ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Got7][yugbam][bnior] รักผมได้ไหม? #ฟิคif

    ลำดับตอนที่ #2 : ---โชคชะตาเป็นเรื่องตลกร้าย---

    • อัปเดตล่าสุด 25 ม.ค. 58


    “ผมส่งแค่นี้นะ... แน่ใจนะว่าเดินขึ้นไปเองได้...”

    ชายหนุ่มออกปากถามหลังขับรถมาจอดหน้าตึกๆหนึ่งซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นบริเวณที่ใกล้กับจุดที่เจอคนตัวเล็กนอนสลบอยู่เมื่อวาน

    ใบหน้าหวานพยักหน้าเร็วๆ พยายามยกกระเป๋าลากใบโตของตัวเองขึ้นวางบนฟุตบาตรอย่างทุลักทุเล

    “อื้ม... ขอบคุณมากที่มาส่ง แล้วก็ที่ช่วยฉันไว้เมื่อคืน ส่วนอันนี้...”

    มือบางก้มลงค้นหาอะไรบางอย่างจากกระเป๋ากางเกงตัวเอง ก่อนจะหยิบกระดาษแข็งใบเล็กแผ่นหนึ่งขึ้นมาแล้วยื่นส่งให้คนที่นั่งอยู่ในรถ มือใหญ่เอื้อมไปรับกระดาษแผ่นนั้นไว้ ก่อนจะดึงกลับมาเพื่ออ่านรายละเอียดที่พิมพ์ไว้บนนั้น

                                                              

    “คังพิ มุค ภุว วะ คุล”

     

    เจ้าตัวอ่านออกเสียงชื่อที่พิมพ์ด้วยภาษาอังกฤษบนแผ่นกระดาษอย่างงุนงง การอ่านออกเสียงที่แปลกประหลาดนั่นทำให้เจ้าของชื่อหัวเราะออกมาเบาๆ

     

    “กันต์ พิ มุกต์ ภู วะ กุล”

    ปากอิ่มยิ้มกว้างขึ้น อ่านออกเสียงแบบถูกต้องให้อีกฝ่ายที่ยังทำหน้างงอยู่ไม่หายฟัง

    ยูคยอมมองภาพตรงหน้าแล้วยิ้มตาม...

     

    “พี่ยิ้มแล้วดูดีกว่าตั้งเยอะ...”

     

    เมื่อถูกเปลี่ยนประเด็นเอาดื้อๆ คนชมถึงได้หุบยิ้มลง ถอยหลังกลับมายืนบนฟุตบาตรด้วยใบหน้านิ่งๆแบบเดิม

    “นั่นนามบัตรฉัน ถ้ามีเรื่องอะไรที่คิดว่าฉันพอจะช่วยได้ก็โทรมา... แต่ถ้าเป็นเรื่องเงินฉันคงช่วยไม่ได้”

     

    คนฟังหัวเราะพรืด ยกมือโบกไปมาอย่างเห็นเป็นเรื่องตลก

     

    “ผมจะอยากได้เงินจากพี่ไปทำไม เอาเป็นว่าถ้าวันไหนผมอยากได้เพื่อนคุย ผมจะโทรหานะ”

    “ถ้าแค่นั้นล่ะก็ได้ แต่ฉันก็คุยไม่เก่งหรอกนะ ทำไมถึงอยากได้ฉันเป็นรุ่นพี่กันล่ะ”

    “ไม่รู้สิ...”

     

    ชายหนุ่มตอบตามที่คิดจริงๆ เขาไม่รู้หรอกว่าทำไมถึงอยากรู้จักคนตัวเล็กนี่... ทั้งๆที่นอกจากนิสัยขวานผ่าซากที่ถูกใจเขาแล้ว เรื่องอื่นก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นจนน่าคบหาเป็นรุ่นพี่เลย... ก็แค่ถูกชะตาด้วย... เหตุผลแค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาอยากรู้จักอีกฝ่ายแล้ว...

     

    “ประหลาด...” เสียงเล็กเอ่ยเบาพร้อมขมวดคิ้ว แต่มันกลับทำให้คนฟังหัวเราะออกมา

    “ขึ้นห้องดีๆล่ะ อย่าไปนอนกลางฟุตบาตรที่ไหนอีก ผมไปนะ ไว้จะโทรหา”

    “อืม...โชคดี...”

     

     ร่างเล็กโบกมือส่งจนรถเก๋งสีดำคันงามแล่นหายไปตรงสุดมุมถนน ก่อนจะหันตัวกลับมามองป้ายชื่อแมนชั่นแล้วถอนหายใจบางออกมาพร้อมรอยยิ้มเศร้า...

     

    เขาเดินกลับขึ้นมาถึงห้องตัวเองบนชั้นสองของตึกในเวลาไม่นานนัก จัดการไขกุญแจแล้วผลักประตูเข้าไปอย่างไม่คุ้นเคย เฟอร์นิเจอร์ในห้องที่ถูกคลุมทับไว้ด้วยผ้าดิบสีขาวกับพื้นไม้ปาเก้ที่มีฝุ่นจับหนาบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของห้องไม่ได้กลับมาเยือนที่นี่นานเหลือเกินแล้ว... 

     

    ร่างบางใช้เวลาจัดการทำความสะอาดห้องตลอดวันนั้น เก็บเสื้อผ้าน้อยนิดของตัวเองจากกระเป๋าลากเข้าไปในตู้ จัดการเปลี่ยนผ้าปูเตียงนอนขนาดหกฟุตที่ตั้งอยู่กลางห้องนอนเสียใหม่... โชคดีที่ของเกือบทุกอย่างสำหรับพักอาศัยยังอยู่ครบ...เหมือนกับก่อนที่เขาจะออกไป... โชคดีที่อย่างน้อยห้องนี้ยังรอต้อนรับเขาเสมอ...

     

    แบมแบมหย่อนตัวลงนั่งบนเตียง เหม่อมองผ่านบานกระจกใสออกไปทางแม่น้ำกว้างแล้วถอนหายใจเบา... ความเงียบเมื่อต้องอยู่ตัวคนเดียวชวนให้นึกถึงเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวาน...

    .

    .

    .

    .

    “นี่อะไร...”

     

    เสียงหวานที่เจือไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเอ่ยถามร่างสูงที่กำลังยืนแต่งตัวอยู่หน้ากระจก มือบางยื่นโทรศัพท์ที่เปิดหน้าจอแอปแชทยอดนิยมค้างไว้ไปตรงหน้า เพื่อให้คนถูกถามมองเห็นมันได้ชัด

    ตาเรียวปรายมองคนพูดนิดหนึ่ง แต่แล้วก็หันกลับไปสนใจจัดทรงผมตัวเองต่อในกระจกอย่างเดิม

     

    “โทรศัพท์ไง...”

    คนฟังขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินคำตอบ จัดการขว้างวัตถุในมือลงกับพื้นอย่างเหลืออด

    “ครั้งที่สามแล้วนะ... ไหนบอกว่าเลิกกันไปแล้วไง!?

    “ก็เลิกไปแล้ว...”

    “แล้วที่คุยกันนี่คือ?”

    “ก็แค่คุย ไม่ได้นัดไปขึ้นเตียง...”

     

    เสียงทุ้มยังคงตอบเป็นปกติราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แตกต่างกับคนถามที่ความโกรธเริ่มพุ่งสูงขึ้นทุกที

    “พี่เป็นบ้าอะไรวะ!? จบก็คือจบ...ไม่เข้าใจคำว่าจบรึไง? ถ้ายังคุยกันแบบนี้แสดงว่าที่แบมขอไปมันไม่มีประโยชน์เลยนี่”

    “จบของนายกับของฉันคงคนละความหมายกัน...”

    “แล้วแบบนี้จะให้แบมคิดว่าไง...”

    “อยากคิดอะไรก็คิด จะเชื่อรึเปล่ามันก็เรื่องของนาย ความคิดนาย...”

    “แล้วถ้าพี่เห็นไอ้นี่ พี่ยังคิดว่าแบมจะเชื่อพี่ได้อีกมั้ย?

     

    มือบางหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาบ้าง คราวนี้เป็นรูปของคนเป็นพี่ที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงในสภาพกึ่งเปลือย โดยมีเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักอีกคนนอนพิงอยู่บนอกแกร่งแล้วส่งยิ้มให้กล้อง...

    ร่างสูงลุกขึ้นยืน ขยับตัวเข้าไปใกล้ร่างบางที่ยืนตัวสั่นเพราะความโกรธอยู่ไม่ไกลกันนัก ตาเรียวเหลือบมองภาพในจอโทรศัพท์เครื่องบางเพียงชั่วครู่...

     

    “ใครส่งมา?

    “สำคัญรึไง? มันสำคัญที่พี่ทำแบบนี้อีกแล้วต่างหาก! กับคนเดิม...ที่เดิม นี่เห็นหัวแบมบ้างมั้ย?!

    มือเล็กกำแน่น เค้นเสียงจากลำคอที่เริ่มจะแห้งผากเต็มที น้ำตาอุ่นร้อนหยดหนึ่งไหลเคลียลงมาที่ข้างแก้ม...

    ใบหน้าหล่อหันมองกลับมาที่คนถาม หลับตาลงครั้งหนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยๆ

     

    “แล้วจะให้ทำยังไง... ก็ทำไปแล้ว...”

     

    คนฟังฟิวส์ขาดที่ประโยคนี้เอง มือเล็กฟาดเข้าที่แก้มสากเต็มแรงจนอีกฝ่ายหน้าสะบัด ขบฟันลงกับปากอิ่มแน่นจนรู้สึกได้ถึงรสชาดของเลือด

     

    “เลว...” เสียงเล็กเค้นลอดไรฟันได้เพียงแค่นั่น ก่อนต้องนิ่งอึ้งราวกับโดนฟ้าผ่า เมื่อถูกอีกฝ่ายตบเข้าที่ใบหน้าอย่างแรงจนร่างเล็กเซถอยไปด้านหลัง...

    “พี่แจบอม...” ทำได้เพียงส่งเสียงเรียกชื่อคนตรงหน้าแผ่วเบา ตกใจจนแทบจะยืนไม่อยู่... ที่ผ่านมาต่อให้มีเรื่องร้ายแรงแค่ไหน พี่แจบอมก็ไม่เคยทำร้ายเขาสักครั้ง... แต่นี่...

     

    “สำคัญมากใช่มั้ย...คนนี้น่ะ... เลิกไม่ได้ ตัดไม่ได้ใช่มั้ย...” เสียงเล็กเอ่ยถาม พยายามคุมมันให้นิ่งมากที่สุด

    “ถ้าไม่เลิกติดต่อกับเค้า... ก็เลิกกับแบม...”

     

    ไพ่ตายใบสุดท้ายถูกหยิบขึ้นมาใช้ ด้วยหวังว่าอย่างน้อยหากคนตรงหน้ายังรักเขาอยู่บ้าง... ถ้าเขาสำคัญกว่าคนๆนั้นอยู่บ้าง...พี่แจบอมก็จะยอมเห็นใจเขาและสงบลง...เหมือนอย่างที่เคยทะเลาะกันทุกครั้ง...

    แต่เจ้าตัวกลับไม่รู้เลยว่า...คำตอบคราวนี้มันจะไม่เหมือนเดิม...

     

    “ก็เลิกสิ... อยากไปไหนก็ไป”

     

    ตากลมที่เอ่อไปด้วยน้ำตาจ้องลึกเข้าไปในตาเรียวของคนตรงหน้าอย่างตกใจ มือบางยกขึ้นกุมที่รอยแดงบนแก้ม ก่อนจะพบว่ามันทำให้รู้สึกเจ็บที่หัวใจมากกว่าจะเป็นตรงที่โดนตบ... เพิ่งจะเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าเขาหมดความสำคัญสำหรับคนตรงหน้าไปนานแล้ว... พี่แจบอมคนที่เคยพร่ำบอกรักเขา... ตายไปพร้อมกับกาลเวลาแล้ว....

     

    ใบหน้าเย็นชามองตอบอีกฝ่ายที่ยืนตัวสั่นอยู่ตรงหน้า ก่อนก้มตัวลงคว้าโทรศัพท์มือถือเครื่องบางกลับมาเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงแล้วพูดต่อ

    “สำคัญตัวเองผิดไปแล้วมั้ง”

     

    ทุกคำพูดราวกับมีดที่กรีดลงกลางใจของคนฟัง...ถ้าเบื่อเขา...ก็แค่บอกมา...เขาพร้อมจะไปถ้าพี่แจบอมไม่ต้องการเขาอีก...

    ...แต่การใช้วิธีที่บีบให้เขารู้ตัวเอง...และเป็นฝ่ายที่ขอเลิกเองแบบนี้...

    ...มีแต่คนเลือดเย็นเท่านั้นแหละ...ที่ทำได้...

     

    “พี่กำลังจะทิ้งแบมเหรอ...”

    ปากอิ่มเอ่ยเสียงสั่น กลืนก้อนสะอื้นที่พยายามกักเก็บไว้ลงคออย่างยากลำบาก ขาที่ใช้ยืนอยู่ราวกับกำลังอ่อนแรงจนเหมือนจะทรุดลง มือบางยื่นเกาะโต๊ะข้างตัวไว้แน่นอย่างจะหาที่ยึดเหนี่ยว...

    “หาเรื่องเองนะ...”

    เสียงทุ้มกดต่ำ ไม่มีแววอ่อนโยนปนมาในน้ำเสียงอีกต่อไป... มีเพียงความเย็นชาราวกับเกล็ดน้ำแข็งที่คนฟังรู้สึกได้เท่านั้น..

    “รู้ตัวแล้วก็ไปสิ”

    ราวกับโดนตบหน้าฉาดใหญ่อีกครั้ง... คนตัวเล็กหลุดสะอื้นฮักออกมาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง...

     “เคย...ฮึก...รักแบมบ้างมั้ย...”

    ร่างสูงหันกลับมามอง กระชับเสื้อโค้ทที่เพิ่งหยิบมาใส่ให้พอดีตัว

    “เคยสิ” มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่งเป็นรอยยิ้มเหยียด “แต่ตอนนี้ไม่... ไม่เลยสักนิด”

    แบมแบมนิ่งอึ้ง... ได้ยินเพียงเสียงวิ้งดังก้องไปมาอยู่ในหัว... ราวกับกำลังตกอยู่ในฝันร้าย ที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็ไม่มีวันตื่น... แม้อดีตคนรักจะก้าวออกจากห้องไปเนิ่นนานแล้ว...แต่ร่างเล็กก็ยังคงนั่งร้องให้อย่างคนจะขาดใจอยู่ที่พื้นห้องแบบนั้น...เนิ่นนาน... ก่อนเจ้าตัวจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ตัวเองกำลังเดินลากกระเป๋าเดินทางอยู่กลางสายฝนเสียแล้ว...

    .

    .

    .

    ........................................................................

    ตากลมที่โอบล้อมด้วยแพขนตาหนาเปิดขึ้นช้าๆเมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างหมอน เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอหลับไปตอนที่คิดอะไรเงียบๆอยู่บนเตียงเมื่อตอนบ่าย ปรือตามองผ่านกระจกใสออกไปด้านนอกก็พบว่าแสงของพระอาทิตย์เริ่มจะหายไปแล้ว... ร่างบางยกมือบิดขี้เกียจนิดหนึ่ง ก่อนเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มากดรับทั้งที่ตายังไม่เปิดดีนัก...

    "ฮัลโหล" เสียงหวานกรอกตอบก่อนจะค่อยๆยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง

    "กินข้าวกัน"

    "ฮะ..." ตากลมเบิกขึ้น ยกโทรศัพท์ที่แนบหูขึ้นดูชื่อคนโทรเข้าอย่างตื่นๆ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใคร เจ้าตัวถึงได้ยอมคุยต่อ

    "ไหนบอกตอนว่างๆถึงจะโทรมา"

    "ก็วันนี้ไงว่าง อยากฉลอง"

    "อ้อ... ที่ไหนล่ะ"

    หัวทุยพยักหงึกหงักเมื่อได้ยินชื่อสถานที่ ซึ่งเขาไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน แต่ก็ได้รับการยืนยันจากอีกฝ่ายว่ามันไม่ไกลนัก แค่บอกชื่อร้านให้คนขับแท็กซี่ฟัง เขาก็จะไปถึงที่ร้านได้เอง

    ................

    ขาเรียวก้าวลงจากรถ เผลออ้าปากน้อยๆขณะมองไปยังอาคารขนาดชั้นเดียวที่ตกแต่งด้วยไฟหลากสีเบื้องหน้า....

    ....นี่มันผับชัดๆ ไหนว่าจะชวนมากินข้าว...

    ใช้เวลาติดต่อกันไม่นาน ก็สามารถหาโต๊ะที่อีกฝ่ายนั่งอยู่เจอ ร่างสูงส่งยิ้มให้ขณะกวักมือให้เขาเข้าไปนั่งที่โต๊ะด้วยกัน

    "ร้านอาหารเดี๋ยวนี้ตกแต่งแปลกเนอะ"

    อดที่จะประชดเล็กๆไม่ได้เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่าย แต่ก็ได้รับเพียงเสียงหัวเราะอย่างไม่ถือสามาเป็นสิ่งตอบแทน

    "ผมอยากฉลอง"

    "แล้วทำไมไม่ชวนเพื่อนนายล่ะ”

    “ก็พี่ไง เพื่อนผม”

    รอยยิ้มไร้เดียงสาเหมือนเด็กๆที่ส่งมาทำให้คนฟังได้แต่ถอนหายใจเบา หย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาสีแดงสดก่อนจะหันมองฝ่าแสงสลัวไปรอบๆตัวอย่างจะสำรวจ

    “ฉันหมายถึงเพื่อนคนอื่นๆ ถ้านายอยากฉลอง พาคนมากันเยอะๆน่าจะสนุกกว่าไม่ใช่เหรอ”

    “พี่รู้มั้ยข้อเสียของการมีเงินเยอะๆคืออะไร”

    ตากลมกระพริบปริบ มองหน้าคนถามที่เอาแต่จ้องแก้วเหล้าสีอำพันในมือแล้วหมุนพลิกไปมาอย่างไม่เข้าใจนัก...

    “มีเงินเยอะก็เป็นเรื่องดีนี่ ที่ทุกคนทำงานกันเอาเป็นเอาตายกันทุกวันนี้ก็เพื่อหาเงินทั้งนั้น... ฉันก็ด้วย...”

    ชายหนุ่มหัวเราะเสียงต่ำเมื่อได้ฟังคำตอบ วางแก้วเหล้าในมือลงบนโต๊ะกระจก ก่อนจะเอนหลังลงกับเบาะอย่างผ่อนคลายมากขึ้น

    “ข้อเสียคือมันจะพาคนไม่จริงใจเข้ามาหามากขึ้นต่างหาก... ในชีวิตผม... นอกจากเพื่อนสมัยมัธยมแล้ว คนที่ตั้งใจจะเป็นเพื่อนกับผมจริงๆ มีอยู่ไม่ถึงสิบด้วยซ้ำ นอกนั้นถ้าไม่หวังผลประโยชน์ ก็เกรงใจเงินของผมจนเอาแต่พูดประจบกันทั้งนั้น...”

    “อ่า...” ปากอิ่มตอบรับ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี

    “ผมถึงถูกใจพี่ไง เพราะพี่พูดทุกอย่างตรงๆ ถึงจะรู้ว่าผมมีเงิน แต่ก็ไม่ได้หวังคบผมเพื่อผลประโยชน์”

    “แต่ที่ฉันมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ก็เพราะผลประโยชน์ไม่ใช่เหรอ เพราะต้องชดใช้นายฉันถึงมา ถ้าไม่งั้นฉันก็คงปฏิเสธนายแล้วนอนต่อไปแล้ว...”

    คนฟังหัวเราะชอบใจกับประโยคนั้น

    “นั่นไง พี่เป็นแบบนี้นี่แหละ ผมถึงชอบ”

    คิ้วเรียวขมวดลง หัวเราะเบาๆให้กับความคิดที่ยากจะเข้าใจของคนตรงหน้า มือบางยื่นไปรับแก้วที่ด้านในมีน้ำสีฟ้าใสจากอีกฝ่ายก่อนยกขึ้นจรดริมฝีปากเพราะคิดเอาเองว่าคงเป็นน้ำอัดลมธรรมดา

    “นี่มันเหล้านี่!

    เสียงเล็กร้องท้วง ยกมือขึ้นเช็ดเครื่องดื่มบางส่วนที่เขาเผลอพ่นออกมาเมื่อครู่

    “อ้าว ก็ใช่ไง ผมชวนพี่มาฉลองนะ ... อย่าบอกนะว่าไม่กินเหล้าด้วย”

    “ไม่ใช่ไม่กิน แต่พรุ่งนี้ฉันมีงานต้องทำ วันนี้ก็กลับดึกมากไม่ได้ด้วย”

    ปากบางของคนฟังยู่ลงอย่างขัดใจ ทำปากขมุบขมิบบ่นอะไรไปเรื่อย

    “ไม่สนุกเลย...”

    “ก็บอกให้ชวนเพื่อนคนอื่นไงเล่า ฉันอยู่เป็นเพื่อนนายได้อีกแค่สองชั่วโมง ไม่กินเหล้าด้วย โอเค้?

    .................

    ตาเรียวเหลือบมองคนข้างตัวที่ตอนนี้นั่งทำตาปรืออยู่ด้านข้าง ในมือเล็กมีแก้วทรงสูงซึ่งเจ้าตัวสั่งมากินเป็นแก้วที่หก... ไม่กินเหล้า... แต่ซัดม็อกเทลไปหกเนี่ยนะ?... มือใหญ่ดึงแก้วออกจากมือของอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าปากอิ่มพยายามจะยกแก้วในมือขึ้นซดอีกรอบ พอเป็นแบบนั้น ตากลมเลยหันขวับมามองคนแย่งแก้วแล้วส่งค้อนให้วงใหญ่

    “อะไรเล่า... อาวคืนมา ยังม่ายหมดเลยยยย...”

    เสียงเล็กพูดยานคางแทบไม่เป็นคำ คว้ามือเปะปะไปในอากาศเพื่อหาแก้วตัวเอง อีกฝ่ายที่เป็นคนยึดแก้วมาถึงต้องวางแก้วไว้ไกลๆแล้วกลับมาดันไหล่ของคนตรงหน้าให้อยู่นิ่งๆ

    “พี่นี่... ทำผมทึ่งได้ตลอดจริงๆ” เสียงทุ้มหัวเราะเบาอย่างเอ็นดู ยกมือขึ้นหยิกแก้มอิ่มที่เจ้าตัวพองมันขึ้นเพราะความไม่พอใจอย่างมันเขี้ยว...

    “กลับได้แล้ว นี่มันตีหนึ่งกว่าแล้วนะ พรุ่งนี้มีงานต้องทำไม่ใช่รึไง... นี่...”

    เขย่าร่างบางจนหัวสั่นหัวคลอน ได้ยินเสียงหัวเราะแหลมๆตอบกลับมาราวกับอีกฝ่ายกำลังตลกอะไรซะเต็มประดา

    “ม่ายทำแล้ววว ทิ้งให้หมดด... ทิ้งมันให้หมดเลยยยย ม่ายอยากทำแล้ว ...ม่ายรู้จะทำไปทำไม...”

    ปลายเสียงอ่อนลง ไม่มีเสียงหัวเราะเคล้าคลอมากับคำพูด มีเพียงดวงตากลมที่เริ่มช้อนมองเขาอีกครั้ง... ทั้งเจ็บปวดและตัดพ้อ... แววตาแบบเดียวกับที่เขาเห็นตอนอยู่บนรถเมื่อวาน...

    “ถ้าไม่มีพี่แล้ว แบมจะอยู่ไปทำไม... พี่เป็นคนสุดท้ายที่แบมมีแล้ว... ถ้าไม่มีพี่... ชีวิตแบมก็ไม่มีความหมายอะไรอีก...”

    เสียงหวานสั่นเครือ ปล่อยน้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาตามแก้มเนียน...

    “พี่รู้มั้ยว่าแบมกำลังจะตาย... ฮึก...  แบมทรมานจนเหมือนจะตายแล้ว... ถ้าไม่มีพี่...แบมก็อยู่ไม่ได้... แบมอยู่ไม่ได้รู้มั้ย...”

    คนฟังถอนหายใจแผ่ว กดหัวทุยแนบลงกับอกแล้วกอดร่างสั่นเทานั้นไว้แน่น

    “ผมไม่ชอบเวลาพี่ร้องให้เลย... หยุดร้องเถอะนะ ด่าผมเหมือนที่เคยทำก็ได้...” เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบ

    “แต่อย่าตายเลยนะ... อย่างน้อยพี่อยู่เพื่อผมได้ไหม... ผมอยากให้พี่อยู่... จริงๆนะ...”

    “..........................”

    “เรื่องที่พี่จะตอบแทน... ผมขอแค่อย่างเดียว... ช่วยยิ้มให้ผมทุกวันต่อจากนี้ได้มั้ย... อย่าร้องให้เพราะคนๆนั้นอีกเลย...”

    วงแขนแกร่งกอดกระชับร่างในอ้อมกอดแน่นขึ้น วางคางลงบนกลุ่มผมนุ่มแผ่วเบา รับรู้ถึงสัมผัสเปียกชื้นที่ซึมผ่านอยู่บริเวณหน้าอก... ร้องให้พอเถอะนะ... แต่ขอให้มันเป็นครั้งสุดท้าย...

    ...จากนี้...เขาสาบาน ว่าจะทำให้คนตรงหน้ามีเพียงแต่รอยยิ้มเท่านั้น...

    ...............................................................................................

    ตากลมปรือเปิดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์เครื่องบาง ควานหยิบมันขึ้นดูแล้วถอนหายใจออกมาเมื่อพบว่ามันเป็นเวลาหกโมงเช้าพอดี... เมื่อคืนเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากลับมาถึงห้องได้ยังไง... ที่จำได้ล่าสุดก็แค่เขากินน้ำสีฟ้ารสอร่อยนั่นเข้าไปเป็นแก้วที่สาม... ตอนแรกก็กะจะไม่กินอยู่หรอก... แต่สายตาเขาดันไปเหลือบเห็นใครคนหนึ่งที่คุ้นเคยเข้า... ใครคนที่ทำให้เขาเสียศูนย์จนทำตัวเหลวแหลกไม่เหลือชิ้นดีอยู่อย่างทุกวันนี้...

    ...พี่แจบอมมากับเด็กหนุ่มคนที่อยู่ในรูป... หัวร่อต่อกระซิกกันอย่างสนุกสนาน ราวกับลืมไปแล้วว่าพึ่งจะทิ้งเขามาเมื่อวาน... มีความสุขกันจนเขาทนมองไม่ได้...

    ...ก็ดี...อย่างน้อยเขาจะได้รู้...ว่าไม่ควรหวังอะไรกับผู้ชายเลวๆคนนี้อีก...

    ปากอิ่มหลุดหัวเราะสมเพชตัวเองเมื่อพบว่าน้ำตายังคงไหลเพียงแค่นึกถึงใบหน้าของอดีตคนรักขึ้นมา... ภายนอกเขาอาจจะดูเก่งไปแบบนั้นก็จริง... แต่หัวใจคงยังต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย... เดี๋ยวมันก็คงหายดีเอง... เขาหวังให้เป็นแบบนั้นน่ะนะ...

     ร่างเล็กลุกขึ้นบิดขี้เกียจ ใช้เวลาจัดแจงตัวเองอยู่เกือบชั่วโมง ก่อนจะเตรียมพร้อมและเดินออกมาที่หน้าประตูเพื่อไปทำงานตามปกติ แต่สายตาก็ไปสะดุดเข้ากับโน้ตสีเขียวใบหนึ่งซึ่งแปะไว้หน้าประตูเสียก่อน...

    ขอโทษที่ถือวิสาสะเข้าห้องพี่ ของทุกอย่างผมวางไว้ให้ที่โต๊ะข้างประตู ไม่มีอะไรหายตรวจดูได้เลย ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนเมื่อคืน (ถึงสุดท้ายคนที่กินหนักที่สุดจะเป็นพี่ก็เหอะ) คราวหน้าตาพี่เลี้ยงผมบ้างนะ เตรียมตัวไว้เลย J ยูคยอม

    ปากอิ่มยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่ออ่านข้อความจบ นึกขอบคุณคนที่อุตส่าห์แบกเขากลับมาที่ห้องเมื่อวาน คิดในใจว่าอีกสักอาทิตนึงให้เขามีสภาพจิตใจดีมากกว่านี้แล้วจะโทรชวนอีกฝ่ายไปเลี้ยงข้าวในร้านดีๆสักร้าน ตอบแทนที่ช่วยเขาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแบบนี้... ตอนนี้ขอเขาอยู่กับตัวเองสักพัก...รอให้พร้อมกว่านี้ก่อน...

    ...แต่ความตั้งใจของคนตัวเล็กก็ถูกทำลายลงแทบจะทันทีเมื่อเข้ามาถึงห้องประชุมของบริษัท... ห้องประชุมที่สถาปนิกอย่างเขามีเอาไว้คุยกับลูกค้าสำหรับงานตกแต่งต่างๆ ...แต่กลับเจอร่างสูงที่เขาคุ้นหน้ายืนยิ้มรออยู่ที่หลังประตูก่อนแล้ว..

    “มาอยู่นี่ได้ไง?

    เสียงหวานร้องถาม ยืนนิ่งค้างเพื่อรอคำตอบจากอีกฝ่าย...

    “ผมเป็นลูกค้าคุณไงครับ... คุณกันต์พิมุกต์...”

    ใบหน้าหล่อของคนตรงข้ามส่งยิ้มกว้างขึ้นอีก ขยับตัวเดินเข้ามาใกล้จนเขาได้กลิ่นน้ำหอมราคาแพงจากเจ้าตัวชัดเจน

    ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงดวงตากลมที่ส่งแววสงสัยให้อีกฝ่ายอย่างตั้งคำถามถึงเจตนาของการมาเยือนเท่านั้น....

    ...........................................................................................................................................................
    TALK
    อารมณ์ของเรื่องนี้ในตอนแรกอาจจะเนิบๆหน่อยนะคะ
    อย่าเบื่อจะหลับกันไปซะก่อนล่ะ 5555
    เจอกันตอนหน้าค่ะ ^ ^

    #ฟิคif


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×