ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3 ตำนานแห่งสายลม
3 พฤษภาคม 1027
เหยี่ยวสีดำตนหนึ่งดิ่งลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบน โดยมีเป้าหมายคือบุรุษหนุ่มผมยาวสีเงิน เขายกมือขึ้นรับจดหมายที่เหยี่ยวตัวนั้นปล่อยลงมาให้ และเปิดมันออกอย่างไม่ลังเล
ถึง ท่านพี่ลูเซียส
เมื่อท่านได้รับจดหมายฉบับนี้จากข้าแล้วจงรู้เอาไว้ว่า ป้อมปราการเวลล์ ซึ่งเป็นปราการทางทิศใต้ของราชอาณาจักรเรมัสได้แตกพ่ายไปแล้ว เรื่องนี้มันอาจไม่เกี่ยวข้องกับตัวท่านสักเท่าใดนัก แต่ข้าต้องการจะบอกให้รู้ว่าพวกที่ทำลายปราการแห่งนี้ได้รับคำสั่งจาก อาบิโอรอส หนึ่งในแวมไพร์ที่ท่านกำลังตามหาอยู่ไงละ ถ้าไม่อยากพลาดโอกาสทองไปละก็นะ จงรีบไปยังปราการเวลล์ให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ก็แล้วกัน
ด้วยความเคารพ
ทาเมียส ฟาราไรน์
เมื่ออ่านจดหมายเสร็จ บุรุษหนุ่มตัดสินใจส่งมันไปให้ชันโดอ่าน “ท่านคิดว่าอย่างไร?” เขาถามขึ้นหลังจากที่เห็นว่าชันโดอ่านจดหมายฉบับนั้นจบแล้ว
ชันโดส่งมันต่อให้กับเบนที่อยู่ใกล้ๆ “หากเจ้าต้องการจะไปจริงๆละก็นะ ลำพังตัวเจ้าก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าตัวข้าเองนั้นมีกิจที่จะต้องตามหาพี่ชายผู้ที่หายสาบสูญไป คงจะเดินทางไปกับเจ้าด้วยไม่ได้หรอก
เมื่อได้ฟังดังนั้นเบนที่เพิ่งอ่านจดหมายฉบับนั้นจบจึงกล่าวตอบ “ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรหรอกท่านชันโด สำหรับท่านลูเซียสนั้นข้าจะรับหน้าที่คุ้มครองไปให้ถึงจุดหมายเอง ส่วนตัวท่านก็รีบมุ่งหน้าไปยังจุดหมายของท่านเถิด ข้าน้อยเป็นพรานป่า มีหรือที่จะไม่รู้เรื่องการสะกดรอย เมื่อใดที่ท่านลูเซียสกับตัวข้าเสร็จภารกิจที่ป้อมปราการเวลล์แล้ว เราทั้งสองจะรีบตามไปหาท่านเอง ข้ารับรอง”
“ถ้างั้นเราก็รีบไปกันเถอะ” ลูเซียสกล่าว ก่อนที่เขาและเบนจะเดินแยกทางกับชันโดไป
หมู่บ้านเอบิ
กองทัพของเจ้าชายเคลได้มาพำนักอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้เป็นการชั่วคราว การตั้งค่ายของพวกเขาดูจะหนาแน่นกว่าของอาทัสเป็นเท่าตัว ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ดูเหมือนกองบัญชาการขนาดย่อมๆเลยก็เป็นไปได้
เคลอาศัยช่วงที่ว่างเข้าไปพูดคุยกับอาเบกอสผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ช่วงกลางคืนแบบนี้อาศัยจะหนาวกว่าปกติหลายเท่าตัว ทำให้เจ้าชายเคลต้องสวมเสื้อกันหนาวขนสัตว์ไปด้วยเพื่อความอบอุ่นของร่างกาย
“ท่านพ่อ ไม่ทราบว่าสบายดีหรือไม่”
ที่เคลเรียกแทนอาเบกอสว่าพ่อนั้นมีสาเหตุมาจากสมัยเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนที่ตัวเขาเพิ่งจะจำความได้ใหม่ๆ บิดาของเคลผู้ซึ่งเป็นกษัตริย์ปกครองเขตตะวันออก ได้ส่งเขาให้มาเรียนเวทย์มนตร์แขนงต่างๆจากชายชราผู้นี้ ด้วยเวลากว่าสิบปีทำให้ความสัมผัสระหว่างสองบุคคลแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งหลังจากนั้นมาเจ้าชายหนุ่มไม่มีโอกาสได้พบกับบิดาของตนอีกเลย เขาจึงตัดสินใจเรียกอาเบกอสผู้เป็นอาจารย์ว่า พ่อ
“ข้าก็ยังดีอยู่ ว่าแต่เจ้าละ เป็นยังไงบ้าง ทำไมมาอยู่ที่นี่ละ ข้าได้ยินว่าอาทัส ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าลงไปทำการศึกที่ปราการเวลล์มิใช่รึ เหตุไฉนเจ้าจึงยังอยู่ที่นี่ ไม่ตามไปช่วยเขา” คำกล่าวของอาเบกอสทำให้เกิดการสั่นสะเทือนภายในจิตใจของเคลอย่างรุนแรง เขาไม่อยากให้สิ่งที่ตัวเขาฝันเห็นเกิดขึ้น แต่ทว่าทุกอย่างที่เขาฝันมันมักจะเกิดขึ้นจริงเสมอ
เคลไม่ต้องการให้อาเบกอสรู้ถึงนิมิตของเขาจึงกล่าวตอบไปว่า “อาทัสนั้นเป็นนักรบที่แข็งแกร่งกว่าข้าผู้นี้มาก เขาเคยทำศึกมาแล้วไม่ต่ำกว่าห้าสิบครั้ง บางทีอาจจะมากกว่าร้อยครั้ง เขาสังหารศัตรูไปแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยศพ เผาเมืองมาไม่รู้อีกกี่ครั้ง ท่านจะเป็นกังวลอันใดเล่าท่านพ่อ เรื่องนี้ท่านก็ทราบดีอยู่แล้ว”
ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังจะสนทนากันต่อ ประตูห้องก็พลันเปิดออก บุรุษหนุ่มผมสีแดงเพลิงปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ มันใช้ดวงตาสีเขียวอ่อนมองไปรอบๆห้องก่อนที่จะกล่าว
“ขออภัยท่านทั้งสอง ข้ามิได้มีเจตนาร้าย วันนี้ข้ามาเพื่อที่จะแจ้งข่าว บัดนี้ปราการเวลล์ได้พังทลายลงแล้ว ด้วยน้ำมือของอมนุษย์นามว่า อาบิโอรอส มันคืออนุษย์รูปร่างเหมือนค้างคาว หรือ ที่พวกเราเรียกกันว่า แวมไพร์ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักที่ข้ามาในวันนี้ ท่านเคลหากท่านต้องการพบบุคคลที่มีความสามารถพอที่จะต่อกรกับจอมมารที่ท่านจงเกลียดจงชังแล้วละก็ ข้าคิดว่าท่านควรจะตามไปช่วยท่านอาทัสนะขอรับ”
เมื่อฟังชายหนุ่มผมแดงจบเคลจึงกล่าวตอบ “เจ้าเป็นใคร? แล้วข้าจะรู้ได้ไงว่าใครคือคนผู้นั้น”
บุรุษหนุ่มยิ้มอย่างรู้ทัน “เมื่อไปถึงท่านก็จะรู้เอง ส่วนชื่อของข้านั้นก็คือ ทาเมียส ฟาราไรน์ ยินดีที่ได้รู้จัก” กล่าวจบควันสีขาวขุ่นก็ปรากฏขึ้นเริ่มจากบริเวณพื้นใต้จุดที่ทาเมียสยืนอยู่ จากนั้นควันจึงปกคลุมทั้งห้องจนเคลและอาเบกอสมองอะไรไม่เห็นแม้แต่อย่างเดียว
“ลาก่อน ขอให้ท่านโชคดี” ควันทั้งห้องพลันสลายหายไปพร้อมกับร่างของทาเมียส ไม่หลงเหลือแม้แต่ร่องรอยให้ทั้งคู่ได้ตามหาเขาได้
อาเบกอสทำสีหน้าคิดหนักอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวเบาๆว่า “ทาเมียส ฟาราไรน์ บุตรคนสุดท้ายของฟาฮาเรน ฟาราไรน์ พวกมันคือเผ่าพันธุ์ยมทูตที่หายสาบสูญไปเกือบสิบปี ไม่นึกมาก่อนเลยว่าจะกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งที่บ้านของข้าผู้นี้”
เคลที่พอจับความได้จึงถามต่อ “ยมทูต? ผู้นำพาวิญญาณในนิทานสำหรับเด็กนะหรือ?”
อาเบกอสเห็นว่าเคลยังไม่เข้าใจจึงกล่าวต่อ “ยมทูตนั้นคือกลุ่มคนที่มีความสามารถในการสังหารเป็นเลิศ มีประสาทสัมผัสที่ไวกว่าคนปกติถึงสองเท่า ตอนนี้ทั้งตระกูลของพวกมันก็เหลืออยู่เพียงเจ็ดคน เท่าที่ข้ารู้จักก็มีเพียง วาราดีเมีย ผู้เป็นพี่คนโต กับ ทาเมียส น้องคนเล็กที่เพิ่งปรากฏกายให้เจ้าเห็นนั่นแหละ”
“ถ้าเช่นนั้นลูกก็สมควรไปตามที่เขาบอกนะสิ”
“ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้นนะ เคล ข้าอยากจะบอกกับเจ้าเอาไว้อย่างหนึ่งนะ ชะตาชีวิตไม่ใช่ลิขิตจากสวรรค์แต่อย่างใด แต่ตัวเจ้าเองนั่นแหละที่จะเป็นคนกำหนดชะตาชีวิตของตัวเจ้าเอง”
“ครับท่านพ่อ ถ้างั้นข้าขอตัวก่อนแล้วข้าจะออกเดินทางพรุ่งนี้เช้าเลย” เขากล่าวอำลาอาเบกอสก่อนที่จะเดินทางกลับไปยังที่พักของตน
ลูเซียสและเบนก้าวเดินในป่าบิรอนอย่างระมัดระวัง เนื่องจากป่าแถบนี้เต็มไปด้วยอาวุธประเภทกับดักที่ยังหลงเหลือจากสงครามเมื่อหลายปีก่อน แต่เหตุผลที่บุรุษทั้งสองเลือกเส้นทางนี้ก็เพราะกับดักพวกนี้เช่นกัน เพราะมันทำให้พวกนายพรานมือสมัครเล่นหรือกองทหารไม่กล้ามาเดินเพ่นพ่านแถวนี้สักเท่าใด
การเดินทางของพวกเขาใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว เมื่อทั้งสองมองเห็นยอดหอคอยของปราการเวลล์ ลูเซียสจึงหยุดเดินกะทันหัน ก่อนที่จะหันมาบอกกับเบน
“เราเข้าไปพักในถ้ำตรงนั้นกันก่อนดีกว่า บุกเข้าไปตอนนี้มีแต่แพ้กับแพ้ พวกแวมไพร์นะกลางคืนมันแข็งแกร่งกว่าตอนกลางวันเป็นหลายเท่าตัวนัก ถ้าเจ้ายังไม่อยากตายก็ทำตามที่ข้าบอกซะ” ลูเซียสเดินนำเข้าไปในถ้ำที่เขาเพิ่งชี้ให้เบนดูเมื่อครู่ ก่อนที่เบนจะเดินตามเขาเข้าไป
เบนรวบรวมพลังเวทย์ที่มีสร้างลูกไฟดวงเล็กๆขึ้นมาหลายสิบลูกเพื่อเพิ่มความสว่างให้แก่ถ้ำที่พวกเขาใช้เป็นที่พักชั่วคราว ทันทีที่แสงไฟส่องสว่างสายตาของทั้งสองคนก็พลันเหลือบไปเห็นเจ้าบ้านที่ไม่น่าพิสมัยเอาเสียเหลือเกิน จนเบนร้องออกมาด้วยความตกใจ
“โกเลม!! มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเนี่ย”
ลูเซียสที่เหมือนจะรู้คำตอบของคำถามเมื่อครู่ ใช้นิ้วชี้ขวาชี้ไปยังอะไรบางอย่างที่ส่องแสงอยู่ด้านหลังโกเลมตัวนั้น
“เครย์มอร์” เบนอุทาน
ทางด้านลูเซียสนั้นมีความรู้สึกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เขาไม่ได้กลัวในอำนาจของดาบหรือแม้แต่โกเลมตัวที่เฝ้ามันอยู่ บุรุษหนุ่มวิ่งตรงไปยังดาบโดยไม่สนใจสัตว์อสูรตัวที่เฝ้าดาบเอาไว้เลยแม้แต่น้อย แต่แล้วเขาก็รู้ว่าตนเองคิดผิดถนัด
กำปั้นอันมหึมาของโกเลมทุบลงตรงหน้าลูเซียสอย่างแรงจนทำให้พื้นบริเวณนั้นมีแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และมันยังคงโจมตียมทูตหนุ่มไปเรื่อยๆไม่มีท่าทีว่าจะลดละความพยายามที่จะทำให้ผู้บุกรุกจมหายไปในพื้นดิน
“นี่มันบ้าชะมัด พลังโจมตีมหาศาลขนาดนี้ ทำไมเราถึงไม่รู้สึกถึงพลังของมันเลยนะ” ลูเซียสร้องขึ้นมาขณะที่กำลังวิ่งหลบกำปั้นอย่างสุดชีวิต
เบนส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายใจ พลางชักดาบไม้ออกมาจากฝัก ก่อนที่จะเริ่มรวบรวมพลังเวทย์อีกครั้ง
“หิมะคำรน”
พายุหิมะพุ่งกระแทกเข้าใส่โกเลมตัวนั้นอย่างรุนแรงจนมันล้มลงไปนอน แต่แล้วมันก็ลุกขึ้นอีกครั้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยเมื่อครู่ และเริ่มโจมตีลูเซียสต่ออีกหน พร้อมกับคำรามด้วยเสียงที่ดังสนั่น
“จงออกไปซะ ผู้บุกรุก พวกเจ้าไม่มีทางทำลายข้าได้”
ลูเซียสวิ่งหลบไปพลางใช้ความคิดไปพลาง สายตาของยมทูตหนุ่มยังจ้องอยู่ที่ดาบในตำนานอย่างไม่ลดละ “ถ้าเรามีดาบอยู่ในมือละก็นะ”
“ดาบก็อยู่ตรงหน้านายนั่นไง” เบนตะโกนบอกทำให้ลูเซียสได้สติขึ้นมา บุรุษหนุ่มผมสีเงินกระโจนเข้าไปหาดาบที่อยู่ด้านหลังของโกเลมโดยหลบจากกำปั้นไปได้อย่างฉิวเฉียด
“ดึงข้าขึ้นมาสิ” เสียงของดาบดังขึ้นในหัวของลูเซียส “เรียกชื่อข้าสิ”
ลูเซียสลังเลอยู่ครู่หนึ่งทำให้โกเลมหันกลับมาทุบกำปั้นใส่เขา ทว่ามันกลับกลายเป็นการบีบบังคับให้เขาดึงดาบที่ปักอยู่กับพื้นขึ้นมาต้านรับพลังของโกเลมเอาไว้
“เครย์มอร์!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
เกิดลมกรรโชกแรงขึ้นภายในถ้ำหลังจากที่ลูเซียสดึงเครย์มอร์ขึ้น จากกระแสลมเบาๆเปลี่ยนแปลงไปเป็นพายุหมุนขนาดใหญ่กระแทกเข้าใส่โกเลมอย่างรุนแรงจนมันล้มลงอีกครั้ง
“ผนึกมันสิ วางดาบลงที่ตัวของมันสิ” เสียงของเครย์มอร์ดังขึ้นในหัวของลูเซียสอีกครั้ง
“อย่างนี้ใช่ไหม” บุรุษหนุ่มว่างดาบทาบกับร่างของโกเลมที่ยังไม่ลุกขึ้น วินาทีต่อมาตัวดาบสีเงินก็พลันเรืองแสงขึ้นมา และส่งต่อไปยังร่างของโกเลม
“พิธีสร้างพันธะ” เบนอุทานด้วยความตกใจ นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่พรานหนุ่มได้เห็นพิธีกรรมนี้
“ตัวข้ามีนามว่า ลูเซียส ฟาราไรน์ จะขอทำพันธะกับสัตว์อสูรตนนี้ ท่านเทพยดาจะเห็นด้วยกับตัวข้าหรือไม่ หากเห็นด้วยวงแหวนเวทย์จงปรากฏ” วงแหวนเวทย์รูปดาวหกแฉกปรากฏขึ้นบนพื้นรอบๆตัวของลูเซียสและโกเลมตัวนั้น
“ตั้งแต่นี้ต่อไป นามของเจ้า คือ ไอแน็ค” ลูเซียสกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หน้ากลัวก่อนที่ร่างของอสูรกายจะหายไปพร้อมกับวงแหวนเวทย์
“สุดยอด” เบนอุทานอีกครั้ง
ลูเซียสยิ้มอย่างมีชัย เสยผมที่ยาวมาปรกหน้าขึ้น ก่อนที่จะกล่าวกับเบน “วันนี้พักผ่อนกันเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องทำศึกกันอีกยาว” ว่าแล้วเบนก็ทำตามคำขอ พรานหนุ่มสลายดวงไฟที่ตนสร้างขึ้นทั้งหมด ทำให้ความมืดมิดเข้าปกคลุมถ้ำแห่งนี้อีกครั้ง
“ราตรีสวัสดิ์” ทั้งคู่กล่าวพร้อมกัน
กองทัพจากนครหลวงตั้งค่ายเอาไว้นอกเมืองห่างจากกำแพงของปราการเวลล์ประมาณสองกิโลเมตร เวรยามที่ใช้ในการเฝ้าระวังยังคงหนาแน่นเช่นเดิม ส่วนตัวของเจ้าชายนั้นกำลังประชุมวางแผนอยู่กับรองแม่ทัพทั้งสิบสองอยู่ภายในกระโจมของเขา
“พวกท่านคิดว่าสถานการณ์ในยามนี้เป็นเช่นไร” อาทัสถามด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น ดวงตาสีฟ้าอ่อนไม่แสดงท่าว่าจะหวาดกลัวต่อศัตรูเลยแม้แต่น้อย
บรรดารองแม่ทัพทั้งสิบสองคนต่างเป็นอัศวินที่ผ่านสงครามมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนจึงพอที่จะประเมินสถานการณ์คร่าวๆได้โดยไม่ยาก และมติที่พวกเขาเสนอแก่อาทัสนั้นสร้างความไม่พอใจให้แก่เจ้าชายแห่งราชอาณาจักรเรมัสผู้นี้เป็นอันมาก
“พวกเจ้าจะให้ข้าถอนทัพกลับอย่างนิดรึ เห็นทีจะเป็นไปได้ยาก ป้อมปราการเวลล์นั้นเป็นกำแพงด่านสุดท้ายก่อนที่ข้าศึกจะมาถึงยังนครเรอามัสซึ่งเป็นนครหลวงที่พวกเจ้าใช้ซุกหัวนอนกันอยู่ทุกวันนี้ หรือพวกเจ้าแก่จนเลอะเลือนกันไปหมดแล้วว่าที่นั่นนะมีประชาชนของอาณาจักรเราอาศัยอยู่ไม่น้อยไปกว่านครหลวงหรืออาจจะมีมากกว่าก็เป็นไปได้ แม้ในการศึกครั้งนี้เจ้าชายเคลแห่งเรมัสตะวันออกจะไม่ยอมยกทัพมาช่วยรบก็ตาม แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อไพร่ฟ้าหน้าใสของเรา จะได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ข้าคิดว่าเราคงจะถอยทัพกลับไปไม่ได้แล้ว”
อัศวินคนหนึ่งกล่าวว่า “ใจเย็นก่อนสิเจ้าชาย การที่เจ้าชายเคลไม่ยกทัพมารับมือตั้งแต่ก่อนที่พวกเราจะมาแสดงว่าศัตรูต้องมีฝีมือที่ร้ายกาจเอามากๆ ถ้านักรบที่แกร่งกล้าอย่างท่านเคลยังมิอาจต้านท่านแล้วพวกข้าจะทำอะไรได้ละขอรับ”
ยิ่งได้ฟัง จิตใจของอาทัสก็เริ่มลุกเป็นไฟด้วยความโกรธ “ข้ากับเคลมันต่างกัน เจ้านั่นมันดีแต่ใช้เวทย์มนตร์โจมตีข้าศึกจากแถวสองเป็นอย่างเดียว หาเคยรบระยะประชิดตัวอย่างข้าไม่ อีกทั้งกองอัศวินของเรายังมีมากมายกว่า ไฉนจึงต้องเปรียบเทียบกับเคลด้วยเล่า”
เหล่ารองแม่ทัพต่างอับจนปัญญาที่จะเกลี้ยกล่อมให้เจ้าชายอาทัสถอยทัพกลับ จึงได้แต่นั่งนิ่งฟังคำอธิบายแผนการสำหรับวันรุ่งขึ้นจากเจ้าชายของพวกเขา
“พรุ่งนี้เวลาสิบนาฬิกาเราจะบุกชิงป้อมปราการเวลล์คืนมาจากพวกนั้น โดยกองกำลังทั้งหมดของพวกเราจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกนั้นจะต้องช่วยกันดึงดูดความสนใจของข้าศึก เพื่อหลอกล่อพวกมันให้หลงกลว่าพวกเรามีกำลังอยู่เพียงเท่านี้ ส่วนที่สองคือหน่วยจู่โจมให้นำทัพตามข้าอ้อมเข้าไปตีเมืองทางประตูส่งสินค้า และทันทีที่ข้าจุดพลุสีแดงให้สัญญาณให้ทุกคนทะลวงฝ่าแนวป้องกันของข้าศึกเข้ามาสมทบกันภายในปราการให้หมดทุกคน ใครมีข้อสงสัยอะไรไหม”
ไม่มีคำถามใดหลุดมาจากผู้ฟังทำให้เจ้าชายสั่งเลิกการประชุมในทันที หลังจากที่จัดแบ่งหน้าที่ให้แต่ละหน่วยรับผิดชอบกันไปตามความสามารถของสมาชิกในหน่วยทุกๆคน
หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว เจ้าชายหนุ่มได้เปลี่ยนมานั่งลงที่บนเตียงนอนภายในกระโจมของเขา “ท่านพี่ อย่าได้ทิ้งความหวังที่จะอยู่รอดนะ ข้าผู้นี้กำลังจะตามไปช่วยท่านแล้ว” จากนั้นเจ้าชายหนุ่มได้ทำการดับไฟในตะเกียงทุกดวงในกระโจมของเขา ก่อนที่จะเข้านอนไปพร้อมกับจิตใจที่ยังสับสนในหลายๆเรื่อง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น