ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Got7][yugbam][bnior] รักผมได้ไหม? #ฟิคif

    ลำดับตอนที่ #1 : ---ความรักเป็นสิ่งไร้นิยาม---

    • อัปเดตล่าสุด 25 ม.ค. 58


    ...ฝนตก...

     

    เป็นสายฝนที่กระหน่ำลงมาแรงกว่าทุกๆวันตั้งแต่เข้าสู่ช่วงฤดูฝนมา ชายหนุ่มในชุดลำลองภายในรถปลดแว่นกันแดดราคาแพงที่กำลังใส่ลงวางบนหน้าคอนโซลรถอย่างหงุดหงิด คิ้วเรียวขมวดมุ่นขณะพยายามเพ่งมองฝ่าสายฝนไปเบื้องหน้าเพื่อมองถนนให้ชัด...

     

    ถ้าไม่ใช่เพราะต้องมาติดฝนอยู่แบบนี้ ป่านนี้เขาคงขับรถถึงคอนโดที่พักย่านคังนัมไปแล้ว แต่นี่กลับต้องมาเสียเวลาขับๆหยุดๆอยู่บนถนนตั้งหลายชั่วโมง เหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือก็พบว่ามันเป็นเวลาเกือบจะตีหนึ่งเข้าไปแล้ว...

    Cause all of me. Loves all of you Love your curves and all your edges...

    เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์เครื่องบางที่วางนิ่งอยู่บนเบาะด้านข้าง เรียกให้ชายหนุ่มหันไปสนใจและหยิบมันขึ้นรับ

     

    “ครับ...”

    กรอกเสียงตอบรับแบบสุภาพไปตามสายเมื่อมองเห็นชื่อคนโทรเข้า หักพวงมาลัยรถเข้าจอดริมฟุตบาตรข้างทางเพราะรู้แน่ว่าคงเป็นเรื่องสำคัญ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงไม่โทรเข้ามาเวลานี้แน่ๆ

     

    ยูคยอม ฉันมีงานให้ทำ ว่างรึเปล่าล่ะช่วงนี้...

    “สำหรับพี่ผมว่างเสมอแหละครับ”

     

    เสียงทุ้มตอบยิ้มๆ เอื้อมมือไปหมุนปุ่มปรับเสียงเพลงให้ลดลงเพื่อจะได้ยินเสียงอีกฝ่ายชัดขึ้น

     

    อีกประมาณหกเดือนจะมีวงใหม่ในค่ายเดบิวต์ ฉันอยากให้นายแต่งเพลงให้หน่อย ขอสักสองสามเพลง ถ้าสนใจพรุ่งนี้เข้ามาคุยรายละเอียดที่บริษัท ฉันจะบอกเลขาไว้

     

    “สนใจสิครับ ต่อให้พี่ส่งเพลงมาร์ชเด็กอนุบาลมาให้ผมแต่ง ผมก็สนใจ”

    งั้นก็ดี พรุ่งนี้บ่ายโมงเจอกันที่บริษัทแล้วกัน ก่อนหน้านั้นฉันมีประชุม ถ้าฉันยังไม่ออกมาก็รอที่ห้องเหมือนเดิมนะ

    “ครับ พรุ่งนี้เจอกัน”

     

    มือใหญ่กดวางโทรศัพท์ก่อนจะเอนตัวพิงเบาะแล้วยืดตัวขึ้นสุดแขน รอยยิ้มกริ่มปรากฏชัดบนใบหน้าหล่อเหลา... 

    งานใหม่ มาพร้อมกับเงินก้อนโต...

     

    ชายหนุ่มเริ่มเข้าสู่วงการเพลงตั้งแต่อายุสิบเก้า ผ่านทางคุณอาที่เป็นโปรดิวเซอร์ให้ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของเกาหลี พรสวรรค์ด้านการแต่งเพลงของเขาโดดเด่นจนไปเข้าตาคนอื่นๆ และเขาก็เริ่มแต่งเพลงเป็นอาชีพตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ควบคู่กับการเรียนอย่างจริงจังในสาขาการโปรดิวส์เพลงไปด้วย รู้ตัวอีกทีก็ผ่านไปเกือบสี่ปีแล้วที่เขาเข้ามามีชื่ออยู่ในวงการนี้ ปล่อยเพลงดังติดชาร์ตอันดับไปหลายสิบเพลง ยิ่งส่งผลให้เขามีความน่าเชื่อถือและมีงานเข้ามาไม่ขาดมือ ไม่ว่าจะรถ คอนโด หรือแม้แต่เงินเก็บหลักร้อยล้านวอนที่มีอยู่ในธนาคารส่วนหนึ่งก็มาจากงานนี้ นอกเหนือจากนั้นการรู้จักลงทุนเล่นหุ้นในบริษัททำเพลงก็ทำให้เขามีรายได้อีกทางหนึ่ง...

    จะบอกว่าตอนนี้คุณสมบัติเขาครบแล้วก็ได้... หน้าตาดี มีเงิน มีชื่อเสียง...

    ....สิ่งที่ขาดอย่างเดียว...ก็คงเป็นความรัก...

     

    คงเป็นเรื่องจริงที่ว่าไม่มีใครบนโลกนี้มีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ได้อย่าง...ก็ต้องแลกมาด้วยบางอย่าง

    อันที่จริงเขาก็ไม่ได้โหยหามันนักหรอก... มีคนหลายคนผ่านเข้ามา...แล้วก็เดินจากไป...

    ถ้าถามเขาจริงๆแล้ว เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรักคืออะไร... ความรักแบบที่คนรักมีให้กัน เขาไม่เคยรู้สึกถึงมันเลยสักครั้ง...

     

    ชายหนุ่มถอนหายใจ ส่ายหัวเบาๆให้กับความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง ก่อนจะหันกลับมาหักพวงมาลัยมุ่งตัวรถฝ่าสายฝนกลับไปตามถนนสายเดิม...

     

    เสียงเพลงสากลจังหวะเนิบนาบจากแผ่นซีดีที่แล่นคลออยู่ในรถ ทำให้คนฟังอารมณ์เย็นลงบ้าง ตาเรียวมองประปรายไปยังทิวทัศน์สลัวสองข้างทางอย่างสำรวจเพราะไม่ค่อยได้ออกมาย่านนี้บ่อยนัก ถ้าไม่ใช่เพราะต้องมาติดต่องาน ส่วนใหญ่เขาก็ใช้ชีวิตอยู่แต่ในเขตตัวเมือง พอได้มาเห็นย่านธุรกิจอื่นๆบ้างเลยพลอยทำให้สนใจขึ้นมา... กวาดตาไล่ไปตามตึกสูงที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง ส่วนใหญ่ก็ดับไฟกันหมดแล้ว คงมีเพียงส่วนน้อยที่ยังเปิดไฟอยู่บนชั้นบนของตัวตึกบ่งบอกว่าคงยังมีใครบางคนใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความเงียบของยามค่ำคืน พอเลยจากย่านบริษัทก็จะเข้าสู่เขตตึกพักอาศัยที่จะมีทางเดินฟุตบาตรทอดยาวเคียงแม่น้ำอยู่เป็นพักๆ...

     

    ...ตาเรียวสะดุดกึกลง เมื่อมองเห็นร่างของใครคนหนึ่งเดินเอื่อยๆอยู่ท่ามกลางสายฝนที่กำลังตกกระหน่ำ แวบแรกเขาคิดว่าอาจจะเป็นผีหรือวิญญาณก็ได้...ใครที่ไหนจะบ้ามาเดินเล่นกลางฝนแบบนี้...

    แต่เมื่อเห็นร่างนั้นล้มลงพร้อมกับเงาของกระเป๋าลากใบใหญ่ข้างตัวนั่นแหละ เขาถึงรีบจอดรถแล้ววิ่งฝ่าสายฝนลงไปดู...

     

    ร่างบางของใครคนหนึ่งนอนแผ่หลาไม่ได้สติอยู่บนพื้นฟุตบาตร โชคดีที่เมื่อสำรวจเอาคร่าวๆแล้วเจ้าตัวไม่ได้บาดเจ็บอะไรนอกจากหมดสติไปเท่านั้น ยูคยอมชั่งใจอยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนสติฝ่ายดีจะสั่งให้เขาอุ้มตัวอีกฝ่ายมาไว้ในรถพร้อมกับกระเป๋าลากใบโตเพื่อจะพาไปส่งโรงพยาบาล

     

    “คุณ... เป็นยังไงบ้าง ได้ยินผมรึเปล่า ตอบผมหน่อย คุณ...คุณ”

     

     มือใหญ่ตบแก้มอิ่มใสเบาๆเพื่อหวังจะเรียกสติคนกำลังหลับ เอื้อมหยิบผ้าขนหนูที่บังเอิญติดรถมาด้วยคลุมตัวให้ร่างบางที่กำลังสั่นเทาด้วยความหนาว เรียกอยู่ชั่วครู่ ตากลมโตสีดำขลับก็ค่อยปรือเปิดขึ้นครึ่งหนึ่ง ปากอิ่มขยับพะงาบราวกับกำลังพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง

     

    “คุณ... เป็นอะไรรึเปล่า เจ็บตรงไหนมั้ย?

    “ง่วง... ง่วงจัง...”

    “ฮะ... “

    ปากบางอ้าค้าง งุนงงกับถ้อยคำที่อีกฝ่ายเพิ่งจะพูดออกมา ง่วง?... นี่แสดงว่าเจ้าตัวไม่ได้เป็นอะไรใช่มั้ยเนี่ย...

     

    “คุณ... ไปโรงพยาบาลมั้ย ตื่นมาคุยกับผมก่อน ทำไมไปนอนล้มบนฟุตบาตรแบบนั้นล่ะ... คุณ...”

     

    เสียงทุ้มพยายามถามต่อ เลื่อนมือใหญ่ขึ้นแตะบนหน้าผากเล็กเพื่อจะวัดอุณหภูมิ แต่ก็พบเพียงความเย็นเฉียบแล่นผ่านมาที่ฝ่ามือเท่านั้น... ชั่วครู่มือบางทั้งสองข้างของคนป่วยก็เอื้อมแตะลงบนหลังมือของเขาแผ่วเบา ดวงตากลมเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาหยดใส ก่อนจะเริ่มต้นร่วงเผาะลงพร้อมกับอาการสั่นเทาที่ถูกถ่ายทอดมาจนชายหนุ่มรู้สึกได้

     

    “ฮึก... ใจร้าย... พี่แจบอมใจร้าย...”

    มือบางบีบหลังมือเขาแน่นขึ้น ดวงตากลมฉ่ำน้ำตาเปิดขึ้นเต็มที่พลางช้อนมองเขาอย่างกล่าวโทษและตัดพ้อ...

    ชายหนุ่มนิ่งค้าง มองสบดวงตากลมนั่นกลับไปราวกับต้องมนต์สะกด... มือใหญ่อีกข้างเผลอยกขึ้นแนบแก้มนิ่มไว้โดยไม่รู้ตัว...นึกสงสารคนตรงหน้าขึ้นมาจับใจแม้จะยังไม่รู้เรื่องราวอะไร...ถ้าโดนทำหน้าแบบนี้ใส่ เป็นใครก็อดสงสารไม่ได้อยู่แล้ว...

    ยูคยอมเรียกสติตัวเองกลับมาอีกครั้ง ก่อนจะค่อยแกะมือบางนั่นออกจากการเกาะกุม มองร่างเล็กที่กำลังสั่นเทาเพราะแรงสะอื้น พลางยกมือขึ้นแตะหน้าผากตัวเองอย่างหมดหนทาง... เอาไงดีล่ะเนี่ย... ไม่ใช่ว่าเขาไปรับคนเสียสติขึ้นรถมานะ...

     

    “เอ่อ... ตกลงคุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ย งั้นคุณช่วยบอกทางไปที่พักคุณหน่อย เดี๋ยวผมจะพาไปส่งให้ หรือว่าคุณกำลังจะไปที่ไหนรึเปล่า อย่างสถานีรถไฟ หรือว่าป้ายรสบัส... อา... บางทีคุณอาจจะเพิ่งเจอเรื่องอะไรร้ายแรงมา คุณอาจจะอยากไปสถานีตำรวจ คือถ้าคุณจะไปไหนคุณก็บอกผะ...”

     

    เสียงทุ้มชะงักกึกเมื่อเบนหน้ากลับมาแล้วพบว่าตากลมของอีกฝ่ายปิดลงเหมือนเช่นตอนแรก ลมหายใจสม่ำเสมอพ่นออกจากปากอิ่มบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงหลับสนิทไปเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มถอนหายใจเบา จำใจหันกลับมาหักพวงมาลัยรถตัวเองกลับลงสู่ถนนอีกครั้งอย่างไม่มีทางเลือก...

     

    ดูแล้วคงไม่เป็นอะไรมาก... ตัวก็ไม่ได้ร้อนอะไรด้วย จะมีก็แค่อาการเพ้อ ถึงเขาพาไปโรงพยาบาลตอนนี้ก็คงมีแค่แผนกฉุกเฉินที่เปิด และแผนกฉุกเฉินก็คงจะไม่รับแน่ๆ... ยังไงพาไปพักที่คอนโดเขาแล้วรอดูอาการสักคืนก่อนอาจจะดีกว่า... ดูท่าทางก็คงไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ตัวก็เล็กแค่นี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นเขาคงพอจะป้องกันตัวเองได้... ถือซะว่าช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็แล้วกัน...

    ........................................................................

     

    ร่างสูงนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาสีน้ำเงินเข้มนุ่มสบายที่จัดมาให้เข้าชุดกับห้องที่เขาพักอยู่ได้พอดี กระจกใสบานสูงจรดเพดานห้องเผยให้เห็นวิวจากแสงสีที่ไม่เคยดับลงของย่านคังนัม กลายเป็นเหมือนทะเลดาวขนาดย่อมๆที่เขามักใช้เวลามองอยู่เงียบๆทุกค่ำคืน... เปลี่ยนไปแค่วันนี้สิ่งที่เขาให้ความสนใจกลับกลายเป็นร่างบางที่นอนคุดคู้อยู่บนโซฟาด้านตรงข้ามแทน

    หลังจากพามาที่ห้อง และทุลักทุเลเปลี่ยนเสื้อผ้าเช็ดตัวให้ได้สักครู่ เขาก็พาร่างบางลงมานอนที่นี่และเฝ้าดูกิริยาของเจ้าตัวมาได้สักพัก ไม่ใช่ว่าเขาไม่ไว้ใจหรืออะไร... แต่แค่รู้สึกว่าปล่อยไว้ไม่ได้... ราวกับว่าร่างบางพร้อมจะแตกสลายลงอย่างง่ายดาย ถ้าเขาละสายตาไป...

    เขารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเอียดอาดลั่นมาจากด้านตรงข้าม ขยับสายตามองก็พบว่าคนที่นอนอยู่พยายามดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง ตากลมกระพริบปริบสองสามครั้ง ก่อนจะเบิกกว้างขึ้นมองเขาและหันมองรอบตัวอย่างตื่นตระหนก...ท่าทางเหมือนกวางที่กำลังหลงฝูงอย่างไรอย่างนั้น...

    “คุณเป็นอะไรมากรึเปล่า?”

     

    เสียงทุ้มเอ่ยถาม ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นแล้วเดินไปใกล้คนตัวเล็กที่พยายามถดตัวถอยหนีเขาไปด้านหลัง

     

    “ฟุตบาตรไม่ใช่ที่นอนเล่นนะ ไม่กลัวคนเดินไปเดินมาเหยียบเอารึไง”

    ใบหน้าหล่อยิ้มขำ ก้าวขาตัวเองถอยไปก้าวหนึ่งอย่างจะพยายามไม่ให้อีกฝ่ายตกใจมากไปกว่าเดิม

     

    “ผมเจอคุณนอนอยู่ตรงฟุตบาตรตอนผมขับรถผ่าน ตอนแรกก็จะพาไปโรงพยาบาล แต่เห็นคุณละเมออะไรเยอะแยะ ผมคิดว่าคงไม่เป็นอะไรเลยพามานอนที่นี่ ตัวคุณก็ไม่ร้อนด้วย ว่าแต่ทำไมถึงไปนอนตรงนั้นได้ล่ะ”

     

    ตากลมมีแววงุนงงเล็กน้อยขณะจ้องมองเขา ก่อนจะสลดลงและค่อยช้อนมองเขาอีกครั้งอย่างเข้าใจเรื่องตรงหน้ามากขึ้น

     

    “ขอโทษที่ทำให้ลำบาก... ผมคงแค่เหนื่อยไปหน่อย ขอบคุณที่ช่วยนะ...”

    ปากอิ่มกล่าวขอบคุณ พยายามดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง หันมองหากระเป๋าก็พบว่ามันวางพิงอยู่ที่โต๊ะไม่ไกลกันนัก

     

    “ผมคงไม่รบกวนคุณแล้ว ยังไงผมขอเบอร์คุณไว้ได้มั้ย ไว้คราวหน้าผมจะตอบแทน...”

    ร่างเล็กเซนิดหนึ่งเมื่อจะลุกขึ้นยืน จนอีกฝ่ายต้องปรี่เข้ามาช่วยประคอง

     

    “คุณนอนที่นี่ก่อนก็ได้ เพิ่งจะตีสาม เดี๋ยวตอนเช้าคุณค่อยไป ผมไม่ได้ว่าอะไรหรอก...”

    “ห้องพักผมอยู่ใกล้ๆนี่ เดินแปปเดียวก็ถึง...”

    “ใกล้ๆนี่คือตรงไหนน่ะ ย่านนี้น่ะเหรอ...”

    “ใช่ ผมจำได้ว่าผมหมดสติตอนที่มองเห็นป้ายตึกของผม งั้นที่นี่คงไม่ไกลมากใช่มั้ย...”

     

    เสียงหัวเราะขำอย่างไม่เกรงใจดังออกจากปากคนตัวสูงจนคนฟังอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้

    “นี่มันคังนัมนะคุณ คุณจะเดินกลับไปจริงๆเหรอ”

     

     คนตัวเล็กตาโตเมื่อฟังประโยคนั้นจบ รีบชันตัวขึ้นนั่งตรงพลางหันซ้ายขวาเพื่อสำรวจโดยรอบทันที... ห้องพักที่ตกแต่งอย่างดูดีมีรสนิยมบ่งบอกฐานะของเจ้าของได้เป็นอย่างดี การที่จะมีคอนโดอยู่แถวคังนัมได้ต้องเป็นคนมีเงินเท่านั้น... แล้วนี่ถ้าเขาจะตอบแทน เขาต้องเลี้ยงอะไรถึงจะสมฐานะของอีกฝ่ายกันละเนี่ย...

     

     “ถ้าคุณไม่เป็นอะไรแล้วก็ไปอาบน้ำซะสิ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมไปส่งที่ตึกคุณก็ได้ ยังไงพรุ่งนี้ผมก็ต้องผ่านไปแถวนั้นอยู่แล้ว”

     

    เสียงทุ้มพูดพลางยื่นผ้าขนหนูส่งให้อีกฝ่าย มองอาการสงบนิ่งของคนตัวเล็กแล้วได้แต่ยิ้มบาง... คงไปเจออะไรมาแน่ๆสภาพถึงได้สะบักสะบอมแบบนี้... อย่างน้อยเขาก็โชคดีล่ะนะที่อีกฝ่ายไม่ใช่คนร้าย  หรือคนเสียสติ เท่าที่ดูตอนนี้ก็พอจะพูดกันรู้เรื่องแล้วด้วย

     

    “ว่าแต่... คุณจำได้มั้ยว่าพูดอะไรกับผมไปบ้างตอนอยู่บนรถ...”

     

    ตากลมมองเขา ก่อนจะส่ายหัวน้อยๆเป็นการยืนยันว่าเจ้าตัวจำอะไรไม่ได้เลย

     

    “แล้วก่อนหน้านั้นล่ะ... คุณไปทำอะไรมา”

    ใบหน้าหวานส่ายหน้าน้อยๆ

    “ผมไม่ตอบได้มั้ย...”

     

    คนฟังพยักหน้ารับแล้วหัวเราะเก้อๆ เพราะเข้าใจว่าคงไปถามอะไรที่ไม่สมควรเข้า

     

    “ห้องน้ำอยู่นั่น ไม่ต้องเกรงใจ ชุดผมอยู่ในตู้ในห้องแต่งตัวติดกันนั่นแหละ หยิบชุดไหนมาใส่ก่อนก็ได้”

     

    มือหนายกขึ้นชี้บอกทิศไปห้องน้ำเพื่อให้คนตัวเล็กเข้าไปชำระล้างร่างกาย  

    อีกฝ่ายมีท่าทีอึกอักในตอนแรกแต่สุดท้ายก็ยอมลุกเดินไปเข้าห้องน้ำโดยดี ก่อนสักครู่เจ้าตัวจะกลับออกมาในชุดเสื้อแขนยาวตัวโคร่งกับกางเกงนอนขายาวที่ถูกพับขึ้นให้พอดีกับขนาดตัว เส้นผมสีดำขลับเปียกแนบลงทำให้รู้มันยังไม่แห้งดีนัก

     

    ร่างสูงส่งยิ้มบางพลางเดินตรงมาที่โซฟาพร้อมกับแก้วที่มีควันลอยกรุ่นสองใบ จัดการวางแก้วหนึ่งลงตรงหน้าคนตัวเล็กแล้วนั่งมองอิริยาบถของอีกฝ่ายเงียบๆ ...ตัวเล็ก ใบหน้าน่ารักไร้เดียงสา กับแก้มกลมๆนั่นทำให้เขาคิดเอาเองว่าเจ้าตัวอาจจะยังเรียนมัธยมปลายอยู่ก็ได้... ยิ่งท่าทางน่ารักราวกับลูกแมวที่กำลังแลบลิ้นเพราะดันไปสัมผัสความร้อนของน้ำชาเข้าทำให้เขายิ้มออก... น่ารัก...ดูยังไงๆก็น่ารัก...

     

    “ผมชื่อยูคยอม อ่า...บางทีคุณอาจจะรู้จักผมอยู่แล้ว... “

    ชายหนุ่มบอกเสียงเบา นึกถึงใบหน้าตัวเองที่ไปปรากฏหราอยู่ตามสื่อตลอดหลายปีที่ผ่านมา... คิดว่าอย่างน้อยเจ้าตัวคงเคยได้ยินชื่อเขา หรือไม่อาจจะรู้จักเขามาบ้าง แต่ปฏิกิริยาตอบรับจากอีกฝ่ายกลับทำให้ความมั่นใจของเขาหดหายไปจนหมด...

     

    “ทำไมผมถึงต้องรู้จักคุณด้วยล่ะ...”

    เป็นคำถามซื่อๆที่ทำเอาคนฟังถึงกับกุมขมับ... คนๆนี้ได้แตะต้องสื่อบ้างรึเปล่าเนี่ย... อย่างน้อยก็ต้องรู้จักชื่อเขาบ้างสิ...

     

    “อา...ช่างเถอะ... ว่าแต่คุณชื่ออะไรล่ะ...”

    “ผมเหรอ...” เสียงเล็กถาม หยุดกลืนน้ำชาลงคอตัวเองก่อนจะอ้าปากตอบ

    “ผมชื่อแบมแบม...”

    “เป็นชื่อที่แปลกดีเนอะ เป็นชื่อที่หาได้ยากในเกาหลีเลยล่ะ”

    “ก็ผมไม่ใช่คนเกาหลีนี่...”

     

    คำพูดนั้นทำให้ชายหนุ่มอ้าปากค้างเป็นรอบที่สองของวัน...

    “แต่คุณพูดเกาหลีชัดซะขนาดนี้... หรือมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็ก... อยู่แค่ม.ปลายถึงได้พูดเกาหลีซะคล่องเชียว...”

    “ม.ปลาย?

    คิ้วเรียวเลิกยกขึ้นเป็นเชิงถาม

    “ผมอายุ 25 แล้วนะ”

     

    คนฟังแทบจะพ่นน้ำชาออกมาเมื่อฟังประโยคนั้นจบ ความจริงที่เขาได้รู้จากอีกฝ่ายทำให้ความเข้าใจของเขาคลาดเคลื่อนไปหมด... นี่สรุปว่าคนตรงหน้าอายุมากกว่าเขาอีกเหรอเนี่ย... แถมยังไม่ใช่คนเกาหลีด้วย... นี่มันน่าทึ่งเกินไปแล้ว...

     

    “ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกนะ คุณไม่ใช่คนแรกที่คิดแบบนั้นหรอก”

    “งั้นผมก็ต้องเรียกคุณว่าพี่...”

    “มันเป็นธรรมเนียมของเกาหลีนี่นะ แต่ผมไม่ได้ถืออะไรหรอก อีกอย่างเราก็คงไม่ได้เจอกันบ่อยขนาดจะต้องมานับลำดับชั้นอะไรแบบนั้น... วันพรุ่งนี้ผมก็ไปแล้ว... อ้อ...อาจจะเจอกันแค่อีกครั้งเดียวตอนที่ผมนัดเลี้ยงข้าวคุณเป็นการตอบแทน”

    คนฟังหัวเราะพรืด ถูกใจกับท่าทีนิ่งๆตรงๆของอีกฝ่ายที่ต่างจากลักษณะภายนอกโดยสิ้นเชิง...นึกสงสัยว่าคนขี้อ้อนที่มาเสียน้ำตาต่อหน้าเขาหลบหายไปตั้งแต่เมื่อไรแล้ว

     

    “ใจคอคุณจะไม่อยากได้คนรู้จักเพิ่มสักหน่อยเหรอ ผมโปรไฟล์ดีนะ ถ้าคุณได้ผมเป็นรุ่นน้องผมอาจจะช่วยอะไรคุณได้เยอะเลยล่ะ”

    “ถ้าจะเป็นเพื่อนกันก็เพราะคุยกันรู้เรื่อง... ไม่ใช่เพราะผลประโยชน์แบบที่คุณว่า”

    “งั้นผมว่าผมเข้ากับคุณได้นะ... มารู้จักกันมากกว่านี้ดีมั้ย ผมเรียกคุณว่าพี่ได้รึเปล่า?

    “แล้วแต่คุณแล้วกัน... ถ้าคนระดับคุณจะอยากได้ผมเป็นเพื่อนน่ะนะ”

    “ไม่ใช่เพื่อน... รุ่นพี่ต่างหากล่ะ... ยินดีที่ได้รู้จักครับพี่”

     

    ใบหน้าหล่อส่งยิ้มกว้าง ยื่นมือตัวเองไปตรงหน้าเพื่อรอสัมผัสจากมือเล็กของอีกฝ่ายที่ยื่นตอบกลับมาในเวลาไม่นานนัก

    “ยินดีที่ได้รู้จัก... ยูคยอม...”

     

    เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นรอยยิ้มจากอีกฝ่าย เป็นรอยยิ้มเศร้าๆที่พลอยทำให้หัวใจเขาเต้นแปลกๆ...

    รอยยิ้ม...ที่เขาถึงแม้ว่ามันจะน่ามองแต่ในใจเขากลับไม่ชอบเอาซะเลย...

    ...ถ้าคนๆนี้ยิ้มเพราะมีความสุข... มันจะน่ามองกว่านี้ซักเท่าไรกันนะ...

     

    ความเงียบลอยตัวอ้อยอิ่งอยู่ระหว่างคนทั้งคู่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดอะไร... ตรงกันข้าม ต่างคนต่างก็กำลังจมลึกลงสู่ห้วงความคิดของตัวเอง... คนหนึ่งคิดถึงอนาคต... ส่วนอีกคนกำลังคิดถึงอดีต...

     

    ....อดีตที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะลบเลือนมันได้อย่างไร...

    ...................................................................................................................................
    TALK
    สวัสดีค่ะทุกท่าน
    ยินดีต้อนรับนะคะ

    #ฟิคif

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×