ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ซิกมาร์ โคโรนอฟ
                ณ สนามบินในกรุงปารีส
   
    บลูนั่งแท็กซี่มาถึงสนามบินในกรุงปารีส เขาค่อยๆก้าวลงจากรถ สองข้างทางพลุกพล่านไปด้วยผู้คน และแสงสี สมแล้วที่เป็นแดนศิวิไลซ์ บลูเดินหิ้วกระเป๋าสองใบเดินเข้าไปในห้องน้ำของสนามบิน เขาเปิดประตูเข้าไป มีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ในห้องน้ำนั้น บลูจ้องมองใบหน้าเขา รู้สึกคุ้นตาเหมือนกับว่าเคยเห็นหน้าชายคนนี้มาก่อน ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มให้เขา เป็นใครไปไม่ได้ ชายคนนี้คือ ผู้พันซิกมาร์ โคโรนอฟ ที่เพิ่งเดินทางมาจากรัสเซีย ผู้พันซิกมาร์ค่อยๆดึงหนังของตนที่ลำคอออก กลับกลายเป็นหน้ากากที่สวมทับใบหน้าจริงไว้
    “นิก นายเป็นไงบ้าง”บลูทักทาย ยอดสายลับผู้นี้
    “นิดหน่อย อ่ะนี่เอกสารที่เอามาจากห้องทำงานของมัน”นิกยื่นกระเป๋าใบหนึ่งให้บลู บลูรับไว้ แล้วส่งกระเป๋าใบหนึ่งให้นิก
    “ในกระเป๋ามีพาสปอร์ต พร้อมตั๋วเครื่องบิน บินไปสวิส”บลูยื่นกระเป๋าในมือให้นิก
    “อะไรเนี่ย บินมาแล้วให้บินกลับเลยเหรอเนี่ย กะจะเที่ยวปารีสสักหน่อย”นิกบ่นอุบ
    “เป็นคำสั่งจากหัวหน้า”บลูพูด เขากำลังล้วงอุปกรณ์แปลงโฉมออกมาจากกระเป๋าอีกใบหนึ่ง แล้วส่องดูตนเองจากกระจก แล้วลงมือแปลงโฉมหน้าของตนเอง นิกยืนพิงประตูเพื่อไม่ให้มีใครเข้ามาได้ ไม่ถึงสิบนาทีบลูก็แปลงโฉมตัวเองเป็นผู้พันซิกมาร์ เหมือนกับใบหน้าของนิกในตอนแรกเปี๊ยบ
    “มิน่าล่ะ ในหน่วยงานเรา จึงยกให้นายเป็นอันดับสอง เพราะการแปลงโฉมที่รวดเร็วขนาดนี้นี่เอง นายแพ้แค่ริคเท่านั้นเอง”นิกกล่าวชมบลูในคราบผู้พันซิกมาร์
    “เอาชุดทหารของนายมา เอาชุดฉันไป”บลูถอดเสื้อผ้าออก แล้วโยนไปให้นิก นิกก็ทำเช่นกัน ทั้งสองรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว
    “อ่ะ นี่หมวก”นิกโยนหมวกให้บลู เขารับได้อย่างชำนาญ เขาเปิดกระเป๋าเอกสารหยิบบัตรประจำตัว แล้วสอดไว้ที่กระเป๋าเสื้อ
    “เอาล่ะ นายรีบไป หวังว่า หลังจากภารกิจนี้จบเราจะได้ไปเที่ยวกันที่สวิส”บลูพูด
    “ฉันว่านายคงไม่ไปกับฉันหรอก นายคงจะไปเที่ยว สวีทกันสองต่อสองกับเรดมากกว่า”นิกพูดอย่างรู้ทัน บลูได้แต่ยิ้ม เขาจินตนาการไปว่า หลังจบภารกิจ เขาและเรดได้ไปท่องเที่ยวตามที่ต่างๆ ใต้ผืนฟ้าสีคราม บนหาดทรายสีทอง ท้องสมุทรสีเขียว เขาค่อยๆหิ้วกระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องน้ำไป ทิ้งให้นิกอยู่ในห้องน้ำเพียงลำพัง บลูเดินยืดอกดูมีสง่าราศีและทรงอำนาจอย่างยิ่ง ทันใดนั้น...
    “ไม่ทราบว่า เมอสิเยอร์ ใช่เมอสิเยอร์โคโรนอฟ หรือเปล่าครับ”ชายหนุ่มหน้าตากรุ้มกริ้มคนหนึ่งเดินเข้ามาทักบลู บลูพยักหน้ารับช้าๆ
    “เชิญทางนี้ครับเมอสิเยอร์ ผู้กองเคเรซกำลังรอเมอสิเยอร์... อะ เอ่อ ขอประทานโทษครับ ผู้พันโคโรนอฟ”เขาเดินนำหน้าบลูไป บลูเดินตามอย่างเชื่องช้า เบื้องหน้าเขาเป็นนายทหารคนหนึ่ง ยืนมือไขว้หลัง มาดวางอำนาจ แต่พอพบเห็นบลู เขากลับเปลี่ยนเป็นยืนตรงดุจท่อนไม้ เปลี่ยนทีท่าเป็นเคารพนอบน้อม
    “ยินดีต้อนรับสู่กรุงปารีสครับ ผู้พันโคโรนอฟ กระผมผู้กองเรโม่ เคเรซ หัวหน้าฝ่ายแผนกและแผนงานแห่งฐานทัพฟรอเล็นซ์วิกส์ ครับผม”ผู้กองเคเรซทำความเคารพบลู บลูก็ทำกลับไปในลักษณะเดียวกัน
    “หวังว่าผู้พันคงจะพอพูดภาษาเราได้นะครับ”ผู้กองเคเรซถาม
    “ผมพูดภาษาฝรั่งเศสได้เล็กน้อยผู้กองเรโม่”บลูพูดอย่างราบเรียบ
    “เชิญทางนี้ครับ ผู้พัน”ผู้กองเคเรซพูดจบเดินนำหน้าบลูไป ส่วนบลูเดินอย่างปรอดโปร่งเชื่องช้า อย่างกับเดินในสวนหลังบ้านโดยจูงสุนัขอยู่ก็ปาน ผู้กองเคเรซนำบลูมาถึงรถจี๊บทหารคันหนึ่ง
    “ขออภัยท่านผู้พัน ภาหนะอาจจะไม่สะดวกนัก”ผู้กองเคเรซกล่าวช้าๆ
    “ไม่เป็นไรผู้กอง สำหรับคนอย่างพวกเราแล้ว ถ้าไม่สามารถทนรับกับความยากลำบาก คงยากที่จะมายืนอยู่ถึงจุดนี้”บลูพูดจบก็ก้าวขึ้นไปนั่ง ผู้กองเคเรซมองเขาด้วยสายตาหมายจะจับผิด บลูก็รู้ตัวว่า ผู้กองผู้นี้มีฝีมือไม่น้อย แต่ไม่ว่ายังไงผู้กองเคเรซก็ยังจับผิดบลูไม่ได้
    รถจี๊บค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากสนามบิน สายลมเอื่อยโชยพัดต้องใบหน้าบลู เขาต้องรักษาความเยือกเย็นเอาไว้จนตลอดรอดฝั่งไม่เช่นนั้น ภารกิจและชีวิตของตนสามารถจบลงได้ทุกเมื่อ รถจี๊บมุ่งหน้าสู่เมืองตูลูส ทิ้งสนามบินปารีสไว้เบื้องหลัง ทิ้งเหตุการณ์ที่พลิกผันไว้เบื้องหลัง
    จะมีใครรู้เหตุการณ์บางอย่างแม้เราจะวางแผนไว้อย่างรอบคอบเท่าใด แต่ทุกอย่างก็สามารถแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต...
    แล้วบลูล่ะตอนนี้รับรู้หรือไม่ ย่อมไม่ เขาใช้เวลาเดินทางเพียงสามชั่วโมงก็เดินทางมาถึงฐานทัพฟรอเล็นซ์วิกส์ นายด่านขอตรวจบัตรประจำตัวของเขา ผู้กองเคเรซมองดูบลูไม่ให้คลาดสายตามือขวาเอื้อมไปแตะกระบอกปืนที่เหน็บอยู่ที่เอว บลูควักบัตรเล็ๆใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วส่งให้นายด่าน สักครู่นายด่านก็คืนให้เขา และเปิดประตูให้พวกเขาเข้าไป ผู้กองเคเรซถอนหายใจ มือค่อยๆคลายจากปืนของตน ฐานทัพนี้เป็นฐานทัพขนาดใหญ่ สภาพภายในสะอาดสะอ้าน มองซ้ายและขวา เต็มไปด้วยโกดัง ศัตราวุธมากมาย โดยมีถนนสาน้อยที่ใช้สำหรับสัญจรตัดผ่ากลาง รถจิ๊บของเขาแล่นฝ่าดงโกดังมาได้ ด้านในฐานกลับมีตึกขนาดใหญ่ตึกหนึ่ง รถจี๊บค่อยๆจอดอย่างแช่มช้า บลูก้าวลงอย่างรวดเร็ว ยืดตัวขึ้นอกผายไหล่ผึ่ง เต็มไปด้วยราศีของผู้นำ จนดูเหมือนผู้กองเคเรซที่ยืนอยู่เคียงข้างถูกรัศมีราศีของบลูบดบังจนหมองมัวกลายเป็นเงาจางๆ
    “ทางนี้ครับ ผู้พัน”ผู้กองเคเรซเดินนำหน้าบลูเข้าไปในตึก ภายในตึกมีนายทหารอีกหลายคนยืนเรียงรายคอยต้อนรับบลูอยู่แล้ว นายทหารทุกคนยกมือทำความเคารพบลู บลูก็ทำตอบกลับไป
    “ฐานทัพฟรอเล็นซ์วิกส์ ยินดีต้อนรับ พันโทซิกมาร์ โคโรนอฟ”นายทหารที่ยืนอยู่ตรงกลางของแถวเป็นคนพูด บลูยิ้มให้กับพวกเขาทุกคน
    “พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งครับที่ผู้พันย้ายมาประจำที่นี่”นายทหารที่ยืนอยู่ทางด้านซ้ายสุดของบลูกล่าวขึ้น
    “ผมต้องการพบนายพลฟรอล็อง ฌักซิแยร์ เราเป็นเพื่อนเก่ากัน ผมไม่เจอท่านมานานแล้ว ไม่ทราบว่าท่านตอนนี้อยู่หรือไม่”บลูถามช้าๆ แต่หน้าของนายทหารทุกคนกลับซีดเผือด
    “โอ้ ผู้พันยังคงไม่รู้เรื่องนี้...”ผู้กองเคเรซเป็นคนสอดคำขึ้น บลูหันไปจ้องหน้า แล้วทำท่าคิ้วขมวดด้วยความสงสัย
    “เมื่อวานซืนก่อน บุตรสาวคนเดียวของท่านนายพลถูกฆาตกรรม”ผู้กองเคเรซพูดเสียงแหบแห้ง
    “ดังนั้น ตอนนี้ท่านไม่ได้อยู่ในฐานทัพ ท่านกำลังสืบเสาะหาฆาตกรอยู่”ผู้กองเคเรซอธิบายต่อ
    “แล้วพวกท่านพอจะรู้บ้างไหม ใครเป็รฆาตกร”บลูถามแกล้งทำหน้าซีด น้ำเสียงแหบพร่า ทั้งๆที่ก็รู้อยู่เต็มอก นายทหารทุกคนส่ายหน้า
    “แต่คงอีกไม่นานท่านนายพลฌักซิแยร์คงจะกลับมาที่ฐานนี้ ผู้พันอย่ากังวลใจไปเลย”นายทหารคนที่ยืนอยู่ทางขวามือของบลูเป็นคนกล่าวขึ้น บลูพยักหน้าช้าๆ
    “ผู้พันเพิ่งมาถึงคงอยากจะเที่ยวชมดูให้ทั่วฐาน ดังนั้นกระผมได้จัดผู้ที่จะเป็นไกด์ให้ท่านแล้วครับ”ทหารหญิงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เธอหน้าตาใสหมดจด ผมสีทองเป็นประกาย
    “ดิฉันจะเป็นคนพาผู้พันเที่ยวชมดูฐานทัพแห่งนี้เองค่ะ เชิญค่ะ”เธอพูด
    “งั้น เชิญครับ ผู้พันโคโรนอฟ”ผู้กองเคเรซกล่าว ก่อนที่ทั้งหมดจะกระจายกันออกไปทำหน้าที่ของตน
    “เชิญทางนี้ค่ะ ผู้พัน”เธอกล่าว แล้วเดินนำหน้าบลูไป เขาเดินตามอย่างเชื่องช้า
    “ส่วนที่เรากำลังเดินชมอยู่นี้ เป็นส่วนห้องแล็บทดลองของกองทัพค่ะ ที่นี่จะทำการวิจัยเกี่ยวกับอาวุธอยู่ตลอดเวลาค่ะ”เธออธิบายไปเรื่อยๆ
    “คุณอธิบายผมมาต่างๆนานา ผมยังไม่ได้รู้จักชื่อคุณเลย”บลูในคราบผู้พันหยอดคำหวาน
    “พลทหารไม่กล้าค่ะ”เธอพูด
    “น่า อย่ายึดถืออะไรจริงจังไปเลย เดี๋ยวผมต้องทำงานที่นี่อยู่แล้วรู้จักชื่อคุณเป็นไรไป ในฐานะเพื่อนร่วมงานได้ไหมครับ”บลูใส่น้ำตาลต่อ ดูเหมือนเธอยอมผ่อนให้เขาบ้าง
    “ค่ะ ดิฉันชื่อ เอมิลี่ ค่ะ เอมิลี่ สวานซ์ ค่ะ”เธอก้มหน้าไม่กล้ามอสบสายตากับบลู
    “เอมิลี่ เป็นชื่อที่ไพเราะจริงๆครับ ผมซิกมาร์ โคโรนอฟ ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ เอมิลี่”
    “ค่ะยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ผู้พัน”
    “น่ะ ตอนนี้ไม่มีคนอื่นอยู่ เรียกผมว่าซิกมาร์เฉยๆก็ได้ครับ”
    “ค่ะ”
    ทั้งสองเดินสนทนากันจนกระทั่งบลูมาสะดุดตากับประตูที่ถูกปิดล็อคอย่างแน่นหนา ที่ประตูมีอักษรตัว R อยู่กลางบาน
    “นั่นประตูไปโซนไหนครับ”บลูถาม
    “อ้อ ประตูนั่นเหรอคะ คือ อ่ะ เอ่อ...”เธออ้ำอึ้งเล็กน้อย
    “นั่นเป็นประตูไปโซนเรดค่ะ ข้างในมีแต่ทหารชั้นนายพลกับประธานาธิบดีเท่านั้นที่เข้าไปได้ค่ะ”
    “ข้างในนั้นมันมีอะไรหรือครับ”บลูถาม ดูท่าเขากำลังจะได้เบาะแสแล้ว
    “เอ่อ คือ โซนนี้ใช้เฉพาะเวลามีเหตุฉุกเฉิน จำพวกเป็นภัยต่อประเทศน่ะค่ะ ภายในมีรหัสลับในการปล่อยขีปนาวุธ และอาวุธชั้นสูงที่จะถูกนำมาใช้ในสถานการณ์วิกฤตเท่านั้นค่ะ”
    “แล้วคุณ...”บลูไม่ทันจะพูดจบก็ถูกเธอพูดดักซะก่อน
    “ไม่สามารถค่ะ ฉันไม่สามารถพาคุณเข้าไปได้ค่ะ ขออภัยค่ะ”
    “ไม่ใช่ครับ คุณเข้าใจผิด เอมิลี่ ผมจะถามคุณว่าคุณแต่งงานหรือยัง”บลูถาม
    “เอ่อ ยังค่ะ”แก้มที่ขาวเนียนพลันแดงระเรื่อขึ้น
    “ไม่ทราบว่าคืนนี้ คุณจะให้เกียรติไปดินเนอร์กับผมได้ไหมครับ”
    “เอ่อ...”เธอเริ่มหน้าแดงขึ้นทุกที
    “ได้โปรด เอมิลี่”บลูอ้อนวอน
    “ค่ะ”เธอตอบ ตาทั้งสองประสานกัน แต่ทันใดนั้น ทหารในบริเวณรอบๆต่างชี้ปืนมาจ่อบลูทุกคน ผู้กองเคเรซเดินฉับๆมาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเขม็งเกร็งเต็มไปด้วยความเครียด เอมิลี่ก็กำลังงงว่าเกิดอะไรขึ้น
    “คุณถูกจับแล้ว”ผู้กองเคเรซพูดกับบลู ปืนสั้นในมือเขาชี้มาที่บลู
    “เฮ้ เฮ้ โทษที ผมไม่รู้นี่ว่า ฐานนี้มีกฎห้ามจีบกันและกัน เรื่องแค่นี้ถึงกับต้องใช้ปืนเลยเหรอ”บลูพยายามพูดด้วยน้ำเสียงตลก
    “นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะครับ และไม่ใช่เรื่องจีบอะไรกันด้วย ฐานเราไม่มีกฎนั้น”ผู้กองเคเรซพูดน้ำเสียงทุ้มหนัก
    “อ้าวถ้างั้นเกิดอะไรขึ้นล่ะ อ้อ หรือว่า ผมจีบแฟนคุณ อ้อ อ้อ โทษทีครับ ผมไม่รู้นี่ว่าเอมิลี่เป็นแฟนคุณ แหมก็เธอออกจากสะโพกกับหน้าอกสะบึมขนาดนี้ ยืมไปสักคืนสองคืนไม่เท่าไรหรอก”บลูพูดอย่างขบขัน แต่ไม่มีใครขำด้วย
    “ผมจะบอกให้คุณรู้ก็ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น สายเรารายงานมาว่า พบศพผู้พันซิกมาร์ โคโรนอฟ ที่อเมริกา ศพคุณไปทำอะไรที่นั่นครับผู้พัน”
    “โห เล่นมุขศพเลยเหรอ เล่นแรงนะเนี่ยเรโม่”
    “และสายเรารายงานต่อมาว่า คุณเป็นสายจากภายนอกเข้ามาสืบราชการลับในฐานของเรา”ผู้กองเคเรซกล่าวต่อ
    “คุณเป็นใคร”ผู้กองเคเรซถามบลู บลูพยายามปั้นสีหน้าเป็นปกติ
    “เลิกเล่นได้แล้วเรโม่ เรื่องนี้ไม่ขำแล้วนะ”บลูพยายามพูดเบนเรื่อง
    “นี่ไม่ใช่เรื่องขำ นี่ไม่ใช่โจ๊ก คุณเป็นใครบอกมา ไม่งั้นเราจำเป็นต้องใช้มาตรการเข้มกับคุณ เขาสะบัดหน้าไปทางทหารที่ห้อมล้อมอยู่ ส่วนตัวเขากับเอมิลี่ค่อยๆถอยออกมา ทหารนับสิบคนค่อยๆย่างก้าวเข้าใส่บลู ส่วนบลูก็ได้แต่ถอยกรูด จนหลังชิดกำแพง เบื้องหลังเป็นทางตัน เบื้องหน้าเป็นดงปืน แผนของเขาแตกได้อย่างไร ใครเป็นคนตล่วงรู้ความลับของเขา สถานการณ์เยี่ยงนี้บลูจะเอาตัวรอดได้อย่างไร คุณรู้หรือไม่ใครเป็นคนแพร่งพรายความลับของบลูออกไป...
   
    บลูนั่งแท็กซี่มาถึงสนามบินในกรุงปารีส เขาค่อยๆก้าวลงจากรถ สองข้างทางพลุกพล่านไปด้วยผู้คน และแสงสี สมแล้วที่เป็นแดนศิวิไลซ์ บลูเดินหิ้วกระเป๋าสองใบเดินเข้าไปในห้องน้ำของสนามบิน เขาเปิดประตูเข้าไป มีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ในห้องน้ำนั้น บลูจ้องมองใบหน้าเขา รู้สึกคุ้นตาเหมือนกับว่าเคยเห็นหน้าชายคนนี้มาก่อน ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มให้เขา เป็นใครไปไม่ได้ ชายคนนี้คือ ผู้พันซิกมาร์ โคโรนอฟ ที่เพิ่งเดินทางมาจากรัสเซีย ผู้พันซิกมาร์ค่อยๆดึงหนังของตนที่ลำคอออก กลับกลายเป็นหน้ากากที่สวมทับใบหน้าจริงไว้
    “นิก นายเป็นไงบ้าง”บลูทักทาย ยอดสายลับผู้นี้
    “นิดหน่อย อ่ะนี่เอกสารที่เอามาจากห้องทำงานของมัน”นิกยื่นกระเป๋าใบหนึ่งให้บลู บลูรับไว้ แล้วส่งกระเป๋าใบหนึ่งให้นิก
    “ในกระเป๋ามีพาสปอร์ต พร้อมตั๋วเครื่องบิน บินไปสวิส”บลูยื่นกระเป๋าในมือให้นิก
    “อะไรเนี่ย บินมาแล้วให้บินกลับเลยเหรอเนี่ย กะจะเที่ยวปารีสสักหน่อย”นิกบ่นอุบ
    “เป็นคำสั่งจากหัวหน้า”บลูพูด เขากำลังล้วงอุปกรณ์แปลงโฉมออกมาจากกระเป๋าอีกใบหนึ่ง แล้วส่องดูตนเองจากกระจก แล้วลงมือแปลงโฉมหน้าของตนเอง นิกยืนพิงประตูเพื่อไม่ให้มีใครเข้ามาได้ ไม่ถึงสิบนาทีบลูก็แปลงโฉมตัวเองเป็นผู้พันซิกมาร์ เหมือนกับใบหน้าของนิกในตอนแรกเปี๊ยบ
    “มิน่าล่ะ ในหน่วยงานเรา จึงยกให้นายเป็นอันดับสอง เพราะการแปลงโฉมที่รวดเร็วขนาดนี้นี่เอง นายแพ้แค่ริคเท่านั้นเอง”นิกกล่าวชมบลูในคราบผู้พันซิกมาร์
    “เอาชุดทหารของนายมา เอาชุดฉันไป”บลูถอดเสื้อผ้าออก แล้วโยนไปให้นิก นิกก็ทำเช่นกัน ทั้งสองรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว
    “อ่ะ นี่หมวก”นิกโยนหมวกให้บลู เขารับได้อย่างชำนาญ เขาเปิดกระเป๋าเอกสารหยิบบัตรประจำตัว แล้วสอดไว้ที่กระเป๋าเสื้อ
    “เอาล่ะ นายรีบไป หวังว่า หลังจากภารกิจนี้จบเราจะได้ไปเที่ยวกันที่สวิส”บลูพูด
    “ฉันว่านายคงไม่ไปกับฉันหรอก นายคงจะไปเที่ยว สวีทกันสองต่อสองกับเรดมากกว่า”นิกพูดอย่างรู้ทัน บลูได้แต่ยิ้ม เขาจินตนาการไปว่า หลังจบภารกิจ เขาและเรดได้ไปท่องเที่ยวตามที่ต่างๆ ใต้ผืนฟ้าสีคราม บนหาดทรายสีทอง ท้องสมุทรสีเขียว เขาค่อยๆหิ้วกระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องน้ำไป ทิ้งให้นิกอยู่ในห้องน้ำเพียงลำพัง บลูเดินยืดอกดูมีสง่าราศีและทรงอำนาจอย่างยิ่ง ทันใดนั้น...
    “ไม่ทราบว่า เมอสิเยอร์ ใช่เมอสิเยอร์โคโรนอฟ หรือเปล่าครับ”ชายหนุ่มหน้าตากรุ้มกริ้มคนหนึ่งเดินเข้ามาทักบลู บลูพยักหน้ารับช้าๆ
    “เชิญทางนี้ครับเมอสิเยอร์ ผู้กองเคเรซกำลังรอเมอสิเยอร์... อะ เอ่อ ขอประทานโทษครับ ผู้พันโคโรนอฟ”เขาเดินนำหน้าบลูไป บลูเดินตามอย่างเชื่องช้า เบื้องหน้าเขาเป็นนายทหารคนหนึ่ง ยืนมือไขว้หลัง มาดวางอำนาจ แต่พอพบเห็นบลู เขากลับเปลี่ยนเป็นยืนตรงดุจท่อนไม้ เปลี่ยนทีท่าเป็นเคารพนอบน้อม
    “ยินดีต้อนรับสู่กรุงปารีสครับ ผู้พันโคโรนอฟ กระผมผู้กองเรโม่ เคเรซ หัวหน้าฝ่ายแผนกและแผนงานแห่งฐานทัพฟรอเล็นซ์วิกส์ ครับผม”ผู้กองเคเรซทำความเคารพบลู บลูก็ทำกลับไปในลักษณะเดียวกัน
    “หวังว่าผู้พันคงจะพอพูดภาษาเราได้นะครับ”ผู้กองเคเรซถาม
    “ผมพูดภาษาฝรั่งเศสได้เล็กน้อยผู้กองเรโม่”บลูพูดอย่างราบเรียบ
    “เชิญทางนี้ครับ ผู้พัน”ผู้กองเคเรซพูดจบเดินนำหน้าบลูไป ส่วนบลูเดินอย่างปรอดโปร่งเชื่องช้า อย่างกับเดินในสวนหลังบ้านโดยจูงสุนัขอยู่ก็ปาน ผู้กองเคเรซนำบลูมาถึงรถจี๊บทหารคันหนึ่ง
    “ขออภัยท่านผู้พัน ภาหนะอาจจะไม่สะดวกนัก”ผู้กองเคเรซกล่าวช้าๆ
    “ไม่เป็นไรผู้กอง สำหรับคนอย่างพวกเราแล้ว ถ้าไม่สามารถทนรับกับความยากลำบาก คงยากที่จะมายืนอยู่ถึงจุดนี้”บลูพูดจบก็ก้าวขึ้นไปนั่ง ผู้กองเคเรซมองเขาด้วยสายตาหมายจะจับผิด บลูก็รู้ตัวว่า ผู้กองผู้นี้มีฝีมือไม่น้อย แต่ไม่ว่ายังไงผู้กองเคเรซก็ยังจับผิดบลูไม่ได้
    รถจี๊บค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากสนามบิน สายลมเอื่อยโชยพัดต้องใบหน้าบลู เขาต้องรักษาความเยือกเย็นเอาไว้จนตลอดรอดฝั่งไม่เช่นนั้น ภารกิจและชีวิตของตนสามารถจบลงได้ทุกเมื่อ รถจี๊บมุ่งหน้าสู่เมืองตูลูส ทิ้งสนามบินปารีสไว้เบื้องหลัง ทิ้งเหตุการณ์ที่พลิกผันไว้เบื้องหลัง
    จะมีใครรู้เหตุการณ์บางอย่างแม้เราจะวางแผนไว้อย่างรอบคอบเท่าใด แต่ทุกอย่างก็สามารถแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต...
    แล้วบลูล่ะตอนนี้รับรู้หรือไม่ ย่อมไม่ เขาใช้เวลาเดินทางเพียงสามชั่วโมงก็เดินทางมาถึงฐานทัพฟรอเล็นซ์วิกส์ นายด่านขอตรวจบัตรประจำตัวของเขา ผู้กองเคเรซมองดูบลูไม่ให้คลาดสายตามือขวาเอื้อมไปแตะกระบอกปืนที่เหน็บอยู่ที่เอว บลูควักบัตรเล็ๆใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วส่งให้นายด่าน สักครู่นายด่านก็คืนให้เขา และเปิดประตูให้พวกเขาเข้าไป ผู้กองเคเรซถอนหายใจ มือค่อยๆคลายจากปืนของตน ฐานทัพนี้เป็นฐานทัพขนาดใหญ่ สภาพภายในสะอาดสะอ้าน มองซ้ายและขวา เต็มไปด้วยโกดัง ศัตราวุธมากมาย โดยมีถนนสาน้อยที่ใช้สำหรับสัญจรตัดผ่ากลาง รถจิ๊บของเขาแล่นฝ่าดงโกดังมาได้ ด้านในฐานกลับมีตึกขนาดใหญ่ตึกหนึ่ง รถจี๊บค่อยๆจอดอย่างแช่มช้า บลูก้าวลงอย่างรวดเร็ว ยืดตัวขึ้นอกผายไหล่ผึ่ง เต็มไปด้วยราศีของผู้นำ จนดูเหมือนผู้กองเคเรซที่ยืนอยู่เคียงข้างถูกรัศมีราศีของบลูบดบังจนหมองมัวกลายเป็นเงาจางๆ
    “ทางนี้ครับ ผู้พัน”ผู้กองเคเรซเดินนำหน้าบลูเข้าไปในตึก ภายในตึกมีนายทหารอีกหลายคนยืนเรียงรายคอยต้อนรับบลูอยู่แล้ว นายทหารทุกคนยกมือทำความเคารพบลู บลูก็ทำตอบกลับไป
    “ฐานทัพฟรอเล็นซ์วิกส์ ยินดีต้อนรับ พันโทซิกมาร์ โคโรนอฟ”นายทหารที่ยืนอยู่ตรงกลางของแถวเป็นคนพูด บลูยิ้มให้กับพวกเขาทุกคน
    “พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งครับที่ผู้พันย้ายมาประจำที่นี่”นายทหารที่ยืนอยู่ทางด้านซ้ายสุดของบลูกล่าวขึ้น
    “ผมต้องการพบนายพลฟรอล็อง ฌักซิแยร์ เราเป็นเพื่อนเก่ากัน ผมไม่เจอท่านมานานแล้ว ไม่ทราบว่าท่านตอนนี้อยู่หรือไม่”บลูถามช้าๆ แต่หน้าของนายทหารทุกคนกลับซีดเผือด
    “โอ้ ผู้พันยังคงไม่รู้เรื่องนี้...”ผู้กองเคเรซเป็นคนสอดคำขึ้น บลูหันไปจ้องหน้า แล้วทำท่าคิ้วขมวดด้วยความสงสัย
    “เมื่อวานซืนก่อน บุตรสาวคนเดียวของท่านนายพลถูกฆาตกรรม”ผู้กองเคเรซพูดเสียงแหบแห้ง
    “ดังนั้น ตอนนี้ท่านไม่ได้อยู่ในฐานทัพ ท่านกำลังสืบเสาะหาฆาตกรอยู่”ผู้กองเคเรซอธิบายต่อ
    “แล้วพวกท่านพอจะรู้บ้างไหม ใครเป็รฆาตกร”บลูถามแกล้งทำหน้าซีด น้ำเสียงแหบพร่า ทั้งๆที่ก็รู้อยู่เต็มอก นายทหารทุกคนส่ายหน้า
    “แต่คงอีกไม่นานท่านนายพลฌักซิแยร์คงจะกลับมาที่ฐานนี้ ผู้พันอย่ากังวลใจไปเลย”นายทหารคนที่ยืนอยู่ทางขวามือของบลูเป็นคนกล่าวขึ้น บลูพยักหน้าช้าๆ
    “ผู้พันเพิ่งมาถึงคงอยากจะเที่ยวชมดูให้ทั่วฐาน ดังนั้นกระผมได้จัดผู้ที่จะเป็นไกด์ให้ท่านแล้วครับ”ทหารหญิงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เธอหน้าตาใสหมดจด ผมสีทองเป็นประกาย
    “ดิฉันจะเป็นคนพาผู้พันเที่ยวชมดูฐานทัพแห่งนี้เองค่ะ เชิญค่ะ”เธอพูด
    “งั้น เชิญครับ ผู้พันโคโรนอฟ”ผู้กองเคเรซกล่าว ก่อนที่ทั้งหมดจะกระจายกันออกไปทำหน้าที่ของตน
    “เชิญทางนี้ค่ะ ผู้พัน”เธอกล่าว แล้วเดินนำหน้าบลูไป เขาเดินตามอย่างเชื่องช้า
    “ส่วนที่เรากำลังเดินชมอยู่นี้ เป็นส่วนห้องแล็บทดลองของกองทัพค่ะ ที่นี่จะทำการวิจัยเกี่ยวกับอาวุธอยู่ตลอดเวลาค่ะ”เธออธิบายไปเรื่อยๆ
    “คุณอธิบายผมมาต่างๆนานา ผมยังไม่ได้รู้จักชื่อคุณเลย”บลูในคราบผู้พันหยอดคำหวาน
    “พลทหารไม่กล้าค่ะ”เธอพูด
    “น่า อย่ายึดถืออะไรจริงจังไปเลย เดี๋ยวผมต้องทำงานที่นี่อยู่แล้วรู้จักชื่อคุณเป็นไรไป ในฐานะเพื่อนร่วมงานได้ไหมครับ”บลูใส่น้ำตาลต่อ ดูเหมือนเธอยอมผ่อนให้เขาบ้าง
    “ค่ะ ดิฉันชื่อ เอมิลี่ ค่ะ เอมิลี่ สวานซ์ ค่ะ”เธอก้มหน้าไม่กล้ามอสบสายตากับบลู
    “เอมิลี่ เป็นชื่อที่ไพเราะจริงๆครับ ผมซิกมาร์ โคโรนอฟ ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ เอมิลี่”
    “ค่ะยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ผู้พัน”
    “น่ะ ตอนนี้ไม่มีคนอื่นอยู่ เรียกผมว่าซิกมาร์เฉยๆก็ได้ครับ”
    “ค่ะ”
    ทั้งสองเดินสนทนากันจนกระทั่งบลูมาสะดุดตากับประตูที่ถูกปิดล็อคอย่างแน่นหนา ที่ประตูมีอักษรตัว R อยู่กลางบาน
    “นั่นประตูไปโซนไหนครับ”บลูถาม
    “อ้อ ประตูนั่นเหรอคะ คือ อ่ะ เอ่อ...”เธออ้ำอึ้งเล็กน้อย
    “นั่นเป็นประตูไปโซนเรดค่ะ ข้างในมีแต่ทหารชั้นนายพลกับประธานาธิบดีเท่านั้นที่เข้าไปได้ค่ะ”
    “ข้างในนั้นมันมีอะไรหรือครับ”บลูถาม ดูท่าเขากำลังจะได้เบาะแสแล้ว
    “เอ่อ คือ โซนนี้ใช้เฉพาะเวลามีเหตุฉุกเฉิน จำพวกเป็นภัยต่อประเทศน่ะค่ะ ภายในมีรหัสลับในการปล่อยขีปนาวุธ และอาวุธชั้นสูงที่จะถูกนำมาใช้ในสถานการณ์วิกฤตเท่านั้นค่ะ”
    “แล้วคุณ...”บลูไม่ทันจะพูดจบก็ถูกเธอพูดดักซะก่อน
    “ไม่สามารถค่ะ ฉันไม่สามารถพาคุณเข้าไปได้ค่ะ ขออภัยค่ะ”
    “ไม่ใช่ครับ คุณเข้าใจผิด เอมิลี่ ผมจะถามคุณว่าคุณแต่งงานหรือยัง”บลูถาม
    “เอ่อ ยังค่ะ”แก้มที่ขาวเนียนพลันแดงระเรื่อขึ้น
    “ไม่ทราบว่าคืนนี้ คุณจะให้เกียรติไปดินเนอร์กับผมได้ไหมครับ”
    “เอ่อ...”เธอเริ่มหน้าแดงขึ้นทุกที
    “ได้โปรด เอมิลี่”บลูอ้อนวอน
    “ค่ะ”เธอตอบ ตาทั้งสองประสานกัน แต่ทันใดนั้น ทหารในบริเวณรอบๆต่างชี้ปืนมาจ่อบลูทุกคน ผู้กองเคเรซเดินฉับๆมาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเขม็งเกร็งเต็มไปด้วยความเครียด เอมิลี่ก็กำลังงงว่าเกิดอะไรขึ้น
    “คุณถูกจับแล้ว”ผู้กองเคเรซพูดกับบลู ปืนสั้นในมือเขาชี้มาที่บลู
    “เฮ้ เฮ้ โทษที ผมไม่รู้นี่ว่า ฐานนี้มีกฎห้ามจีบกันและกัน เรื่องแค่นี้ถึงกับต้องใช้ปืนเลยเหรอ”บลูพยายามพูดด้วยน้ำเสียงตลก
    “นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะครับ และไม่ใช่เรื่องจีบอะไรกันด้วย ฐานเราไม่มีกฎนั้น”ผู้กองเคเรซพูดน้ำเสียงทุ้มหนัก
    “อ้าวถ้างั้นเกิดอะไรขึ้นล่ะ อ้อ หรือว่า ผมจีบแฟนคุณ อ้อ อ้อ โทษทีครับ ผมไม่รู้นี่ว่าเอมิลี่เป็นแฟนคุณ แหมก็เธอออกจากสะโพกกับหน้าอกสะบึมขนาดนี้ ยืมไปสักคืนสองคืนไม่เท่าไรหรอก”บลูพูดอย่างขบขัน แต่ไม่มีใครขำด้วย
    “ผมจะบอกให้คุณรู้ก็ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น สายเรารายงานมาว่า พบศพผู้พันซิกมาร์ โคโรนอฟ ที่อเมริกา ศพคุณไปทำอะไรที่นั่นครับผู้พัน”
    “โห เล่นมุขศพเลยเหรอ เล่นแรงนะเนี่ยเรโม่”
    “และสายเรารายงานต่อมาว่า คุณเป็นสายจากภายนอกเข้ามาสืบราชการลับในฐานของเรา”ผู้กองเคเรซกล่าวต่อ
    “คุณเป็นใคร”ผู้กองเคเรซถามบลู บลูพยายามปั้นสีหน้าเป็นปกติ
    “เลิกเล่นได้แล้วเรโม่ เรื่องนี้ไม่ขำแล้วนะ”บลูพยายามพูดเบนเรื่อง
    “นี่ไม่ใช่เรื่องขำ นี่ไม่ใช่โจ๊ก คุณเป็นใครบอกมา ไม่งั้นเราจำเป็นต้องใช้มาตรการเข้มกับคุณ เขาสะบัดหน้าไปทางทหารที่ห้อมล้อมอยู่ ส่วนตัวเขากับเอมิลี่ค่อยๆถอยออกมา ทหารนับสิบคนค่อยๆย่างก้าวเข้าใส่บลู ส่วนบลูก็ได้แต่ถอยกรูด จนหลังชิดกำแพง เบื้องหลังเป็นทางตัน เบื้องหน้าเป็นดงปืน แผนของเขาแตกได้อย่างไร ใครเป็นคนตล่วงรู้ความลับของเขา สถานการณ์เยี่ยงนี้บลูจะเอาตัวรอดได้อย่างไร คุณรู้หรือไม่ใครเป็นคนแพร่งพรายความลับของบลูออกไป...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น