ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2 พันธะแห่งสัญญา
2 พฤษภาคม 1027
การต่อสู้ที่ประตูทางออกยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ในครั้งนี้ชันโดผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักรบเอลฟ์ที่ผู้แข็งแกร่งและกล้าหาญยากที่จะหาใครเปรียบ แต่ในวลานี้ต้องสละศักดิ์ศรีของตัวเขาเอง เพราะไม่มีอาวุธที่จะใช้ต่อกรกับเหล่าเซนทอร์ทำให้ตัวเขาจำต้องอาศัยความว่องไวในการหลบเพียงอย่างเดียว
ชารันดานั้นใช่ว่าจะไม่รู้ว่านักโทษของมันตั้งใจจะหนีเพียงอย่างเดียว มันจึงกล่าวถากถางชันโดไปพร้อมๆกับใช้ขวานหนักจามใส่ชันโด แต่ด้วยความเร็วที่ห่างชั้นกันมาก ทำให้มันไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะเข้าใกล้ตัวของชันโดได้
“แน่จริงอย่าหลบซิวะ” ชารันดาคำราม ขณะที่วิ่งไล่สับชันโดอย่างไม่คิดชีวิต
“ไม่หลบก็ตายสิเจ้าโง่” ชันโดตอบกลับ ตัวเขาก็รู้เช่นกันว่าพวกเซนทอร์มีความหยิ่งทะนงตน ทำให้โมโหได้ง่าย จึงใช้สงครามจิตวิทยาเข้าช่วยด้วย
“ยิง!!!” มันตะโกนบอกลูกน้องที่ยืนเรียงแถวกันอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำช่วยกันระดมยิงลูกดอกใส่ชันโด
ลูกดอกหลายสิบลูกที่พุ่งมาด้วยความเร็วสูงนั้นยากที่จะหลบให้พ้น ถึงแม้จะเป็นผู้ที่มีความรวดเร็วและว่องไวสูงอย่างชันโดก็เถอะ อย่างน้อยก็ต้องโดนบ้างสักดอกไม่ก็สองดอก
เป็นจริงดังคาด เมื่อดอกหนึ่งปักเข้าที่ขาข้างซ้ายของชันโดทำให้เขาถึงกับทรุดฮวบลงไปทันที ส่งผลให้ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขาลดลงไปมากโข สังเกตได้จากการที่ชารันดาเริ่มที่จะจามขวานถูกตัวของเขาแล้ว
“เป็นไงละ ชันโดเจ้าหนีไม่พ้นแล้วแหละ” ชารันดายิ้มอย่างมีชัย ขณะที่กำลังเคลื่อนตัวเขามาหาชันโดที่บาดเจ็บอยู่
“หนอยแนะแก...”
ในสถานการณ์แบบนี้ความหวังที่ชันโดจะรอดชีวิตนั้นมีความเป็นไปได้พอๆกับตามหามังกรทองสักตัวก็เป็นไปได้ ในเมื่อขาข้างที่เจ็บถูกกลีบเท้าของเซนทอร์เหยียบไว้เพื่อไม่ให้ขยับเขยื้อน ร่างที่สูงใหญ่กว่าตนยืนอยู่ตรงหน้า ยกขวานหนักขึ้นเตรียมทำการสังหารอย่างเลือดเย็น
“มีอะไรจะสั่งเสียไหมชันโด”
บุรุษเอลฟ์ไม่ได้สนใจคำพูดของเซนทอร์แต่อย่างไร เขาเพียงทำการรวบรวมสมาธิ พร้อมกับทำใจของตนให้สงบนิ่งเพื่อรอรับความตายที่กำลังจะมาเยือนเขาในไม่ช้า
ขวานถูกเหวี่ยงอย่างรุนแรง เป้าหมายของคมขวานคือคอของชันโด แต่ก่อนที่มันจะไปถึงกระบี่สีเงินเล่มหนึ่งได้ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับหยุดขวานเล่มนั้นเอาไว้
บุรุษหนุ่มผมสีเงินปรากฏตัวขึ้นข้างชันโด มือขวาจับด้ามของกระบี่ยาวที่ใช้กันคมขวานของชารันดาไว้แน่น เขาหันไปมองชันโดครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะหันมาจ้องหน้าเซนทอร์ที่ดูแล้วสูงกว่าเขาหลายเท่าตัวนัก
“บังอาจ”
แต่แล้วความโกรธของชารันดาต้องเปลี่ยนเป็นความตกใจแทน เมื่อเหล่าเซนทอร์ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำร้องโหยหวนเหมือนกับคนที่ถูกเผาทั้งเป็น เมื่อมันหันไปมองก็พบกับเหล่าลูกน้องที่ตกอยู่ท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกโชน
“วิชาเพลิงมาร...พวกมนุษย์งั้นรึ??”
ลูเซียสอาศัยช่วงจังหวะที่กำลังโกลาหลอยู่นี้สะบัดกระบี่ยาวของตนใส่ชารันดาที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ผลที่ได้กลับตรงข้าม ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเกิดขึ้นบนผลหนังอันหยาบกร้านของมัน ส่วนตัวของลูเซียสนั้นถูกผลสะท้อนกลับของพลังกระแทกให้กระเด็นออกไปหลายเมตร กระบี่ยาวในมือกระเด็นตกน้ำไป
“เคล็ดคืนสนอง สุดยอดวิชาสายต่อสู้ของพวกเซนทอร์”
ชันโดที่เห็นโลกมานานจึงรู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูเซียส เขาพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่เป็นเพราะลูกดอกอาบยาพิษของพวกเซนทอร์จึงทำให้เขาไม่สามารถทำได้ เขาเพิ่งจะรู้สึกว่าร่างกายของตนเองแข็งราวกับว่าถูกทำให้กลายเป็นหิน
ลูเซียสก็สลบไปแล้วด้วยแรงกระแทกเมื่อครู่ เบนที่กำลังจัดการกับเซนทอร์ทั้งฝูงอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำก็เป็นไปไม่ได้ที่จะผละจากการต่อสู้เพื่อมาช่วยเหลือ ชันโดเห็นเช่นนั้นจิตใจที่เริ่มพองโตกลับไปห่อเหี่ยวอีกครั้ง
นับว่าโชคยังเข้าข้างชันโดอยู่บ้าง เมื่อศาสตราวุธสีเงินได้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า พร้อมกับส่องแสงที่สว่างจ้าออกมา ทำให้ทุกคนที่อยู่ ณ บริเวณนั้น ยกเว้นชันโดที่สวมผ้าปิดตาเอาไว้ เกิดอาการตาพร่ามัวไปชั่วขณะหนึ่ง รอยสักตามร่างกายของนักรบเอลฟ์ส่องแสงคล้ายๆกันออกมาตอบรับศาสตราวุธชิ้นนั้น ชันโดผู้เป็นเจ้าของจึงร้องเรียกมันทันที
“ทิมบอร์”
ศาสตราวุธทั้งสองชิ้นหายไปจากท้องฟ้า ก่อนที่จะปรากฏอีกครั้งบนมือทั้งสองข้างของชันโด ทิมบอร์นั้นมีพลังของชันโดส่วนหนึ่งบรรจุเอาไว้ เมื่อมันกลับมาอยู่ในมือของเจ้าของที่กำลังบาดเจ็บ พลังนั้นจึงถ่ายทอดกลับไปหาเจ้าของเดิม
ชันโดลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม แตกต่างกับก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง มือทั้งสองข้างกำแน่นที่ด้ามจับของทิมบอร์ข้างละอัน แผลที่ขาและพิษในร่างกายหายไปราวกับมันไม่เคยมีมาก่อน พละกำลังก็กลับมาเต็มเปี่ยมเหมือนกับเมื่อเก้าร้อยปีก่อน
“ชารันดา เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนแกว่าข้าเอาแต่หนีใช่ไหม”
เมื่อตาของชารันดาเริ่มจะมองเห็นอีกครั้ง มันก็ได้พบกับภาพที่เลวร้ายที่สุด ชันโดที่ยืนอยู่ตรงหน้ามันพร้อมกับทิมบอร์ ศาสตรวุธในตำนานของเอลฟ์ที่ว่ากันว่าสามารถตัดได้แม้แต่เหล็กกล้า ใบหน้าของมันเปลี่ยนจากมั่นใจเป็นหวาดกลัวในทันใด
“นี่เจ้าหนูมนุษย์ที่อยู่ฝั่งโน้นนะ ถ้าจัดการทางนั้นเรียบร้อยแล้ว เจ้าช่วยมารับเอาร่างของเจ้าหนูผมสีเงินไปด้วยนะ แล้วเจอกันที่เนินเขาทางใต้” ชันโดตะโกนบอก ซึ่งเบนก็พยักหน้าตอบกลับเขาครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะหันจัดการกับพวกเซนทอร์ต่อ
ชันโดหันมาจ้องหน้ากับชารันดาอีกครั้ง เขาสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจของเซนทอร์ตัวนี้ ชันโดค่อยๆก้าวเดินเข้าไปหามันอย่างช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้มอันน่ากลัว
“ไม่เคยมีศาสตราชิ้นไหนในโลกทำอันตรายแก่ตัวข้าได้”
ชารันดาคำรามออกมาด้วยเสียงที่สั่นๆ ส่งผลให้เสียงนั้นฟังดูไม่น่ากลัวเลยสักนิด แต่มันกลับยิ่งทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของชันโดกว้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะขอเป็นผู้พิสูจน์ละกัน” สิ้นเสียงร่างของชันโดได้หายไปจากจุดที่ยืนอยู่เมื่อครู่ทันที
บุรุษชาวเอลฟ์ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งกลางอากาศเหนือหัวของเซนทอร์ไม่ถึงสองฟุต ชันโดเหวี่ยงดาบฟันใส่ศัตรูของมันอย่างรวดเร็ว
ชารันดานั้นไม่ใช่นักรบปลายแถวเหมือนกับพวกผู้คุมตัวอื่นๆ ทำให้มันยังพอมีฝีมืออยู่บ้าง เซนทอร์ยักษ์เหวี่ยงขวานหนักของมันใส่เป้าหมายที่กำลังพุ่งเข้ามาหาด้วยแรงอันมหาศาล หมายจะให้ตายไปด้วยกันทั้งคู่
แม้ว่าทิมบอร์จะมีอาณุภาพร้ายแรงกว่าศาสตราวุธทั่วไปก็จริง แต่การที่จะดึงศักยภาพของมันออกมาใช้อย่างเต็มที่นั้นต้องส่งพลังทั้งหมดของร่างกายไปยังตัวดาบ ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ไปชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งในตอนนี้ชันโดกำลังประสบกับปัญหานั้นอยู่
ชันโดใช้ทิมบอร์อีกเล่มหนึ่งในมือข้างซ้ายต้านขวานหนักอันทรงพลังของศัตรูเอาไว้ ทว่าเมื่อเขาถ่ายพลังทั้งหมดไปยังเล่มที่อยู่ในมือขวาแล้ว ทิมบอร์เล่มนี้จึงไม่ต่างกับดาบธรรมดาๆทั่วไป มีผลทำให้ไม่สามารถต้านรับพลังโจมตีอันมหาศาลของชารันดาเอาไว้ได้
รอยยิ้มอย่างมีชัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเซนทอร์ผู้นี้อย่างเห็นได้ชัด “ถ้ากำจัดจอมปีศาจอย่างมันไปได้ตนหนึ่ง แม้ตัวข้าจะต้องตายก็ไม่เสียใจ” มันคิดเช่นนั้น
แต่เห็นการกลับไม่เป็นไปอย่างที่มันคิด เมื่อขวานหนักของมันฟันโดนแต่อากาศธาตุ ร่างของชันโดหายไปต่อหน้าต่อตามันก่อนที่ขวานจะถูกตัวไม่ถึงหนึ่งวินาที
ชันโดปรากฏตัวอีกครั้งตรงหน้าของมัน โดยเว้นระยะห่างเอาไว้สักก้าวถึงสองก้าว บุรุษเอลฟ์ยืนอยู่ในท่าที่สงบนิ่ง มือทั้งสองข้างทิ้งดิ่งตามแรงโน้มถ่วงของโลก
เซนทอร์ยักษ์เห็นเป็นโอกาสเหมาะที่จะโจมตีเข้าใส่ศัตรูที่ยังหยุดนิ่งอยู่ มันรีบตรงเข้าไปหาร่างนั้นทันที่ก่อนที่จะยกขวานขึ้นเหนือหัวเตรียมที่จะจามลงมาด้วยแรงอันมหาศาล
ก่อนที่คมขวานจะถูกตัวของชันโด ร่างของบุรุษผู้นี้ก็พลันหายไปจากจุดที่ยืนอยู่และไปปรากฏอยู่อีกที่หนึ่งที่ไม่ไกลกันนักพร้อมกับยืนอยู่ในท่าสงบนิ่งดังเดิม แม้ว่าเซนทอร์ตัวนี้จะโจมตีใส่อีกกี่ครั้งผลที่ออกมาก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
และในครั้งสุดท้ายที่เซนทอร์จะมีโอกาสเดินมาหา ชันโดลืมตาขึ้นทำให้เซนทอร์ยักษ์ต้องหยุดอยู่กับที่ พร้อมกับเสียงของเบนที่ดังขึ้นจากด้านหนังเขา
“ผนึกพสุธา”
รากไม้นับพันปรากฏขึ้นที่ขาทั้งสี่ข้างของเซนทอร์ก่อนที่จะพันธนาการมันเอาไว้
ชารันดาพลันมองไปยังฝั่งตรงข้ามก็พบกับร่างไร้วิญญาณของเซนทอร์ตัวอื่นๆนอนเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด และส่วนใหญ่เป็นสีดำเกรียมทำให้มันรู้ถึงชะตากรรมของตนเอง จึงไม่คิดขัดขืนคาถาผนึกพสุธาเลยแม้แต่น้อย
เบนสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเซนทอร์ จึงกล่าวออกไปว่า
“ท่านชันโดข้าว่าปล่อยมันผู้นี้ไปเถิด ถึงฆ่ามันไปก็ไม่เกิดประโยชน์อันใดมากไปกว่านี้แล้ว”
ชันโดได้ฟังดังนั้นก็พลันสลายดาบทั้งสองเล่มในมือให้กลายอากาศธาตุทันที ก่อนจะเดินไปอุ้มร่างของลูเซียสขึ้นมาบนไหล่ และเดินทางจากไปทันทีโดยมีเบนเดินตามหลังเขาออกไปพร้อมกับแสงของดวงอาทิตย์วันใหม่ที่กำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้า ทิ้งให้เซนทอร์ยักษ์ตะลึงกับปาฏิหาริย์ทีทำให้มันรอดชีวิตมาได้
หลังจากที่สัญญาณขอความช่วยเหลือจากป้อมเวลล์ถูกส่งเข้ามา อาทัส เจ้าชายแห่งราชอาณาจักรเรมัส และ รักษาการประธานคณะอัศวินหัตถ์ทองคำจึงได้ออกคำสั่งจัดทัพอย่างเร่งด่วน
เจ้าชายหนุ่มชาวเรมัสเคลื่อนทัพไปยังมหาวิหารไอเรนอส วิหารศักดิ์สิทธิ์ที่เหล่าอัศวินสร้างขึ้นเพื่อบูชา มาร์ เทพเจ้าแห่งสงคราม ต่างเชื่อกันว่าในเวลาสงครามหากขอพรจากเทพบุตร มาร์ การศึกจะเอื้อให้ชนะได้โดยง่ายและ อาทัสก็เชื่อแบบนั้นเช่นกัน
หลังจากอธิษฐานขอพรจากเทพแห่งสงครามเสร็จ กองทัพอัศวินหัตถ์ทองคำก็ได้เคลื่อนขบวนผ่านซุ้มประตูเมืองทางใต้ โดยมีจุดหมายคือเวลล์
การเดินทางจากเรอามัสซึ่งเป็นเมืองหลวงไปยังเวลล์นั้นหากเดินทางด้วยม้าก็คงใช้เวลาหลายวันอยู่ แต่นั่นหาใช่ปัญหาของกลุ่มอัศวินเหล่านี้ไม่ เนื่องจากม้าของอัศวินเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นอาชาสายพันธุ์แบริก สายพันธุ์ที่ขึ้นชื่อว่าเร็วที่สุดในเวลานั้น ซึ่งทำให้การเดินทางในครั้งนี้ใช้เวลาเพียงหนึ่งวันก็เกินพอ
การเดินทางในครึ่งวันเช้าเป็นไปได้ด้วยดี ในช่วงเที่ยงพวกเขาหยุดพักม้ากันที่หมู่บ้านเอบิ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่อยู่ระหว่างทาง ทำให้เจ้าชายอาทัสได้มีโอกาสเยี่ยมชมความเป็นอยู่ของประชาชนที่อาศัยอยู่ภายใต้การปกครองของราชอาณาจักรเรมัสเป็นครั้งแรก
ระหว่างที่รอให้ม้าหายเหนื่อย เหล่าอัศวินทั้งหลายก็ได้จัดยามเฝ้าระวังภัยรอบๆหมู่บ้านแห่งนี้อย่างหนาแน่นและรัดกุม ประมาณว่าแมลงสักตัวก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของพวกเขาไปได้
อาทัสนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งใจกลางสวนดอกกุหลาบของชาวบ้าน ชายหนุ่มปล่อยจิตใจให้ล่องลอยไปกับสายลม เขายิ้มอย่างมีความสุข ก่อนที่จะเคลิ้มหลับไป
เวลาผ่านไปชั่วโมงเศษ จึงมีเสียงหญิงผู้หนึ่งดังขึ้นพร้อมกับเขย่าร่างของชายหนุ่ม
“เจ้าชายๆ เจ้าชายค่ะตื่นได้แล้วค่ะ”
อาทัสลืมตาขึ้นช้าๆ ทันทีที่เปลือกตาเปิดเต็มที่ ภาพแรกที่เห็นคือใบหน้าของหญิงสาวผู้เลอโฉม เรือนผมสีทองกับดวงตาสีฟ้าซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาวเรมัส ผิวพรรณที่ผุดผ่องแสดงถึงการดูแลอย่างดี เพียงแค่แรกเห็นหัวใจของอาทัสก็เต้นแรงขึ้นกว่าเก่าเป็นเท่าตัว
“เจ้าชายค่ะ ท่านพ่อให้มาตามค่ะ บอกว่าม้าของพวกท่านหายเหนื่อยแล้วเตรียมตัวออกเดินทางต่อได้แล้วค่ะ”
อาทัสกล่าวขอบคุณไปทีหนึ่ง พลางลุกขึ้นยืน ก่อนจะกล่าวถาม “เจ้าเป็นลูกสาวของอาเบกอส งั้นรึ?”
“ถูกต้องค่ะ ข้าน้อยเป็นบุตรสาวของอาเบกอส รูฟาดาร์ ชื่อ โซเฟีย รูฟาดาร์ ค่ะ” นางตอบ
“แล้วข้าจะจำชื่อของเจ้าไว้” อาทัสบอก ก่อนที่เขาจะเดินออกจากสถานที่แห่งนั้น เจ้าชายหนุ่มเดินตรงไปยังบ้านพักของหัวหน้าหมู่บ้าน ซึ่งใช้เป็นที่พักม้าในทันที
เมื่อเขามาถึงก็พบว่าเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาได้มาครบกันแล้ว อาทัสจึงเดินเข้าไปในบ้านพักเพื่อกล่าวขอบคุณและอำลาหัวหน้าหมู่บ้านที่ชื่ออาเบกอส ก่อนที่จะกระโดดขึ้นหลังม้าและควบมันนำกองทัพอัศวินเดินทางต่อไป
การเดินทางในครึ่งวันหลังนี้เปลี่ยนการจัดขบวนทัพใหม่ โดยมีหน่วยป้องกันประจำไว้ทุกทิศทางและมีกำลังหลักซึ่งประกอบด้วยตัวเจ้าชายเองอยู่ตรงกลาง ที่ต้องทำแบบนี้ก็เพราะว่าเมื่อเข้าสู่สมรภูมิรบแล้วตัวเจ้าชายซึ่งเป็นแม่ทัพจะไม่ได้อันตราย
แต่การเดินทางครึ่งวันหลังนี้ไม่ได้เรียบง่ายเหมือนดังตอนเช้าเลย ระหว่างทางที่จะไปป้อมเวลล์ ได้มีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายปรากฏตัวขึ้นขวางทางเคลื่อนทัพของอาทัส มีจำนวนนักรบเพียงห้าร้อยนาย ซึ่งน้อยกว่าของอาทัสเป็นเท่าตัว
ทันทีที่เจ้าชายหนุ่มได้เห็นหน้าของแม่ทัพฝั่งนั้นอย่างชัดเจนจึงกล่าวทักทายออกไปตามมารยาท “สวัสดี เคล ไม่ได้เจอกันนานนะเพื่อน สบายดีหรือเปล่า” เคล นั้นเป็นเจ้าชายแห่งราชอาณาจักรเรมัสเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าไม่ได้สืบเสื้อสายมาจากกษัตริย์ไอรอสดังเช่น อันเซล อาทัส และ จาเนีย
“เจ้าชายอาทัสแห่งราชอาณาจักรเรมัส ว่าที่ประมุขคนต่อไป ไม่ทราบว่าเดินทางข้ามมายังเขตแดนของข้านี้เพื่อจุดมุ่งหมายอันใด หรือเพียงแค่จะมาเที่ยวชมป่าเขาลำเนาไพรที่พวกท่านอัศวินหัตถ์ทองคำไม่สามารถหาดูได้ภายในบริเวณเมืองหลวง คงไม่ใช่สินะ สงสัยจะเป็นเรื่องที่ป้อมเวลล์”
อาทัสพยักหน้า ก่อนที่จะกล่าว “หากเจ้ารู้แล้วใยยืนเฉย ไม่เปิดทางให้กองทัพของข้าเคลื่อนพลไปยังเป้าหมายเล่า”
“เพราะข้าไม่ชอบขี้หน้าเจ้ายังไงละ อาทัส เจ้าคนที่หลงใหลในอำนาจจนลืมตัวเองอย่างเจ้านะ จะรู้จักคุณค่าของชีวิตรึเปล่าก็ไม่รู้ รู้หรือไม่ว่าสัญญาณที่ป้อมเวลล์ส่งออกไปนั้นนะ เป็นกลลวงของข้าศึก พวกมันยึดที่นั่นได้ตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว”
อาทัสเป็นคนที่มีนิสัยเชื่อมั่นในตนเองสูงมาก เมื่อตัดสินใจแล้วเขาก็คงไม่ยอมถอยง่ายๆเป็นแน่แท้ เจ้าชายอาทัสสั่งให้กองทัพของตนพุ่งทะลวงฝ่ากองทัพอัศวินของเจ้าชายเคลออกไป
เคลนั้นก็ไม่ใช่คนโหดเหี้ยมที่จะปล่อยให้ลูกน้องของตนเองตายไปต่อหน้าต่อตา เมื่อเห็นว่าเกลี้ยกล่อมอาทัสไม่ได้แล้วจึงสั่งให้เหล่าขุนศึกเปิดทางให้กองทัพของอาทัสวิ่งผ่านไปอย่างสะดวก โดยไม่ต้องมีการปะทะหรือนองเลือดแต่อย่างใด
“จะดีหรือขอรับท่านเคล ปล่อยท่านอาทัสไปอย่างนั้นนะ” รองแม่ทัพถาม
“ไม่ต้องห่วงหรอก เฟมัส เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของใครได้หรอกนะ เมื่อมันถูกกำหนดแล้ว เราก็สมควรจะปล่อยมันไป หวังว่าเจ้าคงจะเข้าใจนะ แต่ถึงแม้จะเป็นไปตามคำทำนายก็เถอะนะ เราจะเป็นคนที่หยุดเจ้าหมอนั่นเอง เดิมพันด้วยเลือดทุกหยดของข้าเลย”
เคลและกองทัพของเขายืนดูกองทัพของอาทัสที่เพิ่งจะเคลื่อนผ่านไปจนพ้นระยะสายตาจะมองเห็น จากนั้นจึงเคลื่อนทัพของตนไปยังหมู่บ้านเอบิ เพื่อใช้เป็นที่พักแรมสำหรับราตรีที่กำลังจะมาถึง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น