ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Got7][yugbam][bnior] รักผมได้ไหม? #ฟิคif

    ลำดับตอนที่ #4 : ---กาลเวลานำทุกสิ่งให้เคลื่อนไป---

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.พ. 58



    ร่างสูงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงมองตามร่างบางที่เดินไปเดินมาอยู่ในห้องด้วยท่าทีสงบลง คนตัวเล็กเลิกร้องให้แล้ว แต่คราวนี้กลับเอาแต่บ่นเขาแทน...

     

    “จะไปหาเรื่องทำไม ไม่กลัวตายรึไง... เจ็บตัวเข้าโรงพยาบาลไปฉันจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่ารักษานายเล่า”

     

    ร่างบางนั่งลงตรงหน้า หยิบกล่องพยาบาลใบเล็กออกมาแกะ พลางยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาที่เกาะค้างอยู่บนแก้มเนียน ตากลมดูบอบช้ำลงจากการร้องให้อย่างหนักเมื่อครู่

     

    “ผมช่วยพี่นะ มาด่ากันทำไมเนี่ย”

    “ก็...” เสียงหวานขาดห้วง เงยหน้าขึ้นสบตาเขาแล้วส่งค้อนวงใหญ่มาให้ ปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น

    “เป็นห่วงเหรอ...” คนโดนด่าถามกวนประสาท ยกรอยยิ้มขึ้นแต่แล้วก็ต้องร้องโอ๊ยออกมาเพราะแผลที่มุมปาก

    “สมน้ำหน้า... พูดมากดีนัก”

    “ใจร้าย...” เสียงทุ้มตัดพ้อ ทำหน้าเหมือนลูกหมาที่กำลังอ้อนเจ้าของ ยื่นหน้าให้อีกฝ่ายทำแผลแต่โดยดี

    “แล้วโทรไปเรียกตำรวจเอาตอนไหน อีกอย่างทำไมเขาถึงขับผ่านเราไปเฉยๆล่ะ เพื่อนนายไม่ใช่รึไง”

    “เปล่า... ไม่ได้โทรเรียก ผมไม่ได้มีเพื่อนเป็นตำรวจ แล้วก็ไม่มีคนรู้จักคนไหนเป็นตำรวจด้วย”

     

    ใบหน้าหล่อตอบทั้งๆที่ยังหลับตา ยกมุมปากอีกด้านขึ้นเป็นรอยยิ้ม

    “แค่ขู่ไปอย่างนั้น ถ้าไม่รอดผมก็กะจะพาพี่ขึ้นรถแล้วขับหนี ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีรถตำรวจผ่านมาจริงๆ โอ๊ย!...เจ็บ..”

     

    คนตัวสูงคราง ยกมือขึ้นแตะปากตัวเองเพราะถูกสำลีในมือบางกดเข้าที่แผลแรงๆตามระดับความหมั่นไส้ของคนทำแผลให้

    “โตแต่ตัวรึไงนายเนี่ย น่าจะปล่อยให้พี่แจบอมชกอีกสักหมัดสองหมัด...”

     

    เสียงเล็กบ่นกระปอดกระแปด ตั้งหน้าตั้งตาเช็ดสำลีลงบนแผลอย่างเบามือลง โดยไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มของคนตรงหน้าเลือนหายไปแล้ว มีเพียงสายตาของอีกฝ่ายที่ทอดมองมาอย่างสลดลง... มือหนายกขึ้นจับข้อมือบางที่กำลังเช็ดแผลไว้แล้วดันออก ก่อนจะจ้องลึกไปในดวงตากลมของคนตรงหน้า...

     

    “จะกลับไปหาเค้ามั้ย?

    ตากลมมองตอบกลับมาชั่วครู่ ก่อนจะรีบเบนหน้าหนีสายตาอ้อนวอนนั่นไปทางอื่น

     

    “ผมยุ่งมากเกินไปเหรอ...”

    เสียงทุ้มตัดพ้อ ปล่อยมือตัวเองออกจากข้อมือบางเมื่อเพิ่งคิดได้ว่าตัวเองคงจะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายมากไป... รู้จักกันแค่ไม่กี่วัน... เขาไม่มีสิทธิ์ไปล่วงล้ำความรู้สึกของอีกฝ่ายมากขนาดนี้...


    ใบหน้าหวานเบนกลับมาหาคนตรงหน้า ถอยตัวออกห่างนิดหนึ่ง ก่อนจะเริ่มเปิดปากพูดเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดไปมากกว่านี้...

    “ไม่... ไม่อยากกลับ... แต่ฉันไม่ไว้ใจตัวเอง ...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเผลอให้อภัยง่ายๆอีกตอนไหน... นี่มันไม่ใช่ครั้งแรกหรอก... ฉันกลัวว่าตัวเองจะกลับไปทำแบบเดิมซ้ำๆอีกเพราะทนเหงาไม่ไหว... โง่เนอะ...”

     

    เสียงเล็กหัวเราะขื่นๆ หยิบสำลีอีกก้อนมาหยดยาเพื่อจะทำแผลให้ตัวเองบ้าง แต่ถูกมือใหญ่ดึงสำลีไปแล้วเป็นฝ่ายเริ่มทำแผลให้อย่างเบามือ ริมฝีปากบางพ่นลมเบาๆลงบนแผลหลังจากทำความสะอาดเสร็จ ตาเรียวหันขึ้นสบดวงตาเขาอีกครั้ง...มองเห็นความรู้สึกมากมายปนเปกันอยู่ในนั้นจนเขาพูดอะไรไม่ออก...

     

    “เป็นผมแทนก็ได้นะ... ถ้าพี่เหงา... พี่ไม่จำเป็นต้องกลับไปเจออะไรแบบนั้นอีก... พี่ไม่ต้องทนเจ็บแล้ว...”

    หัวใจคนพูดเต้นแรงขึ้น... ไม่เข้าใจความรู้สึกที่ตัวเองกำลังเป็นอยู่ดีนัก... รู้แค่ว่าไม่อยากเห็นคนตรงหน้านี่ร้องให้อีกก็เท่านั้น...


    “ผม... ไม่อยากเห็นพี่ร้องให้อีก...”

    แบมแบมมองสบตาคนพูด... แม้จะไม่มั่นใจนัก แต่ก็รับรู้ได้ว่ามีบางอย่างอยู่ในคำพูดนั้น... ความรู้สึกบางอย่าง...ที่เขายังไม่พร้อมจะรับมันตอนนี้...

     

    “ไม่มีใครแทนใครได้หรอกนะ...”

    เสียงหวานบอกเบา ถอยตัวเองลุกขึ้นมายืนข้างเตียง

    “มันเป็นปัญหาที่ฉันต้องแก้ด้วยตัวเอง... อาจจะใช้เวลาอีกสักพัก... ระหว่างนี้ถ้านายรำคาญฉันที่เป็นแบบนี้ล่ะก็ จะเลิกนับถือฉันเป็นรุ่นพี่ก็ได้นะ...”


    คนฟังมีแววตาผิดหวังลง... ร่างหนาขยับไปใกล้ขึ้น แต่ก็ลังเลที่จะคว้ามือบางของคนตรงหน้าขึ้นมาจับอีกครั้ง...

    “ที่ฉันจะบอกคือ... นายก็คือนาย ไม่ต้องพยายามไปแทนที่ใครทั้งนั้น... เป็นอย่างที่นายอยากจะเป็นก็พอ... ตกลงมั้ย...”

     

    ยูคยอมมองคนตรงหน้าครู่หนึ่งด้วยสายตาที่แปลความหมายไม่ออก... ก่อนจะพยักหน้าเบาๆอย่างเข้าใจและยอมรับ..

    ...ก็นะ... นอกจากรอเวลาแล้วเขาจะทำอะไรได้ล่ะ...

     

    “สองทุ่มแล้ว... ยังขับรถไหวใช่มั้ย ฉันว่านายรีบกลับคอนโดดีกว่านะ เดี๋ยวจะถึงที่นั่นดึก...”

    “ถ้าผมบอกว่าไม่ไหว... พี่จะให้ผมนอนที่นี่มั้ย...”

    ถามกลับด้วยเสียงอ่อน ทำท่าดื้อดึงราวกับเด็กเล็กๆที่ไม่อยากจากของเล่นชิ้นโปรด

    คนฟังถอนหายใจพรืด จ้องมองคนตัวโตตรงหน้าพลางขมวดคิ้วน้อยๆ

    “ยูคยอม...” ออกปากเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงนิ่งๆเหมือนกับคุณครูที่กำลังปรามเด็กคนหนึ่ง เล่นเอาคนฟังทำหน้าหงอย ยอมลุกขึ้นยืนแต่โดยดี

    “ก็ได้... งั้นพรุ่งนี้ตอนบ่ายผมจะเข้าไปเซ็นสัญญาที่บริษัท... หวังว่าถ้าเป็นเรื่องงานพี่คงไม่ใจร้ายไล่ผมอีกนะ”

    “อืม... ไปได้แล้ว”


    ใช้มือดันแผ่นหลังหนาไปที่ประตู เจ้าตัวขัดขืนนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ออกไปยืนคอตกอยู่ที่หน้าประตูห้องอย่างจำยอมจนได้...

    “ไม่ไปส่งผมเหรอ...” คนเป็นรุ่นน้องยื้อจนวินาทีสุดท้าย แต่เมื่อได้เห็นคิ้วบางของอีกฝ่ายขมวดลงอย่างดุๆแล้ว ก็ได้แต่โบกมือลาก่อนจะหันหลังกลับเพื่อเดินออกไป...


    “เดี๋ยว...”

    เสียงเรียกห้วนๆนั้นทำให้คนฟังหันหลังควับแทบจะทันที รอยยิ้มกว้างถูกประดับลงบนใบหน้าหล่ออย่างจะบอกว่าดีใจจนปิดเอาไว้ไม่มิด... แต่เมื่อถูกหย่อนถุงที่มีกล่องพลาสติกสีใสใส่ลงบนมือ ใบหน้าของคนรับถึงได้สลดลงอย่างเดิม...


    “ฉันทำแซนวิชเก็บไว้เมื่อเช้า ตอนเย็นยังไม่ได้กินอะไรไม่ใช่เหรอ เอาไปไว้รองท้องตอนขับรถแล้วกัน กว่าจะถึงในเมืองนายคงหิว ขับรถดีๆนะ”


    บอกลาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะปิดประตูห้องลงอย่างไม่ใยดี ทิ้งให้คนตัวสูงเดินทำหน้ามุ่ยขมุบขมิบปากบ่นลมบ่นฟ้าไปเรื่อยจนมาถึงรถตัวเอง...


    ...ใครอยากได้กันล่ะ...แซนวิชเนี่ย...

    ...ผมอยากได้พี่ต่างหาก...

    ........................................................................................................................................................    

    แจบอมมาถึงบริษัทที่ตัวเองทำงานในเวลาไม่เช้านัก... อันที่จริงเรียกว่าเกือบสายน่าจะถูกกว่า เพราะอีกเพียงห้านาทีเขาก็จะเลยเวลาเข้างานแล้ว ร่างสูงพ่นลมหายใจอย่างโล่งอกหลังจากแสกนบัตร ก่อนจะเดินตรงเข้าไปที่แผนกฝ่ายออกแบบของตัวเองอย่างเคยชิน ด้วยตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายออกแบบทำให้เขาได้รับการทักทายจากลูกน้องในแผนกตลอดทาง เปิดประตูกระจกก่อนจะเข้าประจำที่ในห้องทำงานที่ถูกจัดตกแต่งไว้อย่างดูดีสมกับงานที่ทำอยู่...


    จริงๆแล้วถ้าไม่ใช่เพราะเส้นสายจากลุงเขาก็คงไม่ได้ตำแหน่งหัวหน้าแผนกในบริษัทใหญ่อย่างนี้มาง่ายๆ เพราะคนเก่งๆที่ตั้งใจจะเข้ามาทำงานที่นี่ก็มีอยู่เต็มไปหมด แต่ด้วยใบปริญญาที่กำกับด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากมหาวิทยาลัยชื่อดังทำให้ไม่มีใครครหาเขาได้มากนัก แค่เห็นนามสกุลเขาก็คร้านจะกลัวกันหัวหดจนไม่กล้าพูดอะไร... แต่เมื่อรับตำแหน่งมาแล้ว เขาก็เต็มที่กับงานเสมอ เพราะคิดไว้ในใจว่าไม่อยากให้มีใครมาดูถูกภายหลังได้ ดังนั้นหลังจากเข้าทำงานที่นี่มาเกือบห้าปีเขาจึงกลายเป็นที่ยอมรับของคนทั้งแผนก และใช้ชีวิตเสเพลสลับกับทำงานไปเรื่อย...


    ...มันก็มีความสุขดีจนกระทั่งวันก่อน...

    ...เขาไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตจะต้องมาพลาดกับเรื่องความรัก... พลาดจนอยากจะตบหน้าตัวเองสักสิบที...

    ...แค่ทำให้เขาคิดมากจนนอนไม่หลับมาสองวันได้...เท่านี้เขาก็รู้แน่แล้วว่าแบมแบมมีผลต่อเขามากขนาดไหน...


    ตาเรียวปรือลงนิดหนึ่งอย่างคนอดนอน ขณะกำลังจรดปากกาเซ็นลายเซ็นลงในเอกสาร แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเคาะไม่เบานักดังมาจากหน้าประตู พอหันมองผ่านประตูกระจกใสและพบว่าใครมาเยือน ร่างสูงก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วก้าวยาวๆเดินไปเปิดประตูทันที


    เป็นลุงของเขา หนึ่งในคณะกรรมการผู้บริหารที่มาเยือนถึงห้องพร้อมกับเด็กหนุ่มอีกคนที่เขาไม่คุ้นหน้า หลังจากจัดแจงให้ทั้งคู่นั่งพักและสั่งลูกน้องให้เอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟเรียบร้อย ฝ่ายผู้อาวุโสกว่าจึงเริ่มเปิดประเด็นขึ้นก่อน


    “ทำงานเป็นไงบ้างล่ะช่วงนี้ ไม่ได้คุยกันเลย”

    เสียงทุ้มอย่างใจดีของคนเป็นลุงถามเนิบๆ ประดับรอยยิ้มนวลไว้บนใบหน้าเสมอจนชายหนุ่มชินตา


    “ก็ดีครับ ช่วงปีนี้มีลูกค้าเยอะขึ้น ผมกำลังว่าจะเข้าไปคุยกับคุณลุงเรื่องขยายแผนกอยู่พอดี”

    ตอบอย่างนอบน้อมขัดกับนิสัยส่วนตัว ก่อนจะปรายตามองเด็กหนุ่มหน้าใสที่นั่งยิ้มไม่พูดไม่จาอยู่ข้างลุงของเขา... ยังไม่ทันได้นึกสงสัยอะไรมาก ลุงของเขาก็เฉลยเหตุผลการมาของเจ้าตัวให้เขาฟังเสียก่อน


    “นี่จินยอง หลานของเพื่อนลุง เพิ่งจะจบด้านตกแต่งภายในมาจากเมืองนอก ลุงอยากจะเอามาฝากให้แกช่วยสอนงานให้สักสองเดือนได้รึเปล่า?

    ปากบางยกยิ้มขึ้น หันไปส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาส่งยิ้มให้ผู้เป็นลุงอย่างยินดี


    “ได้สิครับ เรื่องแค่นี้เอง คุณลุงไม่ต้องเป็นห่วงเลยครับ”

    “ขอบใจมากนะ งั้นก็เริ่มตั้งแต่วันนี้เลยแล้วกัน ลุงฝากน้องไว้ที่นี่นะ ขอตัวกลับไปเซ็นเอกสารต่อก่อน... จินยองก็เรียนรู้งานจากพี่เขาไปแล้วกันนะ มีอะไรขาดเหลือก็บอกพี่เขาได้เลย อาขอตัวล่ะ”


    ประโยคหลังเจ้าตัวหันไปบอกลากับเด็กหนุ่ม ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้คนที่เหลือในห้องได้แต่มองตากันไปมา...

    แจบอมหุบยิ้มการค้านั่นลงฉับพลัน ขายาวก้าวไปที่ประตูก่อนจะลงกลอนล็อก หันไปพยักหน้าให้กับลูกน้องที่เป็นฝ่ายดูแลหน้าห้องอย่างรู้กัน...


    ...ติวเข้มงานคอร์สหัวหน้าแจบอม...เริ่มต้นแล้ว...


    ท่าทีที่เปลี่ยนไปของคนตัวสูงทำให้ผู้มาใหม่ทำอะไรไม่ถูก ร่างบางกระสับกระส่ายก่อนจะลุกขึ้นยืนเมื่อร่างสูงเดินเข้ามาใกล้... ตอนนี้ท่าทางสุภาพใจดีเมื่อครู่หายไปจนหมด...เหลือเพียงใบหน้าเย็นชาที่แผ่รังสีความน่ากลัวออกมาเท่านั้น...


    “ชื่ออะไร...” เสียงทุ้มถามนิ่งๆ แต่เจือไว้ด้วยความกร้าวราวกับครูฝึกทหาร

    “จิน...จินยองครับ” เสียงนุ่มตอบไปอย่างหวาดๆ เผลอยืดหลังตรงขึ้นอัตโนมัติ

    “จินยอง... รู้มั้ยว่าฉันเจอเด็กเส้นแบบนายมากี่คนแล้ว...”


    “มะ..ไม่รู้ครับ...”

    ชายหนุ่มถอนหายใจพรืด หย่อนตัวลงนั่งบนโต๊ะทำงาน ก่อนจะจ้องหน้าคนอ่อนวัยกว่าอย่างเอาเรื่อง

    “นั่นไม่ใช่ประเด็นหรอก... ประเด็นคือคนที่มาฝึกกับฉัน ยังไม่มีใครเคยทนอยู่ได้เกินเดือนเดียวเลยสักคน... แปปเดียวก็วิ่งแจ้นไปฟ้องพ่อแม่ ว่างานหนัก... ทำไม่ไหว พวกนายมันอ่อนแอยิ่งกว่าใส้เดือนซะอีก...”


    น้ำเสียงประชดประชันนั่นทำให้คนฟังหน้าตึงราวกับเพิ่งโดนตบมาหมาดๆ


    “ฉันอยากรู้ว่านายจะต่างจากคนพวกนั้นมั้ย... ที่ฉันอยากได้จากนายมีแค่ความอดทน และความตั้งใจที่จะเรียนรู้... ถ้านายผ่านเงื่อนไขสองข้อนี้ นายก็ทำงานกับฉันได้สบาย และถ้าผ่านฉันไปได้ ฉันรับรองว่านายจะสามารถทำงานในวงการนี้ได้อย่างราบรื่น...”


    เสียงทุ้มหยุดพูดนิดหนึ่ง พ่นลมหายใจออกมาเบา

    “แต่นายต้องอดทนจนผ่านสองเดือนนี้ไปก่อนนะ...ทำได้รึเปล่าล่ะ?

    “ครับ!


    แม้จะไม่แน่ใจนัก แต่เจ้าตัวก็ตอบรับคำถามนั้นอย่างแข็งขันแบบที่เคยถูกสอนมา มาสเตอร์ที่เป็นที่ปรึกษาให้เขาตอนเรียนอยู่ที่เมืองนอกไม่เคยสอนให้เขายอมแพ้... ทุกอย่างมีจุดเริ่มต้น...และหากไม่ตาย ก็ห้ามยอมแพ้เด็ดขาดจนกว่ามันจะสำเร็จ... คำสอนพวกนี้เองที่ทำให้เขาอดทนใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวอยู่ที่ต่างประเทศจนกระทั่งเรียนจบ...


    และถ้าต้องอดทนอีกแค่สองเดือน เพื่อที่เขาจะได้เข้ามารับตำแหน่งในบริษัทนี้อย่างเต็มตัว... ทำไมเขาจะอดทนไม่ได้กันล่ะ


    มุมปากคนถามยกขึ้นเป็นรอยยิ้มร้ายเมื่อได้ฟังคำตอบ หยิบแฟ้มปึกใหญ่จากด้านข้างโต๊ะมาโยนลงตรงหน้าคนมาใหม่ที่ยืนกลั้นหายใจอยู่ไม่ไกล

    “ดี... งั้นนี่งานแรกของนาย ช่วยพิสูจน์ฝีมือเด็กจบนอกอย่างนายให้ฉันดูหน่อย...”


    ......................................................................................


    “งั้นพวกเฟอร์นิเจอร์ชุดใหม่ที่จะย้ายเข้ามาฉันจะจัดให้เป็นโทนสีน้ำตาลตามที่นายบอกนะ ส่วนสีผนังตรงนี้โอเคแล้วใช่มั้ย?


    เสียงหวานเจื้อยแจ้วถามเจ้าของห้องขณะถือแทปเล็ตไว้ในมือ พลางเดินไปรอบๆห้องอย่างไม่รู้จักเหนื่อย มือบางชี้ถามถึงมุมโน้นมุมนี้ไปเรื่อยด้วยใบหน้าแจ่มใสต่างกับอารมณ์ตอนเมื่อวานเย็นลิบลับ จนคนตัวสูงที่เดินอยู่เคียงข้างอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้

    “วันนี้พี่อารมณ์ดีจัง”


    เสียงทุ้มถามยิ้มๆ เอนตัวลงนิดหนึ่งก่อนจะส่งยิ้มเต็มใบหน้าให้คนตัวเล็ก เจ้าตัวหันหน้ากลับมามองก่อนจะก้มลงมองแทปเลตในมือต่ออย่างไม่ได้สนใจนัก

    “จะให้ร้องให้ทั้งวันรึไง”


    คนฟังหัวเราะเบา หมุนตัวลงนั่งบนโซฟาที่วางอยู่ด้านหน้าร่างบาง ก่อนจะช้อนสายตามองอีกฝ่ายอย่างเรียกร้องความสนใจ


    “พักหน่อยมั้ย? คุยงานกันมาตั้งนานพี่ไม่เหนื่อยเหรอ”

    “ไม่หรอก รีบคุยให้เสร็จ ฉันยังต้องกลับไปทำงานอื่นอีก อยู่กับนายทั้งวันไม่ได้หรอก”

    อารมณ์ที่เคยดีอยู่ของคนฟังขุ่นลงทันทีเมื่อได้ฟังคำตอบ


    “เอะอะก็จะหนีผมอยู่เรื่อย...”

    คนตัวโตบ่นเสียงไม่เบานัก พอให้คนที่ยืนเงยหน้าสังเกตสีเพดานห้องอยู่ได้ยินชัดเจน

    “ยูคยอม...เราคุยกันแล้วนะ”


    น้ำเสียงจริงจังที่อีกฝ่ายบอกทำให้คนตัวโตได้แต่ถอนหายใจ ร่างสูงหยัดตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินฉับๆไปคว้ากุญแจรถมาไว้ในมือแล้วกลับมาหาอีกฝ่าย


    “งั้นเดี๋ยวผมไปส่งพี่ที่บริษัท จะได้ไปเซ็นสัญญาให้เรียบร้อยด้วย อาทิตย์หน้าจะได้เริ่มตกแต่งห้องผมซะที งานพี่จะได้เสร็จเร็วๆด้วย ดีมั้ย?


    คนฟังถอนหายใจพรืด เริ่มจะลำบากใจกับความดื้อรั้นและนิสัยเด็กๆของอีกฝ่าย... ฟังก็รู้ว่าประชด ...นี่เขาคิดถูกรึเปล่าเนี่ยที่ไปรับเจ้าเด็กนี่เป็นรุ่นน้อง...


    “ตามใจ...”


    ตอบได้แค่นั้นร่างบางก็จัดการเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างลงกระเป๋า ก่อนจะก้าวเดินนำหน้าออกไปโดยไม่รอให้เจ้าของห้องจัดแจงตัวเองเสร็จเสียก่อน และด้วยอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นบวกกับความรีบ ทำให้เจ้าตัวชนเข้ากับร่างเพรียวของใครคนหนึ่งที่บริเวณทางเดินจนเอกสารในมือหล่นกระจาย คู่กรณีรีบบอกขอโทษก่อนจะช่วยก้มลงเก็บเอกสารที่หล่นอยู่รอบๆมาส่งคืนให้


    “ขอโทษจริงๆครับ ผมไม่ทันมอง คุณเจ็บตรงไหนรึเปล่า”

    เสียงหวานเอ่ยขอโทษพลางก้มหัวตัวเองลงครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วพบว่าอีกฝ่ายกำลังส่งยิ้มให้อย่างไม่ถือสาอะไร


    “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่เป็นไร เอกสารคุณครบนะครับ บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า...”

    เสียงนุ่มถามอย่างห่วงใย กระชับแฟ้มหนาในมือตัวเองที่เกือบจะหล่นไปพร้อมกับเอกสารของคนตรงหน้าให้เข้าที่


    “ไม่ครับ ขอโทษอีกครั้งนะครับ คือผมรีบก็ละ...”

    เสียงหวานขาดห้วงเมื่อถูกร่างของผู้เป็นรุ่นน้องชนไหล่ไม่แรงนัก แล้วก้าวเร็วๆเดินเลยเขาไป ปากอิ่มบ่นเบาเมื่อเห็นภาพนั้น ก่อนจะรีบหันมาก้มหัวขอโทษอีกฝ่ายแล้วก้าวขาเร็วๆตามไปบ้าง ดังนั้นเจ้าตัวจึงไม่ทันได้พบกับคนที่เพิ่งจะเปิดประตูห้องใกล้ๆกันออกมาหลังจากที่เจ้าตัวลงลิฟต์ไปแล้ว...

     

    “เด็กจบนอกต้องเดินช้าแบบนี้ทุกคนมั้ย?

    เสียงทุ้มถามกร้าวๆ หรี่ตาเรียวมองร่างบางที่เอาแต่ยืนก้มหน้าอยู่ตรงหน้าอย่างไม่สบอารมณ์นัก

    “มาถึงแล้วก็เข้ามา ลูกค้ารอนานจนจะหลับอยู่แล้ว”

    แจบอมบ่นด้วยท่าทีจริงจัง ผลักประตูเปิดออกกว้างขึ้นเป็นสัญญาณเร่งให้อีกฝ่ายเข้ามาในห้องเร็วๆ


    งานแรกที่จินยองได้รับมอบหมายคือติดตามออกมาดูสถานที่ที่ได้รับว่าจ้างให้ตกแต่งล่าสุด ตอนแรกที่อ่านรายละเอียดแล้วรู้ว่าเป็นคอนโดแถวคังนัมเขาก็ตื่นเต้นแทบแย่ว่าจะได้ออกแบบงานใหญ่ขนาดนี้เป็นงานแรก แต่พอเอาเข้าจริง คุณแจบอมกลับให้เขามาเป็นเบ๊คอยวิ่งขึ้นลงไปเอาเอกสารที่ไม่เคยครบสักทีจากรถของคุณแจบอมแทน... เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าคนตรงหน้าอยากจะฝึกงานให้เขา หรือว่าแค่อยากจะแกล้งเขากันแน่


    “คุณแจบอมช่วยตรวจดูเอกสารในแฟ้มก่อนได้มั้ยครับ ถ้าขาดอะไรอีกผมจะได้ลงไปเอาที่รถอีกครั้ง ช่วยบอกให้หมดด้วยนะครับว่าขาดอะไรบ้าง จะได้ไปเอามาครั้งเดียวเลย”


    คนถูกถามมองใบหน้าของอีกฝ่ายแล้วยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นเป็นรอยยิ้ม เอียงคอมองคนตรงหน้าอย่างเดาความคิดไม่ออก


    “ถ้าแค่นี้ไม่รู้ก็กลับบ้านไปนอนไป บริษัทยูโธเปียไม่รับเด็กเล่นขายของเข้ามาทำงานหรอก”


    พูดจบร่างสูงก็หันหลังเดินหายเข้าไปในห้อง ทิ้งให้คนถูกต่อว่าเป็นรอบที่สิบของวันได้แต่ยืนกำมือแน่น...

    ....อดทนไว้จินยอง.......ถ้าเผลอไปชกหัวหน้างานเข้าตอนนี้ต้องเป็นเรื่องแน่ๆ...


    ปากเรียวเม้มเข้าหากันแน่น ก่อนจะก้าวเท้าเดินหนักๆตามเข้าไปในห้องอย่างทำอะไรไม่ได้ แม้ในใจจะนึกคาดโทษอีกฝ่ายไว้เรียบร้อยแล้วก็ตาม...


    ...อย่าให้เขาเข้าทำงานได้นะ... เขาจะสอยตำแหน่งหัวหน้าของอีกฝ่ายให้ร่วงให้ได้เลยคอยดู...

    .........................................................................................................

    สอบอีกแล้วค่ะ
    แต่งทิ้งไว้เรื่อยๆยาวพอแล้วเลยเอามาลงก่อน
    เรื่องนี้วางตอนจบไว้แล้วค่ะ
    แต่ประเด็นคือจะมีเวลาแต่งจนจบตอนไหน 5555
    ขอให้สนุกกันนะคะ
    ไรเตอร์ขอตัวไปอ่านหนังสือต่อก่อน
    เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ^ ^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×