ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : !?! คนสำคัญ !?!
ตอนที่ 2  “คนสำคัญ”
15นาทีให้หลังฉันมานั่งเช็ดผมอยู่บนรถเบนซ์คันสีเขียวมรกต ที่ลุงเพรียงคนขับรถประจำบ้านขับมารับฉันหน้าคณะ
”วันนี้ มีกิจกรรมรับสายฝนต้นฤดูหรือครับคุณหนูวิว” ลุงเพรียงคนขับรถถาม เมื่อเห็นสภาพเปียกปอนฝนของฉัน
“ ” ฉันยิ้มตอบแล้วนำผ้าขนหนูมาขยี้ผมยาวๆของฉันให้แห้ง สภาพของฉันตอนนี้ไม่แตกต่างจาก
ตัวสิงโตเปียกน้ำเลยสักนิด
“คุณหนูวิวจะให้ผมไปส่งที่ไหนครับ” ลุงเพรียงถาม “ที่บ้าน รึว่า ที่คอนโด”
“อืม” ฉันคิดไตร่ตรอง ”แล้ววันนี้คุณพ่อจะกลับบ้านดึกไหมค่ะ” ฉันถามหาเหตุจูงใจสำหรับการกลับบ้าน
“วันนี้ คุณผู้ชายมีประชุมวางแผนงานที่โรงพยาบาลครับ” คนขับรถให้คำตอบ
ถ้าพ่อมีประชุมแสดงว่าพ่อต้องกลับบ้านดึก แปลว่าวันนี้แม่ต้องอยู่บ้านคนเดียว “งั้นวิวกลับบ้านดีกว่าค่ะ” ฉันบอกจุดหมาย “จะได้ไปอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่”
เสียงหัวเราะเบาๆของลุงเพรียงดังมาจากเบาะที่นั่งของคนขับรถอย่างชวนน่าสงสัย แต่ฉันปล่อยให้เสียงเหล่านั้นผ่านใบหูของฉันไปอย่างไม่ใส่ใจนัก
ช่วงเวลาอาหารค่ำมาถึงอย่างรวดเร็ว โต๊ะอาหารของครอบครัวฉันในวันนี้จะมีผู้นั่งรับประทานอาหารครบทั้ง4ที่ ถ้าหากว่าพ่อไม่ติดธุระจนไม่สามารถมาร่วมรับประทานอาหารกับเราได้
ผู้ร่วมรับประทานอาหารค่ำในคืนนี้นอกจากฉันกับแม่แล้วก็มีชายผู้หนึ่ง ซึ่งโครงหน้าของเขาดูคุ้นหูคุ้นตามาก แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ฉันจึงมองเพ่งที่ใบหน้าชายผู้เพื่อว่าจะนึกจำได้
“ยัยวิว” บุรุษผู้ซึ่งถูกฉันจ้องหน้าเรียกชื่อฉันอย่างสนิทสนมด้วยน้ำเสียงที่ฉันคุ้นเคย “นี้หล่อนอย่าบอกนะว่าจำฉันไม่ได้”
ใครวะ ฉันเกือบจะหลุดปากพูดออกไป แต่ใบหน้าของชายอีกผู้หนึ่งก็แล่นปราดเข้าสมอง
“วิน” ฉันทายชื่อ “ใช่ป่ะ” ฉันถามกลับ
“ก็ใช่นะสิ” วินว่า “นิหล่อน หล่อนมิน่าลืมพี่ชายสุดหล่อหายากอย่างฉันได้เลยนะ”
“ง่า ก็ “ ฉันคิดถึงเหตุผลที่ฉันจำวินไม่ได้ แต่ก็ไม่กล่าวออกไป
คงเป็นเพราะช่วงเวลาสามปีกว่าๆที่วินออกจาบ้านเนื่องจากทะเลาะกับพ่อเรื่องเรียนต่อทำให้ฉันไม่ได้พบปะกับวิน ฉันจึงแทบจำวินไม่ได้ วินดูเปลี่ยนไปมากว่าแต่ก่อน
ผมที่เคยไว้ยาว บัดนี้ได้ถูกตัดสั้นลงอย่างเห็นได้ชัด  ใบหน้าเหลี่ยมที่เคยเกลี่ยงเกลาบัดนี้กลับเริ่มมีเคราขึ้นเป็นปอยๆ แต่อย่างไรก็ตามดวงตาแววขี้เล่นที่สามารถกระชากใจสาวได้ของวินก็ไม่เคยเปลี่ยนไปและดวงตานั้นเองคือจุดๆเดียวที่ทำให้ฉันจำวินได้
เรากล่าวทักทายพูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มรับประทานอาหาร
เวลาอาหารค่ำผ่านไปอย่างครึกครืนฮาเฮกว่าทุกครั้งที่ฉันมารับประทานอาหารที่นี่  เพราะโดยตามปรกติแล้ว เวลาใดที่ฉันมากินข้าวกับแม่กันแค่สองคน เราจะคุยกันเบาๆตามเรื่องตามราว แต่คราวนี้เมื่อมีพี่วินอยู่ด้วยเราจึงพูดคุยกันอย่างเรื่อยเปื่อยไร้สาระโดยมีเรื่องตลกจากพี่วินเป็นแกนสำคัญ 
“วิวเปลี่ยนกรอปแว่นหรอ” พี่วินกล่าวทักแว่นที่ฉันกำลังใส่อยู่ 
“อืม” ฉันตอบขยับแว่นสีดำที่ฉันไม่ได้เป็นเจ้าของ เพื่อให้มันกระชับขึ้น “ทำไมหรอ”
“ฉันไม่ชอบแว่นแบบนี้เลย” วินให้เหตุผล “วิวไปเปลี่ยนเหอะ”
“ไมอ่ะ” ฉันถามกลับ
วินไม่ตอบแต่หันไปคุยกับแม่แทน
วินอยู่กับเราต่อหลังรับประทานเล็กน้อยก่อนจะกลับที่พักของเขา และวินก็อาสาพาฉันไปส่งที่คอนโดอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามฉันก็ยืนยันที่จะอยู่กับแม่คืนนี้อยู่ดี
เช้าวันต่อมาฉันนอนตื่นเร็วตามปกติ อากาศยามเช้านี้แหละทำให้ปอดเราปรอดโปร่งโล่งสบาย ตามกิจวัตรประจำวัน ฉันต้องรีบอาบน้ำแล้วไปมหาลัยโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อไปตามงานที่ขาดไป และฉันก็ทำตามกิจวัตรประจำวันนั้นจริงๆ (ก็วันนี้ก็เป็นวันธรรมดาอีกวันหนึ่งใน 1ปีนี่นา จะให้ทำอะไรแตกต่างกันนักล่ะ) 
ฉันอยู่ปีหนึ่งคณะสถาปัตยกรรม แต่นี่ไม่ใช่ปีแรกในการใช่ชีวิตนักศึกษาของฉัน เรื่องของฉันในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ไม่ได้โลดโผนอะไรนักเหรอก อย่าไปสนใจนักเลย รู้แค่ว่าฉันเคยมีเพื่อนซี้สนิดสุดๆตั้งแต่ตอนอยู่ชั้นประถมอยู่กลุ่มหนึ่ง  เรามีกันอยู่6คน มีฉัน  จีน ยีน ณัฐ พี แล้วก็ มิ้ม  ฉันเคยเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลด้วยนะ จะบอกให้ (ขออวดหน่อยเหอะ) เรื่องประสบการณ์ความรักยิ่งไม่ต้องถามถึง เพราะว่า .. (แฮ ..คงจะเดาว่าคนอย่างฉันไม่เคยมีอะดิ  ฉันก็คนนะเฟ้ย )
ฉันแค่ . เคยแอบรักแฟนเพื่อน 
เฮ้ย!  ไม่ใช่อย่างนั้น  อย่าเข้าใจผิดดิ  ก็ แค่แอบมีใจให้
เอ๊ย  ง่า .า า
ก็คือว่า เรื่องมันเป็นอย่างนี้  จะเล่าให้ฟัง 
เรื่องมันมีอยู่ว่า (เล่าให้ฟังคร่าวๆนะ)
นิค มันชอบมิ้ม แล้วทีนี่มันก็มาปรึกษาเราเรื่องมิ้ม แล้วเราก็ให้คำปรึกษาอย่างดีตามแบบฉบับคนสวย  ก็คงเพราะความสนิทของเราเพิ่มมากขึ้นมั้ง เราก็เลยแอบชอบทีละน้อย ทีละน้อย แต่เราก็ไม่ได้สารภาพอ่ะ เก็บไว้ในใจสบายกว่าเยอะ แล้วเราก็โครดปลื้มใจเลยที่ทำให้สองคนนั้นมาเป็นแฟนกันได้ในที่สุด (อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เราช่วยคนเดี่ยวหรอก เพื่อนๆช่วยกันเป็นฝูงเลย) ไม่ได้ประชดนะ เราพูดจริง  มันเป็นอะไรที่แบบว่า อยากอวดชาวโลกาประชาชีม๊าก..มาก  แต่พอมาตอนนี้ ยังสงสัยอยู่เลยว่า ตกลงฉันชอบนายนั้นจริงๆ รึเปล่าวะ (อ่าวแล้วหลอกให้ตูอ่านมาตั้งนาน : คนอ่าน)
ตอนนี้เพื่อนๆทั้ง5ของฉันก็แยกย้ายกันไปตามยถากรรม เอ๊ย ตามความสนใจในการประกอบอาชีพ  เราก็ติดต่อพบปะกันบ่อยๆ เพราะเรามีธุระกิจเล็กๆน้อยๆร่วมกัน มีแต่นังมิ้มคนเดียวที่ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้ว ตั้ง3ปีได้มั้ง ตั้งแต่คุณเธอย้ายไปเรียนต่อที่อเมริกาตอนอยู่ม.5 พูดตามตรงนะ ตอนนี้ฉันก็คิดถึงเจ้าคุณเธอเอาม๊าก..มาก 
บอกแล้วว่าชีวิดฉันก่อนหน้านี้มันไม่โลดโผน
วันนี้ฉันมีเรียนภาคเช้าอย่างเดียว แต่ก็อย่างที่พอรู้ ฉันมีงานอีกเต็มกระบุงที่ต้องแบกต้องทำ ไหนจะงานเก่าที่หมกไว้  ไหนจะงานใหม่ที่เข้ามา ง่า ฉันว่าฉันคงตายคากองงานเท่าภูเขานั้นแน่เลย แต่ไม่เป็นไร  อย่างน้อยลูกหลานของฉันก็ยังภูมิใจได้ว่า  ฉันตายในหน้าที่ 
พอ จบ หยุด หยุดนอกเรื่องซะที  กลับมาเข้าเรื่องกันต่อดีกว่า
ระหว่างที่ฉันกำลังแบกงานออกจากตึกของคณะ (แฟ้มงานฉันไม่ใหญ่นักหรอก ไม่ต้องคิดต่อเรื่องแทน ฉันรู้นะว่าคิดอะไรกันอยู่) ถ้าแว่นที่ฉันใส่อยู่ไม่เกิดอาการหลอนขึ้นมา ฉันก็จะพบว่าคนที่ยืนอยู่หน้าตึกตอนนี้คือเจ้าของแว่นที่ฉันกำลังสวมอยู่ ตัวเป็นๆ
อันที่จริงฉันก็ไม่นึกจะเอาแว่นที่เขาให้ยืมมาอยู่นี้มาใส่ให้เป็นเรื่องเป็นราวหรอกนะ แต่เป็นเพราะคอนแทกเลนส์กับแว่นสำรองของฉันตอนนี้ อยู่ที่คอนโดต่างหาก เผอิญว่าตอนเช้าฉันก็ไม่มีเวลากลับไปเปลี่ยนที่คอนโดเสียด้วย ฉันก็เลย..นะ แอบสวมลอย
ชายที่อยู่ตรงหน้าตึกหันมาสังเกตเห็นฉันอย่างไม่ได้ตั้งใจ  และยิ้มทักฉัน ด้วยรอยยิ้มที่ เออ..บอกไม่ถูกง่ะ  เอาเป็นว่ามันทำให้ฉันรู้สึกดีได้ละกัน
ฉันยิ้มตอบ สงสัยคงมาทวงแว่น
ชายคนนั้นเดินเขามาหาฉัน
“คุณเรียนอยู่คณะนี้หรือครับ” เขาถามฉัน
“ค่ะ ใช่” ฉันตอบ อัตราการเต้นของหัวใจฉันเริ่มผิดปกติ ฉันก็พอเข้าใจนะว่าเวลาคุยกันต้องมองตากัน  แต่..เออ เผอินตาของฉันที่เขากำลังมองอยู่นี้มันถูกสวมทับด้วยแว่นของเขาอ่ะ  มันน่าอายนะที่ยืมของเขามาแล้วไม่คืนตรงตามเวลา
“เออ คือว่า สำหรับแว่นตาอันนี้ ” ฉันเริ่มลนลาน มือที่ว่างจากกองแฟ้มงานเริ่มวาดรวดลายกลางอากาศอย่างบังคับไม่ได้
“ครับ”
“คือว่า . ” ฉันเริ่มพยายามให้เหตุผล  แต่ไอ้เหตุผลที่ว่านี้มันดันติดอยู่ที่ต่อมน้ำลายจนไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้   
เขาให้เวลาฉันแจกแจงเหตุผล แต่ฉันกลับใช่เวลาเหล่านั้นหมดไปกับการกวัดแกว่งมือในอากาศ
“อ๋อ” เขาส่งเสียงหนึ่งพยางค์เหมือนจะเข้าใจ  ”คุณจะเป็นลมหรือครับ  ผมมียาดมนะ เอามั้ย” เขาพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยนน้ำสีหน้าใจดี แต่ส่งเสริมให้ฉันหน้าซีดเป็นที่สุด
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ” ฉันรีบแก้ตัว ไม่งั้นเดี่ยวคงได้ยาดมกลับบ้านอีกหลอดนึ่งแน่
“ครับ” เขาต่อประโยคด้วยคำพูดเพียงคำเดียว  ฉันละอยากกรี๊ดด้วยเหตุผลบางอย่าง
“ค่ะ เออ คือว่าแว่นอันนี้ ฉันคงต้องขอเลือนไปคืนวันหลังนะค่ะ คือว่า..” ฉันเริ่มแจกแจงเหตุผลอย่างชัดถ่อยชัดคำ และตรงไปตรงมา ” คุณมีที่อยู่ไหมค่ะ เออ  ฉันหมายถึง ถ้าเกิดว่า เราไม่เจอกันอีก ฉันจะได้ส่งแว่นของคุณคืนทางพัสดุทางไปรษณีย์” มือฉันยังคงวาดลวดลายกลางอากาศ “คุณไม่ต้องกังวลว่ามันจะมาถึงช้านะค่ะ  เพราะฉันจะ ส่งทาง ems ขั้นเร็วสุดไปให้”
พอฉันพูดจบเขาก็ดูเหมือนพยายามจะกลั้นหัวเราะ  ง่า ฉันพูดอะไรผิดรึไงย่ะ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” เขาตอบ ปากของเขายังคงยิ้ม “เราต้องเจอกันอีกแน่ครับ ยิ่งคุณเรียนอยู่คณะนี้  เราอาจจะเจอกันบ่อยกว่าที่คุณคิด” เขากล่าว สันหลังฉันเลยยิ่งวาบขึ้นทันตา ไม่ใช่ว่านายนี่เป็นxxเฝ้าคณะนะ  แต่คงไม่เหรอก เพราะxxจะไม่ออกมาตอนกลางวันแสกๆ
“อะ ค่ะ แล้วคุณ  เออ ”
”อาทครับ”
“ค่ะ แล้วคุณอาท ”
“คุณเรียกผมว่าอาทเฉยๆก็ได้ครับ”   
“ค่ะ อาท แล้ว คุณมาทำอะไรที่นี้ค่ะ” ฉันเริ่มเกิดอาการอยากรู้เรื่องชาวบ้าน ”หน้าตาดูมีความสุขอย่างนี้แสดงว่าคุณต้องมารอคนรักของคุณแน่ๆเลย” ฉันแกล้งแซวอย่างอดไม่ได้ พูดตามตรงนะว่าไอ้โรคอัธยาศัยดีเวอร์ก็เป็นอุปนิสัยของฉันอย่างหนึ่งเช่นกัน
“ครับ” เขากล่าวยิ้มๆ “ผมมารอ คนพิเศษ ครับ เขาอยู่ปีสองของคณะนี้”  เขาตอบเรียบๆ
โด่เอ๋ยมารอแฟนอะดิ
“ฉันคงต้องกลับบ้านแล้ว  บ๊าย บายค่ะ” ฉันบอกลาเจ้าหนี้แว่น
“เดี่ยวครับ” เขาส่งเสียงเพื่อให้ฉันหยุดเดิน และฉันก็กระทำตามความประสงค์นั้น
“ค่ะ” ฉันหันกลับมามองคนเรียก
เราจ้องหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง
“ไม่มีอะไรครับ” เขาพูด  ฉันรู้นะว่าเขาหมายถึงอะไร จะบอกฉันว่าที่หลังอย่าลืมเอาแว่นมาคืนละสิ
เจ้าพ่อ เจ้าแม่เอ๊ย เดี่ยวฉันจะบรรจุห่อมาคืนให้อย่างดีเลยคอยดู
                           
ฉันแวะร้านขายแว่นก่อนกลับคอนโด  กะว่าจะซื้อกล่องแว่นสำหรับเก็บแว่นที่ฉันไม่ได้เป็นเจ้าของ เพื่อจะได้ส่งคืนพร้อมแว่นเป็นการไถ่โทษที่ยึดแว่นมาใช่นาน ฉันวนเวียนอยู่ในร้านนั้นตั้งนานก่อนที่จะออกมาจากร้านพร้อมกับกล่องแว่นพลาสติกใส่สีกรมท่าที่ดูเรียบร้อย
งง อะดิ ว่าย่อหน้าข้างต้นมันแว่นอะไรกันนักกันหนา แค่อ่านซ้ำไปซ้ำมาเดี่ยวก็เข้าใจเอง ลองอ่านดูอีกรอบนะ
ฉันแวะร้านขายแว่นก่อนกลับคอนโด  กะว่าจะซื้อกล่องแว่นสำหรับเก็บแว่นที่ฉันไม่ได้เป็นเจ้าของ เพื่อจะได้ส่งคืนพร้อมแว่นเป็นการไถ่โทษที่ยึดแว่นมาใช่นาน ฉันวนเวียนอยู่ในร้านนั้นตั้งนานก่อนที่จะออกมาจากร้านพร้อมกับกล่องแว่นพลาสติกใส่สีกรมท่าที่ดูเรียบร้อย
โอ เค คงเข้าใจมาขึ้น  แต่ถ้างงกว่าเดิมก็ช่วยไม่ได้  แต่อ่านไปเรื่อยๆ  ก็จะเข้าใจเองอ่ะ
พอเลือกซื้อกล่องแว่นเสร็จ ฉันก็กลับคอนโดทันที  (ก็แหม่ ฉันมีงานกองเบอร์เรอเหอร์รออยู่นี่นา)
 
              _______________________________________________________ จบตอนที่ 2   
3/10/2547
-v[86Iritg0hk8jt mujxitmkol9bxyPPk.shdyxfbilv  vkg,o
15นาทีให้หลังฉันมานั่งเช็ดผมอยู่บนรถเบนซ์คันสีเขียวมรกต ที่ลุงเพรียงคนขับรถประจำบ้านขับมารับฉันหน้าคณะ
”วันนี้ มีกิจกรรมรับสายฝนต้นฤดูหรือครับคุณหนูวิว” ลุงเพรียงคนขับรถถาม เมื่อเห็นสภาพเปียกปอนฝนของฉัน
“ ” ฉันยิ้มตอบแล้วนำผ้าขนหนูมาขยี้ผมยาวๆของฉันให้แห้ง สภาพของฉันตอนนี้ไม่แตกต่างจาก
ตัวสิงโตเปียกน้ำเลยสักนิด
“คุณหนูวิวจะให้ผมไปส่งที่ไหนครับ” ลุงเพรียงถาม “ที่บ้าน รึว่า ที่คอนโด”
“อืม” ฉันคิดไตร่ตรอง ”แล้ววันนี้คุณพ่อจะกลับบ้านดึกไหมค่ะ” ฉันถามหาเหตุจูงใจสำหรับการกลับบ้าน
“วันนี้ คุณผู้ชายมีประชุมวางแผนงานที่โรงพยาบาลครับ” คนขับรถให้คำตอบ
ถ้าพ่อมีประชุมแสดงว่าพ่อต้องกลับบ้านดึก แปลว่าวันนี้แม่ต้องอยู่บ้านคนเดียว “งั้นวิวกลับบ้านดีกว่าค่ะ” ฉันบอกจุดหมาย “จะได้ไปอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่”
เสียงหัวเราะเบาๆของลุงเพรียงดังมาจากเบาะที่นั่งของคนขับรถอย่างชวนน่าสงสัย แต่ฉันปล่อยให้เสียงเหล่านั้นผ่านใบหูของฉันไปอย่างไม่ใส่ใจนัก
ช่วงเวลาอาหารค่ำมาถึงอย่างรวดเร็ว โต๊ะอาหารของครอบครัวฉันในวันนี้จะมีผู้นั่งรับประทานอาหารครบทั้ง4ที่ ถ้าหากว่าพ่อไม่ติดธุระจนไม่สามารถมาร่วมรับประทานอาหารกับเราได้
ผู้ร่วมรับประทานอาหารค่ำในคืนนี้นอกจากฉันกับแม่แล้วก็มีชายผู้หนึ่ง ซึ่งโครงหน้าของเขาดูคุ้นหูคุ้นตามาก แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ฉันจึงมองเพ่งที่ใบหน้าชายผู้เพื่อว่าจะนึกจำได้
“ยัยวิว” บุรุษผู้ซึ่งถูกฉันจ้องหน้าเรียกชื่อฉันอย่างสนิทสนมด้วยน้ำเสียงที่ฉันคุ้นเคย “นี้หล่อนอย่าบอกนะว่าจำฉันไม่ได้”
ใครวะ ฉันเกือบจะหลุดปากพูดออกไป แต่ใบหน้าของชายอีกผู้หนึ่งก็แล่นปราดเข้าสมอง
“วิน” ฉันทายชื่อ “ใช่ป่ะ” ฉันถามกลับ
“ก็ใช่นะสิ” วินว่า “นิหล่อน หล่อนมิน่าลืมพี่ชายสุดหล่อหายากอย่างฉันได้เลยนะ”
“ง่า ก็ “ ฉันคิดถึงเหตุผลที่ฉันจำวินไม่ได้ แต่ก็ไม่กล่าวออกไป
คงเป็นเพราะช่วงเวลาสามปีกว่าๆที่วินออกจาบ้านเนื่องจากทะเลาะกับพ่อเรื่องเรียนต่อทำให้ฉันไม่ได้พบปะกับวิน ฉันจึงแทบจำวินไม่ได้ วินดูเปลี่ยนไปมากว่าแต่ก่อน
ผมที่เคยไว้ยาว บัดนี้ได้ถูกตัดสั้นลงอย่างเห็นได้ชัด  ใบหน้าเหลี่ยมที่เคยเกลี่ยงเกลาบัดนี้กลับเริ่มมีเคราขึ้นเป็นปอยๆ แต่อย่างไรก็ตามดวงตาแววขี้เล่นที่สามารถกระชากใจสาวได้ของวินก็ไม่เคยเปลี่ยนไปและดวงตานั้นเองคือจุดๆเดียวที่ทำให้ฉันจำวินได้
เรากล่าวทักทายพูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มรับประทานอาหาร
เวลาอาหารค่ำผ่านไปอย่างครึกครืนฮาเฮกว่าทุกครั้งที่ฉันมารับประทานอาหารที่นี่  เพราะโดยตามปรกติแล้ว เวลาใดที่ฉันมากินข้าวกับแม่กันแค่สองคน เราจะคุยกันเบาๆตามเรื่องตามราว แต่คราวนี้เมื่อมีพี่วินอยู่ด้วยเราจึงพูดคุยกันอย่างเรื่อยเปื่อยไร้สาระโดยมีเรื่องตลกจากพี่วินเป็นแกนสำคัญ 
“วิวเปลี่ยนกรอปแว่นหรอ” พี่วินกล่าวทักแว่นที่ฉันกำลังใส่อยู่ 
“อืม” ฉันตอบขยับแว่นสีดำที่ฉันไม่ได้เป็นเจ้าของ เพื่อให้มันกระชับขึ้น “ทำไมหรอ”
“ฉันไม่ชอบแว่นแบบนี้เลย” วินให้เหตุผล “วิวไปเปลี่ยนเหอะ”
“ไมอ่ะ” ฉันถามกลับ
วินไม่ตอบแต่หันไปคุยกับแม่แทน
วินอยู่กับเราต่อหลังรับประทานเล็กน้อยก่อนจะกลับที่พักของเขา และวินก็อาสาพาฉันไปส่งที่คอนโดอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามฉันก็ยืนยันที่จะอยู่กับแม่คืนนี้อยู่ดี
เช้าวันต่อมาฉันนอนตื่นเร็วตามปกติ อากาศยามเช้านี้แหละทำให้ปอดเราปรอดโปร่งโล่งสบาย ตามกิจวัตรประจำวัน ฉันต้องรีบอาบน้ำแล้วไปมหาลัยโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อไปตามงานที่ขาดไป และฉันก็ทำตามกิจวัตรประจำวันนั้นจริงๆ (ก็วันนี้ก็เป็นวันธรรมดาอีกวันหนึ่งใน 1ปีนี่นา จะให้ทำอะไรแตกต่างกันนักล่ะ) 
ฉันอยู่ปีหนึ่งคณะสถาปัตยกรรม แต่นี่ไม่ใช่ปีแรกในการใช่ชีวิตนักศึกษาของฉัน เรื่องของฉันในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ไม่ได้โลดโผนอะไรนักเหรอก อย่าไปสนใจนักเลย รู้แค่ว่าฉันเคยมีเพื่อนซี้สนิดสุดๆตั้งแต่ตอนอยู่ชั้นประถมอยู่กลุ่มหนึ่ง  เรามีกันอยู่6คน มีฉัน  จีน ยีน ณัฐ พี แล้วก็ มิ้ม  ฉันเคยเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลด้วยนะ จะบอกให้ (ขออวดหน่อยเหอะ) เรื่องประสบการณ์ความรักยิ่งไม่ต้องถามถึง เพราะว่า .. (แฮ ..คงจะเดาว่าคนอย่างฉันไม่เคยมีอะดิ  ฉันก็คนนะเฟ้ย )
ฉันแค่ . เคยแอบรักแฟนเพื่อน 
เฮ้ย!  ไม่ใช่อย่างนั้น  อย่าเข้าใจผิดดิ  ก็ แค่แอบมีใจให้
เอ๊ย  ง่า .า า
ก็คือว่า เรื่องมันเป็นอย่างนี้  จะเล่าให้ฟัง 
เรื่องมันมีอยู่ว่า (เล่าให้ฟังคร่าวๆนะ)
นิค มันชอบมิ้ม แล้วทีนี่มันก็มาปรึกษาเราเรื่องมิ้ม แล้วเราก็ให้คำปรึกษาอย่างดีตามแบบฉบับคนสวย  ก็คงเพราะความสนิทของเราเพิ่มมากขึ้นมั้ง เราก็เลยแอบชอบทีละน้อย ทีละน้อย แต่เราก็ไม่ได้สารภาพอ่ะ เก็บไว้ในใจสบายกว่าเยอะ แล้วเราก็โครดปลื้มใจเลยที่ทำให้สองคนนั้นมาเป็นแฟนกันได้ในที่สุด (อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เราช่วยคนเดี่ยวหรอก เพื่อนๆช่วยกันเป็นฝูงเลย) ไม่ได้ประชดนะ เราพูดจริง  มันเป็นอะไรที่แบบว่า อยากอวดชาวโลกาประชาชีม๊าก..มาก  แต่พอมาตอนนี้ ยังสงสัยอยู่เลยว่า ตกลงฉันชอบนายนั้นจริงๆ รึเปล่าวะ (อ่าวแล้วหลอกให้ตูอ่านมาตั้งนาน : คนอ่าน)
ตอนนี้เพื่อนๆทั้ง5ของฉันก็แยกย้ายกันไปตามยถากรรม เอ๊ย ตามความสนใจในการประกอบอาชีพ  เราก็ติดต่อพบปะกันบ่อยๆ เพราะเรามีธุระกิจเล็กๆน้อยๆร่วมกัน มีแต่นังมิ้มคนเดียวที่ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้ว ตั้ง3ปีได้มั้ง ตั้งแต่คุณเธอย้ายไปเรียนต่อที่อเมริกาตอนอยู่ม.5 พูดตามตรงนะ ตอนนี้ฉันก็คิดถึงเจ้าคุณเธอเอาม๊าก..มาก 
บอกแล้วว่าชีวิดฉันก่อนหน้านี้มันไม่โลดโผน
วันนี้ฉันมีเรียนภาคเช้าอย่างเดียว แต่ก็อย่างที่พอรู้ ฉันมีงานอีกเต็มกระบุงที่ต้องแบกต้องทำ ไหนจะงานเก่าที่หมกไว้  ไหนจะงานใหม่ที่เข้ามา ง่า ฉันว่าฉันคงตายคากองงานเท่าภูเขานั้นแน่เลย แต่ไม่เป็นไร  อย่างน้อยลูกหลานของฉันก็ยังภูมิใจได้ว่า  ฉันตายในหน้าที่ 
พอ จบ หยุด หยุดนอกเรื่องซะที  กลับมาเข้าเรื่องกันต่อดีกว่า
ระหว่างที่ฉันกำลังแบกงานออกจากตึกของคณะ (แฟ้มงานฉันไม่ใหญ่นักหรอก ไม่ต้องคิดต่อเรื่องแทน ฉันรู้นะว่าคิดอะไรกันอยู่) ถ้าแว่นที่ฉันใส่อยู่ไม่เกิดอาการหลอนขึ้นมา ฉันก็จะพบว่าคนที่ยืนอยู่หน้าตึกตอนนี้คือเจ้าของแว่นที่ฉันกำลังสวมอยู่ ตัวเป็นๆ
อันที่จริงฉันก็ไม่นึกจะเอาแว่นที่เขาให้ยืมมาอยู่นี้มาใส่ให้เป็นเรื่องเป็นราวหรอกนะ แต่เป็นเพราะคอนแทกเลนส์กับแว่นสำรองของฉันตอนนี้ อยู่ที่คอนโดต่างหาก เผอิญว่าตอนเช้าฉันก็ไม่มีเวลากลับไปเปลี่ยนที่คอนโดเสียด้วย ฉันก็เลย..นะ แอบสวมลอย
ชายที่อยู่ตรงหน้าตึกหันมาสังเกตเห็นฉันอย่างไม่ได้ตั้งใจ  และยิ้มทักฉัน ด้วยรอยยิ้มที่ เออ..บอกไม่ถูกง่ะ  เอาเป็นว่ามันทำให้ฉันรู้สึกดีได้ละกัน
ฉันยิ้มตอบ สงสัยคงมาทวงแว่น
ชายคนนั้นเดินเขามาหาฉัน
“คุณเรียนอยู่คณะนี้หรือครับ” เขาถามฉัน
“ค่ะ ใช่” ฉันตอบ อัตราการเต้นของหัวใจฉันเริ่มผิดปกติ ฉันก็พอเข้าใจนะว่าเวลาคุยกันต้องมองตากัน  แต่..เออ เผอินตาของฉันที่เขากำลังมองอยู่นี้มันถูกสวมทับด้วยแว่นของเขาอ่ะ  มันน่าอายนะที่ยืมของเขามาแล้วไม่คืนตรงตามเวลา
“เออ คือว่า สำหรับแว่นตาอันนี้ ” ฉันเริ่มลนลาน มือที่ว่างจากกองแฟ้มงานเริ่มวาดรวดลายกลางอากาศอย่างบังคับไม่ได้
“ครับ”
“คือว่า . ” ฉันเริ่มพยายามให้เหตุผล  แต่ไอ้เหตุผลที่ว่านี้มันดันติดอยู่ที่ต่อมน้ำลายจนไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้   
เขาให้เวลาฉันแจกแจงเหตุผล แต่ฉันกลับใช่เวลาเหล่านั้นหมดไปกับการกวัดแกว่งมือในอากาศ
“อ๋อ” เขาส่งเสียงหนึ่งพยางค์เหมือนจะเข้าใจ  ”คุณจะเป็นลมหรือครับ  ผมมียาดมนะ เอามั้ย” เขาพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยนน้ำสีหน้าใจดี แต่ส่งเสริมให้ฉันหน้าซีดเป็นที่สุด
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ” ฉันรีบแก้ตัว ไม่งั้นเดี่ยวคงได้ยาดมกลับบ้านอีกหลอดนึ่งแน่
“ครับ” เขาต่อประโยคด้วยคำพูดเพียงคำเดียว  ฉันละอยากกรี๊ดด้วยเหตุผลบางอย่าง
“ค่ะ เออ คือว่าแว่นอันนี้ ฉันคงต้องขอเลือนไปคืนวันหลังนะค่ะ คือว่า..” ฉันเริ่มแจกแจงเหตุผลอย่างชัดถ่อยชัดคำ และตรงไปตรงมา ” คุณมีที่อยู่ไหมค่ะ เออ  ฉันหมายถึง ถ้าเกิดว่า เราไม่เจอกันอีก ฉันจะได้ส่งแว่นของคุณคืนทางพัสดุทางไปรษณีย์” มือฉันยังคงวาดลวดลายกลางอากาศ “คุณไม่ต้องกังวลว่ามันจะมาถึงช้านะค่ะ  เพราะฉันจะ ส่งทาง ems ขั้นเร็วสุดไปให้”
พอฉันพูดจบเขาก็ดูเหมือนพยายามจะกลั้นหัวเราะ  ง่า ฉันพูดอะไรผิดรึไงย่ะ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” เขาตอบ ปากของเขายังคงยิ้ม “เราต้องเจอกันอีกแน่ครับ ยิ่งคุณเรียนอยู่คณะนี้  เราอาจจะเจอกันบ่อยกว่าที่คุณคิด” เขากล่าว สันหลังฉันเลยยิ่งวาบขึ้นทันตา ไม่ใช่ว่านายนี่เป็นxxเฝ้าคณะนะ  แต่คงไม่เหรอก เพราะxxจะไม่ออกมาตอนกลางวันแสกๆ
“อะ ค่ะ แล้วคุณ  เออ ”
”อาทครับ”
“ค่ะ แล้วคุณอาท ”
“คุณเรียกผมว่าอาทเฉยๆก็ได้ครับ”   
“ค่ะ อาท แล้ว คุณมาทำอะไรที่นี้ค่ะ” ฉันเริ่มเกิดอาการอยากรู้เรื่องชาวบ้าน ”หน้าตาดูมีความสุขอย่างนี้แสดงว่าคุณต้องมารอคนรักของคุณแน่ๆเลย” ฉันแกล้งแซวอย่างอดไม่ได้ พูดตามตรงนะว่าไอ้โรคอัธยาศัยดีเวอร์ก็เป็นอุปนิสัยของฉันอย่างหนึ่งเช่นกัน
“ครับ” เขากล่าวยิ้มๆ “ผมมารอ คนพิเศษ ครับ เขาอยู่ปีสองของคณะนี้”  เขาตอบเรียบๆ
โด่เอ๋ยมารอแฟนอะดิ
“ฉันคงต้องกลับบ้านแล้ว  บ๊าย บายค่ะ” ฉันบอกลาเจ้าหนี้แว่น
“เดี่ยวครับ” เขาส่งเสียงเพื่อให้ฉันหยุดเดิน และฉันก็กระทำตามความประสงค์นั้น
“ค่ะ” ฉันหันกลับมามองคนเรียก
เราจ้องหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง
“ไม่มีอะไรครับ” เขาพูด  ฉันรู้นะว่าเขาหมายถึงอะไร จะบอกฉันว่าที่หลังอย่าลืมเอาแว่นมาคืนละสิ
เจ้าพ่อ เจ้าแม่เอ๊ย เดี่ยวฉันจะบรรจุห่อมาคืนให้อย่างดีเลยคอยดู
                           
ฉันแวะร้านขายแว่นก่อนกลับคอนโด  กะว่าจะซื้อกล่องแว่นสำหรับเก็บแว่นที่ฉันไม่ได้เป็นเจ้าของ เพื่อจะได้ส่งคืนพร้อมแว่นเป็นการไถ่โทษที่ยึดแว่นมาใช่นาน ฉันวนเวียนอยู่ในร้านนั้นตั้งนานก่อนที่จะออกมาจากร้านพร้อมกับกล่องแว่นพลาสติกใส่สีกรมท่าที่ดูเรียบร้อย
งง อะดิ ว่าย่อหน้าข้างต้นมันแว่นอะไรกันนักกันหนา แค่อ่านซ้ำไปซ้ำมาเดี่ยวก็เข้าใจเอง ลองอ่านดูอีกรอบนะ
ฉันแวะร้านขายแว่นก่อนกลับคอนโด  กะว่าจะซื้อกล่องแว่นสำหรับเก็บแว่นที่ฉันไม่ได้เป็นเจ้าของ เพื่อจะได้ส่งคืนพร้อมแว่นเป็นการไถ่โทษที่ยึดแว่นมาใช่นาน ฉันวนเวียนอยู่ในร้านนั้นตั้งนานก่อนที่จะออกมาจากร้านพร้อมกับกล่องแว่นพลาสติกใส่สีกรมท่าที่ดูเรียบร้อย
โอ เค คงเข้าใจมาขึ้น  แต่ถ้างงกว่าเดิมก็ช่วยไม่ได้  แต่อ่านไปเรื่อยๆ  ก็จะเข้าใจเองอ่ะ
พอเลือกซื้อกล่องแว่นเสร็จ ฉันก็กลับคอนโดทันที  (ก็แหม่ ฉันมีงานกองเบอร์เรอเหอร์รออยู่นี่นา)
 
              _______________________________________________________ จบตอนที่ 2   
3/10/2547
-v[86Iritg0hk8jt mujxitmkol9bxyPPk.shdyxfbilv  vkg,o
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น