ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : แค่.....
            ระยะทางระหว่าตึกที่คนช่างฝันเรียนอยู่กับตึกหมวดวิชาภาษาต่างประเทศซึ่งเป็นที่ประกาศผลสอบอยู่ห่างไกลกันอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามคนช่างฝันก็ยังคงเลือกใช่เส้นทางอ้อมเล็กน้อย โดยมีจุดประสงค์หนึ่งก็เพื่อฆ่าเวลาอีกราวๆสิบห้านาทีกว่าๆก่อนที่จะประการผลสอบชิงทุน  แต่อันที่จริงแล้วจุดประสงค์หลักของเธอนั้นคือการที่จะได้เดินผ่านห้องของชมรมดนตรีสากล  เพื่อจะได้แอบมองใครคนหนึ่งที่เธอรู้จักดี
            คนช่างฝันมองผ่านหน้าต่างเข้าไปในห้องของชมรมที่เธอสังกัดอยู่ เธอพบกับภาพๆหนึ่งที่เธอคุ้นเคย  ภาพเดิมๆของวงดนตรีวงหนึ่งกำลังฝึกซ้อมเพลงกันอย่างเมาส์มันส์ 
ภาพของนักดนตรีตัวเก็งของโรงเรียน สวมชุดเครื่องแบบโรงเรียนเหมือนๆกัน แสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแยกออกได้ยาก เสียงกีต้าร์จากพี่ภาคภูมิ เสียงโซโลคีบอร์ดจากพี่ฟ้าทำให้บทเพลงดำเนินไปอย่างรวดเร็ว กลับถูกกระหน่ำด้วยเสียงเบสจากพี่อาร์มยิ่งทำให้จังหวะของดนตรีจับใจมากยิ่งขึ้น  แต่ยังคงพ่ายแพ้ต่อเสียงเพลงที่ขับออกมาจากกล่องเสียงของนักร้องนำซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆของคนช่างฝัน ภาพแห่งความสุข สนุกสนานเหล่านั้นมิไช่เป็นเหตุผลที่ทำให้เธออยากเดินผ่านมา ในเวลานี่ หากเป็นเพราะเสียงกลองจากพี่เฟ่ มีไว้เพื่อกำกับจังหวะที่คอยกำกับหัวใจของเธอให้เต้นไปกับทวงทำนองของบทเพลง
                       
                                      ได้แค่แอบมอง แอบมองเธอก็พอแล้ว
                                      ได้แค่แอบฟัง แอบฟังเสียงหัวเราะเธอฉันก็สุขใจ
                                      ไม่ขอหวังไปมากกว่านี้ ไม่ขอแอบคิดไปไกล
                                      ไม่ขออะไร ขอแค่นี้ก็พอ
        คนช่างฝันแอบมองมือกลองของวงดนตรีตรงหน้า  ยิ้มบางๆให้กับตนเอง แล้วรีบสาวเท้าไปยังจุดหมาย  ก่อนที่ใครคนหนึ่งในนั้นจะสังเกตุเห็นตัวเธอ
            อาการขาสั้นเริ่มทวีความรุนแรงในทุกๆก้าว นับตั้งแต่คนช่างฝันมองเห็นบอร์ดประกาศผลสอบชิงทุน  ‘มันอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว’
คนช่างฝันไล่สายตาจนทั่วบอร์ด จนในที่สุดเธอก็พบสิ่งที่เธอกำลังค้นหา มันอยู่ตรงนั้น ติดประกาศไว้พร้อมกับรายชื่อหนึ่งที่ทำให้เธอต้องฉีกยิ้มกว้าง
                                    เด็กหญิงอัจฉรันยา  พิทักษ์เทพ
              ความสุขเปลียมล้นเติมเต็มให้หัวใจของคนช่างฝันที่เคยห่อเหี่ยวกลับชื่นบานขึ้น  ร่างกายของเธอเองก็ได้ตอบสนองความสึกปิติยินดีนั้น ด้วยการกระโดดเต้น เหย่งๆ  ‘เย้สำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว’  คนช่างฝันพูดกับตนเอง      แต่แล้วอาการลิงโลดของเธอก็ต้องหยุดชงักลง  เมื่อสายตาคู่หนึ่งทอดมา
            เด็กชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ สวมชุดฟอร์มโรงเรียนที่แต่ต่างออกไปมองมาที่คนช่างฝันด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ราวกับจะเก็บกลั้นเสียงหัวเราะไว้ภายใน  คนช่างฝันหน้าแดงจัดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะรีบเดินก้าวออกไปจากจุดที่เคยยืนอยู่
      ‘น่าอายที่สุด’คนช่างฝันบ่นกับตนเองขณะสาวเท้าบึงไปหาคนๆแรกที่เธอนึกถึง  คนที่มีส่วนช่วยให้เธอได้รับทุนนี่
                คนช่างฝันก้าวข้ามธรณีประตูสู่เขตแดนของห้องดนตรีสากล บรรยากาศฮาเฮสนุกสนานเหล่านั้นยังคงอยู่คับห้องแม้ว่าจะไม่มีเสียงเพลงแล้วก็ตาม
                อีกฟากหนึ่งของประตูซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่คนช่างฝันกำลังยืนอยู่ กลุ่มนักดนตรีกลุ่มเดิมที่เสร็จสิ้นจากการฝึกซ้อมดนตรีพูดคุยกันอย่างออกรส  นี่คงเป็นอีกเห็นผลหนึ่งที่ทำให้กลุ่มนักดนตรีกลุ่มนี้เป็นที่ยอมรับ เพราะทุกคนต่างสนิดกันมาก โดยเฉพาะนักร้องนำพี่สาวของคนช่างฝันกับมือกลอง ทั้งสองคนนี้คู่พระนางของวง ชึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก
“อายน้องมาหา” คนหนึ่งในวงสนธนาบอกกับพี่สาวของคนช่างฝัน  พี่สาวของคนช่างฝันจึงลุกเดินมาหาน้องสาวของตน
“พี่อาย  ฟังนะๆ” คนช่างฝันพูดกับพี่สาวด้วยความตื่นเต้น อันๆได้ทุนแหละ ได้ไปประเทศญี่ปุ่นด้วย หนึ่งปีแหนะพี่อาย ทุนฟรีเลยนะ”คนช่างฝันบอกกับพี่สาว
            อายยิ้มรับกับความยินดีของน้อง เธอเข้าใจว่าทุนนี้มีความหมายต่อน้องสาวของเธอเพียงไร ทุนที่น้องสาวของเธอใฝ่ฝันตลอดมา ตั้งแต่เริ่มหัดเรียนภาษา  นับจากเวลานั้นก็คงผ่านมาได้เป็นเวลา10ปีเต็มๆ
“โถ่..แล้วทีนี่ปีหน้าใครจะมาช่วยแต่งเพลงให้กับวงเราล่ะ” เสียงดังมาจากนอกวงสนธนาของสองพี่น้อง จากคนในวงคนที่แอบฟังอยู่ด้านหลัง ทุกคนต่างรู้ดีว่าเพลงในวงดนตรีของพวกเขาส่วนใหญ่นอกจากเพลงที่หาฟังได้ตามท้องตลาดแล้ว  จะมีเพลงที่แต่งขึ้นเองซึ่งนั้นก็คือเพลงของอันๆ
คนช่างฝันยิ้มให้พี่ๆ เพราะไม่รู้ว่าควร จะตอบว่าอะไรดี
“อ๋อ แล้วก็ อันๆแต่งเพลงใหม่จบแล้วนะค่ะ” คนช่างฝันบอกอีกข่าวหนึ่ง  พลางเปิดกระเป๋าหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา  มีลายมือหวัดเขียนประทับไว้ แล้วยืนให้กับคนตรงหน้า
อายรับมาอ่านแต่โดยดี  ก่อนที่จะขมวดคิ้วหันมาคุยกับน้องสาว “อ่านไม่ออกอ่ะ อันๆ”
คนช่างฝันรับคืนมาอย่างเข้าใจ เพราะต่างเป็นที่รู้กันในหมู่คนกลุ่มใหญ่ว่า  ลายมือของเธองามแค่ไหน
มือกลองของวงเดินไปหยิบกีตาร์โปร่งที่อยู่ไม่ไกลแล้วยืนให้กับคนช่างฝัน  คนช่างฝันรับเครื่องดนตรีนั้นมาโดยแอบข่มความรู้สึกบางอย่างไว้ภายในก่อนที่จะกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ
“ขอบคุณค่ะ”คนช่างฝัน กล่าวเบาๆ ลากเก้าอี้ข้างๆตัวมานั้งแล้วเริ่มบรรเลงเพลงที่เพิ่งแต่งขึ้น
..ได้แค่แอบมอง แอบมองเธอก็พอแล้ว
ได้แค่แอบฟัง แอบฟังเสียงหัวเราะเธอฉันก็สุขใจ
ไม่ขอหวังไปมากกว่านี้ ไม่ขอแอบคิดไปไกล
ไม่ขออะไร ขอแค่นี้ก็พอ
ชีวิตฉันสำหรับเธออาจเป็นเพียงสายลม
ที่พัดมาแล้วก็พัดไป
แต่ชีวิตเธอ สำหรับฉันนั้นเหมือนฝัน
ที่ทำให้ฉันหลับสบาย
                  ทวงทำนองของบทเพลงดำเนินไปเรื่อยๆ พี่เฟ่มือกลองเริ่มจับจังหวะได้จึงเดินไปเคาะจังหวะที่กลองชุดของตน  ในเวลานี้คนช่างฝันมีความสุขเป็นที่สุดเพราะเธอได้สิ่งที่เธอหวัง ทำในสิ่งที่เธอชอบ และได้เล่นดนตรีกับคนที่เธอรัก
                  เสียงปรบมือดังขึ้นหลังบทเพลงจบลง  คนช่างฝันเริ่มสังเกตุว่าไม่ได้มีแต่คนในห้องนี้เท่านั้นที่ฟังเเละปรบมือให้กับบทเพลงเหงาๆของเธอ หากแต่เป็นคนรอบๆที่เดินผ่านไปมาด้วย คนช่างฝันจึงยิ้มอีกครั้งแสดงเพื่อคำขอบคุณ  ในขณะที่เธอส่งยิ้มให้บุคคลรอบๆอยู่นั้นเองสายตาของเธอก็ได้หันไปพบกับบุคลผู้หนึ่งผู้ซึ่งทำให้เธอหน้าแดงเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว
ชายคนเดิมที่เคยเห็นเธอกระโดดๆเต้นแหย่งๆ  ให้กับผลสอบชิงทุน ยืนอยู่นอกประตู เขาไม่ได้ปรบมือหากแต่ชูนิ้วโปงมาให้  คนช่างฝันถึงกับตาโตหน้าแหวกับสิ่งที่คนไม่รู้จักส่งมา
“เพลงเพราะดีนะ”พี่ฟ้ามีคีบอร์ดกล่าวชม
“แต่ว่าฟังดูเศร้าๆ  ไม่เหมือนเพลงเนื้อร้องใสๆอย่างที่เคยผ่านมาเลย”อีกคนเสริม “ยังกับว่า คนแต่งเพลงกำลังแอบชอบใคร สักคนอยู่” พี่ภาคภูมิกล่าวเว้นวรรค “รึว่าคนแต่เพลงแอบมองใครอยู่จริงๆ”พี่คนเดิมตั้งคำถาม
  คนช่างฝันได้แต่ยิ้มแทนคำตอบ เพราะเธอไม่อยากโกหกตนเองหรือโกหกใคร
                  ประตูล็อกเกอร์ถูกปลดล็อกด้วยรหัสที่คนช่างฝันจำได้ขึ้นใจ เนื่องจากเจ้าของล็อกเกอร์มักไว้วานให้เธอมาเอาของให้บ่อยๆ  ภายในล็อกเกอร์ที่คนช่างฝันคุ้นตามักจะมีซองใส่เอกสารสีน้ำตาลถูกเบียดชิดไปด้วยหนังสือเรียนต่างๆนาๆจนแทบจะเต็มตู้ แต่ ณ เวลานี้มันกลับว่างเปล่า  ไม่หลงเหลือสิ่งใดนอกเสียจากกล่องที่ถูกห่อด้วยกระดาษอย่างดีกล่องหนึ่งกับกระดาษโน้ตใบสีขาวสะอาดและข้อความสั้นๆที่อธิบายความหมายได้มากมาย.........................
            คนช่างฝันมองผ่านหน้าต่างเข้าไปในห้องของชมรมที่เธอสังกัดอยู่ เธอพบกับภาพๆหนึ่งที่เธอคุ้นเคย  ภาพเดิมๆของวงดนตรีวงหนึ่งกำลังฝึกซ้อมเพลงกันอย่างเมาส์มันส์ 
ภาพของนักดนตรีตัวเก็งของโรงเรียน สวมชุดเครื่องแบบโรงเรียนเหมือนๆกัน แสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแยกออกได้ยาก เสียงกีต้าร์จากพี่ภาคภูมิ เสียงโซโลคีบอร์ดจากพี่ฟ้าทำให้บทเพลงดำเนินไปอย่างรวดเร็ว กลับถูกกระหน่ำด้วยเสียงเบสจากพี่อาร์มยิ่งทำให้จังหวะของดนตรีจับใจมากยิ่งขึ้น  แต่ยังคงพ่ายแพ้ต่อเสียงเพลงที่ขับออกมาจากกล่องเสียงของนักร้องนำซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆของคนช่างฝัน ภาพแห่งความสุข สนุกสนานเหล่านั้นมิไช่เป็นเหตุผลที่ทำให้เธออยากเดินผ่านมา ในเวลานี่ หากเป็นเพราะเสียงกลองจากพี่เฟ่ มีไว้เพื่อกำกับจังหวะที่คอยกำกับหัวใจของเธอให้เต้นไปกับทวงทำนองของบทเพลง
                       
                                      ได้แค่แอบมอง แอบมองเธอก็พอแล้ว
                                      ได้แค่แอบฟัง แอบฟังเสียงหัวเราะเธอฉันก็สุขใจ
                                      ไม่ขอหวังไปมากกว่านี้ ไม่ขอแอบคิดไปไกล
                                      ไม่ขออะไร ขอแค่นี้ก็พอ
        คนช่างฝันแอบมองมือกลองของวงดนตรีตรงหน้า  ยิ้มบางๆให้กับตนเอง แล้วรีบสาวเท้าไปยังจุดหมาย  ก่อนที่ใครคนหนึ่งในนั้นจะสังเกตุเห็นตัวเธอ
            อาการขาสั้นเริ่มทวีความรุนแรงในทุกๆก้าว นับตั้งแต่คนช่างฝันมองเห็นบอร์ดประกาศผลสอบชิงทุน  ‘มันอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว’
คนช่างฝันไล่สายตาจนทั่วบอร์ด จนในที่สุดเธอก็พบสิ่งที่เธอกำลังค้นหา มันอยู่ตรงนั้น ติดประกาศไว้พร้อมกับรายชื่อหนึ่งที่ทำให้เธอต้องฉีกยิ้มกว้าง
                                    เด็กหญิงอัจฉรันยา  พิทักษ์เทพ
              ความสุขเปลียมล้นเติมเต็มให้หัวใจของคนช่างฝันที่เคยห่อเหี่ยวกลับชื่นบานขึ้น  ร่างกายของเธอเองก็ได้ตอบสนองความสึกปิติยินดีนั้น ด้วยการกระโดดเต้น เหย่งๆ  ‘เย้สำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว’  คนช่างฝันพูดกับตนเอง      แต่แล้วอาการลิงโลดของเธอก็ต้องหยุดชงักลง  เมื่อสายตาคู่หนึ่งทอดมา
            เด็กชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ สวมชุดฟอร์มโรงเรียนที่แต่ต่างออกไปมองมาที่คนช่างฝันด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ราวกับจะเก็บกลั้นเสียงหัวเราะไว้ภายใน  คนช่างฝันหน้าแดงจัดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะรีบเดินก้าวออกไปจากจุดที่เคยยืนอยู่
      ‘น่าอายที่สุด’คนช่างฝันบ่นกับตนเองขณะสาวเท้าบึงไปหาคนๆแรกที่เธอนึกถึง  คนที่มีส่วนช่วยให้เธอได้รับทุนนี่
                คนช่างฝันก้าวข้ามธรณีประตูสู่เขตแดนของห้องดนตรีสากล บรรยากาศฮาเฮสนุกสนานเหล่านั้นยังคงอยู่คับห้องแม้ว่าจะไม่มีเสียงเพลงแล้วก็ตาม
                อีกฟากหนึ่งของประตูซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่คนช่างฝันกำลังยืนอยู่ กลุ่มนักดนตรีกลุ่มเดิมที่เสร็จสิ้นจากการฝึกซ้อมดนตรีพูดคุยกันอย่างออกรส  นี่คงเป็นอีกเห็นผลหนึ่งที่ทำให้กลุ่มนักดนตรีกลุ่มนี้เป็นที่ยอมรับ เพราะทุกคนต่างสนิดกันมาก โดยเฉพาะนักร้องนำพี่สาวของคนช่างฝันกับมือกลอง ทั้งสองคนนี้คู่พระนางของวง ชึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก
“อายน้องมาหา” คนหนึ่งในวงสนธนาบอกกับพี่สาวของคนช่างฝัน  พี่สาวของคนช่างฝันจึงลุกเดินมาหาน้องสาวของตน
“พี่อาย  ฟังนะๆ” คนช่างฝันพูดกับพี่สาวด้วยความตื่นเต้น อันๆได้ทุนแหละ ได้ไปประเทศญี่ปุ่นด้วย หนึ่งปีแหนะพี่อาย ทุนฟรีเลยนะ”คนช่างฝันบอกกับพี่สาว
            อายยิ้มรับกับความยินดีของน้อง เธอเข้าใจว่าทุนนี้มีความหมายต่อน้องสาวของเธอเพียงไร ทุนที่น้องสาวของเธอใฝ่ฝันตลอดมา ตั้งแต่เริ่มหัดเรียนภาษา  นับจากเวลานั้นก็คงผ่านมาได้เป็นเวลา10ปีเต็มๆ
“โถ่..แล้วทีนี่ปีหน้าใครจะมาช่วยแต่งเพลงให้กับวงเราล่ะ” เสียงดังมาจากนอกวงสนธนาของสองพี่น้อง จากคนในวงคนที่แอบฟังอยู่ด้านหลัง ทุกคนต่างรู้ดีว่าเพลงในวงดนตรีของพวกเขาส่วนใหญ่นอกจากเพลงที่หาฟังได้ตามท้องตลาดแล้ว  จะมีเพลงที่แต่งขึ้นเองซึ่งนั้นก็คือเพลงของอันๆ
คนช่างฝันยิ้มให้พี่ๆ เพราะไม่รู้ว่าควร จะตอบว่าอะไรดี
“อ๋อ แล้วก็ อันๆแต่งเพลงใหม่จบแล้วนะค่ะ” คนช่างฝันบอกอีกข่าวหนึ่ง  พลางเปิดกระเป๋าหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา  มีลายมือหวัดเขียนประทับไว้ แล้วยืนให้กับคนตรงหน้า
อายรับมาอ่านแต่โดยดี  ก่อนที่จะขมวดคิ้วหันมาคุยกับน้องสาว “อ่านไม่ออกอ่ะ อันๆ”
คนช่างฝันรับคืนมาอย่างเข้าใจ เพราะต่างเป็นที่รู้กันในหมู่คนกลุ่มใหญ่ว่า  ลายมือของเธองามแค่ไหน
มือกลองของวงเดินไปหยิบกีตาร์โปร่งที่อยู่ไม่ไกลแล้วยืนให้กับคนช่างฝัน  คนช่างฝันรับเครื่องดนตรีนั้นมาโดยแอบข่มความรู้สึกบางอย่างไว้ภายในก่อนที่จะกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ
“ขอบคุณค่ะ”คนช่างฝัน กล่าวเบาๆ ลากเก้าอี้ข้างๆตัวมานั้งแล้วเริ่มบรรเลงเพลงที่เพิ่งแต่งขึ้น
..ได้แค่แอบมอง แอบมองเธอก็พอแล้ว
ได้แค่แอบฟัง แอบฟังเสียงหัวเราะเธอฉันก็สุขใจ
ไม่ขอหวังไปมากกว่านี้ ไม่ขอแอบคิดไปไกล
ไม่ขออะไร ขอแค่นี้ก็พอ
ชีวิตฉันสำหรับเธออาจเป็นเพียงสายลม
ที่พัดมาแล้วก็พัดไป
แต่ชีวิตเธอ สำหรับฉันนั้นเหมือนฝัน
ที่ทำให้ฉันหลับสบาย
                  ทวงทำนองของบทเพลงดำเนินไปเรื่อยๆ พี่เฟ่มือกลองเริ่มจับจังหวะได้จึงเดินไปเคาะจังหวะที่กลองชุดของตน  ในเวลานี้คนช่างฝันมีความสุขเป็นที่สุดเพราะเธอได้สิ่งที่เธอหวัง ทำในสิ่งที่เธอชอบ และได้เล่นดนตรีกับคนที่เธอรัก
                  เสียงปรบมือดังขึ้นหลังบทเพลงจบลง  คนช่างฝันเริ่มสังเกตุว่าไม่ได้มีแต่คนในห้องนี้เท่านั้นที่ฟังเเละปรบมือให้กับบทเพลงเหงาๆของเธอ หากแต่เป็นคนรอบๆที่เดินผ่านไปมาด้วย คนช่างฝันจึงยิ้มอีกครั้งแสดงเพื่อคำขอบคุณ  ในขณะที่เธอส่งยิ้มให้บุคคลรอบๆอยู่นั้นเองสายตาของเธอก็ได้หันไปพบกับบุคลผู้หนึ่งผู้ซึ่งทำให้เธอหน้าแดงเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว
ชายคนเดิมที่เคยเห็นเธอกระโดดๆเต้นแหย่งๆ  ให้กับผลสอบชิงทุน ยืนอยู่นอกประตู เขาไม่ได้ปรบมือหากแต่ชูนิ้วโปงมาให้  คนช่างฝันถึงกับตาโตหน้าแหวกับสิ่งที่คนไม่รู้จักส่งมา
“เพลงเพราะดีนะ”พี่ฟ้ามีคีบอร์ดกล่าวชม
“แต่ว่าฟังดูเศร้าๆ  ไม่เหมือนเพลงเนื้อร้องใสๆอย่างที่เคยผ่านมาเลย”อีกคนเสริม “ยังกับว่า คนแต่งเพลงกำลังแอบชอบใคร สักคนอยู่” พี่ภาคภูมิกล่าวเว้นวรรค “รึว่าคนแต่เพลงแอบมองใครอยู่จริงๆ”พี่คนเดิมตั้งคำถาม
  คนช่างฝันได้แต่ยิ้มแทนคำตอบ เพราะเธอไม่อยากโกหกตนเองหรือโกหกใคร
                  ประตูล็อกเกอร์ถูกปลดล็อกด้วยรหัสที่คนช่างฝันจำได้ขึ้นใจ เนื่องจากเจ้าของล็อกเกอร์มักไว้วานให้เธอมาเอาของให้บ่อยๆ  ภายในล็อกเกอร์ที่คนช่างฝันคุ้นตามักจะมีซองใส่เอกสารสีน้ำตาลถูกเบียดชิดไปด้วยหนังสือเรียนต่างๆนาๆจนแทบจะเต็มตู้ แต่ ณ เวลานี้มันกลับว่างเปล่า  ไม่หลงเหลือสิ่งใดนอกเสียจากกล่องที่ถูกห่อด้วยกระดาษอย่างดีกล่องหนึ่งกับกระดาษโน้ตใบสีขาวสะอาดและข้อความสั้นๆที่อธิบายความหมายได้มากมาย.........................
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น