ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ...We Want To Love... #@# ร้ายรักพันเล่มเกวียน #@# yaoi

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 26 ต.ค. 49


    ...คือว่าเรื่องนี้ได้อิทธิพลทางความคิดมาจากเรื่องหนึ่งที่เคยอ่านเต็มๆ ต้องขอโทษไว้แต่เนิ่นๆนะคะหากว่ามันคล้ายนิดหน่อย แต่รับรองว่าไม่เหมือนหรอกสาบาน คือว่าจำชื่อเรื่องนั้นที่เคยอ่านไม่ได้แล้ว ถ้ายังไงใครที่เคยอ่านเรื่องคล้ายๆแบบนี้ก็บอกมาบ้างนะคะ...

    ___________________________________________________


    บทที่ 1

     

     

             

                    เสียงกริ่งยามเช้าดังขึ้นทำให้ผมซึ่งกำลังนอนงัวเงียอยู่บนที่นอนต้องพยายามทำใจลุกขึ้นมาเปิดประตูบ้านที่ลงกลอนไว้อย่างหนาแน่น  ผมเปิดประตูโดยที่ยังมีโซ่คล้องอยู่ สมัยนี้เรื่องพวกมิจฉาชีพก็เพิ่มขึ้นมากจนไว้ใจไม่ได้แล้ว และที่สำคัญก็คือบ้านหลังนี้ผมอยู่คนเดียวเสียด้วย  ถ้าเกิดมีการบุกปล้นกันขึ้นมาผมคงจะแย่แน่ๆ

     

     

                    ทันทีที่ประตูแง้มออกผมก็ส่องสายตาหาผู้มาเยือน  แต่ก็ไม่พบกับใครเลย   นี่อาจจะเป็นคนมือบอนมากดกกริ่งเล่นอีกแล้วแน่ๆ  ผมถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย  ชีวิตพนักงานบริษัทอย่างผมมันไม่ใช่ง่ายๆที่จะหาวันหยุดพักผ่อน  แล้วนี่ผมยังนอนไม่เต็มอิ่มด้วยซ้ำ  ทำไมผมจะต้องมาเจอคนแกล้งอย่างนี้ด้วยนะ ผมเลยปิดประตูลงทันที

     

                    ทันใดนั้นเสียงกริ่งก็ดังขึ้นอีก  ผมโมโหมากทีเดียวก็เลยเปิดประตูออกไปดูซะให้รู้แล้วรู้รอด  แต่ยังไม่ทันที่จะได้เดินออกไปประตูก็กลับถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง  แล้วทันใดนั้นก็มีร่างของชายหนุ่มโถมทับเข้ามากอดผมแน่น ผมที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็เซล้มลงกับพื้นบ้าน

     

     

                    อะ...อะไรกันเนี่ย ผมร้องอุทานอย่างตกใจเมื่อจู่ๆก็ถูกกอด แถมคนที่กอดผมยังเป็นผู้ชายเสียอีก  ผมพยายามดิ้นและพยายามควานหาของป้องกันตัวแต่ก็คว้าได้แต่แค่ความว่างเปล่า  ผมเลยได้แต่พยายามดันร่างตรงหน้าที่ยังกอดผมไม่เลิก  แต่ในเมื่อคนที่กอดผมตัวใหญ่กว่าผม แถมยังแรงเยอะอีกผมเลยตัดสินใจถีบเขาออกไป

     

                    ตุบ

     

                    เสียงของผู้บุกรุกกระเด็นไปกระทบประตู ไม่แรงมากแต่ก็คงเจ็บพอดูเหมือนกัน

     

                    อูย... เจ็บนะครับคุณหนึ่ง ถีบผมมาซะได้ ชายคนนั้นร้องโอดโอยกับพื้นแถมยังพูดจาออดอ้อนไม่สมกับรูปร่างซักนิดว่าผม  ผมเลยมีโอกาสได้ลอบมองชายคนนี้  หน้าตาของเขาดูเหมือนหนุ่มยุโรปขนานแท้ ผิวสีขาวคล้ำแบบกรำแดดอย่างนักกีฬา นัยน์ตาสีน้ำตาลมีแววประกายขี้เล่นส่องออกมา ผมสีดำยาวระคอพองาม หน้าตาหล่อขนาดเป็นดาราหนังได้สบายๆเลยทีเดียว

     

                    นายเป็นใคร รู้ชื่อฉันได้ยังไง ผมถามออกไป  งงเหมือนกันว่าเจ้าหนุ่มหน้ายุโรปแต่พูดไทยชัดแจ๋วนี้มารู้ชื่อผมได้อย่างไรกัน

     

                    โถ่  คุณหนึ่งก็ทำเป็นจำผมไม่ได้ แต่ไม่เป็นไรครับผมนะจำคุณได้เสมอล่ะ ชายหนุ่มตอบยิ้มๆก่อนจะวางเป้ที่เขาสะพายอยู่บนหลังลงและถอดรองเท้าเตรียมตัวจะเข้ามาในบ้านของผมเต็มที่

     

                    เดี๋ยวๆๆ  หยุดอยู่ตรงนั้นล่ะ ผมรีบกันเขาทันที  เรื่องอะไรจะให้เขาเข้ามาในบ้านง่ายๆ  แค่ทำเป็นรู้จักผมแล้วจะเข้ามาในบ้านก็อย่าหวังเลย ดีไม่ดีถ้าเจ้านี้เป็นพวกสิบแปดมงกุฎมาลักเอาของในบ้านผมไปจะว่ายังไง

     

                    ทำไมละครับ ชายหนุ่มคนนั้นถามพร้อมกับทำสายตาวิงวอนขี้เล่นมาให้ผม สายตาอย่างนี้ทำให้ผมนึกถึงเด็กน้อยคนหนึ่ง เหมือนมากทีเดียว

     

                    ยังจะมาถามอีก นายเป็นใครจะเข้ามาบ้านฉันได้ยังไง แค่รู้จักชื่อฉันอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ นายอาจจะไปหลอกถามคนแถวๆนี้มาก็ได้ ผมกล่าว  แต่เจ้านั่นกลับมีประกายหัวเราะในตา

     

                    งั้นเอาใหม่นะ คุณชื่อหนึ่ง ชื่อจริงก็นายประกายพฤกษ์  เกิดวันที่สิบสามเดือนตุลาคม อายุยี่สิบห้าปี เป็นลูกคนเดียว พ่อแม่เสียแล้ว จบปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ ตอนนี้ทำงานแล้วมีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าแผนกแผนงานธุรกิจของธนาคารชื่อดัง เงินเดือนราวๆเจ็ดหมื่นบาทได้  แล้วก็...

     

              พอๆ ไม่ต้องสาธยายแล้ว ฉันไม่ได้อยากจะฟังประวัติส่วนตัวของฉันหรอกนะ ผมว่า เอากับเจ้านี่สิ  ไปสืบประวัติผมมาจากไหนล่ะนี่  หน้าตาก็ดีไม่น่าจะมาเป็นพวกสิบแปดมงกุฎเลย

     

                    อ้าว ก็คุณหนึ่งบอกว่าแค่ชื่อคุณไม่พอไงครับ เจ้าหนุ่มหน้าฝรั่งทำหน้าตาใสซื่ออีกแล้ว ผมอดคิดไม่ได้ว่าเขาอาจจะมาด้วยความบริสุทธิ์ใจก็เป็นได้

     

                    นายนี่...เอาเป็นว่า...นายเป็นใคร รู้ชื่อฉันกับประวัติฉันได้ยังไง ผมถามเสียงเข้มเมื่อเริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมานิดๆที่ต้องตื่นเช้าในวันหยุด  แถมยังต้องมาเจอคนประหลาดๆนี่อีก

     

                    คุณจำผมไม่ได้จริงๆด้วยอ่ะ ผมชื่อซันไงครับ ผมพยายามนึกถึงคนที่ชื่อซัน แต่นึกเท่าไหร่ก็ไม่มีเจ้าหมอนี่อยู่ในหัวสมองเลย

     

                    ยังจำไม่ได้อีกหรอ อ่ะเนี่ย...ของที่คุณหนึ่งให้ผมก่อนที่คุณจะกลับเมืองไทยครับ นายซันล้วงเอารูปผมสมัยเด็กรูปหนึ่งขึ้นมา  ผมมองดู  นั่นเป็นรูปที่ผมถ่ายไว้กับลูกครึ่งสาวน่ารักคนหนึ่ง  เธอชื่อเอล็กซานเดรีย  ซึ่งนานมาแล้วสมัยตอนที่พ่อกับแม่ผมยังไม่ตาย ตอนนั้นท่านได้พาผมที่อายุได้ประมาณสิบสามปีไปที่บ้านของเพื่อนท่านที่อยู่ที่ประเทศอังกฤษ  แล้วผมก็ได้เจอกับเอล็กซานเดรีย  เธอเป็นลูกของเพื่อนพ่อของผมอายุของเธอตอนนั้นก็ราวๆเจ็ดขวบได้

     

                    นายรู้จักกับเอล็กซานเดรียด้วยหรอ ผมถามนายซัน

     

                    เฮ้อ ผมบอกคุณขนาดนี้แล้วคุณยังจำผมไม่ได้อีกหรอครับ ผมเนี่ยแหละเอล็กซานเดรีย เด็กนั่นว่า ผมว่าเจ้าซันคงต้องหลอกผมแน่ๆ  เอล็กซานเดรียหนูน้อยแสนน่ารักนั่นจะโตขึ้นมาเป็นผู้ชายร่างกายกำยำคนนี้ได้ยังไงเล่า

     

     

              ได้ยังไงล่ะ ก็เด็กนั่นเป็นผู้หญิงนี่นา อย่าบอกนะว่าเธอเป็น...

     

     

                    ครับ เด็กนั่นของคุณหรือผมคนเนี้ย  เป็นผู้ชายครับ ผมชื่อเต็มว่าเอล็กซานเดรีย หรือซันครับ พอเจ้าหนุ่มซันพูดจบผมก็แทบจะล้มลงเพราะความมึนหัวจนนายซันต้องเข้ามาประคองแล้วพาผมไปนั่งที่โซฟาในห้องรับแขก

     

                    คุณหนึ่งตกใจมากเลยหรอครับที่ผมเป็นผู้ชายน่ะ นายซันถาม ท่าทางเขาเป็นห่วงผมมากทีเดียว

     

                    เปล่าๆ ฉันเป็นโรคความดันต่ำน่ะแล้วก็สงสัยว่าเมื่อคืนคงจะนอนไม่พอ ผมว่า  ผมเองเป็นโรคความดันต่ำนี่มาตอนราวๆอายุสิบแปด ตอนนั้นเรียนรักษาดินแดนอยู่แล้วล้มพับไปเลย ตื่นอีกทีก็ที่โรงพยาบาล  หมอบอกว่าผมเป็นโรคความดันต่ำ ห้ามทำงานที่ต้องใช้แรงมาก ต้องนอนให้เพียงพอไม่อย่างนั้นเวลาตื่นเช้าจะมีอาการหน้ามืด  แล้วก็โรคของผมเป็นโรคที่ไม่ค่อยอยากอาหารเช้า แต่คุณหมอบังคับให้ทานทุกเช้า จนกระทั่งผมอายุได้ยี่สิบสองพ่อกับแม่ก็จากไปด้วยอุบัติเหตุ  หลังจากนั้นมาผมก็ไม่ค่อยมีเวลาดูและตัวเองเท่าไหร่

     

                    คุณเป็นโรคความดันต่ำด้วยหรือครับ มิน่าล่ะตัวคุณถึงได้ผอมบาง แถมหน้าตาก็ไม่สดชื่นเลยซักนิด  คุณต้องทำงานหนักแน่ๆเลย  เอาอย่างนี้ไหมครับ  คุณกลับขึ้นไปนอนซะแล้วเดี๋ยวพอคุณตื่นขึ้นมาค่อยทานอาหารนะครับ

     

                    แต่...

     

                    นะครับ คุณไม่ต้องกลัวว่าผมจะมาขโมยหรืออะไรทั้งนั้นล่ะ ผมเป็นลูกของพ่ออลันกับแม่จำเนียรที่เป็นเพื่อนของพ่อกับแม่คุณจริงๆครับแต่ก่อนผมตัวเล็กหน้าหวานท่านก็เลยชอบจับผมแต่งเป็นผู้หญิงเพราะอยากมีลูกสาว พอคุณมาก็ทึกทักไปเองว่าผมเป็นผู้หญิง  แล้วเรื่องอื่นๆเราค่อยมาคุยกันหลังจากคุณตื่นและทานอาหารเสร็จนะครับคุณหนึ่ง พูดไม่พูดเปล่าเจ้าเด็กซันก็เอามือรุนหลังผมให้เข้าห้องนอน ผมที่ตอนแรกว่าจะต่อต้านซักหน่อยกลับมีอาการงัวเงียมากกว่าเดิม  ผมเลยยอมทำตามแต่โดยดีและล้มตัวลงนอนที่ใช้เวลาไม่นานก็หลับไป

     

     

                    ผมตื่นอีกครั้งด้วยอารมณ์ที่แจ่มใสกว่าเดิมพลางเดินเข้าไปอาบน้ำที่ห้องน้ำภายในห้อง  ผมแต่งตัวด้วยชุดอยู่บ้านสบายๆแล้วเดินออกมาจากห้องนอน   ทันทีที่เดินออกมาผมก็ได้กลิ่นอาหารหอมฟุ้งกระจายทันที  ผมมองไปยังด้านหลังเคาน์เตอร์ครัว  เจ้าเด็กซันนั่นเองกำลังทำอาหารอยู่ด้วยท่าทางชำนิชำนาญเหลือเกิน

     

                    อ้าว ตื่นแล้วหรอครับคุณหนึ่ง ผมคิดว่าคุณจะหลับนานกว่านี้เสียอีก นี่เพิ่งแปดโมงครึ่ง ผ่านไปสองชั่วโมงเองนี่ครับ เจ้าเด็กซันถามผมด้วยท่าทางติเตียน

     

                    ฉันนอนไม่ค่อยนานหรอก ตื่นเช้าซะจนเคยชิน  เออนี่แล้วตกลงนาย...

     

                    ค่อยถามครับ ทานอาหารเช้าก่อนนะ นายซันว่าพลางกุลีกุจอยกจานกับข้าวมาวางให้ผมซะเป็นเรื่องเป็นราว  พอผมจะเข้าไปช่วยยกจานนายซันก็ห้าม  เขาบอกให้ผมอยู่เฉยๆจนในที่สุดทุกอย่างก็เรียบร้อย เขามานั่งข้างๆผม

     

                    นายไม่ทานหรือ ผมถามซัน เพราะว่าผมไม่เห็นเขาจะตักจานข้าวของเขาเลย

     

                    ไม่หรอกครับ ผมอยากนั่งดูคุณทานมากกว่า นายซันพูดยิ้มๆ ประกายตาแวววาวทีเดียว

     

                    ไม่ได้ๆ นายทำก็ต้องได้ทานด้วยสิ อีกอย่างฉันไม่ชอบให้คนมาจ้องเวลาทานข้าวหรอกนะ ผมว่า เจ้าหนูซันเลยเดินไปตักข้าวของตัวเองมาและนั่งกินกับผม  ไม่นานผมก็อิ่มเด็กนั่นพอเห็นผมอิ่มแล้วก็ประท้วงทันที

     

                    ก็ฉันอิ่มแล้วนี่ ผมกล่าว

     

     

                    อิ่มหรอครับ คุณหนึ่งอิ่มได้ยังไงกันเพิ่งทานไปแค่สองสามคำเอง แล้วเนี่ยมีทั้งแกงจืดวุ้นเส้น ผัดผักรวมมิตร แล้วก็ผัดเปรี้ยวหวาน กับไข่เจียว  อาหารครบห้าหมู่พอดีแถมยังดีต่อสุขภาพด้วยนะครับ  อ๊ะ...หรือที่คุณทานน้อยเพราะว่าฝีมือผมไม่อร่อยน่ะ นายซันถามนั่นถามนี่ซ่อกแซ่ก ราวกับเป็นห่วงสุขภาพผมมากมายประมาณนั้น

     

                    ไม่หรอก ฝีมือนายอร่อยดี เพียงแต่ฉันไม่ค่อยอยากอาหารเช้าน่ะ ปกติก็ไม่ค่อยทานหรอก  แค่กาแฟกับขนมปังแค่นั้นล่ะ ผมอธิบาย  แต่ดูเหมือนเด็กนั่นจะไม่พอใจอย่างมากทีเดียว

     

                    คุณหนึ่งทานแค่นี้เองหรอครับ แล้วมือกลางวันล่ะ แล้วมื้อเย็นล่ะ  อย่าบอกนะครับว่าทานพวกอาหารกึ่งสำเร็จรูปที่ผมพบในครัวน่ะ

     

                    มื้อกลางวันทานที่ทำงาน สั่งเอา ส่วนมื้อเย็นก็พวกนั้นแหละ ผมบอก เอ๊ะ แล้วทำไมผมจะต้องมานั่งตอบคำถามของเจ้าเด็กที่บุกรุกบ้านผมด้วย ทั้งๆที่ผมน่าจะเป็นฝ่ายถามมากกว่านะ

     

                    ไม่ได้นะครับคุณหนึ่ง คุณยิ่งเป็นโรคความดันต่ำแถมยังทำงานหนักอีก  แล้วดูสิ ร่างกายก็ผอมบาง แรงก็ไม่ค่อยมีแถมยังน่ารักอีกต่างหาก ถ้าถูกคนทำมิดีมิร้ายก็ไม่มีแรงป้องกันตัวเองน่ะสิครับ แล้ว...แล้ว

     

                    พอๆๆ หยุดพูดซะทีฉันเวียนหัว แล้วที่ว่าฉันว่าน่ารักนั่นมันอะไรกันฮึ ผมถาม ผมไม่คิดหรอกว่าผมน่ารักยังไง พวกผู้หญิงก็บอกว่าผมหล่อนี่นา เอ่อ  ผมหมายถึงแฟนที่ผมเคยๆคบมาเขาก็ว่าอย่างนั้นนี่นา

     

                    ก็แหม...คุณหนึ่งหน้าก็หวาน ตัวก็เล็กผอมบาง นายซันพูดยิ้มๆ

     

                    พอเลยๆ ฉันสูงร้อยเจ็ดสิบแปดหนักห้าสิบห้าเนี่ยนะตัวเล็ก ที่ฉันตัวเล็กก็เพราะนายเอาเกณฑ์ของนายมาวัดล่ะมั้ง ผมว่าไปเพราะเจ้าคนที่บอกว่าผมตัวเล็กสูงราวๆร้อยเก้าสิบจะได้  ไม่ว่าเป็นใครก็คงต้องตัวเล็กสำหรับเจ้าเด็กนี่อยู่หรอก  แต่เจ้าเด็กซันก็เอาแต่ก้มหน้านับนิ้วทำปากขมุบขมิบ

     

                    นั่นไงครับ คุณน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ไปตั้งเจ็ดกิโล นายซันโผล่งขึ้นมาทำเอาผมถึงกับตบหน้าผากตัวเองเบาๆไปทีหนึ่ง  นี่มันอะไรกันเนี่ยเจ้าเด็กคนนี้

     

                    พอเลยๆ อันที่จริงนายจะเซ้าซี้เรื่องฉันทำไมฮึ

     

                    ก็ผมจะมาอยู่กับคุณนี่นา เจ้าหนุ่มลูกครึ่งยิ้มแป้นทำเอาผมเกือบตกเก้าอี้ไป

     

                    นายว่าอะไรนะ ผมได้ยันชัดแล้วล่ะ เพียงแต่ต้องการได้ฟังอีกครั้งกลัวว่าหูของตัวเองจะฝาดไป

     

                    ก็เมื่อเดือนก่อนไงครับ คุณไม่ได้รับจดหมายรึไงจากพ่อของผมน่ะ ผมจะมาอยู่ที่ประเทศไทยเพื่อทำวิทยานิพนธ์และก็เป็นโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษากับคนไทยที่นี่ด้วยครับ นายซัน กล่าว  ผมเลยนึกออก  เมื่อเดือนที่แล้วผมได้รับจดหมายจากคุณอา อลันจริง  เพียงแต่ผมนึกว่าเอล็กซานเดรียเป็นผู้หญิงคงจะไม่เหมาะที่จะมาอยู่บ้านกับชายหนุ่มโสดอย่างผม ผมก็เลยจัดแจงหาหอพักหญิงให้ซะเรียบร้อยแล้วก็ทำงานยุ่งจนลืมไปเลย

     

                    อ๋อ...จำได้แล้ว แต่ว่าฉันจองห้องของหอพักหญิงให้นายนี่นา ทำยังไงดีล่ะ

     

                    โทรไปยกเลิกได้เลยครับ ผมจะอยู่กับคุณ... นะครับ  คุณหนึ่ง ผมรับรองว่าจะไม่ทำให้คุณลำบากใจหรอกนะครับ เงินค่าเรียนพ่อผมก็ส่งมาให้ ค่ากินอยู่ผมก็ทำงานพิเศษได้ นะครับ นะนะ เจ้าเด็กซันอ้อนผมเมื่อเห็นสีหน้าของผม ผมก็เป็นโรคแพ้ลูกตื้อซะด้วยสิ

     

                    อ่ะๆๆ อยู่ ก็อยู่ พอผมพูดจบเจ้าเด็กนี่ก็ร้องดีใจใหญ่พลางคว้าตัวผมไปกอด แล้วก็หอมแก้มผมฟอดนึง...

     

                    เห้ย!!!

     

              หอม

     

     

                    หอมแก้ม...

     

     

                    ทะ...ทำอะไรน่ะ ผมถาม  ในชีวิตเคยแต่ให้ผู้หญิงหอม ไม่เคยคิดหรอกว่าวันนึงจะต้องมาเสียแก้มให้ผู้ชายหอม

     

                    อ่ะ...อ้าว ลืมไปเลยครับ คนไทยเขาไม่หอมแก้มกันนี่นา ฮะๆ เจ้าหนุ่มซันหัวเราะเจื่อนๆเมื่อเห็นหน้าตากับท่าทางของผม

     

                    อย่าลืมบ่อยก็แล้วกันเพราะนี่ไม่ใช่อังกฤษที่นายเคยอยู่แต่เป็นเมืองไทย ทำอะไรก็ต้องแคร์สังคม จะมากอดมาหอมใครไปทั่วเหมือนที่เคยทำน่ะไม่ได้หรอกนะ แล้วนี่เราอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ ไปฝึกพูดภาษาไทยมาจากไหนคล่องเชียว ผมได้โอกาสก็สอนพลางถามเจ้าเด็กหนุ่มที่โตแต่ตัว

     

                    แหม คุณหนึ่งบ่นเก่งจัง  ผมอายุสิบเก้าแล้ว แล้วก็ผมมีแม่เป็นคนไทยอย่าลืมสิครับ   อ้อ  ผมลืมบอกคุณหนึ่งนะครับ ผมมาที่นี่ด้วยเหตุผลอีกประการครับ เจ้าหนุ่มซันว่า  ผมเลยเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม  เจ้าหนุ่มซันเลยยิ้มๆ

     

                    ก็มาทวงสัญญาจากคุณหนึ่งไงครับ คุณเคยสัญญากับผมนี่ว่าจะเป็นภรรยาผมน่ะ

     

                    เฮ้ย...สัญญาบ้าบออะไรกันน่ะ ผมดีดตัวลุกขึ้นทันที แม้จะไม่ได้รังเกียจเกย์แต่ว่าผมก็ไม่เคยคิดจะหันมารักมาชอบกับผู้ชายด้วยกันแม้แต่น้อย

     

     

                    แหม...ผมล้อเล่นครับคุณหนึ่งทำจริงจังไปได้ เด็กซันหัวเราะคิกคักก่อนจะคะยั้นคะยอให้ผมทานอาหารเช้าอีก ซึ่งผมก็ทำตามไม่อยากฟังเหตุผลที่เจ้าหนูนี่ยกขึ้นมาอ้างอีก เพราะรู้สึกว่าพอเถียงกับเจ้าหนูนี่ทีไรผมล่ะแพ้ทุกที

     

     

     

     



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×