อะไรอยู่ข้างบ้าน
จะทำอย่างไรเมื่อคนข้างบ้านถูกฆาตกรรม และหลังจากนั้นก็เกิดเรื่องประหลาดตามมา
ผู้เข้าชมรวม
72
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
ฉันอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรย่านชานเมืองกับพ่อและแม่ บ้านหลังนี้พี่ชายฉันซื้อไว้ให้พ่อกับแม่ และให้ฉันมาอยู่ด้วยเพราะจะได้มีคนช่วยดูแลพ่อกับแม่ ส่วนตัวพี่ชายของฉันก็ไปทำงานที่ต่างประเทศ กลับมาช่วงปีใหม่เท่านั้น ภายในหมู่บ้านก็เหมือนกับหมู่บ้านจัดสรรทั่วๆไป หน้าหมู่บ้านจะมีป้อม รปภ. อยู่ตรงกลางระหว่างทางเข้ากับทางออก ตรงทางเข้าและทางออกก็จะมีไม้กั้น หากเป็นคนในหมู่บ้านก็จะมีป้ายสแกนทำให้ไม้กั้นเปิดขึ้นอัตโนมัติ ขณะที่หากเป็นคนภายนอกจะต้องติดต่อแลกบัตรกับ รปภ.ก่อนถึงจะสามารถเข้าไปได้
ทั้งหมู่บ้านเป็นบ้านแบบทาวน์โฮมทั้งหมด มีไม่เกิน 50 หลัง จัดว่าเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กหากเทียบกับหมู่บ้านจัดสรรที่อยู่ในโซนเดียวกัน ในหมู่บ้านจะมีอยู่ 5 ซอย ซอยหนึ่งก็จะมีบ้านอยู่ 10 หลัง อยู่ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา หันหน้าเข้าหากัน ด้านละ 5 หลัง
บ้านของฉันอยู่ซอยที่ 3 และเป็นบ้านขวามือตรงหัวมุมพอดี ดังนั้นก็จะมีบ้านติดอยู่ที่ด้านขวามือเท่านั้น
เพื่อนข้างบ้านของฉันเป็นสามี ภรรยา อายุก็พอๆกับพ่อและแม่ของฉัน ฉันเรียกท่านทั้งสองว่า คุณลุงและคุณป้า
ที่เรียกแบบนี้เพราะฉันจำชื่อของคุณลุงและคุณป้าไม่ได้ เจอกันทุกครั้งก็จะเรียกว่าคุณลุง คุณป้าตลอด
คุณลุงกับคุณป้าก็มีลูกชาย 1 คน ได้ยินมาว่าเป็นคุณหมอโรงพยาบาลเอกชน แต่แต่งงานแล้วเลยแยกบ้านออกไป ฉันก็เคยเจอลูกชายของคุณลุงและคุณป้าแค่ครั้ง สองครั้งเท่านั้นเอง
วันนี้หลังเลิกงานฉันก็กลับบ้านตามปกติ ออกจากออฟฟิศ นั่งพี่วินมอเตอร์ไซค์เจ้าประจำไปขึ้นรถไฟฟ้า นั่งรถไฟฟ้าไปจนถึงสถานีสุดท้าย แวะซื้ออาหารเย็นจากร้านอาหารหน้าปากซอย เดินลัดเลาะมาตามไหล่ทางประมาณ 5 นาทีก็ถึงหมู่บ้านของฉัน แต่ที่น่าแปลกใจคือ รปภ.ที่ประจำที่ป้อมหายไปหมด ฉันค่อยๆ เดินเข้าไปในหมู่บ้านจนมาถึงซอยบ้านของตัวเอง ฉันเลยรู้ว่าน้องยามที่หายไปนั้นมาอยู่ที่ซอยบ้านของฉันเอง แต่นอกจาก รปภ.แล้ว ก็ยังมีรถตำรวจ รถพยาบาล รถกู้ภัย และไทยมุงอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งก็รวมพ่อและแม่ของฉันด้วย ทั้งหมดอยู่ตรงบริเวณหน้าบ้านของคุณลุงและคุณป้า
"เนยๆ" แม่เรียกเมื่อเห็นฉัน
ฉันเดินไปหาแม่และถามว่า "เกิดอะไรขึ้นหรือคะแม่"
"ป้าศรีกับลุงนะถูกฆาตกรรม" แม่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นปนหวาดกลัว
มันก็น่าตื่นเต้นแหละ เพราะคงไม่มีเหตุฆ่ากันตายที่ข้างบ้านกันบ่อยๆ หรอก แต่ที่แม่รู้สึกกลัวก็เพราะมันเกิดอยู่ข้างบ้านเช่นกัน
"เอ่อ ขอโทษครับ คุณป้าอยู่ข้างบ้านผู้เสียชีวิตใช่ไหมครับ ผมจะขอสอบถามเหตุการณ์หน่อยครับ" นายตำรวจวัยกลางคน เดินเข้ามาถามแม่ของฉัน
"ค่ะๆ ใช่ค่ะคุณตำรวจ" แม่ตอบคุณตำรวจ "นี่พ่อๆ คุณตำรวจจะสอบถามอะไรเราหน่อย มาเร็วๆ" แม่เรียกพ่อให้ไปด้วยกัน
ฉันเดินตามพ่อ แม่ และคุณตำรวจเข้าไปในบ้านของฉัน เพื่อสอบถามเรื่องราว
โดยสรุปทั้งพ่อและแม่ไม่เห็นอะไรผิดปกติ มีไรเดอร์เข้ามาส่งอาหารตอนกลางวัน แต่ก็แค่แป๊บเดียวแล้วก็กลับไป ไม่ได้เดินเข้าไปในบ้านด้วยซ้ำ แต่ตอนบ่ายๆ พ่อกับแม่ออกไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าแถวบ้าน กลับมาก็เห็นประตูบ้านเปิดแง้มไว้ แต่นึกว่าคุณลุงกับคุณป้าลืมปิดประตูเลยไม่ได้คิดอะไร พอช่วงเย็นๆ พ่อออกมารดน้ำต้นไม้ ก็ยังเห็นประตูเปิดอยู่ ก็เลยลองเรียกแต่ไม่มีเสียงตอบ พ่อก็คิดว่าคุณลุงกับคุณป้าอาจจะออกไปนอกบ้าน แล้วลืมปิดประตู เลยโทรเข้ามือถือของคุณลุง แต่พ่อกลับได้ยินเสียงโทรศัพท์ของคุณลุงในบ้าน พ่อจึงลองเรียกดูแต่ไม่มีคนตอบ
พ่อเลยตัดสินใจกลับบ้าน และให้แม่โทรหา รปภ. เพราะคิดว่าคุณลุงกับคุณป้าอาจจะหกล้ม หรือไม่สบาย จะได้มีคนหนุ่มๆช่วย พอ รปภ.มาถึง ทั้งพ่อและ รปภ.ก็เข้าไปในบ้าน แต่พอไปถึงตรงห้องนั่งเล่นกลับเห็นร่างไร้วิญญาณของคุณลุงกับคุณป้า พ่อเลยรีบวิ่งออกมาและโทรแจ้งตำรวจและกู้ภัยทันที
กระบวนการสืบสวนทางกฎหมายก็คงดำเนินไปตามขั้นตอน แต่มันมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นหลังจากนั้นด้วยนะสิ
เช้าในวันที่ 4 หลังจากเหตุการณ์ฆาตกรรมคุณลุงและคุณป้าข้างบ้านของฉัน มันเป็นเช้าวันเสาร์ที่ฉันตั้งใจว่าจะตื่นสายๆ เพราะเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งอาทิตย์ แต่กลับต้องตื่นเพราะเสียงเอะอะหน้าบ้าน ฉันลุกจากเตียง ในใจก็ผรุสวาทคนที่มาทำเสียงดัง ฉันเปิดผ้าม่านหน้าต่างห้องนอนที่อยู่ด้านหน้าบ้าน ภาพที่ฉันเห็นมันเป็นกลุ่มคนที่กำลังมุงดูอะไรสักอย่าง และในกลุ่มคนเหล่านั้นก็มีพ่อและแม่ของฉันรวมอยู่ด้วย
ฉันสงสัยว่าเขามุงดูอะไรกัน ฉันจึงคว้าเสื้อคลุมสวมทับชุดนอน แล้วออกไปหน้าบ้าน
แต่พอก้าวเท้าออกมานอกบ้าน สิ่งที่ฉันสัมผัสได้อย่างแรกคือกลิ่นคาวที่เหม็นคละคลุ้ง และภาพที่ฉันเห็นคือ คราบสีแดงที่เหมือนเลือดที่ยังดูสดใหม่ถูกลากยาวจากหน้าบ้านคุณลุงและคุณป้า ไปจนถึงหน้าปากซอยก่อนที่รอยนั้นจะหายไป มันเหมือนมีตัวอะไรลากอะไรสักอย่างแล้วก็บินขึ้นท้องฟ้าไป ภาพที่เห็นและกลิ่นที่เหม็นสุดๆ มันทำให้ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียด
เรื่องนี้กลายเป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ ในหมู่บ้านของฉันอย่างรวดเร็ว รวมถึงถูกแผ่กระจายไปอย่างรวดเร็วตามแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นติ๊กต๊อก เฟสบุ๊ค หรือ ทวิตเตอร์ ซึ่งทำให้คนในโลกออนไลน์ตั้งสมมุติฐาน หรือทฤษฎีต่างๆ ว่าเกิดจากอะไร บ้างก็ว่าอาจจะเป็นสัตว์พวกตัวเงินตัวทองมากินสัตว์เลี้ยง หรือบ้างก็ว่าเป็นผีปอบ ผีกระสือที่ออกมาหาของกินตอนกลางคืน หรือบ้างก็บอกว่ารอยเลือดนั้นอาจจะเกิดจากรถทับสัตว์แล้วลากออกไป หรือบางคนก็บอกว่าเป็นการจัดฉากเพื่อทำคอนเทนต์ของเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ เพื่อเรียกยอดไลค์ ยอดแชร์
แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็เป็นประเด็นที่พ่อแม่และฉันพูดคุยกัน พ่อผู้ซึ่งไม่เชื่อเรื่องลี้ลับไม่เชื่อด้วยซ้ำว่ารอยที่เห็นเป็นเลือด ส่วนแม่ที่ตรงข้ามกับพ่อก็หวาดกลัวจนหนีไปนอนบ้านของป้ากุล พี่สาวแท้ๆ ของแม่ ส่วนฉันนั้นก้ำกึ่งเพราะไม่รู้ว่ารอยนั้นเป็นอะไรกันแน่ แล้วก็ไม่มีสัตว์เลี้ยงหาย หรือซากสัตว์ใดๆ อยู่แถวบ้านของฉันเลย
คืนวันนั้น ในบ้านของฉันเหลือกัน 2 คน คือ พ่อกับฉัน เพราะแม่ออกไปบ้านของป้ากุลตั้งแต่ช่วงบ่ายๆ ฉันนั่งดูละครหลังข่าวกับพ่อ ระหว่างที่เรานั่งดูละครกันเงียบๆ พวกเราได้ยินเสียงเหมือนของหนักๆ กลิ้งตกลงมาจากข้างบน ฉันลุกไปดูตรงบันไดบ้าน แต่ก็ไม่เห็นว่ามีอะไรตกลงมา ฉันกลับมานั่งดูทีวีกับพ่อต่อ แล้วพวกเราก็ได้ยินเสียงเหมือนเดิมอีก พ่อและฉันหันหน้ามามองกัน ก่อนที่ฉันจะเอ่ยว่า "มันเป็นเสียงมาจากข้างบ้านไหมคะพ่อ"
คือพอมันเป็นทาวน์โฮมทำให้บ้านของฉันต้องใช้ผนังด้านขวากับบ้านของคุณลุงและคุณป้า และผนังมันก็บางมากๆ ทำให้ได้ยินเสียงจากบ้านติดๆ กันได้ ซึ่งก่อนที่คุณลุงคุณป้าจะเสียพวกเราก็มักจะได้ยินเสียงเดินขึ้นลงบันได หรือแม้แต่เสียงโทรทัศน์ของกันและกัน แต่พวกเราก็ชินจนไม่ได้นึกรำคาญ แต่พอคุณลุงคุณป้าเสียไปแล้ว พอมันมีเสียงเกิดขึ้นในบ้านข้างๆ ก็เลยทำให้ประหลาดใจ
"ของในบ้านนั้นอาจจะตกลงมาก็ได้" พ่อตอบ "ก็คุณหมอยังไม่ได้เข้ามาย้ายของออกไปใช่ไหม น่าจะยังยุ่งๆ กับงานศพอยู่แหละ" พ่อกล่าวต่อ หลังจากนั้นทุกอย่างก็ปกติจนถึงตอนเช้า
เช้าวันจันทร์มาถึง ฉันก็ออกไปทำงานตามปกติ แต่พี่ต้น ซึ่งเป็นพี่ที่ทำงานในแผนกเดียวกันกับฉัน ได้ถามฉันว่า "พี่ได้ข่าวว่าแถวบ้านเนยมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นใช่ไหม"
"ใช่ค่ะ" ฉันตอบพร้อมกับเล่าเหตุการณ์ประหลาดที่เป็นข่าวดังให้พี่ต้นฟัง และบอกว่า "เนยกับพ่อได้ยินเสียงแปลกๆ เหมือนเสียงของตกจากข้างบนกลิ้งลงบันไดไปด้วยค่ะ นี้ก็ได้ยินมา 2 คืนแล้ว ไม่รู้คืนนี้จะได้ยินอีกไหม"
"เฮ้ย น่าสนใจอ่ะ" พี่ต้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น และก็เอ่ยต่อเมื่อเห็นฉันทำหน้า งงๆ ว่า "คือ สมัยเรียนมหาวิทยาลัย พี่มีกลุ่มเพื่อนที่ชอบเรื่องลี้ลับนะ"
"พี่จะขอชวนเพื่อนๆ แล้วไปบ้านเนยไปพิสูจน์เรื่องนี้ได้ไหม" พี่ต้นถาม
"แต่เรื่องแปลกๆ มันเกิดที่บ้านข้างๆ นะคะ" ฉันแย้งขึ้นมา "พี่ต้นจะมาบ้านเนยแล้วจะพิสูจน์อะไร" ฉันถามด้วยความสงสัย
"ที่จริงพี่ก็อยากเข้าไปในบ้านข้างๆ นั่นแหละ" พี่ต้นพูด "แต่เราต้องไปขอลูกของเจ้าของบ้านก่อนใช่ไหม" พี่ต้นถาม
"ก็น่าจะอย่างนั้นนะคะ" ฉันตอบ "แต่เนยยังไม่เจอลูกชายคุณลุงคุณป้าเลยตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นมา" ฉันให้ข้อมูลเพิ่มเติม
"ไม่เป็นไร พี่ขอแค่ใช้บ้านเนยเป็นจุดนัดพบของพวกพี่ แล้วที่เหลือที่จัดการเอง" พี่ต้นตอบ
"โอเคนะ เดี๋ยวคืนพรุ่งนี้พี่จะไปบ้านเนย ขอนัดเพื่อนๆ ก่อน" พี่ต้นพูดต่อ แล้วขอตัวกลับไปทำงาน โดยไม่ปล่อยให้ฉันตอบอะไร
ฉันนำเรื่องนี้ไปบอกพ่อเพื่อขออนุญาต พ่อพูดออกมาว่า "อยากมาก็มาเถอะ ไม่น่าเชื่อว่าเด็กสมัยใหม่ยังมีพวกที่งมงาย เชื่ออะไรก็ไม่รู้แบบนี้อยู่ด้วย"
ช่วงหัวค่ำวันอังคาร ซึ่งก็ครบ 7 วันหลังจากที่เกิดเหตุร้ายข้างบ้านของฉัน กลุ่มของพี่ต้น ที่ประกอบด้วย พี่ต้น พี่ไนท์ พี่สาว พี่ตี๋ พี่นี และ พี่พล ก็มาเจอกันที่ที่ทำงานของฉัน และฉันก็พาทุกคนกลับมาที่บ้านด้วยรถของพี่ต้น
ตอนที่ฉัน พี่ต้นและเพื่อนๆ มาถึงที่บ้าน พ่อเองก็พึ่งกลับจากงานเผาศพของคุณลุงและคุณป้า เช่นกัน
"อ่ะนี้กุญแจ" พ่อพูดพร้อมยื่นกุญแจ ให้กับกลุ่มของพี่ต้น
พ่อเห็นฉันและกลุ่มของพี่ต้นทำหน้า งงๆ ก็พูดต่อว่า "วันนี้พ่อไปงานเผา เจอคุณหมอก็เลยบอกไปว่า ช่วงสองสามคืนมานี้พ่อได้ยินเสียงแปลกๆ ในบ้านของคุณหมอ ไม่รู้ว่ามีอะไรตกลงมาหรือเปล่า หรือจะมีพวกติดยาแอบเข้าไปอยู่ในบ้านไหม พ่อเลยจะไหว้วานให้เพื่อนๆ ของเนย ซึ่งจะมาบ้านวันนี้เข้าไปช่วยดูให้หน่อย คุณหมอก็เลยให้กุญแจบ้านมา"
พวกพี่ต้นกล่าวขอบคุณพ่อ ก่อนที่พี่พลจะรับกุญแจจากพ่อมาถือไว้
"พ่อนะไม่คิดว่าจะมีผี หรือวิญญาณอะไรหรอกนะ แต่กลัวว่าจะมีพวกติดยา จะอาศัยโอกาสนี้มาใช้บ้านเป็นแหล่งมั่วสุ่มมากกว่า ยังไงถ้าจะเข้าไปในบ้านหลังนั้นก็ระวังตัวกันด้วยนะ" พ่อกล่าวกับกลุ่มของพี่ต้น ก่อนที่จะขอตัวไปอาบน้ำพักผ่อน
"พ่อของเนยอย่างเจ๋งอ่ะ" พี่ต้นกล่าวชื่นชมพ่อ ส่วนฉันก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตามมารยาท
ในรถของพี่ต้นมีอุปกรณ์ต่างๆ มากมาย พี่ๆ อธิบายว่าพวกนี้เป็นเครื่องมือสำหรับตรวจดูว่ามีผีอยู่ไหม หากมีผีเครื่องนี้ก็จะส่งเสียงร้องออกมา นอกจากนี้พี่ไนท์ก็หยิบกระดานผีถ้วยแก้วออกมาด้วย
พวกของพี่ต้นนั่งวางแผนกันอย่างเงียบๆ จนเวลาล่วงเลยมาถึงเกือบๆ 5 ทุ่ม ทุกคนก็เริ่มเตรียมตัว
"เนยอยากเข้าไปด้วยกันไหม" พี่ต้นเอ่ยถาม เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว
"ไม่ดีกว่าค่ะ เนยรออยู่ที่บ้านแล้วกัน" ฉันตอบออกไป เพราะถึงจะอยากรู้มากแค่ไหน แต่ความกลัวก็เยอะกว่าความอยากรู้อยากเห็นอยู่ดี
พวกพี่ต้นหายกันไปสักพักใหญ่ ระหว่างนั้นฉันได้ยินเสียงตึกตัก เสียงวี้ดร้อง เสียงโวยวาย และเสียงอึกทึกครึกโครมมากมายดังมาจากข้างบ้านเป็นระยะๆ
เกือบๆ เที่ยงคืน พวกพี่ต้นก็เดินเข้ามาในบ้าน พี่ตี๋ให้พี่สาวขี่คอ เพราะพี่สาวข้อเท้าพลิก พี่ๆทุกคนดูสะบักสะบอม
พี่ต้นและเพื่อนๆ กล่าวขอบคุณฉัน ก่อนที่จะขอตัวกลับบ้านไป
ก่อนกลับพี่ต้นหันมาบอกฉันว่า "พรุ่งนี้เดี๋ยวพี่เล่าให้ฟัง เจอกันที่ทำงานนะ" แล้วพี่ต้นก็ขับรถพาเพื่อนๆ กลับไป
ฉันหันหลังเพื่อจะเข้าบ้าน แล้วสายตาของฉันก็เหลือบไปเห็นร่างสีดำ ตาสีแดง ปากแหลมเหมือนเหยี่ยว มีปีกสยายกว้างอยู่บนหลังคาข้างบ้าน แล้วสติสัมปชัญญะของฉันก็ดับไป
"เนยๆ" เสียงพ่อเรียกฉัน ฉันสะดุ้งโหยงทันที มันทำให้เห็นว่าฉันมานอนอยู่กลางโรงรถ มีพ่อเอากระดาษหนังสือพิมพ์มาพัดให้ฉัน และน้องที่อยู่บ้านตรงข้ามกำลังเอายาดมมาอั่งอยู่ใต้จมูกของฉัน
"พ่อๆ หนูเห็นสัตว์ประหลาด" ฉันละล่ำละลักบอกพ่อ
"ใจเย็นๆ เนย" พ่อเรียกสติของฉัน
พ่อหันไปขอบคุณน้องบ้านตรงข้าม แล้วค่อยๆ พยุงฉันเข้าไปในบ้าน
พ่อเล่าว่าได้ยินเสียงฉันกรีดร้อง เลยลงมาดู แล้วน้องบ้านตรงข้ามก็ออกมาดูเหมือนกัน เลยช่วยกันยกฉันเข้ามานอนตรงโรงรถ
ฉันเล่าให้พ่อฟังถึงเหตุการณ์ที่ฉันเห็นสัตว์ประหลาดบนหลังคาของบ้านคุณลุงคุณป้า พ่อกลับบอกว่าฉันตาฝาด เพราะมัวแต่กังวลกับที่พวกพี่ต้นเข้าไปในบ้านของคุณลุงคุณป้า แล้วพ่อก็ไล่ให้ฉันไปอาบน้ำนอนพักผ่อน
วันพุธ ฉันรีบไปทำงานเช้ากว่าปกติ เพราะอยากไปคุยกับพี่ต้นว่าเกิดอะไรขึ้นในบ้านหลังนั้น
ฉันไปถึงที่ทำงาน พี่ต้นก็มารออยู่แล้วพร้อมกับพี่พล พวกเรา 3 คนจึงไปร้านกาแฟข้างๆ ออฟฟิศเพื่อนั่งคุยกัน
"เมื่อคืนต้องขอบคุณเนยกับพ่อมากเลยนะที่ให้พวกพี่ไปใช้สถานที่ที่บ้าน" พี่ต้นเปิดบทสนทนา หลังจากที่พวกเราสั่งเครื่องดื่มกันเรียบร้อยแล้ว
"มันเกิดอะไรขึ้นคะพี่ต้น พวกพี่ๆ ไปเจออะไรไหมคะ" ฉันถามในสิ่งที่อยากรู้ทันที เพราะไม่อยากให้พี่ต้นอารัมภบทแล้ว
"ตอนแรกพวกพี่ก็เข้าไปใช้เครื่องตรวจนับสัญญาณผี ที่ชั้นล่างเราไม่พบอะไร พบแต่คราบเลือดที่แห้งกรังตรงห้องนั่งเล่น พวกเราก็เลยตัดสินใจเดินขึ้นไปตรวจดูชั้น 2 เราก็พบพลังงานที่เข้มข้นอยู่ตรงชานพักบันได" พี่พลเริ่มเล่า
"หลังจากนั้นสาวก็กรีดร้องขึ้นมา แล้วก็ร่วงลงไปอยู่ตรงพื้นชั้น 1 ตี๋เลยเข้าไปช่วยพยุง ปรากฏว่าสาวขาแพลงเดินไม่ได้ สาวเลยบอกให้พวกพี่ๆ ไปสำรวจที่ชั้น 2 ส่วนสาวจะรออยู่ตรงนี้ พวกเราเลยให้นีอยู่เป็นเพื่อนกับสาว" พี่พลเล่าต่อ
"คือสาวมาเล่าให้ฟังหลังจากที่ออกมาจากบ้านหลังนั้นว่า ตอนเดินขึ้นบันไดไป สาวเดินเป็นคนสุดท้าย ตอนที่เครื่องจับสัญญาณมันร้องเตือนว่าน่าจะมีพลังงานบางอย่างอยู่ตรงชานบันได สาวก็รู้สึกเหมือนมีคนกระชากเสื้อด้านหลังเต็มแรงจนสาวหงายท้องตกบันได" พี่ต้นเล่าเสริม
"อืม แล้วพวกพี่ก็จะเหลือต้น ไนท์ ตี๋ และก็พี่ก็เดินขึ้นไปชั้น 2" พี่พลเล่าต่อ "พอขึ้นมาชั้น 2 เราพบว่าในห้องพระมีสัญญาณที่รุนแรงพอๆกับที่ชานพักบันได พวกพี่ก็เลยตัดสินใจเล่นผีถ้วยแก้วตรงบริเวณหน้าห้องพระ" พี่พลหยุดเล่าสักครู่หนึ่ง แล้วก็เอ่ยต่อว่า "พี่ก็เชิญวิญญาณตามขั้นตอนที่เคยทำ พอแก้วเริ่มขยับพวกพี่ก็ถามว่า ท่านเป็นเจ้าที่ในบ้านหลังนี้หรือไม่ แก้วก็ขยับไปที่ "ไม่" พี่ก็เลยถามต่อว่าท่านเป็นผีบ้านผีเรือนของบ้านหลังนี้ใช่ไหม แก้วก็หยุดที่เดิมว่า "ไม่" แล้วพี่ก็ถามว่าเป็นคุณลุงหรือคุณป้าที่เสียชีวิตในบ้านนี้ไหม คำตอบที่ได้ก็ยังคือ "ไม่" พี่ก็เลยถามว่าท่านเป็นใคร" พี่พลกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนพูดต่อว่า "แก้วมันเลื่อนไปเป็นคำว่า "ฆาตกร"
"แล้วประตูห้องพระก็สั่นอย่างรุนแรง เหมือนมีคนเขย่าประตูแรงๆ อยู่ข้างใน พี่ไนท์เลยทำการยุติการเล่นผีถ้วยแก้ว พวกเราเก็บของทุกอย่างกำลังจะลงมาข้างล่าง แล้วตี๋ก็ร้อง "เฮ้ย!!" เสียงดังลั่น พวกเราหันไปตามสายตาของตี๋ แล้วพวกเราทั้ง 4 คน 8 ตาก็เห็นชายครึ่งคนครึ่งนก นั่งอยู่ตรงขอบหน้าต่าง ตาสีแดงฉาน แล้วพอเขาก็เริ่มขยับปีก ทำให้เกิดลมพัดอย่างรุนแรงจนทำให้พวกพี่กระเด็นกลิ้งตกบันไดลงมาตรงชานพัก" พี่ต้นช่วยเล่าต่อ
"เนยก็เห็นนะคะครึ่งคน ครึ่งนกนั้นอ่ะ" ฉันเอ่ยขึ้นมา
พี่ต้นกับพี่พลถามมาพร้อมกันว่า "เห็นที่ไหน"
ฉันจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ฟัง พี่ต้นและพี่พลก็ได้แต่พยักหน้าเป็นการรับทราบ
"เออ พอพวกพี่กลิ้งตกลงมาตรงชานพัก พอลุกขึ้นได้แล้วก็รีบพากันออกมาจากบ้านนั้น แต่ทั้งสาวและนีต่างก็มาอยู่หน้าบ้านแล้ว" พี่พลเล่าต่อ
"พอพี่ถามว่าออกมากันตั้งแต่เมื่อไร นีก็เลยเล่าให้ฟังว่า ระหว่างที่พวกพี่ขึ้นไปชั้นสอง ทั้งนีและสาวก็นั่งรอตรงบันได แต่ระหว่างรอนีกับสาวก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ในครัว มันทำให้นีนึกถึงคำพูดของพ่อของเนยอ่ะว่าอาจจะเป็นพวกติดยา ลอบเข้ามามั่วสุ่ม เลยบอกให้สาวนั่งรออยู่พร้อมส่งนกหวีดกันภัยให้ บอกว่าถ้าเกิดอะไรเป่าดังๆ ส่วนนีก็ค่อยๆ เดินไปในห้องครัว" พี่พลกล่าว ก่อนพยักหน้าให้พี่ต้นช่วยเล่าต่อ
"นีเปิดประตูห้องครัวแล้วก็เห็นหญิงชรานั่งยองๆ หลังงุ้มๆ กินของบูดเน่าในตู้เย็นอยู่ หญิงชราคนนั้นพอเห็นนีก็แสยะยิ้มจนเห็นฟันที่แดงเต็มไปด้วยเลือด แล้วก็พูดว่า "มากินด้วยกันไหม" พอเห็นแบบนั้นนีก็ค่อยๆ ถอยหลังออกมาแล้วก็ค่อยๆ พยุงสาวมารอพวกพี่อยู่หน้าบ้าน" พี่ต้นรับไม้เล่าต่อจากพี่พล
"แล้วหลังจากนั้นพวกพี่ก็กลับไปบ้านเนยนั่นแหละ" พี่ต้นสรุปจบ
"พี่ๆ คิดว่าอะไรอยู่ข้างบ้านเนยคะ" ฉันถามออกไปพร้อมทำหน้าฉงน
พี่ต้นกับพี่พลมองหน้ากัน ก่อนที่พี่ต้นจะตอบฉันว่า พี่คิดว่าน่าจะเป็นพวกวิญญาณที่คุณลุงกับคุณป้าเลี้ยงไว้ เพราะในห้องพระมันมีของไสยศาสตร์วางรวมอยู่ด้วย พี่คิดว่าคงเกิดอะไรสักอย่างที่ทำให้ไม่สามารถควบคุมวิญญาณที่เลี้ยงไว้ได้ เลยทำให้วิญญาณเหล่านั้นกลับมาทำร้ายคุณลุง คุณป้าแทน อย่างวิญญาณที่เป็นครึ่งคนครึ่งนกนั้น น่าจะเป็นวิญญาณที่ถูกทำพิธีจนกลายร่างเป็นปีศาจอ่ะ"
"แล้วเราจะต้องทำอย่างไรดีคะ" ฉันถามออกไป
"พี่พอรู้จักอาจารย์ที่พอจะช่วยปลดปล่อยวิญญาณเหล่านี้ได้ แต่คงต้องบอกลูกชายคุณลุงคุณป้าก่อน เนยช่วยติดต่อให้ได้ไหม" พี่พลถามกลับ
ฉันพยักหน้า "แม่น่าจะมีเบอร์ของคุณหมออยู่ค่ะ เดี๋ยวเนยถามให้นะคะ"
แล้วพี่พลก็แยกย้ายกลับไป ส่วนฉันและพี่ต้นก็กลับไปทำงาน
เย็นวันนั้นฉันกลับมาเล่าให้พ่อฟัง พ่อเลยโทรไปขอเบอร์โทรศัพท์คุณหมอจากแม่
ฉันโทรคุยกับคุณหมอให้เบื้องต้น เล่าทุกอย่างที่พวกพี่ต้นเจอในบ้านให้คุณหมอฟัง คุณหมอตอบกลับมาว่า "ก็พอรู้อยู่ว่าพ่อมักเก็บของแปลกๆ อยู่ในบ้าน แต่ไม่คิดว่าของเหล่านี้จะกลับมาทำร้ายพ่อกับแม่แบบนี้"
เมื่อคุณหมอโอเคให้พวกพี่ต้นเข้าไปช่วยเหลือปลดปล่อยวิญญาณต่างๆ ฉันจึงให้เบอร์คุณหมอกับพี่ต้นไป เพื่อพูดคุยกันในรายละเอียดและนัดหมายวันที่จะเข้าไปทำพิธีในบ้าน
วันที่ทำพิธีปลดปล่อยวิญญาณ พ่อและฉันไม่อยู่บ้าน เพราะพวกเราไปวัดใกล้ๆบ้าน เพื่อทำบุญให้คุณลุง คุณป้า และวิญญาณต่างๆ ที่อยู่ภายในบ้านหลังนั้น
เมื่อพวกเรากลับมาถึงบ้าน ก็เจอพี่ต้นยืนรออยู่หน้าบ้าน พี่ต้นบอกกับฉันและพ่อว่า "ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ วิญญาณทุกดวงได้รับการปลดปล่อยไปสู่ภพภูมิตามบุญกรรมของตัวเอง" แล้วพี่ต้นก็ลากลับไป
คืนนั้น แม่กลับมานอนที่บ้าน หลังจากรู้ว่าข้างบ้านปลอดภัยแล้ว
"เห็นคุณหมอบอกว่าจะขายบ้านหลังนั้นนะ เพราะจะได้ไม่ต้องเป็นภาระมาคอยดูแล" พ่อพูดกับแม่
"อืม...ไม่น่าเกิดเรื่องอะไรแบบนี้เลยเนอะ" แม่ตอบ
ฉันกับพ่อได้แต่มองหน้ากัน แล้วพยักหน้าเบาๆ เพราะเห็นด้วยกับคำพูดของแม่ แล้วพวกเราก็แยกย้ายกันเข้านอน
ตกดึกคืนนั้นฉันก็ฝันเห็นคุณลุงและคุณป้า ทั้งคู่มีสีหน้ายิ้มแย้มและกล่าวขอบคุณฉัน ก่อนที่จะหันหลังและเดินลับหายไป
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ Baby Boo Bear ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Baby Boo Bear
ความคิดเห็น