ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Espada มหาศาสตราทลายพิภพ

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3 ตำนานแห่งสายลม

    • อัปเดตล่าสุด 28 ม.ค. 51


                    3 พฤษภาคม 1027
                    เหยี่ยวสีดำตนหนึ่งดิ่งลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบน โดยมีเป้าหมายคือบุรุษหนุ่มผมยาวสีเงิน เขายกมือขึ้นรับจดหมายที่เหยี่ยวตัวนั้นปล่อยลงมาให้ และเปิดมันออกอย่างไม่ลังเล
     
    ถึง ท่านพี่ลูเซียส
                    เมื่อท่านได้รับจดหมายฉบับนี้จากข้าแล้วจงรู้เอาไว้ว่า ป้อมปราการเวลล์ ซึ่งเป็นปราการทางทิศใต้ของราชอาณาจักรเรมัสได้แตกพ่ายไปแล้ว เรื่องนี้มันอาจไม่เกี่ยวข้องกับตัวท่านสักเท่าใดนัก แต่ข้าต้องการจะบอกให้รู้ว่าพวกที่ทำลายปราการแห่งนี้ได้รับคำสั่งจาก อาบิโอรอส หนึ่งในแวมไพร์ที่ท่านกำลังตามหาอยู่ไงละ ถ้าไม่อยากพลาดโอกาสทองไปละก็นะ จงรีบไปยังปราการเวลล์ให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ก็แล้วกัน
     
                                                                                                                                         ด้วยความเคารพ
                                                                                                                                                  ทาเมียส ฟาราไรน์
     
                    เมื่ออ่านจดหมายเสร็จ บุรุษหนุ่มตัดสินใจส่งมันไปให้ชันโดอ่าน ท่านคิดว่าอย่างไร?” เขาถามขึ้นหลังจากที่เห็นว่าชันโดอ่านจดหมายฉบับนั้นจบแล้ว
                    ชันโดส่งมันต่อให้กับเบนที่อยู่ใกล้ๆ หากเจ้าต้องการจะไปจริงๆละก็นะ ลำพังตัวเจ้าก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าตัวข้าเองนั้นมีกิจที่จะต้องตามหาพี่ชายผู้ที่หายสาบสูญไป คงจะเดินทางไปกับเจ้าด้วยไม่ได้หรอก
                    เมื่อได้ฟังดังนั้นเบนที่เพิ่งอ่านจดหมายฉบับนั้นจบจึงกล่าวตอบ ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรหรอกท่านชันโด สำหรับท่านลูเซียสนั้นข้าจะรับหน้าที่คุ้มครองไปให้ถึงจุดหมายเอง ส่วนตัวท่านก็รีบมุ่งหน้าไปยังจุดหมายของท่านเถิด ข้าน้อยเป็นพรานป่า มีหรือที่จะไม่รู้เรื่องการสะกดรอย เมื่อใดที่ท่านลูเซียสกับตัวข้าเสร็จภารกิจที่ป้อมปราการเวลล์แล้ว เราทั้งสองจะรีบตามไปหาท่านเอง ข้ารับรอง
                    ถ้างั้นเราก็รีบไปกันเถอะ ลูเซียสกล่าว ก่อนที่เขาและเบนจะเดินแยกทางกับชันโดไป
     
    หมู่บ้านเอบิ
                    กองทัพของเจ้าชายเคลได้มาพำนักอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้เป็นการชั่วคราว การตั้งค่ายของพวกเขาดูจะหนาแน่นกว่าของอาทัสเป็นเท่าตัว ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ดูเหมือนกองบัญชาการขนาดย่อมๆเลยก็เป็นไปได้
                    เคลอาศัยช่วงที่ว่างเข้าไปพูดคุยกับอาเบกอสผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ช่วงกลางคืนแบบนี้อาศัยจะหนาวกว่าปกติหลายเท่าตัว ทำให้เจ้าชายเคลต้องสวมเสื้อกันหนาวขนสัตว์ไปด้วยเพื่อความอบอุ่นของร่างกาย
                    ท่านพ่อ ไม่ทราบว่าสบายดีหรือไม่
                    ที่เคลเรียกแทนอาเบกอสว่าพ่อนั้นมีสาเหตุมาจากสมัยเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนที่ตัวเขาเพิ่งจะจำความได้ใหม่ๆ บิดาของเคลผู้ซึ่งเป็นกษัตริย์ปกครองเขตตะวันออก ได้ส่งเขาให้มาเรียนเวทย์มนตร์แขนงต่างๆจากชายชราผู้นี้ ด้วยเวลากว่าสิบปีทำให้ความสัมผัสระหว่างสองบุคคลแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งหลังจากนั้นมาเจ้าชายหนุ่มไม่มีโอกาสได้พบกับบิดาของตนอีกเลย เขาจึงตัดสินใจเรียกอาเบกอสผู้เป็นอาจารย์ว่า พ่อ
                    ข้าก็ยังดีอยู่ ว่าแต่เจ้าละ เป็นยังไงบ้าง ทำไมมาอยู่ที่นี่ละ ข้าได้ยินว่าอาทัส ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าลงไปทำการศึกที่ปราการเวลล์มิใช่รึ เหตุไฉนเจ้าจึงยังอยู่ที่นี่ ไม่ตามไปช่วยเขา คำกล่าวของอาเบกอสทำให้เกิดการสั่นสะเทือนภายในจิตใจของเคลอย่างรุนแรง เขาไม่อยากให้สิ่งที่ตัวเขาฝันเห็นเกิดขึ้น แต่ทว่าทุกอย่างที่เขาฝันมันมักจะเกิดขึ้นจริงเสมอ
                    เคลไม่ต้องการให้อาเบกอสรู้ถึงนิมิตของเขาจึงกล่าวตอบไปว่า อาทัสนั้นเป็นนักรบที่แข็งแกร่งกว่าข้าผู้นี้มาก เขาเคยทำศึกมาแล้วไม่ต่ำกว่าห้าสิบครั้ง บางทีอาจจะมากกว่าร้อยครั้ง เขาสังหารศัตรูไปแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยศพ เผาเมืองมาไม่รู้อีกกี่ครั้ง ท่านจะเป็นกังวลอันใดเล่าท่านพ่อ เรื่องนี้ท่านก็ทราบดีอยู่แล้ว
                    ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังจะสนทนากันต่อ ประตูห้องก็พลันเปิดออก บุรุษหนุ่มผมสีแดงเพลิงปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ มันใช้ดวงตาสีเขียวอ่อนมองไปรอบๆห้องก่อนที่จะกล่าว
                    ขออภัยท่านทั้งสอง ข้ามิได้มีเจตนาร้าย วันนี้ข้ามาเพื่อที่จะแจ้งข่าว บัดนี้ปราการเวลล์ได้พังทลายลงแล้ว ด้วยน้ำมือของอมนุษย์นามว่า อาบิโอรอส มันคืออนุษย์รูปร่างเหมือนค้างคาว หรือ ที่พวกเราเรียกกันว่า แวมไพร์ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักที่ข้ามาในวันนี้ ท่านเคลหากท่านต้องการพบบุคคลที่มีความสามารถพอที่จะต่อกรกับจอมมารที่ท่านจงเกลียดจงชังแล้วละก็ ข้าคิดว่าท่านควรจะตามไปช่วยท่านอาทัสนะขอรับ
                    เมื่อฟังชายหนุ่มผมแดงจบเคลจึงกล่าวตอบ เจ้าเป็นใคร? แล้วข้าจะรู้ได้ไงว่าใครคือคนผู้นั้น
                    บุรุษหนุ่มยิ้มอย่างรู้ทัน เมื่อไปถึงท่านก็จะรู้เอง ส่วนชื่อของข้านั้นก็คือ ทาเมียส ฟาราไรน์ ยินดีที่ได้รู้จัก กล่าวจบควันสีขาวขุ่นก็ปรากฏขึ้นเริ่มจากบริเวณพื้นใต้จุดที่ทาเมียสยืนอยู่ จากนั้นควันจึงปกคลุมทั้งห้องจนเคลและอาเบกอสมองอะไรไม่เห็นแม้แต่อย่างเดียว
                    ลาก่อน ขอให้ท่านโชคดี ควันทั้งห้องพลันสลายหายไปพร้อมกับร่างของทาเมียส ไม่หลงเหลือแม้แต่ร่องรอยให้ทั้งคู่ได้ตามหาเขาได้
                    อาเบกอสทำสีหน้าคิดหนักอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวเบาๆว่า ทาเมียส ฟาราไรน์ บุตรคนสุดท้ายของฟาฮาเรน ฟาราไรน์ พวกมันคือเผ่าพันธุ์ยมทูตที่หายสาบสูญไปเกือบสิบปี ไม่นึกมาก่อนเลยว่าจะกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งที่บ้านของข้าผู้นี้
                    เคลที่พอจับความได้จึงถามต่อ ยมทูต? ผู้นำพาวิญญาณในนิทานสำหรับเด็กนะหรือ?”
                    อาเบกอสเห็นว่าเคลยังไม่เข้าใจจึงกล่าวต่อ ยมทูตนั้นคือกลุ่มคนที่มีความสามารถในการสังหารเป็นเลิศ มีประสาทสัมผัสที่ไวกว่าคนปกติถึงสองเท่า ตอนนี้ทั้งตระกูลของพวกมันก็เหลืออยู่เพียงเจ็ดคน เท่าที่ข้ารู้จักก็มีเพียง วาราดีเมีย ผู้เป็นพี่คนโต กับ ทาเมียส น้องคนเล็กที่เพิ่งปรากฏกายให้เจ้าเห็นนั่นแหละ
                    ถ้าเช่นนั้นลูกก็สมควรไปตามที่เขาบอกนะสิ
                “ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้นนะ เคล ข้าอยากจะบอกกับเจ้าเอาไว้อย่างหนึ่งนะ ชะตาชีวิตไม่ใช่ลิขิตจากสวรรค์แต่อย่างใด แต่ตัวเจ้าเองนั่นแหละที่จะเป็นคนกำหนดชะตาชีวิตของตัวเจ้าเอง
                    ครับท่านพ่อ ถ้างั้นข้าขอตัวก่อนแล้วข้าจะออกเดินทางพรุ่งนี้เช้าเลย เขากล่าวอำลาอาเบกอสก่อนที่จะเดินทางกลับไปยังที่พักของตน
     
    ลูเซียสและเบนก้าวเดินในป่าบิรอนอย่างระมัดระวัง เนื่องจากป่าแถบนี้เต็มไปด้วยอาวุธประเภทกับดักที่ยังหลงเหลือจากสงครามเมื่อหลายปีก่อน แต่เหตุผลที่บุรุษทั้งสองเลือกเส้นทางนี้ก็เพราะกับดักพวกนี้เช่นกัน เพราะมันทำให้พวกนายพรานมือสมัครเล่นหรือกองทหารไม่กล้ามาเดินเพ่นพ่านแถวนี้สักเท่าใด
                    การเดินทางของพวกเขาใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว เมื่อทั้งสองมองเห็นยอดหอคอยของปราการเวลล์ ลูเซียสจึงหยุดเดินกะทันหัน ก่อนที่จะหันมาบอกกับเบน
                    เราเข้าไปพักในถ้ำตรงนั้นกันก่อนดีกว่า บุกเข้าไปตอนนี้มีแต่แพ้กับแพ้ พวกแวมไพร์นะกลางคืนมันแข็งแกร่งกว่าตอนกลางวันเป็นหลายเท่าตัวนัก ถ้าเจ้ายังไม่อยากตายก็ทำตามที่ข้าบอกซะ ลูเซียสเดินนำเข้าไปในถ้ำที่เขาเพิ่งชี้ให้เบนดูเมื่อครู่ ก่อนที่เบนจะเดินตามเขาเข้าไป
                    เบนรวบรวมพลังเวทย์ที่มีสร้างลูกไฟดวงเล็กๆขึ้นมาหลายสิบลูกเพื่อเพิ่มความสว่างให้แก่ถ้ำที่พวกเขาใช้เป็นที่พักชั่วคราว ทันทีที่แสงไฟส่องสว่างสายตาของทั้งสองคนก็พลันเหลือบไปเห็นเจ้าบ้านที่ไม่น่าพิสมัยเอาเสียเหลือเกิน จนเบนร้องออกมาด้วยความตกใจ
                    โกเลม!! มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเนี่ย
                    ลูเซียสที่เหมือนจะรู้คำตอบของคำถามเมื่อครู่ ใช้นิ้วชี้ขวาชี้ไปยังอะไรบางอย่างที่ส่องแสงอยู่ด้านหลังโกเลมตัวนั้น
                    เครย์มอร์ เบนอุทาน
                    ทางด้านลูเซียสนั้นมีความรู้สึกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เขาไม่ได้กลัวในอำนาจของดาบหรือแม้แต่โกเลมตัวที่เฝ้ามันอยู่ บุรุษหนุ่มวิ่งตรงไปยังดาบโดยไม่สนใจสัตว์อสูรตัวที่เฝ้าดาบเอาไว้เลยแม้แต่น้อย แต่แล้วเขาก็รู้ว่าตนเองคิดผิดถนัด
                    กำปั้นอันมหึมาของโกเลมทุบลงตรงหน้าลูเซียสอย่างแรงจนทำให้พื้นบริเวณนั้นมีแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และมันยังคงโจมตียมทูตหนุ่มไปเรื่อยๆไม่มีท่าทีว่าจะลดละความพยายามที่จะทำให้ผู้บุกรุกจมหายไปในพื้นดิน
                    นี่มันบ้าชะมัด พลังโจมตีมหาศาลขนาดนี้ ทำไมเราถึงไม่รู้สึกถึงพลังของมันเลยนะ ลูเซียสร้องขึ้นมาขณะที่กำลังวิ่งหลบกำปั้นอย่างสุดชีวิต
                    เบนส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายใจ พลางชักดาบไม้ออกมาจากฝัก ก่อนที่จะเริ่มรวบรวมพลังเวทย์อีกครั้ง
                “หิมะคำรน
                    พายุหิมะพุ่งกระแทกเข้าใส่โกเลมตัวนั้นอย่างรุนแรงจนมันล้มลงไปนอน แต่แล้วมันก็ลุกขึ้นอีกครั้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยเมื่อครู่ และเริ่มโจมตีลูเซียสต่ออีกหน พร้อมกับคำรามด้วยเสียงที่ดังสนั่น
                    จงออกไปซะ ผู้บุกรุก พวกเจ้าไม่มีทางทำลายข้าได้
                    ลูเซียสวิ่งหลบไปพลางใช้ความคิดไปพลาง สายตาของยมทูตหนุ่มยังจ้องอยู่ที่ดาบในตำนานอย่างไม่ลดละ ถ้าเรามีดาบอยู่ในมือละก็นะ
                    ดาบก็อยู่ตรงหน้านายนั่นไง เบนตะโกนบอกทำให้ลูเซียสได้สติขึ้นมา บุรุษหนุ่มผมสีเงินกระโจนเข้าไปหาดาบที่อยู่ด้านหลังของโกเลมโดยหลบจากกำปั้นไปได้อย่างฉิวเฉียด
                    ดึงข้าขึ้นมาสิ เสียงของดาบดังขึ้นในหัวของลูเซียส เรียกชื่อข้าสิ
                    ลูเซียสลังเลอยู่ครู่หนึ่งทำให้โกเลมหันกลับมาทุบกำปั้นใส่เขา ทว่ามันกลับกลายเป็นการบีบบังคับให้เขาดึงดาบที่ปักอยู่กับพื้นขึ้นมาต้านรับพลังของโกเลมเอาไว้
                    เครย์มอร์!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
                    เกิดลมกรรโชกแรงขึ้นภายในถ้ำหลังจากที่ลูเซียสดึงเครย์มอร์ขึ้น จากกระแสลมเบาๆเปลี่ยนแปลงไปเป็นพายุหมุนขนาดใหญ่กระแทกเข้าใส่โกเลมอย่างรุนแรงจนมันล้มลงอีกครั้ง
                    ผนึกมันสิ วางดาบลงที่ตัวของมันสิ เสียงของเครย์มอร์ดังขึ้นในหัวของลูเซียสอีกครั้ง
                    อย่างนี้ใช่ไหม บุรุษหนุ่มว่างดาบทาบกับร่างของโกเลมที่ยังไม่ลุกขึ้น วินาทีต่อมาตัวดาบสีเงินก็พลันเรืองแสงขึ้นมา และส่งต่อไปยังร่างของโกเลม
                    พิธีสร้างพันธะ เบนอุทานด้วยความตกใจ นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่พรานหนุ่มได้เห็นพิธีกรรมนี้
                    ตัวข้ามีนามว่า ลูเซียส ฟาราไรน์ จะขอทำพันธะกับสัตว์อสูรตนนี้ ท่านเทพยดาจะเห็นด้วยกับตัวข้าหรือไม่ หากเห็นด้วยวงแหวนเวทย์จงปรากฏ วงแหวนเวทย์รูปดาวหกแฉกปรากฏขึ้นบนพื้นรอบๆตัวของลูเซียสและโกเลมตัวนั้น
                    ตั้งแต่นี้ต่อไป นามของเจ้า คือ ไอแน็ค ลูเซียสกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หน้ากลัวก่อนที่ร่างของอสูรกายจะหายไปพร้อมกับวงแหวนเวทย์
                    สุดยอด เบนอุทานอีกครั้ง
                    ลูเซียสยิ้มอย่างมีชัย เสยผมที่ยาวมาปรกหน้าขึ้น ก่อนที่จะกล่าวกับเบน วันนี้พักผ่อนกันเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องทำศึกกันอีกยาว ว่าแล้วเบนก็ทำตามคำขอ พรานหนุ่มสลายดวงไฟที่ตนสร้างขึ้นทั้งหมด ทำให้ความมืดมิดเข้าปกคลุมถ้ำแห่งนี้อีกครั้ง
                    ราตรีสวัสดิ์ ทั้งคู่กล่าวพร้อมกัน
     
    กองทัพจากนครหลวงตั้งค่ายเอาไว้นอกเมืองห่างจากกำแพงของปราการเวลล์ประมาณสองกิโลเมตร เวรยามที่ใช้ในการเฝ้าระวังยังคงหนาแน่นเช่นเดิม ส่วนตัวของเจ้าชายนั้นกำลังประชุมวางแผนอยู่กับรองแม่ทัพทั้งสิบสองอยู่ภายในกระโจมของเขา
                    พวกท่านคิดว่าสถานการณ์ในยามนี้เป็นเช่นไร อาทัสถามด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น ดวงตาสีฟ้าอ่อนไม่แสดงท่าว่าจะหวาดกลัวต่อศัตรูเลยแม้แต่น้อย
                    บรรดารองแม่ทัพทั้งสิบสองคนต่างเป็นอัศวินที่ผ่านสงครามมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนจึงพอที่จะประเมินสถานการณ์คร่าวๆได้โดยไม่ยาก และมติที่พวกเขาเสนอแก่อาทัสนั้นสร้างความไม่พอใจให้แก่เจ้าชายแห่งราชอาณาจักรเรมัสผู้นี้เป็นอันมาก
                    พวกเจ้าจะให้ข้าถอนทัพกลับอย่างนิดรึ เห็นทีจะเป็นไปได้ยาก ป้อมปราการเวลล์นั้นเป็นกำแพงด่านสุดท้ายก่อนที่ข้าศึกจะมาถึงยังนครเรอามัสซึ่งเป็นนครหลวงที่พวกเจ้าใช้ซุกหัวนอนกันอยู่ทุกวันนี้ หรือพวกเจ้าแก่จนเลอะเลือนกันไปหมดแล้วว่าที่นั่นนะมีประชาชนของอาณาจักรเราอาศัยอยู่ไม่น้อยไปกว่านครหลวงหรืออาจจะมีมากกว่าก็เป็นไปได้ แม้ในการศึกครั้งนี้เจ้าชายเคลแห่งเรมัสตะวันออกจะไม่ยอมยกทัพมาช่วยรบก็ตาม แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อไพร่ฟ้าหน้าใสของเรา จะได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ข้าคิดว่าเราคงจะถอยทัพกลับไปไม่ได้แล้ว
                    อัศวินคนหนึ่งกล่าวว่า ใจเย็นก่อนสิเจ้าชาย การที่เจ้าชายเคลไม่ยกทัพมารับมือตั้งแต่ก่อนที่พวกเราจะมาแสดงว่าศัตรูต้องมีฝีมือที่ร้ายกาจเอามากๆ ถ้านักรบที่แกร่งกล้าอย่างท่านเคลยังมิอาจต้านท่านแล้วพวกข้าจะทำอะไรได้ละขอรับ
                    ยิ่งได้ฟัง จิตใจของอาทัสก็เริ่มลุกเป็นไฟด้วยความโกรธ ข้ากับเคลมันต่างกัน เจ้านั่นมันดีแต่ใช้เวทย์มนตร์โจมตีข้าศึกจากแถวสองเป็นอย่างเดียว หาเคยรบระยะประชิดตัวอย่างข้าไม่ อีกทั้งกองอัศวินของเรายังมีมากมายกว่า ไฉนจึงต้องเปรียบเทียบกับเคลด้วยเล่า
                    เหล่ารองแม่ทัพต่างอับจนปัญญาที่จะเกลี้ยกล่อมให้เจ้าชายอาทัสถอยทัพกลับ จึงได้แต่นั่งนิ่งฟังคำอธิบายแผนการสำหรับวันรุ่งขึ้นจากเจ้าชายของพวกเขา
                    พรุ่งนี้เวลาสิบนาฬิกาเราจะบุกชิงป้อมปราการเวลล์คืนมาจากพวกนั้น โดยกองกำลังทั้งหมดของพวกเราจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกนั้นจะต้องช่วยกันดึงดูดความสนใจของข้าศึก เพื่อหลอกล่อพวกมันให้หลงกลว่าพวกเรามีกำลังอยู่เพียงเท่านี้ ส่วนที่สองคือหน่วยจู่โจมให้นำทัพตามข้าอ้อมเข้าไปตีเมืองทางประตูส่งสินค้า และทันทีที่ข้าจุดพลุสีแดงให้สัญญาณให้ทุกคนทะลวงฝ่าแนวป้องกันของข้าศึกเข้ามาสมทบกันภายในปราการให้หมดทุกคน ใครมีข้อสงสัยอะไรไหม
                    ไม่มีคำถามใดหลุดมาจากผู้ฟังทำให้เจ้าชายสั่งเลิกการประชุมในทันที หลังจากที่จัดแบ่งหน้าที่ให้แต่ละหน่วยรับผิดชอบกันไปตามความสามารถของสมาชิกในหน่วยทุกๆคน
                    หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว เจ้าชายหนุ่มได้เปลี่ยนมานั่งลงที่บนเตียงนอนภายในกระโจมของเขา ท่านพี่ อย่าได้ทิ้งความหวังที่จะอยู่รอดนะ ข้าผู้นี้กำลังจะตามไปช่วยท่านแล้ว จากนั้นเจ้าชายหนุ่มได้ทำการดับไฟในตะเกียงทุกดวงในกระโจมของเขา ก่อนที่จะเข้านอนไปพร้อมกับจิตใจที่ยังสับสนในหลายๆเรื่อง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×