ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [NCT] The Way We Are (Johnil)

    ลำดับตอนที่ #2 : The Way We Are - 2

    • อัปเดตล่าสุด 31 มี.ค. 62


    The Way We Are --- 2

     

                เสียงที่วินวินอ่านหัวข้อข่าว ผู้ชายท้องได้เมื่อหลายวันก่อนมันวนเวียนติดอยู่ในหัวยองโฮมากเหลือเกิน เขาพยายามหาอะไรทำตลอดเวลาเพื่อไม่ปล่อยให้สมองว่างจนนั่งคิดเรื่องนี้ ยองโฮกลัวว่าเรื่องที่เคยเห็นว่าไกลตัว มันอาจจะเป็นเรื่องใกล้ตัว ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดได้ง่ายๆ แต่กลับกังวลอะไรนักก็ไม่ทราบสาเหตุ ทำไมถึงได้คิดมากเป็นสิ่งที่ตัวเขาก็ไม่เข้าใจ ได้แต่คิดเข้าข้างตัวเองว่า ถ้ามีเรื่องอะไรจริงๆ เพื่อนที่เขามีความทรงจำเล็กน้อยด้วยสมัยมัธยม แต่มีความทรงจำอันยิ่งใหญ่ด้วยในวัยทำงานคงหาทางติดต่อเขามาแล้ว ดังนั้นก็ไม่ควรจะคิดมากไปเอง

     

                ความเครียดจากการทำงานทำให้สมองและร่างกายไม่สดชื่นเอาเสียเลย ยองโฮเลยทิ้งงานบนโต๊ะทำงานออกไปหาเครื่องดื่มที่เขาโปรดปรานที่ร้านกาแฟร้านโปรด ซึ่งไม่ได้อยู่ในตึกของบริษัท ต้องขับรถออกมาเพราะไม่ได้อยู่ใกล้กับบริษัทนัก แต่พอมาถึงร้านกลับพบว่าร้านปิด จึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาค้นหาร้านกาแฟอร่อยๆในเว็บพาชิมอาหาร ก็เจอร้านที่ได้รับความนิยมพอสมควร ถึงจะอยู่ไกลจากที่ที่อยู่ตอนนี้ไปเสียหน่อย แต่ยองโฮก็เลือกจะขับรถไปซื้อกาแฟที่ร้านนี้ หากว่ามันอร่อยจริงก็จะได้มีร้านโปรดเพิ่มมาอีกร้าน

     

                ขับมาพักหนึ่งก็จอดรถเทียบกับถนนตรงหน้าร้านกาแฟที่ได้รับคำแนะนำจากเว็บ ภายในร้านมีคนนั่งอยู่เกือบจะทุกโต๊ะ ร้านก็ถูกตกแต่งสวยงาม ร่างสูงคิดว่าคงมาถูกร้านเข้าให้แล้ว

     

                เดิมทีตอนก่อนออกจากบริษัทยองโฮคิดว่าจะกินอเมริกาโน่เย็นซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ดื่มทุกวัน เหมือนกับที่คนวัยทำงานชอบจะดื่มกาแฟ แต่ในเว็บพาชิมที่เขาเข้าไปบอกว่าร้านนี้มีเมนูที่มาร้านนี้ไม่สั่งถือว่ามาไม่ถึงร้าน เลยเลือกจะสั่งเมนูดังของร้านแทน

     

                “ไอซ์ไวท์ช็อคสตรอว์เบอร์รี่แก้วนึงครับ / ไอซ์ไวท์ช็อคสตรอว์เบอร์รี่แก้วนึงครับ”

     

                เมนูเดียวกันถูกสั่งพร้อมกันโดยคนสองคน ซึ่งยองโฮเป็นคนหนึ่งที่สั่ง ส่วนอีกคนคือคนที่ยืนข้างๆเขา ทำให้ร่างสูงต้องหันไปมองด้วยความแปลกใจที่บังเอิญสั่งพร้อมกัน อีกฝ่ายเองก็หันมามองหน้าเขาเช่นกัน

     

                สีหน้าที่แสดงออกและความรู้สึกภายในใจคงเหมือนกันอย่างไม่ต้องเดาหรือเอ่ยถาม

     

               

     

     

     

     

    ----- The Way We Are -----

     

     

     

     

                ตอนแรกตั้งใจจะแค่มาซื้อเครื่องดื่มแล้วกลับไปทำงานต่อ แต่พอเจอบุคคลที่วนเวียนอยู่ในความคิดเขามาตลอดเกือบสามสัปดาห์ ยองโฮถึงเปลี่ยนใจชวนให้เพื่อนสมัยมัธยมนั่งดื่มเครื่องดื่มยอดนิยมของร้านกันก่อน

     

                ทั้งสองอยากจะยิ้มออกมาเพื่อสลายความอึดอัดต่อกัน แต่มันยิ้มไม่ออก

     

                “แทอิล.. มากินร้านนี้บ่อยเหรอ”

     

                อยากจะพูดอะไรบ้างแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มพูดยังไง เลยทำให้ต้องถามคำถามที่ดูสิ้นคิดออกมา

     

                “ก็เกือบทุกวัน ร้านอยู่ใกล้ๆที่ทำงาน”

                “ทำงานแถวนี้เหรอ”

                “อะ..อือ ทำงานที่ RN

     

                ยองโฮพยักหน้าเข้าใจ แทอิลทำงานอยู่ที่ RN Entertainment หรือ RN ค่ายเพลงชื่อดังที่สร้างศิลปินแถวหน้าของเกาหลี เขารู้เพียงแค่แทยงทำงานที่ค่ายเพลงแห่งนี้คนเดียว ไม่ยักกะรู้ว่าคนตรงข้ามเองก็ทำงานที่นี่เช่นเดียวกัน

     

                “เป็นนักร้อง?”

                “เคยเห็นเราออกเทปหรือไง? เราเป็นโปรดิวเซอร์กับนักแต่งเพลงของค่ายน่ะ”

     

                บางทีเขาก็ไม่ควรถามอะไรโง่ๆออกไป ถ้าหากแทอิลเป็นนักร้อง เพื่อนในกลุ่มคงต้องพูดถึงเรื่องนี้บ้าง เพื่อนร่วมห้องสมัยมัธยมเป็นถึงนักร้องจะไม่ถูกพูดถึงก็ยังไงอยู่ แต่แค่เพื่อนร่างบางบอกว่าเป็นโปรดิวเซอร์กับนักแต่งเพลงก็เหนือความคาดหมายของเขาไม่น้อย เท่าที่จำได้ ในสายตาของเขา แทอิลดูเป็นเด็กเรียน น่าจะสนใจหรือเลือกทำงานที่เป็นสายวิชาการ ไม่นึกว่าจะเลือกใช้งานที่ใช้พรสวรรค์ และก็ไม่ได้คิดว่าแทอิลจะชอบทางด้านนี้ เพราะตอนสมัยเรียนก็ไม่เคยเห็นร่วมกิจกรรมอะไรที่เกี่ยวกับด้านดนตรีแบบที่แทยงทำ

     

                “คือ..”

                “...”

                “เรื่องคืนนั้น.. ฉันเสียใจนะแทอิล”

     

                ทั้งๆที่เคยสัญญากันเอาไว้ว่าจะทำเป็นเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แต่ยองโฮกลับพูดถึงมันอีกครั้ง เมื่อก่อนก็แทบจะไม่มองหน้ากันแล้ว ตอนนี้แทอิลยิ่งไม่อยากพบเจอกับซอยองโฮคนนี้อีกเลยด้วยซ้ำ

     

                “อย่าพูดถึงมันอีกเลยนะ มันผ่านไปแล้ว”

     

                ทำไมแทอิลจะไม่เสียใจ เขาเองก็เสียใจ แต่จะให้ทำอะไรได้ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว ให้ย้อนวันกลับไปมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ มีแค่การทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น และปล่อยให้วันเวลาผ่านไป คงทำให้เขาลืมมันไปได้เอง

     

                “ถะ...”

                “เราไปก่อนนะยองโฮ เกินเวลาพักแล้ว”

     

                ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไร แต่ในตอนนี้เขาไม่อยากจะรับรู้หรือสนทนาอะไรกับคนตรงหน้านี้แล้ว ทีเมื่อก่อนไม่เห็นอยากจะพูดจาด้วย มาวันนี้กลับอยากจะพูดคุย อยากจะรู้สึกขอบคุณที่ยังจำชื่อเขาได้และชวนให้นั่งโต๊ะเดียวกัน แต่ก็คงจะไม่แสดงความรู้สึกนั้นออกไป แค่ทำตัวให้เหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น เป็นทางที่ดีสำหรับทั้งคู่แล้ว

     

                 แทอิลหยิบแก้วเครื่องดื่ม ลุกออกจากโต๊ะแล้วเดินออกจากร้านไป คนที่ถูกทิ้งให้นั่งอยู่ต่อได้แต่ถอนหายใจ มีบางอย่างที่เขาต้องการจะพูด แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร เหมือนจะติดอยู่ในใจแต่ก็ไม่กล้าพูด หากปล่อยให้ค้างคาก็คงค้างคาอยู่เรื่อยไป

     

                สุดท้ายเมื่อสมองกลั่นกรองแล้วว่าเขาไม่ควรเก็บมันเอาไว้ให้กังวล ยองโฮรีบลุกจากเก้าอี้วิ่งออกไปนอกร้าน มองซ้ายขวาตามหาคนที่เพิ่งจะจากกันและยังมองเห็นว่าแทอิลเดินห่างออกไปได้ไม่ไกล รีบวิ่งสาวเท้าตามแผ่นหลังที่ดูห่างออกไปทุกที โชคดีที่ขายาวเลยสามารถตามคนที่จากกันได้ทัน แขนของคนที่หันหลังเดินจากร้านกาแฟมาถูกคว้าอย่างกะทันหัน ตกใจเผลอปล่อยแก้วไอซ์ไวท์ช็อคสตรอว์เบอร์รี่ตกลงพื้น มองหน้าเจ้าของมือที่คว้าแขนตนไว้

     

                “แทอิล..”  

                “ทะ..ทำไมถะ..”

                “ถ้าเกิดว่า.. แทอิล.. ท้อง.. เพราะว่าฉัน.. ต้องบอกนะ บอกฉัน”

     

                ไม่รู้จะต้องอ้อมค้อมยังไง ยองโฮถึงได้พูดตรงๆออกไป แม้ฟังแล้วมันจะพิลึกเพราะมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็เขาก็ได้พูดไปแล้ว ไม่ต้องเก็บเอาไว้ในใจให้อึดอัด คนฟังอยากจะขำ แต่ขำไม่ออก เรื่องแบบนี้คนไม่สนิทกันควรเอามาล้อเล่นหรือ?

     

                “คิดมากไปหรือเปล่ายองโฮ เราเป็นผู้ชาย จะท้องได้ยังไง”

     

                พูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นมือบางก็จับมือหนาของอีกคนออกจากแขน ก้มลงเก็บแก้วของร้านเครื่องดื่มที่เพิ่งจะตกลงพื้นไปทิ้งถังขยะ แล้วเดินจากคนที่วิ่งตามมาให้เร็วเท่าที่จะทำได้ ไม่อยากจะอยู่ให้เพื่อนร่วมรุ่นที่คิดมากและไม่ยอมปล่อยวางกับเรื่องคืนนั้นมาพูดอะไรให้ใจเสียไปมากกว่านี้ ขอแค่จากไปเหมือนคราวก่อนทำเป็นว่าไม่มีอะไรจะต้องพูดคุยกันอีก

     

               

     

                ถ้าแค่จากไปอย่างเช่นคราวก่อน มันก็ต้องเหมือนครั้งก่อน

                จากกัน ก็ต้องกลับมาพบกันอีก

     

     

     

     

               

                ----- The Way We Are -----

     

     

     

               

                ช่วงนี้แทอิลต้องทำอัลบั้มใหม่ให้กับนักร้องหญิงเดี่ยวคู่ใจที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่เธอออกมินิอัลบั้มแรก งานเลยหนักจนแทบไม่มีเวลานอน แต่ถึงแม้จะได้คำสั่งจากนักร้องหญิงว่าอย่าหักโหมให้มากนัก แทอิลก็ไม่ได้เชื่อเรื่องนั้นสักเท่าไร ตั้งใจและรีบทำทุกอย่างจนอัลบั้มเสร็จไปเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์ เหลืออีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็เรียบร้อย แต่นักร้องหญิงดันมาป่วยหนักจนต้องหยุดการทำงานไปก่อน นั่นก็ส่งผลให้แทอิลได้พักไปด้วยหนึ่งสัปดาห์

     

                หนึ่งสัปดาห์ที่ได้หยุดพัก โปรดิวเซอร์คนขยันตั้งใจจะนั่งทำเพลงพิเศษเป็นของขวัญเนื่องในวันเกิดของจีฮันซลคนรักที่กำลังจะถึงในเดือนหน้า แต่ความตั้งใจกลับล้มเหลวหมด เพราะไม่รู้ร่างกายมันเป็นอะไร แทอิลถึงได้เอาแต่นอนเกือบทั้งวัน เวลาห้าวันจากเจ็ดวันที่ได้หยุดพักหมดไปกับการนอน เขาคิดว่าเป็นเพราะการที่พักผ่อนไม่เพียงพอมันสะสม พอได้พักเข้าจริงๆถึงได้พักแบบจริงจัง

     

                แทอิลเลือกจะสละวันหยุดหนึ่งวันให้กับแทยงเพื่อนรัก ที่เมื่อวานโทรศัพท์ตามให้เขาเข้าบริษัทวันนี้เพื่อไปช่วยดูศิลปินใหม่ที่กำลังจะเดบิวต์ แทยงเป็นครูสอนเต้นของค่าย ร่วมเป็นนักแต่งเพลงบ้าง รวมถึงยังเป็นเอนเตอร์เทนเมนท์เทรนเนอร์ ซึ่งจะสอนทักษะการสร้างความบันเทิงให้กับนักร้องอีกด้วย

     

                หลังจากตื่นนอนไม่นาน โทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวเตียงก็สั่นครืด เบอร์ที่แทอิลไม่คุ้นเคยทำให้แทอิลครุ่นคิดก่อนว่าอาจจะเป็นเบอร์ใครได้บ้าง แต่ในเมื่อคิดไม่ออกก็ตัดสินใจกดรับสายไม่ให้คนโทรมาต้องรอนานไปมากกว่านี้

     

                สวัสดีครับ

                (“…”)

                “สวัสดีครับ นี่ใครพูดสายครับ”

                (“ฉัน.. ยองโฮ”)

     

                เจ้าของเบอร์บอกตัวตนที่แท้จริงทำเอาคนรับสายพูดอะไรไม่ออก ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้รับโทรศัพท์จากเจ้าของเบอร์นี้ ต่างฝ่ายต่างก็เงียบใส่กัน จนสุดท้ายแทอิลถึงตั้งสติและหาคำมาพูดคุยให้กลับมาเป็นปกติที่สุด

     

                “อะ..อ๋อ ยองโฮเหรอ”

                (“อืม ฉันยองโฮเอง”)

     

                แทอิลไม่อยากถามว่าทำไมยองโฮถึงโทรมา เพราะประเดี๋ยวเจ้าตัวก็คงจะบอกเหตุผลนั้นเอง ต่างฝ่ายต่างรอว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูด เสียงในสายจึงเงียบสนิทอีกครั้ง แต่สัญญาณก็ยังไม่ถูกตัด

     

                (“วันนี้แทอิลว่างหรือเปล่า”)

     

                สุดท้ายคนที่เป็นฝ่ายโทรมาก็ตัดสินใจจะพูดเข้าเรื่องถึงเหตุผลที่โทรมาตามที่ควรจะเป็น

     

                “ไม่ว่าง เรามีนัดแล้วน่ะ”

                (“ไม่เป็นไร คือ.. ฉันอยากเจอแทอิล แทอิลพอจะมีเวลาว่างวันไหนมาเจอกันบ้างไหม”)

     

                อยากตอบอีกฝ่ายเหลือเกินว่าไม่มีเวลาว่าง เพราะเขาไม่อยากเจอคนปลายสาย แม้เรื่องคืนนั้นจะผ่านมาเกือบเดือนแล้ว แต่ก็ยังลืมไม่ลง มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ถ้าชีวิตแทอิลจะไม่มีเวลาส่วนตัวเลย ถึงจะหนีไม่ไปเจอวันนี้ สักวันก็ต้องเจออยู่ดี แทอิลหยิบนาฬิกาที่วางอยู่หัวเตียงขึ้นมาดูเวลา แทยงนัดเขาไว้บ่ายโมง ตอนนี้เก้าโมงครึ่ง ถ้าเขารีบอาบน้ำแต่งตัว ก็พอมีเวลาให้อีกฝ่ายได้เจออยู่

     

                “ความจริงวันนี้ก่อนถึงเวลานัดเราก็พอมีเวลาบ้าง ถ้าเป็นตอนสิบเอ็ดโมงก็พอจะเจอได้”

                (“ถ้างั้นตอนสิบเอ็ดโมง เจอกันที่ร้านกาแฟใกล้ๆกับบริษัทแทอิล สะดวกไหม”)

                “อืม สะดวก”

                (“งั้น.. เจอกันนะ สิบเอ็ดโมง”)

                “อื้ม.. แล้วเจอกัน”

     

                เพียงแค่นั้นแทอิลก็เป็นฝ่ายตัดสายไปก่อน เขาอยากนอนต่ออีกสักงีบเพราะรู้สึกเพลียอยู่ แต่ในเมื่อนัดกับยองโฮเอาไว้แล้วก็ต้องฝืนใจเดินไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกจากบ้าน

     

                หวังว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน จะต้องไม่มีคราวหน้าอีก ถ้าซอยองโฮจะอยากเจออีก เขาต้องปฏิเสธให้ได้   

     

               

     

     

               

                ----- The Way We Are -----

               

     

     

               

                ผ่านมาเกือบเดือนแล้วแต่ยองโฮก็ยังไม่เลิกคิดเรื่องที่ผู้ชายจะท้องได้ เขากลัวว่าแทอิลจะเป็นแบบนั้น ครั้งสุดท้ายที่เจอกันเขาก็บอกแทอิลแล้วว่าหากแทอิลท้องจริงๆก็ให้บอกเขา แต่หลังจากวันนั้นก็ไม่ได้รับการติดต่อจากอีกฝ่าย แสดงว่าคงไม่ได้ท้องจริงๆ เขาควรจะสบายใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังกังวลอยู่ดี กังวลยิ่งกว่าตอนที่คนรักของตนโกรธเสียอีก

     

                ถ้าความไม่ชัดเจนทำให้เขารู้สึกค้างคา เขาก็ควรเลือกจะทำให้มันชัดเจนไปเลยดีกว่า ให้แน่ใจไปเลยว่าจะไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก เขาจะได้ใช้ชีวิตมีความสุขเหมือนเดิม จะได้กล้ายิ้มให้กับคนรักผู้เป็นดาราดังหวานใจของเขาได้จากใจไม่ใช่ฝืนยิ้มเสียที

     

                ระหว่างทางไปร้านกาแฟ ยองโฮแวะร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อของบางอย่างที่จะทำให้ทุกอย่างมันจบลง แต่มันจะจบอย่างที่หวังไว้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ได้แต่ภาวนาให้มันจบลงในวันนี้ก็เป็นพอ

     

                ยองโฮเป็นฝ่ายไปถึงร้านกาแฟก่อน เลือกสั่งเครื่องดื่มขึ้นชื่อของร้านมาสองแก้ว สำหรับเขาและสำหรับอีกคนที่เขานัด ยองโฮเดินไปนั่งในโต๊ะมุมในสุดของร้านเป็นการรอเมนูที่สั่งไปรวมถึงรอคนที่นัดหมายด้วย สักพักพนักงานก็นำเครื่องดื่มเย็นสองแก้วมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ไม่นานนักหลังจากนั้นคนที่นัดก็มาถึงร้านตามมา แทอิลเดินมาที่โต๊ะของเขาอย่างช้าๆเพราะความกลัวอย่างบอกไม่ถูก แต่สุดท้ายก็เดินมาถึงและนั่งลงตรงข้ามเหมือนคราวก่อน

     

                “รอเรานานหรือเปล่า เรามาช้าไปหน่อย ขอโทษนะ”

                “ไม่หรอก แทอิลก็มาตรงเวลา ฉันแค่มาเร็วไป.. ดื่มก่อนสิ ฉันสั่งมาให้ คราวที่แล้วที่ทำให้นายอดกิน”

     

                ยองโฮเลื่อนแก้วไอซ์ไวท์ช็อคสตรอว์เบอร์รี่แก้วหนึ่งให้กับแทอิล คราวที่แล้วเขาทำอีกคนตกใจจนเผลอปล่อยแก้วเครื่องดื่มหลุดมือจนอดกิน แทอิลพยักหน้ารับแล้วหยิบแก้วมาดื่มผ่านหลอดที่ปักอยู่ในแก้วพอเป็นมารยาทก็วางแก้วลงที่เดิม

     

                “ที่นัดมา มีอะไรหรือเปล่า”

     

                คนถูกนัดมารีบเข้าเรื่องเพราะไม่อยากอยู่นานนัก รวมถึงต้องไปหาแทยงตามนัดต่ออีก ยองโฮเบนสายตาไปทางอื่นกังวลที่จะพูดและใช้เวลาเพื่อรวบรวมความกล้า สุดท้ายก็เบนสายตากลับมายังใบหน้าของคนที่นั่งร่วมโต๊ะ

     

                “ไปห้องน้ำกับฉันหน่อยสิ”

     

                ประโยคที่ไม่ถึงว่าคนหน้าหล่อจะพูดกับเขาทำเอาแทอิลอ้ำอึ้งไม่น้อย ทำไมถึงได้ชวนเขาไปห้องน้ำ หากยองโฮอยากจะไปทำธุระส่วนตัวเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปด้วย เขาสามารถนั่งรออีกคนได้

     

                “คะ..คือ..”

                “ขอร้องล่ะแทอิล กรุณาไปห้องน้ำกับฉันนะ”

     

                ในเมื่ออีกคนถึงขั้นกับขอร้อง แทอิลก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง มันอาจจะมีเรื่องที่ยองโฮไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน ถ้าไปคุยในห้องน้ำจะสะดวกกว่าหรือเปล่า แทอิลพยักหน้าตกลงแทนคำพูด ร่างสูงเป็นฝ่ายลุกขึ้นแล้วเดินนำไปยังห้องน้ำ ร่างบางถึงค่อยเดินตามไป

     

                เมื่อมาถึงห้องน้ำ คนหน้าหล่อกวาดสายตามองไปในทุกส่วนของห้องน้ำเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่นอกจากเขากับแทอิล เมื่อมั่นใจว่ามีเพียงแค่สองคน มือหนาจึงได้ล้วงหยิบของบางอย่างที่อยู่ในชุดสูทสีดำออกมา เป็นถุงของร้านสะดวกซื้อ แล้วจึงหยิบของที่อยู่ภายในถุงออกมา ยื่นให้กับแทอิล

     

                “มะ..มันคือ..”
                “เอาไปตรวจซะแทอิล ฉันจะรออยู่ในห้องน้ำ ไม่ต้องรีบ ฉันรอได้”

     

                ยองโฮไม่ได้ตอบว่ามันคืออะไร คนรับของพลิกกล่องที่คนตัวสูงหยิบยื่นมาให้อ่านฉลากอยู่ในใจก็ถึงกับตาโตและนิ่งไป

     

                ที่ตรวจการตั้งครรภ์ คือสิ่งที่ฉลากบอก

     

                “นะ..นาย.. นายเพี้ยนไปแล้วหรือไงยองโฮ เอามันมาให้เราทำไม”

                “ฉันไม่อยากจะกังวลอีกแล้วแทอิล เรื่องคืนนั้นมันยังค้างคาใจฉันอยู่ มันมีแค่นายเท่านั้นที่จะทำให้ความค้างคาในใจฉันมันหายไปได้”

                “นายคาใจเรื่องว่าเราจะท้องเหรอ? นายควรจะมองความจริงบ้างสิว่าเราเป็นผู้ชาย”

                “เมื่อหลายเดือนก่อนมันมีข่าวว่าผู้ชายท้องได้มันถึงทำให้ฉันกังวลไงแทอิล! ขอร้องล่ะ นายจะช่วยฉันสักครั้งไม่ได้หรือไง แค่ตรวจให้ฉัน ถ้ามันไม่มีอะไรก็จะไม่ยุ่งกับนายตามที่นายต้องการแล้ว”

     

                สายตาที่วิงวอนขอร้องทำเอาใจแทอิลอดสงสารไม่ได้ เรื่องที่เพื่อนร่วมรุ่นที่คล้ายจะเป็นคนแปลกหน้าขอให้ช่วยเหลือถึงมันจะแปลกจนคาดไม่ถึง แต่มันก็ไม่ได้เหนือบ่าไปกว่าแรง ถ้าตัวเองมั่นใจว่าไม่ท้องแล้วจะกลัวกับการตรวจทำไม ถือเสียว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ได้ลองในสิ่งที่ไม่เคยลอง และช่วยเหลือเพื่อนสักครั้ง และถ้าทำให้ยองโฮหายแคลงใจได้ เรื่องระหว่างเขากับคนตรงหน้าก็จะได้จบเสียที

     

                “ถ้ามันจะทำให้นายสบายใจ เราจะตรวจให้นายก็ได้ยองโฮ รออยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน”

     

                  แทอิลกำกล่องตรวจการตั้งครรภ์ในมือแน่น เดินปิดประตูเข้าห้องน้ำภายใน คนตัวสูงยืนพิงอ่างล้างหน้ารอผลอย่างใจจดจ่อ เรื่องที่ผู้ชายจะท้องได้มีโอกาสเป็นไปได้น้อยมากที่สุดจนถึงเป็นไปไม่ได้ ภาวนาให้มุนแทอิลไม่เป็นหนึ่งในกลุ่มที่น้อยมากที่สุด เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องกังวลอะไรมากมายขนาดต้องให้อีกคนมาตรวจการตั้งครรภ์ เขาวิตกจริตเกินไปหรือเปล่า หรือเขามีปัญหาทางจิตก็ไม่รู้

     

                การรอคอยมันช่างเนินนานแต่ยองโฮก็ยังคงรอ เสียงกดชักโครกทำให้คนรอเลิกคิดเรื่องต่างๆนานาในหัวหันไปสนใจประตูห้องที่แทอิลเข้าไป แต่มองอยู่นานหวังว่าประตูจะเปิดออกแต่มันก็ยังคงปิด เพื่อนตัวเล็กเข้าไปนานเกินไป แต่จะไปเคาะประตูให้อีกคนออกมาก็ไม่กล้าทำ หลังจากสิ้นเสียงน้ำในชักโครกทำงานครึ่งชั่วโมง เสียงปลดล๊อคประตูห้องน้ำที่อยู่ริมสุดที่แทอิลเข้าไปก็ดังขึ้น ประตูจึงถูกเปิดออก

     

                สีหน้าของคนที่ออกมาจากห้องน้ำดูเป็นปกติ แต่ทำไมยองโฮถึงสัมผัสได้ว่ามันไม่ปกติ

     

                “เป็น... เป็นยังไงบ้าง ผลเป็นยังไง”

     

                เครื่องตรวจการตั้งครรภ์ที่แทอิลกำอยู่ในมือแน่นถูกยื่นมาให้คนถาม มือหนาหยิบเครื่องตรวจสีขาวที่มีแผ่นกระดาษเต็มไปด้วยอักษรพันอยู่จากมือบางออกมา ยองโฮเอาแผ่นกระดาษที่ห่อเครื่องตรวจออกเพื่อดูผลที่เครื่องตรวจแสดง

     

                สองขีด..

                แถบบอกผลตรวจมีสองขีด

     

                มือหนาคลี่แผ่นกระดาษที่แทอิลยื่นมาให้พร้อมกับที่ตรวจการตั้งครรภ์ อ่านวิธีการอ่านผลตรวจอย่างตั้งใจ รูปภาพที่ประกอบคำอธิบายทำให้เข้าใจง่ายขึ้นมันยิ่งทำให้ชัดเจน

     

              หากขึ้นสองขีด หมายถึง ตั้งครรภ์

     

                “หายค้างคาใจหรือยังยองโฮ”

     

                แทอิลเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ สิ่งที่เขาทำมันคงทำให้ยองโฮพอใจได้แล้วว่าสิ่งที่เขากังวลในความจริงแล้วมันเป็นยังไง วันนี้ ตอนนี้ยองโฮได้รู้หรือยังว่าเรื่องที่ติดค้างในใจมันจะหายไปได้หรือยัง

     

                “แทอิล..”

                “ถ้าหมดธุระแล้วเราขอตัว ต่อไปก็.. หวังว่าจะไม่ได้เจอกันอีก”

     

                ร่างบางว่าจบก็หมุนตัวยกเท้าเดินออกห่างยองโฮ แต่ยังไม่ทันจะก้าวพ้นให้ออกห่าง คนตัวสูงก็คว้าแขนแทอิลเอาไว้จนคนตัวเล็กเซจนเกือบล้ม

     

                “นายจะไปได้ยังไงแทอิล  เราจะไม่เจอกันอีกได้ยังไง นายไม่เห็นหรือไงว่าผลตรวจมันออกมาเป็นยังไง”
                “เราไม่เชื่อผลตรวจไอ้เครื่องบ้าๆนี่หรอกนะยองโฮ เราเป็นผู้ชาย เราเป็นผู้ชาย
    ! นายได้ยินไหม! ผู้ชายท้องไม่ได้!

                “แต่เขาบอกว่าผลตรวจนี่มันเชื่อถือได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วถ้าตรวจครั้งแรกขึ้นสองขีดหมายถึงว่าท้องแน่ๆ ฉันรู้ว่านายอ่านคู่มือการใช้อย่างละเอียดแล้ว นายอย่าทำเป็นไม่รู้หรือไม่เชื่อเลยแทอิล!

     

                ใช่ อีกฝ่ายพูดถูก หลังแกะกล่องแทอิลอ่านวิธีใช้อย่างละเอียดแล้วรอบหนึ่ง ยิ่งพอตรวจเสร็จเขาก็แทบจะไม่เชื่อกับสิ่งที่เห็น เขาอ่านมันซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แค่หวังว่าตาเขาจะฝาดหรือบกพร่องทางการอ่าน แต่ไม่ว่าจะอ่านกี่ครั้งเขาก็อ่านถูกต้องไม่ผิดแน่ แต่จะให้เขาทำใจกับเรื่องนี้ได้อย่างไร อยู่บนโลกนี้มายี่สิบเจ็ดปี ร่างกายของมุนแทอิลไม่เคยผิดปกติ วันหนึ่งเขามีอะไรกับผู้ชายคนนึง สองเดือนต่อมาก็ท้อง เรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์มันดันมาเกิดกับเขา เขาแค่อยากทำเป็นไม่สนใจ ทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทั้งๆที่ในใจมันแทบจะหยุดเต้น สมองมันขาวโพลนไปหมด

     

                “ทำเหมือนวันนั้นเถอะยองโฮ เราแค่จากกันเหมือนวันนั้น ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

                “นายกล้าพูดไหมแทอิลว่าหลังจากวันนั้นนายรู้สึกเหมือนเดิม นายไม่คิด ไม่กังวล เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สาบานไหมแทอิล”

                “...”

                “ไม่ ใช่ไหมล่ะ”

                “ถ้างั้นก็บอกเรามาสิ นายจะให้เราทำยังไง เราต้องทำยังไงนายถึงจะพอใจ”

     

                แทอิลพยายามใจเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้ อารมณ์ของเขามันไม่ดีตั้งแต่เห็นสองขีดบนเครื่องตรวจที่ยองโฮให้มาแล้ว ยิ่งถูกขึ้นเสียงใส่ ยิ่งยองโฮรบเร้าให้เขาทำอะไรสักอย่าง ในสิ่งที่เขาเองก็ไม่รู้ แต่จะให้มาพาลอารมณ์เสียใส่ยองโฮมันก็ไม่ถูก มันใช่ความผิดของยองโฮคนเดียวเมื่อไร ยองโฮไม่ใช่ที่รองรับหรือระบายอารมณ์ เขาไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้น ยิ่งโมโหใส่ เรื่องที่คิดว่าจะจบไวๆก็ยิ่งจะจบช้าเข้าไปอีก

     

                “ฉันจะรับผิดชอบนายเอง”

                “...”

                “เพราะว่านายท้องกับฉัน ฉันจะรับผิดชอบนายเองแทอิล”

     

                มันไม่ใช่คำพูดที่น่าหัวเราะ แต่ไม่รู้ทำไมคนฟังถึงกลับขำออกมา หัวเราะออกมาราวกับกำลังรับฟังเรื่องตลกทั้งที่ไม่ใช่  ยองโฮไม่เข้าใจว่าทำไมปฏิกิริยาของแทอิลที่มีต่อคำพูดของเขาถึงเป็นแบบนี้ แต่เสียงหัวเราะในทีแรกกลับแปรเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้นในไม่ช้า บนใบหน้าสวยเจ้าของเสียงสะอื้นมีน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสาย ขาของคนตรงหน้ายองโฮสั่นจนยืนไม่ไหวถึงขั้นทรุดลงไปกับพื้น ยองโฮค่อยๆย่อลงมาในระดับเดียวกันกับแทอิล มือขวาเอื้อมไปแตะไหล่เจ้าของเสียงสะอื้นเพื่อปลอบใจ ไม่กล้าจะเข้าใกล้แทอิลไปมากกว่านี้

     

                “ยะ..ยองโฮ ความจริง..”

     

                แม้จะยังไม่หยุดร้องไห้ แต่แทอิลมีบางสิ่งบางอย่างที่อยากจะพูด และเขารอจนกว่าจะหยุดร้องไม่ได้ มันคงนานเกินกว่าที่เขาจะทนรอ 

     

                “ระ..เรา ฮะ..ฮึก.. ไม่ได้..ท้อง.. ฮึก.. กับนาย”

     

                คิ้วคมบนใบหน้าหล่อขมวดเข้าหากัน คำพูดที่แทอิลบอกหมายความว่าอย่างไร จะมีอะไรที่จะทำให้เขาตกใจไปมากกว่านี้อีกหรือ

     

                “นายหมายความว่ายังไง”

                “เรา.. ไม่ได้ท้อง.. กับนายหรอกนะยองโฮ”

                “ถ้าไม่ใช่ฉัน แล้วคือใคร ใครที่ทำให้..”

     

                หากคนที่กำลังนั่งร้องไห้ตรงหน้าเขาตอนนี้ไม่ได้กำลังตั้งท้องเพราะเขา แล้วใครคือเจ้าของเด็กในท้องที่กำลังจะเกิดมาของเพื่อนสมัยมัธยม สถานะของเขากับแทอิลไม่ได้ดีมากจนถึงขั้นที่เขาจะมาถามเรื่องแบบนี้ได้ แต่ยองโฮเองก็อาจมีสิทธิ์เป็นพ่อของลูกในท้องแทอิล เพราะเขาก็เคยมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งด้วย

     

                “แฟนของเรา.. แฟน.. แฟนเราก็เป็นผู้ชาย”

     

                ในตอนแรกแทอิลคิดหาหนทางไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป หลังจากที่ตรวจแล้วเครื่องตรวจขึ้นสองขีดเขาก็เอาแต่คิดว่าชีวิตจะต้องเดินไปทางไหน ควรจะบอกกับคนที่เขารักมากรองจากบุพการีอย่างไร เมื่อยองโฮบอกว่าจะรับผิดชอบ ก็ยิ่งคิดไม่ตก แต่คำพูดคำว่า รับผิดชอบมันทำให้แทอิลนึกถึงคนรักขึ้นมา เพราะเป็นคำที่คนรักพร่ำบอกกับเขาเสมอ มันทำให้เขาคิดได้ว่า ถ้าเขาบอกว่าเด็กในท้องไม่ใช่ลูกของยองโฮ แต่เป็นลูกของฮันซล ซอยองโฮคงจะเลิกยุ่งกับชีวิตเขาเสียที

     

                “อย่ามาโกหกฉันนะแทอิล”

                “แล้วนายไม่คิดว่าหลังจากที่มีอะไรกับนายแล้วเราจะไปมีอะไรกับแฟนบ้างหรือไง! เรามีอะไรกับนายได้คนเดียวเหรอ!

     

                ไม่คิดว่าแทอิลจะพูดตรงถึงเพียงนี้ แต่นั่นก็ทำให้ยองโฮพินิจในคำพูดแทอิลได้โดยไม่ต้องแปลความให้มันซับซ้อน นั่นสินะ แทอิลอาจจะไม่ท้องกับเขาจริงๆก็ได้ คนรักของแทอิลอาจจะเป็นพ่อของลูกก็ได้ แต่ถ้าคิดอีกแง่หนึ่ง ถ้าเราเกิดไปมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ จิตใต้สำนึกคนเรามันคงจะมีความรู้สึกผิดกับคนรัก แล้วไม่กล้าจะมีอะไรกับคนรัก เขาเชื่อว่าเพื่อนร่วมรุ่นของเขาจะเป็นอย่างที่สองที่มีจิตใต้สำนึกเรื่องความรู้สึกผิด

     

                “ถามตรงๆนะแทอิล ฉันคือคนสุดท้ายที่นายมีอะไรด้วยใช่ไหม”

                “...”

                “ฉันคือพ่อของลูกในท้องนายใช่ไหม”

                “...”

                “ฉันจะไม่ยุ่งกับนายอีกก็ได้ ถ้านายจะสาบานต่อฉันและฟ้าดิน ว่านายไม่ได้ท้องกับฉัน ตอบฉันมาชัดๆว่านายเคยมีอะไรกับแฟนแล้วจริงๆ และลูกในท้องของนายเป็นลูกของผู้ชายคนนั้น ไม่ใช่ลูกของฉัน”         

     

                ยองโฮยื่นคำขาดเป็นครั้งสุดท้าย ต่อมน้ำตาของแทอิลที่เกือบจะหยุดทำงานเหมือนจะถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง ทำไมจะต้องให้เขาสาบาน ทำไมถึงอยากจะมั่นใจอะไรมากขนาดนี้ ทำไมซอยองโฮถึงคิดมากขนาดนี้

               

                ลังเลที่จะสาบานอย่างที่ยองโฮสั่ง เพราะถ้าสาบานไปว่านั่นไม่ใช่ลูกของคนๆนี้ หากฟ้าดินได้รับรู้ก็คงจะลงโทษเขา เพราะที่สาบานไม่ใช่ความจริงและเป็นการโกหกอย่างร้ายแรงที่สุด ราวกับยองโฮรู้ว่าเขาโกหกและกำลังบีบเค้นให้เขาพูดความจริง

               

                สิ่งมหัศจรรย์มีชีวิตที่อยู่ในท้องของแทอิล เป็นลูกของแทอิลกับใครเจ้าตัวย่อมรู้อยู่แก่ใจ ไม่มีทางจะเป็นลูกของคนรักที่คบกันมาเกือบสามปีไปได้ เพราะเขาไม่เคยมีอะไรกับฮันซล และมันจะเป็นลูกของใครที่ไหนไม่รู้ก็ไม่ได้ เพราะมุนแทอิลไม่ใช่คนใจง่ายหรือสำส่อน

     

              ‘ฉันคือคนสุดท้ายที่นายมีอะไรด้วยใช่ไหม

              ‘ฉันคือพ่อของลูกในท้องนายใช่ไหม

     

                คำตอบคือใช่ ยองโฮไม่ใช่แค่คนสุดท้ายที่แทอิลมีความสัมพันธ์ทางกายที่ลึกซึ้งด้วย แต่ซอยองโฮคือคนแรกและคนเดียวที่แทอิลมอบร่างกายให้แม้จะไม่ใช่ด้วยความเต็มใจ

                มันแน่ชัดอยู่แล้วว่าเขาท้องกับใคร

     

                “สาบานออกมาสิ!

                “ไม่ต้องสาบงสาบานอะไรมันแล้ว! ถ้าเราท้องจริงๆ เราก็ท้องกับนายนั่นแหละ! พอใจหรือยังยองโฮ!

     

                แทอิลเลิกที่จะอดทนแล้วระเบิดอารมณ์ออกมา เบื่อที่จะต้องยืดเยื้อกับคนตรงหน้าอีกแล้ว อยากให้พูดความจริงที่แม้จะรู้แล้วจะต้องเจ็บปวดมากนักก็ขอให้เชิญรับฟังอย่างที่ต้องการ ในครั้งนี้ไม่มีน้ำตาที่ไหลออกมาเหมือนก่อนหน้าเพราะมันได้ถูกใช้ไปหมดแล้ว เขาไม่อยากให้ยองโฮต้องมาเห็นว่าเขาอ่อนแอ

     

                “จริงๆใช่ไหมแทอิล”

                “นายไม่ใช่แค่คนสุดท้าย นายเป็นคนเดียว.. กับคนอื่นหรือแม้กระทั่งคนที่เรารักมากที่สุด.. เราก็ไม่เคย”

     

                พอเพื่อนยอมรับจริงๆก็เหมือนว่าเรื่องที่ยองโฮหนักอกหนักใจมาตลอดเกือบสองเดือนก็หายไป แต่กลับมีเรื่องอีกมากมายที่ผุดขึ้นมาในสมองเขาสร้างความกังวลมากยิ่งกว่า ต่อจากนี้ไม่รู้ว่าจะเริ่มทำอะไรจากตรงไหน ดูวุ่นวายและน่าสับสนไปหมด เรื่องมันยากจนเขาอยากจะร้องไห้ออกมา เขาทำคนๆหนึ่งท้องมันทำให้เขาอยากจะร้องออกมามากเพียงนี้ แต่คนที่เป็นฝ่ายท้องอย่างแทอิลล่ะ มันไม่ยิ่งมากกว่าเขาหรือ

                ยองโฮตั้งสติมั่น ถือวิสาสะจับมือของแทอิลค่อยออกแรงดึงให้ร่างเล็กลุกจากพื้นห้องน้ำ พาเดินมายังอ่างแล้วหน้า เปิดก๊อกน้ำแล้วใช้มือยื่นไปรับน้ำให้พอเปียก ลูบบนใบหน้าสวยของแทอิลอย่างเบามือ ล้างคราบน้ำตาแห่งความเสียใจที่ไหลรินออกมาจนหมด สายตาของแทอิลไม่มองเจ้าของมือบนใบหน้าที่ชำระร่องรอยของน้ำตาเลยสักนิด ทำได้เพียงแค่มองแต่กระจกที่สะท้อนเงาของตัวเองกับคนข้างๆ

                แค่การได้ยืนอยู่ในกระจกบานเดียวกันกับซอยองโฮ คนที่แทบจะไม่เคยมองหน้าหรือรู้สึกว่าเขามีตัวตนบนโลกใบนี้ กระจกที่สะท้อนเงาว่าคนข้างๆกำลังเช็ดน้ำตาให้ ราวกับว่าเขากำลังอยู่ในความฝัน และก็อยากภาวนาให้มันเป็นแค่ฝัน หากเล่าให้ใครสักคนฟัง คนฟังคงบอกว่ามันเป็นฝันที่สวยหรูที่มียองโฮยืนอยู่ข้างกาย แต่กับคนที่ฝันอยู่อย่างแทอิลมันช่างเป็นฝันร้าย

     

                ยิ่งมันไม่ใช่ความฝันแต่มันคือความจริง มันก็คือความจริงที่โหดร้าย

                ความจริงที่โหดร้ายนั้นไม่ใช่ความจริงว่ายองโฮสัมผัสใบหน้าของเขา ไม่ใช่ความจริงที่ว่ายองโฮยืนอยู่ข้างเขา แต่เป็นความจริงที่ว่าเขากำลังจะมีลูกกับผู้ชายที่ใครๆต่างก็บอกว่าคือเทวดาที่ได้มาเกิดลงบนโลก นามว่า ซอยองโฮ

     

                เสียงน้ำหยุดไหลเมื่อก๊อกน้ำถูกปิด เงาในกระจกสะท้อนว่ายองโฮไม่ได้ลูบใบหน้าของเขาอีกแล้ว แต่กำลังหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อ แล้วซับความชื้นบนใบหน้าขาวจนใบหน้ากลับมาดูสะอาดสะอ้านเช่นเดิม

     

                “เราไม่มั่นใจเลยยองโฮ”

     

                ทุกครั้งที่มุนแทอิลเปิดปากพูดอะไรบางอย่าง จะต้องมีเรื่องให้คิดทุกครา คราวนี้จะบอกอะไรกับเขาอีกก็ไม่อาจเดาได้

     

                “ผลตรวจจากเครื่องมันเชื่อได้จริงๆหรือเปล่า เราขอไม่มั่นใจได้ไหม นายก็อย่ามั่นใจได้ไหม”

                “ถ้าอยากจะให้มั่นใจจริงๆ ฉันจะพาแทอิลไปตรวจที่โรงพยาบาลก็ได้”

                “มะ..ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราจะไปตรวจเอง”

                “ฉันไม่ลำบากที่จะพาแทอิลไปหรอกนะ เพราะว่าเรื่องนี้มันก็ถือเป็นเรื่องของฉันเหมือนกัน”

     

                ยองโฮก็ไม่ได้อยากจะมองแทอิลในแง่ร้าย แต่การที่แทอิลจะขอไปตรวจคนเดียวอาจจะทำอะไรบางอย่างเพื่อปกปิดความจริงอีกอย่างที่โกหกกับเขาไปเมื่อครู่ก็ได้ ถ้าเขาไปด้วย ฟังผลตรวจจากปากหมอพร้อมกัน แทอิลจะปฏิเสธอะไรเขาไม่ได้

                สุดท้ายแทอิลก็ไม่ได้ปฏิเสธ ทั้งสองเดินออกมาจากห้องน้ำของร้านกาแฟที่ตลอดระยะเวลาที่เข้าไปถือว่าเป็นโชคดีที่ไม่มีใครเข้าไปเลยนอกจากทั้งคู่ ทั้งสองเดินออกมาจากร้านเพื่อจะเดินทางไปโรงพยาบาล แทอิลรู้สึกว่าแสงแดดนอกร้านที่ร้อนระอุกลับเยือกเย็นไปเมื่อพบกับเรื่องที่ร้อนกว่าในใจของเขา ยองโฮเปิดประตูรถข้างคนขับที่จอดเทียบริมถนนอยู่หน้าร้านให้แทอิลเข้าไปนั่ง และเขาก็ขึ้นนั่งฝั่งคนขับหลังจากนั้น รถสีขาวมุกเคลื่อนตัวออกจากที่ด้วยความเร็วที่พอจะให้คนนั่งรู้สึกสบายใจ แม้บรรยากาศภายในรถจะเต็มไปด้วยความรู้สึกที่แย่จนไม่สามารถอธิบายได้ก็ตาม ไม่มีเสียงพูดคุยในรถ ถ้าคนขับอย่างยองโฮพูดก็คงจะเหมือนคนบ้าที่คุยคนเดียว เพราะคนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆหลับไปเรียบร้อยแล้ว

     

                ยองโฮเลือกจะขับรถไปที่โรงพยาบาลแถบชานเมืองที่เขาเคยขับผ่านอยู่บ้าง แม้จะมีอีกโรงพยาบาลที่เขาไปเป็นประจำ ถ้าไปที่นั่นนอกจากจะได้รับความอุ่นใจเพราะชื่อเสียงที่โด่งดังแล้วยังจะได้รับส่วนลดค่ารักษาเพราะเขาเป็นพนักงานของบริษัทที่ให้การสนับสนุนโรงพยาบาลนั้น แต่มันก็อันตรายเพราะเพื่อนสนิทของเขากับเพื่อนสนิทของแทอิลต่างก็เป็นแพทย์อยู่ที่นั่น จึงได้เลือกไปโรงพยาบาลแถบชานเมืองที่ไม่ค่อยมีผู้คนและไม่มีคนที่รู้จักเขาดีกว่า

                เมื่อถึงโรงพยาบาลและหาที่จอดรถเรียบร้อย ยองโฮจึงปลุกคนข้างๆที่หลับอยู่ให้ตื่น ทั้งคู่เดินจากลานจอดรถเข้าไปยังตึกของโรงพยาบาลโดยไม่พูดอะไรต่อกัน แต่ก่อนจะผ่านประตูของตึกโรงพยาบาล ยองโฮจับไหล่ของแทอิลทำให้การเดินหยุดชะงัก ในมือของยองโฮยื่นแว่นตากันแดดสีดำดูมีราคาให้กับแทอิล สายตาที่เต็มไปด้วยคำถามถูกส่งมาแทนคำถามที่จะออกมาเป็นคำพูด

     

                “ใส่ไว้นะแทอิล นายคงไม่อยากให้ใครเห็นนายใช่ไหม”

     

                ตอบคำว่า ใช่แค่เพียงในใจ แล้วรับแว่นตาดำในมือยองโฮมาสวมทัดหู ความจริงอยากจะถามว่ายองโฮเองไม่กลัวบ้างหรือว่าจะมีใครเห็นว่าพาเขามาโรงพยาบาล ถ้ามาเป็นเพื่อนตรวจร่างกายธรรมดาก็คงไม่มีอะไร แต่หลังจากนี้ถ้าเดินเข้าแผนกสูตินรีเวชละ? เพราะยองโฮไม่ใช่คนธรรมดา ยองโฮเคยออกสื่อมาแล้วและโด่งดังพอสมควรเพราะเป็นคนรักของดาราชื่อดังระดับแนวหน้าที่มีผลงานทั้งในประเทศบ้านเกิดของเจ้าตัว ประเทศบ้านเกิดของแทอิล แถมยังมีชื่อเสียงไปถึงระดับฮอลลิวูด ถ้ามีคนพบเห็นจะไม่ถูกนำเอาไปเมาท์หรอกหรือว่าทำใครเขาท้อง ยิ่งคนๆนั้นไม่ใช่คุณเตนล์แน่ๆ ก็คุณเตนล์เป็นผู้ชาย แถมคุณเตนล์ไม่ได้อยู่เกาหลีเพราะไปถ่ายละครที่จีนอย่างไม่มีกำหนดกลับ

     

                แต่ถ้าเกิดแทอิลถามขึ้นมา เจ้าของแว่นก็จะตอบว่า ไม่ใส่ไม่ใช่เพราะไม่กลัวว่าใครจะมอง แต่เขามีแว่นกันแดดอยู่อันเดียว และควรจะสละอันนั้นให้แทอิลมากกว่า เพราะคนที่จะต้องตรวจการตั้งครรภ์เป็นแทอิลไม่ใช่เขา คนที่ควรจะปกปิดเรื่องนี้มากกว่าคือตัวแทอิลต่างหาก เขารู้ว่าแทอิลอายมากเพียงใดที่เป็นผู้ชายแต่ต้องมาตรวจเรื่องแบบนี้

     

                แทอิลสงสารที่ยองโฮจะต้องพาเขามาตรวจที่โรงพยาบาล เลยเป็นฝ่ายขอจัดการเรื่องด้วยตัวเอง ติดต่อเจ้าหน้าที่ว่าจะมาตรวจร่างกายเพราะหากบอกว่ามาตรวจการตั้งครรภ์ก็คงจะโดนมองด้วยสายตาที่พอเดาได้ว่าไม่ดี เจ้าหน้าที่ก็จัดการให้ ไม่นานนักก็ถูกเรียกให้เข้าไปตรวจ ซึ่งแทอิลบอกให้ยองโฮตามไปทีหลังเพราะกลัวว่าจะทำให้เป็นข่าว แต่ยองโฮดึงดันจะไปด้วยและไม่สนว่าใครจะมองเช่นไร เพราะอนาคตมันอาจจะเป็นเรื่องปกติที่เขาต้องทำก็ได้

     

                ในเวลาที่ไป ไม่มีคนไข้มากนัก เลยได้เข้าตรวจเลย ยองโฮนั่งรออยู่ข้างนอก ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไร แม้โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงจะสั่นเตือนว่ามีสายเข้า แต่แค่หยิบขึ้นมาเห็นชื่อคนโทรเข้าเป็นเพื่อนสนิทผิวเข้มก็เลือกจะกดปุ่มพักหน้าจอแทนการเลื่อนไม่รับสาย ซึ่งถือเป็นการปฏิเสธการรับสายที่มีมารยาทมากกว่าตัดสายทิ้งโดยตรง

                ขืนกดรับสายไปแล้วพูดอะไรแปลกๆออกไปละก็คงแย่แน่

     

     

     

    ----- The Way We Are -----

     



                เมื่อได้เข้ามาในห้องตรวจ ผู้รับบทเป็นคนไข้อย่างแทอิลก็เกิดกลัวขึ้นมา เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มาโรงพยาบาลแล้วรู้สึกอยากจะร้องไห้ อยากหนีออกไปจากที่นี่ แต่เรื่องมาถึงขนาดนี้เพื่อให้มันชัดเจน ก็คงต้องเผชิญหน้ากับมันไป แพทย์ผู้ทำการรักษาสอบถามอาการป่วย แทอิลถึงได้บอกสภาพร่างกายในสัปดาห์ที่ผ่านมาในสิ่งที่คิดว่าสุขภาพเขาไม่ได้รู้สึกสบายเหมือนเดิม

     

                “จากที่คนไข้บอกว่าร่างกายอ่อนเพลีย อยากนอนตลอดเวลา  น้ำหนักขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุแล้วท้องนูนขึ้น ถ้าเป็นผู้หญิงหมออาจจะสงสัยว่าคนไข้กำลังตั้งครรภ์นะครับเนี่ย อืม.. หมอคงจะต้องขอตรวจให้ละเอียดขึ้นหน่อยนะครับ”

                “คุณหมอครับ คือ.. ถ้าผมถามอะไรสักอย่าง คือมันอาจจะเป็นไปไม่ได้ แต่คุณหมอช่วยอย่าคิดว่าผมเป็นบ้าได้ไหมครับ”

     

                แทอิลไม่อยากเสียเวลาตรวจไปมากกว่านี้ ไม่อยากอ้อมค้อมแต่ก็ไม่กล้าพูดตรงๆ อยากจะได้ผลลัพธ์ที่เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ภายในใจมันร้อนรนให้อยู่นิ่งกว่านี้มันยากเกินกว่าจะทำแล้ว

     

                “ได้สิครับ”

                “คือ.. ผมมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายน่ะครับ ผม.. ผมเป็น.. เป็นฝ่ายถูกสอดใส่ แล้วคือ.. ทีนี้คนที่ผมมีอะไรด้วยเขาอ่านข่าวผู้ชายท้องได้ เขาก็เลย.. เอ่อ.. ขอให้ผมตรวจการตั้งครรภ์.. ก่อนมาที่นี่ แล้ว.. คือมันขึ้นสองขีด”

     

                แต่ละคำที่จะต้องพูดออกมามันช่างยากเย็นและน่าอาย แทอิลล้วงภายในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบแท่งสีขาวต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องมานั่งอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ให้กับแพทย์ที่กำลังเป็นผู้ตรวจเขาอยู่ แพทย์หยิบสิ่งที่แทอิลวางให้บนโต๊ะขึ้นมาดูจนคิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติราวกับไม่เชื่อสายตา

     

                “คนไข้ตรวจด้วยปัสสาวะของตัวเองเหรอครับ”

                “ครับ คือ.. สองขีดมันแปลว่า..”

                “สองขีดแปลว่าตั้งครรภ์ครับ แต่แปลกมากนะครับ โอกาสน้อยมากที่จะเกิดเรื่องแบบนี้..”

     

                ใช่ คุณหมอจะไม่เชื่อก็ไม่แปลกหรอกเพราะถ้าเอาไปบอกใครก็ไม่มีใครอยากจะเชื่อทั้งนั้น เจ้าของผลตรวจยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเขาในตอนนี้

     

                “มีวิธีที่จะตรวจให้ละเอียดกว่านี้ไหมครับคุณหมอ”

                “ถ้าเป็นแบบที่คนไข้สงสัย หมอจะขออนุญาตตรวจแบบการตั้งครรภ์ของผู้หญิงนะครับ”

     

     


    ----- The Way We Are -----

     


     

                คนที่มาด้วยกันเข้าไปเกือบจะชั่วโมงแล้ว เหมือนว่าการรอคอยจะเนิ่นนานเกินกว่าความอดทนที่มีอยู่ ยองโฮตัดสินใจลุกจากที่นั่งรอหน้าห้อง ถือวิสาสะค่อยๆเลื่อนประตูห้องตรวจที่คนที่เขาพามาด้วยเข้าไปก่อนหน้าออก แทอิลกำลังนอนอยู่บนเตียงตรวจ แพทย์กำลังใช้เครื่องมือที่เขาพบเห็นในโทรทัศน์บ่อยๆถูไปมาบริเวณหน้าท้องของแทอิล ยองโฮเข้ามาแล้วนั่งเงียบๆอยู่ตรงหน้าโต๊ะคุณหมอ หลังจากที่เข้าไปนั่งได้ไม่นานเหมือนการตรวจจะเสร็จสิ้นพอดี แพทย์ผู้ทำการตรวจกลับมานั่งที่โต๊ะพร้อมๆกับแทอิลที่เพิ่งลุกจากเตียงตรวจ ซึ่งตอนนี้ก็มานั่งข้างๆยองโฮแล้ว

     

                “ไม่ใช่เนื้องอกแน่นอนครับ ถ้าจากที่คนไข้สงสัย ผมว่ามีแนวโน้มจะเป็นแบบนั้นจริงๆ”

                “หมะ..หมายความ..ว่า”

                “กำลังตั้งครรภ์ครับ”   

     

                ผลตรวจจากปากของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคงทำให้ทั้งสองมั่นใจได้แล้วจริงๆ และแทอิลคงไม่มีข้อโต้แย้งอะไรกับยองโฮอีกถึงเรื่องนี้ เพราะยองโฮได้ฟังจากปากของคนที่น่าเชื่อถือที่สุดสำหรับเรื่องนี้ไปพร้อมๆกันแล้ว

     

                “คุณหมอ ทำไมผมถึงท้องได้ ร่างกายผมมันแตกต่างจากผู้ชายคนอื่นตรงไหน อธิบายให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ”

     

                “เรื่องนี้หมอเองก็ยังไม่ทราบว่าทำไม แต่เรื่องผลการตรวจออกมาทั้งตรวจปัสสาวะหรืออัลตราซาวด์มีผลออกมาเหมือนคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ หมอไม่อยากให้คนไข้มองว่าการที่ผู้ชายตั้งครรภ์ได้เป็นเรื่องผิดปกติ อยากให้มองว่ามันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากกว่านะครับ บนโลกนี้มันน้อยจนแทบจะไม่มีนะครับเรื่องแบบนี้”

     

                คิดว่าฟังแล้วคนฟังจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้างไหม? ไม่เลย คุณหมออยากจะคลายความกังวลให้เขา แต่มันไม่ได้ลดน้อยลงเลย แค่ผลตรวจมันออกมาว่าท้องมันจบทุกอย่าง แถมแทอิลยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการว่าทำไมเขาถึงท้องได้ยิ่งรู้สึกแย่

     

                “ผู้ชายท้อง.. ไม่เป็นอันตรายใช่ไหมครับ”

     

                ยองโฮกลัวว่าเรื่องมหัศจรรย์ที่คุณหมอว่าจะเป็นอันตรายหรือเปล่า ถึงหมอจะว่ามันมหัศจรรย์ แต่ในความคิดของทั้งคู่มันก็ยังคงเป็นความผิดปกติอยู่ดี

     

                “ตอนนี้ยังไม่มีอะไรผิดปกตินะครับ แต่ต้องสังเกตและดูแลตัวเองอยู่ตลอดเวลา ยิ่งตอนนี้เพิ่งจะเริ่มตั้งครรภ์ยิ่งต้องระวัง ไม่งั้นจะแท้งได้”

     

                ได้ฟังอย่างนั้นยองโฮก็สบายใจ พอตรวจเสร็จเรียบร้อยทั้งคู่ก็ออกมาจากห้องตรวจ ยองโฮขอตัวไปเคลียร์ค่ารักษาพยาบาล เมื่อเดินกลับมา แทอิลเดินก้มหน้าแสดงสีหน้าที่ไม่ดีนัก ยองโฮอยากพูดอะไรให้อีกฝ่ายได้สบายใจ แต่ก็รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ในเวลานี้ ยิ่งเป็นคำพูดของเขา ก็คงยิ่งทำให้แย่

     

                “บ้านแทอิลอยู่ไหนล่ะ ฉันจะไปส่ง”

                “แถวๆโรงเรียนซองวอน แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวเรากลับเอง”

                “ฉันจะไปส่งนายเอง สติดูไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแบบนี้ฉันปล่อยนายไปไม่ได้หรอก”      

     

                จะให้ปฏิเสธความหวังดีที่ยองโฮมีให้ก็คงไม่มีประโยชน์เพราะมันคงเป็นการปฏิเสธที่ไม่มีความหมาย แทอิลถึงได้ยอมให้คนที่พามาเป็นคนพากลับไป ทั้งสองแค่เดินไปที่รถอย่างเงียบๆ ภายในรถก็กลับมาเงียบเหมือนตอนขามา เจ้าของรถอยากจะพูดอะไรหลายอย่าง แต่พอเหลือบไปเห็นสายตาที่ว่างเปล่าของคนข้างๆก็กลืนคำพูดที่อยากเปล่งออกมาลงคอ

     

                เหมือนฟ้าจะเป็นใจ ช่วยคลายความอึดอัด โทรศัพท์ของคนที่นั่งเบาะข้างคนขับมีสายโทรเข้าพอดี สายเข้าจากเพื่อนสนิทมากความสามารถที่ทำงานอยู่ค่ายเพลงชื่อดังเหมือนกัน

     

                “ว่าไงตะยง”

                (“ยังจะถามอีกว่ายังไง! แกผิดนัดฉันนะมุนแทล!!!”)

                “นัด.. โอย.. ขอโทษจริงๆตะยง ตอนแรกตั้งใจจะไป แต่มันมีเรื่องนิดหน่อย เลยไปไม่ได้ เราก็ลืมโทรบอก”

                (“เกิดเรื่องอะไรขึ้น มุนแทอิลผู้ไม่เคยผิดสัญญาถึงได้ไม่มาหาอีแทยงคนนี้ เล่ามาสิ!”)

     

                พอมาเจอเรื่องของเขากับยองโฮทำให้แทอิลลืมเรื่องนัดที่นัดกับแทยงไปเสียสนิท ทั้งๆที่ความจริงแทยงเป็นคนนัดก่อนด้วยซ้ำ แทอิลไม่เคยผิดสัญญาอะไรกับใคร ครั้งนี้เป็นครั้งแรก เพื่อนสนิทที่รู้จักนิสัยแทอิลดีย่อมสงสัยว่าเรื่องอะไรที่ทำให้เพื่อนรักของเขาถึงกับผิดนัดได้ แล้วเขาควรจะตอบเพื่อนรักว่าอะไร ถึงจะดูเป็นเรื่องใหญ่ขนาดทำให้ผิดนัดได้ หากบอกว่าต้องไปโรงพยาบาลเพราะป่วย เพื่อนรักต้องมาเยี่ยมที่บ้านแน่ แทอิลยังไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่เขากำลังจะมีลูก แม้จะเป็นเพื่อนก็ตาม ตอนนี้เขายังไม่พร้อมจะบอกใครทั้งนั้น

     

                “คือ.. ทะเลาะกับแม่น่ะ ก็เลยไม่อยากออกจากบ้าน”

                (“อ่าๆงั้นเหรอ แล้วนี่ปรับความเข้าใจกับแม่ยังเนี่ย”)

                “อื้ม ดีกันแล้วล่ะ แล้วถ้าจะไปตอนนี้ยังทันอยู่ไหม”

                (“ไม่ต้องมาแล้ว เด็กๆกลับกันหมดละ เดี๋ยวมะรืนแกเข้ามาบริษัทค่อยมาดูก็ได้ มาอีกทีวันจันทร์ใช่ป่ะ”)

                “อ่าหะ.. อืมๆโอเค.. ขอโทษจริงๆแก ไว้จะไถ่โทษให้อย่างสาสมเลย.. โอเคๆ บ๊ายบายตะยง”

     

                เมื่อคุยจบก็วางสายจากเพื่อนรักไป ยองโฮไม่ได้จงใจแอบฟังแต่ก็ดันเผลอฟังไปแล้ว เพิ่งจะนึกออกว่าคนข้างๆบอกตนแล้วว่ามีธุระ แต่พอมาเจอเรื่องระหว่างพวกเขาเลยลืมไปว่าแทอิลต้องไปทำธุระต่อ ถ้าให้เดา ปลายสายที่แทอิลคุยด้วยก็คือแทยงเพื่อนหน้าหล่อที่เป็นเพื่อนสนิทของแทอิล เป็นคนที่แทอิลตั้งใจจะไปหา แต่ก็คงไม่ต้องไปแล้ว ไม่เช่นนั้นคงบอกให้เขาไปส่งที่ที่นัดหมายกันแทน แต่นี่กลับนั่งนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไร ยองโฮอยากจะขอโทษที่ทำให้ผิดนัดแต่ถ้าเขาเอ่ยกล่าวอะไรไปมันก็เหมือนว่าเขาไปแอบฟังแทอิลคุยโทรศัพท์ถึงได้นิ่งเฉยเสียดีกว่า

     

                เมื่อขับรถมาถึงแถวโรงเรียนเก่าของทั้งคู่ แทอิลก็บอกทางไปบ้านของตนต่อ อยู่ในหมู่บ้านที่อยู่ห่างจากโรงเรียนประมาณหกกิโลเมตร เป็นหมู่บ้านที่ไม่ใหญ่และไม่ซับซ้อน เมื่อเข้าทางหมู่บ้านขับรถเข้าไปไม่ไกลก็ถึงบ้านเดี่ยวสองชั้นที่กั้นบริเวณด้านหน้าด้วยรั้วไม้สีน้ำตาลแก่ ซึ่งเป็นบ้านของแทอิล ยองโฮชะลอรถจนหยุดเทียบตรงหน้าบ้านพอดี

     

                “ขอบคุณที่มาส่งนะ”

     

                แทอิลยิ้มไปตามมารยาท รวมถึงขอบคุณที่ยองโฮมาส่ง และเหมารวมว่ามันคือคำบอกลาไปด้วยในตัว กล่าวเสร็จก็ทำท่าจะเปิดประตูลงจากรถ แต่ก็ถูกคนมาส่งรั้งไว้เสียก่อนจึงยังไม่ทันได้เปิดประตู

     

                “เดี๋ยวก่อนสิแทอิล ฉันยังคุยกับนายไม่จบเลย”

     

                อยากจะเอ่ยปากถามไปว่านั่งรถกันมานานสองนานทำไมไม่พูดระหว่างทางมา แต่ก็ไม่สนิทขนาดจะไปพูดอย่างเสียมารยาทแบบนั้น

     

                “ขอโทรศัพท์มือถือหน่อย ฉันจะเมมเบอร์ให้”

     

                แม้ไม่อยากจะให้แต่ก็หยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ายื่นให้คนข้างๆ เหมือนจะมากกว่าการบันทึกเบอร์โทรศัพท์ลงไป ยองโฮรับมือถือแทอิลมากดอยู่นานสองนานแล้วจึงคืนให้กับเจ้าของ

     

                “ฉันเมมเบอร์ฉันไว้ในเครื่องให้เรียบร้อยแล้ว บันทึกชื่อไว้ว่ายองโฮ ในบันทึกชื่อนอกจากเบอร์ ยังมีที่อยู่ที่ทำงานของฉัน แล้วก็มีที่อยู่บ้านด้วย ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรหาหรือว่าไปหาฉันที่บ้านได้.. ฉันรู้ว่าแทอิลกังวล แต่ฉันไม่ใช่คนไม่มีความรับผิดชอบ ฉันจะรับผิดชอบนายกับลูกอย่างแน่นอน”

     

                “อื้ม”

                “ภายในสัปดาห์นี้ฉันจะติดต่อนายอีกทีนะ.. ฉันก็.. ไม่มีอะไรจะพูดแล้วล่ะ แทอิลก็.. พักผ่อนให้มากๆนะ”

                “นายเองก็อย่าเครียดมากนะยองโฮ”

     

                ยองโฮพยักหน้าให้ แทอิลจึงลงจากรถและเข้าบ้านไป ลมหายใจที่ถูกเก็บไว้ในปอดเพราะความเกร็งถูกปล่อยออกมาเฮือกใหญ่เมื่อแทอิลลงจากรถ ตั้งสติพักหนึ่งก็ค่อยๆขับรถออกจากบริเวณหน้าบ้านแทอิลไป

     

                มีเรื่องให้คิดและจัดการมากมาย จะให้ไม่เครียดอย่างที่อีกคนบอกเอาไว้จะทำได้ไหมก็ไม่รู้

     

     

     

     

    ----- The Way We Are -----

     

     

     

                พอกลับมาบ้านแทอิลก็ทำตัวเหมือนปกติ ยังไม่คิดจะบอกเรื่องความผิดปกติของตัวเองกับบิดาและมารดาในตอนนี้เพราะยังไม่พร้อม พอเสร็จมื้อค่ำก็ขอตัวขึ้นห้องนอนเพราะรู้สึกอ่อนเพลียและใกล้จะหมดแรง รีบเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำเตรียมตัวจะเข้านอน 

               

                เมื่อก้าวขึ้นเตียงก็ตั้งใจจะชาร์จแบตให้กับโทรศัพท์มือถือ แต่ก็นึกได้ว่ายังไม่ได้เอาออกจากกระเป๋าเลยตั้งแต่เก็บไว้หลังให้ยองโฮบันทึกเบอร์โทรศัพท์ จึงเดินไปที่กระเป๋าซึ่งวางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ พอเจอโทรศัพท์มือถือก็บังเอิญเจอกับสิ่งที่ไม่อยากเก็บไว้แต่เผลอหยิบใส่กระเป๋ามาด้วย คือเครื่องตรวจการตั้งครรภ์

     

                แทอิลเดินกลับมายังเตียงนอนพร้อมกับโทรศัพท์มือถือในมือและที่ตรวจการตั้งครรภ์ในมืออีกข้าง ล้มตัวลงนอนหวังจะหลับตาลงให้เวลาของวันนี้ได้ผ่านพ้นไปแต่กลับไม่เป็นดังหวัง ไม่รู้เหตุใดสายตาถึงได้มองแต่เครื่องแสดงผลการตรวจที่ขึ้นสองขีดอยู่ได้ไม่ยอมละสายตา น้ำใสๆไหลออกมาจากดวงตาอีกครั้ง ความกลัดกลุ้มในสมองมันถ่าโถมเข้ามาให้คิดจนท้อใจพาลส่งผลให้น้ำตาไหลยิ่งกว่าเดิม

     

                ชีวิตจะก้าวเดินต่อไปอย่างไร คิดไม่ออกเลยสักนิดเดียว

     

                “คุณซล แทลจะทำยังไงดี..”

     

     

     

     

    ----- The Way We Are -----

     

     

               

     

                หนุ่มอายุจะย่างเข้ายี่สิบเก้าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้ายืนยิ้มอยู่หน้าประตูสีขาว ใช้กุญแจที่ไปขอจากว่าที่พ่อตากับแม่ยายไขปลดล๊อคกลอนประตูห้องนอนของคนรักจนสามารถเปิดประตูเข้าห้องไปได้

     

                คนที่เพิ่งเข้าห้องมาก้าวเดินอย่างเบาเท้า มุ่งตรงไปยังเตียงที่เจ้าของห้องกำลังนอนหลับใหลไม่รู้เรื่องว่าใครกำลังเข้ามาโดยพลการ ขึ้นไปนั่งบนเตียงสีขาวอย่างค่อยๆ พินิจมองใบหน้าของคนรักที่ไม่ได้เจอกันนานเกือบเดือนอย่างโหยหา เมื่อมองจนพอใจก็เอนตัวลงไปนอนข้างคนรัก เลื่อนตัวไปใกล้แล้วใช้แขนพาดเอวคนที่นอนไม่ยอมตื่น

     

                “แทล ตื่นได้แล้ว”

               

                จีฮันซลกระซิบข้างหูของคนรักเบาๆ คนโดนกระซิบเริ่มจะรู้สึกตัวโดยการขยับไปมา ดวงตาที่หนักอึ้งเพราะผลพวงจากการร้องไห้เมื่อคืนเริ่มลืมตาขึ้นมา ใบหน้าสวยหันหน้าไปหาคนต้นเสียงที่นอนอยู่ข้างกาย ตื่นเช้ามาวันนี้ได้เจอกับแฟนสุดหล่อเป็นคนแรก คลี่ยิ้มให้ด้วยความดีใจและคิดถึงไปพร้อมกัน

     

                “ตอนนี้แทลคิดถึงคุณซลจนเห็นภาพหลอนเลยเหรอเนี่ย”

                “ภาพหลอนหรือตัวจริง ลองพิสูจน์ดูไหมละ”

                “จะพิสูจน์ยังไง”

                “มอร์นิ่งคิสแบบหวานฉ่ำกับคุณซลไหมละจ๊ะ แทลจ๋า~

     

                ว่าไปก็โน้มใบหน้าเข้าใกล้คนอยากรู้ว่าจะพิสูจน์ให้เชื่อได้ยังไงว่าที่เห็นอยู่ตอนนี้ภาพหลอนเพราะความคิดถึงหรือเป็นตัวจริงเสียงจริง แทอิลใช้มือที่สอดอยู่ใต้ผ้าห่มกั้นใบหน้าหล่อของฮันซลผลักออกเบาๆ

     

                “ไม่คิส แทลยังไม่ได้แปรงฟัน”
                “ไม่คิสก็ได้.. หอมเลยแล้วกัน
    !

     

                พูดจบก็รีบชิงหอมแก้มก่อนจะโดนแทอิลห้าม แต่ถ้าฮันซลจะขอหอมจริงๆก็คงไม่ห้าม ด้วยความรักและคิดถึงหลังจากห่างกันนาน จะขอกอดหรือหอมแก้ม ก็ไม่ปฏิเสธ

     

                “ไหนคุณซลบอกแทลว่าจะกลับวันเสาร์”

                “ก็อยากรีบกลับมาหาแทล เซอร์ไพรส์!

                “โกหกหรือเปล่า บอกความจริงมาซะดีๆ ทำไมกลับก่อนกำหนด”

                “พูดจริงๆ ที่รีบกลับมานี่เพราะคิดถึงแทลจริงๆ คิดถึงแทบขาดใจ”

     

                ถ้าไม่ติดว่าคบกันมานานตั้งสามปี แทอิลคงไม่อยากจะเชื่อคนหล่อแบบที่คุณซลของเขาที่บอกว่าคิดถึง คนหล่อน่ะเจ้าชู้ ลมปากไม่น่าเชื่อถือ แต่คุณฮันซลเคยมองใครอื่นนอกจากแทอิลที่ไหน เถลไถลอื่นไกลไม่เคยมี อย่างนี้ที่บอกว่าคิดถึงจะยอมเชื่อก็ได้ เขาเองไม่ใช่ว่าไม่คิดถึงคุณฮันซลเสียเมื่อไร คิดถึงไม่แพ้กัน เมื่อคืนก่อนนอนก็ยังคิดถึงอยู่เลย

     

                “รีบไปอาบน้ำได้แล้วแทล นี่คุณซลหิวข้าวเช้าจะแย่ กะมาฝากท้องไว้กับคุณพ่อตากับคุณแม่ยายเลยเนี่ย”

                “โอเค แทลจะรีบอาบน้ำนะ คุณซลลงไปรอข้างล่างก็ได้ แต่ถ้าจะนั่งรอบนห้องก็เก็บที่นอนให้ด้วยนะ ฮ่าฮ่า”

     

                แทอิลยันเตียงแล้วลุกขึ้นอย่างขี้เกียจหน่อยๆ รีบเดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวที่ตากไว้ ออกจากห้องไปยังห้องน้ำเพื่อทำภารกิจส่วนตัว ฮันซลค่อยลุกจากเตียงเมื่อเจ้าของห้องเดินออกจากห้องไปพักหนึ่ง ลุกขึ้นมาช่วยเก็บที่นอนของแทอิลให้เป็นระเบียบ มือตบๆหมอนให้ฟูน่านอน แล้วดึงผ้าห่มออกเพื่อจะพับเก็บ ตอนที่ดึงผ้าห่มออกจากเตียง ได้ยินเสียงเหมือนของบางอย่างตกลงจากเตียงลงสู่พื้น ฮันซลจึงหยุดที่จะพับผ้าห่มชั่วคราว ก้มลงมองหาของที่ตกตรงพื้นบริเวณรอบเตียงก็เจออย่างง่ายดายเพราะอยู่ใกล้กับปลายเท้า

     

                แต่เมื่อหยิบขึ้นมาก็ต้องชะงัก ของที่เขาไม่เคยใช้แต่ก็รู้จักมันเพราะเคยเห็นอยู่บ้างในโทรทัศน์ และไม่คิดว่าจะเห็นของสิ่งนี้ตกอยู่ในห้องของแฟนที่น่ารักของตน ทำไมแทลของเขาถึงมีของสิ่งนี้ได้? ทำไมเครื่องตรวจการตั้งครรภ์ถึงมาอยู่กับแทอิลได้? ยิ่งเห็นว่าช่องแสดงผลขึ้นเป็นสองขีดที่แสดงว่ากำลังตั้งครรภ์ยิ่งทำให้ใจเต้นแรงเข้าไปอีก นี่มันเป็นผลตรวจของใครกัน?

               

               

                ระหว่างที่เขาไม่อยู่เกาหลี แทอิลไปทำอะไรไว้หรือเปล่านะ ปิดบังอะไรเขาอยู่หรือเปล่า

     

     

     

     

     

    ----- The Way We Are -----

               

                 

     

               

     

                ฮันซลลงมานั่งคุยกับคุณพ่อและคุณแม่ของแทอิลได้พักหนึ่ง แทอิลก็ลงมาหลังอาบน้ำเสร็จ จึงได้เริ่มรับประทานอาหารเช้ากัน เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จ คุณพ่อและแม่ของแทอิลก็ออกไปทำธุระนอกบ้าน ในบ้านจึงมีเพียงแค่สองคนที่อยู่ ซึ่งมันก็ถือว่าดีที่จะได้อยู่กันสองคน

     

                “คุณซลซื้อของมาฝากแทลด้วยนะ โอยย แพงมาก ไม่อยากซื้อมาเล้ยยย แต่กลัวคนน่ารักแถวนี้จะน้อยใจ”

                “คุณซลไปต่างประเทศตั้งกี่รอบ ซื้อของมาฝากแทลตั้งเท่าไรแล้ว จะไปน้อยใจได้ยังไง.. แต่นี่ไปถึงฝรั่งเศสนะ ถ้าของฝากไม่ใช่หอไอเฟลละก็นะ..”

     

                ฟังแล้วก็ขำกับคำพูดน่ารักๆของแทอิล ฮันซลยื่นถุงกระดาษที่มีตราสัญลักษณ์ของแบรนด์สินค้าชื่อดังที่มีต้นกำเนิดจากฝรั่งเศส ถิ่นที่ฮันซลไปเหยียบมา แทอิลเปิดถุงกระดาษดูก็พบกล่องผูกโบว์สวย เปิดดูในกล่องก็พบว่าเป็นน้ำหอมในตำนานที่ใครต่างก็รู้จัก และหากชื่นชอบในน้ำหอมจะต้องมีไว้ครอบครองสักขวด สีหน้าแทอิลยิ้มชอบใจกับของฝากจากปารีสเป็นที่สุด

     

                “พอจะทดแทนหอไอเฟลได้ไหม แทลแทล”

                “ได้อยู่แล้ว.. แทลชอบนะ แต่ว่าเกรงใจอ่ะ มันแพงมากเลยไม่ใช่เหรอ”
                “แทลก็รู้ว่าเงินเดือนคุณซลซื้อของแค่นี้มันไม่เท่าไรหรอก แล้วอีกอย่าง ถ้าเทียบราคาน้ำหอมขวดนี้กับความรักที่คุณซลมีให้แทลเนี่ยนะ น้ำหอมราคามันน่าจะถูกกว่ากันเยอะ เพราะความรักของคุณซลที่ให้แทลมันแพงมากมายมหาศาลจนตีค่าเป็นเงินไม่ได้เลย รักของคุณซลมีค่ามากเลยนะ รู้หรือเปล่า”

                “แทลรักคุณซลนะ”

     

                 แทอิลเอนตัวเข้ากอดฮันซล ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งมั่นใจว่าคนที่กอดรักตนไม่เปลี่ยนแปลง แต่นับต่อจากนี้มันอาจจะแปลงเปลี่ยนไป จะต้องบอกคุณฮันซลอย่างไรดีว่าเขากำลังจะมีลูก เขาจะเป็นทั้งพ่อและแม่ในคราวเดียวกัน และยังมีคนอีกคนที่เป็นพ่อแท้จริงของเด็กในท้อง คนที่ไม่ใช่จีฮันซล

     

                คุณฮันซลจะรับได้ไหมว่าเขามีความสัมพันธ์กับคนอื่น แม้จะเป็นทางกายไม่ใช่ทางใจ จะรับได้ไหมว่าความจริงแล้วเขาผิดปกติ ที่สามารถท้องได้ทั้งที่ไม่ใช่ผู้หญิง รู้ว่ายังไงคุณฮันซลก็ต้องรู้เรื่อง แต่ควรจะบอกให้คุณซลรับรู้จากปากของเขาเอง หรือควรจะปล่อยให้รู้เองแม้แทอิลจะไม่ได้บอกดีคือสิ่งที่ลังเล

     

                “ไหนลองดมน้ำหอมสิ ว่ากลิ่นเป็นยังไง ถูกใจไหม”

     

                กอดกันนานจนเกือบจะลืมของฝากจากต่างประเทศ ฮันซลหยิบขวดน้ำหอมมาเปิดฝาชวนให้แทอิลดมกลิ่น แม้ปากขวดจะไม่ได้อยู่ติดจมูกแทอิล แต่ก็รู้สึกได้ว่ากลิ่นมันไม่น่าพิสมัยเสียเท่าไร เขารู้สึกเหมือนจะคลื่นไส้อย่างไรอย่างนั้น แทอิลกำลังจะรับขวดน้ำหอมมาจากมือฮันซล หวังจะตั้งใจดมให้มากกว่าเดิม แต่เหมือนอาหารในท้องที่เพิ่งจะกินเข้าไปจะขย้อนออกมา ยังไม่ทันจะรับน้ำหอมมาก็รีบปล่อยมือจากขวด โชคดีที่ฮันซลยังไม่ได้ปล่อยมือจากขวดน้ำหอมทำให้ไม่ตกแตก ฮันซลรีบปิดฝาขวดน้ำหอมแล้ววางลงบนโต๊ะทันที

     

                “เป็นอะไรหรือเปล่าแทล กลิ่นไม่ถูกใจเหรอ”

                “ปะ..เปล่าคุณซล เมื่อกี๊แทลคงกินเยอะไปหน่อย กลิ่นน้ำหอมมันคงเข้าไปปั่นป่วนน่ะ”

                “แล้วกลิ่นเป็นไง สรุปว่าชอบหรือเปล่า”

                “ชอบอยู่แล้ว กลิ่นหอมมาก ขอบคุณนะคุณซล”

     

                แทอิลทำเป็นหยิบน้ำหอมมาดมอีกครั้ง ทั้งที่ความจริงกลั้นหายใจอยู่ทุกครั้งที่ได้กลิ่น นั่งสนใจของฝากกันอยู่พักหนึ่ง ฮันซลก็ถามไถ่ถึงความเป็นอยู่ของคนรักในช่วงที่ตนไปทำงานต่างประเทศ แม้ปัจจุบันจะไม่ต้องเสียค่าโทรศัพท์คุยกันให้เปลืองเงิน ใช้การสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไร้พรมแดนก็ได้ แต่เวลาของโซลและปารีสต่างกันนัก ตอนคนอยู่ปารีสทำงานอีกคนที่โซลก็เข้านอน พออีกคนที่ปารีสจะนอนอีกคนโซลก็ทำงาน จึงไม่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไร ในทีแรกแทอิลก็พูดคุยเล่าเรื่องทำอัลบั้มใหม่ให้กับนักร้องสาวในค่าย แต่พอผ่านไปพักหนึ่งก็กลายเป็นว่าเสียงที่เจื้อยแจ้วเล่านั้นกลับเบาลงจนเงียบไป คนหน้าหวานเผลอพิงไหล่แฟนหนุ่มที่มาหาที่บ้าน หลับไปเป็นที่เรียบร้อย ฮันซลจึงค่อยๆเอามือประคองศีรษะแทอิลออก ตัวก็ลุกขึ้นแล้วค่อยๆวางศีรษะแทอิลลงกับโซฟา จัดท่านอนให้แทลของเขานอนสบาย

     

                ฮันซลรู้สึกผิดหวังอยู่หน่อย เขาเพิ่งจะมาถึงโซลเมื่อตอนเกือบตีห้า พอมาถึงก็รีบกลับไปบ้านของตน ไปเก็บของกับนอนพักสองชั่วโมงก็รีบมาบ้านแทอิลที่เขาคิดถึงแทบขาดใจ ความจริงวันนี้เป็นวันทำงานของแทอิล ถึงได้รีบมาหา พอมาถึงก็ได้รู้จากคุณพ่อของแฟนที่น่ารักว่าแฟนได้หยุดหนึ่งสัปดาห์ วันนี้หยุดวันสุดท้ายเสียด้วย ก็ยิ่งดีใจใหญ่กะจะพาออกไปเดทกันสองต่อสอง แต่แทอิลกลับหลับไปแล้ว เขาไม่กล้าจะปลุกเพราะเห็นว่าเรื่องของคนจะหลับ ไปปลุกคงไม่ดีจึงต้องปล่อยให้นอนไป ส่วนตัวเองก็ได้แต่นั่งมองหน้าหวานของคนรักที่หลับตาพริ้ม

     

                ทั้งๆที่แทอิลเพิ่งจะลุกจากที่นอนมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วเอง ทำไมถึงยังง่วงนอนอีกได้ หรือว่าเมื่อคืนแทลของเขานอนไม่หลับ? มันจะเกี่ยวกับของที่เขาเจอบนเตียงหรือเปล่า อยากถามให้หายสงสัย ให้หายคิดมาก แต่ถ้าเกิดว่าถามไปแล้วเขาเกิดไม่เชื่อว่าที่แทอิลพูดเป็นความจริง จะทำให้พาลหัวเสียโกรธไปเปล่าๆ

     

                เขาอาจจะคิดมากไปเองก็ได้.. ได้แต่คิดแบบนั้น

     

     

     

     

    ----- The Way We Are -----

     

     

               

                 

     

                แทอิลรู้สึกหลับจนเต็มอิ่ม ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ไม่เห็นคุณซลของตนอยู่ใกล้ๆ จำได้ว่าตอนก่อนหน้าที่จะหลับไปยังนั่งคุยกันอยู่ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังมาจากไหนสักแห่งในบ้าน ซึ่งน่าจะเป็นห้องครัว จึงเดินไปยังที่มาของเสียง เห็นว่าคนรักของตนกำลังนั่งคุยกับบิดาและมารดาอยู่อย่างสนุกสนาน

     

                “นั่นไงคุณฮันซล แทลของเราตื่นแล้ว”

     

                พอแทอิลเดินเข้ามาในครัวแม่ก็ทักเข้าให้ ฮันซลหันมายิ้ม ทั้งยังลุกขึ้นมาดึงเก้าอี้ที่สอดอยู่ใต้โต๊ะออกมาเพื่อให้ลูกชายหน้าหวานของเจ้าของบ้านได้นั่ง

     

                “แย่จริงๆเลยแทล คุณฮันซลเขาอุตส่าห์มาหา มาหลับได้ยังไง”

                “ก็คนมันง่วงนี่ครับแม่”

     

                พูดไปก็ทำท่าเหมือนจะหาววอดออกมา แต่ก็เกรงใจฮันซลถึงได้เลือกจะยิ้มให้แทนที่จะแสดงอาการหาวออกมา

     

                “วันนี้เราออกไปกินข้าวนอกบ้านกันดีไหมครับ แถวบ้านผมมีร้านอาหารไทยเปิดใหม่ คุณพ่อกับคุณแม่น่าจะชอบ”

     

                ฮันซลเห็นว่าวันนี้อีกครอบครัวหนึ่งของเขาอยู่บ้านกันพร้อมหน้าพร้อมตา มีความคิดอยากจะพาทั้งสามคนออกไปกินข้าวด้วยกัน เขาไม่ค่อยได้มาเยี่ยมพ่อกับแม่ของแทอิลสักเท่าไร คะแนนจะตกหรือเปล่าก็ไม่รู้ วันนี้มีโอกาสต้องเร่งทำคะแนนอย่าให้ตก ไม่เช่นนั้นเดือนหน้า พ่อกับแม่ของแทลของเขาอาจจะไม่ยกลูกชายให้เขาก็ได้

     

                “คุณฮันซลไปกับแทลสองคนเถอะ ไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคนมาตั้งเกือบเดือน อยากอยู่กันสองต่อสอง พ่อรู้หรอกน่า”

     

                ชายผู้เป็นบิดาของแทอิลเอ่ยปากแซว คนโดนแซวทั้งคู่ถึงกับอาย แม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ก็ยังเขินอายในทุกครั้งที่พ่อพูดแบบนี้

     

                “ถ้างั้นก็ขอพาลูกชายที่น่ารักของคุณพ่อกับคุณแม่ออกไปกินอาหารมื้อเย็นหน่อยแล้วกันนะครับ”

     

               

     

     

     

    ----- The Way We Are -----

               

               

     

                เมื่อแทอิลล้างหน้าเปลี่ยนชุดออกจากบ้านเสร็จ ทั้งคู่ก็นั่งรถออกมาจากบ้านเพื่อจะไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน ฮันซลหันมามองคุณแฟนที่นั่งเบาะข้างระหว่างขับรถเหมือนว่าคนที่เพิ่งจะตื่นไม่นานกำลังจะหลับตาลงอีกครั้ง จึงเอื้อมไปเปิดวิทยุในรถให้ส่งเสียงสร้างความรำคาญให้กับคนกำลังจะหลับ จะได้ไม่ต้องหลับอีก ไม่ใช่อยากจะแกล้งหรือฝืนบังคับให้อีกคนต้องตื่น แต่เห็นว่าแทอิลหลับมาเพียงพอแล้ว เขาอยากจะนั่งคุยกับแฟนบ้างสิ

     

                “แทล เราไม่สบายอะไรหรือเปล่า คุณซลเห็นเราเอาแต่จะนอนท่าเดียว เมื่อครู่คุยกับพ่อแม่แทล ท่านบอกว่าช่วงนี้แทลนอนเกือบจะทั้งวันเลย”

     

                อดจะห่วงแทอิลไม่ได้จริงๆ แทลของเขารักในงานโปรดิวเซอร์มาก จึงได้หักโหมกับงานมากเพราะความรักในสิ่งนั้น แต่หลายครั้งมันทำให้แทอิลไม่ได้นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ ร่างกายมันก็มีขีดจำกัด ไม่รู้คราวนี้หักโหมมากขนาดไหนถึงได้เอาแต่นอนทั้งวัน

     

                “พักผ่อนน้อยสะสมละมั้งคุณซล ไม่ได้เป็นอะไรหรอก”

     

                แทอิลได้แต่ปัดเกี่ยงเหตุผลไปให้กับพฤติกรรมที่ไม่ดีของตนที่ฮันซลก็รู้ว่าตนชอบทำบ่อยๆ แม้แท้จริงจะพอเดาออกว่าเหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะพักผ่อนน้อยอย่างที่ว่า ก่อนหน้านี้เขาพักผ่อนน้อยก็จริง แต่มันก็คงไม่ส่งผลเป็นสัปดาห์ขนาดนี้ แค่นอนหลับพักผ่อนกินอาหารให้ครบสองสามวันก็หาย ที่เป็นเช่นนี้ก็อาจเพราะสิ่งมีชีวิตในท้องของเขากำลังแย่งพลังงานไปจนเกือบหมด แทอิลไม่ได้มีพลังงานเหลือเฟือไว้ใช้คนเดียวเหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้ยังมีอีกหนึ่งชีวิตที่ร่างกายเขาต้องแบ่งปันทุกสิ่งอย่างให้

     

                “ไหนๆก็ว่างแล้ว ก่อนไปกินข้าว แวะไปหาหมอที่โรงบาลก่อนดีกว่ามั้ง คุณซลเป็นห่วงจริงๆนะ”

     

                “ไม่เอาน่าคุณซล แทลไม่เป็นอะไรมากจริงๆ”

                “รู้ได้ไง หืม? แทลของคุณซลไม่ได้เป็นโปรดิวเซอร์แต่เป็นหมอแล้วเหรอ?”

                “กะ..ก็.. เมื่อวานแทลเพิ่งจะไปหาหมอมา หมอเขาก็บอกว่าแทลพักผ่อนน้อยไปนั่นแหละ เขาถึงได้ให้พักผ่อนมากๆ นอนเยอะๆ จะได้หายไวๆไง”

     

                พอแทอิลบอกอย่างนั้นฮันซลก็ล้มเลิกความคิดจะพาแฟนขี้เซาไปโรงพยาบาล โชคดีที่ฮันซลเชื่อว่าเป็นเพราะพักผ่อนน้อย โชคดีที่ฮันซลจะไม่พาเขาไปโรงพยาบาล ไม่งั้นคุณซลต้องรู้ความจริงๆแน่ สักวันยังไงก็ต้องรู้ แต่จะให้มารู้อย่างกะทันหันแบบนี้เขาก็ยังไม่พร้อมบอก ฮันซลเองก็คงไม่พร้อมจะฟัง

     

                ถึงตอนนั้นที่บอกความจริง แม้จะเกิดอะไรขึ้นมุนแทอิลจะยอมรับมันทุกอย่าง ต่อให้ต้องเสียคนรักไปก็ตาม แต่เขาจะไม่มีวันทำลายชีวิตเด็กคนหนึ่งที่กำลังจะเกิดมา หากจะต้องทำร้ายเด็กคนนี้ เขาคงรู้สึกผิดมากกว่าการที่สามารถรั้งให้คุณฮันซลอยู่กับเขาได้แต่ลูกของเขาในอนาคตจะต้องจากไป

     

     

     

     

    ----- The Way We Are -----

     

     

     

     

               

                ยองโฮตั้งใจจะบอกกับครอบครัวเรื่องของแทอิล แต่เหมือนฟ้าจะยังไม่เป็นใจ เตนล์ผู้เป็นคนรักโทรมาหาเสียก่อน บอกว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าจะบินมาเกาหลี อยากให้ไปรับที่สนามบิน ยองโฮจึงหยุดเรื่องที่จะพูดคุยกับครอบครัวเอาไว้ ก่อนที่เขาจะบอกครอบครัว เขาควรจะตัดสินใจเรื่องนี้กับเตนล์เสียก่อน เตนล์.. คนที่เขารักที่สุด เขาจึงคิดว่าควรให้เกียรติกับเตนล์ได้รู้เรื่องก่อน แม้เรื่องที่เขาทำไปจะถือว่าทำให้คนรักของเขาเสียเกียรติมากไปแล้วก็ตาม

     

                พอเลิกงานของตัวเองก็รีบไปสนามบินทันที พอไปถึงเครื่องที่ดาราหนุ่มบินกลับมาก็ลงจอดพอดี ยองโฮทำตัวเหมือนแฟนคลับที่สนามบิน ไปยืนรอติดตรงบริเวณทางออก ไม่นานนักก็เห็นแฟนหนุ่มตัวเล็กของเขาใส่เสื้อยืดตัวอักษร T ที่เขาเป็นคนซื้อให้ ก็ทำให้เห็นได้ทันทีว่าเตนล์มาถึงแล้วจริงๆ

     

                ยองโฮเดินเข้าไปหาแล้วช่วยเข็นกระเป๋าของแฟนหนุ่มคนดังอย่างที่เคยทำ

     

                “น่าจะโทรบอกล่วงหน้าสักหน่อยนะครับว่าจะกลับ มาบอกเอาวันกลับแบบนี้เกือบมารับไม่ทัน”

                “นี่ก็อุตส่าห์โทรบอกก่อนเครื่องจะออกแล้ว ไม่โทรบอกตอนมาถึงก็ดีแค่ไหนแล้วพี่ยองโฮ”

                “ครับๆ ไม่บ่นแล้วครับคุณชิตพล”

     

                เตนล์ยิ้มกว้างกับความว่าง่ายของแฟนรุ่นพี่ตัวสูง ระหว่างทางเดินไปที่รถก็มีคนเข้ามาขอถ่ายรูปและขอลายเซ็นกับเตนล์มากมาย แต่ยองโฮก็หยุดยืนรอไม่มีบ่นหรือมีท่าทีเบื่อหน่าย มีเสียงกระซิบให้ได้ยินว่าทั้งคู่ดูเหมาะสมกันมากขนาดไหนก็ยิ่งทำให้ยองโฮรู้สึกผิดกับเตนล์มากเท่านั้น

     

                เมื่อถึงรถของยองโฮ เตนล์ก็เป็นฝ่ายเอากระเป๋าขึ้นรถเอง ให้ยองโฮไปสตาร์ทเครื่องรอจะได้ไม่เสียเวลา เมื่อเก็บกระเป๋าใส่รถเสร็จดาราหนุ่มจึงขึ้นไปนั่งเบาะข้างคนขับ เมื่อพร้อมรถจึงออกจากลานจอดรถ

     

                “จะกลับบ้านเลยหรือว่าจะไปไหนก่อนหรือเปล่า”

                “ขับรถไปเรื่อยๆก่อนได้ไหมอ่ะ ผมอยากนั่งรถเล่น”

     

                การที่บอกให้ขับไปเรื่อยๆนั้นยองโฮรู้ดีว่าเตนล์หมายถึงให้ขับไปที่ไหน ยองโฮจึงค่อยๆขับไปอย่างช้าๆไม่เร่งรีบ ขับด้วยอัตราเร็วที่ช้ากว่าปกติเพื่อให้แฟนของเขานั่งสบาย

     

                “ทำไมกลับเกาหลีกะทันหันจังล่ะเตนล์”

                “มีงานด่วนก็เลยต้องรีบมา ขอโทษด้วยนะที่จู่ๆก็บอกจะให้มารับ ช่วงนี้พี่ยองโฮคงยุ่งมากแน่เลย”

     

                พอพูดจบก็เงียบไปกันอีกครั้ง ปกติระหว่างนั่งรถจะต้องนั่งคุยกัน แต่วันนี้กลับแปลกไปเพราะไร้ซึ่งเสียงพูดคุยไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งที่ไม่ได้เจอกันมานานพอสมควร ไม่มีเรื่องที่โกรธเคืองกัน

     

                “เตนล์ พี่มีเรื่องอยากคุยด้วย”

     

                “เป็นคำพูดที่น่ากลัวสำหรับผมจัง ว่าแต่มีอะไรเหรอพี่ยองโฮ”

     

                คนเริ่มประเด็นยังไม่ได้พูดอะไร แต่เปิดไฟเลี้ยวเพื่อเปลี่ยนเลนส์ในการขับรถจากเลนส์กลางไปยังริมขวาสุด ค่อยๆลงระดับความเร็วลงจนรถหยุดในที่สุด สีหน้าของยองโฮดูไม่ดีจนเตนล์แอบหวั่นใจ ฝ่ายหนึ่งอยากพูดและอีกฝ่ายรอจะรับฟังด้วยหัวใจที่เต้นรัว

     

                “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ถึงกับต้องจอดรถคุย”

                “คือพี่มีเรื่องจะสารภาพ มันไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แต่ว่าเตนล์ต้องรู้”

     

                มันลำบากใจที่จะพูด ยากที่จะพูดยิ่งนัก แต่ยองโฮก็ต้องพูดมันออกมาก่อนที่จะสายเกินไป เขาต้องรีบจัดการทุกอย่างให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้ก็รู้สึกว่ามันเกือบจะสายไป แต่ช้าแค่ไหนก็ต้องรับผิดชอบ

     

                “พี่ทำคนๆนึงท้อง”

     

                ใจของเตนล์เต้นแรงเสียจนแทบจะระเบิดออกมา ไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนรักที่แสนดีของเขาจะมีเรื่องราวเช่นนี้ได้ เพราะยองโฮไม่เคยมีเรื่องเสียหาย มีแต่เรื่องที่จะทำให้เขารู้สึกว่าเขาช่างเป็นคนที่โชคดีเสมอที่ได้คบหากับผู้ชายคนนี้ ในใจของเตนล์มันรู้สึกหนาวเย็นและร้อนรุ่มไปพร้อมกัน แต่เตนล์ไม่ใช่คนใจร้อน เขาเป็นคนใจเย็นและพร้อมจะรับฟังคนรักเสมอ

     

                “เรื่องมันเป็นยังไงพี่ยองโฮ”

                “...”

                “พี่ยองโฮบอกผมที ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

                “เมื่อสองเดือนก่อนมีงานเลี้ยงรุ่นสมัยมัธยม คืนนั้นพี่เมามาก แล้วเขาก็เมามาก เราสองคนก็เลย.. มีอะไรกันโดยไม่รู้ตัว พี่เพิ่งจะรู้ว่า.. เขาท้อง เมื่อสองสามวันก่อน”

     

                ยองโฮยอมรับผิดทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง สีหน้าคล้ายจะร้องไห้ออกมา มือเรียวเล็กของเตนล์บีบไหล่คนรักให้คลายความกังวล แม้จะผิดหวังในตัวพี่ยองโฮอยู่บ้าง ไม่สิ เขาคงต้องยอมรับว่าผิดหวังมาก อยากจะโกรธ โกรธจนอยากจะระบายออกมา แต่ไม่รู้จะแสดงมันออกมายังไง มันช็อคเกินกว่าจะควบคุมความคิดหรือการแสดงออก ในเมื่อเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะความไม่มีสติของคนทั้งคู่ จะโทษคนรักของตนฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ แม้ไม่รู้ว่ามันจะจริงเท็จแค่ไหนสำหรับคำพูดที่ว่า เมาไม่รู้ตัวแต่ถ้าซอยองโฮจะพูดแบบนั้น จะเล่าแบบนี้ เตนล์ก็จะเชื่อคนรักที่ไม่เคยหลอกลวงอะไรเขาแม้แต่อย่างเดียว

     

                “แล้วพี่จะทำยังไงต่อ”

                “พี่จะรับผิดชอบเขาครับ พี่คงให้เขาเลี้ยงลูกคนเดียวไม่ได้ มันเป็นเรื่องเดียวที่พี่คิดว่าพี่จะทำได้ดีที่สุดแล้วเตนล์ เตนล์จะโกรธหรือเกลียดพี่ก็ได้ แต่พี่อยากจะรับผิดชอบในสิ่งที่พี่เองก็มีส่วนผิด”

     

                เขารู้ว่าที่ยองโฮพูดหมายความว่าอย่างไรในเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับยองโฮ ต่อจากนี้มันคงจะเป็นอย่างเดิมไม่ได้ คงเป็นคู่รักที่ใครๆต่างก็อิจฉาไม่ได้อีกแล้ว แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่ากับความคิดของยองโฮ เตนล์เข้าใจและเคารพการตัดสินใจของคนรักรุ่นพี่เสมอ คนรักของเขามีวุฒิภาวะมากพอที่จะตัดสินใจเรื่องตัวเอง

     

                “ตัดสินใจถูกแล้วล่ะครับ ตัดสินใจได้ดีแล้ว”

     

                เตนล์คงพูดได้แค่นี้จริงๆ มันคงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าความรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง จะให้อยู่ด้วยกันต่อไป จะรั้งอีกฝ่ายไว้ยังไงความรู้สึกมันก็คงเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว ต่อให้จะยังรักยังไง ความผิดหวังต่อพี่ยองโฮของเขามันก็ก่อตัวขึ้นไปแล้ว สำหรับเรื่องแบบนี้ ไม่รู้จะรู้สึกยังไงแล้วจริงๆ

     

                “โกรธพี่ไหมครับ เกลียดพี่หรือเปล่า”

                “ไม่เกลียดครับ ผมควรจะดีใจที่พี่ยองโฮจะรับผิดชอบเขา ถ้าพี่ยองโฮปิดบังผมไปมากกว่านี้ แล้วไม่ยอมที่จะรับผิดชอบคนที่กำลังจะมีลูกกับพี่ นั่นสิครับ ที่จะทำให้ผมอยากโกรธแล้วก็เกลียดมากกว่า”

                “เตนล์เข้าใจพี่ใช่ไหม”

     

                ซอยองโฮอยากจะหลั่งน้ำตาให้กับผู้ชายที่นั่งข้างๆเขาตอนนี้ ผู้ชายที่งดงามทั้งใบหน้าและจิตใจ ทั้งๆที่เขากำลังจะทรยศต่อความรักที่เตนล์มีให้ แต่ก็เข้าใจและไม่คิดโกรธ ทั้งในตอนนี้ยังยิ้มให้เขาได้แม้ควรจะแสดงว่าคนรักของเขาเจ็บปวดมากเพียงใดกับเรื่องนี้

     

                “เตนล์จะทำอะไรพี่ก็ได้ จะต่อยจะตีพี่ยังไงก็ได้ เอาให้เตนล์รู้สึกว่าพี่สมควรที่จะเจ็บปวดกับการกระทำของพี่ที่ทำแบบนี้กับเตนล์”

                “ถ้างั้น.. ผมเป็นคนขอบอกเลิกพี่ได้ไหม

                “ครับ ได้สิ”

                “เรา.. เราเลิกกันเถอะพี่ยองโฮ”

     

                น้ำตาที่กลั้นไว้ สุดท้ายในเมื่อมันไม่ไหวเตนล์ก็คงไม่ฝืนต่อ น้ำใสๆไหลรินออกมาจากนัยน์ตาหวานทั้งสองข้างที่แปรเปลี่ยนมาเป็นนัยน์ตาเศร้า บทบาททางการแสดงที่เคยได้รับแม้บทของมันจะเลวร้ายแค่ไหน จะเป็นบทที่ทุกข์ใจเพียงใด แต่มันก็ไม่เท่ากับความจริงตอนนี้เลย อยากภาวนาให้มันเป็นแค่บทละครที่ทำให้รู้สึกอิน แต่คงต้องยอมรับว่ามันคือความจริงของหัวใจชิตพลแล้ว

     

                “ผู้หญิงที่จะได้พี่ยองโฮไปเป็นพ่อของลูกโชคดีมากเลยนะเนี่ย อยากรู้จังว่าเป็นใครกัน เป็นเพื่อนสมัยเรียนใช่ไหมครับ ถ้างั้นคงต้องไปสืบกับวินวินหน่อยแล้ว

     

                ลืมคิดเรื่องนี้ไปสนิท ถ้าเขาบอกเรื่องนี้กับเตนล์ ซึ่งเตนล์สนิทก็สนิทกับวินวินเพื่อนเขา แสดงว่าเพื่อนเขาก็จะต้องรู้เรื่องนี้ด้วยสิ ความจริงที่ว่าวินวินรู้มันไม่เท่าไร ถ้าจะขอให้เพื่อนคนนี้ไม่พูดก็คงจะเก็บเป็นความลับได้ แต่ยังไงเสียยองโฮก็ต้องบอกกับครอบครัวเรื่องแทอิล ถ้าเซฮุนหรือจงอินไปที่บ้านคงต้องรู้เรื่อง คงเป็นเรื่องใหญ่แน่

     

                “เตนล์ครับ พี่มีเรื่องจะขอร้องอีกเรื่อง”

                “ครับ?”

                “คือ.. เรื่องนี้พี่ยังไม่ได้บอกพวกวินวิน เตนล์อย่าเพิ่งบอกหรือถามเกี่ยวกับเรื่องของพี่กับพวกเขานะครับ ไว้พี่จะบอกพวกนั้นเอง ตอนนี้เรื่องมันยังไม่ค่อยเรียบร้อย ถ้าบอกไปมันอาจจะจัดการยาก”

                “ครับ จะเก็บไว้เป็นความลับให้ก่อนนะ”

     

                เมื่อเข้าใจกันแล้วยองโฮก็รู้สึกโล่งใจไปบ้างที่จัดการเรื่องไปได้ส่วนหนึ่ง เขาอยากจะกอดเตนล์เป็นครั้งสุดท้ายด้วยความรักและความรู้สึกรัก แต่เขาไม่กล้าพอที่จะทำ และไม่กล้าขอจะได้รับอ้อมกอดนั้นแบบที่เคยทำอย่างในวันวาน สองปีที่คบกันอย่างคนรัก กอดตลอดสองปีนั้นคงมากพอแล้ว

     

                ทั้งคู่คงไม่ใช่คนที่เกิดมาคู่กันอย่างแท้จริง แต่ในสักวัน ในวันหนึ่งเตนล์คงได้ครองรักกับคนที่รักและพร้อมจะปกป้องและอยู่เคียงข้างไปตลอดชีวิตแทนเขา

     

                คนที่ดีและคู่ควรกับผู้ชายที่มีจิตใจงดงามอย่างเตนล์

     

               

     

               

     

    ----- The Way We Are -----

     

     

     

                เมื่อพูดคุยเรื่องของตนกับเตนล์เสร็จ เตนล์ก็ตัดสินใจได้ว่าจะกลับบ้านของตนเลย แม้ในทีแรกตั้งใจอยากจะไปนั่งรถเล่น รู้ว่ายองโฮคงเหนื่อยและมีเรื่องต้องจัดการอีกมาก จึงขอให้ยองโฮไปส่งที่บ้าน ก่อนจะแยกจากกันก็มีรอยยิ้มให้และคำให้กำลังใจให้กันและกัน ก่อนที่ยองโฮจะออกจากบ้านเตนล์กลับมายังบ้านตน

     

                พอกลับถึงที่บ้านตระกูลซอ อาหารมื้อเย็นก็กำลังตั้งโต๊ะพอดี ปกติต้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะลงมาทานอาหารเย็น แต่วันนี้กลับมาช้าแล้ว ยองโฮจึงแค่ทำความสะอาดมือ แล้วจึงเดินมาร่วมโต๊ะอาหารเลย ตอนนี้คงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะบอกกับครอบครัว เพราะเป็นเวลาที่ทุกคนอยู่กันอย่างพร้อมหน้า

     

                “เอ่อ.. ทุกคนครับ”

     

                หลังอาหารมื้อเย็นเริ่มไปได้สักพัก ยองโฮจึงตัดสินใจที่เปิดปากคุยเรื่องของตัวเอง บุคคลที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารทั้งสี่คน ไม่ว่าจะเป็นบิดา มารดา พี่ชาย และพี่สะใภ้ของยองโฮต่างก็ให้ความสนใจในเรื่องที่ยองโฮกำลังจะพูด

     

                “มีอะไรหรือเปล่ายองโฮ หน้าเครียดเชียว”

                “คือ.. ผมจะแต่งงานครับ”

     

                สิ้นเสียงของยองโฮ เสียงช้อนส้อมที่กระทบจานอาหารเมื่อครู่กลับเงียบลงเมื่อบุตรชายคนสุดท้องของบ้านเอ่ยปากว่าจะแต่งงาน ภายในโต๊ะอาหารต่างมองหน้ากันไปมา ไม่ได้มีสีหน้าตื่นตกใจ แต่เหมือนจะเป็นสีหน้ายินดี

     

                “ในที่สุดลูกชายพ่อก็จะได้เป็นฝั่งเป็นฝาสักทีสินะ! ว่าแต่นี่เราขอหนูเตนล์แต่งงานแล้วหรือ หรือว่ายังไม่ได้ขอ”

     

                ยองโฮอ้ำอึ้งไม่รู้จะพูดเช่นไร นี่แสดงว่าที่ทุกคนดูยิ้มแย้มดีใจกับเขานี่เป็นเพราะเข้าใจว่าเขาจะแต่งงานกับเตนล์สินะ นั่นสิ เขายังไม่ได้บอกกับทุกคนว่าเลิกรากับแฟนหนุ่มไปเมื่อก่อนหน้านี้นี่ เพราะคนที่เขาจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันต่อจากนี้เป็นคนอีกคน

     

                “ผมเลิกกับเตนล์แล้วครับ คนที่ผมจะแต่งงานด้วย.. ไม่ใช่เตนล์ครับ”

     

                สีหน้าของทุกคนที่ยิ้มแย้มเมื่อครู่กลับเปลี่ยนเป็นสีหน้าตกใจและงุงงง รอให้ยองโฮอธิบายเรื่องราวต่อ

     

                “ถ้าแกไม่แต่งกับคุณเตนล์ แกจะแต่งกับใครหะ ยองโฮ”

     

                พี่ชายเป็นคนเอ่ยปากถามแทนบุคคลที่นั่งร่วมโต๊ะอาหาร ที่รอให้น้องคนเล็กของบ้านเอ่ยปากพูดให้ไว แทนที่จะมานั่งอ้ำอึ้งพูดชักช้า

     

                “เขาชื่อมุนแทอิลครับ เป็นเพื่อนสมัยมัธยมของผม เป็นผู้ชาย”

     

                บุคคลทั้งสี่บนโต๊ะอาหารแปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นสีหน้าซีดกันเกือบหมด เมื่อบุตรชายคนเล็กตระกูลซอเอ่ยปากจะแต่งงานกับคนที่สมาชิกในครอบครัวไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาก่อน ไม่มีใครรู้ว่ามุนแทอิลคนนี้เป็นใคร เพราะยองโฮไม่เคยพูดถึง ไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตา

     

                “เรื่องมันเป็นยังไงเล่ามาสิ! มุนแทอิลนี่เป็นใคร ทำไมถึงเลิกกับหนูเตนล์แล้วถึงจะตัดสินใจแต่งงานกับผู้ชายชื่อมุนแทอิลคนนี้”

                “ผมทำเขาท้องครับ แทอิลกำลังจะมีลูกกับผม.. มันอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าเขาเป็นผู้ชายแต่ว่ากลับท้อง ผมพาเขาไปตรวจที่โรงพยาบาลมาแล้ว เขากำลังท้องจริงๆครับ ”

     

                หญิงผู้เป็นใหญ่ที่สุดของบ้านฟังแล้วลมแทบจับ เรื่องแต่งงานของลูกชายเป็นเรื่องที่รู้ว่ายังไงเสียก็ต้องมี และเธอก็พร้อมจะยินดี ตลอดสองปีที่ผ่านมาเธอคิดว่าหากลูกชายจะแต่งงาน แม้รู้อยู่แล้วว่าลูกของเธอจะแต่งงานกับผู้ชายอย่างเตนล์ดาราชื่อดังผู้เป็นคนรักของลูกชายที่เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างเธอก็พร้อมยินดี ในวันนี้ลูกชายกลับบอกว่าเลิกกับคนที่เธอหมายว่าลูกชายเธอคงจะได้ครองรัก ถึงได้ทั้งผิดหวังและตกใจไปพร้อมกัน

     

                “เขาก็เลยบังคับให้แกแต่งงานกับเขา?”

                “เปล่าครับ ผมเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้เอง ความจริงเขาก็ไม่อยากให้ผมรับผิดชอบ แต่ผมคิดว่ายังไงผมก็ควรรับผิดชอบในสิ่งที่ผมเองก็มีส่วนผิด”

                “แล้วแกจะแต่งเมื่อไร”

                “คงไม่ได้จัดงานเป็นเรื่องเป็นราวครับ พรุ่งนี้ผมคิดว่าจะไปขอขมาพ่อกับแม่ของแทอิลเขา แล้วก็จะซื้อบ้านใหม่สักหลัง ย้ายไปอยู่กันสองคน แต่ว่าก่อนจะหาบ้านใหม่ได้ ผมอยากจะขอให้เขามาอยู่บ้านเราก่อนสักพัก พ่อกับแม่จะอนุญาตไหมครับ”

     

                ต่างคนต่างก็มองหน้ากันไปมา มองหาคำตอบว่าควรจะช่วยเหลือน้องเล็กของบ้านอย่างไร แต่ก็ไม่มีใครอยากจะแสดงความคิดเห็นใดๆ เห็นว่ายองโฮโตพอจะคิดอะไรเองได้ ก็คงมีเพียงเรื่องที่ยองโฮจะขอให้แทอิลย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านที่ต้องอาศัยการตัดสินใจของผู้เป็นใหญ่สุดในบ้านอย่างบิดาและมารดาของตน ชายเจ้าของบ้านมองหน้าภรรยาผู้เป็นใหญ่กว่าในบ้านให้เกียรติในการตัดสินใจ แม่ว่าอย่างไรพ่อก็ว่าตามนั้น

     

                “เอาเถอะลูก ให้เขาย้ายมาอยู่บ้านเรา แต่ก่อนจะย้ายมายังไงก็พาเขามาพบครอบครัวเราหน่อย ให้แม่ได้พูดคุยเห็นหน้าเห็นตาสักครั้งแล้วกัน”

     

                ยองโฮก้มศีรษะจนแทบติดโต๊ะอาหาร กล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า มารดาที่นั่งอยู่เคียงข้างตบหลังลูกชายเบาๆเป็นการให้กำลังใจแทนคำพูด และสั่งให้ลูกชายสุดที่รักรับประทานอาหารต่อไม่ต้องคิดอะไรมาก เธอเองก็ต้องฝืนทนกินข้าวแม้พอรู้เรื่องก็เครียดแทนลูกชาย แต่ถ้าไม่กินนั่นจะยิ่งทำให้ลูกกังวลมากกว่า

     

                ในเวลาที่ลูกมีปัญหา สิ่งที่ดีกว่าการด่าทอต่อว่า คือการให้กำลังใจและคอยอยู่เคียงข้างไม่ห่าง

     

     

     

     

     

     

    ----- The Way We Are -----

     

     

     


     

                ยองโฮขับรถมายังเส้นทางที่ไม่ได้มานานหลังจากจบชั้นมัธยมปลาย แต่ก็เพิ่งจะมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ขับรถมายังบ้านของแทอิล ความจริงก็ยังไม่รู้ว่าวันนี้แทอิลอยู่บ้านหรือเปล่า เพราะไม่ได้โทรมาบอกก่อนว่าจะมา แต่คิดว่าวันเสาร์แบบนี้ก็คงจะอยู่บ้านพักผ่อน ถึงได้มาหาเพื่อจัดการเรื่องให้เรียบร้อย

     

                ยองโฮกดออดหน้าบ้านหลังสวยของแทอิล รอไม่นานนักประตูรั้วสีน้ำตาลแก่ก็ถูกเปิดออก ใบหน้านิ่งของยองโฮในทีแรกเริ่มมีรอยยิ้มส่งให้กับคนที่มาเปิดประตู ไม่ใช่เพื่อนร่วมรุ่น แต่เป็นชายวัยกลางคนที่อายุน่าจะพอๆกับพ่อของเขา

     

                “สวัสดีครับ คือผมมาหาแทอิล ไม่ทราบว่าแทอิลอยู่หรือเปล่าครับ”

                “อ๋อ แขกแทอิลหรอกเหรอ เชิญเข้ามาก่อนสิครับ”

     

                ชายเจ้าของบ้านเชิญชวนให้ยองโฮเข้าไปในบ้าน ยองโฮโน้มตัวลงเพื่อขอบคุณและเดินเข้าไปอย่างถ่อมตัว แขกผู้มาเยือนเดินเข้าไปภายในตัวบ้านซึ่งมีมุมนั่งพักผ่อนถูกจัดแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ดูสบายตา ตรงโซฟามีหญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ ถ้าให้เดาก็คงจะเป็นมารดาของแทอิล

     

                “สวัสดีครับ” ร่างสูงโน้มตัวลงเพื่อทักทาย

                “สวัสดีค่ะ พ่อ.. นี่แขกของพ่อหรือของแทอิลล่ะเนี่ย”

                “แขกของแทอิลน่ะ”

                “ผมซื้อผลไม้มาฝากครับ”

     

                หญิงผู้มีใบหน้าสวยหวานราวกับแทอิลถอดแบบออกมายิ้มและรับกระเช้าผลไม้จากมือยองโฮมาวางไว้บนโต๊ะแบบญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ตรงหน้าโซฟา ยองโฮก็ถูกเชิญให้นั่งที่โซฟาซึ่งตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง

     

                “เป็นเพื่อนกับแทอิลเหรอคะ”

                “เอ่อ...”

     

                ยังไม่ทันได้ตอบ ร่างของแทอิลก็ปรากฏอยู่ในระยะสายตาพร้อมกับชายที่ออกไปเปิดประตูบ้านให้ แทอิลอยู่ในชุดเตรียมจะออกไปข้างนอก แต่เหมือนว่ายองโฮจะมาที่บ้านพอดีทำให้แทอิลยังไม่ได้ออกไป เมื่อเห็นว่าใครกำลังนั่งอยู่ในบ้านของตนก็ช็อคเล็กน้อย แต่ก็ทำตัวเหมือนรู้จักกับยองโฮดี เพื่อไม่ให้บิดามารดาของตนผิดสังเกต

     

                “อ้าว มะ..มาทำอะไรที่นี่น่ะยองโฮ”

                “ก็.. มาจัดการเรื่องของเรา”

     

                ร่างเล็กรีบเดินเข้าไปฉุดแขนแขกไม่ได้รับเชิญของตนให้ลุกออกจากที่นั่ง แต่แทอิลตัวเล็กกว่ายองโฮนักจึงไม่ได้ส่งผลให้คนถูกดึงลุกตาม คนถูกดึงรู้ว่าอีกคนกำลังจะทำอะไร เขาถึงไม่เออออไปกับอีกฝ่าย

     

                “ไปคุยกันที่อื่นนะ ที่นี่ไม่สะดวกคุยหรอก”

     

                เพื่อนหน้าหวานส่งยิ้มมาให้ ไม่ใช่ยิ้มที่ดูจริงใจและมีความนัยน์แฝงอยู่ ยองโฮมองแทอิลด้วยสายตานิ่งเหมือนจะรั้นไม่ยอมทำตาม แต่สุดท้ายก็ยอมลุกขึ้นตามคำขอ แต่มืออีกข้างของยองโฮที่ไม่ได้ถูกจับไว้ พยายามเอามือของแทอิลที่จับมือตนเองออก แล้วมันก็ออกอย่างง่ายดาย

     

                จู่ๆขายาวของยองโฮก็คุกเข่าลงต่อหน้าชายและหญิงเจ้าของบ้านที่นั่งบนโซฟา ทั้งสองมองใบหน้ากันและกัน สลับกับมองใบหน้าแขกผู้มาเยือนรวมถึงใบหน้าลูกชายคนเดียวของทั้งคู่

     

                “นะ.. นี่.. เกิดเรื่องอะไรกันจ๊ะ แม่กับพ่องงไปหมดแล้วแทอิล”

                “สวัสดีครับคุณพ่อกับคุณแม่ของแทอิล ผมชื่อซอยองโฮครับ”

               

                ยองโฮแนะนำตัวเองในขณะที่ยังคุกเข่าอยู่ แทอิลพยายามจะดึงตัวเพื่อนร่วมรุ่นให้ออกห่างจากบุพการีของตน แต่ยองโฮก็นั่งนิ่งและทำเป็นไม่สนใจ

     

                “ผมอยากจะแต่งงานกับแทอิล กรุณาอนุญาตให้แทอิลแต่งงานกับผมด้วยครับ”

     

                บิดาและมารดาของแทอิลหันมองหน้ากันอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ตกใจ แทอิลที่ไม่รู้เรื่องหรือสิ่งที่ซอยองโฮจะทำ ยังไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจก็ตกใจและนิ่งไป แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจของแทอิลแทบหยุดเต้นมากกว่าคือการเห็นใบหน้าของคนอีกคนที่ยืนอยู่หน้าประตู แววตาที่ไร้ซึ่งความรู้สึกของคนที่มาใหม่ทำให้ใจของเขาราวกับกำลังแตกสลาย

     

     

     

     

                “คุณซล..”

     

     

     

    ----- The Way We Are -----

    ----- TBC -----

     

     

               The Way We Are – 2

     

     

                เสียงที่วินวินอ่านหัวข้อข่าว ผู้ชายท้องได้เมื่อหลายวันก่อนมันวนเวียนติดอยู่ในหัวยองโฮมากเหลือเกิน เขาพยายามหาอะไรทำตลอดเวลาเพื่อไม่ปล่อยให้สมองว่างจนนั่งคิดเรื่องนี้ ยองโฮกลัวว่าเรื่องที่เคยเห็นว่าไกลตัวมันอาจจะเป็นเรื่องใกล้ตัว ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดได้ง่ายๆ แต่กลับกังวลอะไรนักก็ไม่ทราบสาเหตุ ทำไมถึงได้คิดมากเป็นสิ่งที่ตัวเขาก็ไม่เข้าใจ ได้แต่คิดเข้าข้างตัวเองว่า ถ้ามีเรื่องอะไรจริงๆ เพื่อนที่เขามีความทรงจำเล็กน้อยด้วยสมัยมัธยม แต่มีความทรงจำอันยิ่งใหญ่ด้วยในวัยทำงานคงหาทางติดต่อเขามาแล้ว ดังนั้นก็ไม่ควรจะคิดมากไปเอง

     

                ความเครียดจากการทำงานทำให้สมองและร่างกายไม่สดชื่นเอาเสียเลย ยองโฮเลยทิ้งงานบนโต๊ะทำงานออกไปหาเครื่องดื่มที่เขาโปรดปรานที่ร้านกาแฟร้านโปรด ซึ่งไม่ได้อยู่ในตึกของบริษัท ต้องขับรถออกมาเพราะไม่ได้อยู่ใกล้กับบริษัทนัก แต่พอมาถึงร้านกลับพบว่าร้านปิด จึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาค้นหาร้านกาแฟอร่อยๆในเว็บพาชิมอาหาร ก็เจอร้านที่ได้รับความนิยมพอสมควร ถึงจะอยู่ไกลจากที่ที่อยู่ตอนนี้ไปเสียหน่อย แต่ยองโฮก็เลือกจะขับรถไปซื้อกาแฟที่ร้านนี้ หากว่ามันอร่อยจริงก็จะได้มีร้านโปรดเพิ่มมาอีกร้าน

     

                ขับมาพักหนึ่งก็จอดรถเทียบกับถนนตรงหน้าร้านกาแฟที่ได้รับคำแนะนำจากเว็บ ภายในร้านมีคนนั่งอยู่เกือบจะทุกโต๊ะ ร้านก็ถูกตกแต่งสวยงาม ร่างสูงคิดว่าคงมาถูกร้านเข้าให้แล้ว

     

                เดิมทีตอนก่อนออกจากบริษัทยองโฮคิดว่าจะกินอเมริกาโน่เย็นซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ดื่มทุกวัน เหมือนกับที่คนวัยทำงานชอบจะดื่มกาแฟ แต่ในเว็บพาชิมที่เขาเข้าไปบอกว่าร้านนี้มีเมนูที่มาร้านนี้ไม่สั่งถือว่ามาไม่ถึงร้าน เลยเลือกจะสั่งเมนูดังของร้านแทน

     

                “ไอซ์ไวท์ช็อคสตรอว์เบอร์รี่แก้วนึงครับ / ไอซ์ไวท์ช็อคสตรอว์เบอร์รี่แก้วนึงครับ”

     

                เมนูเดียวกันถูกสั่งพร้อมกันโดยคนสองคน ซึ่งยองโฮเป็นคนหนึ่งที่สั่ง ส่วนอีกคนคือคนที่ยืนข้างๆเขา ทำให้ร่างสูงต้องหันไปมองด้วยความแปลกใจที่บังเอิญสั่งพร้อมกัน อีกฝ่ายเองก็หันมามองหน้าเขาเช่นกัน

     

                สีหน้าที่แสดงออกและความรู้สึกภายในใจคงเหมือนกันอย่างไม่ต้องเดาหรือเอ่ยถาม

     

     

     

     

     

    – The Way We Are –

     

     

     

     

     

                ตอนแรกตั้งใจจะแค่มาซื้อเครื่องดื่มแล้วกลับไปทำงานต่อ แต่พอเจอบุคคลที่วนเวียนอยู่ในความคิดเขามาตลอดเกือบสามสัปดาห์ ยองโฮถึงเปลี่ยนใจชวนให้เพื่อนสมัยมัธยมนั่งดื่มเครื่องดื่มยอดนิยมของร้านกันก่อน

     

                ทั้งสองอยากจะยิ้มออกมาเพื่อสลายความอึดอัดต่อกัน แต่มันยิ้มไม่ออก

     

                “แทอิล.. มากินร้านนี้บ่อยเหรอ”

     

                อยากจะพูดอะไรบ้างแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มพูดยังไง เลยทำให้ต้องถามคำถามที่ดูสิ้นคิดออกมา

     

                “ก็เกือบทุกวัน ร้านอยู่ใกล้ๆที่ทำงาน”

                “ทำงานแถวนี้เหรอ”

                “อะ..อือ ทำงานที่ RN

     

                ยองโฮพยักหน้าเข้าใจ แทอิลทำงานอยู่ที่ RN Entertainment หรือ RN ค่ายเพลงชื่อดังที่สร้างศิลปินแถวหน้าของเกาหลี เขารู้เพียงแค่แทยงทำงานที่ค่ายเพลงแห่งนี้คนเดียว ไม่ยักกะรู้ว่าคนตรงข้ามเองก็ทำงานที่นี่เช่นเดียวกัน

     

                “เป็นนักร้อง?”

                “เคยเห็นเราออกเทปหรือไง? เราเป็นโปรดิวเซอร์กับนักแต่งเพลงของค่ายน่ะ”

     

                บางทีเขาก็ไม่ควรถามอะไรโง่ๆออกไป ถ้าหากแทอิลเป็นนักร้อง เพื่อนในกลุ่มคงต้องพูดถึงเรื่องนี้บ้าง เพื่อนร่วมห้องสมัยมัธยมเป็นถึงนักร้องจะไม่ถูกพูดถึงก็ยังไงอยู่ แต่แค่เพื่อนร่างบางบอกว่าเป็นโปรดิวเซอร์กับนักแต่งเพลงก็เหนือความคาดหมายของเขาไม่น้อย เท่าที่จำได้ ในสายตาของเขาแทอิลดูเป็นเด็กเรียน น่าจะสนใจหรือเลือกทำงานที่เป็นสายวิชาการ ไม่นึกว่าจะเลือกใช้งานที่ใช้พรสวรรค์ และก็ไม่ได้คิดว่าแทอิลจะชอบทางด้านนี้เพราะตอนสมัยเรียนก็ไม่เคยเห็นร่วมกิจกรรมอะไรที่เกี่ยวกับด้านดนตรีแบบที่แทยงทำ

     

                “คือ..”

                “...”

                “เรื่องคืนนั้น.. ฉันเสียใจนะแทอิล”

     

                ทั้งๆที่เคยสัญญากันเอาไว้ว่าจะทำเป็นเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แต่ยองโฮกลับพูดถึงมันอีกครั้ง เมื่อก่อนก็แทบจะไม่มองหน้ากันแล้ว ตอนนี้แทอิลยิ่งไม่อยากพบเจอกับซอยองโฮคนนี้อีกเลยด้วยซ้ำ

     

                “อย่าพูดถึงมันอีกเลยนะ มันผ่านไปแล้ว”

     

                ทำไมแทอิลจะไม่เสียใจ เขาเองก็เสียใจ แต่จะให้ทำอะไรได้ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว ให้ย้อนวันกลับไปมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ มีแค่การทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น และปล่อยให้วันเวลาผ่านไป คงทำให้เขาลืมมันไปได้เอง

     

                “ถะ...”

                “เราไปก่อนนะยองโฮ เกินเวลาพักแล้ว”

     

                ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไร แต่ในตอนนี้เขาไม่อยากจะรับรู้หรือสนทนาอะไรกับคนตรงหน้านี้แล้ว ทีเมื่อก่อนไม่เห็นอยากจะพูดจาด้วย มาวันนี้กลับอยากจะพูดคุย อยากจะรู้สึกขอบคุณที่ยังจำชื่อเขาได้และชวนให้นั่งโต๊ะเดียวกัน แต่ก็คงจะไม่แสดงความรู้สึกนั้นออกไป แค่ทำตัวให้เหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น เป็นทางที่ดีสำหรับทั้งคู่แล้ว

     

                 แทอิลหยิบแก้วเครื่องดื่ม ลุกออกจากโต๊ะแล้วเดินออกจากร้านไป คนที่ถูกทิ้งให้นั่งอยู่ต่อได้แต่ถอนหายใจ มีบางอย่างที่เขาต้องการจะพูด แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร เหมือนจะติดอยู่ในใจแต่ก็ไม่กล้าพูด หากปล่อยให้ค้างคาก็คงค้างคาอยู่เรื่อยไป

     

                สุดท้ายเมื่อสมองกลั่นกรองแล้วว่าเขาไม่ควรเก็บมันเอาไว้ให้กังวล ยองโฮรีบลุกจากเก้าอี้วิ่งออกไปนอกร้าน มองซ้ายขวาตามหาคนที่เพิ่งจะจากกันและยังมองเห็นว่าแทอิลเดินห่างออกไปได้ไม่ไกล รีบวิ่งสาวเท้าตามแผ่นหลังที่ดูห่างออกไปทุกที โชคดีที่ขายาวเลยสามารถตามคนที่จากกันได้ทัน แขนของคนที่หันหลังเดินจากร้านกาแฟมาถูกคว้าอย่างกะทันหัน ตกใจเผลอปล่อยแก้วไอซ์ไวท์ช็อคสตรอว์เบอร์รี่ตกลงพื้น มองหน้าเจ้าของมือที่คว้าแขนตนไว้

     

                “แทอิล..”  

                “ทะ..ทำไมถะ..”

                “ถ้าเกิดว่า.. แทอิล.. ท้อง.. เพราะว่าฉัน.. ต้องบอกนะ บอกฉัน”

     

                ไม่รู้จะต้องอ้อมค้อมยังไง ยองโฮถึงได้พูดตรงๆออกไป แม้ฟังแล้วมันจะพิลึกเพราะมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็เขาก็ได้พูดไปแล้ว ไม่ต้องเก็บเอาไว้ในใจให้อึดอัด คนฟังอยากจะขำแต่ขำไม่ออก เรื่องแบบนี้คนไม่สนิทกันควรเอามาล้อเล่นหรือ?

     

                “คิดมากไปหรือเปล่ายองโฮ เราเป็นผู้ชาย จะท้องได้ยังไง”

     

                พูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นมือบางก็จับมือหนาของอีกคนออกจากแขน ก้มลงเก็บแก้วของร้านเครื่องดื่มที่เพิ่งจะตกลงพื้นไปทิ้งถังขยะ แล้วเดินจากคนที่วิ่งตามมาให้เร็วเท่าที่จะทำได้ ไม่อยากจะอยู่ให้เพื่อนร่วมรุ่นที่คิดมากและไม่ยอมปล่อยวางกับเรื่องคืนนั้นมาพูดอะไรให้ใจเสียไปมากกว่านี้ ขอแค่จากไปเหมือนคราวก่อนทำเป็นว่าไม่มีอะไรจะต้องพูดคุยกันอีก

     

               

     

                ถ้าแค่จากไปอย่างเช่นคราวก่อน มันก็ต้องเหมือนครั้งก่อน

                จากกัน ก็ต้องกลับมาพบกันอีก

     

     

     

     

     

    – The Way We Are –

     

     

     

     

     

                ช่วงนี้แทอิลต้องทำอัลบั้มใหม่ให้กับนักร้องหญิงเดี่ยวคู่ใจที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่เธอออกมินิอัลบั้มแรก งานเลยหนักจนแทบไม่มีเวลานอน แต่ถึงแม้จะได้คำสั่งจากนักร้องหญิงว่าอย่าหักโหมให้มากนัก แทอิลก็ไม่ได้เชื่อเรื่องนั้นสักเท่าไร ตั้งใจและรีบทำทุกอย่างจนอัลบั้มเสร็จไปเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์ เหลืออีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็เรียบร้อย แต่นักร้องหญิงดันมาป่วยหนักจนต้องหยุดการทำงานไปก่อน นั่นก็ส่งผลให้แทอิลได้พักไปด้วยหนึ่งสัปดาห์

     

                หนึ่งสัปดาห์ที่ได้หยุดพัก โปรดิวเซอร์คนขยันตั้งใจจะนั่งทำเพลงพิเศษเป็นของขวัญเนื่องในวันเกิดของจีฮันซลคนรักที่กำลังจะถึงในอีกสองเดือนข้างหน้า แต่ความตั้งใจกลับล้มเหลวหมด เพราะไม่รู้ร่างกายมันเป็นอะไร แทอิลถึงได้เอาแต่นอนเกือบทั้งวัน เวลาห้าวันจากเจ็ดวันที่ได้หยุดพักหมดไปกับการนอน เขาคิดว่าเป็นเพราะการที่พักผ่อนไม่เพียงพอมันสะสม พอได้พักเข้าจริงๆถึงได้พักแบบจริงจัง

     

                แทอิลเลือกจะสละวันหยุดหนึ่งวันให้กับแทยงเพื่อนรัก ที่เมื่อวานโทรศัพท์ตามให้เขาเข้าบริษัทวันนี้เพื่อไปช่วยดูศิลปินใหม่ที่กำลังจะเดบิวต์ แทยงเป็นครูสอนเต้นของค่าย ร่วมเป็นนักแต่งเพลงบ้าง รวมถึงยังเป็นเอนเตอร์เทนเมนท์เทรนเนอร์ ซึ่งจะสอนทักษะการสร้างความบันเทิงให้กับนักร้องอีกด้วย

     

                หลังจากตื่นนอนไม่นาน โทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวเตียงก็สั่นครืด เบอร์ที่แทอิลไม่คุ้นเคยทำให้แทอิลครุ่นคิดก่อนว่าอาจจะเป็นเบอร์ใครได้บ้าง แต่ในเมื่อคิดไม่ออกก็ตัดสินใจกดรับสายไม่ให้คนโทรมาต้องรอนานไปมากกว่านี้

     

                สวัสดีครับ

                (“…”)

                “สวัสดีครับ นี่ใครพูดสายครับ”

                (“ฉัน.. ยองโฮ”)

     

                เจ้าของเบอร์บอกตัวตนที่แท้จริงทำเอาคนรับสายพูดอะไรไม่ออก ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้รับโทรศัพท์จากเจ้าของเบอร์นี้ ต่างฝ่ายต่างก็เงียบใส่กัน จนสุดท้ายแทอิลถึงตั้งสติและหาคำมาพูดคุยให้กลับมาเป็นปกติที่สุด

     

                “อะ..อ๋อ ยองโฮเหรอ”

                (“อืม ฉันยองโฮเอง”)

     

                แทอิลไม่อยากถามว่าทำไมยองโฮถึงโทรมา เพราะประเดี๋ยวเจ้าตัวก็คงจะบอกเหตุผลนั้นเอง ต่างฝ่ายต่างรอว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูด เสียงในสายจึงเงียบสนิทอีกครั้ง แต่สัญญาณก็ยังไม่ถูกตัด

     

                (“วันนี้แทอิลว่างหรือเปล่า”)

     

                สุดท้ายคนที่เป็นฝ่ายโทรมาก็ตัดสินใจจะพูดเข้าเรื่องถึงเหตุผลที่โทรมาตามที่ควรจะเป็น

     

                “ไม่ว่าง เรามีนัดแล้วน่ะ”

                (“ไม่เป็นไร คือ.. ฉันอยากเจอแทอิล แทอิลพอจะมีเวลาว่างวันไหนมาเจอกันบ้างไหม”)

     

                อยากตอบอีกฝ่ายเหลือเกินว่าไม่มีเวลาว่าง เพราะเขาไม่อยากเจอคนปลายสาย แม้เรื่องคืนนั้นจะผ่านมาเกือบเดือนแล้ว แต่ก็ยังลืมไม่ลง มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ถ้าชีวิตแทอิลจะไม่มีเวลาส่วนตัวเลย ถึงจะหนีไม่ไปเจอวันนี้ สักวันก็ต้องเจออยู่ดี แทอิลหยิบนาฬิกาที่วางอยู่หัวเตียงขึ้นมาดูเวลา แทยงนัดเขาไว้บ่ายโมง ตอนนี้เก้าโมงครึ่ง ถ้าเขารีบอาบน้ำแต่งตัว ก็พอมีเวลาให้อีกฝ่ายได้เจออยู่

     

                “ความจริงวันนี้ก่อนถึงเวลานัดเราก็พอมีเวลาบ้าง ถ้าเป็นตอนสิบเอ็ดโมงก็พอจะเจอได้”

                (“ถ้างั้นตอนสิบเอ็ดโมง เจอกันที่ร้านกาแฟใกล้ๆกับบริษัทแทอิล สะดวกไหม”)

                “อืม สะดวก”

                (“งั้น.. เจอกันนะ สิบเอ็ดโมง”)

                “อื้ม.. แล้วเจอกัน”

     

                เพียงแค่นั้นแทอิลก็เป็นฝ่ายตัดสายไปก่อน เขาอยากนอนต่ออีกสักงีบเพราะรู้สึกเพลียอยู่ แต่ในเมื่อนัดกับยองโฮเอาไว้แล้วก็ต้องฝืนใจเดินไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกจากบ้าน

     

                หวังว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน จะต้องไม่มีคราวหน้าอีก ถ้าซอยองโฮจะอยากเจออีก เขาต้องปฏิเสธให้ได้

     

     

     

     

    – The Way We Are –

     

     

     

     

     

     

                ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้วแต่ยองโฮก็ยังไม่เลิกคิดเรื่องที่ผู้ชายจะท้องได้ เขากลัวว่าแทอิลจะเป็นแบบนั้น ครั้งสุดท้ายที่เจอกันเขาก็บอกแทอิลแล้วว่าหากแทอิลท้องจริงๆก็ให้บอกเขา แต่หลังจากวันนั้นก็ไม่ได้รับการติดต่อจากอีกฝ่าย แสดงว่าคงไม่ได้ท้องจริงๆ เขาควรจะสบายใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังกังวลอยู่ดี กังวลยิ่งกว่าตอนที่คนรักของตนโกรธเสียอีก

     

                ถ้าความไม่ชัดเจนทำให้เขารู้สึกค้างคา เขาก็ควรเลือกจะทำให้มันชัดเจนไปเลยดีกว่า ให้แน่ใจไปเลยว่าจะไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก เขาจะได้ใช้ชีวิตมีความสุขเหมือนเดิม จะได้กล้ายิ้มให้กับคนรักผู้เป็นดาราดังหวานใจของเขาได้จากใจไม่ใช่ฝืนยิ้มเสียที

     

                ระหว่างทางไปร้านกาแฟ ยองโฮแวะร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อของบางอย่างที่จะทำให้ทุกอย่างมันจบลง แต่มันจะจบอย่างที่หวังไว้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ได้แต่ภาวนาให้มันจบลงในวันนี้ก็เป็นพอ

     

                ยองโฮเป็นฝ่ายไปถึงร้านกาแฟก่อน เลือกสั่งเครื่องดื่มขึ้นชื่อของร้านมาสองแก้ว สำหรับเขาและสำหรับอีกคนที่เขานัด ยองโฮเดินไปนั่งในโต๊ะมุมในสุดของร้านเป็นการรอเมนูที่สั่งไปรวมถึงรอคนที่นัดหมายด้วย สักพักพนักงานก็นำเครื่องดื่มเย็นสองแก้วมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ไม่นานนักหลังจากนั้นคนที่นัดก็มาถึงร้านตามมา แทอิลเดินมาที่โต๊ะของเขาอย่างช้าๆเพราะความกลัวอย่างบอกไม่ถูก แต่สุดท้ายก็เดินมาถึงและนั่งลงตรงข้ามเหมือนคราวก่อน

     

                “รอเรานานหรือเปล่า เรามาช้าไปหน่อย ขอโทษนะ”

                “ไม่หรอก แทอิลก็มาตรงเวลา ฉันแค่มาเร็วไป.. ดื่มก่อนสิ ฉันสั่งมาให้ คราวที่แล้วที่ทำให้นายอดกิน”

     

                ยองโฮเลื่อนแก้วไอซ์ไวท์ช็อคสตรอว์เบอร์รี่แก้วหนึ่งให้กับแทอิล คราวที่แล้วเขาทำอีกคนตกใจจนเผลอปล่อยแก้วเครื่องดื่มหลุดมือจนอดกิน แทอิลพยักหน้ารับแล้วหยิบแก้วมาดื่มผ่านหลอดที่ปักอยู่ในแก้วพอเป็นมารยาทก็วางแก้วลงที่เดิม

     

                “ที่นัดมา มีอะไรหรือเปล่า”

     

                คนถูกนัดมารีบเข้าเรื่องเพราะไม่อยากอยู่นานนัก รวมถึงต้องไปหาแทยงตามนัดต่ออีก ยองโฮเบนสายตาไปทางอื่นกังวลที่จะพูดและใช้เวลาเพื่อรวบรวมความกล้า สุดท้ายก็เบนสายตากลับมายังใบหน้าของคนที่นั่งร่วมโต๊ะ

     

                “ไปห้องน้ำกับฉันหน่อยสิ”

     

                ประโยคที่ไม่ถึงว่าคนหน้าหล่อจะพูดกับเขาทำเอาแทอิลอ้ำอึ้งไม่น้อย ทำไมถึงได้ชวนเขาไปห้องน้ำ หากยองโฮอยากจะไปทำธุระส่วนตัวเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปด้วย เขาสามารถนั่งรออีกคนได้

     

                “คะ..คือ..”

                “ขอร้องล่ะแทอิล กรุณาไปห้องน้ำกับฉันนะ”

     

                ในเมื่ออีกคนถึงขั้นกับขอร้อง แทอิลก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง มันอาจจะมีเรื่องที่ยองโฮไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน ถ้าไปคุยในห้องน้ำจะสะดวกกว่าหรือเปล่า แทอิลพยักหน้าตกลงแทนคำพูด ร่างสูงเป็นฝ่ายลุกขึ้นแล้วเดินนำไปยังห้องน้ำ ร่างบางถึงค่อยเดินตามไป

     

                เมื่อมาถึงห้องน้ำ คนหน้าหล่อกวาดสายตามองไปในทุกส่วนของห้องน้ำเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่นอกจากเขากับแทอิล เมื่อมั่นใจว่ามีเพียงแค่สองคน มือหนาจึงได้ล้วงหยิบของบางอย่างที่อยู่ในชุดสูทสีดำออกมา เป็นถุงของร้านสะดวกซื้อ แล้วจึงหยิบของที่อยู่ภายในถุงออกมา ยื่นให้กับแทอิล

     

                “มะ..มันคือ..”
                “เอาไปตรวจซะแทอิล ฉันจะรออยู่ในห้องน้ำ ไม่ต้องรีบ ฉันรอได้”

     

                ยองโฮไม่ได้ตอบว่ามันคืออะไร คนรับของพลิกกล่องที่คนตัวสูงหยิบยื่นมาให้อ่านฉลากอยู่ในใจก็ถึงกับตาโตและนิ่งไป

     

                ที่ตรวจการตั้งครรภ์ คือสิ่งที่ฉลากบอก

     

                “นะ..นาย.. นายเพี้ยนไปแล้วหรือไงยองโฮ เอามันมาให้เราทำไม”

                “ฉันไม่อยากจะกังวลอีกแล้วแทอิล เรื่องคืนนั้นมันยังค้างคาใจฉันอยู่ มันมีแค่นายเท่านั้นที่จะทำให้ความค้างคาในใจฉันมันหายไปได้”

                “นายคาใจเรื่องว่าเราจะท้องเหรอ? นายควรจะมองความจริงบ้างสิว่าเราเป็นผู้ชาย”

                “เมื่อหลายเดือนก่อนมันมีข่าวว่าผู้ชายท้องได้มันถึงทำให้ฉันกังวลไงแทอิล! ขอร้องล่ะ นายจะช่วยฉันสักครั้งไม่ได้หรือไง แค่ตรวจให้ฉัน ถ้ามันไม่มีอะไรก็จะไม่ยุ่งกับนายตามที่นายต้องการแล้ว”

     

                สายตาที่วิงวอนขอร้องทำเอาใจแทอิลอดสงสารไม่ได้ เรื่องที่เพื่อนร่วมรุ่นที่คล้ายจะเป็นคนแปลกหน้าขอให้ช่วยเหลือถึงมันจะแปลกจนคาดไม่ถึง แต่มันก็ไม่ได้เหนือบ่าไปกว่าแรง ถ้าตัวเองมั่นใจว่าไม่ท้องแล้วจะกลัวกับการตรวจทำไม ถือเสียว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ได้ลองในสิ่งที่ไม่เคยลอง และช่วยเหลือเพื่อนสักครั้ง และถ้าทำให้ยองโฮหายแคลงใจได้ เรื่องระหว่างเขากับคนตรงหน้าก็จะได้จบเสียที

     

                “ถ้ามันจะทำให้นายสบายใจ เราจะตรวจให้นายก็ได้ยองโฮ รออยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน”

     

                  แทอิลกำกล่องตรวจการตั้งครรภ์ในมือแน่น เดินปิดประตูเข้าห้องน้ำภายใน คนตัวสูงยืนพิงอ่างล้างหน้ารอผลอย่างใจจดจ่อ เรื่องที่ผู้ชายจะท้องได้มีโอกาสเป็นไปได้น้อยมากที่สุดจนถึงเป็นไปไม่ได้ ภาวนาให้มุนแทอิลไม่เป็นหนึ่งในกลุ่มที่น้อยมากที่สุด เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องกังวลอะไรมากมายขนาดต้องให้อีกคนมาตรวจการตั้งครรภ์ เขาวิตกจริตเกินไปหรือเปล่า หรือเขามีปัญหาทางจิตก็ไม่รู้

     

                การรอคอยมันช่างเนินนานแต่ยองโฮก็ยังคงรอ เสียงกดชักโครกทำให้คนรอเลิกคิดเรื่องต่างๆนานาในหัวหันไปสนใจประตูห้องที่แทอิลเข้าไป แต่มองอยู่นานหวังว่าประตูจะเปิดออกแต่มันก็ยังคงปิด เพื่อนตัวเล็กเข้าไปนานเกินไป แต่จะไปเคาะประตูให้อีกคนออกมาก็ไม่กล้าทำ หลังจากสิ้นเสียงน้ำในชักโครกทำงานครึ่งชั่วโมง เสียงปลดล๊อคประตูห้องน้ำที่อยู่ริมสุดที่แทอิลเข้าไปก็ดังขึ้น ประตูจึงถูกเปิดออก

     

                สีหน้าของคนที่ออกมาจากห้องน้ำดูเป็นปกติ แต่ทำไมยองโฮถึงสัมผัสได้ว่ามันไม่ปกติ

     

                “เป็น... เป็นยังไงบ้าง ผลเป็นยังไง”

     

                เครื่องตรวจการตั้งครรภ์ที่แทอิลกำอยู่ในมือแน่นถูกยื่นมาให้คนถาม มือหนาหยิบเครื่องตรวจสีขาวที่มีแผ่นกระดาษเต็มไปด้วยอักษรพันอยู่จากมือบางออกมา ยองโฮเอาแผ่นกระดาษที่ห่อเครื่องตรวจออกเพื่อดูผลที่เครื่องตรวจแสดง

     

                สองขีด..

                แถบบอกผลตรวจมีสองขีด

     

                มือหนาคลี่แผ่นกระดาษที่แทอิลยื่นมาให้พร้อมกับที่ตรวจการตั้งครรภ์ อ่านวิธีการอ่านผลตรวจอย่างตั้งใจ รูปภาพที่ประกอบคำอธิบายทำให้เข้าใจง่ายขึ้นมันยิ่งทำให้ชัดเจน

     

              หากขึ้นสองขีด หมายถึง ตั้งครรภ์

     

                “หายค้างคาใจหรือยังยองโฮ”

     

                แทอิลเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ สิ่งที่เขาทำมันคงทำให้ยองโฮพอใจได้แล้วว่าสิ่งที่เขากังวลในความจริงแล้วมันเป็นยังไง วันนี้ ตอนนี้ยองโฮได้รู้หรือยังว่าเรื่องที่ติดค้างในใจมันจะหายไปได้หรือยัง

     

                “แทอิล..”

                “ถ้าหมดธุระแล้วเราขอตัว ต่อไปก็.. หวังว่าจะไม่ได้เจอกันอีก”

     

                ร่างบางว่าจบก็หมุนตัวยกเท้าเดินออกห่างยองโฮ แต่ยังไม่ทันจะก้าวพ้นให้ออกห่าง คนตัวสูงก็คว้าแขนแทอิลเอาไว้จนคนตัวเล็กเซจนเกือบล้ม

     

                “นายจะไปได้ยังไงแทอิล  เราจะไม่เจอกันอีกได้ยังไง นายไม่เห็นหรือไงว่าผลตรวจมันออกมาเป็นยังไง”
                “เราไม่เชื่อผลตรวจไอ้เครื่องบ้าๆนี่หรอกนะยองโฮ เราเป็นผู้ชาย เราเป็นผู้ชาย
    ! นายได้ยินไหม! ผู้ชายท้องไม่ได้!

                “แต่เขาบอกว่าผลตรวจนี่มันเชื่อถือได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วถ้าตรวจครั้งแรกขึ้นสองขีดหมายถึงว่าท้องแน่ๆ ฉันรู้ว่านายอ่านคู่มือการใช้อย่างละเอียดแล้ว นายอย่าทำเป็นไม่รู้หรือไม่เชื่อเลยแทอิล!

     

                ใช่ อีกฝ่ายพูดถูก หลังแกะกล่องแทอิลอ่านวิธีใช้อย่างละเอียดแล้วรอบหนึ่ง ยิ่งพอตรวจเสร็จเขาก็แทบจะไม่เชื่อกับสิ่งที่เห็น เขาอ่านมันซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แค่หวังว่าตาเขาจะฝาดหรือบกพร่องทางการอ่าน แต่ไม่ว่าจะอ่านกี่ครั้งเขาก็อ่านถูกต้องไม่ผิดแน่ แต่จะให้เขาทำใจกับเรื่องนี้ได้อย่างไร อยู่บนโลกนี้มายี่สิบเจ็ดปี ร่างกายของมุนแทอิลไม่เคยผิดปกติ วันหนึ่งเขามีอะไรกับผู้ชายคนนึง สองเดือนต่อมาก็ท้อง เรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์มันดันมาเกิดกับเขา เขาแค่อยากทำเป็นไม่สนใจ ทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทั้งๆที่ในใจมันแทบจะหยุดเต้น สมองมันขาวโพลนไปหมด

     

                “ทำเหมือนวันนั้นเถอะยองโฮ เราแค่จากกันเหมือนวันนั้น ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

                “นายกล้าพูดไหมแทอิลว่าหลังจากวันนั้นนายรู้สึกเหมือนเดิม นายไม่คิด ไม่กังวล เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สาบานไหมแทอิล”

                “...”

                “ไม่ ใช่ไหมล่ะ”

                “ถ้างั้นก็บอกเรามาสิ นายจะให้เราทำยังไง เราต้องทำยังไงนายถึงจะพอใจ”

     

                แทอิลพยายามใจเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้ อารมณ์ของเขามันไม่ดีตั้งแต่เห็นสองขีดบนเครื่องตรวจที่ยองโฮให้มาแล้ว ยิ่งถูกขึ้นเสียงใส่ ยิ่งยองโฮรบเร้าให้เขาทำอะไรสักอย่าง ในสิ่งที่เขาเองก็ไม่รู้ แต่จะให้มาพาลอารมณ์เสียใส่ยองโฮมันก็ไม่ถูก มันใช่ความผิดของยองโฮคนเดียวเมื่อไร ยองโฮไม่ใช่ที่รองรับหรือระบายอารมณ์ เขาไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้น ยิ่งโมโหใส่ เรื่องที่คิดว่าจะจบไวๆก็ยิ่งจะจบช้าเข้าไปอีก

     

                “ฉันจะรับผิดชอบนายเอง”

                “...”

                “เพราะว่านายท้องกับฉัน ฉันจะรับผิดชอบนายเองแทอิล”

     

                มันไม่ใช่คำพูดที่น่าหัวเราะ แต่ไม่รู้ทำไมคนฟังถึงกลับขำออกมา หัวเราะออกมาราวกับกำลังรับฟังเรื่องตลกทั้งที่ไม่ใช่  ยองโฮไม่เข้าใจว่าทำไมปฏิกิริยาของแทอิลที่มีต่อคำพูดของเขาถึงเป็นแบบนี้ แต่เสียงหัวเราะในทีแรกกลับแปรเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้นในไม่ช้า บนใบหน้าสวยเจ้าของเสียงสะอื้นมีน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสาย ขาของคนตรงหน้ายองโฮสั่นจนยืนไม่ไหวถึงขั้นทรุดลงไปกับพื้น ยองโฮค่อยๆย่อลงมาในระดับเดียวกันกับแทอิล มือขวาเอื้อมไปแตะไหล่เจ้าของเสียงสะอื้นเพื่อปลอบใจ ไม่กล้าจะเข้าใกล้แทอิลไปมากกว่านี้

     

                “ยะ..ยองโฮ ความจริง..”

     

                แม้จะยังไม่หยุดร้องไห้ แต่แทอิลมีบางสิ่งบางอย่างที่อยากจะพูด และเขารอจนกว่าจะหยุดร้องไม่ได้ มันคงนานเกินกว่าที่เขาจะทนรอ 

     

                “ระ..เรา ฮะ..ฮึก.. ไม่ได้..ท้อง.. ฮึก.. กับนาย”

     

                คิ้วคมบนใบหน้าหล่อขมวดเข้าหากัน คำพูดที่แทอิลบอกหมายความว่าอย่างไร จะมีอะไรที่จะทำให้เขาตกใจไปมากกว่านี้อีกหรือ

     

                “นายหมายความว่ายังไง”

                “เรา.. ไม่ได้ท้อง.. กับนายหรอกนะยองโฮ”

                “ถ้าไม่ใช่ฉัน แล้วคือใคร ใครที่ทำให้..”

     

                หากคนที่กำลังนั่งร้องไห้ตรงหน้าเขาตอนนี้ไม่ได้กำลังตั้งท้องเพราะเขา แล้วใครคือเจ้าของเด็กในท้องที่กำลังจะเกิดมาของเพื่อนสมัยมัธยม สถานะของเขากับแทอิลไม่ได้ดีมากจนถึงขั้นที่เขาจะมาถามเรื่องแบบนี้ได้ แต่ยองโฮเองก็อาจมีสิทธิ์เป็นพ่อของลูกในท้องแทอิล เพราะเขาก็เคยมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งด้วย

     

                “แฟนของเรา.. แฟน.. แฟนเราก็เป็นผู้ชาย”

     

                ในตอนแรกแทอิลคิดหาหนทางไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป หลังจากที่ตรวจแล้วเครื่องตรวจขึ้นสองขีดเขาก็เอาแต่คิดว่าชีวิตจะต้องเดินไปทางไหน ควรจะบอกกับคนที่เขารักมากรองจากบุพการีอย่างไร เมื่อยองโฮบอกว่าจะรับผิดชอบ ก็ยิ่งคิดไม่ตก แต่คำพูดคำว่า รับผิดชอบมันทำให้แทอิลนึกถึงคนรักขึ้นมา เพราะเป็นคำที่คนรักพร่ำบอกกับเขาเสมอ มันทำให้เขาคิดได้ว่า ถ้าเขาบอกว่าเด็กในท้องไม่ใช่ลูกของยองโฮ แต่เป็นลูกของฮันซล ซอยองโฮคงจะเลิกยุ่งกับชีวิตเขาเสียที

     

                “อย่ามาโกหกฉันนะแทอิล”

                “แล้วนายไม่คิดว่าหลังจากที่มีอะไรกับนายแล้วเราจะไปมีอะไรกับแฟนบ้างหรือไง! เรามีอะไรกับนายได้คนเดียวเหรอ!

     

                ไม่คิดว่าแทอิลจะพูดตรงถึงเพียงนี้ แต่นั่นก็ทำให้ยองโฮพินิจในคำพูดแทอิลได้โดยไม่ต้องแปลความให้มันซับซ้อน นั่นสินะ แทอิลอาจจะไม่ท้องกับเขาจริงๆก็ได้ คนรักของแทอิลอาจจะเป็นพ่อของลูกก็ได้ แต่ถ้าคิดอีกแง่หนึ่ง ถ้าเราเกิดไปมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ จิตใต้สำนึกคนเรามันคงจะมีความรู้สึกผิดกับคนรัก แล้วไม่กล้าจะมีอะไรกับคนรัก เขาเชื่อว่าเพื่อนร่วมรุ่นของเขาจะเป็นอย่างที่สองที่มีจิตใต้สำนึกเรื่องความรู้สึกผิด

     

                “ถามตรงๆนะแทอิล ฉันคือคนสุดท้ายที่นายมีอะไรด้วยใช่ไหม”

                “...”

                “ฉันคือพ่อของลูกในท้องนายใช่ไหม”

                “...”

                “ฉันจะไม่ยุ่งกับนายอีกก็ได้ ถ้านายจะสาบานต่อฉันและฟ้าดิน ว่านายไม่ได้ท้องกับฉัน ตอบฉันมาชัดๆว่านายเคยมีอะไรกับแฟนแล้วจริงๆ และลูกในท้องของนายเป็นลูกของผู้ชายคนนั้น ไม่ใช่ลูกของฉัน”          

     

                ยองโฮยื่นคำขาดเป็นครั้งสุดท้าย ต่อมน้ำตาของแทอิลที่เกือบจะหยุดทำงานเหมือนจะถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง ทำไมจะต้องให้เขาสาบาน ทำไมถึงอยากจะมั่นใจอะไรมากขนาดนี้ ทำไมซอยองโฮถึงคิดมากขนาดนี้

               

                ลังเลที่จะสาบานอย่างที่ยองโฮสั่ง เพราะถ้าสาบานไปว่านั่นไม่ใช่ลูกของคนๆนี้ หากฟ้าดินได้รับรู้ก็คงจะลงโทษเขา เพราะที่สาบานไม่ใช่ความจริงและเป็นการโกหกอย่างร้ายแรงที่สุด ราวกับยองโฮรู้ว่าเขาโกหกและกำลังบีบเค้นให้เขาพูดความจริง

               

                สิ่งมหัศจรรย์มีชีวิตที่อยู่ในท้องของแทอิล เป็นลูกของแทอิลกับใครเจ้าตัวย่อมรู้อยู่แก่ใจ ไม่มีทางจะเป็นลูกของคนรักที่คบกันมาเกือบสามปีไปได้ เพราะเขาไม่เคยมีอะไรกับฮันซล และมันจะเป็นลูกของใครที่ไหนไม่รู้ก็ไม่ได้ เพราะมุนแทอิลไม่ใช่คนใจง่ายหรือสำส่อน

     

              ‘ฉันคือคนสุดท้ายที่นายมีอะไรด้วยใช่ไหม

              ‘ฉันคือพ่อของลูกในท้องนายใช่ไหม

     

                คำตอบคือใช่ ยองโฮไม่ใช่แค่คนสุดท้ายที่แทอิลมีความสัมพันธ์ทางกายที่ลึกซึ้งด้วย แต่ซอยองโฮคือคนแรกและคนเดียวที่แทอิลมอบร่างกายให้แม้จะไม่ใช่ด้วยความเต็มใจ

                มันแน่ชัดอยู่แล้วว่าเขาท้องกับใคร

     

                “สาบานออกมาสิ!

                “ไม่ต้องสาบงสาบานอะไรมันแล้ว! ถ้าเราท้องจริงๆ เราก็ท้องกับนายนั่นแหละ! พอใจหรือยังยองโฮ!

     

                แทอิลเลิกที่จะอดทนแล้วระเบิดอารมณ์ออกมา เบื่อที่จะต้องยืดเยื้อกับคนตรงหน้าอีกแล้ว อยากให้พูดความจริงที่แม้จะรู้แล้วจะต้องเจ็บปวดมากนักก็ขอให้เชิญรับฟังอย่างที่ต้องการ ในครั้งนี้ไม่มีน้ำตาที่ไหลออกมาเหมือนก่อนหน้าเพราะมันได้ถูกใช้ไปหมดแล้ว เขาไม่อยากให้ยองโฮต้องมาเห็นว่าเขาอ่อนแอ

     

                “จริงๆใช่ไหมแทอิล”

                “นายไม่ใช่แค่คนสุดท้าย นายเป็นคนเดียว.. กับคนอื่นหรือแม้กระทั่งคนที่เรารักมากที่สุด.. เราก็ไม่เคย”

     

                พอเพื่อนยอมรับจริงๆก็เหมือนว่าเรื่องที่ยองโฮหนักอกหนักใจมาตลอดเกือบสองเดือนก็หายไป แต่กลับมีเรื่องอีกมากมายที่ผุดขึ้นมาในสมองเขาสร้างความกังวลมากยิ่งกว่า ต่อจากนี้ไม่รู้ว่าจะเริ่มทำอะไรจากตรงไหน ดูวุ่นวายและน่าสับสนไปหมด เรื่องมันยากจนเขาอยากจะร้องไห้ออกมา เขาทำคนๆหนึ่งท้องมันทำให้เขาอยากจะร้องออกมามากเพียงนี้ แต่คนที่เป็นฝ่ายท้องอย่างแทอิลล่ะ มันไม่ยิ่งมากกว่าเขาหรือ

                ยองโฮตั้งสติมั่น ถือวิสาสะจับมือของแทอิลค่อยออกแรงดึงให้ร่างเล็กลุกจากพื้นห้องน้ำ พาเดินมายังอ่างแล้วหน้า เปิดก๊อกน้ำแล้วใช้มือยื่นไปรับน้ำให้พอเปียก ลูบบนใบหน้าสวยของแทอิลอย่างเบามือ ล้างคราบน้ำตาแห่งความเสียใจที่ไหลรินออกมาจนหมด สายตาของแทอิลไม่มองเจ้าของมือบนใบหน้าที่ชำระร่องรอยของน้ำตาเลยสักนิด ทำได้เพียงแค่มองแต่กระจกที่สะท้อนเงาของตัวเองกับคนข้างๆ

                แค่การได้ยืนอยู่ในกระจกบานเดียวกันกับซอยองโฮ คนที่แทบจะไม่เคยมองหน้าหรือรู้สึกว่าเขามีตัวตนบนโลกใบนี้ กระจกที่สะท้อนเงาว่าคนข้างๆกำลังเช็ดน้ำตาให้ ราวกับว่าเขากำลังอยู่ในความฝัน และก็อยากภาวนาให้มันเป็นแค่ฝัน หากเล่าให้ใครสักคนฟัง คนฟังคงบอกว่ามันเป็นฝันที่สวยหรูที่มียองโฮยืนอยู่ข้างกาย แต่กับคนที่ฝันอยู่อย่างแทอิลมันช่างเป็นฝันร้าย

     

                ยิ่งมันไม่ใช่ความฝันแต่มันคือความจริง มันก็คือความจริงที่โหดร้าย

                ความจริงที่โหดร้ายนั้นไม่ใช่ความจริงว่ายองโฮสัมผัสใบหน้าของเขา ไม่ใช่ความจริงที่ว่ายองโฮยืนอยู่ข้างเขา แต่เป็นความจริงที่ว่าเขากำลังจะมีลูกกับผู้ชายที่ใครๆต่างก็บอกว่าคือเทวดาที่ได้มาเกิดลงบนโลก นามว่า ซอยองโฮ

     

                เสียงน้ำหยุดไหลเมื่อก๊อกน้ำถูกปิด เงาในกระจกสะท้อนว่ายองโฮไม่ได้ลูบใบหน้าของเขาอีกแล้ว แต่กำลังหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อ แล้วซับความชื้นบนใบหน้าขาวจนใบหน้ากลับมาดูสะอาดสะอ้านเช่นเดิม

     

                “เราไม่มั่นใจเลยยองโฮ”

     

                ทุกครั้งที่มุนแทอิลเปิดปากพูดอะไรบางอย่าง จะต้องมีเรื่องให้คิดทุกครา คราวนี้จะบอกอะไรกับเขาอีกก็ไม่อาจเดาได้

     

                “ผลตรวจจากเครื่องมันเชื่อได้จริงๆหรือเปล่า เราขอไม่มั่นใจได้ไหม นายก็อย่ามั่นใจได้ไหม”

                “ถ้าอยากจะให้มั่นใจจริงๆ ฉันจะพาแทอิลไปตรวจที่โรงพยาบาลก็ได้”

                “มะ..ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราจะไปตรวจเอง”

                “ฉันไม่ลำบากที่จะพาแทอิลไปหรอกนะ เพราะว่าเรื่องนี้มันก็ถือเป็นเรื่องของฉันเหมือนกัน”

     

                ยองโฮก็ไม่ได้อยากจะมองแทอิลในแง่ร้าย แต่การที่แทอิลจะขอไปตรวจคนเดียวอาจจะทำอะไรบางอย่างเพื่อปกปิดความจริงอีกอย่างที่โกหกกับเขาไปเมื่อครู่ก็ได้ ถ้าเขาไปด้วย ฟังผลตรวจจากปากหมอพร้อมกัน แทอิลจะปฏิเสธอะไรเขาไม่ได้

                สุดท้ายแทอิลก็ไม่ได้ปฏิเสธ ทั้งสองเดินออกมาจากห้องน้ำของร้านกาแฟที่ตลอดระยะเวลาที่เข้าไปถือว่าเป็นโชคดีที่ไม่มีใครเข้าไปเลยนอกจากทั้งคู่ ทั้งสองเดินออกมาจากร้านเพื่อจะเดินทางไปโรงพยาบาล แทอิลรู้สึกว่าแสงแดดนอกร้านที่ร้อนระอุกลับเยือกเย็นไปเมื่อพบกับเรื่องที่ร้อนกว่าในใจของเขา ยองโฮเปิดประตูรถข้างคนขับที่จอดเทียบริมถนนอยู่หน้าร้านให้แทอิลเข้าไปนั่ง และเขาก็ขึ้นนั่งฝั่งคนขับหลังจากนั้น รถสีขาวมุกเคลื่อนตัวออกจากที่ด้วยความเร็วที่พอจะให้คนนั่งรู้สึกสบายใจ แม้บรรยากาศภายในรถจะเต็มไปด้วยความรู้สึกที่แย่จนไม่สามารถอธิบายได้ก็ตาม ไม่มีเสียงพูดคุยในรถ ถ้าคนขับอย่างยองโฮพูดก็คงจะเหมือนคนบ้าที่คุยคนเดียว เพราะคนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆหลับไปเรียบร้อยแล้ว

     

                ยองโฮเลือกจะขับรถไปที่โรงพยาบาลแถบชานเมืองที่เขาเคยขับผ่านอยู่บ้าง แม้จะมีอีกโรงพยาบาลที่เขาไปเป็นประจำ ถ้าไปที่นั่นนอกจากจะได้รับความอุ่นใจเพราะชื่อเสียงที่โด่งดังแล้วยังจะได้รับส่วนลดค่ารักษาเพราะเขาเป็นพนักงานของบริษัทที่ให้การสนับสนุนโรงพยาบาลนั้น แต่มันก็อันตรายเพราะเพื่อนสนิทของเขากับเพื่อนสนิทของแทอิลต่างก็เป็นแพทย์อยู่ที่นั่น จึงได้เลือกไปโรงพยาบาลแถบชานเมืองที่ไม่ค่อยมีผู้คนและไม่มีคนที่รู้จักเขาดีกว่า

                เมื่อถึงโรงพยาบาลและหาที่จอดรถเรียบร้อย ยองโฮจึงปลุกคนข้างๆที่หลับอยู่ให้ตื่น ทั้งคู่เดินจากลานจอดรถเข้าไปยังตึกของโรงพยาบาลโดยไม่พูดอะไรต่อกัน แต่ก่อนจะผ่านประตูของตึกโรงพยาบาล ยองโฮจับไหล่ของแทอิลทำให้การเดินหยุดชะงัก ในมือของยองโฮยื่นแว่นตากันแดดสีดำดูมีราคาให้กับแทอิล สายตาที่เต็มไปด้วยคำถามถูกส่งมาแทนคำถามที่จะออกมาเป็นคำพูด

     

                “ใส่ไว้นะแทอิล นายคงไม่อยากให้ใครเห็นนายใช่ไหม”

     

                ตอบคำว่า ใช่แค่เพียงในใจ แล้วรับแว่นตาดำในมือยองโฮมาสวมทัดหู ความจริงอยากจะถามว่ายองโฮเองไม่กลัวบ้างหรือว่าจะมีใครเห็นว่าพาเขามาโรงพยาบาล ถ้ามาเป็นเพื่อนตรวจร่างกายธรรมดาก็คงไม่มีอะไร แต่หลังจากนี้ถ้าเดินเข้าแผนกสูตินรีเวชละ? เพราะยองโฮไม่ใช่คนธรรมดา ยองโฮเคยออกสื่อมาแล้วและโด่งดังพอสมควรเพราะเป็นคนรักของดาราชื่อดังระดับแนวหน้าที่มีผลงานทั้งในประเทศบ้านเกิดของเจ้าตัว ประเทศบ้านเกิดของแทอิล แถมยังมีชื่อเสียงไปถึงระดับฮอลลิวูด ถ้ามีคนพบเห็นจะไม่ถูกนำเอาไปเมาท์หรอกหรือว่าทำใครเขาท้อง ยิ่งคนๆนั้นไม่ใช่คุณเตนล์แน่ๆ ก็คุณเตนล์เป็นผู้ชาย แถมคุณเตนล์ไม่ได้อยู่เกาหลีเพราะไปถ่ายละครที่จีนอย่างไม่มีกำหนดกลับ

     

                แต่ถ้าเกิดแทอิลถามขึ้นมา เจ้าของแว่นก็จะตอบว่า ไม่ใส่ไม่ใช่เพราะไม่กลัวว่าใครจะมอง แต่เขามีแว่นกันแดดอยู่อันเดียว และควรจะสละอันนั้นให้แทอิลมากกว่า เพราะคนที่จะต้องตรวจการตั้งครรภ์เป็นแทอิลไม่ใช่เขา คนที่ควรจะปกปิดเรื่องนี้มากกว่าคือตัวแทอิลต่างหาก เขารู้ว่าแทอิลอายมากเพียงใดที่เป็นผู้ชายแต่ต้องมาตรวจเรื่องแบบนี้

     

                แทอิลสงสารที่ยองโฮจะต้องพาเขามาตรวจที่โรงพยาบาล เลยเป็นฝ่ายขอจัดการเรื่องด้วยตัวเอง ติดต่อเจ้าหน้าที่ว่าจะมาตรวจร่างกายเพราะหากบอกว่ามาตรวจการตั้งครรภ์ก็คงจะโดนมองด้วยสายตาที่พอเดาได้ว่าไม่ดี เจ้าหน้าที่ก็จัดการให้ ไม่นานนักก็ถูกเรียกให้เข้าไปตรวจ ซึ่งแทอิลบอกให้ยองโฮตามไปทีหลังเพราะกลัวว่าจะทำให้เป็นข่าว แต่ยองโฮดึงดันจะไปด้วยและไม่สนว่าใครจะมองเช่นไร เพราะอนาคตมันอาจจะเป็นเรื่องปกติที่เขาต้องทำก็ได้

     

                ในเวลาที่ไป ไม่มีคนไข้มากนัก เลยได้เข้าตรวจเลย ยองโฮนั่งรออยู่ข้างนอก ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไร แม้โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงจะสั่นเตือนว่ามีสายเข้า แต่แค่หยิบขึ้นมาเห็นชื่อคนโทรเข้าเป็นเพื่อนสนิทผิวเข้มก็เลือกจะกดปุ่มพักหน้าจอแทนการเลื่อนไม่รับสาย ซึ่งถือเป็นการปฏิเสธการรับสายที่มีมารยาทมากกว่าตัดสายทิ้งโดยตรง

                ขืนกดรับสายไปแล้วพูดอะไรแปลกๆออกไปละก็คงแย่แน่

     

     

     

     

     

    – The Way We Are –

     

     

     

     

     

                เมื่อได้เข้ามาในห้องตรวจ ผู้รับบทเป็นคนไข้อย่างแทอิลก็เกิดกลัวขึ้นมา เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มาโรงพยาบาลแล้วรู้สึกอยากจะร้องไห้ อยากหนีออกไปจากที่นี่ แต่เรื่องมาถึงขนาดนี้เพื่อให้มันชัดเจน ก็คงต้องเผชิญหน้ากับมันไป แพทย์ผู้ทำการรักษาสอบถามอาการป่วย แทอิลถึงได้บอกสภาพร่างกายในสัปดาห์ที่ผ่านมาในสิ่งที่คิดว่าสุขภาพเขาไม่ได้รู้สึกสบายเหมือนเดิม

     

                “จากที่คนไข้บอกว่าร่างกายอ่อนเพลีย อยากนอนตลอดเวลา  น้ำหนักขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุแล้วท้องนูนขึ้น ถ้าเป็นผู้หญิงหมออาจจะสงสัยว่าคนไข้กำลังตั้งครรภ์นะครับเนี่ย อืม.. หมอคงจะต้องขอตรวจให้ละเอียดขึ้นหน่อยนะครับ”

                “คุณหมอครับ คือ.. ถ้าผมถามอะไรสักอย่าง คือมันอาจจะเป็นไปไม่ได้ แต่คุณหมอช่วยอย่าคิดว่าผมเป็นบ้าได้ไหมครับ”

     

                แทอิลไม่อยากเสียเวลาตรวจไปมากกว่านี้ ไม่อยากอ้อมค้อมแต่ก็ไม่กล้าพูดตรงๆ อยากจะได้ผลลัพธ์ที่เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ภายในใจมันร้อนรนให้อยู่นิ่งกว่านี้มันยากเกินกว่าจะทำแล้ว

     

                “ได้สิครับ”

                “คือ.. ผมมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายน่ะครับ ผม.. ผมเป็น.. เป็นฝ่ายถูกสอดใส่ แล้วคือ.. ทีนี้คนที่ผมมีอะไรด้วยเขาอ่านข่าวผู้ชายท้องได้ เขาก็เลย.. เอ่อ.. ขอให้ผมตรวจการตั้งครรภ์.. ก่อนมาที่นี่ แล้ว.. คือมันขึ้นสองขีด”

     

                แต่ละคำที่จะต้องพูดออกมามันช่างยากเย็นและน่าอาย แทอิลล้วงภายในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบแท่งสีขาวต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องมานั่งอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ให้กับแพทย์ที่กำลังเป็นผู้ตรวจเขาอยู่ แพทย์หยิบสิ่งที่แทอิลวางให้บนโต๊ะขึ้นมาดูจนคิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติราวกับไม่เชื่อสายตา

     

                “คนไข้ตรวจด้วยปัสสาวะของตัวเองเหรอครับ”

                “ครับ คือ.. สองขีดมันแปลว่า..”

                “สองขีดแปลว่าตั้งครรภ์ครับ แต่แปลกมากนะครับ โอกาสน้อยมากที่จะเกิดเรื่องแบบนี้..”

     

                ใช่ คุณหมอจะไม่เชื่อก็ไม่แปลกหรอกเพราะถ้าเอาไปบอกใครก็ไม่มีใครอยากจะเชื่อทั้งนั้น เจ้าของผลตรวจยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเขาในตอนนี้

     

                “มีวิธีที่จะตรวจให้ละเอียดกว่านี้ไหมครับคุณหมอ”

                “ถ้าเป็นแบบที่คนไข้สงสัย หมอจะขออนุญาตตรวจแบบการตั้งครรภ์ของผู้หญิงนะครับ”

     

     

     

     

     

    – The Way We Are –

     

     

     

     

     

                คนที่มาด้วยกันเข้าไปเกือบจะชั่วโมงแล้ว เหมือนว่าการรอคอยจะเนิ่นนานเกินกว่าความอดทนที่มีอยู่ ยองโฮตัดสินใจลุกจากที่นั่งรอหน้าห้อง ถือวิสาสะค่อยๆเลื่อนประตูห้องตรวจที่คนที่เขาพามาด้วยเข้าไปก่อนหน้าออก แทอิลกำลังนอนอยู่บนเตียงตรวจ แพทย์กำลังใช้เครื่องมือที่เขาพบเห็นในโทรทัศน์บ่อยๆถูไปมาบริเวณหน้าท้องของแทอิล ยองโฮเข้ามาแล้วนั่งเงียบๆอยู่ตรงหน้าโต๊ะคุณหมอ หลังจากที่เข้าไปนั่งได้ไม่นานเหมือนการตรวจจะเสร็จสิ้นพอดี แพทย์ผู้ทำการตรวจกลับมานั่งที่โต๊ะพร้อมๆกับแทอิลที่เพิ่งลุกจากเตียงตรวจ ซึ่งตอนนี้ก็มานั่งข้างๆยองโฮแล้ว

     

                “ไม่ใช่เนื้องอกแน่นอนครับ ถ้าจากที่คนไข้สงสัย ผมว่ามีแนวโน้มจะเป็นแบบนั้นจริงๆ”

                “หมะ..หมายความ..ว่า”

                “กำลังตั้งครรภ์ครับ”       

     

                ผลตรวจจากปากของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคงทำให้ทั้งสองมั่นใจได้แล้วจริงๆ และแทอิลคงไม่มีข้อโต้แย้งอะไรกับยองโฮอีกถึงเรื่องนี้ เพราะยองโฮได้ฟังจากปากของคนที่น่าเชื่อถือที่สุดสำหรับเรื่องนี้ไปพร้อมๆกันแล้ว

     

                “คุณหมอ ทำไมผมถึงท้องได้ ร่างกายผมมันแตกต่างจากผู้ชายคนอื่นตรงไหน อธิบายให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ”

     

                “เรื่องนี้หมอเองก็ยังไม่ทราบว่าทำไม แต่เรื่องผลการตรวจออกมาทั้งตรวจปัสสาวะหรืออัลตราซาวด์มีผลออกมาเหมือนคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ หมอไม่อยากให้คนไข้มองว่าการที่ผู้ชายตั้งครรภ์ได้เป็นเรื่องผิดปกติ อยากให้มองว่ามันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากกว่านะครับ บนโลกนี้มันน้อยจนแทบจะไม่มีนะครับเรื่องแบบนี้”

     

                คิดว่าฟังแล้วคนฟังจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้างไหม? ไม่เลย คุณหมออยากจะคลายความกังวลให้เขา แต่มันไม่ได้ลดน้อยลงเลย แค่ผลตรวจมันออกมาว่าท้องมันจบทุกอย่าง แถมแทอิลยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการว่าทำไมเขาถึงท้องได้ยิ่งรู้สึกแย่

     

                “ผู้ชายท้อง.. ไม่เป็นอันตรายใช่ไหมครับ”

     

                ยองโฮกลัวว่าเรื่องมหัศจรรย์ที่คุณหมอว่าจะเป็นอันตรายหรือเปล่า ถึงหมอจะว่ามันมหัศจรรย์ แต่ในความคิดของทั้งคู่มันก็ยังคงเป็นความผิดปกติอยู่ดี

     

                “ตอนนี้ยังไม่มีอะไรผิดปกตินะครับ แต่ต้องสังเกตและดูแลตัวเองอยู่ตลอดเวลา ยิ่งตอนนี้เพิ่งจะเริ่มตั้งครรภ์ยิ่งต้องระวัง ไม่งั้นจะแท้งได้”

     

                ได้ฟังอย่างนั้นยองโฮก็สบายใจ พอตรวจเสร็จเรียบร้อยทั้งคู่ก็ออกมาจากห้องตรวจ ยองโฮขอตัวไปเคลียร์ค่ารักษาพยาบาล เมื่อเดินกลับมา แทอิลเดินก้มหน้าแสดงสีหน้าที่ไม่ดีนัก ยองโฮอยากพูดอะไรให้อีกฝ่ายได้สบายใจ แต่ก็รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ในเวลานี้ ยิ่งเป็นคำพูดของเขา ก็คงยิ่งทำให้แย่

     

                “บ้านแทอิลอยู่ไหนล่ะ ฉันจะไปส่ง”

                “แถวๆโรงเรียนซองวอน แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวเรากลับเอง”

                “ฉันจะไปส่งนายเอง สติดูไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแบบนี้ฉันปล่อยนายไปไม่ได้หรอก”         

     

                จะให้ปฏิเสธความหวังดีที่ยองโฮมีให้ก็คงไม่มีประโยชน์เพราะมันคงเป็นการปฏิเสธที่ไม่มีความหมาย แทอิลถึงได้ยอมให้คนที่พามาเป็นคนพากลับไป ทั้งสองแค่เดินไปที่รถอย่างเงียบๆ ภายในรถก็กลับมาเงียบเหมือนตอนขามา เจ้าของรถอยากจะพูดอะไรหลายอย่าง แต่พอเหลือบไปเห็นสายตาที่ว่างเปล่าของคนข้างๆก็กลืนคำพูดที่อยากเปล่งออกมาลงคอ

     

                เหมือนฟ้าจะเป็นใจ ช่วยคลายความอึดอัด โทรศัพท์ของคนที่นั่งเบาะข้างคนขับมีสายโทรเข้าพอดี สายเข้าจากเพื่อนสนิทมากความสามารถที่ทำงานอยู่ค่ายเพลงชื่อดังเหมือนกัน

     

                “ว่าไงตะยง”

                (“ยังจะถามอีกว่ายังไง! แกผิดนัดฉันนะมุนแทล!!!”)

                “นัด.. โอย.. ขอโทษจริงๆตะยง ตอนแรกตั้งใจจะไป แต่มันมีเรื่องนิดหน่อย เลยไปไม่ได้ เราก็ลืมโทรบอก”

                (“เกิดเรื่องอะไรขึ้น มุนแทอิลผู้ไม่เคยผิดสัญญาถึงได้ไม่มาหาอีแทยงคนนี้ เล่ามาสิ!”)

     

                พอมาเจอเรื่องของเขากับยองโฮทำให้แทอิลลืมเรื่องนัดที่นัดกับแทยงไปเสียสนิท ทั้งๆที่ความจริงแทยงเป็นคนนัดก่อนด้วยซ้ำ แทอิลไม่เคยผิดสัญญาอะไรกับใคร ครั้งนี้เป็นครั้งแรก เพื่อนสนิทที่รู้จักนิสัยแทอิลดีย่อมสงสัยว่าเรื่องอะไรที่ทำให้เพื่อนรักของเขาถึงกับผิดนัดได้ แล้วเขาควรจะตอบเพื่อนรักว่าอะไร ถึงจะดูเป็นเรื่องใหญ่ขนาดทำให้ผิดนัดได้ หากบอกว่าต้องไปโรงพยาบาลเพราะป่วย เพื่อนรักต้องมาเยี่ยมที่บ้านแน่ แทอิลยังไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่เขากำลังจะมีลูก แม้จะเป็นเพื่อนก็ตาม ตอนนี้เขายังไม่พร้อมจะบอกใครทั้งนั้น

     

                “คือ.. ทะเลาะกับแม่น่ะ ก็เลยไม่อยากออกจากบ้าน”

                (“อ่าๆงั้นเหรอ แล้วนี่ปรับความเข้าใจกับแม่ยังเนี่ย”)

                “อื้ม ดีกันแล้วล่ะ แล้วถ้าจะไปตอนนี้ยังทันอยู่ไหม”

                (“ไม่ต้องมาแล้ว เด็กๆกลับกันหมดละ เดี๋ยวมะรืนแกเข้ามาบริษัทค่อยมาดูก็ได้ มาอีกทีวันจันทร์ใช่ป่ะ”)

                “อ่าหะ.. อืมๆโอเค.. ขอโทษจริงๆแก ไว้จะไถ่โทษให้อย่างสาสมเลย.. โอเคๆ บ๊ายบายตะยง”

     

                เมื่อคุยจบก็วางสายจากเพื่อนรักไป ยองโฮไม่ได้จงใจแอบฟังแต่ก็ดันเผลอฟังไปแล้ว เพิ่งจะนึกออกว่าคนข้างๆบอกตนแล้วว่ามีธุระ แต่พอมาเจอเรื่องระหว่างพวกเขาเลยลืมไปว่าแทอิลต้องไปทำธุระต่อ ถ้าให้เดา ปลายสายที่แทอิลคุยด้วยก็คือแทยงเพื่อนหน้าหล่อที่เป็นเพื่อนสนิทของแทอิล เป็นคนที่แทอิลตั้งใจจะไปหา แต่ก็คงไม่ต้องไปแล้ว ไม่เช่นนั้นคงบอกให้เขาไปส่งที่ที่นัดหมายกันแทน แต่นี่กลับนั่งนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไร ยองโฮอยากจะขอโทษที่ทำให้ผิดนัดแต่ถ้าเขาเอ่ยกล่าวอะไรไปมันก็เหมือนว่าเขาไปแอบฟังแทอิลคุยโทรศัพท์ถึงได้นิ่งเฉยเสียดีกว่า

     

                เมื่อขับรถมาถึงแถวโรงเรียนเก่าของทั้งคู่ แทอิลก็บอกทางไปบ้านของตนต่อ อยู่ในหมู่บ้านที่อยู่ห่างจากโรงเรียนประมาณหกกิโลเมตร เป็นหมู่บ้านที่ไม่ใหญ่และไม่ซับซ้อน เมื่อเข้าทางหมู่บ้านขับรถเข้าไปไม่ไกลก็ถึงบ้านเดี่ยวสองชั้นที่กั้นบริเวณด้านหน้าด้วยรั้วไม้สีน้ำตาลแก่ ซึ่งเป็นบ้านของแทอิล ยองโฮชะลอรถจนหยุดเทียบตรงหน้าบ้านพอดี

     

                “ขอบคุณที่มาส่งนะ”

     

                แทอิลยิ้มไปตามมารยาท รวมถึงขอบคุณที่ยองโฮมาส่ง และเหมารวมว่ามันคือคำบอกลาไปด้วยในตัว กล่าวเสร็จก็ทำท่าจะเปิดประตูลงจากรถ แต่ก็ถูกคนมาส่งรั้งไว้เสียก่อนจึงยังไม่ทันได้เปิดประตู

     

                “เดี๋ยวก่อนสิแทอิล ฉันยังคุยกับนายไม่จบเลย”

     

                อยากจะเอ่ยปากถามไปว่านั่งรถกันมานานสองนานทำไมไม่พูดระหว่างทางมา แต่ก็ไม่สนิทขนาดจะไปพูดอย่างเสียมารยาทแบบนั้น

     

                “ขอโทรศัพท์มือถือหน่อย ฉันจะเมมเบอร์ให้”

     

                แม้ไม่อยากจะให้แต่ก็หยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ายื่นให้คนข้างๆ เหมือนจะมากกว่าการบันทึกเบอร์โทรศัพท์ลงไป ยองโฮรับมือถือแทอิลมากดอยู่นานสองนานแล้วจึงคืนให้กับเจ้าของ

     

                “ฉันเมมเบอร์ฉันไว้ในเครื่องให้เรียบร้อยแล้ว บันทึกชื่อไว้ว่ายองโฮ ในบันทึกชื่อนอกจากเบอร์ ยังมีที่อยู่ที่ทำงานของฉัน แล้วก็มีที่อยู่บ้านด้วย ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรหาหรือว่าไปหาฉันที่บ้านได้.. ฉันรู้ว่าแทอิลกังวล แต่ฉันไม่ใช่คนไม่มีความรับผิดชอบ ฉันจะรับผิดชอบนายกับลูกอย่างแน่นอน”

     

                “อื้ม”

                “ภายในสัปดาห์นี้ฉันจะติดต่อนายอีกทีนะ.. ฉันก็.. ไม่มีอะไรจะพูดแล้วล่ะ แทอิลก็.. พักผ่อนให้มากๆนะ”

                “นายเองก็อย่าเครียดมากนะยองโฮ”

     

                ยองโฮพยักหน้าให้ แทอิลจึงลงจากรถและเข้าบ้านไป ลมหายใจที่ถูกเก็บไว้ในปอดเพราะความเกร็งถูกปล่อยออกมาเฮือกใหญ่เมื่อแทอิลลงจากรถ ตั้งสติพักหนึ่งก็ค่อยๆขับรถออกจากบริเวณหน้าบ้านแทอิลไป

     

                มีเรื่องให้คิดและจัดการมากมาย จะให้ไม่เครียดอย่างที่อีกคนบอกเอาไว้จะทำได้ไหมก็ไม่รู้

     

     

     

     

     

    – The Way We Are –

     

     

     

     

     

                พอกลับมาบ้านแทอิลก็ทำตัวเหมือนปกติ ยังไม่คิดจะบอกเรื่องความผิดปกติของตัวเองกับบิดาและมารดาในตอนนี้เพราะยังไม่พร้อม พอเสร็จมื้อค่ำก็ขอตัวขึ้นห้องนอนเพราะรู้สึกอ่อนเพลียและใกล้จะหมดแรง รีบเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำเตรียมตัวจะเข้านอน 

               

                เมื่อก้าวขึ้นเตียงก็ตั้งใจจะชาร์จแบตให้กับโทรศัพท์มือถือ แต่ก็นึกได้ว่ายังไม่ได้เอาออกจากกระเป๋าเลยตั้งแต่เก็บไว้หลังให้ยองโฮบันทึกเบอร์โทรศัพท์ จึงเดินไปที่กระเป๋าซึ่งวางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ พอเจอโทรศัพท์มือถือก็บังเอิญเจอกับสิ่งที่ไม่อยากเก็บไว้แต่เผลอหยิบใส่กระเป๋ามาด้วย คือเครื่องตรวจการตั้งครรภ์

     

                แทอิลเดินกลับมายังเตียงนอนพร้อมกับโทรศัพท์มือถือในมือและที่ตรวจการตั้งครรภ์ในมืออีกข้าง ล้มตัวลงนอนหวังจะหลับตาลงให้เวลาของวันนี้ได้ผ่านพ้นไปแต่กลับไม่เป็นดังหวัง ไม่รู้เหตุใดสายตาถึงได้มองแต่เครื่องแสดงผลการตรวจที่ขึ้นสองขีดอยู่ได้ไม่ยอมละสายตา น้ำใสๆไหลออกมาจากดวงตาอีกครั้ง ความกลัดกลุ้มในสมองมันถ่าโถมเข้ามาให้คิดจนท้อใจพาลส่งผลให้น้ำตาไหลยิ่งกว่าเดิม

     

                ชีวิตจะก้าวเดินต่อไปอย่างไร คิดไม่ออกเลยสักนิดเดียว

     

                “คุณซล แทลจะทำยังไงดี..”

     

     

     

     

     

    – The Way We Are –

     

     

     

     

     

                หนุ่มอายุจะย่างเข้ายี่สิบเก้าในอีกสองเดือนหน้ายืนยิ้มอยู่หน้าประตูสีขาว ใช้กุญแจที่ไปขอจากว่าที่พ่อตากับแม่ยายไขปลดล๊อคกลอนประตูห้องนอนของคนรักจนสามารถเปิดประตูเข้าห้องไปได้

     

                คนที่เพิ่งเข้าห้องมาก้าวเดินอย่างเบาเท้า มุ่งตรงไปยังเตียงที่เจ้าของห้องกำลังนอนหลับใหลไม่รู้เรื่องว่าใครกำลังเข้ามาโดยพลการ ขึ้นไปนั่งบนเตียงสีขาวอย่างค่อยๆ พินิจมองใบหน้าของคนรักที่ไม่ได้เจอกันนานเกือบเดือนอย่างโหยหา เมื่อมองจนพอใจก็เอนตัวลงไปนอนข้างคนรัก เลื่อนตัวไปใกล้แล้วใช้แขนพาดเอวคนที่นอนไม่ยอมตื่น

     

                “แทล ตื่นได้แล้ว”

               

                จีฮันซลกระซิบข้างหูของคนรักเบาๆ คนโดนกระซิบเริ่มจะรู้สึกตัวโดยการขยับไปมา ดวงตาที่หนักอึ้งเพราะผลพวงจากการร้องไห้เมื่อคืนเริ่มลืมตาขึ้นมา ใบหน้าสวยหันหน้าไปหาคนต้นเสียงที่นอนอยู่ข้างกาย ตื่นเช้ามาวันนี้ได้เจอกับแฟนสุดหล่อเป็นคนแรก คลี่ยิ้มให้ด้วยความดีใจและคิดถึงไปพร้อมกัน

     

                “ตอนนี้แทลคิดถึงคุณซลจนเห็นภาพหลอนเลยเหรอเนี่ย”

                “ภาพหลอนหรือตัวจริง ลองพิสูจน์ดูไหมละ”

                “จะพิสูจน์ยังไง”

                “มอร์นิ่งคิสแบบหวานฉ่ำกับคุณซลไหมละจ๊ะ แทลจ๋า~

     

                ว่าไปก็โน้มใบหน้าเข้าใกล้คนอยากรู้ว่าจะพิสูจน์ให้เชื่อได้ยังไงว่าที่เห็นอยู่ตอนนี้ภาพหลอนเพราะความคิดถึงหรือเป็นตัวจริงเสียงจริง แทอิลใช้มือที่สอดอยู่ใต้ผ้าห่มกั้นใบหน้าหล่อของฮันซลผลักออกเบาๆ

     

                “ไม่คิส แทลยังไม่ได้แปรงฟัน”
                “ไม่คิสก็ได้.. หอมเลยแล้วกัน
    !

     

                พูดจบก็รีบชิงหอมแก้มก่อนจะโดนแทอิลห้าม แต่ถ้าฮันซลจะขอหอมจริงๆก็คงไม่ห้าม ด้วยความรักและคิดถึงหลังจากห่างกันนาน จะขอกอดหรือหอมแก้ม ก็ไม่ปฏิเสธ

     

                “ไหนคุณซลบอกแทลว่าจะกลับวันเสาร์”

                “ก็อยากรีบกลับมาหาแทล เซอร์ไพรส์!

                “โกหกหรือเปล่า บอกความจริงมาซะดีๆ ทำไมกลับก่อนกำหนด”

                “พูดจริงๆ ที่รีบกลับมานี่เพราะคิดถึงแทลจริงๆ คิดถึงแทบขาดใจ”

     

                ถ้าไม่ติดว่าคบกันมานานตั้งสามปี แทอิลคงไม่อยากจะเชื่อคนหล่อแบบที่คุณซลของเขาที่บอกว่าคิดถึง คนหล่อน่ะเจ้าชู้ ลมปากไม่น่าเชื่อถือ แต่คุณฮันซลเคยมองใครอื่นนอกจากแทอิลที่ไหน เถลไถลอื่นไกลไม่เคยมี อย่างนี้ที่บอกว่าคิดถึงจะยอมเชื่อก็ได้ เขาเองไม่ใช่ว่าไม่คิดถึงคุณฮันซลเสียเมื่อไร คิดถึงไม่แพ้กัน เมื่อคืนก่อนนอนก็ยังคิดถึงอยู่เลย

     

                “รีบไปอาบน้ำได้แล้วแทล นี่คุณซลหิวข้าวเช้าจะแย่ กะมาฝากท้องไว้กับคุณพ่อตากับคุณแม่ยายเลยเนี่ย”

                “โอเค แทลจะรีบอาบน้ำนะ คุณซลลงไปรอข้างล่างก็ได้ แต่ถ้าจะนั่งรอบนห้องก็เก็บที่นอนให้ด้วยนะ ฮ่าฮ่า”

     

                แทอิลยันเตียงแล้วลุกขึ้นอย่างขี้เกียจหน่อยๆ รีบเดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวที่ตากไว้ ออกจากห้องไปยังห้องน้ำเพื่อทำภารกิจส่วนตัว ฮันซลค่อยลุกจากเตียงเมื่อเจ้าของห้องเดินออกจากห้องไปพักหนึ่ง ลุกขึ้นมาช่วยเก็บที่นอนของแทอิลให้เป็นระเบียบ มือตบๆหมอนให้ฟูน่านอน แล้วดึงผ้าห่มออกเพื่อจะพับเก็บ ตอนที่ดึงผ้าห่มออกจากเตียง ได้ยินเสียงเหมือนของบางอย่างตกลงจากเตียงลงสู่พื้น ฮันซลจึงหยุดที่จะพับผ้าห่มชั่วคราว ก้มลงมองหาของที่ตกตรงพื้นบริเวณรอบเตียงก็เจออย่างง่ายดายเพราะอยู่ใกล้กับปลายเท้า

     

                แต่เมื่อหยิบขึ้นมาก็ต้องชะงัก ของที่เขาไม่เคยใช้แต่ก็รู้จักมันเพราะเคยเห็นอยู่บ้างในโทรทัศน์ และไม่คิดว่าจะเห็นของสิ่งนี้ตกอยู่ในห้องของแฟนที่น่ารักของตน ทำไมแทลของเขาถึงมีของสิ่งนี้ได้? ทำไมเครื่องตรวจการตั้งครรภ์ถึงมาอยู่กับแทอิลได้? ยิ่งเห็นว่าช่องแสดงผลขึ้นเป็นสองขีดที่แสดงว่ากำลังตั้งครรภ์ยิ่งทำให้ใจเต้นแรงเข้าไปอีก นี่มันเป็นผลตรวจของใครกัน?

               

               

                ระหว่างที่เขาไม่อยู่เกาหลี แทอิลไปทำอะไรไว้หรือเปล่านะ ปิดบังอะไรเขาอยู่หรือเปล่า

     

     

     

     

     

    – The Way We Are –

     

     

     

     

     

     

                ฮันซลลงมานั่งคุยกับคุณพ่อและคุณแม่ของแทอิลได้พักหนึ่ง แทอิลก็ลงมาหลังอาบน้ำเสร็จ จึงได้เริ่มรับประทานอาหารเช้ากัน เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จ คุณพ่อและแม่ของแทอิลก็ออกไปทำธุระนอกบ้าน ในบ้านจึงมีเพียงแค่สองคนที่อยู่ ซึ่งมันก็ถือว่าดีที่จะได้อยู่กันสองคน

     

                “คุณซลซื้อของมาฝากแทลด้วยนะ โอยย แพงมาก ไม่อยากซื้อมาเล้ยยย แต่กลัวคนน่ารักแถวนี้จะน้อยใจ”

                “คุณซลไปต่างประเทศตั้งกี่รอบ ซื้อของมาฝากแทลตั้งเท่าไรแล้ว จะไปน้อยใจได้ยังไง.. แต่นี่ไปถึงฝรั่งเศสนะ ถ้าของฝากไม่ใช่หอไอเฟลละก็นะ..”

     

                ฟังแล้วก็ขำกับคำพูดน่ารักๆของแทอิล ฮันซลยื่นถุงกระดาษที่มีตราสัญลักษณ์ของแบรนด์สินค้าชื่อดังที่มีต้นกำเนิดจากฝรั่งเศส ถิ่นที่ฮันซลไปเหยียบมา แทอิลเปิดถุงกระดาษดูก็พบกล่องผูกโบว์สวย เปิดดูในกล่องก็พบว่าเป็นน้ำหอมในตำนานที่ใครต่างก็รู้จัก และหากชื่นชอบในน้ำหอมจะต้องมีไว้ครอบครองสักขวด สีหน้าแทอิลยิ้มชอบใจกับของฝากจากปารีสเป็นที่สุด

     

                “พอจะทดแทนหอไอเฟลได้ไหม แทลแทล”

                “ได้อยู่แล้ว.. แทลชอบนะ แต่ว่าเกรงใจอ่ะ มันแพงมากเลยไม่ใช่เหรอ”
                “แทลก็รู้ว่าเงินเดือนคุณซลซื้อของแค่นี้มันไม่เท่าไรหรอก แล้วอีกอย่าง ถ้าเทียบราคาน้ำหอมขวดนี้กับความรักที่คุณซลมีให้แทลเนี่ยนะ น้ำหอมราคามันน่าจะถูกกว่ากันเยอะ เพราะความรักของคุณซลที่ให้แทลมันแพงมากมายมหาศาลจนตีค่าเป็นเงินไม่ได้เลย รักของคุณซลมีค่ามากเลยนะ รู้หรือเปล่า”

                “แทลรักคุณซลนะ”

     

                 แทอิลเอนตัวเข้ากอดฮันซล ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งมั่นใจว่าคนที่กอดรักตนไม่เปลี่ยนแปลง แต่นับต่อจากนี้มันอาจจะแปลงเปลี่ยนไป จะต้องบอกคุณฮันซลอย่างไรดีว่าเขากำลังจะมีลูก เขาจะเป็นทั้งพ่อและแม่ในคราวเดียวกัน และยังมีคนอีกคนที่เป็นพ่อแท้จริงของเด็กในท้อง คนที่ไม่ใช่จีฮันซล

     

                คุณฮันซลจะรับได้ไหมว่าเขามีความสัมพันธ์กับคนอื่น แม้จะเป็นทางกายไม่ใช่ทางใจ จะรับได้ไหมว่าความจริงแล้วเขาผิดปกติ ที่สามารถท้องได้ทั้งที่ไม่ใช่ผู้หญิง รู้ว่ายังไงคุณฮันซลก็ต้องรู้เรื่อง แต่ควรจะบอกให้คุณซลรับรู้จากปากของเขาเอง หรือควรจะปล่อยให้รู้เองแม้แทอิลจะไม่ได้บอกดีคือสิ่งที่ลังเล

     

                “ไหนลองดมน้ำหอมสิ ว่ากลิ่นเป็นยังไง ถูกใจไหม”

     

                กอดกันนานจนเกือบจะลืมของฝากจากต่างประเทศ ฮันซลหยิบขวดน้ำหอมมาเปิดฝาชวนให้แทอิลดมกลิ่น แม้ปากขวดจะไม่ได้อยู่ติดจมูกแทอิล แต่ก็รู้สึกได้ว่ากลิ่นมันไม่น่าพิสมัยเสียเท่าไร เขารู้สึกเหมือนจะคลื่นไส้อย่างไรอย่างนั้น แทอิลกำลังจะรับขวดน้ำหอมมาจากมือฮันซล หวังจะตั้งใจดมให้มากกว่าเดิม แต่เหมือนอาหารในท้องที่เพิ่งจะกินเข้าไปจะขย้อนออกมา ยังไม่ทันจะรับน้ำหอมมาก็รีบปล่อยมือจากขวด โชคดีที่ฮันซลยังไม่ได้ปล่อยมือจากขวดน้ำหอมทำให้ไม่ตกแตก ฮันซลรีบปิดฝาขวดน้ำหอมแล้ววางลงบนโต๊ะทันที

     

                “เป็นอะไรหรือเปล่าแทล กลิ่นไม่ถูกใจเหรอ”

                “ปะ..เปล่าคุณซล เมื่อกี๊แทลคงกินเยอะไปหน่อย กลิ่นน้ำหอมมันคงเข้าไปปั่นป่วนน่ะ”

                “แล้วกลิ่นเป็นไง สรุปว่าชอบหรือเปล่า”

                “ชอบอยู่แล้ว กลิ่นหอมมาก ขอบคุณนะคุณซล”

     

                แทอิลทำเป็นหยิบน้ำหอมมาดมอีกครั้ง ทั้งที่ความจริงกลั้นหายใจอยู่ทุกครั้งที่ได้กลิ่น นั่งสนใจของฝากกันอยู่พักหนึ่ง ฮันซลก็ถามไถ่ถึงความเป็นอยู่ของคนรักในช่วงที่ตนไปทำงานต่างประเทศ แม้ปัจจุบันจะไม่ต้องเสียค่าโทรศัพท์คุยกันให้เปลืองเงิน ใช้การสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไร้พรมแดนก็ได้ แต่เวลาของโซลและปารีสต่างกันนัก ตอนคนอยู่ปารีสทำงานอีกคนที่โซลก็เข้านอน พออีกคนที่ปารีสจะนอนอีกคนโซลก็ทำงาน จึงไม่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไร ในทีแรกแทอิลก็พูดคุยเล่าเรื่องทำอัลบั้มใหม่ให้กับนักร้องสาวในค่าย แต่พอผ่านไปพักหนึ่งก็กลายเป็นว่าเสียงที่เจื้อยแจ้วเล่านั้นกลับเบาลงจนเงียบไป คนหน้าหวานเผลอพิงไหล่แฟนหนุ่มที่มาหาที่บ้าน หลับไปเป็นที่เรียบร้อย ฮันซลจึงค่อยๆเอามือประคองศีรษะแทอิลออก ตัวก็ลุกขึ้นแล้วค่อยๆวางศีรษะแทอิลลงกับโซฟา จัดท่านอนให้แทลของเขานอนสบาย

     

                ฮันซลรู้สึกผิดหวังอยู่หน่อย เขาเพิ่งจะมาถึงโซลเมื่อตอนเกือบตีห้า พอมาถึงก็รีบกลับไปบ้านของตน ไปเก็บของกับนอนพักสองชั่วโมงก็รีบมาบ้านแทอิลที่เขาคิดถึงแทบขาดใจ ความจริงวันนี้เป็นวันทำงานของแทอิล ถึงได้รีบมาหา พอมาถึงก็ได้รู้จากคุณพ่อของแฟนที่น่ารักว่าแฟนได้หยุดหนึ่งสัปดาห์ วันนี้หยุดวันสุดท้ายเสียด้วย ก็ยิ่งดีใจใหญ่กะจะพาออกไปเดทกันสองต่อสอง แต่แทอิลกลับหลับไปแล้ว เขาไม่กล้าจะปลุกเพราะเห็นว่าเรื่องของคนจะหลับ ไปปลุกคงไม่ดีจึงต้องปล่อยให้นอนไป ส่วนตัวเองก็ได้แต่นั่งมองหน้าหวานของคนรักที่หลับตาพริ้ม

     

                ทั้งๆที่แทอิลเพิ่งจะลุกจากที่นอนมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วเอง ทำไมถึงยังง่วงนอนอีกได้ หรือว่าเมื่อคืนแทลของเขานอนไม่หลับ? มันจะเกี่ยวกับของที่เขาเจอบนเตียงหรือเปล่า อยากถามให้หายสงสัย ให้หายคิดมาก แต่ถ้าเกิดว่าถามไปแล้วเขาเกิดไม่เชื่อว่าที่แทอิลพูดเป็นความจริง จะทำให้พาลหัวเสียโกรธไปเปล่าๆ

     

                เขาอาจจะคิดมากไปเองก็ได้.. ได้แต่คิดแบบนั้น

     

     

     

     

     

    – The Way We Are –

     

     

     

     

     

                แทอิลรู้สึกหลับจนเต็มอิ่ม ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ไม่เห็นคุณซลของตนอยู่ใกล้ๆ จำได้ว่าตอนก่อนหน้าที่จะหลับไปยังนั่งคุยกันอยู่ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังมาจากไหนสักแห่งในบ้าน ซึ่งน่าจะเป็นห้องครัว จึงเดินไปยังที่มาของเสียง เห็นว่าคนรักของตนกำลังนั่งคุยกับบิดาและมารดาอยู่อย่างสนุกสนาน

     

                “นั่นไงคุณฮันซล แทลของเราตื่นแล้ว”

     

                พอแทอิลเดินเข้ามาในครัวแม่ก็ทักเข้าให้ ฮันซลหันมายิ้ม ทั้งยังลุกขึ้นมาดึงเก้าอี้ที่สอดอยู่ใต้โต๊ะออกมาเพื่อให้ลูกชายหน้าหวานของเจ้าของบ้านได้นั่ง

     

                “แย่จริงๆเลยแทล คุณฮันซลเขาอุตส่าห์มาหา มาหลับได้ยังไง”

                “ก็คนมันง่วงนี่ครับแม่”

     

                พูดไปก็ทำท่าเหมือนจะหาววอดออกมา แต่ก็เกรงใจฮันซลถึงได้เลือกจะยิ้มให้แทนที่จะแสดงอาการหาวออกมา

     

                “วันนี้เราออกไปกินข้าวนอกบ้านกันดีไหมครับ แถวบ้านผมมีร้านอาหารไทยเปิดใหม่ คุณพ่อกับคุณแม่น่าจะชอบ”

     

                ฮันซลเห็นว่าวันนี้อีกครอบครัวหนึ่งของเขาอยู่บ้านกันพร้อมหน้าพร้อมตา มีความคิดอยากจะพาทั้งสามคนออกไปกินข้าวด้วยกัน เขาไม่ค่อยได้มาเยี่ยมพ่อกับแม่ของแทอิลสักเท่าไร คะแนนจะตกหรือเปล่าก็ไม่รู้ วันนี้มีโอกาสต้องเร่งทำคะแนนอย่าให้ตก ไม่เช่นนั้นอีกสองเดือนข้างหน้า พ่อกับแม่ของแทลของเขาอาจจะไม่ยกลูกชายให้เขาก็ได้

     

                “คุณฮันซลไปกับแทลสองคนเถอะ ไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคนมาตั้งเกือบเดือน อยากอยู่กันสองต่อสอง พ่อรู้หรอกน่า”

     

                ชายผู้เป็นบิดาของแทอิลเอ่ยปากแซว คนโดนแซวทั้งคู่ถึงกับอาย แม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ก็ยังเขินอายในทุกครั้งที่พ่อพูดแบบนี้

     

                “ถ้างั้นก็ขอพาลูกชายที่น่ารักของคุณพ่อกับคุณแม่ออกไปกินอาหารมื้อเย็นหน่อยแล้วกันนะครับ”

     

     

     

     

     

    – The Way We Are –

     

     

     

     

     

                เมื่อแทอิลล้างหน้าเปลี่ยนชุดออกจากบ้านเสร็จ ทั้งคู่ก็นั่งรถออกมาจากบ้านเพื่อจะไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน ฮันซลหันมามองคุณแฟนที่นั่งเบาะข้างระหว่างขับรถเหมือนว่าคนที่เพิ่งจะตื่นไม่นานกำลังจะหลับตาลงอีกครั้ง จึงเอื้อมไปเปิดวิทยุในรถให้ส่งเสียงสร้างความรำคาญให้กับคนกำลังจะหลับ จะได้ไม่ต้องหลับอีก ไม่ใช่อยากจะแกล้งหรือฝืนบังคับให้อีกคนต้องตื่น แต่เห็นว่าแทอิลหลับมาเพียงพอแล้ว เขาอยากจะนั่งคุยกับแฟนบ้างสิ

     

                “แทล เราไม่สบายอะไรหรือเปล่า คุณซลเห็นเราเอาแต่จะนอนท่าเดียว เมื่อครู่คุยกับพ่อแม่แทล ท่านบอกว่าช่วงนี้แทลนอนเกือบจะทั้งวันเลย”

     

                อดจะห่วงแทอิลไม่ได้จริงๆ แทลของเขารักในงานโปรดิวเซอร์มาก จึงได้หักโหมกับงานมากเพราะความรักในสิ่งนั้น แต่หลายครั้งมันทำให้แทอิลไม่ได้นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ ร่างกายมันก็มีขีดจำกัด ไม่รู้คราวนี้หักโหมมากขนาดไหนถึงได้เอาแต่นอนทั้งวัน

     

                “พักผ่อนน้อยสะสมละมั้งคุณซล ไม่ได้เป็นอะไรหรอก”

     

                แทอิลได้แต่ปัดเกี่ยงเหตุผลไปให้กับพฤติกรรมที่ไม่ดีของตนที่ฮันซลก็รู้ว่าตนชอบทำบ่อยๆ แม้แท้จริงจะพอเดาออกว่าเหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะพักผ่อนน้อยอย่างที่ว่า ก่อนหน้านี้เขาพักผ่อนน้อยก็จริง แต่มันก็คงไม่ส่งผลเป็นสัปดาห์ขนาดนี้ แค่นอนหลับพักผ่อนกินอาหารให้ครบสองสามวันก็หาย ที่เป็นเช่นนี้ก็อาจเพราะสิ่งมีชีวิตในท้องของเขากำลังแย่งพลังงานไปจนเกือบหมด แทอิลไม่ได้มีพลังงานเหลือเฟือไว้ใช้คนเดียวเหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้ยังมีอีกหนึ่งชีวิตที่ร่างกายเขาต้องแบ่งปันทุกสิ่งอย่างให้

     

                “ไหนๆก็ว่างแล้ว ก่อนไปกินข้าว แวะไปหาหมอที่โรงบาลก่อนดีกว่ามั้ง คุณซลเป็นห่วงจริงๆนะ”

     

                “ไม่เอาน่าคุณซล แทลไม่เป็นอะไรมากจริงๆ”

                “รู้ได้ไง หืม? แทลของคุณซลไม่ได้เป็นโปรดิวเซอร์แต่เป็นหมอแล้วเหรอ?”

                “กะ..ก็.. เมื่อวานแทลเพิ่งจะไปหาหมอมา หมอเขาก็บอกว่าแทลพักผ่อนน้อยไปนั่นแหละ เขาถึงได้ให้พักผ่อนมากๆ นอนเยอะๆ จะได้หายไวๆไง”

     

                พอแทอิลบอกอย่างนั้นฮันซลก็ล้มเลิกความคิดจะพาแฟนขี้เซาไปโรงพยาบาล โชคดีที่ฮันซลเชื่อว่าเป็นเพราะพักผ่อนน้อย โชคดีที่ฮันซลจะไม่พาเขาไปโรงพยาบาล ไม่งั้นคุณซลต้องรู้ความจริงๆแน่ สักวันยังไงก็ต้องรู้ แต่จะให้มารู้อย่างกะทันหันแบบนี้เขาก็ยังไม่พร้อมบอก ฮันซลเองก็คงไม่พร้อมจะฟัง

     

                ถึงตอนนั้นที่บอกความจริง แม้จะเกิดอะไรขึ้นมุนแทอิลจะยอมรับมันทุกอย่าง ต่อให้ต้องเสียคนรักไปก็ตาม แต่เขาจะไม่มีวันทำลายชีวิตเด็กคนหนึ่งที่กำลังจะเกิดมา หากจะต้องทำร้ายเด็กคนนี้ เขาคงรู้สึกผิดมากกว่าการที่สามารถรั้งให้คุณฮันซลอยู่กับเขาได้แต่ลูกของเขาในอนาคตจะต้องจากไป

     

     

     

     

     

    – The Way We Are –

     

     

     

     

     

                ยองโฮตั้งใจจะบอกกับครอบครัวเรื่องของแทอิล แต่เหมือนฟ้าจะยังไม่เป็นใจ เตนล์ผู้เป็นคนรักโทรมาหาเสียก่อน บอกว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าจะบินมาเกาหลี อยากให้ไปรับที่สนามบิน ยองโฮจึงหยุดเรื่องที่จะพูดคุยกับครอบครัวเอาไว้ ก่อนที่เขาจะบอกครอบครัว เขาควรจะตัดสินใจเรื่องนี้กับเตนล์เสียก่อน เตนล์.. คนที่เขารักที่สุด เขาจึงคิดว่าควรให้เกียรติกับเตนล์ได้รู้เรื่องก่อน แม้เรื่องที่เขาทำไปจะถือว่าทำให้คนรักของเขาเสียเกียรติมากไปแล้วก็ตาม

     

                พอเลิกงานของตัวเองก็รีบไปสนามบินทันที พอไปถึงเครื่องที่ดาราหนุ่มบินกลับมาก็ลงจอดพอดี ยองโฮทำตัวเหมือนแฟนคลับที่สนามบิน ไปยืนรอติดตรงบริเวณทางออก ไม่นานนักก็เห็นแฟนหนุ่มตัวเล็กของเขาใส่เสื้อยืดตัวอักษร T ที่เขาเป็นคนซื้อให้ ก็ทำให้เห็นได้ทันทีว่าเตนล์มาถึงแล้วจริงๆ

     

                ยองโฮเดินเข้าไปหาแล้วช่วยเข็นกระเป๋าของแฟนหนุ่มคนดังอย่างที่เคยทำ

     

                “น่าจะโทรบอกล่วงหน้าสักหน่อยนะครับว่าจะกลับ มาบอกเอาวันกลับแบบนี้เกือบมารับไม่ทัน”

                “นี่ก็อุตส่าห์โทรบอกก่อนเครื่องจะออกแล้ว ไม่โทรบอกตอนมาถึงก็ดีแค่ไหนแล้วพี่ยองโฮ”

                “ครับๆ ไม่บ่นแล้วครับคุณชิตพล”

     

                เตนล์ยิ้มกว้างกับความว่าง่ายของแฟนรุ่นพี่ตัวสูง ระหว่างทางเดินไปที่รถก็มีคนเข้ามาขอถ่ายรูปและขอลายเซ็นกับเตนล์มากมาย แต่ยองโฮก็หยุดยืนรอไม่มีบ่นหรือมีท่าทีเบื่อหน่าย มีเสียงกระซิบให้ได้ยินว่าทั้งคู่ดูเหมาะสมกันมากขนาดไหนก็ยิ่งทำให้ยองโฮรู้สึกผิดกับเตนล์มากเท่านั้น

     

                เมื่อถึงรถของยองโฮ เตนล์ก็เป็นฝ่ายเอากระเป๋าขึ้นรถเอง ให้ยองโฮไปสตาร์ทเครื่องรอจะได้ไม่เสียเวลา เมื่อเก็บกระเป๋าใส่รถเสร็จดาราหนุ่มจึงขึ้นไปนั่งเบาะข้างคนขับ เมื่อพร้อมรถจึงออกจากลานจอดรถ

     

                “จะกลับบ้านเลยหรือว่าจะไปไหนก่อนหรือเปล่า”

                “ขับรถไปเรื่อยๆก่อนได้ไหมอ่ะ ผมอยากนั่งรถเล่น”

     

                การที่บอกให้ขับไปเรื่อยๆนั้นยองโฮรู้ดีว่าเตนล์หมายถึงให้ขับไปที่ไหน ยองโฮจึงค่อยๆขับไปอย่างช้าๆไม่เร่งรีบ ขับด้วยอัตราเร็วที่ช้ากว่าปกติเพื่อให้แฟนของเขานั่งสบาย

     

                “ทำไมกลับเกาหลีกะทันหันจังล่ะเตนล์”

                “มีงานด่วนก็เลยต้องรีบมา ขอโทษด้วยนะที่จู่ๆก็บอกจะให้มารับ ช่วงนี้พี่ยองโฮคงยุ่งมากแน่เลย”

     

                พอพูดจบก็เงียบไปกันอีกครั้ง ปกติระหว่างนั่งรถจะต้องนั่งคุยกัน แต่วันนี้กลับแปลกไปเพราะไร้ซึ่งเสียงพูดคุยไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งที่ไม่ได้เจอกันมานานพอสมควร ไม่มีเรื่องที่โกรธเคืองกัน

     

                “เตนล์ พี่มีเรื่องอยากคุยด้วย”

                “เป็นคำพูดที่น่ากลัวสำหรับผมจัง ว่าแต่มีอะไรเหรอพี่ยองโฮ”

     

                คนเริ่มประเด็นยังไม่ได้พูดอะไร แต่เปิดไฟเลี้ยวเพื่อเปลี่ยนเลนส์ในการขับรถจากเลนส์กลางไปยังริมขวาสุด ค่อยๆลงระดับความเร็วลงจนรถหยุดในที่สุด สีหน้าของยองโฮดูไม่ดีจนเตนล์แอบหวั่นใจ ฝ่ายหนึ่งอยากพูดและอีกฝ่ายรอจะรับฟังด้วยหัวใจที่เต้นรัว

     

                “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ถึงกับต้องจอดรถคุย”

                “คือพี่มีเรื่องจะสารภาพ มันไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แต่ว่าเตนล์ต้องรู้”

     

                มันลำบากใจที่จะพูด ยากที่จะพูดยิ่งนัก แต่ยองโฮก็ต้องพูดมันออกมาก่อนที่จะสายเกินไป เขาต้องรีบจัดการทุกอย่างให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้ก็รู้สึกว่ามันเกือบจะสายไป แต่ช้าแค่ไหนก็ต้องรับผิดชอบ

     

                “พี่ทำคนๆนึงท้อง”

     

                ใจของเตนล์เต้นแรงเสียจนแทบจะระเบิดออกมา ไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนรักที่แสนดีของเขาจะมีเรื่องราวเช่นนี้ได้ เพราะยองโฮไม่เคยมีเรื่องเสียหาย มีแต่เรื่องที่จะทำให้เขารู้สึกว่าเขาช่างเป็นคนที่โชคดีเสมอที่ได้คบหากับผู้ชายคนนี้ ในใจของเตนล์มันรู้สึกหนาวเย็นและร้อนรุ่มไปพร้อมกัน แต่เตนล์ไม่ใช่คนใจร้อน เขาเป็นคนใจเย็นและพร้อมจะรับฟังคนรักเสมอ

     

                “เรื่องมันเป็นยังไงพี่ยองโฮ”

                “...”

                “พี่ยองโฮบอกผมที ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

                “เมื่อสองเดือนก่อนมีงานเลี้ยงรุ่นสมัยมัธยม คืนนั้นพี่เมามาก แล้วเขาก็เมามาก เราสองคนก็เลย.. มีอะไรกันโดยไม่รู้ตัว พี่เพิ่งจะรู้ว่า.. เขาท้อง”

     

                ยองโฮยอมรับผิดทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง สีหน้าคล้ายจะร้องไห้ออกมา มือเรียวเล็กของเตนล์บีบไหล่คนรักให้คลายความกังวล แม้จะผิดหวังในตัวพี่ยองโฮอยู่บ้าง ไม่สิ เขาคงต้องยอมรับว่าผิดหวังมาก อยากจะโกรธ โกรธจนอยากจะระบายออกมา แต่ไม่รู้จะแสดงมันออกมายังไง มันช็อคเกินกว่าจะควบคุมความคิดหรือการแสดงออก ในเมื่อเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะความไม่มีสติของคนทั้งคู่ จะโทษคนรักของตนฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ แม้ไม่รู้ว่ามันจะจริงเท็จแค่ไหนสำหรับคำพูดที่ว่า เมาไม่รู้ตัวแต่ถ้าซอยองโฮจะพูดแบบนั้น จะเล่าแบบนี้ เตนล์ก็จะเชื่อคนรักที่ไม่เคยหลอกลวงอะไรเขาแม้แต่อย่างเดียว

     

                “แล้วพี่จะทำยังไงต่อ”

                “พี่จะรับผิดชอบเขาครับ พี่คงให้เขาเลี้ยงลูกคนเดียวไม่ได้ มันเป็นเรื่องเดียวที่พี่คิดว่าพี่จะทำได้ดีที่สุดแล้วเตนล์ เตนล์จะโกรธหรือเกลียดพี่ก็ได้ แต่พี่อยากจะรับผิดชอบในสิ่งที่พี่เองก็มีส่วนผิด”

     

                เขารู้ว่าที่ยองโฮพูดหมายความว่าอย่างไรในเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับยองโฮ ต่อจากนี้มันคงจะเป็นอย่างเดิมไม่ได้ คงเป็นคู่รักที่ใครๆต่างก็อิจฉาไม่ได้อีกแล้ว แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่ากับความคิดของยองโฮ เตนล์เข้าใจและเคารพการตัดสินใจของคนรักรุ่นพี่เสมอ คนรักของเขามีวุฒิภาวะมากพอที่จะตัดสินใจเรื่องตัวเอง

     

                “ตัดสินใจถูกแล้วล่ะครับ ตัดสินใจได้ดีแล้ว”

     

                เตนล์คงพูดได้แค่นี้จริงๆ มันคงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าความรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง จะให้อยู่ด้วยกันต่อไป จะรั้งอีกฝ่ายไว้ยังไงความรู้สึกมันก็คงเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว ต่อให้จะยังรักยังไง ความผิดหวังต่อพี่ยองโฮของเขามันก็ก่อตัวขึ้นไปแล้ว สำหรับเรื่องแบบนี้ ไม่รู้จะรู้สึกยังไงแล้วจริงๆ

     

                “โกรธพี่ไหมครับ เกลียดพี่หรือเปล่า”

                “ไม่เกลียดครับ ผมควรจะดีใจที่พี่ยองโฮจะรับผิดชอบเขา ถ้าพี่ยองโฮปิดบังผมไปมากกว่านี้ แล้วไม่ยอมที่จะรับผิดชอบคนที่กำลังจะมีลูกกับพี่ นั่นสิครับ ที่จะทำให้ผมอยากโกรธแล้วก็เกลียดมากกว่า”

                “เตนล์เข้าใจพี่ใช่ไหม”

     

                ซอยองโฮอยากจะหลั่งน้ำตาให้กับผู้ชายที่นั่งข้างๆเขาตอนนี้ ผู้ชายที่งดงามทั้งใบหน้าและจิตใจ ทั้งๆที่เขากำลังจะทรยศต่อความรักที่เตนล์มีให้ แต่ก็เข้าใจและไม่คิดโกรธ ทั้งในตอนนี้ยังยิ้มให้เขาได้แม้ควรจะแสดงว่าคนรักของเขาเจ็บปวดมากเพียงใดกับเรื่องนี้

     

                “เตนล์จะทำอะไรพี่ก็ได้ จะต่อยจะตีพี่ยังไงก็ได้ เอาให้เตนล์รู้สึกว่าพี่สมควรที่จะเจ็บปวดกับการกระทำของพี่ที่ทำแบบนี้กับเตนล์”

                “ถ้างั้น.. ผมเป็นคนขอบอกเลิกพี่ได้ไหม

                “ครับ ได้สิ”

                “เรา.. เราเลิกกันเถอะพี่ยองโฮ”

     

                น้ำตาที่กลั้นไว้ สุดท้ายในเมื่อมันไม่ไหวเตนล์ก็คงไม่ฝืนต่อ น้ำใสๆไหลรินออกมาจากนัยน์ตาหวานทั้งสองข้างที่แปรเปลี่ยนมาเป็นนัยน์ตาเศร้า บทบาททางการแสดงที่เคยได้รับแม้บทของมันจะเลวร้ายแค่ไหน จะเป็นบทที่ทุกข์ใจเพียงใด แต่มันก็ไม่เท่ากับความจริงตอนนี้เลย อยากภาวนาให้มันเป็นแค่บทละครที่ทำให้รู้สึกอิน แต่คงต้องยอมรับว่ามันคือความจริงของหัวใจชิตพลแล้ว

     

                “ผู้หญิงที่จะได้พี่ยองโฮไปเป็นพ่อของลูกโชคดีมากเลยนะเนี่ย อยากรู้จังว่าเป็นใครกัน เป็นเพื่อนสมัยเรียนใช่ไหมครับ ถ้างั้นคงต้องไปสืบกับวินวินหน่อยแล้ว

     

                ลืมคิดเรื่องนี้ไปสนิท ถ้าเขาบอกเรื่องนี้กับเตนล์ ซึ่งเตนล์สนิทก็สนิทกับวินวินเพื่อนเขา แสดงว่าเพื่อนเขาก็จะต้องรู้เรื่องนี้ด้วยสิ ความจริงที่ว่าวินวินรู้มันไม่เท่าไร ถ้าจะขอให้เพื่อนคนนี้ไม่พูดก็คงจะเก็บเป็นความลับได้ แต่ยังไงเสียยองโฮก็ต้องบอกกับครอบครัวเรื่องแทอิล ถ้าเซฮุนหรือจงอินไปที่บ้านคงต้องรู้เรื่อง คงเป็นเรื่องใหญ่แน่

     

                “เตนล์ครับ พี่มีเรื่องจะขอร้องอีกเรื่อง”

                “ครับ?”

                “คือ.. เรื่องนี้พี่ยังไม่ได้บอกพวกวินวิน เตนล์อย่าเพิ่งบอกหรือถามเกี่ยวกับเรื่องของพี่กับพวกเขานะครับ ไว้พี่จะบอกพวกนั้นเอง ตอนนี้เรื่องมันยังไม่ค่อยเรียบร้อย ถ้าบอกไปมันอาจจะจัดการยาก”

                “ครับ จะเก็บไว้เป็นความลับให้ก่อนนะ”

     

                เมื่อเข้าใจกันแล้วยองโฮก็รู้สึกโล่งใจไปบ้างที่จัดการเรื่องไปได้ส่วนหนึ่ง เขาอยากจะกอดเตนล์เป็นครั้งสุดท้ายด้วยความรักและความรู้สึกรัก แต่เขาไม่กล้าพอที่จะทำ และไม่กล้าขอจะได้รับอ้อมกอดนั้นแบบที่เคยทำอย่างในวันวาน สองปีที่คบกันอย่างคนรัก กอดตลอดสองปีนั้นคงมากพอแล้ว

     

                ทั้งคู่คงไม่ใช่คนที่เกิดมาคู่กันอย่างแท้จริง แต่ในสักวัน ในวันหนึ่งเตนล์คงได้ครองรักกับคนที่รักและพร้อมจะปกป้องและอยู่เคียงข้างไปตลอดชีวิตแทนเขา

     

                คนที่ดีและคู่ควรกับผู้ชายที่มีจิตใจงดงามอย่างเตนล์

     

     

     

     

     

    – The Way We Are –

     

     

     

     

     

     

                เมื่อพูดคุยเรื่องของตนกับเตนล์เสร็จ เตนล์ก็ตัดสินใจได้ว่าจะกลับบ้านของตนเลย แม้ในทีแรกตั้งใจอยากจะไปนั่งรถเล่น รู้ว่ายองโฮคงเหนื่อยและมีเรื่องต้องจัดการอีกมาก จึงขอให้ยองโฮไปส่งที่บ้าน ก่อนจะแยกจากกันก็มีรอยยิ้มให้และคำให้กำลังใจให้กันและกัน ก่อนที่ยองโฮจะออกจากบ้านเตนล์กลับมายังบ้านตน

     

                พอกลับถึงที่บ้านตระกูลซอ อาหารมื้อเย็นก็กำลังตั้งโต๊ะพอดี ปกติต้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะลงมาทานอาหารเย็น แต่วันนี้กลับมาช้าแล้ว ยองโฮจึงแค่ทำความสะอาดมือ แล้วจึงเดินมาร่วมโต๊ะอาหารเลย ตอนนี้คงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะบอกกับครอบครัว เพราะเป็นเวลาที่ทุกคนอยู่กันอย่างพร้อมหน้า

     

                “เอ่อ.. ทุกคนครับ”

     

                หลังอาหารมื้อเย็นเริ่มไปได้สักพัก ยองโฮจึงตัดสินใจที่เปิดปากคุยเรื่องของตัวเอง บุคคลที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารทั้งสี่คน ไม่ว่าจะเป็นบิดา มารดา พี่ชาย และพี่สะใภ้ของยองโฮต่างก็ให้ความสนใจในเรื่องที่ยองโฮกำลังจะพูด

     

                “มีอะไรหรือเปล่ายองโฮ หน้าเครียดเชียว”

                “คือ.. ผมจะแต่งงานครับ”

     

                สิ้นเสียงของยองโฮ เสียงช้อนส้อมที่กระทบจานอาหารเมื่อครู่กลับเงียบลงเมื่อบุตรชายคนสุดท้องของบ้านเอ่ยปากว่าจะแต่งงาน ภายในโต๊ะอาหารต่างมองหน้ากันไปมา ไม่ได้มีสีหน้าตื่นตกใจ แต่เหมือนจะเป็นสีหน้ายินดี

     

                “ในที่สุดลูกชายพ่อก็จะได้เป็นฝั่งเป็นฝาสักทีสินะ! ว่าแต่นี่เราขอหนูเตนล์แต่งงานแล้วหรือ หรือว่ายังไม่ได้ขอ”

     

                ยองโฮอ้ำอึ้งไม่รู้จะพูดเช่นไร นี่แสดงว่าที่ทุกคนดูยิ้มแย้มดีใจกับเขานี่เป็นเพราะเข้าใจว่าเขาจะแต่งงานกับเตนล์สินะ นั่นสิ เขายังไม่ได้บอกกับทุกคนว่าเลิกรากับแฟนหนุ่มไปเมื่อก่อนหน้านี้นี่ เพราะคนที่เขาจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันต่อจากนี้เป็นคนอีกคน

     

                “ผมเลิกกับเตนล์แล้วครับ คนที่ผมจะแต่งงานด้วย.. ไม่ใช่เตนล์ครับ”

     

                สีหน้าของทุกคนที่ยิ้มแย้มเมื่อครู่กลับเปลี่ยนเป็นสีหน้าตกใจและงุงงง รอให้ยองโฮอธิบายเรื่องราวต่อ

     

                “ถ้าแกไม่แต่งกับคุณเตนล์ แกจะแต่งกับใครหะ ยองโฮ”

     

                พี่ชายเป็นคนเอ่ยปากถามแทนบุคคลที่นั่งร่วมโต๊ะอาหาร ที่รอให้น้องคนเล็กของบ้านเอ่ยปากพูดให้ไว แทนที่จะมานั่งอ้ำอึ้งพูดชักช้า

     

                “เขาชื่อมุนแทอิลครับ เป็นเพื่อนสมัยมัธยมของผม เป็นผู้ชาย”

     

                บุคคลทั้งสี่บนโต๊ะอาหารแปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นสีหน้าซีดกันเกือบหมด เมื่อบุตรชายคนเล็กตระกูลซอเอ่ยปากจะแต่งงานกับคนที่สมาชิกในครอบครัวไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาก่อน ไม่มีใครรู้ว่ามุนแทอิลคนนี้เป็นใคร เพราะยองโฮไม่เคยพูดถึง ไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตา

     

                “เรื่องมันเป็นยังไงเล่ามาสิ! มุนแทอิลนี่เป็นใคร ทำไมถึงเลิกกับหนูเตนล์แล้วถึงจะตัดสินใจแต่งงานกับผู้ชายชื่อมุนแทอิลคนนี้”

                “ผมทำเขาท้องครับ แทอิลกำลังจะมีลูกกับผม.. มันอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าเขาเป็นผู้ชายแต่ว่ากลับท้อง ผมพาเขาไปตรวจที่โรงพยาบาลมาแล้ว เขากำลังท้องจริงๆครับ ”

     

                หญิงผู้เป็นใหญ่ที่สุดของบ้านฟังแล้วลมแทบจับ เรื่องแต่งงานของลูกชายเป็นเรื่องที่รู้ว่ายังไงเสียก็ต้องมี และเธอก็พร้อมจะยินดี ตลอดสองปีที่ผ่านมาเธอคิดว่าหากลูกชายจะแต่งงาน แม้รู้อยู่แล้วว่าลูกของเธอจะแต่งงานกับผู้ชายอย่างเตนล์ดาราชื่อดังผู้เป็นคนรักของลูกชายที่เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างเธอก็พร้อมยินดี ในวันนี้ลูกชายกลับบอกว่าเลิกกับคนที่เธอหมายว่าลูกชายเธอคงจะได้ครองรัก ถึงได้ทั้งผิดหวังและตกใจไปพร้อมกัน

     

                “เขาก็เลยบังคับให้แกแต่งงานกับเขา?”

                “เปล่าครับ ผมเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้เอง ความจริงเขาก็ไม่อยากให้ผมรับผิดชอบ แต่ผมคิดว่ายังไงผมก็ควรรับผิดชอบในสิ่งที่ผมเองก็มีส่วนผิด”

                “แล้วแกจะแต่งเมื่อไร”

                “คงไม่ได้จัดงานเป็นเรื่องเป็นราวครับ พรุ่งนี้ผมคิดว่าจะไปขอขมาพ่อกับแม่ของแทอิลเขาแล้วก็จะซื้อบ้านใหม่สักหลังย้ายไปอยู่กันสองคน แต่ว่าก่อนจะหาบ้านใหม่ได้ผมอยากจะขอให้เขามาอยู่บ้านเราก่อนสักพัก พ่อกับแม่จะอนุญาตไหมครับ”

     

                ต่างคนต่างก็มองหน้ากันไปมา มองหาคำตอบว่าควรจะช่วยเหลือน้องเล็กของบ้านอย่างไร แต่ก็ไม่มีใครอยากจะแสดงความคิดเห็นใดๆ เห็นว่ายองโฮโตพอจะคิดอะไรเองได้ ก็คงมีเพียงเรื่องที่ยองโฮจะขอให้แทอิลย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านที่ต้องอาศัยการตัดสินใจของผู้เป็นใหญ่สุดในบ้านอย่างบิดาและมารดาของตน ชายเจ้าของบ้านมองหน้าภรรยาผู้เป็นใหญ่กว่าในบ้านให้เกียรติในการตัดสินใจ แม่ว่าอย่างไรพ่อก็ว่าตามนั้น

     

                “เอาเถอะลูก ให้เขาย้ายมาอยู่บ้านเรา แต่ก่อนจะย้ายมายังไงก็พาเขามาพบครอบครัวเราหน่อย ให้แม่ได้พูดคุยเห็นหน้าเห็นตาสักครั้งแล้วกัน”

     

                ยองโฮก้มศีรษะจนแทบติดโต๊ะอาหาร กล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า มารดาที่นั่งอยู่เคียงข้างตบหลังลูกชายเบาๆเป็นการให้กำลังใจแทนคำพูด และสั่งให้ลูกชายสุดที่รักรับประทานอาหารต่อไม่ต้องคิดอะไรมาก เธอเองก็ต้องฝืนทนกินข้าวแม้พอรู้เรื่องก็เครียดแทนลูกชาย แต่ถ้าไม่กินนั่นจะยิ่งทำให้ลูกกังวลมากกว่า

     

                ในเวลาที่ลูกมีปัญหา สิ่งที่ดีกว่าการด่าทอต่อว่า คือการให้กำลังใจและคอยอยู่เคียงข้างไม่ห่าง

     

     

     

     

     

    – The Way We Are –

     

     

     

     

     

     

                ยองโฮขับรถมายังเส้นทางที่ไม่ได้มานานหลังจากจบชั้นมัธยมปลาย แต่ก็เพิ่งจะมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ขับรถมายังบ้านของแทอิล ความจริงก็ยังไม่รู้ว่าวันนี้แทอิลอยู่บ้านหรือเปล่า เพราะไม่ได้โทรมาบอกก่อนว่าจะมา แต่คิดว่าวันเสาร์แบบนี้ก็คงจะอยู่บ้านพักผ่อน ถึงได้มาหาเพื่อจัดการเรื่องให้เรียบร้อย

     

                ยองโฮกดออดหน้าบ้านหลังสวยของแทอิล รอไม่นานนักประตูรั้วสีน้ำตาลแก่ก็ถูกเปิดออก ใบหน้านิ่งของยองโฮในทีแรกเริ่มมีรอยยิ้มส่งให้กับคนที่มาเปิดประตู ไม่ใช่เพื่อนร่วมรุ่น แต่เป็นชายวัยกลางคนที่อายุน่าจะพอๆกับพ่อของเขา

     

                “สวัสดีครับ คือผมมาหาแทอิล ไม่ทราบว่าแทอิลอยู่หรือเปล่าครับ”

                “อ๋อ แขกแทอิลหรอกเหรอ เชิญเข้ามาก่อนสิครับ”

     

                ชายเจ้าของบ้านเชิญชวนให้ยองโฮเข้าไปในบ้าน ยองโฮโน้มตัวลงเพื่อขอบคุณและเดินเข้าไปอย่างถ่อมตัว แขกผู้มาเยือนเดินเข้าไปภายในตัวบ้านซึ่งมีมุมนั่งพักผ่อนถูกจัดแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ดูสบายตา ตรงโซฟามีหญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ ถ้าให้เดาก็คงจะเป็นมารดาของแทอิล

     

                “สวัสดีครับ” ร่างสูงโน้มตัวลงเพื่อทักทาย

                “สวัสดีค่ะ พ่อ.. นี่แขกของพ่อหรือของแทอิลล่ะเนี่ย”

                “แขกของแทอิลน่ะ”

                “ผมซื้อผลไม้มาฝากครับ”

     

                หญิงผู้มีใบหน้าสวยหวานราวกับแทอิลถอดแบบออกมายิ้มและรับกระเช้าผลไม้จากมือยองโฮมาวางไว้บนโต๊ะแบบญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ตรงหน้าโซฟา ยองโฮก็ถูกเชิญให้นั่งที่โซฟาซึ่งตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง

     

                “เป็นเพื่อนกับแทอิลเหรอคะ”

                “เอ่อ...”

     

                ยังไม่ทันได้ตอบ ร่างของแทอิลก็ปรากฏอยู่ในระยะสายตาพร้อมกับชายที่ออกไปเปิดประตูบ้านให้ แทอิลอยู่ในชุดเตรียมจะออกไปข้างนอก แต่เหมือนว่ายองโฮจะมาที่บ้านพอดีทำให้แทอิลยังไม่ได้ออกไป เมื่อเห็นว่าใครกำลังนั่งอยู่ในบ้านของตนก็ช็อคเล็กน้อย แต่ก็ทำตัวเหมือนรู้จักกับยองโฮดี เพื่อไม่ให้บิดามารดาของตนผิดสังเกต

     

                “อ้าว มะ..มาทำอะไรที่นี่น่ะยองโฮ”

                “ก็.. มาจัดการเรื่องของเรา”

     

                ร่างเล็กรีบเดินเข้าไปฉุดแขนแขกไม่ได้รับเชิญของตนให้ลุกออกจากที่นั่ง แต่แทอิลตัวเล็กกว่ายองโฮนักจึงไม่ได้ส่งผลให้คนถูกดึงลุกตาม คนถูกดึงรู้ว่าอีกคนกำลังจะทำอะไร เขาถึงไม่เออออไปกับอีกฝ่าย

     

                “ไปคุยกันที่อื่นนะ ที่นี่ไม่สะดวกคุยหรอก”

     

                เพื่อนหน้าหวานส่งยิ้มมาให้ ไม่ใช่ยิ้มที่ดูจริงใจและมีความนัยน์แฝงอยู่ ยองโฮมองแทอิลด้วยสายตานิ่งเหมือนจะรั้นไม่ยอมทำตาม แต่สุดท้ายก็ยอมลุกขึ้นตามคำขอ แต่มืออีกข้างของยองโฮที่ไม่ได้ถูกจับไว้ พยายามเอามือของแทอิลที่จับมือตนเองออก แล้วมันก็ออกอย่างง่ายดาย

     

                จู่ๆขายาวของยองโฮก็คุกเข่าลงต่อหน้าชายและหญิงเจ้าของบ้านที่นั่งบนโซฟา ทั้งสองมองใบหน้ากันและกัน สลับกับมองใบหน้าแขกผู้มาเยือนรวมถึงใบหน้าลูกชายคนเดียวของทั้งคู่

     

                “นะ.. นี่.. เกิดเรื่องอะไรกันจ๊ะ แม่กับพ่องงไปหมดแล้วแทอิล”

                “สวัสดีครับคุณพ่อกับคุณแม่ของแทอิล ผมชื่อซอยองโฮครับ”

               

                ยองโฮแนะนำตัวเองในขณะที่ยังคุกเข่าอยู่ แทอิลพยายามจะดึงตัวเพื่อนร่วมรุ่นให้ออกห่างจากบุพการีของตน แต่ยองโฮก็นั่งนิ่งและทำเป็นไม่สนใจ

     

                “ผมอยากจะแต่งงานกับแทอิล กรุณาอนุญาตให้แทอิลแต่งงานกับผมด้วยครับ”

     

                บิดาและมารดาของแทอิลหันมองหน้ากันอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ตกใจ แทอิลที่ไม่รู้เรื่องหรือสิ่งที่ซอยองโฮจะทำ ยังไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจก็ตกใจและนิ่งไป แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจของแทอิลแทบหยุดเต้นมากกว่าคือการเห็นใบหน้าของคนอีกคนที่ยืนอยู่หน้าประตู แววตาที่ไร้ซึ่งความรู้สึกของคนที่มาใหม่ทำให้ใจของเขาราวกับกำลังแตกสลาย

     

     

     

     

                “คุณซล..”

     

     

     

     

     

     

    - The Way We Are -

    - TBC –

     

     

     ก่อนอื่นเลย ขอสวัสดีปีใหม่ย้อนหลังหนึ่งวันนะคะ ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดีมากสำหรับทุกคนเลย สำหรับ NCT ก็อยากให้สมาชิกสุขภาพแข็งแรงและมีความสุข มีงานตลอดปี แล้วก็ปังมากๆๆๆ ปีที่แล้วเสียดายจังเรื่องชนะในรายการเพลง ปีนี้ก็ขอให้ชนะในรายการเพลงเยอะๆเลยนะ แล้วก็ถ้าจะยังมี 127 ต่อไปยังไงก็กรุณาเอาเตนล์เข้าไปอยู่ด้วยได้ไหม 127+เตนล์เวลาเขียนมันยาว ถ้าเอาเตนล์เข้าไปด้วยก็จะได้เขียนสั้นๆไงเอสเอ็ม อย่าดองเตนล์ไว้เลย ส่วนน้องแจมก็หายไวๆแล้วกลับมาเป็นดรีมได้แล้วนะ นูน่าคิดถึง แล้วก็ขอสเตชั่นให้พี่แทอิลด้วยนะเอสเอ็มจ๋า หาเพลงใหม่แทน Because of You มาให้น้องๆล้อกันได้แล้ว(คนเขียนเมนพี่แทอิลค่ะ เฝ้าคอยพี่เขามากๆ)

               

                ในส่วนของฟิค หนึ่งตอนของเรามันสั้นไปไหมคะหรือว่ามันยาวไป? ถ้ายาวจะตัดแต่ถ้าสั้นก็จะเพิ่มให้มันจุใจกว่านี้ บอกกันได้นะคะ แล้วก็ถ้าใครรู้สึกว่าอ่านๆไปแล้วฟิคมันเริ่มดราม่าละ ไปคลายดราม่ากับจอยของเราได้นะคะ 5555 นามปากกาเดียวกันกับในเด็กดีเลยค่ะ (แย่ตรงที่มีการโปรโมตตัวเองอ่ะ แหะๆ)

                สุดท้ายนี้ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์ที่เข้ามาพูดคุยและสำหรับผู้อ่านที่เข้ามาอ่านกันนะคะ จะชมหรือจะติยังไงก็ได้หมดเลยนะคะ เราน้อมรับทุกสิ่งอย่างเลย

                แล้วเจอกันตอนหน้านะคะ

                2018.01.02 – Nilbackgo

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×