คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1
...คือว่าเรื่องนี้ได้อิทธิพลทางความคิดมาจากเรื่องหนึ่งที่เคยอ่านเต็มๆ ต้องขอโทษไว้แต่เนิ่นๆนะคะหากว่ามันคล้ายนิดหน่อย แต่รับรองว่าไม่เหมือนหรอกสาบาน คือว่าจำชื่อเรื่องนั้นที่เคยอ่านไม่ได้แล้ว ถ้ายังไงใครที่เคยอ่านเรื่องคล้ายๆแบบนี้ก็บอกมาบ้างนะคะ...
___________________________________________________
บทที่ 1
เสียงกริ่งยามเช้าดังขึ้นทำให้ผมซึ่งกำลังนอนงัวเงียอยู่บนที่นอนต้องพยายามทำใจลุกขึ้นมาเปิดประตูบ้านที่ลงกลอนไว้อย่างหนาแน่น ผมเปิดประตูโดยที่ยังมีโซ่คล้องอยู่ สมัยนี้เรื่องพวกมิจฉาชีพก็เพิ่มขึ้นมากจนไว้ใจไม่ได้แล้ว และที่สำคัญก็คือบ้านหลังนี้ผมอยู่คนเดียวเสียด้วย ถ้าเกิดมีการบุกปล้นกันขึ้นมาผมคงจะแย่แน่ๆ
ทันทีที่ประตูแง้มออกผมก็ส่องสายตาหาผู้มาเยือน แต่ก็ไม่พบกับใครเลย นี่อาจจะเป็นคนมือบอนมากดกกริ่งเล่นอีกแล้วแน่ๆ ผมถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย ชีวิตพนักงานบริษัทอย่างผมมันไม่ใช่ง่ายๆที่จะหาวันหยุดพักผ่อน แล้วนี่ผมยังนอนไม่เต็มอิ่มด้วยซ้ำ ทำไมผมจะต้องมาเจอคนแกล้งอย่างนี้ด้วยนะ ผมเลยปิดประตูลงทันที
ทันใดนั้นเสียงกริ่งก็ดังขึ้นอีก ผมโมโหมากทีเดียวก็เลยเปิดประตูออกไปดูซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่ยังไม่ทันที่จะได้เดินออกไปประตูก็กลับถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง แล้วทันใดนั้นก็มีร่างของชายหนุ่มโถมทับเข้ามากอดผมแน่น ผมที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็เซล้มลงกับพื้นบ้าน
“อะ...อะไรกันเนี่ย” ผมร้องอุทานอย่างตกใจเมื่อจู่ๆก็ถูกกอด แถมคนที่กอดผมยังเป็นผู้ชายเสียอีก ผมพยายามดิ้นและพยายามควานหาของป้องกันตัวแต่ก็คว้าได้แต่แค่ความว่างเปล่า ผมเลยได้แต่พยายามดันร่างตรงหน้าที่ยังกอดผมไม่เลิก แต่ในเมื่อคนที่กอดผมตัวใหญ่กว่าผม แถมยังแรงเยอะอีกผมเลยตัดสินใจถีบเขาออกไป
ตุบ
เสียงของผู้บุกรุกกระเด็นไปกระทบประตู ไม่แรงมากแต่ก็คงเจ็บพอดูเหมือนกัน
“อูย... เจ็บนะครับคุณหนึ่ง ถีบผมมาซะได้” ชายคนนั้นร้องโอดโอยกับพื้นแถมยังพูดจาออดอ้อนไม่สมกับรูปร่างซักนิดว่าผม ผมเลยมีโอกาสได้ลอบมองชายคนนี้ หน้าตาของเขาดูเหมือนหนุ่มยุโรปขนานแท้ ผิวสีขาวคล้ำแบบกรำแดดอย่างนักกีฬา นัยน์ตาสีน้ำตาลมีแววประกายขี้เล่นส่องออกมา ผมสีดำยาวระคอพองาม หน้าตาหล่อขนาดเป็นดาราหนังได้สบายๆเลยทีเดียว
“นายเป็นใคร รู้ชื่อฉันได้ยังไง” ผมถามออกไป งงเหมือนกันว่าเจ้าหนุ่มหน้ายุโรปแต่พูดไทยชัดแจ๋วนี้มารู้ชื่อผมได้อย่างไรกัน
“โถ่ คุณหนึ่งก็ทำเป็นจำผมไม่ได้ แต่ไม่เป็นไรครับผมนะจำคุณได้เสมอล่ะ” ชายหนุ่มตอบยิ้มๆก่อนจะวางเป้ที่เขาสะพายอยู่บนหลังลงและถอดรองเท้าเตรียมตัวจะเข้ามาในบ้านของผมเต็มที่
“เดี๋ยวๆๆ หยุดอยู่ตรงนั้นล่ะ” ผมรีบกันเขาทันที เรื่องอะไรจะให้เขาเข้ามาในบ้านง่ายๆ แค่ทำเป็นรู้จักผมแล้วจะเข้ามาในบ้านก็อย่าหวังเลย ดีไม่ดีถ้าเจ้านี้เป็นพวกสิบแปดมงกุฎมาลักเอาของในบ้านผมไปจะว่ายังไง
“ทำไมละครับ” ชายหนุ่มคนนั้นถามพร้อมกับทำสายตาวิงวอนขี้เล่นมาให้ผม สายตาอย่างนี้ทำให้ผมนึกถึงเด็กน้อยคนหนึ่ง เหมือนมากทีเดียว
“ยังจะมาถามอีก นายเป็นใครจะเข้ามาบ้านฉันได้ยังไง แค่รู้จักชื่อฉันอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ นายอาจจะไปหลอกถามคนแถวๆนี้มาก็ได้” ผมกล่าว แต่เจ้านั่นกลับมีประกายหัวเราะในตา
“งั้นเอาใหม่นะ คุณชื่อหนึ่ง ชื่อจริงก็นายประกายพฤกษ์ เกิดวันที่สิบสามเดือนตุลาคม อายุยี่สิบห้าปี เป็นลูกคนเดียว พ่อแม่เสียแล้ว จบปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ ตอนนี้ทำงานแล้วมีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าแผนกแผนงานธุรกิจของธนาคารชื่อดัง เงินเดือนราวๆเจ็ดหมื่นบาทได้ แล้วก็...”
“พอๆ ไม่ต้องสาธยายแล้ว ฉันไม่ได้อยากจะฟังประวัติส่วนตัวของฉันหรอกนะ” ผมว่า เอากับเจ้านี่สิ ไปสืบประวัติผมมาจากไหนล่ะนี่ หน้าตาก็ดีไม่น่าจะมาเป็นพวกสิบแปดมงกุฎเลย
“อ้าว ก็คุณหนึ่งบอกว่าแค่ชื่อคุณไม่พอไงครับ” เจ้าหนุ่มหน้าฝรั่งทำหน้าตาใสซื่ออีกแล้ว ผมอดคิดไม่ได้ว่าเขาอาจจะมาด้วยความบริสุทธิ์ใจก็เป็นได้
“นายนี่...เอาเป็นว่า...นายเป็นใคร รู้ชื่อฉันกับประวัติฉันได้ยังไง” ผมถามเสียงเข้มเมื่อเริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมานิดๆที่ต้องตื่นเช้าในวันหยุด แถมยังต้องมาเจอคนประหลาดๆนี่อีก
“คุณจำผมไม่ได้จริงๆด้วยอ่ะ ผมชื่อซันไงครับ” ผมพยายามนึกถึงคนที่ชื่อซัน แต่นึกเท่าไหร่ก็ไม่มีเจ้าหมอนี่อยู่ในหัวสมองเลย
“ยังจำไม่ได้อีกหรอ อ่ะเนี่ย...ของที่คุณหนึ่งให้ผมก่อนที่คุณจะกลับเมืองไทยครับ” นายซันล้วงเอารูปผมสมัยเด็กรูปหนึ่งขึ้นมา ผมมองดู นั่นเป็นรูปที่ผมถ่ายไว้กับลูกครึ่งสาวน่ารักคนหนึ่ง เธอชื่อเอล็กซานเดรีย ซึ่งนานมาแล้วสมัยตอนที่พ่อกับแม่ผมยังไม่ตาย ตอนนั้นท่านได้พาผมที่อายุได้ประมาณสิบสามปีไปที่บ้านของเพื่อนท่านที่อยู่ที่ประเทศอังกฤษ แล้วผมก็ได้เจอกับเอล็กซานเดรีย เธอเป็นลูกของเพื่อนพ่อของผมอายุของเธอตอนนั้นก็ราวๆเจ็ดขวบได้
“นายรู้จักกับเอล็กซานเดรียด้วยหรอ” ผมถามนายซัน
“เฮ้อ ผมบอกคุณขนาดนี้แล้วคุณยังจำผมไม่ได้อีกหรอครับ ผมเนี่ยแหละเอล็กซานเดรีย” เด็กนั่นว่า ผมว่าเจ้าซันคงต้องหลอกผมแน่ๆ เอล็กซานเดรียหนูน้อยแสนน่ารักนั่นจะโตขึ้นมาเป็นผู้ชายร่างกายกำยำคนนี้ได้ยังไงเล่า
“ได้ยังไงล่ะ ก็เด็กนั่นเป็นผู้หญิงนี่นา อย่าบอกนะว่าเธอเป็น...”
“ครับ เด็กนั่นของคุณหรือผมคนเนี้ย เป็นผู้ชายครับ ผมชื่อเต็มว่าเอล็กซานเดรีย หรือซันครับ” พอเจ้าหนุ่มซันพูดจบผมก็แทบจะล้มลงเพราะความมึนหัวจนนายซันต้องเข้ามาประคองแล้วพาผมไปนั่งที่โซฟาในห้องรับแขก
“คุณหนึ่งตกใจมากเลยหรอครับที่ผมเป็นผู้ชายน่ะ” นายซันถาม ท่าทางเขาเป็นห่วงผมมากทีเดียว
“เปล่าๆ ฉันเป็นโรคความดันต่ำน่ะแล้วก็สงสัยว่าเมื่อคืนคงจะนอนไม่พอ” ผมว่า ผมเองเป็นโรคความดันต่ำนี่มาตอนราวๆอายุสิบแปด ตอนนั้นเรียนรักษาดินแดนอยู่แล้วล้มพับไปเลย ตื่นอีกทีก็ที่โรงพยาบาล หมอบอกว่าผมเป็นโรคความดันต่ำ ห้ามทำงานที่ต้องใช้แรงมาก ต้องนอนให้เพียงพอไม่อย่างนั้นเวลาตื่นเช้าจะมีอาการหน้ามืด แล้วก็โรคของผมเป็นโรคที่ไม่ค่อยอยากอาหารเช้า แต่คุณหมอบังคับให้ทานทุกเช้า จนกระทั่งผมอายุได้ยี่สิบสองพ่อกับแม่ก็จากไปด้วยอุบัติเหตุ หลังจากนั้นมาผมก็ไม่ค่อยมีเวลาดูและตัวเองเท่าไหร่
“คุณเป็นโรคความดันต่ำด้วยหรือครับ มิน่าล่ะตัวคุณถึงได้ผอมบาง แถมหน้าตาก็ไม่สดชื่นเลยซักนิด คุณต้องทำงานหนักแน่ๆเลย เอาอย่างนี้ไหมครับ คุณกลับขึ้นไปนอนซะแล้วเดี๋ยวพอคุณตื่นขึ้นมาค่อยทานอาหารนะครับ”
“แต่...”
“นะครับ คุณไม่ต้องกลัวว่าผมจะมาขโมยหรืออะไรทั้งนั้นล่ะ ผมเป็นลูกของพ่ออลันกับแม่จำเนียรที่เป็นเพื่อนของพ่อกับแม่คุณจริงๆครับแต่ก่อนผมตัวเล็กหน้าหวานท่านก็เลยชอบจับผมแต่งเป็นผู้หญิงเพราะอยากมีลูกสาว พอคุณมาก็ทึกทักไปเองว่าผมเป็นผู้หญิง แล้วเรื่องอื่นๆเราค่อยมาคุยกันหลังจากคุณตื่นและทานอาหารเสร็จนะครับคุณหนึ่ง” พูดไม่พูดเปล่าเจ้าเด็กซันก็เอามือรุนหลังผมให้เข้าห้องนอน ผมที่ตอนแรกว่าจะต่อต้านซักหน่อยกลับมีอาการงัวเงียมากกว่าเดิม ผมเลยยอมทำตามแต่โดยดีและล้มตัวลงนอนที่ใช้เวลาไม่นานก็หลับไป
ผมตื่นอีกครั้งด้วยอารมณ์ที่แจ่มใสกว่าเดิมพลางเดินเข้าไปอาบน้ำที่ห้องน้ำภายในห้อง ผมแต่งตัวด้วยชุดอยู่บ้านสบายๆแล้วเดินออกมาจากห้องนอน ทันทีที่เดินออกมาผมก็ได้กลิ่นอาหารหอมฟุ้งกระจายทันที ผมมองไปยังด้านหลังเคาน์เตอร์ครัว เจ้าเด็กซันนั่นเองกำลังทำอาหารอยู่ด้วยท่าทางชำนิชำนาญเหลือเกิน
“อ้าว ตื่นแล้วหรอครับคุณหนึ่ง ผมคิดว่าคุณจะหลับนานกว่านี้เสียอีก นี่เพิ่งแปดโมงครึ่ง ผ่านไปสองชั่วโมงเองนี่ครับ” เจ้าเด็กซันถามผมด้วยท่าทางติเตียน
“ฉันนอนไม่ค่อยนานหรอก ตื่นเช้าซะจนเคยชิน เออนี่แล้วตกลงนาย...”
“ค่อยถามครับ ทานอาหารเช้าก่อนนะ” นายซันว่าพลางกุลีกุจอยกจานกับข้าวมาวางให้ผมซะเป็นเรื่องเป็นราว พอผมจะเข้าไปช่วยยกจานนายซันก็ห้าม เขาบอกให้ผมอยู่เฉยๆจนในที่สุดทุกอย่างก็เรียบร้อย เขามานั่งข้างๆผม
“นายไม่ทานหรือ” ผมถามซัน เพราะว่าผมไม่เห็นเขาจะตักจานข้าวของเขาเลย
“ไม่หรอกครับ ผมอยากนั่งดูคุณทานมากกว่า” นายซันพูดยิ้มๆ ประกายตาแวววาวทีเดียว
“ไม่ได้ๆ นายทำก็ต้องได้ทานด้วยสิ อีกอย่างฉันไม่ชอบให้คนมาจ้องเวลาทานข้าวหรอกนะ” ผมว่า เจ้าหนูซันเลยเดินไปตักข้าวของตัวเองมาและนั่งกินกับผม ไม่นานผมก็อิ่มเด็กนั่นพอเห็นผมอิ่มแล้วก็ประท้วงทันที
“ก็ฉันอิ่มแล้วนี่” ผมกล่าว
“อิ่มหรอครับ คุณหนึ่งอิ่มได้ยังไงกันเพิ่งทานไปแค่สองสามคำเอง แล้วเนี่ยมีทั้งแกงจืดวุ้นเส้น ผัดผักรวมมิตร แล้วก็ผัดเปรี้ยวหวาน กับไข่เจียว อาหารครบห้าหมู่พอดีแถมยังดีต่อสุขภาพด้วยนะครับ อ๊ะ...หรือที่คุณทานน้อยเพราะว่าฝีมือผมไม่อร่อยน่ะ” นายซันถามนั่นถามนี่ซ่อกแซ่ก ราวกับเป็นห่วงสุขภาพผมมากมายประมาณนั้น
“ไม่หรอก ฝีมือนายอร่อยดี เพียงแต่ฉันไม่ค่อยอยากอาหารเช้าน่ะ ปกติก็ไม่ค่อยทานหรอก แค่กาแฟกับขนมปังแค่นั้นล่ะ” ผมอธิบาย แต่ดูเหมือนเด็กนั่นจะไม่พอใจอย่างมากทีเดียว
“คุณหนึ่งทานแค่นี้เองหรอครับ แล้วมือกลางวันล่ะ แล้วมื้อเย็นล่ะ อย่าบอกนะครับว่าทานพวกอาหารกึ่งสำเร็จรูปที่ผมพบในครัวน่ะ”
“มื้อกลางวันทานที่ทำงาน สั่งเอา ส่วนมื้อเย็นก็พวกนั้นแหละ” ผมบอก เอ๊ะ แล้วทำไมผมจะต้องมานั่งตอบคำถามของเจ้าเด็กที่บุกรุกบ้านผมด้วย ทั้งๆที่ผมน่าจะเป็นฝ่ายถามมากกว่านะ
“ไม่ได้นะครับคุณหนึ่ง คุณยิ่งเป็นโรคความดันต่ำแถมยังทำงานหนักอีก แล้วดูสิ ร่างกายก็ผอมบาง แรงก็ไม่ค่อยมีแถมยังน่ารักอีกต่างหาก ถ้าถูกคนทำมิดีมิร้ายก็ไม่มีแรงป้องกันตัวเองน่ะสิครับ แล้ว...แล้ว”
“พอๆๆ หยุดพูดซะทีฉันเวียนหัว แล้วที่ว่าฉันว่าน่ารักนั่นมันอะไรกันฮึ” ผมถาม ผมไม่คิดหรอกว่าผมน่ารักยังไง พวกผู้หญิงก็บอกว่าผมหล่อนี่นา เอ่อ ผมหมายถึงแฟนที่ผมเคยๆคบมาเขาก็ว่าอย่างนั้นนี่นา
“ก็แหม...คุณหนึ่งหน้าก็หวาน ตัวก็เล็กผอมบาง” นายซันพูดยิ้มๆ
“พอเลยๆ ฉันสูงร้อยเจ็ดสิบแปดหนักห้าสิบห้าเนี่ยนะตัวเล็ก ที่ฉันตัวเล็กก็เพราะนายเอาเกณฑ์ของนายมาวัดล่ะมั้ง” ผมว่าไปเพราะเจ้าคนที่บอกว่าผมตัวเล็กสูงราวๆร้อยเก้าสิบจะได้ ไม่ว่าเป็นใครก็คงต้องตัวเล็กสำหรับเจ้าเด็กนี่อยู่หรอก แต่เจ้าเด็กซันก็เอาแต่ก้มหน้านับนิ้วทำปากขมุบขมิบ
“นั่นไงครับ คุณน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ไปตั้งเจ็ดกิโล” นายซันโผล่งขึ้นมาทำเอาผมถึงกับตบหน้าผากตัวเองเบาๆไปทีหนึ่ง นี่มันอะไรกันเนี่ยเจ้าเด็กคนนี้
“พอเลยๆ อันที่จริงนายจะเซ้าซี้เรื่องฉันทำไมฮึ”
“ก็ผมจะมาอยู่กับคุณนี่นา” เจ้าหนุ่มลูกครึ่งยิ้มแป้นทำเอาผมเกือบตกเก้าอี้ไป
“นายว่าอะไรนะ” ผมได้ยันชัดแล้วล่ะ เพียงแต่ต้องการได้ฟังอีกครั้งกลัวว่าหูของตัวเองจะฝาดไป
“ก็เมื่อเดือนก่อนไงครับ คุณไม่ได้รับจดหมายรึไงจากพ่อของผมน่ะ ผมจะมาอยู่ที่ประเทศไทยเพื่อทำวิทยานิพนธ์และก็เป็นโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษากับคนไทยที่นี่ด้วยครับ” นายซัน กล่าว ผมเลยนึกออก เมื่อเดือนที่แล้วผมได้รับจดหมายจากคุณอา อลันจริง เพียงแต่ผมนึกว่าเอล็กซานเดรียเป็นผู้หญิงคงจะไม่เหมาะที่จะมาอยู่บ้านกับชายหนุ่มโสดอย่างผม ผมก็เลยจัดแจงหาหอพักหญิงให้ซะเรียบร้อยแล้วก็ทำงานยุ่งจนลืมไปเลย
“อ๋อ...จำได้แล้ว แต่ว่าฉันจองห้องของหอพักหญิงให้นายนี่นา ทำยังไงดีล่ะ”
“โทรไปยกเลิกได้เลยครับ ผมจะอยู่กับคุณ... นะครับ คุณหนึ่ง ผมรับรองว่าจะไม่ทำให้คุณลำบากใจหรอกนะครับ เงินค่าเรียนพ่อผมก็ส่งมาให้ ค่ากินอยู่ผมก็ทำงานพิเศษได้ นะครับ นะนะ” เจ้าเด็กซันอ้อนผมเมื่อเห็นสีหน้าของผม ผมก็เป็นโรคแพ้ลูกตื้อซะด้วยสิ
“อ่ะๆๆ อยู่ ก็อยู่” พอผมพูดจบเจ้าเด็กนี่ก็ร้องดีใจใหญ่พลางคว้าตัวผมไปกอด แล้วก็หอมแก้มผมฟอดนึง...
เห้ย!!!
หอม
หอมแก้ม...
“ทะ...ทำอะไรน่ะ” ผมถาม ในชีวิตเคยแต่ให้ผู้หญิงหอม ไม่เคยคิดหรอกว่าวันนึงจะต้องมาเสียแก้มให้ผู้ชายหอม
“อ่ะ...อ้าว ลืมไปเลยครับ คนไทยเขาไม่หอมแก้มกันนี่นา ฮะๆ” เจ้าหนุ่มซันหัวเราะเจื่อนๆเมื่อเห็นหน้าตากับท่าทางของผม
“อย่าลืมบ่อยก็แล้วกันเพราะนี่ไม่ใช่อังกฤษที่นายเคยอยู่แต่เป็นเมืองไทย ทำอะไรก็ต้องแคร์สังคม จะมากอดมาหอมใครไปทั่วเหมือนที่เคยทำน่ะไม่ได้หรอกนะ แล้วนี่เราอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ ไปฝึกพูดภาษาไทยมาจากไหนคล่องเชียว” ผมได้โอกาสก็สอนพลางถามเจ้าเด็กหนุ่มที่โตแต่ตัว
“แหม คุณหนึ่งบ่นเก่งจัง ผมอายุสิบเก้าแล้ว แล้วก็ผมมีแม่เป็นคนไทยอย่าลืมสิครับ อ้อ ผมลืมบอกคุณหนึ่งนะครับ ผมมาที่นี่ด้วยเหตุผลอีกประการครับ” เจ้าหนุ่มซันว่า ผมเลยเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เจ้าหนุ่มซันเลยยิ้มๆ
“ก็มาทวงสัญญาจากคุณหนึ่งไงครับ คุณเคยสัญญากับผมนี่ว่าจะเป็นภรรยาผมน่ะ”
“เฮ้ย...สัญญาบ้าบออะไรกันน่ะ” ผมดีดตัวลุกขึ้นทันที แม้จะไม่ได้รังเกียจเกย์แต่ว่าผมก็ไม่เคยคิดจะหันมารักมาชอบกับผู้ชายด้วยกันแม้แต่น้อย
“แหม...ผมล้อเล่นครับคุณหนึ่งทำจริงจังไปได้” เด็กซันหัวเราะคิกคักก่อนจะคะยั้นคะยอให้ผมทานอาหารเช้าอีก ซึ่งผมก็ทำตามไม่อยากฟังเหตุผลที่เจ้าหนูนี่ยกขึ้นมาอ้างอีก เพราะรู้สึกว่าพอเถียงกับเจ้าหนูนี่ทีไรผมล่ะแพ้ทุกที
ความคิดเห็น