ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จากจุดๆหนึ่งบนเส้นขนาน

    ลำดับตอนที่ #2 : แว่นๆๆๆ

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.ค. 48


                      ถ้ามีการจัดประกวด ”ปีแห่งความโชคร้าย” ในปีนี้แล้วล่ะก็ ฉันหมั่นใจว่าฉันต้องได้ถ้วยรางวัลชนะเลิศแน่ และเผลอๆฉันอาจจะได้รับการคัดเลือกให้เข้ารับการแข่งขันในระดับโลกอีกด้วย

                      7:30 น. นาฬิกาส่งเสียงปลุกทำเอาฉันต้องแหกขี้ตาตื่นจากฝัน โดยไม่มีความจำเป็น แต่ด้วยความง่วงนอนตามประสาคนนอนดึก ฉันจึงมุดหัวลงไปใต้หมอนทันที่อย่างไม่สนใจใดๆในโลก แห่งความจริง

                      8:00 น. สะดุ้งจ๊าก! รีบลุกขึ้นจากเตียง อาบน้ำแต่งตัว   ข้าวเช้าก็ไม่ได้กิน คอนแทกเลนส์ก็ไม่ได้ใส่ ได้แต่คว้าแว่นกรอปรีแล้วปึงไปมหาลัย

                       8:45 น.มาถึงมาหาลัยโดยสวัสดิภาพ แต่ว่าความรู้สึกตะหงิดๆ กลับประทุขึ้นในก้าวแรกที่ฉันข้ามผ่านรั้วมหาลัย

                      “น้องคนนั้นนะ” น่านยังคิดไม่ทันจบก็มีเสียงดังมาจากทางด้านหลัง ฉันหันกลับไปดูตามสัญชาตญาณ ด้วยความตกใจกับภาพที่เห็น

                     “ น้อง    หลบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ !!!!!!!!!!!” ชายหน้าตาดีคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่บนรถจักยานตะโกนมาใส่ฉันอย่างสุดเสียง

                                                             ฉันจะรอช้าอยู่ใย  

                                                        จึงกระโดดหลบในบัดดล



    ‘’พลั่ก”

    “ว้าย”

    “เฮ้ย”

                เสียทั้งสามดังขึ้นพร้อมกัน เสียงแรกดังเพราะการที่ฉันกระโดดหลบรถจักยานไปชนเจ้าสิ่งที่อยู่ข้างเคียง เสียงที่สองดังมาจากปากของฉันเองที่ดันอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ ส่วนเสียงที่สามฉันขอเดาว่าต้องเกิดจากเสียงที่ฉันกระโดดไปชนเป็นแน่  ซึ่งฉันก็กลับมารู้เอาที่หลังว่าเสียงนั้นคือเสียงของมนุษย์

              กฎข้อที่สามของนิวตันว่าด้วยเรื่อง แรงกริยาเท่ากับเเรงปฏิกิริยา ปรากฏก้องอยู่ในหัวสมองของฉัน“อาจารย์ค่ะ”ฉันคิดถึงอาจารย์ที่เคยสอนฟิสิกส์ฉันเมื่อตอนมัธยมปลาย “หนูเข้าใจกฎข้อนี้แล้วค่ะ”ฉันคิดในใจ

             “โครม” แรงที่เกิดขึ้นกระทำให้ฉันล้มลงไปกองกับพื้น แว่นกรอปรีของฉันหลุดหายไป โลกของคนสายตาสั้นของคนอย่างฉันจึงเป็นเพียงแค่ภาพ เบลอๆ ”วันนี้ฉันโชคร้ายมามากเกินพอแล้วนะ” ฉันคิดอย่างหัวเสียขณะคว้านหาแว่นรอบตัว

            ”เออ…….ขอโทษครับ”เสียงๆหนึ่งดังขึ้น โสตประสาทของฉันรับรู้ได้ทันที่เลยว่าเสียงนี้เป็นเสียงของผู้ชาย(หล่อ)  ที่สำคัญคือเสียงนี้ฟังดูอ่อนโยนกว่าเสียงแรกที่ตะโกนใส่ฉันเยอะ  แต่อย่างไรก็ตาม ฉันยังคงต้องคว้านหาแว่นต่อไปตามแบบฉบับนางเอกของเรื่อง

            “ หาอะไรอยู่หรือครับ” เสียงนั้นถามฉัน

            ”แว่นค่ะ”ฉันตอบอย่างกระทัดรัดได้ใจความเหมาะสมกับสถานการณ์ที่รีบเร่ง”แว่นกรอปสีเลือดหมูนะค่ะ คุณพอจะเห็นไหม “ ฉันถามถึงสิ่งที่ฉันกำลังตามหา

                      เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ฉันได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆของเขา  

               “คุณสายตาสั้นเท่าไรครับ” เสียงเขาถามฉัน

                “ประมาน 400กว่าๆ ค่ะ”ฉันตอบนึกสงสัยไม่น้อยว่าเขาจะอยากรู้ไปทำไม

                ฉันได้ยินเสียงรูดซิปกระเป๋า ก่อนที่จะมีอะไรบางอย่างมาสวมเขาที่ใบหูของฉัน พร้อมสัมผัสจากปลายนิ้ว

                ฉันกลับมามองดาวโลกที่สวยงามดวงนี้ได้อีกหน ถึงแม้ว่าภาพที่อยู่ตรงหน้าจะทำให้ใบหน้าของฉันรู้สึกร้อนผ่าวมากขึ้นก็ตาม  ภาพใบหน้าของชายผู้หนึ่งที่ฉันไม่เคยรู้จักมาก่อนขนาดซูมปรากฏเด่นชัดตรงหน้าเมื่อฉันมองโลกใบนี้ชัดขึ้น

                ถึงแม้ว่าชายผู้นั้นจะมิได้มีหน้าตาหล่อเหลาเท่าใดนักแต่เขาก็เป็นชายหน้าใส่ผิวขาวไม่น้อยเลยที่เดี่ยว มือของเขาที่เคยสัมผัสกับใบหูของฉันบัดนี้ได้ถูกชักออกอย่างรวดเร็ว”ขอโทษครับ”เขากล่าวเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าตกใจจนร้อนผ่าวของฉัน

             ”เออ….ค่ะ”ฉันพูด อาการตกใจของฉันยังไม่หายดีนัก  ฉันจึงแก้อาการตกใจนี้โดยการขยับแว่นเล่น(พอเป็นพิธี)

              “เอ๊ะ!   นี้ไม่ใช้ แว่นของฉันนี่ค่ะ”ฉันบอกชายผู้นั้น

              “ครับ”เขาตอบ” เผอิญว่า แว่นตาของคุณตกลงมาแตก จนเลนส์แว่นแตกกระจายนะสิครับ”เขาบอกอาการแว่นตาของฉันและไม่ลืมที่จะนำซากของมาให้ฉัน เผื่อว่าฉันจะเก็บไว้ดูต่างหน้า ฉันจึงรีบเก็บมันใส่กระเป๋าของฉันอย่างระมัดระวัง

              “แล้ว…แว่นตาอันนี้ เออ เป็นของใครค่ะ” ฉันถามถึงแว่นตากรอปรีสีดำที่ฉันกำลังใส่อยู่ ” รึว่าจะเป็น”ฉันเริ่มเดาคำตอบ ”ของคุณ”

               “ครับ”เขาพยักหน้ารับ” แต่คุณไม่ต้องเกรงใจนะครับ เผอิญว่าผมมีแว่นตาสำรอง” เขาเคาะแว่นตาที่เขาใส่อยู่” เอาไว้เจอกันใหม่แล้วคุณค่อยคืนผมก็ได้”

               “แต่…เออ”ฉันเริ่มพูดเมื่อสังเกตุเห็นว่าเข็มที่ปักอยู่บนเสื้อนักศึกษาของเขาแตกต่างจากเข็มที่ปักอยู่บนเสื้อนักศึกษาของฉันโดยสิ้นเชิง

             “ อ๋อ” เขาพูดเหมือนเข้าใจความคิดของฉัน ”ยังไงผมก็ต้องกลับมาที่นี่อีกแน่ครับ”เขากล่าวแล้วฉุดให้ฉันยืนขึ้น

              แรกเริ่มที่มือของเราสัมผัสกัน สีของท้องฟ้าก็เปลี่ยนไปราวกับว่าท้องฟ้าผืนนั้นกำลังจะบอกเตือนอะไรบางอย่าง

                    ซ่า……ซ่า.. เม็ดฝนเทกระหน่ำ   ชายหญิงที่ยืนคุยกันอยู่กลางสนามต่างเปียกชุ่มไปด้วยหยาดฝน

                     ข้อคิดที่ฉันได้ในเช้านี้คือ น้ำเย็นสามารถทำให้คนใจเย็นลงได้เสมอ  เพราะมันทำให้ฉันใจเย็นลงเยอะสำหรับการไปเรียน(ไปเรียนวันพรุ่งนี้แทนก็ได้)

            

                       _______________________________________________________ จบตอนที่ 1





    4/กันยายน/2547

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×