คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ---ความบังเอิญไม่มีอยู่จริง---
“แบมแบม...”
เสียงเรียกจากหัวหน้างานหนุ่มที่เปิดประตูเข้ามาภายหลังเรียกให้ร่างบางหันไปสนใจ ปากอิ่มกำลังจะอ้าปากถามที่มาที่ไปของคนตัวสูงที่มายืนรอเขาอยู่ในห้อง แต่ก็ต้องหุบปากตัวเองลงก่อนเมื่อได้ยินประโยคถัดมา
“นี่คุณยูคยอม ลูกค้าใหม่ของเรา เขาอยากได้คนไปรีโนเวทคอนโดแถวคังนัมให้หน่อย พี่เห็นว่านายว่างอยู่ก็เลยว่าจะให้นายรับผิดชอบงานนี้ ได้ใช่มั้ย?”
...นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม... เขารู้ดี... ตั้งแต่ทำงานกับพี่แจ็คมาหลายปี ไม่เคยมีงานไหนที่เขาปฏิเสธได้... ทุกอย่างอยู่ในดุลยพินิจของพี่แจ็คทั้งนั้น ถ้าเขาเห็นว่าใครเหมาะกับงานไหนก็คือเหมาะ... ต่อให้ยกแม่น้ำทั้งห้ามาอ้างก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร...
“ครับ” เสียงหวานตอบรับแกนๆ เงยหน้ามองร่างสูงที่ยังคงมองเขาด้วยรอยยิ้มไม่เลิก
“งั้นก็ดี อา... พี่ลืมรายละเอียดงานไว้บนโต๊ะพี่แน่ะ ไปหยิบมาทีสิ แฟ้มสีขาวบนโต๊ะน่ะ มีอยู่แฟ้มเดียว”
หัวทุยพยักรับคำสั่ง ก่อนจะเดินหันหลังออกจากห้องไป ทิ้งให้ผู้ชายร่างสูงยืนอยู่ในห้องกันสองคน... เมื่อแน่ใจว่าร่างบางเดินห่างไปไกลพอแล้ว บทสนทนาอย่างสนิทสนมเกินกว่าแค่ผู้ว่าจ้างกับลูกจ้างจึงเริ่มขึ้น...
“ถามจริงๆ มึงสนใจเหรอวะ...”
เสียงแหบต่ำของคนเป็นหัวหน้าถามขึ้น หันหลังกลับไปยืนกอดอกมองผู้ว่าจ้างซึ่งกำลังหย่อนก้นลงนั่งบนโต๊ะไม้กลางห้องด้วยท่าทีสบายๆ
เขารู้จักไอ้เด็กนี่ตั้งแต่ยังไม่เข้าวงการ เพราะพ่อของพวกเขาเป็นเพื่อนกันแถมพวกเขายังอยู่โรงเรียนเดียวกันมาตั้งแต่สมัยประถม แม้อายุจะห่างกันเกือบห้าปี แต่ทั้งคู่ก็เข้ากันได้ดีราวกับว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน... ดังนั้น เมื่อมันเข้ามาหาเขาเมื่อวานและขอร้องให้ช่วยจัดการพาตัวสถาปนิกในสังกัดคนหนึ่งมาแต่งห้องย่านคังนัมให้หน่อย... มีหรือเขาจะปฏิเสธได้... แต่ที่เขาสงสัยมีแค่อย่างเดียว... ทำไมไอ้เด็กนี่ต้องเจาะจงเลือกแบมแบมด้วย...
“ก็...สนใจนะ...”
“อย่าบอกนะว่ามึง...”
“เห้ยพี่... ไม่ใช่แบบนั้น .... แค่นานๆจะเจอคนที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกทึ่งได้ตลอดก็แค่นั้น”
มือใหญ่โบกห้ามความคิดคนตรงหน้า ปากบางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มขำไม่จริงจังนัก
“แล้วไป... อย่ายุ่งเชียวนะมึง แฟนแม่งดุอย่างกับหมา จะคว้าปืนมายิงหัวมึงตอนไหนก็ไม่รู้..”
คิ้วเรียวของคนฟังขมวดลงนิดหนึ่ง รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าฉับพลัน
“เลิกกันแล้วนี่... ทิ้งมาเองด้วย... คงไม่สนใจแล้วมั้ง...”
อีกฝ่ายทำตาโตเมื่อฟังคำบอกเล่านั้น ขยับตัวเข้าไปใกล้อย่างอยากรู้อยากเห็น
“แล้วมึงไปรู้ได้ไง... มึงไปสนิทรู้จักกันตอนไหนบอกกูมาเลย เห้ย...นี่กูตกข่าวเรื่องลูกน้องตัวเองขนาดนี้ได้ไงวะ”
“ก็ไม่ได้สนิท... แต่อยากสนิท... เลยมาให้พี่ช่วยไง มันมีอะไรหลายๆอย่าง ผมไม่รู้จะย่อให้พี่ฟังยังไงภายในห้านาทีว่ะ”
“ก็เล่ามาก่อน เกริ่นๆมาก็ได้... มึงทำให้คนอื่นอยากรู้แล้วไม่ยอมเล่านี่บาปนะเว้ย”
ร่างหนาในชุดลำลองทำท่ากระสับกระส่าย พยายามเค้นคออีกคนที่เอาแต่หัวเราะให้คายความลับออกมา... แต่การกระทำทั้งหมดนั้นก็ต้องหยุดลงเมื่อได้ยินเสียงผลักเปิดประตูจากด้านหลัง
แจ็คสันหันไปยิ้มทักทายลูกน้องร่างเล็ก ก่อนหันกลับมาพูดกับคนตัวสูงที่ตอนนี้เข้านั่งประจำที่เรียบร้อย
“เดี๋ยวยังไงคุณยูคยอมคุยรายละเอียดกับแบมแบมไปได้เลยนะครับ ผมจะไปดูงานส่วนอื่น เดี๋ยวสรุปงานเราค่อยไว้คุยกันวันหลัง”
ตาเรียวขยิบลงทีหนึ่งอย่างรู้กัน ก่อนจะก้าวขาเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้บรรยากาศชวนอึดอัดวิ่งกลับเข้ามาระหว่างคนสองคนอีกครั้ง
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ระแวงผมรึไง”
ปากบางยิ้มกริ่ม ทอดสายตามองใบหน้าหวานที่งอง้ำลงอย่างไม่คิดจะปิดบัง
“ไม่ให้ระแวงได้ไง จู่ๆคนที่เพิ่งเจอกันไม่กี่วันก็โผล่มาเป็นลูกค้าที่บริษัท... “
“ผมแค่จะรีโนเวทห้อง ก็แค่เลือกมาบริษัทพี่ แต่ที่ผมได้พี่มาทำงานให้มันก็เรื่องบังเอิญไม่ใช่รึไง ผมเลือกได้ที่ไหน”
ร่างสูงยักไหล่ เกยคางลงบนมือตัวเองแล้วส่งยิ้มกริ่มให้คนตรงข้าม
“แต่ทำไมต้องบริษัทฉันล่ะ คนระดับนายน่าจะเลือกบริษัทยูโธเปียอินทีเรียไปทำให้ไม่ดีกว่าเหรอ ชื่อเสียงบริษัทนั้นดังกว่าที่นี่ตั้งเยอะ”
เสียงหวานพูดถึงบริษัทรับตกแต่งภายในยักษ์ใหญ่ของประเทศ ที่บริษัทดังๆมักจะไปใช้บริการอยู่เป็นประจำ ...นอกเหนือจากนั้น...ที่นั่นยังเป็นที่ทำงานของพี่แจบอมด้วย...
แบมแบมสลัดความคิดวูบหนึ่งนั่นทิ้ง เงยหน้าขึ้นสบตาคนตรงหน้าอย่างจะขอคำตอบ
“ใครบอกว่าไม่ได้ไปล่ะ แต่ก็อย่างที่พี่ว่า ก็เพราะว่าดังลูกค้าเลยมีแต่บริษัทใหญ่ๆ คอนโดธรรมดาอย่างผมถ้าจะให้บริษัทนั้นทำให้ก็ต้องรอคิวอีกตั้งสามเดือน... ผมแค่ขี้เกียจรอ เลยมาจ้างบริษัทนี้แทนไง”
ร่างบางนิ่งอึ้ง จนด้วยเหตุผลที่อีกฝ่ายยกมาบอก จนเขาต้องบอกตัวเองว่าคงคิดมากไปจริงๆ ปากอิ่มพ่นลมหายใจออกครั้งหนึ่ง ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามกับผู้ว่าจ้าง
“เมื่อกี้ตอนเดินมา ฉันเปิดดูคร่าวๆแล้ว แปลนห้องนายไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก น่าจะใช้เวลาไม่นานเท่าไร... แล้ว...มีแนวที่ชอบบ้างรึเปล่า ลองบอกมาสิ ฉันจะได้เอาไปประกอบเวลาออกแบบ”
“ชอบแบบพี่...”
ตากลมเปิดกว้างขึ้น จ้องมองคนตรงหน้าอย่างตกใจกับประโยคที่เพิ่งได้ฟัง คนพูดส่งยิ้มกวนตอบกลับมา เท้าคางจ้องมองเขาอยู่แบบนั้น ราวกับว่าที่ตัวเองพูดเป็นเรื่องปกติทั่วไป
“ผมหมายถึงตรงๆเรียบๆ เอาแบบที่ไม่ต้องมีลวดลายหรือรายละเอียดอะไรมาก ขอสีเฟอนิเจอร์โทนอุ่นลง กับพวกเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นไม้ก็น่าจะดีนะ”
“ประสาท...”
คำด่าหลุดออกจากปากอิ่มแผ่วเบา แต่คนได้ยินกลับไม่ถือสาอะไร เอาแต่หัวเราะจนตาปิดอย่างไม่สะทกสะท้าน บรรยากาศการคุยงานหลังจากนั้นเป็นไปได้เรื่อยๆ ฝ่ายหนึ่งก็ยิงคำถาม กับเปิดสารพัดรูปจากอินเตอร์เน็ตให้ลูกค้าดู เพื่อต้องการจะรู้ความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด... กับอีกฝ่าย ที่มัวแต่ฟังเสียงหวานเจื้อยแจ้วนั้นพูดจนเพลิน เลยทำตัวเป็นคนเลือกยากขึ้นมา ทั้งๆที่ปกติเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรกับงานตกแต่งภายในพวกนี้มากนัก... ก็แค่อยากฟังนานๆ... อยากถ่วงเวลาให้ได้นั่งมองหน้าหวานๆกับแก้มป่องๆเพิ่มขึ้นอีกนิดก็ยังดี...
กว่าพวกเขาจะคุยตกลงรายละเอียดกันเสร็จเวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเย็นแล้ว ใบหน้าหวานดูเคร่งเครียดกับการขีดเขียนข้อมูลลงบนสมุดบันทึกส่วนตัว กับเก็บรูปแบบเฟอร์นิเจอร์บางส่วนซึ่งปรินจากอินเตอร์เน็ตลงในแฟ้ม ร่างบางหันมาบอกถึงเวลานัดหมายในการดูแบบงานครั้งหน้า ก่อนจะเดินตรงออกประตูไปโดยไม่สนใจที่จะบอกลาลูกค้าคนสำคัญสักคำ...
ใบหน้าหล่อยิ้มบาง ลุกพรวดขึ้นก้าวตามร่างบางที่เดินออกห้องมาก่อนอย่างเป็นเงาตามตัว จนมาถึงมุมโต๊ะทำงานของคนตัวเล็กที่อยู่ห่างห้องประชุมออกมาไม่ไกลนัก
“อ้าว... ขอโทษที ฉันมัวแต่คิดเรื่องงานเลยลืมบอก นายกลับได้แล้วล่ะ... วันนี้ฉันเลิกงานแล้วด้วย ถ้ามีอะไรอยากเพิ่มเติมไว้พรุ่งนี้ค่อยมาคุยกันอีกทีแล้วกัน”
ใบหน้าหวานส่งยิ้มน้อยๆให้ขณะก้มลงเก็บของบนโต๊ะใส่กระเป๋าลวกๆ... เขามัวแต่สนใจงานจนลืมเวลาไปเสียสนิท ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่มีคนมารับมาส่งทุกวัน เขาคงไม่ต้องกังวลกับเรื่องเวลาขนาดนี้ แต่นี่เขาต้องกลับด้วยรถประจำทางเองแล้ว...ถ้าหากไปสายกว่านี้เขาอาจจะต้องเดินเกือบห้ากิโลกลับไปที่ตึกเพราะรถหมดก็ได้...
“พี่กลับยังไง...”
เสียงทุ้มเอ่ยถาม เอนหัวลงให้ใบหน้าตัวเองอยู่ระดับเดียวกับคนตัวเล็ก กระพริบตาสองสามครั้งอย่างรอคำตอบ
“รถประจำทางน่ะ ฉันสายมากแล้ว ขอตัวนะ... ไว้ถ้ามีอะไรสำคัญก็โทรมาแล้วกัน”
ปากอิ่มขยับบอกรัวเร็ว หันหลังกลับเพื่อจะเร่งฝีเท้าเดินไปหน้าประตู แต่ก็ต้องชะงักกึกเมื่อถูกดึงแขนไว้จนเกือบจะเซถลาล้มลง
“เดี๋ยวผมไปส่ง”
ตากลมหันขวับมองอีกฝ่าย พยายามดึงแขนตัวเองออกจากการเกาะกุมแต่ก็ไม่สำเร็จ
“ไม่เป็นไร นายเป็นลูกค้านะ จะไปส่งฉันได้ยังไง อีกอย่างนายต้องขับรถกลับเข้าตัวเมืองอีก มันคนละทางกับตึกฉันเลยด้วย ปล่อยเถอะ... ฉันรีบ”
เสียงหวานร้องบอก ยังไม่เลิกงัดมือใหญ่นั่นออกจากแขนตัวเอง แต่ดูเหมือนยิ่งงัดมือใหญ่ก็ยิ่งจับแขนเขาแน่นขึ้น
“ผมเป็นน้องพี่ต่างหาก ลูกค้าอะไร... อยู่ๆมาลดความสำคัญกันแบบนี้ผมเสียใจนะ”
ปากบางยู่ลง ทำหน้าเหมือนเด็กเล็กๆที่กำลังถูกขัดใจ
“ยูคยอม ไม่เอาน่า พูดอะไรของนายเนี่ย”
“ถ้าไม่อยากให้โกรธก็ให้ไปส่ง ห้ามปฏิเสธ... ถ้าพี่พูดว่าไม่อีกคำเดียวผมโกรธพี่จริงๆนะ”
คนเป็นพี่ระบายลมหายใจออกมาอย่างอ่อนใจ... นิสัยเจ้าบ้านี่มันเด็กจริงๆด้วย... ผิดกับขนาดตัวลิบลับเลย...
“โอเค วันนี้วันเดียวนะ” ตอบออกไปอย่างไม่มีทางเลือก
“ไม่... ทุกวัน”
“ฮะ!...”
ใบหน้าหวานออกอาการเหวอเมื่อฟังคำพูดนั้นจบ แต่ไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกอีกฝ่ายลากไปขึ้นรถเก๋งสีดำคันงามได้สำเร็จ มือบางกุมกันแน่นขณะนั่งอยู่บนรถ ไม่ยอมพูดอะไรสักคำจนคนขับต้องหันมาแกล้งจิ้มแก้มยุ้ยของคนตัวเล็กเล่นอย่างจะยั่วให้โกรธ... แล้วก็เป็นผลสำเร็จ เมื่อเจ้าตัวหันมาแหวใส่อย่างคนหงุดหงิดจัด
“ทำไมต้องดื้อมาส่งฉันขนาดนี้ด้วย ฉันดูแลตัวเองได้!... อีกอย่างฉันเป็นรุ่นพี่นายด้วย ลืมแล้วรึไง?”
“แล้วไง?”
“แล้วไง?... เหตุผลล่ะ! ทำตัวมีเหตุผลหน่อยได้มั้ย นายไมใช่เด็กๆแล้วนะ! ทำอะไรตามใจตัวเองอยู่เรื่อย”
“รู้ได้ไงว่าผมไม่มีเหตุผล?”
เสียงทุ้มตอบกลับมาอย่างจริงจัง แววขี้เล่นในน้ำเสียงถูกกลืนหายไป
“ผมเป็นห่วง... แถวนี้มันเปลี่ยว พอมืดก็แทบไม่มีรถผ่านแล้ว... แล้วจะปล่อยให้พี่มายืนรอรถคนเดียวมืดๆได้ยังไง”
ร่างบางนิ่งไป... แก้มร้อนผ่าวขึ้นนิดหนึ่งเมื่อได้ฟังคำตอบจากคนตัวโต... อยู่ๆก็มาพูดแบบนี้จะให้เขาทำหน้ายังไง...
“ก็ใครทำให้สายเล่า...” ปากอิ่มบ่นขมุบขมิบ แต่ก็ไม่สามารถเล็ดลอดประสาทการได้ยินของคนด้านข้างไปได้
“แล้วนายจะมาส่งฉันทุกวันเหรอ งานการไม่ทำรึไง จะลำบากขับรถมาชานเมืองเพื่อส่งฉันกลับห้องแค่ห้ากิโลเนี่ยนะ”
“งั้นผมซื้อรถให้เอามั้ย พรุ่งนี้เลย” เสียงทุ้มเอ่ยเจือหัวเราะ
“บ้า... เลิกไร้สาระซักที เอาเป็นว่าวันอื่นฉันจะกลับให้เร็วขึ้น หรือถ้านายมาคุยงานจนดึกฉันก็จะกลับด้วย พอใจรึยัง”
“อืม... เกือบพอใจแล้ว ขอเพิ่มเงื่อนไขเป็นวันไหนที่ผมมาส่ง พี่ต้องไปกินข้าวเป็นเพื่อนผม หรือไม่ก็ทำกับข้าวให้ผมกินด้วยได้มั้ย?”
“ได้คืบจะเอาศอก... “
“ตอบเร็ว ได้มั้ย? ไม่งั้นพรุ่งนี้ผมซื้อรถไปจอดหน้าตึกพี่จริงๆนะ”
“เข้าใจแล้ว! หยุดคิดเรื่องบ้าๆเลย... นายนี่น่ารำคาญชะมัด..”
เสียงทุ้มหัวเราะอย่างพอใจเมื่อได้รับการยืนยัน เพิ่งค้นพบว่าเรื่องสนุกอีกอย่างคือการแกล้งให้คนตัวเล็กหัวเสีย...
...บางทีเจ้าตัวอาจจะไม่รู้ก็ได้ ...แต่เวลาที่คนตัวเล็กไม่พอใจอะไร แล้วเผลอพองแก้มกลมๆนั่นขึ้นแบบนี้... มันน่ารักจนเลิกมองไม่ได้เลยล่ะ...
เมื่อรถเก๋งสีดำที่ทั้งคู่ใช้โดยสารมาเคลื่อนเข้าใกล้จุดหมาย แสงสว่างจากดวงไฟหน้ารถก็กระทบเข้ากับร่างสูงของใครบางคน ซึ่งทำเอาคนที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับต้องขมวดคิ้วมุ่นลงแทบจะทันที
“มาทำไม...”
เสียงเล็กพึมพำแผ่ว เรียกให้คนขับหันหน้าไปมองอย่างสงสัย ก่อนตาเรียวจะหันกลับมามองดูร่างสูงที่ขยับตัวหันมามองรถเขา ซึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้าจอดบริเวณริมฟุตบาตรอย่างช้าๆ
แม้รถจะจอดสนิทแล้ว แต่ร่างเล็กข้างเคียงก็ยังคงเอาแต่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ดวงตากลมจ้องมองไปยังคนตรงหน้าไม่วางตา จนเขาผิดสังเกต
“ใครเหรอ?”
เสียงทุ้มออกปากถาม มองร่างเล็กสลับกับคนด้านหน้ารถอย่างสงสัย... ครู่หนึ่งชายหนุ่มจึงเริ่มนึกอะไรได้บ้าง... หรือว่าจะเป็นคนๆนั้น... คนที่ทิ้งให้พี่แบมแบมของเขาต้องมาเดินอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางฝนที่เทกระหน่ำจนหมดสติไป...
“ผมลงไปคุยให้มั้ย...”
คนเป็นรุ่นน้องถามเสียงเบา ลอบมองอาการของอีกฝ่ายที่ไม่แสดงอะไรออกมาทางสีหน้าสักนิด มีเพียงมือเล็กที่ดูกุมกันแน่นขึ้นจนแทบจะจิกเล็บลงไปในเนื้อตัวเอง
“ไม่ต้อง... ฉันจัดการเอง ขอบคุณที่มาส่งนะ”
อีกฝ่ายตอบโดยไม่หันมามองหน้าคนถามสักนิด ก่อนจะเปิดประตูแล้วก้าวไปหาร่างสูงที่ยืนรออยู่ด้วยท่าทีนิ่งๆ ยูคยอมนั่งมองภาพนั้น... ทำได้เพียงเกาะมือตัวเองกับพวงมาลัยรถแน่นแล้วนั่งรอ...ใจจริงอยากจะวิ่งลงไปขวาง... ตะโกนด่าผู้ชายตรงหน้าให้สมกับที่ทำให้รุ่นพี่เขาเจ็บ... แต่เขามีสิทธิ์อะไรล่ะ... ยังไงเขาก็แค่คนนอกที่ผ่านมาเท่านั้น...
.............
แจบอมมองดูร่างเล็กที่เดินตรงเข้ามาหาเขานิ่งๆ... แอบเหลือบมองผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ในรถแล้วในอกก็เริ่มอึดอัดขึ้นมา... เร็วจริงนะ... โดนเขาทิ้งไปได้แค่สองวัน...แปปเดียวก็ได้คนใหม่ขับรถมาส่งถึงหน้าที่พัก... อยากรู้เหลือเกินว่าไอ้ที่ร้องให้ฟูมฟายจะเป็นจะตายเมื่อวันก่อน...มันเป็นแค่มารยาเท่านั้นรึไง...
“มาทำไม...”
เสียงเล็กถามห้วน ยกกระเป๋าในมือขึ้นกอดตามสัญชาติญาณป้องกันตัวเอง ดวงตากลมจ้องมองคนตรงหน้า...ไม่รู้เลยว่าแววหวั่นไหวกำลังฉายอยู่เต็มพื้นที่จนอีกฝ่ายมองออกได้ง่ายดาย...
“มารับกลับ... มาขอโทษเรื่องเมื่อวันก่อน...”
เสียงเย็นชาบอกห้วน ขยับตัวเดินมาตรงหน้า เอื้อมมือไปดึงมือเล็กที่แสนคุ้นเคยมากุมไว้เบา...
แบมแบมเบิกตากว้างมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง... ความรู้สึกมากมายที่พยายามกักเก็บไว้แล่นจุกในอกจนน้ำตารื้น... ชักมือตัวเองกลับก่อนจะตะคอกใส่คนตรงหน้าอย่างเจ็บปวด...
“ขอโทษ!! ทำไมพี่คิดว่าทุกอย่างมันจบง่ายแบบนั้น?!? พี่ทำอะไรไว้พี่ลืมแล้วเหรอ??!!”
น้ำตาอุ่นร้อนไหลลงมาตามแก้มเนียน ดวงตากลมฉายแววตัดพ้อและกล่าวโทษออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“แบมมันโง่เองที่คิดว่าพี่จะดีขึ้น... แต่เปล่าเลย... แบมไม่ควรกลับไปโง่อีกแล้ว... แบมควรจะพอกับคนอย่างพี่ได้แล้ว!!”
“แบม... พี่ผิดเอง... แต่พอนายไม่อยู่... พี่ถึงเข้าใจว่านายสำคัญ...”
แม้จะพูดแบบนั้น แต่ดวงตาของอีกฝ่ายกลับว่างเปล่าราวกับก้อนหินก้อนหนึ่ง... นั่นยิ่งทำให้คนฟังเจ็บปวดมากขึ้น... อย่างน้อยถ้าจะโกหก... ก็ช่วยทำให้มันแนบเนียนกว่านี้หน่อยได้มั้ย... อย่างน้อยช่วยทำให้เขาเชื่อบ้าง... ว่าเจ้าตัวยังต้องการเขาอยู่จริงๆ... ไม่ใช่เอาแต่พูด... ทั้งๆที่ในใจไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด...
“เก็บคำพูดหลอกเด็กพวกนี้ไว้ใช้กับคนของพี่เหอะ... แบมเชื่อพี่ไม่ลงแล้ว... พี่ต้องการอะไร? จะให้แบมกลับไปอีกทำไม...หรือจะเลี้ยงแบมไว้ดูเล่น ไว้เป็นหมาเฝ้าบ้าน?... แบมให้อะไรพี่ได้ไม่เหมือนไอ้พวกที่พี่หิ้วมาหรอกนะ เอาใจก็ไม่เก่ง ดื้อก็ดื้อ บนเตียงก็ไม่เก่งเหมือนกัน... พี่ไปหาคนที่มันให้ความสุขกับพี่ได้เต็มที่กว่านี้ไม่ดีกว่าเหรอ...”
“มันแค่เรื่องเข้าใจผิด... พี่เลิกกับเด็กคนนั้นแล้ว... จากนี้มาเริ่มกันใหม่นะ...”
“พอแล้ว!... แบมไม่อยากเห็นหน้าพี่แล้ว.... อย่ามาที่นี่อีกเลย... แบมขอร้อง...”
เสียงเล็กบอกแค่นั้น หันหลังกลับเพื่อจะมุ่งตรงกลับไปขึ้นรถที่นั่งมาอีกครั้ง... เขาไม่อยากอยู่ที่นี่... ไม่อยากทนรอว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรที่เขาไม่อยากฟังออกมาอีก...
แจบอมมองกิริยาของร่างบางนิ่ง... รู้สึกสับสน จนต้องกำมือตัวเองไว้แน่น... แบมแบมเป็นของเขามาตลอด... ของตายที่เขามองว่าจะทิ้งไปตอนไหนก็ได้อย่างไม่ต้องเสียดาย... แต่พอวันนี้มาถึงจริงๆเขากลับคุมตัวเองไม่ให้รู้สึกอะไรไม่ได้อย่างที่ใจคิด... บางทีเขาจะอยู่กับอีกฝ่ายมานานเกินไป จนเคยชินที่จะมองเห็นร่างบางอยู่ข้างๆเสมอ... พอมาเป็นฝ่ายที่ถูกไม่ต้องการบ้าง... ความรู้สึกแบบนั้นถึงทำให้เขาโกรธจนลืมสิ่งที่เตรียมจะพูดไปจนหมด...
ตาเรียวเหลือบมองคนนั่งในรถอีกครั้ง... คิดในใจว่านั่นคงเป็นตัวการที่ทำให้แบมแบมไม่ต้องการเขาอีก... คิดได้แค่นั้นขายาวก็ก้าวฉับนำหน้าร่างบางไป มือหนาดันตัวร่างบางออก ก่อนจะก้มหน้าลงมองที่กระจกฝั่งคนนั่งซึ่งถูกคนในรถกดเปิดลงอย่างจงใจ...
ร่างบางตกใจกับการกระทำนั้น พยายามเอื้อมมือดึงแขนร่างสูงที่ขวางอยู่ตรงหน้าออกให้ห่างจากตัวรถ แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ
“มึงน่ะ... รู้มั้ยว่ากำลังยุ่งกับคนของใคร”
เสียงเย็นชาถามคนในรถอย่างหาเรื่อง คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างต้องการคำตอบ... แต่อีกฝ่ายที่อยู่ในรถกลับไม่สะทกสะท้านอะไรนัก ใบหน้าหล่อส่งยิ้มเย็นกลับมาอย่างจะตอบโต้
“ก่อนหน้านี้ไม่รู้ครับ... แต่เท่าที่รู้ตอนนี้เป็นของผม...”
“กวนตีนเหรอ!...” ขายาวเตะเข้าที่ประตูรถอย่างแรง เสียงดังนั่นทำให้ร่างบางที่ยืนอยู่ด้านหลังสะดุ้งสุดตัว มือบางพยายามดึงแขนอีกฝ่าย และพร่ำขอร้องให้เจ้าตัวถอยออกมาจากตัวรถ... แต่กลับถูกอีกฝ่ายสะบัดจนล้มลงนั่งกับพื้น...
ยูคยอมตกใจกับภาพนั้น มือหนาผลักเปิดประตูรถ ก่อนจะวิ่งไปถึงร่างบางและช่วยประคองเจ้าตัวขึ้นยืนรวดเร็ว
“เป็นอะไรมั้ย...”
เสียงทุ้มถามสั่นเครือ ยิ่งมองเห็นแผลถลอกจนเลือดซิบที่ศอกของคนตัวเล็ก อารมณ์เขาก็พลันเดือดขึ้น...
แจบอมมองภาพนั้นด้วยจิตใจร้อนรุ่ม มือหนาดึงกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายขึ้น จนทั้งคู่ประจันหน้ากันตรงๆ...
“อย่ามาเสือก... คนของกู กูดูแลเองได้... ไสหัวไปซะ ก่อนที่มึงจะกลายเป็นซากอยู่ข้างถนนนี่...”
เสียงเย็นชากดต่ำ จ้องลึกลงไปในดวงตาของอีกฝ่ายที่มีแววกร้าวขึ้น... นี่มันคนละคนกับไอ้เด็กที่นั่งมองเขาอยู่ในรถเมื่อกี้ชัดๆ...
“ผมไปแน่... แต่แบมแบมต้องไปกับผม คุณนั่นแหละที่ต้องกลับไป”
“ไอ้เด็กเวร!!...”
แจบอมสบถ ชกเข้าที่ใบหน้าหล่อจนเจ้าตัวหน้าหงาย แต่ร่างสูงก็ยังทรงตัวเองไว้ได้ มองเห็นเลือดซึมออกมาบริเวณรอยแผลแตกขนาดใหญ่ที่มุมปาก...
“ผมให้เวลาคุณอีกหนึ่งนาที... เพื่อนผมที่เป็นตำรวจกำลังมา ถ้าคุณยังไม่ไป... ผมไม่รับรองว่าคืนนี้คุณจะได้กลับไปนอนบ้าน... หรือจะไปนอนในคุก...”
ตาเรียวจ้องอีกฝ่ายนิ่ง ยกมือขยับกรามตัวเองเบาๆด้วยท่าทีไม่หวาดกลัวอะไร ก่อนปรายตามองไปยังถนนเบื้องหลังอย่างจะยืนยันคำพูดตัวเอง
“คิดว่าขู่แค่นี้กูจะกลัวเหรอ!?”
“ผมไม่ได้ขู่... แค่ดูยี่ห้อรถผมคุณก็น่าจะรู้นะว่าผมทำอะไรได้บ้าง... บางทีข้อหาคุณอาจจะไม่ใช่แค่ทะเลาะวิวาทกับทำร้ายร่างกายก็ได้... เลือกเอา... จะไปตอนนี้... กลับบ้านคุณด้วยรถคุณ.... หรือจะไปที่อื่น...ด้วยรถตำรวจ...”
เสียงทุ้มกร้าวขึ้นเมื่อเอ่ยประโยคนั้น เล่นเอาคนฟังถึงกับต้องนิ่งคิดอย่างชั่งใจ... แจบอมเหลือบมองยี่ห้อรถของอีกฝ่ายแล้วได้แต่คิดตาม... เขาเองมีเงินมากก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่ถึงขนาดซื้อรถระดับนี้มาขับได้... แสดงว่าคนตรงหน้าเขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ... ถ้าเสี่ยงมีเรื่องไปตอนนี้...เขาอาจจะต้องเดือดร้อนจริงๆ...
แต่ถึงกระนั้นขายาวก็ยังไม่ยอมขยับออกจากที่... จนเมื่อได้ยินเสียงหวอรถตำรวจดังมาแต่ไกลนั่นแหละ เจ้าตัวถึงเริ่มขยับตัว และยกนิ้วขึ้นชี้หน้าคู่กรณีอย่างคาดโทษ...
“มึงระวังตัวไว้ให้ดี...กูมาเอาของกูคืนแน่...”
พูดจบก็เดินเร็วๆหายไปยังถนนอีกฝั่ง ก่อนจะขึ้นรถและขับออกไป... ทิ้งให้คนที่เหลือได้แต่ยืนนิ่งมองตามจนรถของอีกฝ่ายหายลับไปทางมุมถนน... มือบางดึงแขนคนตัวสูงกว่าให้หันหน้าไปหา ก่อนจะมันแตะลงกับแผลแตกบริเวณมุมปากของอีกฝ่ายอย่างร้อนใจ ตากลมรื้นไปด้วยน้ำตา... เอาแต่สะอื้นฮักจนไหล่บางสั่นไหว...
“ขอโทษ... ฉันขอโทษนะ...ฮึก...ขอโทษ...”
ยูคยอมมองใบหน้าเจ็บปวดของคนตรงหน้าพลางขมวดคิ้ว... ในอกรู้สึกเจ็บปวดตามไปด้วย... แขนแกร่งดึงรั้งร่างบางเข้ามาแนบอก ก่อนจะกอดร่างสั่นเทานั้นไว้อย่างจะปลอบโยน...
“ไม่เป็นไร... อย่าร้องเลยนะ... ผมไม่เป็นไรจริงๆ...”
.....................................................................................................................................................
มือหนาของแจบอมหักหัวรถเข้าจอดข้างทางเมื่อเลยจุดที่ขับออกมาเมื่อครู่ได้ไกลพอสมควร เหลือบมองด้านข้างอย่างหวาดระแวง จนเมื่อเห็นว่าไม่มีใครตามมานั่นแหละ มือหนาถึงตบลงบนแตรรถอย่างแรงจนคนที่นั่งมาด้วยต้องสะดุ้งสุดตัว
"เหี้_!" สบถคำหยาบคายออกมาจนเด็กหนุ่มที่นั่งมองอยู่ต้องนิ่วหนา ยองแจ รุ่นน้องในบริษัทควบตำแหน่งรุ่นน้องคนสนิทจากโรงเรียนเก่าของเขามองหน้าคนเป็นรุ่นพี่ด้วยแววตาสงสัย เมื่อกี้ตอนเฮียเขาวิ่งกลับเข้ามาในรถแล้วจู่ๆก็เหยียบร้อยยี่สิบออกมาเขาก็มัวแต่ตกใจ ถามไม่ทัน ตอนนี้พอรถจอดดีแล้วเขาเลยได้ฤกษ์ถามซะที
"ไหนว่ามารับเจ๊กลับไง ทำไมกลับมาคนเดียว แล้วผู้ชายที่ขับรถมาส่งเจ๊นั่นใครน่ะ"
คำถามพาซื่อ เรียกแบมแบมด้วยสรรพนามคุ้นเคย แต่มันกลับแทงใจคนฟังได้ราวกับเหล็กแหลมๆ คิ้วเรียวขมวดแน่น เหลือบตามองคนข้างเคียงอย่างจะด่าให้หายหงุดหงิด แต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อพบเพียงดวงตาเรียวใสแจ๋วที่แสนจะซื่อจนเขาด่ามันไม่ลง
"ไม่รู้ แฟนใหม่มั้ง..."
"อ่ออออ...." เสียงนุ่มลากยาวอย่างจะบอกว่าเข้าใจ
"แต่ก่อนหน้านี้เฮียก็บอกจะทิ้งอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมตอนนี้มาเดือดร้อน อย่าบอกนะว่ารักจริงๆ?"
"...คงงั้นแหละ..." เสียงทุ้มตอบแผ่ว ยกมือขึ้นขยี้ผมตัวเองอย่างหัวเสีย มารู้ใจตัวเองเอาวันที่สาย... นี่ชีวิตเขาจะเหมือนพระเอกนิยายไปรึเปล่า...ไม่ใช่สิ...เขาคงเป็นตัวร้ายซะมากกว่าละมั้ง...
"เฮียนี่เหมือนเดิมเลย... จะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ก็เก่งแต่ปาก..."
"เออ ไม่เถียง... แต่ไม่อยากฟัง..."
คนเป็นรุ่นน้องหัวเราะเบา มีไม่กี่คนที่รู้ตัวจริงของพี่แจบอมอย่างเขา ถ้าไม่คบกันมานานตั้งแต่เด็ก มองภายนอกก็คงคิดแค่ว่าเจ้าตัวเป็นผู้ชายห่ามๆ ขี้โวยวาย ชอบหาเรื่องคนนึง ... แต่จริงๆแล้วกลับเป็นแค่คนขี้ขลาดที่เอาเปลือกแข็งๆมาไว้เป็นเกราะกำบังตัวเอง...
ส่วนเรื่องความเจ้าชู้ของเจ้าตัวเขาก็ไม่เถียงหรอก เป็นตั้งแต่สมัยก่อนจนตอนนี้ ทำตัวเองเดือดร้อนมาก็หลายหนแต่ไม่รู้จักเข็ด เขายังเคยสงสัยเลยว่าตัวจริงของผู้ชายแบบพี่แจบอมจะหน้าตาเป็นยังไง ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้เห็นแล้วในวันนี้เอง
"แล้วจะปล่อยไปแบบนี้เหรอ"
เด็กหนุ่มถามเสียงใส ควักหมากฝรั่งในกระเป๋าเสื้อขึ้นมาโยนใส่ปากแล้วเคี้ยวหยับๆอย่างไม่ทุกข์ร้อน
"ไม่มีทาง... ของกู... กูต้องเอาคืนสิ"
"แล้วถ้าเจ๊เค้าไม่เล่นด้วยล่ะ เฮียไปทำเค้าไว้ตั้งเยอะขนาดนั้น"
ตาเรียวปราดมองเด็กหนุ่ม นึกอยากโบกหัวเจ้าตัวแรงๆสักทีให้หยุดพูด
"ปากมึงนี่เก็บไว้กินของฟรีก็พอแล้ว นั่งเงียบๆไปเลยไป รำคาญ"
คนโดนด่ายักไหล่ไม่แยแส พอได้ยินคำว่าของฟรีเขาก็ไม่อยากจะพูดอะไรต่อ หาเรื่องให้ตัวเองอดกินไปเปล่าๆ... แต่เอาจริงๆเจ๊ของเขาจะมีแฟนใหม่เร็วขนาดนั้นก็ไม่แปลก ทั้งสวยทั้งน่ารักจนใครๆเห็นก็ต้องอยากได้ คงมีแต่พี่แจบอมนี่แหละที่ดันเห็นเจ๊เป็นแค่ของตาย จนเสียไปจริงๆถึงค่อยมาคร่ำครวญ... แล้วคนที่ขับรถมาส่งเจ๊วันนี้ก็ขับรถยี่ห้อธรรมดาซะที่ไหน ถ้าเจ๊ยอมกลับมาจริงๆ...ก็มีเหตุผลแค่สองอย่าง ...ถ้าไม่รักพี่แจบอมมาก...เจ๊ก็คงโง่มากนั่นแหละ....
.....................................................................
TALK
ใครรอพาร์ทBNior
ใกล้จะมาแล้วค่ะ
ใจเย็นๆนะ 5555
เจอกันตอนหน้าค่ะ ^ ^
#ฟิคif
ความคิดเห็น