนิท
ทั้งๆที่ความจริงแทยงเป็นคนนัดก่อนด้วยซ้ำ แทอิลไม่เคยผิดสัญญาอะไรกับใคร
ครั้งนี้เป็นครั้งแรก เพื่อนสนิทที่รู้จักนิสัยแทอิลดีย่อมสงสัยว่าเรื่องอะไรที่ทำให้เพื่อนรักของเขาถึงกับผิดนัดได้
แล้วเขาควรจะตอบเพื่อนรักว่าอะไร ถึงจะดูเป็นเรื่องใหญ่ขนาดทำให้ผิดนัดได้
หากบอกว่าต้องไปโรงพยาบาลเพราะป่วย เพื่อนรักต้องมาเยี่ยมที่บ้านแน่
แทอิลยังไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่เขากำลังจะมีลูก แม้จะเป็นเพื่อนก็ตาม
ตอนนี้เขายังไม่พร้อมจะบอกใครทั้งนั้น
“คือ..
ทะเลาะกับแม่น่ะ ก็เลยไม่อยากออกจากบ้าน”
(“อ่าๆงั้นเหรอ
แล้วนี่ปรับความเข้าใจกับแม่ยังเนี่ย”)
“อื้ม
ดีกันแล้วล่ะ แล้วถ้าจะไปตอนนี้ยังทันอยู่ไหม”
(“ไม่ต้องมาแล้ว
เด็กๆกลับกันหมดละ เดี๋ยวมะรืนแกเข้ามาบริษัทค่อยมาดูก็ได้
มาอีกทีวันจันทร์ใช่ป่ะ”)
“อ่าหะ..
อืมๆโอเค.. ขอโทษจริงๆแก ไว้จะไถ่โทษให้อย่างสาสมเลย.. โอเคๆ บ๊ายบายตะยง”
เมื่อคุยจบก็วางสายจากเพื่อนรักไป
ยองโฮไม่ได้จงใจแอบฟังแต่ก็ดันเผลอฟังไปแล้ว เพิ่งจะนึกออกว่าคนข้างๆบอกตนแล้วว่ามีธุระ
แต่พอมาเจอเรื่องระหว่างพวกเขาเลยลืมไปว่าแทอิลต้องไปทำธุระต่อ ถ้าให้เดา
ปลายสายที่แทอิลคุยด้วยก็คือแทยงเพื่อนหน้าหล่อที่เป็นเพื่อนสนิทของแทอิล
เป็นคนที่แทอิลตั้งใจจะไปหา แต่ก็คงไม่ต้องไปแล้ว
ไม่เช่นนั้นคงบอกให้เขาไปส่งที่ที่นัดหมายกันแทน แต่นี่กลับนั่งนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไร
ยองโฮอยากจะขอโทษที่ทำให้ผิดนัดแต่ถ้าเขาเอ่ยกล่าวอะไรไปมันก็เหมือนว่าเขาไปแอบฟังแทอิลคุยโทรศัพท์ถึงได้นิ่งเฉยเสียดีกว่า
เมื่อขับรถมาถึงแถวโรงเรียนเก่าของทั้งคู่
แทอิลก็บอกทางไปบ้านของตนต่อ อยู่ในหมู่บ้านที่อยู่ห่างจากโรงเรียนประมาณหกกิโลเมตร
เป็นหมู่บ้านที่ไม่ใหญ่และไม่ซับซ้อน
เมื่อเข้าทางหมู่บ้านขับรถเข้าไปไม่ไกลก็ถึงบ้านเดี่ยวสองชั้นที่กั้นบริเวณด้านหน้าด้วยรั้วไม้สีน้ำตาลแก่
ซึ่งเป็นบ้านของแทอิล ยองโฮชะลอรถจนหยุดเทียบตรงหน้าบ้านพอดี
“ขอบคุณที่มาส่งนะ”
แทอิลยิ้มไปตามมารยาท
รวมถึงขอบคุณที่ยองโฮมาส่ง และเหมารวมว่ามันคือคำบอกลาไปด้วยในตัว
กล่าวเสร็จก็ทำท่าจะเปิดประตูลงจากรถ
แต่ก็ถูกคนมาส่งรั้งไว้เสียก่อนจึงยังไม่ทันได้เปิดประตู
“เดี๋ยวก่อนสิแทอิล
ฉันยังคุยกับนายไม่จบเลย”
อยากจะเอ่ยปากถามไปว่านั่งรถกันมานานสองนานทำไมไม่พูดระหว่างทางมา
แต่ก็ไม่สนิทขนาดจะไปพูดอย่างเสียมารยาทแบบนั้น
“ขอโทรศัพท์มือถือหน่อย
ฉันจะเมมเบอร์ให้”
แม้ไม่อยากจะให้แต่ก็หยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ายื่นให้คนข้างๆ
เหมือนจะมากกว่าการบันทึกเบอร์โทรศัพท์ลงไป ยองโฮรับมือถือแทอิลมากดอยู่นานสองนานแล้วจึงคืนให้กับเจ้าของ
“ฉันเมมเบอร์ฉันไว้ในเครื่องให้เรียบร้อยแล้ว
บันทึกชื่อไว้ว่ายองโฮ ในบันทึกชื่อนอกจากเบอร์ ยังมีที่อยู่ที่ทำงานของฉัน
แล้วก็มีที่อยู่บ้านด้วย ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรหาหรือว่าไปหาฉันที่บ้านได้..
ฉันรู้ว่าแทอิลกังวล แต่ฉันไม่ใช่คนไม่มีความรับผิดชอบ ฉันจะรับผิดชอบนายกับลูกอย่างแน่นอน”
“อื้ม”
“ภายในสัปดาห์นี้ฉันจะติดต่อนายอีกทีนะ..
ฉันก็.. ไม่มีอะไรจะพูดแล้วล่ะ แทอิลก็.. พักผ่อนให้มากๆนะ”
“นายเองก็อย่าเครียดมากนะยองโฮ”
ยองโฮพยักหน้าให้
แทอิลจึงลงจากรถและเข้าบ้านไป ลมหายใจที่ถูกเก็บไว้ในปอดเพราะความเกร็งถูกปล่อยออกมาเฮือกใหญ่เมื่อแทอิลลงจากรถ
ตั้งสติพักหนึ่งก็ค่อยๆขับรถออกจากบริเวณหน้าบ้านแทอิลไป
มีเรื่องให้คิดและจัดการมากมาย
จะให้ไม่เครียดอย่างที่อีกคนบอกเอาไว้จะทำได้ไหมก็ไม่รู้
– The Way We Are –
พอกลับมาบ้านแทอิลก็ทำตัวเหมือนปกติ
ยังไม่คิดจะบอกเรื่องความผิดปกติของตัวเองกับบิดาและมารดาในตอนนี้เพราะยังไม่พร้อม
พอเสร็จมื้อค่ำก็ขอตัวขึ้นห้องนอนเพราะรู้สึกอ่อนเพลียและใกล้จะหมดแรง
รีบเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำเตรียมตัวจะเข้านอน
เมื่อก้าวขึ้นเตียงก็ตั้งใจจะชาร์จแบตให้กับโทรศัพท์มือถือ
แต่ก็นึกได้ว่ายังไม่ได้เอาออกจากกระเป๋าเลยตั้งแต่เก็บไว้หลังให้ยองโฮบันทึกเบอร์โทรศัพท์
จึงเดินไปที่กระเป๋าซึ่งวางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ
พอเจอโทรศัพท์มือถือก็บังเอิญเจอกับสิ่งที่ไม่อยากเก็บไว้แต่เผลอหยิบใส่กระเป๋ามาด้วย
คือเครื่องตรวจการตั้งครรภ์
แทอิลเดินกลับมายังเตียงนอนพร้อมกับโทรศัพท์มือถือในมือและที่ตรวจการตั้งครรภ์ในมืออีกข้าง
ล้มตัวลงนอนหวังจะหลับตาลงให้เวลาของวันนี้ได้ผ่านพ้นไปแต่กลับไม่เป็นดังหวัง
ไม่รู้เหตุใดสายตาถึงได้มองแต่เครื่องแสดงผลการตรวจที่ขึ้นสองขีดอยู่ได้ไม่ยอมละสายตา
น้ำใสๆไหลออกมาจากดวงตาอีกครั้ง
ความกลัดกลุ้มในสมองมันถ่าโถมเข้ามาให้คิดจนท้อใจพาลส่งผลให้น้ำตาไหลยิ่งกว่าเดิม
ชีวิตจะก้าวเดินต่อไปอย่างไร
คิดไม่ออกเลยสักนิดเดียว
“คุณซล
แทลจะทำยังไงดี..”
– The Way We Are –
หนุ่มอายุจะย่างเข้ายี่สิบเก้าในอีกสองเดือนหน้ายืนยิ้มอยู่หน้าประตูสีขาว
ใช้กุญแจที่ไปขอจากว่าที่พ่อตากับแม่ยายไขปลดล๊อคกลอนประตูห้องนอนของคนรักจนสามารถเปิดประตูเข้าห้องไปได้
คนที่เพิ่งเข้าห้องมาก้าวเดินอย่างเบาเท้า
มุ่งตรงไปยังเตียงที่เจ้าของห้องกำลังนอนหลับใหลไม่รู้เรื่องว่าใครกำลังเข้ามาโดยพลการ
ขึ้นไปนั่งบนเตียงสีขาวอย่างค่อยๆ
พินิจมองใบหน้าของคนรักที่ไม่ได้เจอกันนานเกือบเดือนอย่างโหยหา
เมื่อมองจนพอใจก็เอนตัวลงไปนอนข้างคนรัก
เลื่อนตัวไปใกล้แล้วใช้แขนพาดเอวคนที่นอนไม่ยอมตื่น
“แทล
ตื่นได้แล้ว”
จีฮันซลกระซิบข้างหูของคนรักเบาๆ
คนโดนกระซิบเริ่มจะรู้สึกตัวโดยการขยับไปมา ดวงตาที่หนักอึ้งเพราะผลพวงจากการร้องไห้เมื่อคืนเริ่มลืมตาขึ้นมา
ใบหน้าสวยหันหน้าไปหาคนต้นเสียงที่นอนอยู่ข้างกาย
ตื่นเช้ามาวันนี้ได้เจอกับแฟนสุดหล่อเป็นคนแรก คลี่ยิ้มให้ด้วยความดีใจและคิดถึงไปพร้อมกัน
“ตอนนี้แทลคิดถึงคุณซลจนเห็นภาพหลอนเลยเหรอเนี่ย”
“ภาพหลอนหรือตัวจริง
ลองพิสูจน์ดูไหมละ”
“จะพิสูจน์ยังไง”
“มอร์นิ่งคิสแบบหวานฉ่ำกับคุณซลไหมละจ๊ะ
แทลจ๋า~”
ว่าไปก็โน้มใบหน้าเข้าใกล้คนอยากรู้ว่าจะพิสูจน์ให้เชื่อได้ยังไงว่าที่เห็นอยู่ตอนนี้ภาพหลอนเพราะความคิดถึงหรือเป็นตัวจริงเสียงจริง
แทอิลใช้มือที่สอดอยู่ใต้ผ้าห่มกั้นใบหน้าหล่อของฮันซลผลักออกเบาๆ
“ไม่คิส
แทลยังไม่ได้แปรงฟัน”
“ไม่คิสก็ได้.. หอมเลยแล้วกัน!”
พูดจบก็รีบชิงหอมแก้มก่อนจะโดนแทอิลห้าม
แต่ถ้าฮันซลจะขอหอมจริงๆก็คงไม่ห้าม ด้วยความรักและคิดถึงหลังจากห่างกันนาน
จะขอกอดหรือหอมแก้ม ก็ไม่ปฏิเสธ
“ไหนคุณซลบอกแทลว่าจะกลับวันเสาร์”
“ก็อยากรีบกลับมาหาแทล
เซอร์ไพรส์!”
“โกหกหรือเปล่า
บอกความจริงมาซะดีๆ ทำไมกลับก่อนกำหนด”
“พูดจริงๆ
ที่รีบกลับมานี่เพราะคิดถึงแทลจริงๆ คิดถึงแทบขาดใจ”
ถ้าไม่ติดว่าคบกันมานานตั้งสามปี
แทอิลคงไม่อยากจะเชื่อคนหล่อแบบที่คุณซลของเขาที่บอกว่าคิดถึง คนหล่อน่ะเจ้าชู้
ลมปากไม่น่าเชื่อถือ แต่คุณฮันซลเคยมองใครอื่นนอกจากแทอิลที่ไหน
เถลไถลอื่นไกลไม่เคยมี อย่างนี้ที่บอกว่าคิดถึงจะยอมเชื่อก็ได้
เขาเองไม่ใช่ว่าไม่คิดถึงคุณฮันซลเสียเมื่อไร คิดถึงไม่แพ้กัน เมื่อคืนก่อนนอนก็ยังคิดถึงอยู่เลย
“รีบไปอาบน้ำได้แล้วแทล
นี่คุณซลหิวข้าวเช้าจะแย่ กะมาฝากท้องไว้กับคุณพ่อตากับคุณแม่ยายเลยเนี่ย”
“โอเค
แทลจะรีบอาบน้ำนะ คุณซลลงไปรอข้างล่างก็ได้
แต่ถ้าจะนั่งรอบนห้องก็เก็บที่นอนให้ด้วยนะ ฮ่าฮ่า”
แทอิลยันเตียงแล้วลุกขึ้นอย่างขี้เกียจหน่อยๆ
รีบเดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวที่ตากไว้ ออกจากห้องไปยังห้องน้ำเพื่อทำภารกิจส่วนตัว
ฮันซลค่อยลุกจากเตียงเมื่อเจ้าของห้องเดินออกจากห้องไปพักหนึ่ง
ลุกขึ้นมาช่วยเก็บที่นอนของแทอิลให้เป็นระเบียบ มือตบๆหมอนให้ฟูน่านอน
แล้วดึงผ้าห่มออกเพื่อจะพับเก็บ ตอนที่ดึงผ้าห่มออกจากเตียง
ได้ยินเสียงเหมือนของบางอย่างตกลงจากเตียงลงสู่พื้น
ฮันซลจึงหยุดที่จะพับผ้าห่มชั่วคราว
ก้มลงมองหาของที่ตกตรงพื้นบริเวณรอบเตียงก็เจออย่างง่ายดายเพราะอยู่ใกล้กับปลายเท้า
แต่เมื่อหยิบขึ้นมาก็ต้องชะงัก
ของที่เขาไม่เคยใช้แต่ก็รู้จักมันเพราะเคยเห็นอยู่บ้างในโทรทัศน์
และไม่คิดว่าจะเห็นของสิ่งนี้ตกอยู่ในห้องของแฟนที่น่ารักของตน
ทำไมแทลของเขาถึงมีของสิ่งนี้ได้?
ทำไมเครื่องตรวจการตั้งครรภ์ถึงมาอยู่กับแทอิลได้? ยิ่งเห็นว่าช่องแสดงผลขึ้นเป็นสองขีดที่แสดงว่ากำลังตั้งครรภ์ยิ่งทำให้ใจเต้นแรงเข้าไปอีก
นี่มันเป็นผลตรวจของใครกัน?
ระหว่างที่เขาไม่อยู่เกาหลี
แทอิลไปทำอะไรไว้หรือเปล่านะ ปิดบังอะไรเขาอยู่หรือเปล่า
– The Way We Are –
ฮันซลลงมานั่งคุยกับคุณพ่อและคุณแม่ของแทอิลได้พักหนึ่ง
แทอิลก็ลงมาหลังอาบน้ำเสร็จ จึงได้เริ่มรับประทานอาหารเช้ากัน
เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จ คุณพ่อและแม่ของแทอิลก็ออกไปทำธุระนอกบ้าน
ในบ้านจึงมีเพียงแค่สองคนที่อยู่ ซึ่งมันก็ถือว่าดีที่จะได้อยู่กันสองคน
“คุณซลซื้อของมาฝากแทลด้วยนะ
โอยย แพงมาก ไม่อยากซื้อมาเล้ยยย แต่กลัวคนน่ารักแถวนี้จะน้อยใจ”
“คุณซลไปต่างประเทศตั้งกี่รอบ
ซื้อของมาฝากแทลตั้งเท่าไรแล้ว จะไปน้อยใจได้ยังไง.. แต่นี่ไปถึงฝรั่งเศสนะ
ถ้าของฝากไม่ใช่หอไอเฟลละก็นะ..”
ฟังแล้วก็ขำกับคำพูดน่ารักๆของแทอิล
ฮันซลยื่นถุงกระดาษที่มีตราสัญลักษณ์ของแบรนด์สินค้าชื่อดังที่มีต้นกำเนิดจากฝรั่งเศส
ถิ่นที่ฮันซลไปเหยียบมา แทอิลเปิดถุงกระดาษดูก็พบกล่องผูกโบว์สวย
เปิดดูในกล่องก็พบว่าเป็นน้ำหอมในตำนานที่ใครต่างก็รู้จัก
และหากชื่นชอบในน้ำหอมจะต้องมีไว้ครอบครองสักขวด สีหน้าแทอิลยิ้มชอบใจกับของฝากจากปารีสเป็นที่สุด
“พอจะทดแทนหอไอเฟลได้ไหม
แทลแทล”
“ได้อยู่แล้ว..
แทลชอบนะ แต่ว่าเกรงใจอ่ะ มันแพงมากเลยไม่ใช่เหรอ”
“แทลก็รู้ว่าเงินเดือนคุณซลซื้อของแค่นี้มันไม่เท่าไรหรอก
แล้วอีกอย่าง ถ้าเทียบราคาน้ำหอมขวดนี้กับความรักที่คุณซลมีให้แทลเนี่ยนะ
น้ำหอมราคามันน่าจะถูกกว่ากันเยอะ
เพราะความรักของคุณซลที่ให้แทลมันแพงมากมายมหาศาลจนตีค่าเป็นเงินไม่ได้เลย
รักของคุณซลมีค่ามากเลยนะ รู้หรือเปล่า”
“แทลรักคุณซลนะ”
แทอิลเอนตัวเข้ากอดฮันซล
ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งมั่นใจว่าคนที่กอดรักตนไม่เปลี่ยนแปลง
แต่นับต่อจากนี้มันอาจจะแปลงเปลี่ยนไป
จะต้องบอกคุณฮันซลอย่างไรดีว่าเขากำลังจะมีลูก เขาจะเป็นทั้งพ่อและแม่ในคราวเดียวกัน
และยังมีคนอีกคนที่เป็นพ่อแท้จริงของเด็กในท้อง คนที่ไม่ใช่จีฮันซล
คุณฮันซลจะรับได้ไหมว่าเขามีความสัมพันธ์กับคนอื่น
แม้จะเป็นทางกายไม่ใช่ทางใจ จะรับได้ไหมว่าความจริงแล้วเขาผิดปกติ
ที่สามารถท้องได้ทั้งที่ไม่ใช่ผู้หญิง รู้ว่ายังไงคุณฮันซลก็ต้องรู้เรื่อง
แต่ควรจะบอกให้คุณซลรับรู้จากปากของเขาเอง
หรือควรจะปล่อยให้รู้เองแม้แทอิลจะไม่ได้บอกดีคือสิ่งที่ลังเล
“ไหนลองดมน้ำหอมสิ
ว่ากลิ่นเป็นยังไง ถูกใจไหม”
กอดกันนานจนเกือบจะลืมของฝากจากต่างประเทศ
ฮันซลหยิบขวดน้ำหอมมาเปิดฝาชวนให้แทอิลดมกลิ่น แม้ปากขวดจะไม่ได้อยู่ติดจมูกแทอิล
แต่ก็รู้สึกได้ว่ากลิ่นมันไม่น่าพิสมัยเสียเท่าไร เขารู้สึกเหมือนจะคลื่นไส้อย่างไรอย่างนั้น
แทอิลกำลังจะรับขวดน้ำหอมมาจากมือฮันซล หวังจะตั้งใจดมให้มากกว่าเดิม
แต่เหมือนอาหารในท้องที่เพิ่งจะกินเข้าไปจะขย้อนออกมา ยังไม่ทันจะรับน้ำหอมมาก็รีบปล่อยมือจากขวด
โชคดีที่ฮันซลยังไม่ได้ปล่อยมือจากขวดน้ำหอมทำให้ไม่ตกแตก
ฮันซลรีบปิดฝาขวดน้ำหอมแล้ววางลงบนโต๊ะทันที
“เป็นอะไรหรือเปล่าแทล
กลิ่นไม่ถูกใจเหรอ”
“ปะ..เปล่าคุณซล
เมื่อกี๊แทลคงกินเยอะไปหน่อย กลิ่นน้ำหอมมันคงเข้าไปปั่นป่วนน่ะ”
“แล้วกลิ่นเป็นไง
สรุปว่าชอบหรือเปล่า”
“ชอบอยู่แล้ว
กลิ่นหอมมาก ขอบคุณนะคุณซล”
แทอิลทำเป็นหยิบน้ำหอมมาดมอีกครั้ง
ทั้งที่ความจริงกลั้นหายใจอยู่ทุกครั้งที่ได้กลิ่น นั่งสนใจของฝากกันอยู่พักหนึ่ง
ฮันซลก็ถามไถ่ถึงความเป็นอยู่ของคนรักในช่วงที่ตนไปทำงานต่างประเทศ แม้ปัจจุบันจะไม่ต้องเสียค่าโทรศัพท์คุยกันให้เปลืองเงิน
ใช้การสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไร้พรมแดนก็ได้
แต่เวลาของโซลและปารีสต่างกันนัก ตอนคนอยู่ปารีสทำงานอีกคนที่โซลก็เข้านอน
พออีกคนที่ปารีสจะนอนอีกคนโซลก็ทำงาน จึงไม่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไร
ในทีแรกแทอิลก็พูดคุยเล่าเรื่องทำอัลบั้มใหม่ให้กับนักร้องสาวในค่าย
แต่พอผ่านไปพักหนึ่งก็กลายเป็นว่าเสียงที่เจื้อยแจ้วเล่านั้นกลับเบาลงจนเงียบไป
คนหน้าหวานเผลอพิงไหล่แฟนหนุ่มที่มาหาที่บ้าน หลับไปเป็นที่เรียบร้อย
ฮันซลจึงค่อยๆเอามือประคองศีรษะแทอิลออก ตัวก็ลุกขึ้นแล้วค่อยๆวางศีรษะแทอิลลงกับโซฟา
จัดท่านอนให้แทลของเขานอนสบาย
ฮันซลรู้สึกผิดหวังอยู่หน่อย
เขาเพิ่งจะมาถึงโซลเมื่อตอนเกือบตีห้า พอมาถึงก็รีบกลับไปบ้านของตน
ไปเก็บของกับนอนพักสองชั่วโมงก็รีบมาบ้านแทอิลที่เขาคิดถึงแทบขาดใจ
ความจริงวันนี้เป็นวันทำงานของแทอิล ถึงได้รีบมาหา
พอมาถึงก็ได้รู้จากคุณพ่อของแฟนที่น่ารักว่าแฟนได้หยุดหนึ่งสัปดาห์ วันนี้หยุดวันสุดท้ายเสียด้วย
ก็ยิ่งดีใจใหญ่กะจะพาออกไปเดทกันสองต่อสอง แต่แทอิลกลับหลับไปแล้ว
เขาไม่กล้าจะปลุกเพราะเห็นว่าเรื่องของคนจะหลับ ไปปลุกคงไม่ดีจึงต้องปล่อยให้นอนไป
ส่วนตัวเองก็ได้แต่นั่งมองหน้าหวานของคนรักที่หลับตาพริ้ม
ทั้งๆที่แทอิลเพิ่งจะลุกจากที่นอนมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วเอง
ทำไมถึงยังง่วงนอนอีกได้ หรือว่าเมื่อคืนแทลของเขานอนไม่หลับ?
มันจะเกี่ยวกับของที่เขาเจอบนเตียงหรือเปล่า อยากถามให้หายสงสัย ให้หายคิดมาก
แต่ถ้าเกิดว่าถามไปแล้วเขาเกิดไม่เชื่อว่าที่แทอิลพูดเป็นความจริง
จะทำให้พาลหัวเสียโกรธไปเปล่าๆ
เขาอาจจะคิดมากไปเองก็ได้..
ได้แต่คิดแบบนั้น
– The Way We Are –
แทอิลรู้สึกหลับจนเต็มอิ่ม
ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ไม่เห็นคุณซลของตนอยู่ใกล้ๆ จำได้ว่าตอนก่อนหน้าที่จะหลับไปยังนั่งคุยกันอยู่
แต่แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังมาจากไหนสักแห่งในบ้าน ซึ่งน่าจะเป็นห้องครัว
จึงเดินไปยังที่มาของเสียง
เห็นว่าคนรักของตนกำลังนั่งคุยกับบิดาและมารดาอยู่อย่างสนุกสนาน
“นั่นไงคุณฮันซล
แทลของเราตื่นแล้ว”
พอแทอิลเดินเข้ามาในครัวแม่ก็ทักเข้าให้
ฮันซลหันมายิ้ม ทั้งยังลุกขึ้นมาดึงเก้าอี้ที่สอดอยู่ใต้โต๊ะออกมาเพื่อให้ลูกชายหน้าหวานของเจ้าของบ้านได้นั่ง
“แย่จริงๆเลยแทล
คุณฮันซลเขาอุตส่าห์มาหา มาหลับได้ยังไง”
“ก็คนมันง่วงนี่ครับแม่”
พูดไปก็ทำท่าเหมือนจะหาววอดออกมา
แต่ก็เกรงใจฮันซลถึงได้เลือกจะยิ้มให้แทนที่จะแสดงอาการหาวออกมา
“วันนี้เราออกไปกินข้าวนอกบ้านกันดีไหมครับ
แถวบ้านผมมีร้านอาหารไทยเปิดใหม่ คุณพ่อกับคุณแม่น่าจะชอบ”
ฮันซลเห็นว่าวันนี้อีกครอบครัวหนึ่งของเขาอยู่บ้านกันพร้อมหน้าพร้อมตา
มีความคิดอยากจะพาทั้งสามคนออกไปกินข้าวด้วยกัน เขาไม่ค่อยได้มาเยี่ยมพ่อกับแม่ของแทอิลสักเท่าไร
คะแนนจะตกหรือเปล่าก็ไม่รู้ วันนี้มีโอกาสต้องเร่งทำคะแนนอย่าให้ตก ไม่เช่นนั้นอีกสองเดือนข้างหน้า
พ่อกับแม่ของแทลของเขาอาจจะไม่ยกลูกชายให้เขาก็ได้
“คุณฮันซลไปกับแทลสองคนเถอะ
ไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคนมาตั้งเกือบเดือน อยากอยู่กันสองต่อสอง พ่อรู้หรอกน่า”
ชายผู้เป็นบิดาของแทอิลเอ่ยปากแซว
คนโดนแซวทั้งคู่ถึงกับอาย แม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรก
แต่ก็ยังเขินอายในทุกครั้งที่พ่อพูดแบบนี้
“ถ้างั้นก็ขอพาลูกชายที่น่ารักของคุณพ่อกับคุณแม่ออกไปกินอาหารมื้อเย็นหน่อยแล้วกันนะครับ”
– The Way We Are –
เมื่อแทอิลล้างหน้าเปลี่ยนชุดออกจากบ้านเสร็จ
ทั้งคู่ก็นั่งรถออกมาจากบ้านเพื่อจะไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน ฮันซลหันมามองคุณแฟนที่นั่งเบาะข้างระหว่างขับรถเหมือนว่าคนที่เพิ่งจะตื่นไม่นานกำลังจะหลับตาลงอีกครั้ง
จึงเอื้อมไปเปิดวิทยุในรถให้ส่งเสียงสร้างความรำคาญให้กับคนกำลังจะหลับ
จะได้ไม่ต้องหลับอีก ไม่ใช่อยากจะแกล้งหรือฝืนบังคับให้อีกคนต้องตื่น
แต่เห็นว่าแทอิลหลับมาเพียงพอแล้ว เขาอยากจะนั่งคุยกับแฟนบ้างสิ
“แทล
เราไม่สบายอะไรหรือเปล่า คุณซลเห็นเราเอาแต่จะนอนท่าเดียว
เมื่อครู่คุยกับพ่อแม่แทล ท่านบอกว่าช่วงนี้แทลนอนเกือบจะทั้งวันเลย”
อดจะห่วงแทอิลไม่ได้จริงๆ
แทลของเขารักในงานโปรดิวเซอร์มาก จึงได้หักโหมกับงานมากเพราะความรักในสิ่งนั้น
แต่หลายครั้งมันทำให้แทอิลไม่ได้นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ ร่างกายมันก็มีขีดจำกัด ไม่รู้คราวนี้หักโหมมากขนาดไหนถึงได้เอาแต่นอนทั้งวัน
“พักผ่อนน้อยสะสมละมั้งคุณซล
ไม่ได้เป็นอะไรหรอก”
แทอิลได้แต่ปัดเกี่ยงเหตุผลไปให้กับพฤติกรรมที่ไม่ดีของตนที่ฮันซลก็รู้ว่าตนชอบทำบ่อยๆ
แม้แท้จริงจะพอเดาออกว่าเหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะพักผ่อนน้อยอย่างที่ว่า
ก่อนหน้านี้เขาพักผ่อนน้อยก็จริง แต่มันก็คงไม่ส่งผลเป็นสัปดาห์ขนาดนี้ แค่นอนหลับพักผ่อนกินอาหารให้ครบสองสามวันก็หาย
ที่เป็นเช่นนี้ก็อาจเพราะสิ่งมีชีวิตในท้องของเขากำลังแย่งพลังงานไปจนเกือบหมด
แทอิลไม่ได้มีพลังงานเหลือเฟือไว้ใช้คนเดียวเหมือนเมื่อก่อน
ตอนนี้ยังมีอีกหนึ่งชีวิตที่ร่างกายเขาต้องแบ่งปันทุกสิ่งอย่างให้
“ไหนๆก็ว่างแล้ว
ก่อนไปกินข้าว แวะไปหาหมอที่โรงบาลก่อนดีกว่ามั้ง คุณซลเป็นห่วงจริงๆนะ”
“ไม่เอาน่าคุณซล
แทลไม่เป็นอะไรมากจริงๆ”
“รู้ได้ไง
หืม? แทลของคุณซลไม่ได้เป็นโปรดิวเซอร์แต่เป็นหมอแล้วเหรอ?”
“กะ..ก็..
เมื่อวานแทลเพิ่งจะไปหาหมอมา หมอเขาก็บอกว่าแทลพักผ่อนน้อยไปนั่นแหละ
เขาถึงได้ให้พักผ่อนมากๆ นอนเยอะๆ จะได้หายไวๆไง”
พอแทอิลบอกอย่างนั้นฮันซลก็ล้มเลิกความคิดจะพาแฟนขี้เซาไปโรงพยาบาล
โชคดีที่ฮันซลเชื่อว่าเป็นเพราะพักผ่อนน้อย โชคดีที่ฮันซลจะไม่พาเขาไปโรงพยาบาล
ไม่งั้นคุณซลต้องรู้ความจริงๆแน่ สักวันยังไงก็ต้องรู้ แต่จะให้มารู้อย่างกะทันหันแบบนี้เขาก็ยังไม่พร้อมบอก
ฮันซลเองก็คงไม่พร้อมจะฟัง
ถึงตอนนั้นที่บอกความจริง
แม้จะเกิดอะไรขึ้นมุนแทอิลจะยอมรับมันทุกอย่าง ต่อให้ต้องเสียคนรักไปก็ตาม
แต่เขาจะไม่มีวันทำลายชีวิตเด็กคนหนึ่งที่กำลังจะเกิดมา หากจะต้องทำร้ายเด็กคนนี้
เขาคงรู้สึกผิดมากกว่าการที่สามารถรั้งให้คุณฮันซลอยู่กับเขาได้แต่ลูกของเขาในอนาคตจะต้องจากไป
– The Way We Are –
ยองโฮตั้งใจจะบอกกับครอบครัวเรื่องของแทอิล
แต่เหมือนฟ้าจะยังไม่เป็นใจ เตนล์ผู้เป็นคนรักโทรมาหาเสียก่อน
บอกว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าจะบินมาเกาหลี อยากให้ไปรับที่สนามบิน ยองโฮจึงหยุดเรื่องที่จะพูดคุยกับครอบครัวเอาไว้
ก่อนที่เขาจะบอกครอบครัว เขาควรจะตัดสินใจเรื่องนี้กับเตนล์เสียก่อน เตนล์..
คนที่เขารักที่สุด เขาจึงคิดว่าควรให้เกียรติกับเตนล์ได้รู้เรื่องก่อน
แม้เรื่องที่เขาทำไปจะถือว่าทำให้คนรักของเขาเสียเกียรติมากไปแล้วก็ตาม
พอเลิกงานของตัวเองก็รีบไปสนามบินทันที
พอไปถึงเครื่องที่ดาราหนุ่มบินกลับมาก็ลงจอดพอดี
ยองโฮทำตัวเหมือนแฟนคลับที่สนามบิน ไปยืนรอติดตรงบริเวณทางออก
ไม่นานนักก็เห็นแฟนหนุ่มตัวเล็กของเขาใส่เสื้อยืดตัวอักษร T ที่เขาเป็นคนซื้อให้
ก็ทำให้เห็นได้ทันทีว่าเตนล์มาถึงแล้วจริงๆ
ยองโฮเดินเข้าไปหาแล้วช่วยเข็นกระเป๋าของแฟนหนุ่มคนดังอย่างที่เคยทำ
“น่าจะโทรบอกล่วงหน้าสักหน่อยนะครับว่าจะกลับ
มาบอกเอาวันกลับแบบนี้เกือบมารับไม่ทัน”
“นี่ก็อุตส่าห์โทรบอกก่อนเครื่องจะออกแล้ว
ไม่โทรบอกตอนมาถึงก็ดีแค่ไหนแล้วพี่ยองโฮ”
“ครับๆ
ไม่บ่นแล้วครับคุณชิตพล”
เตนล์ยิ้มกว้างกับความว่าง่ายของแฟนรุ่นพี่ตัวสูง
ระหว่างทางเดินไปที่รถก็มีคนเข้ามาขอถ่ายรูปและขอลายเซ็นกับเตนล์มากมาย
แต่ยองโฮก็หยุดยืนรอไม่มีบ่นหรือมีท่าทีเบื่อหน่าย
มีเสียงกระซิบให้ได้ยินว่าทั้งคู่ดูเหมาะสมกันมากขนาดไหนก็ยิ่งทำให้ยองโฮรู้สึกผิดกับเตนล์มากเท่านั้น
เมื่อถึงรถของยองโฮ
เตนล์ก็เป็นฝ่ายเอากระเป๋าขึ้นรถเอง ให้ยองโฮไปสตาร์ทเครื่องรอจะได้ไม่เสียเวลา
เมื่อเก็บกระเป๋าใส่รถเสร็จดาราหนุ่มจึงขึ้นไปนั่งเบาะข้างคนขับ เมื่อพร้อมรถจึงออกจากลานจอดรถ
“จะกลับบ้านเลยหรือว่าจะไปไหนก่อนหรือเปล่า”
“ขับรถไปเรื่อยๆก่อนได้ไหมอ่ะ
ผมอยากนั่งรถเล่น”
การที่บอกให้ขับไปเรื่อยๆนั้นยองโฮรู้ดีว่าเตนล์หมายถึงให้ขับไปที่ไหน
ยองโฮจึงค่อยๆขับไปอย่างช้าๆไม่เร่งรีบ ขับด้วยอัตราเร็วที่ช้ากว่าปกติเพื่อให้แฟนของเขานั่งสบาย
“ทำไมกลับเกาหลีกะทันหันจังล่ะเตนล์”
“มีงานด่วนก็เลยต้องรีบมา
ขอโทษด้วยนะที่จู่ๆก็บอกจะให้มารับ ช่วงนี้พี่ยองโฮคงยุ่งมากแน่เลย”
พอพูดจบก็เงียบไปกันอีกครั้ง
ปกติระหว่างนั่งรถจะต้องนั่งคุยกัน แต่วันนี้กลับแปลกไปเพราะไร้ซึ่งเสียงพูดคุยไม่รู้เพราะเหตุใด
ทั้งที่ไม่ได้เจอกันมานานพอสมควร ไม่มีเรื่องที่โกรธเคืองกัน
“เตนล์
พี่มีเรื่องอยากคุยด้วย”
“เป็นคำพูดที่น่ากลัวสำหรับผมจัง
ว่าแต่มีอะไรเหรอพี่ยองโฮ”
คนเริ่มประเด็นยังไม่ได้พูดอะไร
แต่เปิดไฟเลี้ยวเพื่อเปลี่ยนเลนส์ในการขับรถจากเลนส์กลางไปยังริมขวาสุด
ค่อยๆลงระดับความเร็วลงจนรถหยุดในที่สุด สีหน้าของยองโฮดูไม่ดีจนเตนล์แอบหวั่นใจ
ฝ่ายหนึ่งอยากพูดและอีกฝ่ายรอจะรับฟังด้วยหัวใจที่เต้นรัว
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า
ถึงกับต้องจอดรถคุย”
“คือพี่มีเรื่องจะสารภาพ
มันไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แต่ว่าเตนล์ต้องรู้”
มันลำบากใจที่จะพูด
ยากที่จะพูดยิ่งนัก แต่ยองโฮก็ต้องพูดมันออกมาก่อนที่จะสายเกินไป
เขาต้องรีบจัดการทุกอย่างให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตอนนี้ก็รู้สึกว่ามันเกือบจะสายไป แต่ช้าแค่ไหนก็ต้องรับผิดชอบ
“พี่ทำคนๆนึงท้อง”
ใจของเตนล์เต้นแรงเสียจนแทบจะระเบิดออกมา
ไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนรักที่แสนดีของเขาจะมีเรื่องราวเช่นนี้ได้
เพราะยองโฮไม่เคยมีเรื่องเสียหาย
มีแต่เรื่องที่จะทำให้เขารู้สึกว่าเขาช่างเป็นคนที่โชคดีเสมอที่ได้คบหากับผู้ชายคนนี้
ในใจของเตนล์มันรู้สึกหนาวเย็นและร้อนรุ่มไปพร้อมกัน แต่เตนล์ไม่ใช่คนใจร้อน
เขาเป็นคนใจเย็นและพร้อมจะรับฟังคนรักเสมอ
“เรื่องมันเป็นยังไงพี่ยองโฮ”
“...”
“พี่ยองโฮบอกผมที
ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“เมื่อสองเดือนก่อนมีงานเลี้ยงรุ่นสมัยมัธยม
คืนนั้นพี่เมามาก แล้วเขาก็เมามาก เราสองคนก็เลย.. มีอะไรกันโดยไม่รู้ตัว
พี่เพิ่งจะรู้ว่า.. เขาท้อง”
ยองโฮยอมรับผิดทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง
สีหน้าคล้ายจะร้องไห้ออกมา มือเรียวเล็กของเตนล์บีบไหล่คนรักให้คลายความกังวล
แม้จะผิดหวังในตัวพี่ยองโฮอยู่บ้าง ไม่สิ เขาคงต้องยอมรับว่าผิดหวังมาก อยากจะโกรธ
โกรธจนอยากจะระบายออกมา แต่ไม่รู้จะแสดงมันออกมายังไง
มันช็อคเกินกว่าจะควบคุมความคิดหรือการแสดงออก
ในเมื่อเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะความไม่มีสติของคนทั้งคู่ จะโทษคนรักของตนฝ่ายเดียวก็ไม่ได้
แม้ไม่รู้ว่ามันจะจริงเท็จแค่ไหนสำหรับคำพูดที่ว่า ‘เมาไม่รู้ตัว’
แต่ถ้าซอยองโฮจะพูดแบบนั้น จะเล่าแบบนี้
เตนล์ก็จะเชื่อคนรักที่ไม่เคยหลอกลวงอะไรเขาแม้แต่อย่างเดียว
“แล้วพี่จะทำยังไงต่อ”
“พี่จะรับผิดชอบเขาครับ
พี่คงให้เขาเลี้ยงลูกคนเดียวไม่ได้ มันเป็นเรื่องเดียวที่พี่คิดว่าพี่จะทำได้ดีที่สุดแล้วเตนล์
เตนล์จะโกรธหรือเกลียดพี่ก็ได้ แต่พี่อยากจะรับผิดชอบในสิ่งที่พี่เองก็มีส่วนผิด”
เขารู้ว่าที่ยองโฮพูดหมายความว่าอย่างไรในเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับยองโฮ
ต่อจากนี้มันคงจะเป็นอย่างเดิมไม่ได้ คงเป็นคู่รักที่ใครๆต่างก็อิจฉาไม่ได้อีกแล้ว
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่ากับความคิดของยองโฮ
เตนล์เข้าใจและเคารพการตัดสินใจของคนรักรุ่นพี่เสมอ
คนรักของเขามีวุฒิภาวะมากพอที่จะตัดสินใจเรื่องตัวเอง
“ตัดสินใจถูกแล้วล่ะครับ
ตัดสินใจได้ดีแล้ว”
เตนล์คงพูดได้แค่นี้จริงๆ
มันคงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าความรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง จะให้อยู่ด้วยกันต่อไป
จะรั้งอีกฝ่ายไว้ยังไงความรู้สึกมันก็คงเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว
ต่อให้จะยังรักยังไง ความผิดหวังต่อพี่ยองโฮของเขามันก็ก่อตัวขึ้นไปแล้ว
สำหรับเรื่องแบบนี้ ไม่รู้จะรู้สึกยังไงแล้วจริงๆ
“โกรธพี่ไหมครับ
เกลียดพี่หรือเปล่า”
“ไม่เกลียดครับ
ผมควรจะดีใจที่พี่ยองโฮจะรับผิดชอบเขา ถ้าพี่ยองโฮปิดบังผมไปมากกว่านี้
แล้วไม่ยอมที่จะรับผิดชอบคนที่กำลังจะมีลูกกับพี่ นั่นสิครับ
ที่จะทำให้ผมอยากโกรธแล้วก็เกลียดมากกว่า”
“เตนล์เข้าใจพี่ใช่ไหม”
ซอยองโฮอยากจะหลั่งน้ำตาให้กับผู้ชายที่นั่งข้างๆเขาตอนนี้
ผู้ชายที่งดงามทั้งใบหน้าและจิตใจ ทั้งๆที่เขากำลังจะทรยศต่อความรักที่เตนล์มีให้
แต่ก็เข้าใจและไม่คิดโกรธ ทั้งในตอนนี้ยังยิ้มให้เขาได้แม้ควรจะแสดงว่าคนรักของเขาเจ็บปวดมากเพียงใดกับเรื่องนี้
“เตนล์จะทำอะไรพี่ก็ได้
จะต่อยจะตีพี่ยังไงก็ได้ เอาให้เตนล์รู้สึกว่าพี่สมควรที่จะเจ็บปวดกับการกระทำของพี่ที่ทำแบบนี้กับเตนล์”
“ถ้างั้น..
ผมเป็นคนขอบอกเลิกพี่ได้ไหม”
“ครับ ได้สิ”
“เรา..
เราเลิกกันเถอะพี่ยองโฮ”
น้ำตาที่กลั้นไว้
สุดท้ายในเมื่อมันไม่ไหวเตนล์ก็คงไม่ฝืนต่อ น้ำใสๆไหลรินออกมาจากนัยน์ตาหวานทั้งสองข้างที่แปรเปลี่ยนมาเป็นนัยน์ตาเศร้า
บทบาททางการแสดงที่เคยได้รับแม้บทของมันจะเลวร้ายแค่ไหน จะเป็นบทที่ทุกข์ใจเพียงใด
แต่มันก็ไม่เท่ากับความจริงตอนนี้เลย
อยากภาวนาให้มันเป็นแค่บทละครที่ทำให้รู้สึกอิน
แต่คงต้องยอมรับว่ามันคือความจริงของหัวใจชิตพลแล้ว
“ผู้หญิงที่จะได้พี่ยองโฮไปเป็นพ่อของลูกโชคดีมากเลยนะเนี่ย
อยากรู้จังว่าเป็นใครกัน เป็นเพื่อนสมัยเรียนใช่ไหมครับ ถ้างั้นคงต้องไปสืบกับวินวินหน่อยแล้ว”
ลืมคิดเรื่องนี้ไปสนิท
ถ้าเขาบอกเรื่องนี้กับเตนล์ ซึ่งเตนล์สนิทก็สนิทกับวินวินเพื่อนเขา แสดงว่าเพื่อนเขาก็จะต้องรู้เรื่องนี้ด้วยสิ
ความจริงที่ว่าวินวินรู้มันไม่เท่าไร ถ้าจะขอให้เพื่อนคนนี้ไม่พูดก็คงจะเก็บเป็นความลับได้
แต่ยังไงเสียยองโฮก็ต้องบอกกับครอบครัวเรื่องแทอิล
ถ้าเซฮุนหรือจงอินไปที่บ้านคงต้องรู้เรื่อง คงเป็นเรื่องใหญ่แน่
“เตนล์ครับ
พี่มีเรื่องจะขอร้องอีกเรื่อง”
“ครับ?”
“คือ..
เรื่องนี้พี่ยังไม่ได้บอกพวกวินวิน
เตนล์อย่าเพิ่งบอกหรือถามเกี่ยวกับเรื่องของพี่กับพวกเขานะครับ
ไว้พี่จะบอกพวกนั้นเอง ตอนนี้เรื่องมันยังไม่ค่อยเรียบร้อย
ถ้าบอกไปมันอาจจะจัดการยาก”
“ครับ
จะเก็บไว้เป็นความลับให้ก่อนนะ”
เมื่อเข้าใจกันแล้วยองโฮก็รู้สึกโล่งใจไปบ้างที่จัดการเรื่องไปได้ส่วนหนึ่ง
เขาอยากจะกอดเตนล์เป็นครั้งสุดท้ายด้วยความรักและความรู้สึกรัก
แต่เขาไม่กล้าพอที่จะทำ และไม่กล้าขอจะได้รับอ้อมกอดนั้นแบบที่เคยทำอย่างในวันวาน
สองปีที่คบกันอย่างคนรัก กอดตลอดสองปีนั้นคงมากพอแล้ว
ทั้งคู่คงไม่ใช่คนที่เกิดมาคู่กันอย่างแท้จริง
แต่ในสักวัน ในวันหนึ่งเตนล์คงได้ครองรักกับคนที่รักและพร้อมจะปกป้องและอยู่เคียงข้างไปตลอดชีวิตแทนเขา
คนที่ดีและคู่ควรกับผู้ชายที่มีจิตใจงดงามอย่างเตนล์
– The Way We Are –
เมื่อพูดคุยเรื่องของตนกับเตนล์เสร็จ
เตนล์ก็ตัดสินใจได้ว่าจะกลับบ้านของตนเลย แม้ในทีแรกตั้งใจอยากจะไปนั่งรถเล่น
รู้ว่ายองโฮคงเหนื่อยและมีเรื่องต้องจัดการอีกมาก จึงขอให้ยองโฮไปส่งที่บ้าน
ก่อนจะแยกจากกันก็มีรอยยิ้มให้และคำให้กำลังใจให้กันและกัน ก่อนที่ยองโฮจะออกจากบ้านเตนล์กลับมายังบ้านตน
พอกลับถึงที่บ้านตระกูลซอ
อาหารมื้อเย็นก็กำลังตั้งโต๊ะพอดี
ปกติต้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะลงมาทานอาหารเย็น แต่วันนี้กลับมาช้าแล้ว
ยองโฮจึงแค่ทำความสะอาดมือ แล้วจึงเดินมาร่วมโต๊ะอาหารเลย
ตอนนี้คงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะบอกกับครอบครัว
เพราะเป็นเวลาที่ทุกคนอยู่กันอย่างพร้อมหน้า
“เอ่อ..
ทุกคนครับ”
หลังอาหารมื้อเย็นเริ่มไปได้สักพัก
ยองโฮจึงตัดสินใจที่เปิดปากคุยเรื่องของตัวเอง บุคคลที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารทั้งสี่คน
ไม่ว่าจะเป็นบิดา มารดา พี่ชาย และพี่สะใภ้ของยองโฮต่างก็ให้ความสนใจในเรื่องที่ยองโฮกำลังจะพูด
“มีอะไรหรือเปล่ายองโฮ
หน้าเครียดเชียว”
“คือ..
ผมจะแต่งงานครับ”
สิ้นเสียงของยองโฮ
เสียงช้อนส้อมที่กระทบจานอาหารเมื่อครู่กลับเงียบลงเมื่อบุตรชายคนสุดท้องของบ้านเอ่ยปากว่าจะแต่งงาน
ภายในโต๊ะอาหารต่างมองหน้ากันไปมา ไม่ได้มีสีหน้าตื่นตกใจ
แต่เหมือนจะเป็นสีหน้ายินดี
“ในที่สุดลูกชายพ่อก็จะได้เป็นฝั่งเป็นฝาสักทีสินะ! ว่าแต่นี่เราขอหนูเตนล์แต่งงานแล้วหรือ
หรือว่ายังไม่ได้ขอ”
ยองโฮอ้ำอึ้งไม่รู้จะพูดเช่นไร
นี่แสดงว่าที่ทุกคนดูยิ้มแย้มดีใจกับเขานี่เป็นเพราะเข้าใจว่าเขาจะแต่งงานกับเตนล์สินะ
นั่นสิ เขายังไม่ได้บอกกับทุกคนว่าเลิกรากับแฟนหนุ่มไปเมื่อก่อนหน้านี้นี่ เพราะคนที่เขาจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันต่อจากนี้เป็นคนอีกคน
“ผมเลิกกับเตนล์แล้วครับ
คนที่ผมจะแต่งงานด้วย.. ไม่ใช่เตนล์ครับ”
สีหน้าของทุกคนที่ยิ้มแย้มเมื่อครู่กลับเปลี่ยนเป็นสีหน้าตกใจและงุงงง
รอให้ยองโฮอธิบายเรื่องราวต่อ
“ถ้าแกไม่แต่งกับคุณเตนล์
แกจะแต่งกับใครหะ ยองโฮ”
พี่ชายเป็นคนเอ่ยปากถามแทนบุคคลที่นั่งร่วมโต๊ะอาหาร
ที่รอให้น้องคนเล็กของบ้านเอ่ยปากพูดให้ไว แทนที่จะมานั่งอ้ำอึ้งพูดชักช้า
“เขาชื่อมุนแทอิลครับ
เป็นเพื่อนสมัยมัธยมของผม เป็นผู้ชาย”
บุคคลทั้งสี่บนโต๊ะอาหารแปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นสีหน้าซีดกันเกือบหมด
เมื่อบุตรชายคนเล็กตระกูลซอเอ่ยปากจะแต่งงานกับคนที่สมาชิกในครอบครัวไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาก่อน
ไม่มีใครรู้ว่ามุนแทอิลคนนี้เป็นใคร เพราะยองโฮไม่เคยพูดถึง ไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตา
“เรื่องมันเป็นยังไงเล่ามาสิ! มุนแทอิลนี่เป็นใคร
ทำไมถึงเลิกกับหนูเตนล์แล้วถึงจะตัดสินใจแต่งงานกับผู้ชายชื่อมุนแทอิลคนนี้”
“ผมทำเขาท้องครับ
แทอิลกำลังจะมีลูกกับผม..
มันอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าเขาเป็นผู้ชายแต่ว่ากลับท้อง ผมพาเขาไปตรวจที่โรงพยาบาลมาแล้ว
เขากำลังท้องจริงๆครับ ”
หญิงผู้เป็นใหญ่ที่สุดของบ้านฟังแล้วลมแทบจับ
เรื่องแต่งงานของลูกชายเป็นเรื่องที่รู้ว่ายังไงเสียก็ต้องมี และเธอก็พร้อมจะยินดี
ตลอดสองปีที่ผ่านมาเธอคิดว่าหากลูกชายจะแต่งงาน แม้รู้อยู่แล้วว่าลูกของเธอจะแต่งงานกับผู้ชายอย่างเตนล์ดาราชื่อดังผู้เป็นคนรักของลูกชายที่เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างเธอก็พร้อมยินดี
ในวันนี้ลูกชายกลับบอกว่าเลิกกับคนที่เธอหมายว่าลูกชายเธอคงจะได้ครองรัก
ถึงได้ทั้งผิดหวังและตกใจไปพร้อมกัน
“เขาก็เลยบังคับให้แกแต่งงานกับเขา?”
“เปล่าครับ
ผมเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้เอง ความจริงเขาก็ไม่อยากให้ผมรับผิดชอบ
แต่ผมคิดว่ายังไงผมก็ควรรับผิดชอบในสิ่งที่ผมเองก็มีส่วนผิด”
“แล้วแกจะแต่งเมื่อไร”
“คงไม่ได้จัดงานเป็นเรื่องเป็นราวครับ
พรุ่งนี้ผมคิดว่าจะไปขอขมาพ่อกับแม่ของแทอิลเขาแล้วก็จะซื้อบ้านใหม่สักหลังย้ายไปอยู่กันสองคน
แต่ว่าก่อนจะหาบ้านใหม่ได้ผมอยากจะขอให้เขามาอยู่บ้านเราก่อนสักพัก
พ่อกับแม่จะอนุญาตไหมครับ”
ต่างคนต่างก็มองหน้ากันไปมา
มองหาคำตอบว่าควรจะช่วยเหลือน้องเล็กของบ้านอย่างไร
แต่ก็ไม่มีใครอยากจะแสดงความคิดเห็นใดๆ เห็นว่ายองโฮโตพอจะคิดอะไรเองได้ ก็คงมีเพียงเรื่องที่ยองโฮจะขอให้แทอิลย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านที่ต้องอาศัยการตัดสินใจของผู้เป็นใหญ่สุดในบ้านอย่างบิดาและมารดาของตน
ชายเจ้าของบ้านมองหน้าภรรยาผู้เป็นใหญ่กว่าในบ้านให้เกียรติในการตัดสินใจ
แม่ว่าอย่างไรพ่อก็ว่าตามนั้น
“เอาเถอะลูก
ให้เขาย้ายมาอยู่บ้านเรา แต่ก่อนจะย้ายมายังไงก็พาเขามาพบครอบครัวเราหน่อย
ให้แม่ได้พูดคุยเห็นหน้าเห็นตาสักครั้งแล้วกัน”
ยองโฮก้มศีรษะจนแทบติดโต๊ะอาหาร
กล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
มารดาที่นั่งอยู่เคียงข้างตบหลังลูกชายเบาๆเป็นการให้กำลังใจแทนคำพูด
และสั่งให้ลูกชายสุดที่รักรับประทานอาหารต่อไม่ต้องคิดอะไรมาก
เธอเองก็ต้องฝืนทนกินข้าวแม้พอรู้เรื่องก็เครียดแทนลูกชาย
แต่ถ้าไม่กินนั่นจะยิ่งทำให้ลูกกังวลมากกว่า
ในเวลาที่ลูกมีปัญหา
สิ่งที่ดีกว่าการด่าทอต่อว่า คือการให้กำลังใจและคอยอยู่เคียงข้างไม่ห่าง
– The Way We Are –
ยองโฮขับรถมายังเส้นทางที่ไม่ได้มานานหลังจากจบชั้นมัธยมปลาย
แต่ก็เพิ่งจะมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ขับรถมายังบ้านของแทอิล
ความจริงก็ยังไม่รู้ว่าวันนี้แทอิลอยู่บ้านหรือเปล่า
เพราะไม่ได้โทรมาบอกก่อนว่าจะมา แต่คิดว่าวันเสาร์แบบนี้ก็คงจะอยู่บ้านพักผ่อน
ถึงได้มาหาเพื่อจัดการเรื่องให้เรียบร้อย
ยองโฮกดออดหน้าบ้านหลังสวยของแทอิล
รอไม่นานนักประตูรั้วสีน้ำตาลแก่ก็ถูกเปิดออก
ใบหน้านิ่งของยองโฮในทีแรกเริ่มมีรอยยิ้มส่งให้กับคนที่มาเปิดประตู
ไม่ใช่เพื่อนร่วมรุ่น แต่เป็นชายวัยกลางคนที่อายุน่าจะพอๆกับพ่อของเขา
“สวัสดีครับ
คือผมมาหาแทอิล ไม่ทราบว่าแทอิลอยู่หรือเปล่าครับ”
“อ๋อ
แขกแทอิลหรอกเหรอ เชิญเข้ามาก่อนสิครับ”
ชายเจ้าของบ้านเชิญชวนให้ยองโฮเข้าไปในบ้าน
ยองโฮโน้มตัวลงเพื่อขอบคุณและเดินเข้าไปอย่างถ่อมตัว
แขกผู้มาเยือนเดินเข้าไปภายในตัวบ้านซึ่งมีมุมนั่งพักผ่อนถูกจัดแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ดูสบายตา
ตรงโซฟามีหญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ ถ้าให้เดาก็คงจะเป็นมารดาของแทอิล
“สวัสดีครับ”
ร่างสูงโน้มตัวลงเพื่อทักทาย
“สวัสดีค่ะ
พ่อ.. นี่แขกของพ่อหรือของแทอิลล่ะเนี่ย”
“แขกของแทอิลน่ะ”
“ผมซื้อผลไม้มาฝากครับ”
หญิงผู้มีใบหน้าสวยหวานราวกับแทอิลถอดแบบออกมายิ้มและรับกระเช้าผลไม้จากมือยองโฮมาวางไว้บนโต๊ะแบบญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ตรงหน้าโซฟา
ยองโฮก็ถูกเชิญให้นั่งที่โซฟาซึ่งตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
“เป็นเพื่อนกับแทอิลเหรอคะ”
“เอ่อ...”
ยังไม่ทันได้ตอบ
ร่างของแทอิลก็ปรากฏอยู่ในระยะสายตาพร้อมกับชายที่ออกไปเปิดประตูบ้านให้
แทอิลอยู่ในชุดเตรียมจะออกไปข้างนอก
แต่เหมือนว่ายองโฮจะมาที่บ้านพอดีทำให้แทอิลยังไม่ได้ออกไป
เมื่อเห็นว่าใครกำลังนั่งอยู่ในบ้านของตนก็ช็อคเล็กน้อย
แต่ก็ทำตัวเหมือนรู้จักกับยองโฮดี เพื่อไม่ให้บิดามารดาของตนผิดสังเกต
“อ้าว
มะ..มาทำอะไรที่นี่น่ะยองโฮ”
“ก็..
มาจัดการเรื่องของเรา”
ร่างเล็กรีบเดินเข้าไปฉุดแขนแขกไม่ได้รับเชิญของตนให้ลุกออกจากที่นั่ง
แต่แทอิลตัวเล็กกว่ายองโฮนักจึงไม่ได้ส่งผลให้คนถูกดึงลุกตาม
คนถูกดึงรู้ว่าอีกคนกำลังจะทำอะไร เขาถึงไม่เออออไปกับอีกฝ่าย
“ไปคุยกันที่อื่นนะ
ที่นี่ไม่สะดวกคุยหรอก”
เพื่อนหน้าหวานส่งยิ้มมาให้
ไม่ใช่ยิ้มที่ดูจริงใจและมีความนัยน์แฝงอยู่ ยองโฮมองแทอิลด้วยสายตานิ่งเหมือนจะรั้นไม่ยอมทำตาม
แต่สุดท้ายก็ยอมลุกขึ้นตามคำขอ แต่มืออีกข้างของยองโฮที่ไม่ได้ถูกจับไว้
พยายามเอามือของแทอิลที่จับมือตนเองออก แล้วมันก็ออกอย่างง่ายดาย
จู่ๆขายาวของยองโฮก็คุกเข่าลงต่อหน้าชายและหญิงเจ้าของบ้านที่นั่งบนโซฟา
ทั้งสองมองใบหน้ากันและกัน
สลับกับมองใบหน้าแขกผู้มาเยือนรวมถึงใบหน้าลูกชายคนเดียวของทั้งคู่
“นะ..
นี่.. เกิดเรื่องอะไรกันจ๊ะ แม่กับพ่องงไปหมดแล้วแทอิล”
“สวัสดีครับคุณพ่อกับคุณแม่ของแทอิล
ผมชื่อซอยองโฮครับ”
ยองโฮแนะนำตัวเองในขณะที่ยังคุกเข่าอยู่
แทอิลพยายามจะดึงตัวเพื่อนร่วมรุ่นให้ออกห่างจากบุพการีของตน
แต่ยองโฮก็นั่งนิ่งและทำเป็นไม่สนใจ
“ผมอยากจะแต่งงานกับแทอิล
กรุณาอนุญาตให้แทอิลแต่งงานกับผมด้วยครับ”
บิดาและมารดาของแทอิลหันมองหน้ากันอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ตกใจ
แทอิลที่ไม่รู้เรื่องหรือสิ่งที่ซอยองโฮจะทำ ยังไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจก็ตกใจและนิ่งไป
แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจของแทอิลแทบหยุดเต้นมากกว่าคือการเห็นใบหน้าของคนอีกคนที่ยืนอยู่หน้าประตู
แววตาที่ไร้ซึ่งความรู้สึกของคนที่มาใหม่ทำให้ใจของเขาราวกับกำลังแตกสลาย
“คุณซล..”
- The Way We Are -
- TBC –
ก่อนอื่นเลย
ขอสวัสดีปีใหม่ย้อนหลังหนึ่งวันนะคะ ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดีมากสำหรับทุกคนเลย
สำหรับ NCT ก็อยากให้สมาชิกสุขภาพแข็งแรงและมีความสุข
มีงานตลอดปี แล้วก็ปังมากๆๆๆ ปีที่แล้วเสียดายจังเรื่องชนะในรายการเพลง
ปีนี้ก็ขอให้ชนะในรายการเพลงเยอะๆเลยนะ แล้วก็ถ้าจะยังมี 127 ต่อไปยังไงก็กรุณาเอาเตนล์เข้าไปอยู่ด้วยได้ไหม 127+เตนล์เวลาเขียนมันยาว ถ้าเอาเตนล์เข้าไปด้วยก็จะได้เขียนสั้นๆไงเอสเอ็ม
อย่าดองเตนล์ไว้เลย ส่วนน้องแจมก็หายไวๆแล้วกลับมาเป็นดรีมได้แล้วนะ นูน่าคิดถึง
แล้วก็ขอสเตชั่นให้พี่แทอิลด้วยนะเอสเอ็มจ๋า หาเพลงใหม่แทน Because of
You มาให้น้องๆล้อกันได้แล้ว(คนเขียนเมนพี่แทอิลค่ะ
เฝ้าคอยพี่เขามากๆ)
ในส่วนของฟิค หนึ่งตอนของเรามันสั้นไปไหมคะหรือว่ามันยาวไป? ถ้ายาวจะตัดแต่ถ้าสั้นก็จะเพิ่มให้มันจุใจกว่านี้ บอกกันได้นะคะ
แล้วก็ถ้าใครรู้สึกว่าอ่านๆไปแล้วฟิคมันเริ่มดราม่าละ
ไปคลายดราม่ากับจอยของเราได้นะคะ 5555 นามปากกาเดียวกันกับในเด็กดีเลยค่ะ
(แย่ตรงที่มีการโปรโมตตัวเองอ่ะ แหะๆ)
สุดท้ายนี้ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์ที่เข้ามาพูดคุยและสำหรับผู้อ่านที่เข้ามาอ่านกันนะคะ
จะชมหรือจะติยังไงก็ได้หมดเลยนะคะ เราน้อมรับทุกสิ่งอย่างเลย
แล้วเจอกันตอนหน้านะคะ
2018.01.02
– Nilbackgo
ความคิดเห็น