ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [NARUTO | ItaNaru/SasuNaru] FALLING MADLY.

    ลำดับตอนที่ #5 : CHAPTER 5

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.08K
      33
      21 มี.ค. 58

     



    Falling Madly
    Chapter 5

     

     

     

     



     

     

     

    สิ่งที่นารูโตะทำเป็นสิ่งแรกในเช้าวันถัดมาคือโทรหาซาสึเกะ เขาโทรกลับซาสึเกะจนเกือบจะเท่าจำนวนครั้งที่เจ้าตัวโทรหา ทว่าเด็กน้อยแห่งบ้านอุจิวะกลับปฏิเสธที่จะรับสาย

     

    “นารูโตะ ฉันออกไปก่อนนะ” คาคาชิที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จพูดขึ้นหลังจากยืนดื่มนมแก้วใหญ่อยู่ในห้องครัว เจ้าของเส้นผมสีเงินสังเกตนารูโตะที่กดโทรศัพท์ไม่หยุดตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมา ชายหนุ่มเลือกที่จะมองดูโดยไม่พูดถามอะไร

     

    “ครับ” นารูโตะโบกมือและส่งยิ้มกว้างให้จากบนเตียง

     

    แม้ปากจะบอกว่าไม่สนกับคำครหา อย่างไรก็ตามการที่นักเรียนและอาจารย์จะออกจากบ้านพร้อมกันก็ดูออกจะเป็นเรื่องแปลกเกินไป ทั้งสองตกลงที่จะหลีกเลี่ยงความสุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นโดยให้คาคาชิเป็นฝ่ายออกจากบ้านก่อน

     

    นารูโตะถอนหายใจและพยายามกดโทรศัพท์อีกสองครั้ง หลังจากที่จนแล้วจนรอดเด็กน้อยก็ยังไม่ยอมรับสาย เขาจึงตัดสินใจส่งข้อความสั้นๆก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำ

     

    ซาสึเกะ จะไม่รับโทรศัพท์ของฉันหรอ?

     

    oOo

     

     

    “อรุณสวัสดิ์” เมื่อถึงที่ห้องเรียน นารุโตะเดินไปหยุดยืนที่หน้าโต๊ะของเพื่อนสนิทก่อนจะเอ่ยทักทาย

     

    เด็กหนุ่มผมสีดำยาวเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่กำลังอ่าน ดวงตาสีเดียวกับเส้นผมหันมาสบกับดวงตาสีฟ้า

     

    “อรุณสวัสดิ์” อิทาจิกล่าวเรียบๆ แต่เท่านั้นก็สร้างความพอใจให้กับเจ้าของเรือนผมสีทองอย่างมาก นารูโตะคาดหวังว่าอิทาจิจะโกรธ ว่ากล่าวเสียดสีหรือให้เลวร้ายกว่านั้น เมินใส่เขา อิทาจิไม่ได้ทำอย่างนั้น


    ทั้งคู่ปฏิบัติตัวปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นารูโตะชวนอิทาจิไปนั่งทานข้าวเที่ยงที่ใต้ต้นไม้หลังอาคารเรียนที่ประจำ เขาถามอิทาจิเรื่องการบ้านที่ไม่เข้าใจและเพื่อนหนุ่มก็ตอบเขาด้วยความยินดี นารูโตะยิ้มกว้าง อิทาจิไม่โกรธ ไม่แม้กระทั่งถามถึงอาจารย์คาคาชิ ฉะนั้นนารูโตะก็ยินดีที่จะไม่พูดถึงและปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่าสงบสุข

     

    “อิทาจิ ฉันโทรหาซาสึเกะตั้งหลายครั้งนะ ซาสึเกะไม่รับสายฉันเลย เป็นอะไรหรือเปล่า” นารูโตะเอ่ยถามขณะที่ยังเคี้ยวข้าวอยู่เต็มปาก

     

    อิทาจิเหลือบมองเจ้าของผมสีทองข้างๆ “ซาสึเกะไม่สบาย วันนี้เจ้านั่นไม่ได้ไปโรงเรียน”

     

    “เอ๋! จริงอ่ะ! เป็นอะไรมากหรือเปล่า เพราะว่าเมื่อวานโหมเล่นกีฬาหนักน่ะเรอะ” นารูโตะเสียงดัง

     

    “เย็นนี้ถ้าไม่มีธุระอะไรนายก็ไปเยี่ยมเจ้านั่นดูหน่อย เห็นว่าไม่ยอมกินข้าวไม่ยอมกินยาตั้งแต่เมื่อคืน” อิทาจิพูดเสียงเรียบ

     

    “อือ” นารูโตะส่งเสียงในลำคอเป็นอันตกลงก่อนจะค่อยๆกลืนข้าวลงคอ

     

     

    oOo

     

     

    “นารุจัง จะมาทำไมไม่บอกแม่ก่อน ให้ตายสิ” คุณแม่แห่งบ้านอุจิวะตีไหล่นารูโตะเบาๆอย่างขัดใจ “ดูสิแม่สั่งเนื้อมาแค่กิโลเดียวเองเดี๋ยวเถอะ”

     

    “ก็เยอะแล้วนะครับมิโคโตะซัง” นารูโตะร้อง

     

    “แต่ถ้าปกตินารุจังมาอย่างน้อยๆก็ต้องสี่ห้ากิโลนะจ๊ะ” มิโคโตะท้าวแขนอย่างครุ่นคิด

     

    “มิโคโตะซัง!!” นารุโตะมุ่ยหน้าก่อนที่คุณนายอุจิวะจะหัวเราะออกมา “โธ่ ไม่ตลกเลยนะครับ”

     

    มิโคโตะเดินไปหยิบน้ำก่อนจะรินใส่แก้วแล้วถือมาให้เพื่อนสนิทของลูกชายคนโตที่เธอแสนจะเอ็นดู นารูโตะรับมาดื่มจนหมดก่อนจะส่งเสียงอย่างพอใจ

     

    “นารุจัง หนูล้างไม้ล้างมือแล้วขึ้นไปหาซาสึเกะหน่อยได้ไหมลูก” มิโคโตะเอ่ยก่อนจะยิ้มเศร้าๆ “นะจ๊ะ ซาสึเกะไม่ยอมทานอะไร คลุกตัวอยู่แต่ในห้อง แม่ถามว่าเป็นอะไรก็ไม่ตอบ ไม่ยอมกินหยูกยาแบบนี้ ถ้าคุณพ่อกลับมารู้เข้าต้องโกรธแน่ๆเลยจ้ะ”

     

    มิโคโตะหยิบขนมปังชิ้นเล็กๆและยาที่เตรียมใส่ถาดไว้ก่อนจะยื่นให้

     

    “ถ้าเป็นนารุจังเด็กคนนั้นอาจจะยอมทานก็ได้ แม่คิดอย่างนั้นนะ” มิโคโตะยิ้มก่อนจะยื่นกุญแจสำรองใส่มือ “ล็อคห้องตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วล่ะจ้ะ เฮ้อ แม่เป็นห่วงซาสึเกะจัง ยิ่งช่วงวัยนี้ด้วยแล้ว...”

     

    “ไม่ต้องห่วงนะครับ มิโคโตะซัง เดี๋ยวผมจะลองไปคุยกับเขาดู” นารูโตะลูบหลังคนเป็นแม่อย่างอ่อนโยน มิโคโตะพยักหน้าก่อนที่เด็กหนุ่มผมสีทองจะเดินขึ้นบันไดไป

     

    นารูโตะหยุดยืนที่หน้าห้องนอนของซาสึเกะ เขาเคาะมันเบาๆ

     

    “ซาสึเกะ...” ไม่มีแม้กระทั่งเสียงฝีเท้าหรือการเคลื่อนไหวจากอีกฝากของบานประตู

     

    “ซาสึเกะ ฉันเองนะ ขอฉันเข้าไปได้หรือเปล่า” นารูโตะยืนอยู่กับความเงียบอันเนิ่นนาน เขาเรียกชื่อซาสึเกะอีกสี่ห้าครั้งก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจใช้กุญแกสำรองที่มิโคโตะได้ให้ไว้

     

    หลังจากเปิดประตูเข้าไป ความมืดคือสิ่งแรกที่วิ่งเข้าใส่นารูโตะ ห้องของซาสึเกะเงียบและมีเพียงแสงสว่างเล็ดลอดจากข้างนอกเพียงน้อยนิด นารูโตะเดินไปเปิดหน้าต่างและผ้าม่านออกก่อนจะวางถาดอาหารและยาที่โต๊ะข้างเตียงแล้วจึงเดินไปยังร่างที่นอนคุดคู้คลุมโปงด้วยผ้านวมทั้งผืน

     

    “ซาสึเกะ...” นารูโตะพยายามที่จะเปิดผ้าห่มออกแต่มือของซาสึเกะนั้นกำผ้าเอาไว้ในมือแน่น

     

    “ซาสึเกะ เป็นอะไร ป่วยหรอ?” ร่างใต้ผืนผ้าห่มสีเข้มยังคงนอนนิ่ง “เราจะไม่คุยกันงั้นหรอ หืม?”

     

    นารูโตะโน้มตัวลงไป เขากระซิบ “เมื่อคืนฉันไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์จริงๆ ฉันขอโทษ ซาสึเกะก็รู้ว่าฉันไม่ได้ตั้งใจใช่ไหม”

     

    เด็กน้อยภายใต้ผ้าห่มพยายามผละตัวออกแล้วกระเถิบตัวออกห่างไปที่มุมเตียงโดยไม่เอ่ยปากพูด

     

    นารูโตะถอนหายใจก่อนจะคลานตามไปเงียบๆ

     

    “ที่ไม่รับโทรศัพท์ฉันนี่เพราะโกรธฉันหรอ” นารูโตะพยายามดึงผ้าห่มออกอีกครั้ง ซาสึเกะจะพยายามดึงมันกลับ “ที่ไม่ยอมกินข้าวกินปลานี่ก็เพราะโกรธฉันหรอซาสึเกะ”

     

    นารูโตะรู้สึกถึงร่างที่ไม่ไหวติงอยู่ใต้ผ้าห่ม

     

    นารูโตะเอื้อมไปหยิบขนมปังก้อนเล็กๆในถาดที่โต๊ะหัวเตียง

     

    “ทานอะไรสักหน่อยนะ นี่ขนมปัง” นารูโตะค่อยๆรั้งผ้าห่มออกแต่มือเล็กๆนั่นกลับปัดก้อนขนมปังลงพื้นอย่างไม่ใยดี

     

    ดวงตาสีฟ้ามองกลุ่มก้อนผ้าบนเตียงนิ่งๆ “ฉันอุตส่าห์มาหาถึงนี่ก็จะไม่ให้อภัยกันเลยสินะ” เจ้าของเรือนผมสีทองกางแขนออกก่อนจะสอดมือเข้าไปโอบใต้กลุ่มก้อนผ้าห่มนั่นแล้วดึงเข้ามากอดหาตัวแน่น

     

    “ฉันขอโทษ ซาสึเกะ” นารูโตะเริ่มได้ยินเสียงสะอื้น เขาค่อยๆแกะมือที่ขยำผ้าห่มไว้แน่นออกทีละนิ้ว ไม่สนร่างข้างใต้ที่ดิ้นต่อต้าน เขาดึงผ้าห่มนั่นให้พ้นทางก่อนจะโยนมันออกไปจากเตียง“จะให้พูดอีกกี่พันครั้งก็ได้ ฉันผิดไปแล้ว”

     

    นารูโตะเอื้อมมือไปลูบผมที่ปรกหน้าผากอันชุ่มเหงื่อของซาสึเกะ เขาใช้นิ้วหยิบมันไปทัดไว้ข้างหู นารูโตะก้มลงชนหน้าผากกับเด็กน้อยก่อนจะเงยขึ้นแล้วก้มลงจูบเบาๆที่บนหน้าผากนั้นอีกครั้ง “ฉันขอโทษ ยกโทษให้ฉันอีกครั้งนะ ฉันจะไม่ทำอีกแล้ว อย่าทำแบบนี้อีกได้ไหม ทำแบบนี้ฉันเป็นห่วงซาสึเกะที่สุดเลยนะ”

     

    นารูโตะกอดซาสึเกะที่สะอึกสะอื้น เขาใช้นิ้วเช็ดน้ำตาของเด็กน้อยที่ไหลลงมาช้าๆ

     

    “ฉันเป็นห่วงซาสึเกะที่สุดในโลก เป็นห่วงยิ่งกว่าอิทาจิ เป็นห่วงยิ่งกว่าซากุระจังหรือคุณครูฮินาตะคนสวยด้วย” นารูโตะหัวเราะก่อนที่ซาสึเกะจะพยายามซุกหน้าลงกับหมอนราวกับไม่อยากให้เขาเห็นน้ำตาที่ไหลอย่างเอาเป็นเอาตาย

     

    “ฉันสัญญาฉันจะไม่ทำแบบนี้อีก ฉันจะรับโทรศัพท์ของซาสึเกะ ซาสึเกะก็ต้องรับเวลาฉันโทรมานะรู้หรือเปล่า”

     

    ซาสึเกะพยักหน้าลงกับหมอน

     

    “เลิกร้องได้แล้ว ถ้าสาวๆที่โรงเรียนรู้เข้านะอายตายเลย” นารูโตะก้มลงไปกระซิบที่ข้างหู

     

    “ใครสนกันล่ะ!” ซาสึเกะตอบเสียงแข็ง

     

    นารูโตะหัวเราะก่อนที่ซาสึเกะจะซุกหน้าลงกับหมอนอีกครั้ง เขาพูดเสียงเบาอู้อี้

     

    “สัญญาแล้วนะ” ก่อนจะพยายามหยุดสะอื้นและสงบลง “สัญญาสิ นารูโตะซัง”

     

    “ฉันสัญญาอยู่แล้ว” นารูโตะยิ้ม ฝังจมูกลงกับเส้นผมของเด็กน้อยก่อนจะกระซิบ “ฉันสัญญา”

     

    ซาสึเกะเงยหน้าขึ้น “สัญญานะว่าต่อจากนี้จะต้องเห็นผมสำคัญที่สุด  สำคัญกว่าอิทาจิ สำคัญกว่าเพื่อนๆที่โรงเรียนทุกคน” เด็กน้อยหันดวงตาที่บวมและแดงก่ำมาจ้องเจ้าของเรือนผมสีสองสว่าง “นะครับ”

     

    “แน่นอน” นารูโตะจูบหน้าผากซาสึเกะก่อนจะเช็ดคราบน้ำตาให้อีกครั้ง

     

    ซาสึเกะหายใจลึกๆพยายามหยุดเสียงสะอื้นก่อนจะซุกหน้าลงกับแผ่นอกของนารูโตะ ก่อนจะกอดชายตรงหน้าแน่น  นารูโตะหัวเราะก่อนจะกอดให้แน่นเท่าๆกันแล้วจับซาสึเกะกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง  

     

    ทั้งคู่นอนเล่นอยู่บนเตียงสักพัก ก่อนจะมีเสียงเคาะที่บานประตูสองสามครั้ง ซาสึเกะขานรับ บานไม้ขนาดใหญ่จึงค่อยๆถูกเปิดออก

     

    อิทาจิยืนสูงตระหง่านก่อนจะเอนตัวพิงกับกรอบประตู

     

    “ทานข้าวได้แล้ว” เสียงของอิทาจิกล่าวเรียบๆ

     

    “อื้อ” นารูโตะหยิบผ้าห่มที่พื้นก่อนที่ซาสึเกะจะมาช่วยเขา ทั้งสองพับผ้าห่มและจัดเตียงให้เรียบร้อยและลงไปทานข้าวที่อุจิวะ มิโคโตะเตรียมพร้อมเอาไว้

     

     

    oOo

     

     

    บนโต๊ะอาหารแน่นขนัดไปด้วยของโปรดของนารูโตะที่มิโคโตะจัดแจงสั่งจากร้านอาหารมาเพิ่ม มิโคโตะรับโทรศัพท์ของฟุคาคุที่โทรเข้ามาบอกว่าจะกลับดึกและไม่ต้องรอก่อนที่ทั้งสี่จะเริ่มทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย ซาสึเกะดูอารมณ์ดีทั้งที่ตายังบวมฉึ่ง มิโคโตะลอบมองลูกชายคนเล็กและแอบหัวเราะอยู่ในลำคอ มิโคโตะชวนนารุโตะคุยเรื่องนักแสดงตลกที่เธอเห็นในทีวีเมื่อตอนบ่ายก่อนที่นารุโตะจะเลียนแบบท่าทางของเขาจนเธอขำกลิ้งและหัวเราะเสียงดังจนต้องเช็ดน้ำตา เหล่าแม่บ้านเดินมาเก็บถ้วยชามไปล้างก่อนที่มิโคโตะจะขอตัวไปอาบน้ำ

     

    “นารุจัง ยังไม่กลับใช่ไหมลูก” มิโคโตะเดินกลับมาถาม

     

    “ฮะ ว่าจะอยู่ดูหนังกับอิทาจิสักเรื่อง” นารูโตะตอบเสียงสดใส

     

    “ตามสบายเลยนะ แม่ว่ากว่าหนังจะจบก็คงดึก ค้างได้เลยไม่ต้องเกรงใจตกลงนะ”

     

    “ครับ มิโคโตะซัง ไม่ต้องห่วงผมนะครับ” นารูโตะยิ้ม

     

    “ซาสึเกะก็รีบเข้านอนได้แล้วนะลูก แม่ไม่อนุญาตให้หยุดโรงเรียนแล้วนะครับพรุ่งนี้” มิโคโตะทิ้งท้ายก่อนจะจากไป

     

    ซาสึเกะมุ่ยหน้า

     

    “คุยกันพรุ่งนี้นะครับ นารูโตะซัง” ซาสึเกะลุกจากเก้าอี้เดินมาหาเด็กหนุ่มผมสีทอง “ไว้ผมจะโทรหาตอนเย็นหลังเลิกเรียน”

     

    “อื้อ” นารูโตะยิ้มกว้างก่อนจะพยักหน้า

     

    ซาสึเกะทิ้งสายตามองนารูโตะเนิ่นนานก่อนเจ้าตัวน้อยจะยอมผละจากไป

     

    นารูโตะหันไปหาอิทาจิ “นายซื้อหนังอะไรมาอ่ะอิทาจิ ถ้าเจมส์ บอนด์เราดูกันครบทุกภาคแล้วนะ แต่ที่พูดนี่หมายถึงจะดูอีกรอบก็ได้นะฉันยังติดใจอยู่เลย คนอะไรฟะเท่ห์ชะมัด”

     

    อิทาจิหันมายิ้ม “นายคงต้องชอบเรื่องนี้แน่ๆ” เด็กหนุ่มผมสีดำยาวพูดก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็น “นายจะกินขนมอะไรหรือเปล่า”

     

    เขาหันไปถามเพื่อนที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร

     

    “เอาป๊อปคอร์นน่ะ ยังมีเหลืออยู่หรือเปล่า” อิทาจิหยิบขวดน้ำออกจากตู้เย็น ก่อนจะเดินไปหยิบถุงป็อปคอร์นเข้ามาใส่ในเครื่องไมโครเวฟ ทั้งคู่รอจนเม็ดข้าวโพดพองจนเต็มชามก่อนจะปิดไฟและถือขึ้นไปยังห้องนอนของอิทาจิ

     

    นารูโตะบิดลูกบิดเปิดเข้าไปยังห้องอันกว้างขวางที่เขาคุ้นเคยราวกับมันคือบ้านของตัวเขาเอง เด็กหนุ่มนั่งลงบนโซฟายาวที่ปลายเตียง เหยียดขาพาดลงกับโต๊ะเตี้ยๆข้างหน้า ก่อนจะกดสวิตช์เปิดทีวี

     

    อิทาจิค่อยๆเดินตามมาสมทบ

     

    “นายใส่แผ่นเข้าไปแล้วหรือยัง” นารุโตะเอ่ยถาม

     

    “อือ” อิทาจิหยิบรีโมตเครื่องเล่นก่อนจะกดเปิด

     

    “เออ นี่ อิทาจิ นายจะต้องไปประชุมกับพวกตัวแทนนักธุรกิจและนักวิทยาศาสตร์บ้าบอเรื่องโครงการอะไรนั่นด้วยหรอ ไม่เห็นบอกกันมั่งเลย”

     

    “อือ” อิทาจิส่งเสียงในลำคอ ดวงตาของเขาจ้องมองที่จอ ก่อนจะกดรีโมตต่อไป “นายรู้ได้ยังไง”

     

    “ฉันรู้ล่ะกันน่า” นารูโตะพูดเสียงดังก่อนจะยัดเม็ดข้าวโพดเข้าปากไปกำมือใหญ่ด้วยความหงุดหงิด “นี่ถ้าฉันไม่รู้เองก็ไม่คิดจะบอกกันเลยสินะ น่าน้อยใจจริงๆเลยให้ตาย”

     

    “อืม” อิทาจิพึมพำ

     

    นารูโตะหยิบข้าวโพดขึ้นใส่ปากอีกกำมือใหญ่ ชายหนุ่มผมสีดำยาวลุกขึ้นเดินไปปิดไฟก่อนจะกลับมานั่งที่โซฟาอีกครั้ง เขาเอามือพาดไหล่นารูโตะอย่างที่ทำประจำก่อนจะนั่งไขว่ห้าง

     

    ภาพบนเจอโทรทัศน์ค่อยๆเล่นไปเรื่อยๆ มันเป็นภาพดำๆมืดๆไม่มีอะไรมากกว่านั้นนอกจากเสียงซ่าของสัญญาณที่ขาดๆหายๆ

     

    “หนังอะไรของนายเนี่ย...”

     

    ไม่ทันที่นารูโตะจะพูดจบประโยค เสียงผู้คนดังมาจากที่ไกลๆจากในวีดีโอ นารุโตะเงี่ยหู เขาฟังไม่ได้ศัพท์ อิทาจิเอื้อมมือไปหยิบรีโมทก่อนจะกดเร่งเสียงขึ้น

     

    “..........จับมัน มัดไว้กับเตียง”

     

    นารูโตะเบิกตากว้าง มือที่กำลังจะหยิบข้าวโพดเข้าปากค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น เด็กหนุ่มผมสีทองคนลุกซู่ หัวใจของเขาเริ่มเต้นแรงขึ้นจนไม่เป็นจังหวะ

     

    “.....ถ้ามันดิ้นนักก็ชกมันจนกว่ามันจะสลบนั่นแหละ แรงเยอะดีนักนะ เจ้าเด็กปีศาจนั่น”

     

    นารูโตะรู้สึกคลื่นไส้ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ภาพบนจอโทรทัศน์ค่อยๆสว่างขึ้น ภาพที่เห็นแม้จะไม่ชัดนัก มันทั้งมัวและสลัวราวกับอัดจากกล้องวงจรปิดราคาถูกที่แขวนไว้บนมุมห้องเช่าโกโรโกโสคืนละไม่กี่บาท

    กระนั้นนารูโตะกลับมองเห็นชัดในทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น กลุ่มชายฉกรรจ์วัยกลางคนกำลังหิ้วปีกเด็กอายุราวห้าหกขวบ เด็กคนนั้นมีผมสีทองสว่างจ้า ใบหน้าของเด็กน้อยบวมช้ำและเต็มไปด้วยคราบเลือด

     

    “.........อิทาจิ” นารูโตะเริ่มหอบ เขาพยายามจะหายใจแต่การเอาออกซิเจนเข้าปอดในเวลานี้มันช่างทำได้ยากยิ่ง เขาหายใจไม่ออก หัวใจของนารูโตะเต้นแรงและดังราวกับกลองนำขบวนพาเหรด

     

    อิทาจินั่งมองภาพบนจอโทรทัศน์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย

     

    ทันทีที่เด็กน้อยในภาพถ่ายวีดีโอถูกจับมัดแขนกับหัวเตียง นารุโตะก็เริ่มกรีดร้อง

     

    “อิทาจิ!!!!!

     

    มือของเจ้าของผมสีทองที่นั่งอยู่บนโซฟาเริ่มสั่นอย่างหนัก ข้าวโพดคั่วในชามเริ่มร่วงหล่นลงกับพื้น

     

    น้ำตาที่คลอหน่วยอยู่ในดวงตาสีฟ้าไหลบ่าอย่างควบคุมไม่ได้ นารูโตะพยายามจะหายใจอีกครั้ง เขาหอบถี่จนตัวโยนกระนั้นเขาก็ไม่สามารถละสายตาไปจากภาพชายสี่ห้าคนที่กำลังคร่อมตัวของเด็กน้อยที่นอนดิ้นอยู่บนเตียงพร้อมๆกันได้

     

    ภายในห้องที่เงียบกริบ มีเพียงเสียงครางเบาๆจากวีดีโอ เสียงร้องขอความช่วยเหลืออย่างทุรนทุรายของเด็กคนนั้น เสียงหอบหายใจถี่ของนารูโตะผ่านหลอดลมอันตีบตันบนโซฟานี้ นารูโตะเริ่มไอจากการขาดอากาศ อาการ Hyperventilation ที่ไม่เกิดขึ้นมานานแสนนานกำลังกำเริบหนัก นารูโตะสะอื้น น้ำมูกและน้ำตาเลอะไปทั้งดวงหน้าที่มักจะสดใสราวกับดวงอาทิตย์อยู่เสมอ

     

    “อิ...ทาจิ” เสียงของเขาขาดช่วง เด็กหนุ่มพยายามสุดชีวิตที่จะหายใจให้เป็นปกติ “ทำ....นาย ทำ แบบนี้....ทำไม”

     

    นารูโตะร้องไห้ราวกับจะตาย ดวงตาสีดำสนิทที่สะท้อนกับแสงจากภาพวีดีโอบนจอโทรทัศน์จนดูราวกับมันกลายเป็นสีแดงหันมาจ้องหน้าเขาอย่างเยือกเย็น

     

    “แล้วนายไปหาคาคาชิทำไม”

     

    เด็กหนุ่มผมสีทองเบิกตากว้าง

     

    นารูโตะนั้นโง่เง่าจนไม่มีที่สิ้นสุด อะไรทำให้เขาเชื่อจริงๆว่าอิทาจินั้นไม่โกรธ

    อิทาจิไม่โกรธ เหอะ นั่นไม่มีทางเกิดขึ้น เขาน่าจะเอะใจแต่แรกถึงความสงบและราบรื่นเกินไปของทุกอย่าง ถึงรอยยิ้มบางๆที่พยายามกลบโทสะและความอิจฉาที่มันแทบจะระเบิด ความสงบเกินปกติในน้ำเสียงก่อนที่พายุลูกใหญ่จะพัดกระหน่ำ

     

    เสียงครางของชายสี่ห้าคนในทีวียังคงดังสนั่น นารูโตะเหลือบมองซองสีน้ำตาลที่ถูกวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า แผ่นกระดาษสีขาวที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือ ตารางและคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ไม่คุ้นถูกวางระเกะระกะ เขามองเห็นชื่อ Namikaze N. ก่อนจะลากสายตาเร็วๆ ตรวจพบคราบอสุจิ....เขาปราดตามองเห็นลายมือหวัดๆของซึนาเดะเพียงแค่นั้น ก่อนจะรู้สึกผิดที่คิดหันไปมองมันแต่แรก นารูโตะรู้ได้ทันทีโดยไม่ต้องให้ใครมาบอกว่ากระดาษปึกนั้นคือรายงานการศึกษาทางการแพทย์ของอะไร

     

    “อิทา.....จิ” อิทาจิมองหน้าเขาก่อนจะเดินไปหยิบถุงกระดาษดาษสีน้ำตาลในลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือ เขาเดินกลับมาแนบริมฝีปากลงกับปากที่สั่นและเริ่มคล้ำลงจากการขาดออกซิเจนของเพื่อนสนิท

     

    “คาคาชิไม่มีทางรับนายได้ ไม่มีใครจะรับนายได้” เสียงของอิทาจินั้นเย็นยะเยือก “เท่ากับฉัน”

     

    นารูโตะเริ่มตะเกียกตะกาย เด็กหนุ่มหอบราวกับจะขาดใจก่อนที่นิ้วมือเรียวยาวของอิทาจิจะครอบถุงกระดาษลงกับปากและจมูกของนารูโตะ เจ้าของผมสีทองหายใจเข้าออกลึกๆอย่างเป็นจังหวะโดยที่มือขยำเสื้อของเพื่อนตรงหน้าไว้แน่นจนสั่น อิทาจิก้มลงจูบขมับที่มีเหงื่อซึมของร่างตรงหน้า เขาสวมกอดคนในอ้อมแขน

     

    “ฉันรักนายมาก เข้าใจเสียทีสิ นารูโตะ”


    ก่อนจะฝังจมูกลงกับเส้นผมสีทองสว่าง

     

    นารูโตะจิกเล็บลงกับแผ่นหลังของอิทาจิ เขาทั้งชกทั้งทุบ เขาทั้งเสียใจ เคียดแค้น ทั้งร้องไห้และสะอึกสะอื้น ในขณะที่พยายามหายใจไปพร้อมๆกัน

    นารูโตะรู้สึกทรมานจนจะตาย เขาจ้องมองไปในดวงตาสีดำ แม้จะไม่แสดงออกชัดจากสีหน้า แต่ทำไมจากดวงตาของอิทาจิถึงได้ดูวิงวอนและทรมานเจียนตายมากกว่าเขาเป็นสิบเป็นร้อยเท่าได้ขนาดนั้นกัน...

     

     

     

     

     

     

     

     

     



     

     

     

     

     

    TO BE CONTINUED.

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    หมายเหตุ - Hyperventilation Syndrome โรคหอบจากอารมณ์

    คือการที่ผู้ป่วยมีอาการหายใจหอบเร็วและลึกอยู่นาน จนทำให้เกิดความผิดปกติของ
    ค่าสารเคมีในเลือด ทำให้มีอาการต่างๆ ทางร่างกายติดตามมา อาการดังกล่าว มักสัมพันธ์กับภาวะวิตกกังวล หรือได้รับความกดดันทางจิตใจ ก่อนหน้าที่จะมีอาการ ซึ่งอาการดังกล่าว เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว และไม่มีอันตรายถึงแก่ชีวิต หากไม่ได้เกิดจากสาเหตุทางกายอื่น


    วิธีการรักษา
    รักษาอาการหายใจหอบ โดยการพยายามหายใจให้ช้าลง หรือให้หายใจในถุงกระดาษที่ครอบทั้งปากและจมูก รวมทั้งการได้รับยาในกลุ่มยาคลายกังวล จะช่วยให้อาการหายใจหอบทุเลาลง แต่หากผู้ป่วยไม่สามารถกินยาได้ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาฉีด ซึ่งจะออกฤทธิ์ได้รวดเร็ว

     





    ปล. นี่เราทำอัลไลลงไป แค่เคยเห็นนารูโตะเป็นโรคนี้ในมังงะ เลยอยากเอามาใส่ในฟิคบ้าง =..=












     

     

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×