คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1
*คำเตือน: ฟิคเรื่องนี้แบมอายุมากกว่ามาร์ค(มาก)นะคะ
FILL IN THE GAP
“ขอโทษนะ แต่ไปไม่ได้แล้ว พอดีเจ้านายเรียกประชุมด่วน” ชายหนุ่มปอยผมหน้าสีชมพูใช้มือป้องปากกระซิบบอกปลายสายระหว่างปลีกตัวมาที่มุมหนึ่งของออฟฟิศ “โอเคนะ”
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียด
“ไหนตอนแรกบอกว่าว่างไง” เสียงทุ้มต่ำของอีกฝ่ายเจือไปด้วยความหงุดหงิดจนซ่อนไว้ไม่มิด
“อืม พอดีลูกค้าเลื่อนวันพรีเซ็นต์งานเป็นพรุ่งนี้ อาทิตย์หน้าลูกค้าจะบินไปดูงานต่างประเทศทั้งอาทิตย์ก็เลย... อ่อ ครับพี่! ครับไปเดี๋ยวนี้ครับ! ครับ ได้ฮะ.... เอ้อ มาร์ค งั้นแค่นี้ก่อนนะ”
ตู๊ด...
มาร์คฟังเสียงสัญญาณที่ถูกตัดไปก่อนจะลดมือลงมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ค่อยๆดับของตัวเอง เขาพลิกนาฬิกาข้อมือดูเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม มองแก้วกาแฟที่ละลายจนกลายเป็นสีน้ำตาลใสๆมองดูแอ่งน้ำที่เจิ่งอยู่รอบก้นแก้ว
เขานั่งรออยู่นี่มาตั้งแต่สี่โมงครึ่ง กว่าสองชั่วโมงที่นั่งเล่นโทรศัพท์จนแบตแทบจะหมดเพียงเพื่อที่อีกฝ่ายจะโทรมาบอกเขาสั้นๆง่ายๆว่าไปไม่ได้แล้ว เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก และทุกๆครั้งที่มันเกิด เขาก็ยิ่งทวีความสงสัยในตัวเองเข้าไปอีกว่า อีกฝ่ายเคยเห็นความสำคัญของเขาบ้างหรือเปล่า เขากำลังถูกเห็นเป็นของเล่นอยู่ใช่ไหม
เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงถอนหายใจออกมายาวๆอีกครั้ง ลุกขึ้นไปสั่งกาแฟอีกแก้วก่อนจะกลับมานั่งที่เดิม
เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ระหว่างที่เขานั่งเหม่อมองผู้คนที่เดินขวั่กไขว่ในตึกสำนักงานค่อยๆบางตาลงจนที่บริเวณนั้นแทบจะไม่เหลือใคร พนักงานในร้านกาแฟเริ่มทำความสะอาดโต๊ะและเก็บกวาด พอดีกับที่มาร์คเงยหน้าขณะได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวจากคนกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งออกมาจากลิฟท์
เขาลุกขึ้นพร้อมกับแก้วกาแฟและสัมภาระตรงดิ่งไปยังคนกลุ่มนั้น แบมแบมที่กำลังหัวเราะร่วนกับผู้ชายสวมเชิ๊ตสีฟ้าอ่อนถึงกับเบิกตากว้างเมื่อเห็นเขา
“ทำไมยังอยู่อีกเนี่ย?” แบมแบมหลุกหลิก
“ใครอ่ะแบม เฮ้ยนี่ไม่ใช่ว่าข่าวลือที่แกเป็นแก๊งค์ไถเงินเด็กมันจริงนะ?! ที่คนเขาเห็นแกเดินกับเด็กม.ปลายบ่อยๆ คนนี้อ่ะหรอ?” ชายหนุ่มเชิ๊ตสีฟ้าท่าทางอารมณ์ดีเดินอ้อมไปกอดคอมาร์ค “แบมมันแกล้งอะไรบอกพี่ได้นะน้อง เห็นมันหน้าใสๆอย่างงี้ แสบสุดๆ พี่จะบอกให้ พี่รู้ดี พี่โดนมาก่อน พี่เจ็บมาเยอะ”
ชายหนุ่มและพวกคนที่เหลือหัวเราะร่วน มาร์คไม่พูดอะไรก่อนจะค่อยๆยกแขนที่คล้องคอเขาอยู่ออก เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงจ้องหน้าแบมแบม
“จะกลับได้รึยัง?”
แบมแบมกลอกตา ก่อนจะหันไปล่ำลาทุกคน “ถ้าไม่มีอะไร งั้นผมกลับก่อนนะทุกคน”
มาร์คเดินนำออกไปที่ประตูทางออกก่อนที่ร่างผอมบางของแบมแบมจะเดินตามมาห่างๆ
“วันนี้ผมเอารถมา เดี๋ยวขับไปส่ง” มาร์คพูดขึ้นระหว่างที่เดินออกมาถึงบริเวณที่ไกลสายตาจากคนกลุ่มเมื่อครู่
“ฉันอยากกลับรถไฟฟ้า วันนี้เหนื่อยมาก อยากกลับไปนอนเร็วๆ ขี้เกียจไปนั่งรถติดบนถนนด้วย แยกกันตรงนี้ละกัน” แบมแบมพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน
“นี่จะทำอย่างนี้ใช่ไหม?” มาร์คหยุดเดินก่อนจะพูดออกมาด้วยความหงุดหงิด “ผมนั่งรออยู่นี่ตั้งแต่สี่โมง นี่มันสี่ทุ่ม แล้วไหนบอกวันนี้จะว่างกินข้าวด้วย แต่ช่างเหอะ เห็นมีประชุมผมก็เข้าใจได้ แต่จะนั่งรถกลับด้วยกันมันลำบากมากเลยใช่ไหม นี่ผมเรียกร้องพี่มากไปอีกแล้วหรอ?”
มาร์คเริ่มเสียงดังและพูดยาวกว่าปกตินิสัยถามคำตอบคำของเขา
“ตกลงนี่ฉันเหนื่อยงานแล้วก็ต้องมาเหนื่อยกับเธออีกใช่ไหม?” แบมแบมเริ่มหัวเสีย “ ใครบอกให้รอ อุตส่าห์โทรไปบอกแล้วไม่ใช่หรอว่ามีประชุม จะอยู่รอทำไม พรุ่งนี้ไม่ต้องไปเรียนหรือไง?”
มาร์คขมวดคิ้ว “พี่ อาทิตย์นี้เราแทบไม่ได้อยู่ด้วยกันเลยนะ”
“ก็ฉันทำงานไงไม่เห็นหรอ โปรเจ็คมันเร่งก็บอกอยู่ นี่จะมางี่เง่าเอาอะไรอีก ถ้าจะมาทำนิสัยเด็กๆไม่เข้าใจอะไรแบบนี้ก็....”
แบมแบมหยุดพูด ทั้งสองเงียบไปครู่นึง ก่อนที่มาร์คจะเดินเข้าไปใกล้ๆแล้วจับข้อมือแบมแบมไว้เขาก้มหัวลงจนหน้าผากแทบชิด
“ผมขอโทษ ผมแค่...คิดถึงมาก” มาร์คพูดงึมงำอยู่ในลำคอ “กลับด้วยกันเถอะนะ พี่หลับในรถก็ได้ ผมแค่อยากใช้เวลาด้วยกันบ้าง”
มาร์คเลื่อนริมฝีปากมาจูบที่เปลือกตาของคนตรงหน้า
“นะครับ?”
แบมแบมถอนหายใจ
“อือ”
oOo
ออดี้ฟิล์มสีดำเคลื่อนมาจอดสนิทอยู่หน้าอพาร์ทเม้นแห่งหนึ่ง
“พี่ครับ ถึงแล้วนะ” มาร์คซุกหน้าลงกับเส้นผมสีน้ำตาลก่อนจะกดริมฝีปากลงเบาๆที่ขมับ เขาเลื่อนมือไปปลดล็อคเข็มขัดนิรภัยก่อนจะสอดมือไปท้ายเอวแล้วยกตัวอีกคนที่งัวเงียอยู่ก่อนจะจูบลงเบาๆที่ริมฝีปาก อีกคนค่อยๆลืมตาระหว่างที่เด็กเรือนผมสีน้ำตาลแดงเริ่มอ้าปากและสอดลิ้นเข้ามาพร้อมๆกับน้ำหนักตัวที่โถมมาใส่ แบมแบมยกมือขึ้นดันอกเล็กน้อยให้พอมีพื้นที่ได้หายใจ เสียงดูดเม้มและเสียงหายใจที่ดังขึ้นเบาๆภายในรถที่เงียบสงัด มือของมาร์คค่อยๆลูบไล้ไปใต้เสื้อเชิ้ตอีกคน
แบมแบมส่งเสียงครางออกมาเบาๆ ก่อนที่มาร์คจะใช้ฟันกัดเคี้ยวริมฝีปากที่ช้ำบวมของอีกคนอย่างหิวกระหาย
เสียงริงโทนดังขึ้นแทรกบรรยากาศที่กำลังคุกรุ่น มาร์คไม่ได้หยุดก่อนจะก้มลงไปจูบแบมแบมอีกครั้งระหว่างที่มือผอมๆกำลังพยายามล้วงเข้าไปหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงอย่างยากลำบาก เขาเหลือบมองชื่อที่ขึ้นที่หน้าจอ
‘GD’
“อื้อ!” แบมแบมแทบจะกระโดดขึ้นนั่ง ก่อนจะร้องขึ้นในลำคอเป็นเชิงห้ามแต่มาร์คก็ไม่ได้ผละออกไปไหน แบมแบมพยายามใช้มือดันแผงออกอีกคนก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทาง มาร์คหันไปซุกไซร้ลงกับซอกคอและหน้าอกของอีกคนแทน
“ครับพี่!” แบมออกแรงดันมาร์คให้ห่างออกไปอีกพลางส่งสายตาเชิงต่อว่า “ครับ ยังไม่นอนครับ ครับ ได้ครับพี่จียง เดี๋ยวแบมไปดูให้ที่เครื่องที่บ้าน อ๋อ ครับ แบมอยู่หน้าบ้านแล้ว พี่อย่าเพิ่งวางเดี๋ยวผมไปดูให้ ครับ ครับ”
แบมแบมคุยโทรศัพท์ระหว่างที่ค่อยๆง่วนเก็บข้าวของในกระจัดกระจายในรถ เขามองหน้ามาร์ค ผงกหัวน้อยๆแทนคำขอบคุณ ก่อนจะลงจากรถ โบกมือลาแล้วจึงเดินขึ้นอพาร์ทเม้นระหว่างที่เอียงคอแนบโทรศัพท์คุยไปด้วย
มาร์คมองอีกคนจนลับสายตาไป เขาค่อยๆก้มหน้าลงไปที่พวงมาลัยก่อนจะหลับตาลง มาร์คกำลังรู้สึกน้อยใจ... อย่างมาก
oOo
ผมคอยมองคนๆหนึ่งที่มักจะมาขึ้นรถไฟฟ้าเวลา 08.15น. ในตอนเช้าของทุกวัน ปอยผมสีชมพูสะดุดตาทำให้ผมเงยหน้ามองทุกครั้งที่เขาก้าวขึ้นขบวนรถ บ้านเขาอยู่ถัดจากผมไปหนึ่งสถานี ผมสวมหูฟังและยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของขบวน เขาตัวเล็กจนผมเคยคิดว่าเขาอาจจะเด็กกว่าหรืออายุเท่ากับผมด้วยซ้ำ จนแล้วจนรอดผมก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่ ระยะเวลาเป็นเดือนผ่านไป ผมไม่เคยเห็นเขาใส่ชุดนักเรียนหรือชุดไปรเวทสบายๆนอกจากเชิ๊ตและกางเกง บทสนทนาทางโทรศัพท์ของเขาวันหนึ่งทำให้ผมรู้ว่าเขาทำงานที่บริษัทออกแบบภายในที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง เราน่าจะอายุห่างกันอย่างน้อยๆก็ 5 ปี ผมคิด
ครั้งหนึ่งที่ขบวนรถเบียดเสียดจนเขาต้องค่อยๆขยับจนมายืนอยู่หน้าผม เขาสูงแค่ปลายจมูกผมเท่านั้น ระหว่างที่รถไฟเข้าโค้งประกอบกับเขาที่หาที่เกาะไม่ทันจนคว้าแขนผมเอาไว้ ผมตื่นเต้นจนเบือนหน้าหนีรอยยิ้มที่ส่งมาเป็นเชิงขอโทษ ผมกัดกระพุ้งแก้มในความซื่อบื้อของตัวเอง
เราเคยบังเอิญเจอกันในร้านกาแฟเล็กๆไม่ไกลจากสถานีนั้น ในเช้าที่ร้านกาแฟคนแน่นขนัด เขายิ้มและกล่าวทักทายผม ผมพยักหน้ารับนิ่งๆในตอนที่เขาขอนั่งรอเพื่อนด้วยเพราะไม่สามารถหาที่ว่างได้อีก
ผมนั่งฟังเพลงและกดโทรศัพท์ไปเรื่อยทั้งๆที่ฟังไม่รู้เรื่อง อันที่จริงผมเริ่มรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมา ผมหลบสายตาเป็นระยะ เวลาที่เราเงยหน้าสบตากัน เขายิ้มแล้วพูดว่าผมเป็นเด็กที่หล่อจริงๆ
ผมพยายามไปที่ร้านกาแฟนั้นทุกครั้งที่มีโอกาส ผมแอบรู้สึกผิดหวังเพราะไม่เคยเจอเขาอีกเลยกระทั่งวันที่คิดว่าจะมานั่งอีกเป็นครั้งสุดท้าย เสียงกระดิ่งที่ประตูดังขึ้นพร้อมเจ้าของปอยผมสีชมพูที่หอบหิ้วมาพร้อมกับโน๊ตบุ๊ค วันนี้ที่ร้านคนไม่เยอะและมีที่ว่างมากมายพอ แต่เมื่อเขาปลายตามองมาเห็นผม เขาโบกมือทักทายและตรงดิ่งมานั่งด้วยอย่างร่าเริง
“คนที่บริษัทพี่ศิษย์เก่าโรงเรียนเดียวกับมาร์คตั้งหลายคนเลยนะ เก่งๆทั้งนั้น” เขาชวนผมคุย “จะเข้ามหาลัยปีนี้หรือเปล่า?”
ผมส่ายหน้า “ผมอยู่ ม.5”
แบมแบมถลึงตา “โห อะไรเนี่ย พี่รู้สึกแก่ขึ้นมาเลย นี่เกิดปีอะไรนะ”
“1992”
เขาเบ้หน้า
“ตอนนายอยู่ ป.6 พี่จบมหาลัยแล้วอ่ะ”
พี่เขาขำออกมา
“อยู่โรงเรียนฮอตน่าดูสิท่า” คนตรงหน้าท้าวคางจ้องหน้าผม “หน้าตาแบบนี้เป็นดาราได้สบายเลย อยากเข้าวงการมั้ย พี่แนะนำโมเดลลิ่งให้ได้นะ เพื่อนพี่ทำงานอยู่ ฮะๆ”
ผมไม่ตอบอะไร และเป็นฝ่ายนั้นมากกว่าที่ชวนคุยและเล่าเรื่องต่างๆไปเรื่อยๆ
เรานั่งอยู่อย่างนั้นกว่าชั่วโมง กระทั่งตอนที่เขารับและคุยโทรศัพท์เสร็จ และตั้งท่าจะออกจากร้านไป เขายิ้มแล้วบอกลาผมก่อนจะลุกขึ้น
ผมนั่งมองเขาเดินห่างออกจากประตูร้านไปช้าๆ ในหัวกำลังคิดสารตะ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายลำบาก ไม่ว่าอย่างไร ผมอยากจะเจอคนๆนี้อีก ผมลุกขึ้นและวิ่งตามออกไป
ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองพูดหรือแสดงสีหน้าท่าทางแบบไหน มือของผมเหงื่อออกจนต้องเช็ดมันกับกางเกง ภาพของพี่เขาที่เลิกคิ้วสูงมองหน้าผมก่อนจะหัวเราะ เขาฉีกเศษกระดาษแล้วเขียนเบอร์โทรศัพท์ให้ ก่อนจะโบกมือลาแล้วเดินจากไป
ผมนั่งมองเศษกระดาษนั้นอยู่หนึ่งวันเต็ม พยายามกดเบอร์นั้นและวางมันก่อนที่สัญญาณจะติดอยู่สามวันก่อนที่จะสามารถโทรจริงๆได้ในวันที่สี่ วันที่คืนก่อนหน้าคิดคำพูดมาอย่างดีในหัวแล้ว
มันกลับไม่ได้ดีอย่างนั้น หลังจากเอ่ยสวัสดี ผมจำได้ว่าผมแทบไม่ได้พูดอะไรอีก อันที่จริงผมเงียบไปเลยมากกว่า ผมฟังพี่เขาบ่นเรื่องงาน เรื่องเจ้านายและอาหารแถวนั้นว่ามันน่าเบื่อแค่ไหนกว่าสองชั่วโมงก่อนที่จะวางไป
ผมทำแบบนั้นอยู่หลายอาทิตย์ก่อนจะกล้าชวนออกมาทานข้าว
แล้วอีกกว่าสามเดือนที่พี่เขาเอ่ยปากออกมาขำๆว่า “เหมือนเรากำลังจีบพี่อยู่นะเนี่ย?”
พี่เขาคงได้คำตอบจากการที่ผมหน้าแดงจนแทบกลืนไปกับสีผมของตัวเอง ทีแรกเขาขำเป็นการใหญ่และเห็นว่าเป็นเรื่องตลก แต่เมื่อผมยืนยันและแสดงออกว่าจริงจัง
“ก็ได้ ลองดู แต่พี่ไม่คิดว่ามันจะเวิร์คหรอกนะ” เขาบอกออกมาตรงๆ ก่อนจะเหลือบมองผม “พี่ไม่เคยคบกับคนที่อ่อนกว่ามาก่อน คือถ้าไม่ไหวก็บอกละกัน กลัวเราจะเบื่อพี่ซะก่อนไม่ใช่อะไร”
เขาคลี่ยิ้ม
ผมไม่คิดมาก่อนว่ามันจะไม่เวิร์คตรงไหน ผมมองไม่เห็นปัจจัยอะไรที่จะทำให้ผมกับเขาไปด้วยกันไม่ได้ ข้ามเรื่องอายุไปได้เลย ในเมื่อผมชอบเขามากๆ และมันมากขึ้นทุกวัน ในเมื่อตัวเขาก็ยอมรับว่าเขาก็รู้สึกดีตั้งแต่มีผมเข้ามาในชีวิต ผมไม่เคยคิดว่าผมคิดตื้นเกินไปแบบเด็กๆแบบที่เขาชอบพูดอยู่บ่อยๆสักนิด
oOo
ผมกำลังคบกับคนที่เด็กกว่าผมมาก
ตลอด 27 ปี ของชีวิตที่ผ่านมา คงไม่ใช่ไม่เรื่องแปลกอะไรที่ผมจะมีแฟน แต่แฟนที่เคยมีทุกคนล้วนแล้วแต่อายุเท่ากันหรือมากกว่าผมทั้งนั้น
แต่คนนี้อายุน้อยกว่าผมสิบปี
สิบปี... ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้มันใหม่มาก มาร์คเป็นเด็กมัธยมปลายหน้าตาดีและยิ้มสวย ผมเชื่อว่าที่โรงเรียนเขาต้องเป็นที่สนใจอย่างไม่ต้องสงสัย ทีแรกผมไม่เข้าใจว่าเขาจะมาอะไรกับผมจริงจัง เคยนึกขนาดว่าจะมาขอให้ผมสอนพิเศษให้ด้วยซ้ำ
ตลอดเวลาที่คุยกันทำให้รู้ว่ามาร์คเป็นเด็กที่มีวุฒิภาวะพอสมควร เทียบกับคนวัยเดียวกันแล้วมาร์คถือว่าค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ อาจเป็นเพราะการที่เขาต้องใช้ชีวิตคนเดียวขณะที่ครอบครัวอยู่ต่างประเทศกันหมด แต่อย่างว่า เด็กก็ยังต้องมีมุมที่เป็นเด็ก บอกตามตรงผมก็รู้สึกตื่นเต้นและแปลกใหม่ในทีแรก แต่หลังจากนั้นความกังวลก็คลืบคลานมาพร้อมๆกัน เขามักจะมาหาผมทันทีหลังเลิกเรียน ทั้งที่พยายามบอกเขาหลายครั้งว่าไม่ต้อง อันที่จริงมันไม่ควรด้วยซ้ำ แต่เพราะความดื้อแบบเด็กๆที่เขาอาจจะไม่เข้าใจ เรื่องภาพลักษณ์ในสังคมอะไรก็ตามแต่
“ทำไม พี่อายหรือไง” เขาถามผม
“เปล่า มัน... นายยังไม่เข้าใจหรอก”
ผมตอบมาร์คออกไปแบบนั้น อันที่จริง ใช่.. ผมอาย ผมไม่อยากตอบคำถามหรือตกเป็นขี้ปากใคร แน่นอนว่าจะต้องมีคนสงสัย เมื่อถูกใครถาม ผมมักจะตอบแกนๆไปว่า
“ผมสอนพิเศษให้เขาน่ะครับ”
ผมไม่เคยคิดว่าความสัมพันธ์นี้มันจะยืดยาวหรือมีอนาคตแต่แรก มาร์คอาจจะมาในจังหวะที่ผมไม่ได้มีใครและเด็กคนนี้ก็เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ทำให้ผมรู้สึกสดชื่น ผมคิดตื้นๆแค่นั้น
oOo
“ผมมีแข่งสเก็ตกับเพื่อนพรุ่งนี้ พี่ว่างหรือเปล่า มาดูนะ?” ผมนอนคุยโทรศัพท์กับมาร์คตอนกลางคืนอย่างเคย
“พรุ่งนี้เจ้านายกับพี่ต้องออกไปดูสถานที่ข้างนอกอ่ะ คราวนี้โปรเจ็คใหญ่เลย โรงแรมที่จะขึ้นใหม่ในโซล พี่ขอโทษนะ ไปไม่ได้จริงๆ”
มาร์คชอบสเก็ตบอร์ด เป็นกีฬาโปรดก็ว่าได้ สมัยคบกันแรกๆผมไปนั่งดูเขาทุกเสาร์อาทิตย์ นานๆจะมีอีเวนท์แข่งขันกัน ก็สนุกดี แต่บอกตามตรง แรกๆมันสนุก พักหลังผมเองก็ไม่ได้กระตือรือร้นจะไปดูเขาเท่าไหร่ เขามักจะงอนเรื่องนี้ แต่การที่ต้องไปนั่งเฉยๆ อากาศก็ร้อน ให้ผมเลือกออกไปทำงานยังจะสนุกกว่า ผมไม่สามารถบอกสิ่งเหล่านี้กับเขาออกไปได้
“ไว้ถ้าชนะพี่เลี้ยงข้าวนะ”
เขาทำเสียงกระเง้ากระงอดอยู่เป็นพักกว่าจะยอม
เย็นวันถัดมาที่ฝนตกกระหน่ำ เพราะฝนตกเจ้านายของผมเลยขับรถมาส่งที่บ้านหลังจากที่เราออกสถานที่เหนื่อยมาทั้งวัน หลังจากที่แวะทานข้าวร้านดีๆเผื่อให้รางวัลกันเอง หลังจากที่ดูหนังอีกเรื่องที่พี่จียงบอกว่าอยากจะดู พี่เขาก็มาส่งผมที่อพาร์ทเม้นท์ท่ามกลางฝนที่เทกระหน่ำตอนเกือบสี่ทุ่ม
หลังจากเปิดประตูรถราคาแพงของพี่จียง ผมเห็นมาร์คที่ยืนมองผมด้วยสีหน้าเรียบเฉยเป็นสิ่งแรก พี่จียงถือร่มมาส่งผมถึงที่ประตู
“สวัสดีครับ น้องชายเราหรอ?” พี่จียงทักทายมาร์คที่ยืนพิงพนังข้างประตูห้องผมอยู่ ก่อนจะหันมาถามผมที่กำลังคิดหาคำตอบ
“อ่อครับ น้องแถวบ้าน มาให้ติวหนังสือให้ประจำ” ผมหัวเราะ
“อยากเข้าสถาปัตย์หรอครับ ถามแบมแบมเลย ไว้ใจได้ คนนี้เก่งจริงๆ พี่ยอมรับ” พี่จียงตบบ่าผม
“ผมก็มีพี่เป็นไอดอลนี่แหละครับ” ผมรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงนิดๆกับคำชมที่ได้จากบุคคลที่ผมชื่นชมมาตั้งแต่เป็นนักเรียน เดินตามทางเดินของเขา จนได้มาเป็นลูกน้องของเขาในที่สุด ผมว่าผมยิ้มกว้างและเท้าไม่ติดพื้นเท่าไหร่ในตอนนี้
“งั้นพี่ไปก่อนนะ” พี่จียงบอกลา “เจอกันนะแบม อย่านอนดึกมากล่ะ ห่มผ้าด้วย อากาศชื้น”
“เรื่องนอนดึกนี่บอกตัวเองเถอะครับพี่ ฝันดีฮะ” ผมโบกมือลา พี่จียงส่งยิ้มมาให้
ผมมองมาร์คที่มองพี่จียงจนเขาขึ้นรถและขับออกไป
ผมไม่ได้สังเกตจนกระทั่งผมเปิดประตูเข้าไปในห้องถึงเห็นว่ามาร์คกำมือแน่นจนหน้าแดง
เขานั่งลงที่โซฟาแล้วมองพื้นอยู่อย่างนั้น
“เป็นอะไร?” ผมเดินไปเปิดตู้เย็นรินน้ำใส่แก้วมาสองใบก่อนจะเดินมายื่นให้เขาแก้วหนึ่ง
เขาไม่รับและยังจ้องพื้นอยู่อย่างนั้น ผมวางแก้วทั้งสองที่โต๊ะหน้าโซฟาแล้วทิ้งตัวนั่งข้างๆเขา
“พี่จียงเป็นเจ้านาย ไม่ได้มีอะไร” ผมพยายามจับมือของเขาที่กำแน่นอยู่ให้คลายออก “เราแค่แวะกินข้าวกันเพราะเหนื่อยเลยกลับดึก”
เขาพยักหน้า
“พี่เขาไม่สนใจพี่หรอก คนเข้าหาเขาเยอะแยะ แล้วพี่เองก็มีเราอยู่แล้วทั้งคนไง” ผมจูบเขาเบาๆที่ข้างแก้ม
เขาพยักหน้าอีกครั้ง
อีกไม่กี่วันต่อมาที่เขามารอรับผมที่ทำงานจนดึกดื่นทั้งที่ผมมีประชุม
“วันนี้ผมเอารถมา เดี๋ยวขับไปส่ง”
ผมรู้ได้ทันทีหลังจากประโยคนั้นว่ามาร์คไม่ได้เข้าใจ หลังจากเจอพี่จียงวันนั้นผมรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังรู้สึกถึงความเด็กและอ่อนด้อยกว่าคนวัยผมในหลายๆด้าน ผมไม่รู้และไม่อยากถามว่าเขาไปเอารถพ่อหรือใครมา สิ่งที่รู้คือเขากำลังพยายามทำทุกอย่างให้ทั้งตัวเองและผมนั้นรู้สึกว่าเขานั้นไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร
นั่นกำลังทำให้ผมอึดอัด
ในขณะที่เขาก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง
To be continued...
อยู่ๆก็อยากอ่านเรื่องที่แบมเป็นพี่บ้าง
คือแต่ทีแรกแต่งเป็นยูคค่ะ ยูคแบม แต่อ่านไปอ่านมามันดูรันทดยังไงบอกไม่ถูก พอเปลี่ยนเป็นพี่มาร์คค่อยดูแบบ ทนมือทนเท้าคนเขียนหน่อย จะได้กล้าแกล้ง (เป็นโรคไม่ชอบเห็นยูคแพ้ หรือผิดหวังอะไรอย่างงี้ค่ะ 5555)
ถ้ามีคำผิดหรืออ่านไม่ลื่น ขออภัยนะคะ เราอยากเขียนก็พิมพ์ยาวเลยอ่านทวนรอบเดียวเอง
ปล. ขอพูดถึงฟิคเรื่องเก่านิด ตอนแรกว่าจะเขียนฉากหลังจากตอนจบตามคำเรียกร้อง เขียนไปหน่อยนึงก็แบบ ที่จริงทุกคนก็พอเดาออกนี่นะว่ามันจะพังอารมณ์ไหน ก็เลย ปล่อยไว้งั้น ไม่ปิดกั้นจินตนาการต่อไปดีกว่าค่ะ เอาว่าเผื่อมีคนคิดว่าหมอจะมาเห็นทัน :)
ความคิดเห็น