ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [NCT] The Way We Are (Johnil)

    ลำดับตอนที่ #1 : The Way We Are - 1

    • อัปเดตล่าสุด 31 มี.ค. 62


    The Way We Are – 1

     

                ริมชายหาดในยามค่ำคืนที่ปกติได้ยินเพียงเสียงคลื่นกระทบทราย กลับถูกกลบด้วยเสียงดนตรีและเสียงหัวเราะของกลุ่มคนกว่าสามสิบคน หลอดไฟสีรุ้งมากมายประดับอยู่เต็มซุ้มจัดเลี้ยงริมทะเล กลิ่นอาหารที่ถูกปิ้งย่างบนเตาส่งกลิ่นหอมฉุยแตะจมูก

     

                งานเลี้ยงรุ่น มัธยมปลายห้องสองรุ่นเจ็ดสิบแปด โรงเรียนมัธยมซองวอน

     

                การพบปะพูดคุยเป็นไปอย่างสนุกสนาน ทุกคนต่างพูดถึงเรื่องราววันวานในสมัยเรียน รวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ของแต่ละคนในตอนนี้ถูกเล่าออกมา เหมือนกับได้กลับไปเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง เหมือนในตอนนี้เราไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ก็แค่สนุกไปกับเพื่อนของเรา

     

                “ดีใจมากเลยนะเนี่ยที่มึงกลับมาทันอ่ะยูตะ นึกว่าจะไม่ได้เจอ”

                “บอกเลยว่าโคตรรีบเก็บของกลับมาเกาหลีอ่ะ ยัยเวนดี้คอลไลน์จิกสุดๆ”

     

                คนโอเวอร์แอคติ้งเล่าเรื่องที่เพื่อนซี้ตามจิกให้กลับตนกลับจากบัลแกเรียเพื่อมางานเลี้ยงรุ่นรวมพลเพื่อน แต่เขาเองก็ไม่ได้กลับมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ตั้งใจจะกลับมาอยู่ที่เกาหลีเพราะเรียนจบปริญญาโทจากที่นั่นพอดี คนนั่งฟังเรื่องก็ได้แต่ขำกับท่าทางการเล่าแบบตลกนากาโมโตะ ยูตะที่ยังไม่เคยเปลี่ยนไปแม้จะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม

     

                “ก็อยากให้มึงกลับมานี่ กูโคตรเบื่อจะฟังยัยกิมันบ่นคิดถึงมึงไม่ไหวละ” คนที่ถูกพาดพิงท้วง

                “ไม่ใช่แค่กิบ่นคิดถึงหรอกนะ กู แทล เวนดี้ ตะยง ก็คิดถึงมึงกันหมดนั่นแหละ”

     

                เพื่อนรักที่ละม้ายคล้ายกระต่ายอีกคนช่วยเสริม จะหาว่าเพื่อนคนเดียวในกลุ่มคิดถึงอีกคนได้ยังไงกัน จะคิดถึงทุกคนก็คิดเหมือนกันหมด อยู่กลุ่มเดียวกันคบกันมาตั้งนาน ขาดใครไปสักคนก็รู้สึกเหวงๆเหมือนกัน

     

                “เออนี่ ได้ข่าวว่าไอ้หล่อของแทลมันเป็นแฟนกับดาราสุดฮอตชาวไทยหรอวะ เล่าดิ๊ๆ คบกันได้ไงอ่ะ”

     

                คนที่เพิ่งเรียนจบกลับมาไม่สนใจข่าวไหนเท่ากับข่าวนี้อีกแล้ว เพื่อนร่วมห้องสุดหล่อของตัวเองมีแฟนเป็นถึงดาราสุดฮอตที่กำลังมาแรงในเกาหลี จะว่าไปมันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกสำหรับยูตะหรอกที่คนหล่อระดับเทพแบบนั้นจะมีคู่เป็นดาราคนดัง แต่ก็แค่อยากรู้ว่าไปพบเจออะไรกันยังไงมากกว่า

     

                “รู้สึกว่าจะรู้จักกันผ่านตงซื่อ.. โอ๊ยชื่อจีนมันยาก ชื่อเล่นมันชื่ออะไรนะ.. เออ วินวินอ่ะ แบบวันครบรอบสิบปีกิจการรีสอร์ทวินวินอ่ะ ก็จ้างดารามาร่วมงาน ทีนี้ก็เชิญเตนล์มาเพราะว่าไปรู้จักอะไรกันกับวินวินที่จีนเนี่ยแหละ ก็ได้เจอกันในงานนั้น แล้วก็คงเริ่มคุยๆกัน”

     

                เวนดี้ที่เป็นสายข่าวเป็นคนเล่าเรื่องความรักของเพื่อนร่วมรุ่นให้ยูตะที่คงไม่ค่อยได้อัพเดทข่าวสารเพราะการไปอยู่ห่างไกลฟัง

     

                “อย่างนี้แทลก็เสียใจแย่สิ คนที่ตัวเองชอบมีแฟนซะแล้ว”

     

                เพื่อนในกลุ่มเดียวกันถึงกับขำกันใหญ่เมื่อยูตะเอ่ยปากแซวเพื่อนรักของตนที่เป็นคู่จิ้นสมัยเรียนกับเพื่อนร่วมรุ่นตัวสูง คนโดนแซวถึงกับหน้าแดงไปหมด เรื่องที่อีกคนพูดไม่ใช่เรื่องจริงสักนิด แทอิลไม่ได้มีความชอบหรือพิศวาสอะไรกับคนที่ยูตะพูดถึงแม้แต่น้อย อีกอย่างตัวเองก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว จะไปเสียใจอย่างที่เจ้าคนโอเวอร์แอคติ้งนี่พูดทำไม

     

                “ชอบบ้าชอบบออะไรหะยูตะ เรามีแฟนอยู่แล้วจะไปเสียใจอย่างที่นายว่าทำไมไม่ทราบ!

                “แหม.. ก็เคยชอบ”

                “ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เรา-ไม่-ได้-ชอบ-ยองโฮ!

     

                คนถูกล้ออย่างแทอิลพูดเน้นให้ได้ยินทุกคำ ถึงจะปฏิเสธไปแบบนั้นแต่ก็ยังโดนแซวอยู่ดี จะว่าไปคนที่โดนล้อก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ก็เพราะเรื่องความรักนี่ละถึงทำให้แทอิลเริ่มสนิทกับเพื่อนกลุ่มนี้และคบกันมาจนปัจจุบัน สมัยเรียนมัธยมเรื่องของแทอิลถือเป็นเรื่องที่ถูกนำมาพูดในกลุ่มทุกวันจนกลายเป็นเหมือนกิจวัตรที่ขาดไม่ได้สักวัน มันเป็นเรื่องที่สนุกทุกครั้งที่พูดถึง มันเป็นความสุขของเพื่อน แทอิลก็ไม่อยากคิดอะไรมาก ถือว่าเป็นความทรงจำสนุกๆในชีวิตก็แล้วกัน

     

                ระหว่างที่ยูตะกำลังเล่าเรื่องชีวิตที่ไปทำโยเกิร์ตที่บัลแกเรียให้ซึลกิ โดยอง และเวนดี้ฟัง คู่หูทูแทอย่างแทอิลและแทยงก็ขอตัวไปหาอะไรกินตรงมุมอาหาร มันช่างเป็นเรื่องบังเอิญมากเสียจริงที่ตรงที่ตักอาหารนั้น คนที่กลุ่มแทอิลเพิ่งจะกล่าวถึงไปก็ยืนอยู่ด้วย

     

                ชายร่างสูงหุ่นดีที่มีใบหน้าหล่อเหลาที่สุด สมกับฉายาไอ้หล่อที่เพื่อนๆต่างก็เรียกกัน ไม่ว่าจะหลายปีที่แล้วจนปัจจุบันตอนนี้ ฉายานี้ก็ยังคงเหมาะสมกับคนๆนี้เสมอ

     

                “What’s up ซอยองโฮ!

     

                แทยงเป็นฝ่ายทักร่างสูงก่อน ยองโฮหันมาแล้วก็ยิ้มให้กับแทยงที่ทักทาย ในกลุ่มของแทอิลนั้นมีแค่แทยงเท่านั้นที่ยองโฮสนทนายาวๆด้วยได้ เพราะคนอื่นในกลุ่มไม่ค่อยกล้าจะเข้าไปคุยกับยองโฮและยองโฮก็ไม่เห็นมีทีท่าว่าอยากจะพูดคุยด้วย ส่วนแทอิลนั้นยืนตักอาหารราวกับยองโฮไม่ได้มีตัวตนอยู่ตรงนั้น แม้จะเป็นเพื่อนร่วมห้องตอนมัธยมมาด้วยกันตั้งสามปีแต่ก็ไม่คิดจะทักทายปราศรัย มันเป็นปกติของแทอิลที่เป็นคนเข้าหาคนยาก ยิ่งกับคนที่แทอิลรู้สึกว่าคนๆนั้นไม่ชอบหน้าตัวเองก็ยิ่งไม่อยากสนใจ

     

                แทอิลมีความรู้สึกและความทรงจำแบบนั้นกับยองโฮคนนี้ เป็นเรื่องที่เขาจำได้ดีทั้งที่ไม่ควรจำ

     

                “What’s up แทยงโปรดิวเซอร์คิวทอง ดีใจด้วยนะ เพลงที่นายแต่งขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งเลยนี่”

                “น่อวว มีติดตามผลงานด้วยเหรอ ก็งี้แหละเนอะ คนมันเก่ง”

     

                ทั้งสองสนทนากันอย่างสนุกสนานแม้ว่าจะไม่ได้เจอกันนาน แทอิลแม้ว่าจะยืนอยู่ตรงนั้นแต่ก็แค่ตักอาหารใส่จานโดยไม่คิดจะมีส่วนร่วมกับการพูดคุยใดๆ

     

                “สวัสดี.. แทอิล”

     

                เสียงทุ้มที่ทักทายเจ้าของชื่อทำให้รู้สึกแปลกใจ ไม่คิดว่าเจ้าของเสียงจะเป็นฝ่ายทักทายก่อน

     

                “อะ.. อือ สวัสดียองโฮ”

     

                หากว่าเขาเอาแต่สนใจอาหารก็เหมือนกับว่าเขากำลังเมินอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด แทอิลถึงยิ้มให้ตามมารยาทพร้อมกับคำทักทาย เมื่อไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ เลยเปลี่ยนเป็นเบนสายตาไปยังกลุ่มเพื่อนที่นั่งอยู่รอบๆ หันไปก็บังเอิญเจอกลุ่มเพื่อนของคนที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจอยู่ตอนนี้ ยิ่งรู้สึกว่ากลุ่มเพื่อนของยองโฮกำลังจับจ้องมาที่ตัวเขากับร่างสูงก็ยิ่งอึดอัด แม้สมาชิกในกลุ่มเพื่อนยองโฮ เจ้าตัวจะเคยพูดคุยด้วยซ้ำยังสนิทพูดคุยหยอกล้อกันได้ แต่ก็ยังอึดอัดอยู่ดี

     

                เมื่อตักอาหารเสร็จแทอิลก็รีบเดินกลับไปนั่งที่กลุ่มเพื่อนตัวเองเหมือนเดิม ตามนิสัยที่ไม่ค่อยจะเป็นคนพูด เลยเอาแต่กินอาหารและหัวเราะพวกเพื่อนที่โม้กันไม่หยุดมากกว่า

     

                “นี่ ไหนๆยูตะมันก็คว้าปริญญาโทกลับมาฝากพวกเราแล้ว เรามาดื่มฉลองให้ไอ้ยูตกันหน่อยมะ”

     

                เวนดี้สาวปาร์ตี้ที่ได้ทีเมื่อไรเผลอเป็นชวนดื่มไม่ได้เสนอขึ้น ทุกคนในกลุ่มต่างก็เห็นด้วย มันเป็นเรื่องปกติในกลุ่มที่ชอบชวนกันไปดื่มอยู่แล้ว แต่สองสามปีที่ผ่านมาก็ขาดนักปาร์ตี้ตัวยงอย่างยูตะไป กลับมาเจอกันคราวนี้เรื่องการดื่มจะต้องไม่พลาดเป็นแน่

     

                “นี่ เราไม่ดื่มนะ ฮันซลห้าม”

     

                ยกเว้นเสียหนึ่งคนที่ขอไม่ดื่มร่วมกับเพื่อนๆ นั่นคือมุนแทอิลคนดีคนเดิม และไม่ว่ากี่ครั้งที่มีคนชวนดื่มเขาก็ต้องปฏิเสธ มันเป็นข้อตกลงระหว่างแทอิลกับคนรักของเขาที่เวลามีงานสังสรรค์ เขาจะต้องไม่จับเครื่องดื่มมึนเมาทุกชนิดเพราะเป็นคนคออ่อน และเขาก็เชื่อฟังเสมอมา

     

                “แทลก็อ้างแบบนี้ทุกที แกจะพลาดการต้อนรับการกลับมาของเจ้าพ่อปาร์ตี้อย่างนายูตะหรอแทล ไม่ได้เด็ดขาด แทลต้องดื่ม!

     

                ซึลกิที่ว่าเห็นเรียบร้อยแบบนี้ ความจริงชอบงานปาร์ตี้และการสังสรรค์ที่สุด แถมยังคะยั้นคะยอให้แทอิลดื่มทุกครั้งแต่ก็ถูกปฏิเสธตลอด ครั้งนี้ซึลกิจะต้องจับแทอิลดื่มให้ได้คือความตั้งใจสูงสุด

     

                “คุณฮันซลเขาไม่รู้หรอกน่า วันนี้ยังไงนายก็ไม่ได้เจอเขาอยู่แล้ว ดื่มเหอะ”

                “ถูกอย่างที่ตะยงพูด”

     

                อีแทยงกับคิมโดยองนี่ก็อีกสองคน ชอบให้ท้ายซึลกิ แต่ให้ท้ายยังไงถ้าคนถูกขอร้องไม่ใจอ่อนซะอย่างก็ไม่ได้ผลหรอก

     

                “ถ้าแทลไม่ดื่มนี่ฉัน Sad นะ บอกเลย Very Very Sad อ่ะ”

     

                ยูตะนี่แหละตัวดี! ชอบประชดจนแทอิลยอม และครั้งนี้นี่แหละที่แทอิลคิดหนัก อย่างที่แทยงว่าว่าวันนี้ยังไงเขาก็ไม่ได้เจอฮันซลซึ่งเป็นคนรักเพราะงานเลี้ยงคงเลิกดึกเลยจะค้างที่โรงแรมซึ่งคนที่มางานส่วนใหญ่ก็เลือกจะค้างเหมือนๆกัน ถ้าจะดื่มแล้วเขาไม่เอ่ยปากบอกคนรักเสียอย่าง คนรักของเขาก็ไม่รู้เรื่องนี้ แต่ใจนึงก็ไม่อยากเสียคำพูดคำสัญญาที่เคยให้ไว้

     

                “โอเคๆ ดื่มก็ได้ แต่แค่แก้วเดียวนะ”

     

     

                ถึงจะรักแฟนมากแค่ไหน แต่บางที เพื่อนก็สำคัญกว่า

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                สุดท้ายก็มากกว่าหนึ่งแก้ว ดื่มไปเท่าไรไม่รู้ รู้แต่ตอนนี้คือไม่ไหวแล้ว

                แทอิลกอดแขนขอร้องให้ใครสักคนในกลุ่มที่เขาเองก็มองไม่ค่อยชัดพาขึ้นไปส่งที่ห้อง แต่คำตอบที่ได้กลับมาก็คือไม่ไปและจะดื่มต่อ แทอิลทนไม่ไหวจึงเลือกจะตั้งสติให้มากที่สุดและลุกขึ้นจากเก้าอี้ พยายามลากตัวเองเดินเข้าไปในตัวโรงแรม กดลิฟท์ที่ปิดอยู่ รอจนกระทั่งเปิดออกแล้วแทรกตัวเข้าไปในนั้น ลิฟท์พาเขาขึ้นยังชั้นหกที่เขากดเลขเอาไว้ เมื่อประตูลิฟท์เปิดออกแทอิลก็เดินออกมา

                ร่างบางล้วงกุญแจห้องที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง พยายามปรับโฟกัสสายตาที่พร่ามัวมองเลขที่ห้องบนคีย์การ์ดแล้วเดินหาห้องเพราะจำไม่ได้ว่าห้องพักตัวเองอยู่ทางไหนกันแน่ระหว่างซ้ายหรือขวามือ เดินวนไปวนมาอยู่นานก็หยิบกุญแจมาไขห้องได้สำเร็จ เรี่ยวแรงของแทอิลได้หมดลงอย่างแท้จริง เขาไม่สนใจว่าจะต้องเสียบคีย์การ์ดเพื่อให้ไฟในห้องทำงาน แทอิลมือไม้อ่อนทิ้งกุญแจลงทันทีเมื่อเข้าห้องได้ มีเพียงเตียงนอนนุ่มๆเท่านั้นที่เขาสนใจและต้องการ

     

                เขาว่ากันว่าเมื่อเราไม่มีสติครบถ้วน การทำอะไรของเราก็มักจะสะเพร่าคาดความรอบคอบ

                แทอิลเองก็เป็นเช่นนั้น เขาลืมทำสิ่งที่สำคัญที่สุดไป

     

                สิ่งสำคัญที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล

     

     

     

     

     

    – The Way We Are –

     

     

     

     

     

                เมื่อขยับพลิกตัว ร่างของแทอิลก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดบริเวณช่วงล่างของตัวเอง บวกกับความร้อนทั้งภายในและนอกร่างกายทำให้เขาต้องฝืนลืมตาขึ้นทั้งๆที่รู้สึกอ่อนล้าและเพลียอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

     

                พอคิดจะใช้มือนวดต้นขาตัวเองที่ปวดอย่างบอกไม่ถูกก็ต้องแปลกใจ

                ทำไมร่างกายของเขาเปลือยเปล่า? เขาไม่ใช่คนมีนิสัยจะถอดเสื้อผ้าพร่ำเพรื่อ ร้อนแค่ไหนอย่างน้อยก็ใส่กางเกงชั้นในกับเสื้อกล้าม แต่นี่กลับไม่มีเสื้อผ้าอยู่บนร่างกายสักชิ้น

                ทำไมมีน้ำอะไรเปื้อนต้นขาของเขา? มันไม่ใช่ปัสสาวะ แต่มันคล้ายกับ.. สิ่งที่ผู้ชายหลั่งออกมาเมื่อมีอารมณ์ทางเพศ

                เขาน่ะหรอกมีอารมณ์? จำไม่เห็นจะได้ว่าเมื่อคืนเขารู้สึกอย่างนั้นสักนิด ไม่.. เมื่อคืนเขาฝันว่ามีอะไรกับใครบางคน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ฝันอะไรไม่เข้าท่าแบบนั้น ถ้าอย่างนั้นมันคือฝันเปียกหรอ รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่นจริงๆ

     

                แทอิลเกาท้ายทอยกับความน่าเกลียดของตัวเอง เตรียมจะลุกไปชำระร่างกายก็ได้แต่ร้องโอยด้วยความเจ็บปวด แถมมือที่ใช้ยันเตียงก็ไปโดนสัมผัสนุ่มๆที่ไม่ใช่ลักษณะของเนื้อผ้าปูเตียงหรือหมอน มันเหมือนกับผิวของคน

     

                ชะ..ใช่ สิ่งที่แทอิลสัมผัสคือคนจริงๆ

                คนที่ไม่ควรอยู่ที่นี่ และไม่ควรอยู่ข้างเขาเลย คนที่ไม่ว่าแทอิลมองกี่ครั้งก็ส่งผลถึงความอึดอัดใจ

                ซอยองโฮ คือ คนที่แทอิลเผลอไปโดนตัวเข้า

                คนที่นอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียงเดียวกัน คือ ยองโฮ

     

     

                เกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับยองโฮ ทำไมยองโฮถึงมานอนร่วมเตียงกับเขาได้ เจ้าตัวได้แต่พยายามนึกถึงความเป็นไปได้ทั้งหมด และสิ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิดเขาก็ทำเอาตัวเองตกใจและส่ายหัวไปมาเพราะเขาไม่ควรคิดแบบนั้น

     

                หรือว่าฝันของเขาเมื่อคืนมันคือเรื่องจริงกันแน่?

     

                รวบรวมความกล้าทั้งหมด ค่อยๆดึงผ้าห่มที่ปกคลุมร่างกายร่างหนาที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่ม แค่หวังว่ายองโฮจะไม่อยู่ในสภาพเดียวกันกับตัวเอง ใช่.. ยองโฮไม่ได้อยู่ในสภาพเดียวกันกับแทอิล แต่แย่กว่า

     

                สภาพของยองโฮคือเปลือยเช่นเดียวกัน แต่ผิวขาวของยองโฮมีแต่รอยแดงเต็มไปหมด รอยที่ไม่น่าพิศวาสอย่างรอยขีดข่วนของเล็บ หรือรอยฟันบริเวณหน้าอก และมันก็มีมากกว่านั้น

     

                ไม่มีอะไรที่ชัดเจนไปกว่านี้อีกแล้ว

     

                แทอิลคิดไม่ตกกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น สิ่งที่เขาควรทำในตอนนี้คืออยู่ในสภาพที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คิดได้แบบนั้นก็พยายามจะลุกขึ้นจากเตียงอีกครั้ง แต่มันเจ็บปวดรวดร้าวจนเผลอร้องออกมาเสียงดัง และมันส่งผลให้คนที่หลับอยู่ตื่นและลืมตาขึ้นมา

     

                ไม่อยากเดาเลยว่าพอตื่นขึ้นมาแล้วยองโฮจะว่ายังไง

     

                “นาย.. แทอิล.. แทอิลใช่ไหม”

     

                เสียงร้องด้วยความปวดของคนตื่นก่อนดังจนคนเพิ่งตื่นได้ยินชัดเจน ยองโฮรีบเด้งตัวออกจากเตียงขึ้นมานั่งเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ในห้องเดียวกันคือเพื่อนสมัยเรียนที่ไม่สนิทชิดเชื้อกัน แทอิลรีบคว้าผ้าห่มส่วนหนึ่งมาปกปิดร่างกายส่วนล่างเอาไว้ ใบหน้าซีดจนจะกลืนไปกับสีของผ้าปูเตียง

     

                “ทำไม.. เราสองคนมานอนด้วยกันได้”

                “เราควรจะถามนายหรือเปล่ายองโฮ นายเข้ามานอนในห้องของเราได้ยังไง”

                “นี่ห้องฉันไม่ใช่เหรอแทอิล”

                “มันจะเป็นห้องนายได้ยังไงยองโฮ ในเมื่อเมื่อคืนเราจำได้ว่าเราเป็นคนไขกุญแจห้องเข้ามาเองกับมือ ถ้ามันไม่ใช่ห้องเรา กุญแจมันจะไขได้ยังไง”

     

                สิ่งสุดท้ายที่แทอิลจำได้คือเขาไขประตูกุญแจห้องพักเองกับมือเพราะไม่มีคนพามาส่ง หากไม่ใช่ห้องของเขา เขาจะไขกุญแจเข้ามาได้อย่างไร แล้วยองโฮเองล่ะเข้ามาได้อย่างไร หรือว่ากุญแจห้องมันเป็นเลขห้องเดียวกันอย่างนั้นหรือ

     

                แทอิลมองหาเสื้อผ้าของตัวเองที่ถูกถอดออก พบเพียงแต่บ๊อกเซอร์ตัวโปรดของตัวเองบนเตียงก็รีบสวมก่อน แทอิลยันร่างลุกจากเตียงอีกครั้ง ถึงแม้มันจะปวดก็ตามแต่ก็ลุกได้สำเร็จ เขาก้าวเท้าเดินแต่ละก้าวอย่างยากลำบาก เดินออกไปดูหมายเลขห้องว่านี่มันห้องอะไรกันแน่ ก็พบกับคีย์การ์ดสองอัน อันหนึ่งตกอยู่ที่พื้น ส่วนอีกอันถูกเสียบไว้ตรงที่เสียบ ซึ่งปกติหากเสียบคีย์การ์ด ไฟในห้องก็ต้องทำงาน แต่นี่มันก็ถูกเสียบไว้อย่างถูกด้านแล้วแต่การทำงานของไฟในห้องกลับไม่มี แทอิลจึงลองหยิบอันที่อยู่ตรงพื้นขึ้นมาเสียบดู หลอดไฟในห้องก็สว่างขึ้นในทันที นั่นก็หมายความว่าอันที่ถูกเสียบอยู่ก่อนหน้านี้ไม่ใช่กุญแจของห้องนี้จริงๆ

     

                ร่างบางที่สวมบ๊อกเซอร์เพียงตัวเดียวเดินกลับมายังเตียง และก็ทรุดลงเสียดื้อๆจนคนที่นั่งใช้ความคิดทบทวนเหตุการณ์ถึงกับตกใจรีบพยุงให้คนที่ทรุดลงไปขึ้นมานั่งบนเตียงเพื่อคุยกัน

     

                “ฉันคิดออกแล้วแทอิล เมื่อคืนประตูห้องมันไม่ได้ล๊อค”

     

                ใช่ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่แทอิลลืมทำคือการล๊อคประตูห้อง เพราะความไม่มีสติถึงทำให้ลืมเรื่องนั้นไปสนิท

     

                “นี่เป็นกุญแจของนายใช่ไหมยองโฮ ห้อง 919

     

                ก่อนที่ยองโฮจะรับมันมาจากมือของแทอิล แทอิลก็แสดงอะไรบางอย่างให้เขาดู เมื่อคีย์การ์ดถูกกลับหัว 919 จะถูกเปลี่ยนเป็นอีกเลขหนึ่ง และมันจะไม่ใช่เลขห้องเดียวกัน

     

                “ห้องนี้คือห้อง 616  มันคือห้องของเรา”

     

                อย่างที่แทอิลทำให้ดู เมื่อคืนเขาคงเมาจนถือกุญแจกลับหัว ถึงได้มองเห็นเลขห้องบนคีย์การ์ดของตัวเอง ซึ่งความจริงต้องเป็น 919 แต่กลับเป็น 616 ซึ่งเขาไม่รู้ว่ามันคือห้องใคร แต่ตอนนี้ก็ได้รับรู้ว่ามันคือห้องของแทอิล เพราะว่าเขาจองห้องร่วมกับเพื่อนอีกคน แต่เพื่อนของเขาขอตัวขึ้นมานอนก่อนเพราะไม่สบาย ยองโฮเข้าใจว่าที่ห้องไม่ได้ล๊อคก็เพราะเพื่อนเขาที่อยู่ข้างในลืมล๊อคห้องก็เข้ามาไม่ได้เอะใจอะไร

     

                สิ่งอื่นนอกจากการที่ยองโฮจำได้ว่าห้องไม่ได้ล๊อค คือเขาจำได้ว่ามีอะไรกับใครสักคน ซึ่งก็ไม่ต้องคิดอะไรแล้วว่าเขามีอะไรกับใคร ปัจจุบันตอนนี้มันบอกชัดเจนอยู่แล้วว่าคนที่เขามีสัมพันธ์ทางกายด้วยคือแทอิลอย่างแน่นอน ร่างกายเขาที่มีรอยขีดข่วน การที่แทอิลเดินอย่างทุลักทุเล แทอิลต้องรู้สึกเจ็บบริเวณสะโพกไม่อย่างงั้นคงไม่เดินแบบนั้น และแทอิลร้องตอนที่จะลุกจากเตียง มันต้องเป็นเพราะผลจากการปวดบริเวณนั้นแน่

     

                ถ้าอย่างที่เขาคิดในใจตอนแรกว่าเพื่อนของตนเข้ามาก่อนหน้า ถ้าสมมติยองโฮไม่เข้าห้องผิด คนที่เขามีอะไรด้วยก็ต้องเป็นเพื่อนของตัวเอง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีอะไรกับเพื่อนคนนี้ คนที่เขาพูดคุยด้วยนับครั้งได้ เป็นเรื่องที่ยองโฮไม่สามารถอธิบายได้ว่าการที่เขามีอะไรกับแทอิลมันเป็นเพราะอะไร มันคงอาจมีคำตอบเดียวว่า เพราะทั้งคู่เมา

     

                “เรานึกว่ามันเป็นความฝันซะอีก ทำไมมันถึงเป็นเรื่องจริงไปได้”

     

                มือบางสองข้างปิดใบหน้าเพราะความกลุ้มกับเรื่องที่เกิดขึ้น เรื่องนี้จะโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง แทอิลควรจะเชื่อมั่นในคำสัญญาที่ให้ไว้กับคนรักเรื่องที่จะไม่ดื่ม ถ้าเขาไม่ใจอ่อนเพราะเรื่องเพื่อน มันก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ สิ่งที่รู้สึกผิดยิ่งกว่าการผิดสัญญาคือการมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งทางกายกับคนที่ไม่ใช่คนรักของตนเอง

     

                ครั้งแรกของเขา ควรจะเก็บไว้ให้กับคนที่เขาอยากมอบให้อย่างคนรัก ไม่ใช่กับเพื่อนร่วมห้องสมัยมัธยมที่แทบจะไม่เคยมองหน้ากัน

     

                “ฉันขอโทษนะแทอิล เรื่องเมื่อคืน”

     

                มันไม่ใช่ความผิดของยองโฮซะทีเดียว แต่ยองโฮก็เป็นคนฝ่ายขอโทษก่อน เพราะเหมือนว่าคนที่เริ่มจะเป็นตัวเอง คนที่เป็นฝ่ายกระทำก็คงจะเป็นตัวเขาเพราะดูจากร่องรอยแล้ว คนที่เป็นฝ่ายถลำลึกมากกว่าคือยองโฮเอง

     

                “เราก็ขอโทษนายเหมือนกัน”

     

                แทอิลเองก็ต้องขอโทษเช่นเดียวกัน แทอิลเองก็มีส่วนผิดในเรื่องนี้ ซึ่งก็ผิดกันคนละครึ่งกับการไม่รู้จักห้ามใจตัวเองเมื่อคืนในทุกเรื่อง 

     

                “เอาแบบนี้นะยองโฮ เรื่องเมื่อคืนเราจะทำเป็นไม่รู้ เหมือนกับเมื่อคืนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราสองคนไม่ได้มีอะไรกัน เราแค่นอนห้องเดียวกันเฉยๆ ตกลงไหม”

     

                ฟังแล้วดูเหมือนมันช่างง่ายดาย แต่จะให้ทำจริงมันไม่ได้ง่ายเหมือนพูด แม้แทอิลจะพูดและตัดสินใจแบบนั้น แต่เขารู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีทางที่จะลืมหรือทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ มันจะติดอยู่ในใจและความทรงจำของเขาตลอดไป ยองโฮเองอยากจะเห็นด้วยและรู้สึกอย่างที่แทอิลว่า แต่มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับที่แทอิลคิด มันไม่ง่ายหรอกที่จะทำแบบนั้น

     

                “จะเอาแบบนั้นเหรอแทอิล”

                “มันมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้หรือยองโฮ นายอยากให้คนอื่นรู้หรือว่าเราสองคน.. ที่สำคัญคือนายมีคนรักแล้ว แล้วเราเองก็มีคนรักอยู่แล้ว”

     

                หากเรื่องระหว่างเขาสองคนถูกคนอื่นล่วงรู้มันก็ยากที่จะอธิบาย แม้คนรักของแทอิลจะเป็นคนผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่ง แต่คนรักของแทอิลก็มีหัวใจ หากรู้ว่าคนรักของเราไปมีอะไรกับคนอื่นจะรู้สึกเช่นไร ยิ่งคนรักของยองโฮยิ่งแล้วใหญ่ เป็นถึงดาราดัง เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ทุกคนต่างรู้ว่ายองโฮคือคนรักของเขาคนนั้น หากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ไป คนที่จะเสียไม่ใช่ยองโฮ แต่เป็นคนรักของเขาต่างหาก

     

                ยองโฮเองก็คิดไม่ออกว่าอะไรที่คือทางเลือกอื่นที่ดีกว่าที่แทอิลบอก มันอาจมี แต่ตอนนี้ไม่รู้

     

                “นายใส่เสื้อผ้าแล้วก็กลับห้องนายได้แล้ว เราจะไปอาบน้ำแล้ว”

     

                กล่าวจบร่างบางก็พยายามดันตัวลุกขึ้นจากเตียง ในครั้งนี้ไม่มีเสียงร้องว่าปวดเพียงใด แต่สีหน้าที่ทุกข์ทรมานก็ทำให้คนข้างๆรู้ว่ามันยากลำบากแค่ไหนกับการต้องทนความเจ็บนั้น ยองโฮอยากอาสาช่วยพยุงแทอิลเข้าห้องน้ำ แต่เขาก็ไม่กล้าจะแตะต้องตัวแทอิล เพียงแค่จำทนเห็นแทอิลเดินเข้าห้องน้ำไปแค่นั้น

     

                มันควรมีคำพูดที่มากมายกว่านี้สำหรับเรื่องของทั้งคู่ แต่มันช็อคเกินกว่าจะคิดอะไรออก หัวสมองมันหนักอึ้งไปหมด ยองโฮทำได้เพียงทำตามความต้องการของอีกฝ่ายคือรีบออกจากห้องนี้ไปให้เร็วก่อนคนขอร้องจะออกมาจากห้องน้ำเป็นเรื่องดีที่สุด จึงลุกจากเตียงไปหยิบเสื้อผ้าที่ถอดทิ้งไว้ข้างเตียงมาสวมใส่แล้วเดินออกจากห้องหมายเลข 616 ไป

     

                โลกของคนเราไม่ได้เป็นเส้นตรง มันเป็นทรงกลม ที่ให้หาจำนวนรัศมีเท่าไรก็ไม่มีทางตอบได้ว่ามีรัศมีกี่เส้น มันก็เหมือนการตัดสินใจของคน  ไม่ได้มีเส้นทางเพียงทางเดียวที่จะนำไปสู่ปลายทาง หรืออาจไม่ได้มีจุดหมายปลายทางเดียวที่เป็นจุดสิ้นสุดของเรื่องนี้

     

     

     

     

    ----- The Way We Are -----

     

               

     

     

                เมื่อลงมาถึงห้องอาหารของโรงแรมก็เห็นกลุ่มเพื่อนทั้งห้าคนนั่งรวมกลุ่มทานอาหารเช้ากันพร้อมหน้าพร้อมตาหมดแล้ว แทอิลลงมาช้าที่สุดก็เพราะมัวแต่ใช้เวลาสำรวจร่างกายตัวเองอยู่ในห้องน้ำเสียนาน นับว่าเป็นโชคดีอยู่บ้างที่คนที่เขามีอะไรด้วยเมื่อคืนไม่ได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนร่างกายตัวเองมาก มีก็แต่ความเจ็บปวดภายในที่ทิ้งเอาไว้ให้ อีกทั้งยังฝึกเดินให้เป็นปกติเหมือนเดิมจะได้ไม่มีใครสงสัย

     

                “แทอิล แกตื่นสายมากกกกกก”

     

                พอเห็นหน้าเพื่อน คนที่ชอบตื่นเช้าขึ้นมาสวดมนต์ทำสมาธิตอนเช้าอย่างซึลกิอดจะบ่นแทอิลที่มาจนเขาเกือบจะเก็บชุดอาหารเช้าไปแล้ว

     

                “เมื่อคืนดื่มไปเยอะ คนดื่มไม่เก่งอย่างเราก็ต้องมีผลอะไรกับร่างกายบ้างสิ”

     

                เป็นคำโกหกที่ถูกเตรียมเอามาไว้สำหรับตอบคำถามอยู่แล้ว เขาเลื่อนเก้าอี้ออกจากใต้โต๊ะแล้วค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้อย่างระมัดระวัง ปกติแทอิลเป็นคนกินอาหารเช้าทุกวันตามนิสัย ยิ่งเป็นชุดอาหารเช้าแบบอเมริกันที่ชอบก็ยิ่งอยากกินไวๆ แต่ในเช้านี้ไม่เป็นอย่างที่เคย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เขาชอบมากที่สุดวางอยู่ตรงหน้า ก็ไม่มีกระจิตกระใจจะกิน แต่หากเขาไม่ตักเข้าปากไป เพื่อนที่รู้นิสัยเรื่องการกินอาหารเช้าของเขาที่ถือเป็นเรื่องสำคัญ คงจะถูกถาม และเขาไม่มีข้ออ้างอะไรจะมาโกหก จำต้องกินเข้าไปอย่างฝืนทน

     

                “แทล ทำไมหน้าแกเหงื่อออกเยอะขนาดนี้!

     

                เพื่อนสาวที่ใส่ใจคนอื่นเสมอที่นั่งข้างๆถามถึงความผิดปกติบนใบหน้าของแทอิล ทั้งๆที่ห้องนี้อากาศมันก็ถือว่าเย็นสบายไม่ควรมีเหงื่อ เจ้าตัวก็ไม่ได้รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นใบหน้าตัวเอง อยากแค่กินข้าวให้มันเสร็จๆไปสักทีก็พอ

     

                “สงสัยฤทธิ์เหล้ายังคงอยู่มั้ง”

                “แกแพ้เหล้าหรือเปล่าเนี่ยแทล ไม่ได้แค่เหงื่อออกนะ สีหน้าแกก็ดูไม่ดีด้วย”

     

                ทั้งๆที่พยายามทำตัวให้ปกติแต่เพื่อนของเขาคงช่างสังเกตมากเกินไป ไม่รู้จะพูดยังไงเจ้าตัวก็เลยได้แต่นั่งปาดเหงื่อบนใบหน้าแล้วยกน้ำขึ้นดื่มทดแทนเหงื่อที่เสียไป

     

                “เออพวกมึง ตอนบ่ายกูต้องไปเข้าเวรที่โรงบาลนะ รุ่นพี่เขาขอแลกเวรอ่ะ.. แทลจะกลับโซลพร้อมกันไหม”

     

                โดยองเห็นเรื่องสุขภาพของแทอิลดูไม่ค่อยดีก็นึกได้เรื่องต้องกลับไปทำงานตอนบ่าย  เพราะว่าแทอิลไม่ได้ขับรถมา ขามาติดรถโดยองมาด้วย เลยถามว่าขากลับเพื่อนจะกลับด้วยกันอย่างตอนมาหรือไม่ เห็นทีไม่ใช่แค่พาไปส่งบ้าน ควรจะพาเพื่อนไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลหน่อยคงดี

               

                “อือๆ กลับด้วยๆ”

     

                หากวนเวียนเที่ยวต่อกับเพื่อนกลุ่มที่เหลือ อาจจะต้องเจอกับคนที่แทอิลไม่อยากจะเจอ ดีที่เพื่อนคุณหมอคนเก่งจะกลับโซลเร็วพอดี เขาเลยขอกลับด้วยไปเลย

     

                “อ้าว ทำไมพวกนั้นลงมากินข้าวอีกรอบล่ะ”

     

                เสียงทักของยูตะทำให้คนในกลุ่มหันรวมสายตากันมองไปยังกลุ่มที่ยูตะทักขึ้น กลุ่มชายหน้าตาดีที่พวกเขาเห็นมาแล้วรอบหนึ่งเมื่อครู่ใหญ่ๆแล้วก็เพิ่งจะจากไปไม่นาน เดินกลับเข้ามานั่งในห้องอาหารอีกครั้ง แต่คราวนี้เหมือนว่าจะมีคนอีกคนที่ทั้งสี่คน ยกเว้นแทอิลที่ลงมาทีหลัง ไม่เห็นก่อนหน้าเดินมาด้วย คือ ไอ้หล่อตัวสูง

     

                พอเห็นว่ามีบุคคลที่แทอิลไม่ควรพบเจออยู่ในที่นี้ก็รีบหันกลับมาตั้งใจกินอาหารของตนต่อ อยากจะรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

                แต่เหมือนอยากจะหนีก็ยิ่งหนีไม่พ้น

     

                “พวกนายนี่ยังนั่งกินข้าวเช้ากันไม่เสร็จอีกรึไงเนี่ย ฉันไปตั้งนานแล้ว กลับมาอีกรอบก็ยังเจอพวกนาย”

     

                คนผิวเข้มเดินเข้ามาทักทายกับกลุ่มของแทอิล  ไม่ใช่เพียงแค่คนเดียว แต่กลับเป็นทั้งกลุ่มที่เดินมาทัก แทอิลทำเป็นไม่สนใจกับสิ่งรอบข้างนอกจากจานอาหารตรงหน้าที่ตอนนี้ก็ใกล้หมดตามความต้องการแล้ว

     

                “ก็แทอิลเพิ่งจะลงมาก็เลยนั่งรอแทอิลกินข้าวเนี่ย แล้วทำไมแกกลับมาอีกอ่ะจงอิน”

     

                แทยงที่เป็นคนที่สนิทกับกลุ่มนั้นมากที่สุดถามต่อ คนทั้งสี่ที่เข้ามาพูดคุยต่างชี้นิ้วไปยังร่างสูงที่ยืนตักอาหารอยู่ตรงซุ้มอาหารเช้า

     

                “ไอ้ยองโฮมันตื่นสายยังไม่ได้กิน โดนลากลงมานั่งเป็นเพื่อน”

                “นั่งด้วยกันป่ะ ยองโฮจะได้นั่งกินข้าวเป็นเพื่อนแทอิล”

     

                แทอิลสะดุ้งเบาๆเมื่อเพื่อนตัวเล็กเอ่ยปากชวนอีกกลุ่มนั่งร่วมโต๊ะด้วย เขาจะไม่รู้สึกเช่นนี้หากแทยงไม่พูดว่าคนที่เขาอยากหนีห่างให้ไกลจะมานั่งกินข้าวเป็นเพื่อน แทอิลพอจะเข้าใจว่าการที่ทั้งโต๊ะมีตนเท่านั้นที่ต้องนั่งกินอยู่คนเดียวมันอาจทำให้รู้สึกแปลกๆ แต่เขาก็ไม่ได้เหงาขนาดจะต้องให้ใครอีกคนมานั่งกินข้าวเป็นเพื่อน แค่มีเพื่อนนั่งคอยเขาก็พอใจแล้ว

     

                คนที่ทำให้เพื่อนลำบากต้องลงมานั่งกินข้าวด้วยเดินมาที่โต๊ะ แม้จะมีโต๊ะโล่งๆให้วางจานอาหาร แต่มันไม่มีที่ว่างให้คนหน้าหล่อนั่ง เพราะเดิมที่มีคนนั่งหกคน กับมาใหม่อีกสี่คนก็เป็นสิบคน โต๊ะถึงได้หาที่นั่งว่างได้ยากแล้ว

     

                “อ้าว ไอ้หล่อผู้มีจุดยืนในสังคม ไม่มีที่นั่งเว้ยเห้ย”

     

                เสียงแซวจากหนุ่มคนจีน พ่อสื่อความรักของคนหน้าหล่อ เรียกเสียงหัวเราะจากคนฟังได้เป็นอย่างดี

     

                “มานั่งนี่ก็ได้ยองโฮ เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปเก็บของที่ห้องพอดี”

     

                โดยองเป็นฝ่ายเสียสละที่นั่งให้คนไม่มีที่ เพราะยังไงตัวเองก็กินเสร็จเรียบร้อยแล้ว รวมถึงตัวเองก็ต้องรีบเตรียมตัวกลับในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าพอดี แต่ดูเหมือนคนที่ได้รับน้ำใจนั้นสีหน้ากลับไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด คนที่นั่งข้างคนเสียสละก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน

     

                ยองโฮเดินอ้อมโต๊ะไปนั่งตรงที่นั่งว่างที่โดยองลุกให้นั่งอย่างเกร็งๆ เป็นเวลาเดียวกันกับที่คนข้างๆตัวเองอย่างแทอิลรีบจิ้มไส้กรอกซึ่งเป็นอย่างสุดท้ายในจานเข้าปากอย่างรวดเร็ว

     

                “งั้นเดี๋ยวไปเก็บของที่ห้องนะ เดี๋ยวโดยองรอ”

     

                แทอิลรีบใช้ข้ออ้างเดียวกับเหตุผลของโดยองลุกขึ้นจากโต๊ะ เดินออกจากห้องอาหารไป เพราะไม่อยากทนอึดอัดนั่งข้างคู่กรณีเมื่อคืน เพราะรู้ว่าคนข้างๆก็คงรู้สึกไม่อยากอึดอัดเช่นเดียวกัน

     

     

     

     

     

    – The Way We Are –

     

     

     

     

     

                จากเดิมทีที่ตอนแรกตกลงกันเอาไว้ว่าขามาคุณหมอเจ้าของรถจะเป็นคนขับ ส่วนขากลับคนที่ติดรถมาด้วยตอนแรกจะขับกลับให้ แต่พอคุณหมอเห็นอาการเพื่อนรักที่มีทีท่าจะขับกลับไม่ไหวก็เลยต้องขับเองอย่างช่วยไม่ได้

     

                “ท่าทางแกจะแฮงก์หนักนะแทล”

     

                เพื่อนรักที่กำลังขับรถอยู่หันมามองหน้าเพื่อนที่นั่งข้างๆก็รู้สึกสงสาร แถมยังรู้สึกผิดที่เชียร์ให้เพื่อนดื่มเมื่อคืน หากรู้ว่าดื่มแล้วจะแย่ขนาดนี้ก็คงจะไม่ให้ดื่มหรอก

     

                “โอย หายแฮงก์แล้ว ง่วงนอนเฉยๆ”

                “เออๆ แกก็นอนไปเหอะ เดี๋ยวถึงบ้านแกแล้วจะปลุก”

     

                เจ้าของรถสั่งให้แทอิลนอนหลับพักผ่อน แทอิลปรับเบาะให้เอนจะได้สบายขึ้น เปลือกตากำลังจะปิด แต่โทรศัพท์ที่สั่นครืดอยู่ในกระเป๋ากางเกงก็ทำให้ต้องลืมตาขึ้นเพื่อรับสาย

     

                คนเก่งของแทล

     

                “สวัสดีครับฮันซล”

     

                แทอิลทักทายปลายสายอย่างสุภาพเหมือนเช่นเคย แม้ปลายสายจะเป็นคนรักที่สนิทสนมคุ้นเคยกันมาสามปี แต่เขาก็ชอบที่จะทักทายแบบนี้ อย่างน้อยก็เป็นการให้เกียรติคนรักในทางหนึ่ง

     

                (“อยู่กับเพื่อนหรือเปล่า คุณซลโทรมากวนไหม”)

                “ก็อยู่บนรถกับโดยอง ตอนนี้กำลังจะกลับโซลแล้ว”

                (“อ้าวทำไมรีบกลับจัง นึกว่ากลับเย็นๆเสียอีก”)

                “โดยองต้องกลับไปทำงานตอนบ่าย แทลไม่อยากให้โดยองกลับคนเดียวก็เลยนั่งรถกลับมาเป็นเพื่อน.. ทำไมเมื่อคืนคุณซลไม่โทรหาแทลเลย ตอนเช้าก็ไม่โทรมา”

     

                คนที่นั่งฟังอยู่ก็อดจะยิ้มไม่ได้เมื่อเพื่อนกลัวตัวเองจะต้องเหงาที่ขับรถคนเดียว ที่บอกว่าเป็นห่วงว่าโดยองจะเหงามันก็ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด ส่วนหนึ่งมันก็เป็นข้ออ้างที่จะไม่ทำให้ฮันซลสงสัยว่าทำไมถึงรีบกลับนัก แทอิลอดจะน้อยใจแฟนหนุ่มไม่ได้ที่เมื่อคืนไม่ยอมโทรศัพท์มาหา เพราะปกติก่อนนอนจะต้องคุยกัน อย่างน้อยแค่ได้ยินคำว่าฝันดีก็พอใจ ยิ่งการที่ไม่โทรมาเมื่อคืน คิดแล้วพาลอยากจะโกรธคนรัก หากเมื่อคืนฮันซลของแทอิลโทรมาสักหน่อย เสียงโทรศัพท์คงจะขัดจังหวะหรือเรียกสติแทอิล เรื่องระหว่างแทอิลกับยองโฮคงไม่เกิดขึ้น 

     

                (“ก็แทลไปสังสรรค์กับเพื่อน คุณซลก็ไม่อยากจะขัดจังหวะนี่นา แต่ความจริงถ้าแทลอยากจะคุยกับคุณซลแล้วทำไมไม่โทรมาหาล่ะ หืม?”)

     

                “...”

                (“อย่างอนคุณซลเลยนะ แทลแทลของคุณซล”)

     

                ได้ยินประโยคที่คนรักชอบพูดกับเขา อย่างอนคุณซลเลยนะ แทลแทลของคุณซล แทอิลนึกออกว่าในตอนนี้อีกฝ่ายจะทำหน้ายังไงตอนพูด แต่ภาพที่เขานึกก็ดันมีภาพเมื่อเช้า ภาพของยองโฮกับเขาบนเตียงลอยมาซ้อนทับ ทำเอาใจกระตุกวูบ

     

                (“เงียบเลยนะแทล งอนคุณซลจริงๆใช่ไหม”)

     

                ทั้งๆที่บอกเพื่อนร่วมห้องสมัยมัธยมที่เขาพลั้งเผลอมีความสัมพันธ์ไปโดยไม่ตั้งใจว่าให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เขาเองกลับคิดไม่ตกถึงเรื่องนี้ ยิ่งการได้คุยกับฮันซลทำให้เขาอยากจะร้องไห้ มันช่างน่าละอายใจที่เขายังคงพูดคุยกับคนรักอย่างปกติทั้งๆที่ตัวของเขาไม่เหมือนเดิม

     

                (“แทล ฟังคุณซลอยู่หรือเปล่า”)

                “คุณฮันซล..”

                (“มีอะไรหรือเปล่าแทล ทำไมเรียกชื่อคุณซลแบบนั้น”)

     

                การที่เขาจะเรียกชื่อคนรักเสียงอ่อนอย่างเมื่อครู่ไม่ใช่เรื่องที่แทอิลทำบ่อย เฉพาะตอนที่ต้องการจะอ้อนหรืออยากได้ความช่วยเหลือจากเจ้าของชื่อ คนฟังปลายสายที่รู้ใจอย่างดีก็ต้องถามถึงสาเหตุที่แทอิลเรียกชื่อเขาอย่างนั้น

     

                “ไม่มีอะไรหรอก แต่ถึงจะมีก็.. คงไม่บอก”

                (“เดี๋ยวนี้หัดมีความลับนะ! คอยดูนะ คืนนี้จะต้องรู้ให้ได้ว่าที่เรียกชื่อคุณซลแบบนี้มีเรื่องอะไร”)

                “คืนนี้หรอ?”

                (“คืนนี้กะว่าจะกลับไปนอนที่บ้าน เตียงคุณซลมันกว้าง นอนคนเดียวอ้างว้างแย่.. คืนนี้มานอนกับคุณซลนะ ได้ไหม”)

                “คิดว่าแทลจะตอบคุณซลว่ายังไงละ”

     

                คำถามของแทอิลทำให้คนฟังถึงกับขำออกมา บางทีคุณซลของแทอิลไม่ควรถามเลยด้วยซ้ำ ก็รู้อยู่ว่าเขาจะตอบว่ายังไง เขาเคยปฏิเสธคำขอน่ารักๆจากผู้ชายที่เขารักรองจากพ่อได้ซะที่ไหน

     

                (“งั้นคุณซลจะรีบกลับบ้านไปทำอาหารรอแทลแทลเลย เย็นนี้เจอกันนะ”)

                “ครับคุณซล แทลวางสายแล้วนะ กวนเวลาคุณซลทำงาน”

     

                พอร่ำลากันเสร็จแทอิลก็วางสายแล้ววางโทรศัพท์ไว้กับตักก็หลับตาลงทันที คนขับรถหันมามองหน้าเพื่อนตัวเองที่พอได้คุยกับคนรักเสร็จก็ดูจะหลับสบายก็พลอยมีความสุขไปด้วย หารู้ไม่ว่าในใจของคนที่หลับตาลงนั้นมีความสุขซ่อนอยู่เพียงแค่เล็กน้อย ตาที่ปิดทั้งสองข้างก็ควรเรียกว่าข่มตาหลับเพื่อจะได้รู้สึกว่าอยากนอนมากกว่า

     

                หลับตาลงกี่ครั้งเห็นภาพหลอนในใจปรากฏทุกครั้งจะให้นอนได้อย่างเต็มอิ่มได้อย่างไรกัน

     

     

     

     

     

    – The Way We Are –

     

     

     

     

     

                หลังกลับงานเลี้ยงรุ่นเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ยองโฮก็แทบจะไม่ติดต่อใครอีกเลย แม้กระทั่งเพื่อนสนิทที่ปกติต้องมาตามรังควานวันหยุดส่วนตัวของเขาตอนสุดสัปดาห์ก็จำต้องปฏิเสธไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอเซฮุนเป็นบุคคลที่อยากหลีกเลี่ยงการพบเจอมากที่สุด

     

                เช้าหลังจากวันปาร์ตี้เลี้ยงรุ่น ยองโฮกลับไปที่ห้องหมายเลข 919 ซึ่งเป็นห้องพักที่แท้จริงของตัวเอง ก็พบเจอเพื่อนสนิทที่นอนห้องเดียวกันนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องอย่างสบายใจ เขาตั้งใจจะเข้าไปอาบน้ำอาบท่า จะได้ไปหาอะไรกินเพราะรู้สึกว่ากระเพาะเรียกร้องอาหารให้ลงไปตกถึงท้องบ้าง แต่ก็ดันโดนเซฮุนซักไซ้ว่าเมื่อคืนไปนอนที่ไหนมา ยองโฮไม่สามารถบอกความจริงได้ว่าเมื่อคืนไปนอนที่ไหน หากบอกไปเจ้าเพื่อนแสนฉลาดเขาคงกัดไม่ยอมปล่อยว่าเหตุอะไรถึงต้องไปนอนที่นั่น จึงต้องบอกว่าเมื่อคืนเมา พอไปเดินชายหาดก็เผลอหลับไปตรงนั้นจนถึงเช้า เป็นข้อแก้ตัวที่แย่มาก เซฮุนก็ไม่อยากจะเชื่อกับคำพูดของเขา แต่เขาก็เปลี่ยนเรื่องโดยการขอตัวไปอาบน้ำ วันนั้นเซฮุนก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก

     

                แต่หลังจากวันนั้นประมาณสองสามวัน เซฮุนก็โทรมาถามเขาอีกครั้งว่าสรุปแล้วคืนนั้นไปนอนที่ไหนมา เพราะไม่เชื่อเรื่องที่บอกไปว่าไปนอนที่ชายหาด เขาอ้ำอึ้งไม่รู้จะโกหกเช่นไร สุดท้ายแล้วเซฮุนก็พูดมาว่า คืนนั้นแอบหนีเที่ยวใช่ไหมทำเอาแทบจะสำลักโกโก้ที่กำลังดื่มอยู่ เพื่อนสนิทของยองโฮทุกคนรู้ว่าแฟนของยองโฮไม่ค่อยชอบเรื่องที่ยองโฮออกไปเที่ยวกลางคืน แต่ที่ยองโฮโกหกก็คงเพราะว่าไม่กล้าบอกเพื่อน กลัวเพื่อนจะไปฟ้องคนรักของตน พอเซฮุนบอกแบบนี้ ยองโฮก็ควรจะเออออยอมรับไปจะได้จบเรื่อง แต่ก็ไม่อยากจะยอมรับในสิ่งที่ไม่ได้ทำ ยังยืนยันว่าเมานอนที่ชายหาดจริงๆ แล้วก็บอกไปว่าหากจะโทรมาสงสัยเรื่องนี้อีกก็จะเลิกคุยด้วย เพื่อนจอมจับผิดเลยเลิกคุย

     

                วันนี้ วินวิน เพื่อนสนิทอีกคนของยองโฮแวะมาที่บ้านแต่เช้า เพราะโดนเพื่อนในกลุ่มอีกสามคนไหว้วานให้มาดูความเป็นอยู่ไอ้หล่อประจำกลุ่มที่หายศีรษะไม่พบปะเพื่อนฝูงเหมือนเคย

     

                “จะมาก็ไม่บอก นี่ถ้ามึงมาช้าอีกนิดเดียวนี่ไม่ได้เจอกูอย่างที่อยากเจอแน่”

                “เออๆ ไอ้หล่อผู้ขยันทำงาน”

     

                แขกผู้มาเยือนนั่งรอกินอาหารเช้าบ้านเพื่อนสุดหล่อที่โต๊ะอาหาร ระหว่างนั่งรออาหารเช้าจากแม่บ้าน ยองโฮก็นั่งทำงานที่เอากลับมาทำที่บ้านเมื่อวานแต่เผลอหลับจนไม่ได้ทำ เลยรีบมาเร่งปั่นตอนเช้า วินวินเห็นยองโฮนั่งทำงานก็ไม่อยากจะกวน เลยหยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะมาอ่านฆ่าเวลา

     

                “เจออีกแล้ว ผู้ชายท้องได้! โห.. โลกเรามันเป็นอะไรกันไปหมดวะ น่าดีใจแทนผู้หญิงดีไหมวะเนี่ย ได้ผู้ชายมาท้องแทนเนี่ย”

     

                หัวข้อข่าวที่น่าสนใจจนวินวินถึงกับต้องอ่าน รวมถึงแบ่งปันความเห็นส่วนตัวให้เพื่อนที่นั่งตั้งใจทำงานฟัง ยองโฮถึงกับชะงักกับพาดหัวข่าว นึกถึงเรื่องคืนนั้นที่เขาเผลอไปมีอะไรกับเพื่อนสมัยมัธยมอีกจนได้ ทั้งๆที่คิดว่าอยากจะลืมแต่ก็พาลคิดถึงได้ทุกวัน

     

                “ผู้ชาย.. จะท้องได้ไง”

                “จะไปรู้ได้ไงวะ มึงอยากรู้ก็ไปถามไอ้หมูแจดิ มันคงให้คำตอบมึงได้นะถ้ามึงอยากรู้”

     

                อยู่ๆจะให้เขาไปถามเรื่องแบบนี้กับเพื่อนผู้มีฉายาว่าหมูแจ หรือ จองแจฮยอนเพื่อนน้องเล็กของกลุ่ม คงโดนสงสัยเข้าให้ว่าอยากจะรู้ไปทำไม ในเมื่อไอ้เรื่องผู้ชายท้องได้มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตคนหน้าหล่อเสียหน่อย ถึงจะบอกว่าถามประดับความรู้ไว้เฉยๆ แต่ก็ควรเงียบปากลดความอยากรู้ไปจะดีกว่า ถ้าจองแจฮยอนเกิดฉลาดแบบโอเซฮุนขึ้นมา ชีวิตจะวุ่นวายมากไปใหญ่

     

                “ไอ้ยองโฮ ถามจริงๆ ในฐานะเพื่อนที่ช่วยแกได้เกือบจะทุกเรื่องนะ”

                “อะไร”

                “มึงไม่ได้ไปไข่ทิ้งไว้ที่ไหนใช่ไหม”

     

                !!!

     

                อยากจะสำลักน้ำลายเหมือนที่เคยสำลักโกโก้ ทำไมเพื่อนแต่ละคนมันดูเหมือนจะฉลาดจนน่ากลัว เซฮุนที่ว่าพูดตรงแล้ว วินวินนี่ตรงจนจี้ใจดำมากกว่า ยองโฮว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรที่ผิดแปลกต่างไปจากเดิม แต่ทำไมถึงได้ถูกสงสัยอะไรแบบนี้เข้าให้ได้

     

                ใจเย็นเข้าไว้ เนียนเข้าไว้ ซอยองโฮ

     

                “ไอ้ฮุนเล่าแล้วก็ใช้ให้มึงมาถามกูสินะ”

                “ให้สารภาพตรงๆก็ใช่.. กูเองก็อยากจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับที่ไอ้ฮุนมันเล่านะ ไอ้ฮุนบอกว่าช่วงนี้มึงอ่ะไม่ค่อยรับสายมัน เหมือนจะพยายามหลบหน้ามันเหมือนกำลังปิดบังอะไร มันเลยวานให้กูมาหามึงถึงนี่เพื่อถามมึง อีกอย่างกูเองก็อยากรู้ว่าสรุปมึงมีเรื่องอะไรกันแน่”

     

                คิดแล้วไม่ผิดว่าเซฮุนต้องใช้ให้วินวินมา ก็ในเมื่อถามด้วยตัวเองไม่ได้เรื่อง เซฮุนก็ต้องใช้ตัวช่วยอย่างวินวินทุกครั้งไป วินวินเป็นคนประเภทที่มีความน่าไว้วางใจสูงและเป็นตัวช่วยชั้นดีในยามลำบาก เวลาที่มีเรื่องหรือปัญหาอะไร หากบอกวินวินทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี หากมีความลับบอกวินวิน เรื่องก็จะไม่หลุดไปถึงคนอื่น และหากจะให้วินวินไปสืบเรื่องอะไร ก็จะได้ข่าวคราวกลับมาทุกคราโดยเฉพาะอย่างสุดท้าย โอเซฮุนกับคิมจงอินมักจะใช้บริการบ่อย หากให้ยองโฮพูดตรงๆก็คือ  ‘อยากเสือกเรื่องชาวบ้าน แต่ดันเสือกไม่ได้เรื่อง ถึงต้องใช้คนอื่นไปเสือกแทน

     

                “มึงกลับไปบอกไอ้ฮุนกับไอ้ดำ แล้วถ้าไอ้หมูแจสงสัยก็บอกไอ้หมูแจมันด้วย ว่ากูไม่ได้มีเรื่องอะไรปิดบัง กูไม่ได้แอบหนีเที่ยวกลางคืนโดยไม่บอกเตนล์ และกูไม่ได้ไปไข่ทิ้งไว้ที่ไหน โอเคนะ”

     

                วินวินได้ฟังอย่างชัดเจนก็เลือกจะเชื่อเจ้าของข่าวลือที่เคลียร์มันด้วยตัวเองมากกว่าคำสันนิษฐานมั่วๆของไอ้เพื่อนจอมมั่วซั่ว เพราะตัวเองรู้จักนิสัยยองโฮดีมากกว่าใคร ถ้าถามตรงๆ ยองโฮก็จะตอบตรงๆไม่โกหก ครั้งนี้มันก็คงเป็นเหมือนทุกครั้งที่ยองโฮคงไม่โกหกเขาหรอก

     

     

                แต่เคยได้ยินไหมว่า คนที่ไว้ใจ กลับเป็นคนที่ร้ายที่สุด

     

     

     

     

     

     

    - The Way We Are -

    - TBC –

     

     

              สวัสดีค่ะทุกคน นี่เป็นฟิคยาวจอห์นอิลเรื่องแรกของเรา “The Way We Are” ถ้าถามว่าเรื่องมันจะฟีลไหน ก็อาจจะเป็น.. รักที่หวานบ้าง อบอุ่นบ้าง หรือว่าดราม่าบ้างละมั้งคะ เนื้อเรื่องอาจจะเนิบนาบตามสไตล์เรา ยังไงก็อยากให้ลองติดตามกันไปเรื่อยๆ อยากให้อยู่ด้วยกันจนถึงตอนจบเลยนะคะ
                     ภาษาตรงไหนแปลกๆไปก็ขออภัยด้วยนะคะ จะพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นต่อไปค่ะ

                     2017.12.27 - Nilbackgo

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×