คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2
ตอนที่2
ผมตื่นนอนในเช้าวันจันทร์พลางอาบน้ำแต่งตัวแล้วค่อยออกจากห้องนอน พอกำลังจะเดินไปที่ประตูเพื่อออกไปทำงานแต่เช้าก็เจอกระดาษโน้ตแปะอยู่ที่หน้าตู้เย็น ‘ทานข้าวแล้วค่อยไปทำงานนะครับ ส่วนผมไม่อยู่ไปสวนสาธารณะครับ’ ผมมองไปยังโต๊ะทานข้าวมีกับข้าววางอยู่ไว้สองสามอย่าง ผมเลยเปิดฝาดู มีแกงเลียง ผัดขิงใส่หมู และปลาสลิดทอด
ผมนึกสงสัยเหมือนกันเพราะว่าไม่เคยซื้อเครื่องปรุงและวัตถุดิบสำหรับอาหารพวกนี้เลย สงสัยว่าเจ้าซันคงจะออกไปที่ตลาดซื้อเข้ามาทำแน่ๆ ผมฝืนใจทานไปได้นิดหน่อยก็อิ่ม ก่อนจะรีบเก็บจานข้าวตัวเองและเร่งออกจากบ้านไป
ผมมาถึงที่ทำงานแต่เช้าเพราะว่าจะรีบมาเร่งเคลียร์งานที่ค้างเอาไว้เมื่อวานก่อน นั่งทำงานไปได้ซักพักก็มีคนมาเคาะกระจก
“ไงวะหนึ่ง มาแต่เช้าเสมอนะเพื่อนเรา เอ็งได้เบี้ยขยันไปครองคนเดียวสามปีแล้วนะโว้ย ปีนี้จะเอาอีกรึไงฮึ” นายวิรัช เพื่อนของผมทัก หน้าตาท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใสของมันในเช้าวันจันทร์อย่างนี้ผมฟันธงว่ามันได้คืนดีกับคุณเอธิกา เลขาคนสวยหน้าห้องทำงานของเจ้านายผม ชัวร์
“ดีกันแล้วรึไงกับคุณแอนน่ะ” ผมถามมันหยั่งเชิงดู
“เออสิวะ นี่ข้าปิดเอ็งไม่มิดอีกแล้วนะ เอ็งนี่สมเป็นเพื่อนข้าจริงๆ” วิรัชเอ่ยชม
“แหม...ท่าทางอย่างนั้นเป็นใครก็ดูออกทั้งนั้นล่ะ ว่าแต่กลับแผนกไปได้แล้วไปไอ้รัชไม่มีงานทำรึไงถึงได้มาหาข้าที่นี่ แต่ข้ามีงานนะโว้ย ไม่ว่างๆ” ผมว่าพลางไล่เพื่อนของผมให้กลับแผนกการตลาดไปซะ
ที่ทำงานของผมเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจธนาคารและการหุ้นควบคู่กันไป มีความใหญ่โตและติดอันดับบริษัทที่มั่นคงที่สุดในประเทศห้าอันดับแรกทีเดียว ดังนั้นไม่ว่างานจะเป็นงานอะไรก็ตามพวกผมก็ต้องทำงานให้เนี้ยบ สมกับค่าจ้างที่ได้รับ ส่วนงานในแผนกของผมก็เป็นงานพวกวางแผนขยายช่องทางทางธุรกิจ ดูความได้เปรียบเสียเปรียบ ความน่าลงทุนอะไรประมาณนั้นซึ่งเป็นแผนกที่มีความสำคัญกับบริษัทมากทีเดียว ส่วนแผนกของวิรัชก็วางกลไกเกี่ยวกับการตลาด การค้า ซึ่งพอวางแล้วก็ต้องเสนอพวกผมให้คัดแยกงานแล้วจัดลงบอร์ดประชุมอีกที ดังนั้นไม่ว่าแผนกไหนก็ต้องส่งผ่านมือผมก่อนทั้งนั้น นอกจากนี้ก็มีแผนกอื่นๆเช่น แผนกงานขาย แผนกบัญชี แผนกตรวจสอบทรัพย์สิน และอะไรต่อมิอะไรวุ่นวายไปหมด
“เออๆ กลับก็ได้วะ ข้ารู้ว่าเอ็งงานยุ่งข้าถึงไม่ย้ายมาอยู่แผนกนี้ไงล่ะ เฮ้ยกลางวันข้าไม่ไปทานข้าวกับเอ็งแล้วนะโว้ย ข้าจะไปทานกับคุณแอนคนสวย ไปล่ะ” พูดจบเพื่อนผมก็ชิ่งไปทันที ให้มันได้อย่างนี้สินะ ได้แฟนลืมเพื่อน
พอถึงเวลาพักกลางวันผมก็ลงไปทานข้าวช้ากว่าคนอื่นๆเกือบสิบนาทีเพราะว่างานผมยุ่งมากๆ แล้วยิ่งเป็นหัวหน้าแผนกผมเลยจำใจต้องเคลียร์แผนงานให้เสร็จก่อนเสนอที่ประชุมในตอนเย็น ผมบิดขี้เกียจพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ ตั้งใจว่าจะเดินลงไปทานอาหารกลางวันที่ครัวด้านล่าง
“คุณประกายพฤกษ์คะ มีคนฝากมาให้ค่ะ” พี่รดี ประชาสัมพันธ์ที่ด้านล่างบริษัทส่งถุงให้ผม ภายในเป็นปิ่นโต บรรจุอาหารหนักอึ้งทีเดียว
“พี่รดีทราบไหมครับว่าใครส่งมา” ผมถามอย่างสงสัย ใครกันที่ส่งปิ่นโตให้ผม ถ้าเกิดใส่ยาพิษล่ะจะว่ายังไง
“ก็เป็นฝรั่งคนนึงน่ะค่ะ แต่พูดไทยชัดมากเลยนะคะ คนรู้จักของคุณหนึ่งหรอคะ” พี่รดีถามโดยละจากใช้ชื่อจริงของผมมาเป็นชื่อเล่นแทน อาจเป็นเพราะชื่อจริงของผมเรียกยาก คนเกือบทั้งบริษัทก็เลยเรียกหนึ่งแทน ยกเว้นเวลาเป็นการเป็นงานถึงจะเรียกชื่อจริงของผม
“อ๋อ...ครับ” ผมพยักหน้าให้พี่เขาไปแล้วจบบทสนทนาแค่นั้น ไม่อยากให้ใครมาถามอะไรซ่อกแซ่ก พอพี่รดีเดินจากไปผมก็หยิบปิ่นโตออกมาจะทาน พอเปิดฝาก็เห็นเป็นข้าวสวยจัดอยู่ในปิ่นโตถูกจัดเป็นรูปหัวใจ จะทานเลยก็ยังไงๆอยู่เลยใช้ช้อนคุ้ยๆให้มันหายเป็นรูปหัวใจก่อน ไอ้อร่อยมันก็อร่อยอยู่หรอก แต่ที่อดสงสัยไม่ได้ก็คือเจ้าเด็กนี่เล่นอะไรอยู่
พอตกเย็นก็มีประชุมแผนงานก่อนจะนำไปขึ้นบอร์ดบริหาร ผมชี้แจงกับฝ่ายขายไปว่าแผนงานที่เขาส่งให้ผมมาพิจารณามันยังใช้ไม่ได้ที่จะนำขึ้นไปเสนอบอร์ดบริหาร แต่กว่าจะเข้าใจกันก็พูดด้วยเหตุด้วยผลซะเหนื่อย ผมเป็นฝ่ายที่ต้องยกเหตุผลมากล่าวมากมายว่ามันยังใช้ไม่ได้ทั้งๆที่ฝ่ายนั้นกลับยืนกรานว่าดีแล้วท่าเดียว
ผมขับรถกลับบ้านราวๆสามทุ่มด้วยความเหนื่อยอ่อน ความจริงผมเข้างานตอนแปดโมงครึ่ง เลิกทุ่มครึ่ง แต่ไหงกลับเวลานี้เกือบทุกวันก็ไม่รู้
“เหนื่อยรึเปล่าครับคุณหนึ่ง กลับบ้านช้าจัง” เด็กซันที่เห็นผมเปิดประตูบ้านละสายตาจากโทรทัศน์หันมาถามผมทันที
“ฉันกลับเวลานี้ทุกวันนั่นแหละ อืมใช่...แล้วก็เลิกเรียกฉันว่าคุณหนึ่งซะ เรียกพี่หนึ่งก็ได้” พอผมพูดจบเจ้าเด็กซันก็ยิ้มกว้างก่อนจะดันผมให้ไปนั่งบนโต๊ะอาหาร
“ผมนะรอทานอาหารกับพี่หนึ่งด้วยล่ะ” เจ้าหนุ่มซันพูดยิ้มๆก่อนจะค่อยๆบบรจงเปิดฝาที่ครอบกับข้าวออก
“ว้า...เย็นซะแล้วอ่ะ เอางี้ผมไปอุ่นให้นะครับ”
“ไม่ต้องๆ ทานเถอะ” ผมกับเจ้าเด็กลูกครึ่งนั่งทานอาหารกัน ซักพักผมก็อิ่มแต่มื้อนี้ผมทานได้เยอะกว่าเดิมเจ้าหนุ่มซันก็เลยไม่ได้ว่าอะไร เอาแต่ยิ้มลูกเดียว
“นี่ วันหลังน่ะไม่ต้องรอฉันกลับมาก็ได้นะ นายทานไปก่อนเถอะเดี๋ยวรอฉันจะเป็นโรคกระเพาะเปล่าๆ” ผมกล่าว รู้สึกเกรงใจเจ้าหนุ่มนี่ขึ้นมาซะเอง ไหนจะข้าวเช้า ข้าวกลางวัน ข้าวเย็น แถมงานบ้านอีก ผมรู้ได้ทันทีว่าซันทำความสะอาดบ้านให้เพราะมันไม่เคยสะอาดขนาดนี้มานานแล้วนับตั้งแต่ผมลาหยุดสองวันติดกันเมื่อปีก่อนโน้น
“แหม...ไม่ได้หรอกครับ ผมอยากรอพี่หนึ่งกลับมาทานข้าวด้วยกันนี่นา ผมทานคนเดียวไม่อร่อยเลยอ่ะครับ” ซันว่าพลางส่งสายตาอ้อนๆมาอีกละ
“ตามใจนายละกัน ว่าแต่เมื่อไหร่มหาวิทยาลัยจะเปิดล่ะ” ผมถาม ผมรู้คร่าวๆว่าเจ้าหนุ่มซันเองก็เก่งไม่เบาทีเดียว สามารถอยู่ปีสี่ได้ตอนอายุสิบเก้าปีแบบนี้สงสัยพาสมาหลายชั้นแน่ๆ
“ก็ราวๆสัปดาห์หน้าน่ะครับพี่หนึ่ง” เจ้าหนุ่มซันว่า ผมเลยพยักหน้าเชิงเข้าใจไปให้
“อืมแล้วอยู่คณะไหน” ผมถามเจ้าเด็กซัน ผมเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่รู้เลยว่าเจ้าเด็กนี้มันเรียนอยู่คณะอะไร ถ้าเกี่ยวกับแผนงานธุรกิจจะได้ฝากฝังให้เจ้าหนุ่มซันได้ฝึกงานกับบริษัทเสียเลย
“อักษรศาสตร์เอกภาษาฝรั่งเศสครับ” เจ้าหนูซันว่า ทำให้ผมแปลกใจได้ทีเดียว
“นายพูดฝรั่งเศสได้ด้วยหรอเนี่ย” ผมถาม เจ้าหนูนั่นได้แต่ยิ้มๆให้ ผมว่าหน้าเขาให้กับรอยยิ้มมากเลย เจ้าหมอนี่ยิ้มทีไรก็ดูสดใสทุกที
“มีอีกหลายอย่างครับที่พี่หนึ่งไม่รู้ ผมทำให้พี่หนึ่งทึ่งได้เสมอล่ะครับ นี่ก็สองวัน พี่ก็ทึ่งสองครั้งซะแล้ว ครั้งแรกทึ่งเพราะผมเป็นผู้ชาย ครั้งสองทึ่งเพราะผมพูดฝรั่งเศสได้ ครั้งสามจะให้พี่ทึ่งอะไรของผมอีกน้า...” เจ้าหนุ่มซันทำท่าครุ่นคิดหนักทีเดียว
“ไม่ต้องทำฉันทึ่งอะไรทั้งนั้นน่ะ แล้วไอ้ที่ทึ่งเพราะว่านายเป็นผู้ชายเนี่ยไม่มีใครทึ่งกันหรอกนะ เขามีแต่จะตกใจกันมากกว่า ไม่เอาๆละฉันง่วงนอนแล้วล่ะ ไปนอนดีกว่า นายก็เหมือนกันอย่าดูโทรทัศน์ดึกมากนักไปนอนได้แล้วเป็นเด็กเป็นเล็ก” ผมว่า
“ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ ผมโตแล้ว แล้วก็แข็งแรงด้วย ผมปกป้องพี่ได้แล้วนะครับ” นายซันว่า แต่คราวนี้ไม่มีรอยยิ้มออกจากใบหน้าเขาเลย
“เป็นอะไรน่ะฮึ งอนหรอ...ฉันน่ะไม่เห็นจะต้องมีใครมาปกป้องเลย ยังไงๆเด็กน้อยเอล็กซานดร้าในวันนั้น ก็เป็นเด็กน้อยซันในวันนี้เหมือนเดิมล่ะน่า” ผมว่าพลางเดินเข้าห้องไปโดยที่ไม่ได้ยินเสียงตอบโต้ของเจ้าหนุ่มซันแต่อย่างใด
วันถัดมาผมก็พบข้าวเช้ากับโน้ตที่แปะไว้ตรงหน้าตู้เย็นเช่นเคย ผมสงสัยเหมือนกันว่าเขาไปทำอะไรทุกเช้าที่สวนสาธารณะในหมู่บ้านผมก็เลยตัดสินใจขับรถออกทางหน้าหมู่บ้านแทน ปกติผมจะขับรถออกทางหลังหมู่บ้านเพราะว่ามันใกล้ที่ทำงานผมมากกว่า
ผมขับรถไปจอดที่ลานข้างๆสวนสาธารณะที่เช้าๆอย่างนี้มีอาม่าอากงจำนวนไม่น้อยมารำไทเก๊กกัน สอดส่ายสายตาไม่นานก็เจอนายซันกำลังวิ่งจ๊อกกิ้งอยู่ วิ่งไปก็ทำท่าทางทักทายคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย ไปเล่นกับหมาเขาบ้าง เล่นกับลูกเขาบ้างซึ่งเป็นคนที่ผมไม่รู้จักแทบทั้งนั้น แล้วซันก็หันมาเห็นผมยืนมองเขาอยู่เลยโบกมือให้แล้ววิ่งมาหาผม
“พี่หนึ่งจะมาวิ่งบ้างหรอครับ” เจ้าหนุ่มซันถาม เหงื่อเกาะพราวเต็มใบหน้าและเสื้อ
“ไม่หรอกฉันต้องไปทำงานนะ เดี๋ยวชุดสูทก็เหม็นเหงื่อแย่พอดี” ผมว่า
“แหม...ไม่เหม็นหรอกครับ พี่หนึ่งออกจะตัวห้อมหอม เหงื่อออกยังหอมเลยแล้วจะเหม็นได้อย่างไรกัน” เจ้าเด็กซันว่า ผมล่ะชักจะชินกับคำป้อยอที่เจ้าเด็กนี่ยกมาสรรเสริญผมซะแล้วสิก็เลยไม่ได้ติดใจอะไร
“เอาเถอะๆ ว่าแต่นายนี่ทำตัวสนิทสนมกับคนเขาไปทั่วได้เร็วจังนะ ฉันอยู่มาตั้งหลายปียังไม่ค่อยรู้จักใครเลย” ผมพูดพลางหัวเราะนิดๆ เช้านี้ผมรู้สึกได้เลยว่าตัวเองอารมณ์ดีทีเดียว
“แหม...ก็พี่หนึ่งทำแต่งานนี่ครับ ผมก็ว่างๆด้วยตอนนี้ แล้วอีกอย่างผมก็ต้องรักษาหุ่นด้วย เห็นไหมครับ รูปร่างดีแบบผมน่ะไม่ว่าใครก็ต้องอิจฉา” ซันว่าพลางเบ่งกล้ามแขนไห้ดู ซึ่งก็มีพอสวยงามทีเดียว แต่ก็ไม่ได้มากเกินไป ไหนจะกล้ามเนื้อหน้าท้อง กล้ามอกที่ดูสมชายชาตรีนั่นอีก ผมต้องยอมแพ้เลยจริงๆ
“อืม พ่อหนุ่มหุ่นดี งั้นฉันไปทำงานก่อนละกัน แล้วข้าวกลางวันน่ะไม่ต้องก็ได้นะฉันไปหาทานเอาที่โรงอาหารก็ได้” ผมว่า กลัวจะรบกวนเจ้าหนูนี่เกินไป
“ไม่เอาอ่ะ ผมจะไปส่งข้าวให้พี่ทุกวันก่อนที่ผมจะต้องไปมหาลัยเลยนะครับ พี่หนึ่งต้องทานด้วยล่ะ” เจ้าหนุ่มซันอ้อนอีกละ นี่ถ้าใครมารู้ว่าเจ้าหนุ่มมาดสมชายชาตรีคนนี้มาอ้อนผมล่ะก็คงจะตลกน่าดู แต่ผมก็เป็นพวกแพ้ลูกอ้อนของเจ้าเด็กนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วผมก็เลยต้องพยักหน้าเออออไป
จะว่าไปตั้งแต่ซันเข้ามาอยู่ในบ้านของผมก็เปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวันของผมไปมากพอดูทีเดียว ตั้งแต่พฤติกกรมการทานข้าวเช้า กลางวัน เย็น บ้านของผมที่เคยแต่ทำความสะอาดทุกๆวันหยุดก็กลับเรียบร้อยทุกวัน งานเล็กๆน้อยๆที่ผมต้องทำทุกวันเช่นรดน้ำต้นไม้เจ้าหนูนี่ก็แย่งไปทำหมดทั้งๆที่ผมบอกว่าไม่ต้องแล้วก็ตาม
ซันจะยิ้มแย้มได้เสมอกับผมทุกเรื่อง แต่ว่าถ้าผมไปพูดว่าเขาเป็นเด็กน้อยของผมก็จะงอนผมขึ้นมาทันทีเลย แล้วจะไม่ให้ผมว่าเขาว่าเป็นเด็กน้อยที่โตแต่ตัวได้อย่างไรกันในเมื่อเจ้าเด็กน้อยคนนี้แค่ผมพูดว่าเขาเด็ก ก็งอนผมละ
“หนึ่ง...นี่มันอะไรกัน แผนงานนี้ทำไมไม่อนุมัติให้ขึ้นบอร์ดบริหารล่ะ” หัวหน้าของผมซักไซ้ไล่เรียงกับผมที่ต้องเป็นผู้ไปแบกรับความผิดของลูกน้องเพราะว่าผมเป็นหัวหน้าแผนก
“คือว่าแผนงานนี้ต้องใช้งบประมาณเกินกว่ายี่สิบเปอร์เซ็นต์นี่ครับ แล้วผลตอบแทนก็น้อยไม่คุ้มกับค่างบประมาณ แถมยังเสี่ยงต่อการตลาดด้วยนะครับ นายวิรัชก็ยังบอกผมเลยตอนที่เราประชุมแผนงานกัน” ผมว่าพลางอ้างถึงวิรัชที่มีตำแหน่งน่าเชื่อถือเพราะเป็นถึงหัวหน้าแผนกการตลาด
“แต่เรื่องนี้เราถูกคอมเมนต์ลงมาจากหุ้นส่วนอีกทีนะ ให้คุณช่วยกลับไปพิจารณาอีกทีจะได้มั้ย เปลี่ยนนิดหน่อยก็คงได้ ไม่ได้กำไรไม่เป็นไรแค่เท่าตัวก็พอ จะได้ไม่ต้องเสียหุ้นส่วนรายใหญ่” ในเมื่อหัวหน้าพูดลงมาแบบนี้ผมก็เลยได้แต่ครับๆแล้วก้มหน้าก้มตาทำงาน กว่าจะกลับถึงบ้านก็ราวๆสี่ทุ่มเกือบห้าทุ่ม
“วันนี้กลับช้ากว่าปกตินะครับ” นายซันถามผม ผมเลยได้แต่พยักหน้าเงียบๆเพราะกดดันเรื่องงานมากทีเดียว
“นายล่ะ ห้าทุ่มแล้วมานั่งรอฉันกินข้าวทำไม เป็นเด็กเป็นเล็กก็ต้องดูแลตัวเองหน่อย ใครเขาจะหาว่าฉันดูแลไม่ดีเอาได้นะ” ผมว่า
“พี่หนึ่ง ผมบอกกี่ทีแล้วน่ะว่าผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ” นายซันงอนผมอีกแล้ว แต่คราวนี้ผมไม่ได้ง้อเขาเหมือนทุกครั้งเพราะว่าผมก็หงุดหงิดพอสมควร
“แล้วที่นายทำอยู่ งอนฉันอยู่นี่เขาไม่เรียกว่าเด็กรึไงล่ะ”
“ผมไม่ใช่เด็ก ผมเป็นเด็กของใครก็ได้ที่ไม่ใช่พี่ ต้องไม่ใช่พี่ที่มองว่าผมเด็ก” สีหน้าแววตาที่เจ้าเด็กนี่พูดดูเอาจริงเอาจังมากทีเดียว
“แล้วนายไม่ใช่น้องพี่รึไง ถ้านายไม่ใช่เด็กของพี่แล้วนายเป็นอะไรล่ะ อย่าพูดเอาแต่ใจตัวเองจะได้ไหม” ผมถามกลับเข้าให้ รู้สึกว่าวันนี้มีแต่เรื่องๆๆ แล้วก็รู้สึกว่าเจ้าหนูนี่ชักจะเอาแต่ใจใหญ่
“ก็พี่สัญญากับผมไว้แล้วว่าจะเป็นภรรยาของผม ผมก็ต้องเป็นสามีพี่สิครับ” ซันพูดสีหน้าจริงจังซ้ำยังบ่งบอกถึงความไม่พอใจเลยสักนิด
“โอ้ย...ฉันไปสัญญากับนายตอนไหนกัน เลิกทำตัวโวยวายซะทีเถอะ นายเป็นผู้ชายฉันก็ผู้ชายจะมาเป็นสามีภรรยากันได้ยังไงเล่า ฟ้าผ่าตายชักเลยมั้งน่ะ เลิกยึดติดกับสัญญาที่ฉันจำไม่ได้แล้วซะทีจะได้ไหม”
“ไม่ครับ...พี่หนึ่งจำอะไรเกี่ยวกับผมไม่ได้เลยซักนิด แล้วก็ยังเข้าใจผิดว่าผมเป็นผู้หญิงอีก ทั้งๆที่ผมจำเรื่องของพี่ได้แม่นยำมาตลอดเวลา” ผมว่านี่ชักจะไปกันใหญ่แล้ว ปวดหัวเรื่องงานแล้วจะต้องมาปวดหัวเรื่องเจ้าเด็กนี่ด้วยรึไงกัน ผมเลยเดินหนีเข้าห้องนอน คิดว่าพอพรุ่งนี้เจ้าเด็กนี่อาจจะฟังรู้เรื่องขึ้นมาบ้าง
พอรุ่งเช้าเจ้าหนูก็ไม่ได้ออกไปวิ่ง เขารอทานข้าวเช้ากับผม เขาพูดว่าขอโทษที่ว่าผม เขารู้ว่าผมอารมณ์ไม่ดีก็ยังมาหาเรื่องให้ผมอีก แต่เขาขอให้ผมไม่พูดว่าเขาเด็กอีก ซึ่งผมที่ไม่อยากจะทะเลาะอะไรกับเจ้าหนุ่มนี่ก็ตกปากรับคำเออๆออๆไป เด็กวัยรุ่นสมัยนี้เข้าใจยากจริงๆ
ความคิดเห็น