ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 สู่อิสรภาพ
2 พฤษภาคม ปี 1027
ณ เรือนจำอาเกรูรัส ซึ่งเป็นสถานที่คุมขังขนาดใหญ่ของชาวเอลฟ์ ที่สร้างขึ้นโดยการผสมผสานความรู้ของชาวเอลฟ์เข้ากับเทคโนโลยีของมนุษย์ในสมัยนั้น ตัวอาคารจึงถูกสร้างโดยการนำเอาอิฐก้อนมาเรียงกันเป็นชั้นๆ ก่อนที่จะฉาบปูนทับเข้าไปอีกที และผสมผสานกับการใช้เวทย์มนตร์โบราณที่แข็งแกร่งของชนเผ่าเอลฟ์ทำให้การที่จะหลบหนีออกไปทำได้ยากยิ่ง
แต่ทว่าที่ผิดแปลกออกไปนั้นคือ เรือนจำอากูเรรัสแห่งนี้หาใช่สถานที่คุมขังนักโทษทั่วไปไม่ คนที่จะถูกส่งให้มาคุมขังไว้ที่นี่ล้วนแต่ต้องโทษประหารหรือไม่ก็จำคุกตลอดชีวิตเท่านั้น หรือจะเรียกถูกคือเป็นสถานที่คุมขังตัวอันตรายของสังคมก็ว่าได้
“ครบปีที่ 900 แล้วสินะ” บุรุษผู้หนึ่งเอ่ยกับตนเองเบาๆ
หากจะกล่าวถึงนักโทษของเรือนจำแห่งนี้แล้วละก็ ชันโด สตรองเชย์ ผู้นี้คงจะต้องถูกจารึกชื่อเอาไว้เป็นแน่แท้ เพราะตัวเขาเป็นนักโทษที่เหลืออยู่และเป็นคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ภายในเรือนจำแห่งนี้อีกด้วย บุรุษผมสีฟ้ายาว ลูกผสมระหว่างเอลฟ์กับอสูรแห่งราตรีกาล เขามักจะโพกผ้าปิดตาสีน้ำเงินเข้มเสมอไม่ว่าจะเวลาไหน อายุเห็นจะมากกว่า 1000 ปีก็เป็นไปได้
“ครบ 900 ปี สงสัยท่านฟีรันคงจะปล่อยเจ้าไว้อย่างนี้จริงๆแล้วสินะ” เซนทอร์ตัวที่ยืนเฝ้าประตูหันมาบอกแก่ชันโด โดยมีเจตนาจะให้มันมีผลกระทบทางจิตใจแก่เขาบ้างไม่มากก็น้อย แต่ชันโดกลับยืนนิ่งไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆทั้งสิ้น
ชันโด สตรองเชย์ นั้นเป็นผู้ที่มีทั้งพละกำลังและมันสมองเป็นเลิศ ระบบรักษาความปลอดภัยในเรือนจำอื่นจึงไม่สามารถฉุดรั้งบุคคลผู้นี้เอาไว้ได้ แต่ที่นี่มันต่างออกไป ไม่ใช่ปลอกแขนนักโทษที่ทำให้เขาไม่สามารถใช้พลังออกมาได้เต็มที่ แต่เป็นเพราะเวทย์มนตร์ที่ปกคลุมห้องของเขาถูกร่ายโดยบุรุษผู้ที่เป็นทั้งผู้นำและพี่ชายของเขา
“โอ้ว อย่าโกรธข้าเลย ชันโด ข้าพูดตามความจริงนี่” เซนทอร์บอก แต่ชันโดไม่ได้สนใจคำพูดของผู้คุมคนนี้สักเท่าใด เขานั่งลงในท่าขัดสมาธิก่อนที่จะทำการสะกดใจของตนเองให้สงบนิ่ง
“ข้าได้ข่าวว่า ท่านฟีรันนะ ตายไปตั้งนานแล้ว รู้สึกว่าจะเป็นหลังจากที่มาร่ายเวทย์มนตร์สะกดพลังของเจ้านี่แหละ หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้พบกับเขาเลย” เสียงของเซนทอร์ตัวเดิม แต่กลับทำให้ความรู้สึกของชันโดเปลี่ยนไปในทันใด เขาหลุดจากสมาธิ และถามออกไปด้วยความโกรธ
“เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน? ถ้าท่านพี่สิ้นชีพไปแล้วจริง มนตร์เหล่านี้ต้องสลายไปพร้อมกับร่างกายของเขามิใช่หรือ? เจ้าตอบคำถามของข้ามา” เซนทอร์ตกใจเป็นอย่างมากที่เห็นปฏิกิริยาของชันโด เขารีบถอยห่างออกมาจากประตูห้องสักสองถึงสามก้าว
ชันโดลุกขึ้นยืนอย่างองอาจ ในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะสืบเสาะหาความจริงเกี่ยวกับพี่ชายของตน นี่นับเป็นความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ในรอบหลายร้อยปีของบุรุษผู้นี้เลยก็เป็นได้ เขาบังคับให้พลังเวทย์ทั้งหมดของตนเคลื่อนที่มารวมตัวกันบริเวณหน้าอก ก่อนที่จะระเบิดพลังทั้งหมดออกมา
ทว่าสิ่งที่อยู่เกินความคาดหมายของนักรบผู้นี้ก็ยังปรากฏออกมาให้เห็นอีกครั้ง เมื่อพลังทั้งหมดที่เขาปลดปล่อยออกไปนั้นมีพลังทำลายเพียงน้อยนิด การระเบิดพลังครั้งนั้นส่งผลแค่ภายในห้องขังแห่งนี้เท่านั้นหาได้ส่งผลไปยังด้านนอกไม่ ฟีรันอาจจะคำนวณไว้ก่อนแล้วว่าสักวันชันโดต้องพยายามที่จะแหกคุกออกมา จึงได้ลงคาถาป้องกันพลังและคาถาสะท้อนพลังเอาไว้ที่ผนังห้องทุกด้านก็เป็นไปได้
“คมดาบนั้นคืนสนอง” เซนทอร์มองดูสภาพอันน่าสมเพชของชันโดที่เสื้อนักโทษฉีกขาด เผยให้เห็นรอยสักนับร้อยหรืออาจจะมากกว่านั้นบนร่างกายของบุรุษผู้นี้ ควันสีดำที่ลอยคลุ้งจากตัวของเขา
“ข...ข้า....ข้า.....ข้ายังไม่ยอมแพ้หลอกน่า” ชันโดตะเกียกตะกายลุกขึ้นอย่างน่าสมเพช พลังทั้งหมดที่มีเหมือนว่าจะถูกใช้ไปหมดแล้วตั้งแต่เมื่อครู่
“ชันโด เจ้าจงอยู่อย่างสงบภายในนี้เถิด เจ้ามันตัวอันตรายรู้ตัวบ้างหรือไม่” เซนทอร์บอก
“ข้านะหรือ? ข้าเป็นตัวอันตรายอย่างนั้นหรือ? พวกนั้นจับข้ามาขังไว้ที่นี่ไม่ใช่เพราะข้ามีเลือดของอสูรไหลเวียนอยู่ในร่างกายหรอกหรือ ไม่ใช่เพราะข้ามีกำลังกายที่แข็งแกร่งกว่าเอลฟ์ตนอื่นหรอกหรือ อันที่จริงตัวข้านั้นยังไม่เคยทำอะไรใครเลยด้วยซ้ำไป” ชันโดกล่าว เขากลับมายืนขึ้นได้อีกครั้งอย่างไม่มั่นคงเซไปเซมาราวกับคนที่ไร้ซี่งพละกำลัง
“นั่นก็ถูกของเจ้า” เซนทอร์ตอบตามจริงอย่างที่มันเห็น
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็จงปล่อยข้าไปสิ ข้าไม่ได้เป็นตัวอันตรายอย่างที่ทุกคนคิดสักหน่อย”
ผู้คุมเกิดความสับสนขึ้นในจิตใจ ด้วยคำพูดของชันโดนั้นก็เป็นจริงดังที่ว่ามา เขาไม่เคยทำร้ายผู้ใดก่อนเลยสักครั้งเดียว แต่นี่เป็นคำสั่งของท่านฟีรันผู้เป็นใหญ่แห่งชาวพงไพร หากเขาละเลยต่อหน้าที่โดยปล่อยชายคนนี้ไป ครอบครัวของเขาจะต้องโดนตามล่าเป็แน่แท้
แต่ก่อนที่เขาจะได้ตัดสินใจเอ่ยปากออกไป มัจจุราชก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆ โดยไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจให้ทั้งผู้คุมและชันโดได้ยิน เงาสีดำค่อยๆคืบคลานเข้ามาใกล้ๆกับห้องขังแห่งนี้ แต่ดูเหมือนการมาเยือนครั้งนี้ของมัจจุราชออกจะประมาทมากไปหน่อย เมื่อชันโดสามารถรับรู้ถึงการมาของเขาได้อย่างชัดเจนและกล่าวเตือนแก่ผู้คุม
“ระวัง!!! ศัตรู ข้างหลัง” ชันโดตะโกนออกไป ทำให้เซนทอร์ที่กำลังครุ่นคิดอยู่รู้สึกตัวและหันไปมองตามทางเดิน ซึ่งตอนนี้มันยังคงว่างเปล่า
“เจ้าอำข้าเล่นรึ ไม่ตลกเลยนะ สำหรับอดีตนักรบผู้ยิ่งใหญ่นี่” เขาหันมาหาชันโดอีกครั้ง ใบหน้าเป็นสีแดงเข้มด้วยความโกรธ
ช่วงเวลานี้แหละที่มัจจุราชผู้นี้กำลังรอคอยอยู่ เมื่อมีความโกรธมักจะขาดสัญชาตญาณในการป้องกันตัวไปเสียส่วนหนึ่ง กล่าวคือบัดนี้ผู้คุมเปิดช่องว่างให้ตัวมันสามารถโจมตีได้อย่างสบายๆ โดยไม่เปลืองแรงเลยแม้แต่น้อย มันปรากฏตัวออกมาจากที่ซ่อน พร้อมกับพุ่งเข้าหาร่างอันมหึมาของเซนทอร์จากด้านหลัง กระบี่ถูกชักออกจากฝักอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะแทงเข้าที่กลางหลังของเซนทอร์ตัวนี้จนทะลุไปถึงหน้าอก
เซนทอร์สิ้นใจในทันที ส่วนชันโดนั้นถึงกับตาค้างเมื่อได้เห็นการเคลื่อนที่ของบุคคลที่ตัวเขาคิดว่าเป็นมัจจุราชมาคราดชีวิตของเซนทอร์ตัวนี้ “แกเป็นใคร” เขาถามด้วยอาการสั่นๆ ไม่ใช่เพราะความกลัวแต่เป็นเพราะได้พบกับบุคคลที่น่าจะมีฝีมือเท่าเทียมกันแล้ว
มันเปิดผ้าคลุมหน้าสีดำออก ทำให้เห็นใบหน้าอันงดงามของบุรุษหนุ่มผมสีเงินซึ่งน่าจะมีอายุราวๆ 18 ปี เสื้อคลุมสีดำที่มันสวมใส่นั้นช่วยให้สามารถพลางกายในความมืดได้เป็นอย่างดี คมกระบี่ที่เปื้อนเลือดนั้นมันหาได้เก็บเข้าฝักไม่แต่ยังถือไว้ในมือ และก้าวเดินเข้าไปหาชันโดอย่างช้าๆ
ฉับ!!!
ม่านเวทย์มนตร์ที่ใช้กักขังชันโดไว้ภายในห้องขังได้ถูกตัดขาดลงด้วยดาบเล่มนั้นและแสงจากม่านเวทย์มนตร์ถูกมันดูดกลืนเข้าไปจนหมด มัจจุราชหนุ่มยังคงไม่ปริปาก เพียงแต่ตอนนี้มันเก็บดาบเข้าฝักเรียบร้อยแล้ว มันเดินตรงเข้ามาภายในห้องพร้อมกับแสดงคำทักทายแก่ผู้ที่อยู่ภายใน
“ข้า ลูเซียส ฟาราเรนซ์ ขออภัยที่ทำให้ตกใจ”
“ฟาราเรนซ์? เจ้าหนูอย่าบอกนะ ว่าเจ้าเป็นยมทูต” ชันโดเหมือนจะมีความทรงจำเกี่ยวกับตระกูลฟาราเรนซ์อยู่ เขาเคยรู้จักกับใครคนหนึ่งในนั้น รู้จักบุคคลผู้นั้นในฐานะ ‘ยมทูต’
“ถูกของท่าน ข้าเป็นหนึ่งในยมทูต” ลูเซียสตอบ “ข้ามาที่นี่ ด้วยมีกิจอันใหญ่หลวงนักจะให้ท่านช่วย”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชันโดอย่างเห็นได้ชัด เขารู้สึกปิติยินดีนักที่ได้พบกับเด็กหนุ่มผู้นี้ที่ซึ่งอายุต่างกันหลายชั่วอายุคนก็ว่าได้
“เจ้าจะให้ข้าช่วยการอันใดงั้นรึ” ชันโดถามแบบหยั่งเชิง พร้อมกับเดินเข้าไปหาลูเซียสจนร่างของทั้งสองอยู่ห่างกันไม่ถึงสามฝ่าเท้า
“ข้าได้ยินว่าท่านเป็นน้องชายของท่านฟีรัน”
ชันโดพยักหน้าตอบ “เจ้ามีธุระกับท่านพี่ของข้างั้นรึ” เขาตอบกลับลูเซียสอย่างรู้ทัน
ลูเซียสพยักหน้าตอบเขาเช่นกัน ก่อนที่จะเดินถอยหลังออกมาสักสี่ห้าก้าว “ก็ไม่เชิง ข้ามีธุระกับท่านทั้งสองคน ไม่ทราบว่าท่านจะช่วยข้าตามหาท่านฟีรันได้หรือไม่”
“มีข่าวว่าเขาตายไปแล้ว” ชันโดตอบ “หากเขาตายไปจริงๆ งานของเจ้าจะเป็นเยี่ยงไร”
“ไม่มีปัญหาหรอก กิจของข้านั้นต้องเสี่ยงด้วยชีวิตถึงจะแลกมาได้ แต่เพื่อการนั้นข้าจึงต้องขอยืมกำลังของผู้ที่มีพละกำลังแกร่งกล้า มีปัญญาที่เป็นเลิศจากทั่วสารทิศเพื่อให้สำเร็จลุล่วงไปอย่างราบรื่น ถึงจะขาดผู้ใดไปเสียผู้หนึ่ง แต่การของข้ายังคงต้องดำเนินต่อไป ว่าแต่ท่านเถิดจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเด็กรุ่นหลานของหลานของหลานท่านที่หารู้จักกันไม่รึเปล่าละ” คำตอบของลูเซียสเกินความคาดหมายของชันโดมาก เขามองเห็นปฏิภาณอันแรงกล้าที่ออกมาจากตัวของเด็กหนุ่มคนนี้ออกมาจากดวงตาสีเงินคู่นั้นได้อย่างชัดเจนจึงไม่กล้าที่จะปฏิเสธ
“ตกลง แต่เจ้าต้องช่วยข้าเรื่องหนึ่งก่อน ไม่ทราบว่าตัวเจ้าเองละ จะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อตัวข้าคนนี้หรือไม่” ชันโดบอก ซึ่งลูเซียสก็ตอบตกลงในทันที ชันโดจึงอธิบายภารกิจให้เด็กหนุ่มผู้นี้ฟังต่อ “เจ้าต้องเข้าไปยังห้องเก็บอาวุธของที่นี่ จงตามหาศาสตราวุธคู่ใจของเข้า ทิมบอร์ ข้าเรียกมันอย่างนั้น มันเป็นดาบคู่ที่รูปร่างคล้ายกับคันศรสีเงินแวววาว ความยาวของตัวดาบเทียบได้กับความสูงของเจ้าหรืออาจจะสั้นกว่าหน่อย และแน่นอนห้องแห่งนั้นถูกคุ้มกันไว้อย่างหนาแน่น เจ้าเข้าใจไหม”
ลูเซียสพยักหน้า “แล้วระหว่างนั้นท่านจะไปรออยู่ ณ ที่แห่งใด”
ชันโดคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เนินเขาสูงทางทิศใต้ หากเจ้านำทิมบอร์มามอบให้แก่ข้าได้ก่อนที่ตะวันแห่งวันใหม่จะโผล่พ้นขอบฟ้าละก็... ข้าจะยอมทำงานเพื่อเจ้า”
ลูเซียสเหลือบมองเครื่องมือบางอย่างที่ดูคล้ายกับนาฬิกาข้อมือ ทว่าหน้าปัดของมันไม่ได้แสดงเป็นตัวเลข ตอนนี้ตรงกลางเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว และวงกลมรอบข้างมีที่ส่องแสงอยู่หกวงและดับสนิทอยู่อีกหกวง ซึ่งหมายถึงเวลาเที่ยงคืน
“เหลือเวลาเพียงหกชั่วโมง” เขาบอกกับตัวเองก่อนที่จะวิ่งไปยังตำแหน่งที่ชันโดบอกไว้ด้วยความเร็วสูง
“แล้วเจอกันเจ้าหนู” ชันโดเองก็รีบวิ่งออกจากห้องขังไปเช่นกัน เขารีบรุดหน้าไปยังเนินเขาซึ่งเป็นจุดนัดพบอย่างรวดเร็ว
ใช่ว่าการหลบหนีของชันโดจะราบรื่นไว้อย่างที่ลูเซียสคิดไว้ เมื่อผู้คุมเรือนจำแห่งนี้หาได้มีตนเดียวไม่ ที่ปากประตูทางออกชันโดต้องพบกับเซนทอร์ฝูงใหญ่ที่มาดักรอเขาอยู่แล้ว และหนึ่งในนั้นก็เป็นหัวหน้าผู้คุม เซนทอร์ที่แข็งแกร่งที่สุด ณ ที่แห่งนี้นามของมันก็คือ ‘ชารันดา’
เซนทอร์ร่างมหึมานำกำลังมาเปิดกั้นสะพาน ณ บริเวณประตูทางออกของเรือนจำ ขวานหนักถูกถือด้วยมืออันหยาบกร้านทั้ง 2 ข้าง ส่วนเหล่าลูกสมุนบางก็ถือขวานตามอย่างหัวหน้าของพวกมัน บ้างก็ถือหน้าไม้และซองธนูไว้ด้านหลัง ชารันล่าเดินตรงเข้ามาหาชันโด ร่างมหึมาของมันสูงใหญ่กว่าชันโดถึงสองเท่า
โดยทั่วไปแล้วมนุษย์ในยุคสมัยนี้จะมีความสูงอยู่ที่ประมาณราวๆห้าถึงหกฟุต สำหรับเอลฟ์ทั่วไปนั้นประมาณหกถึงเจ็ดฟุต แต่สำหรับลูกครึ่งอสูรอย่างชันโดนั้นต่างออกไปร่างของเขาสูงเป็นเท่าครึ่งของเอลฟ์ทั่วๆไป แต่ชารันดากลับสูงกว่าเขาเป็นสองเท่าตัว หรือมีขนาดใหญ่กว่ามนุษย์ทั่วไปถึงสามเท่า
เซนทอร์หกถึงเจ็ดตัวที่ยืนเป็นแนวหลังหยิบลูกดอกออกมาจากซอง ก่อนที่จะติดตั้งมันลงมาที่หน้าไปเป้าหมายคือนักโทษที่กำลังจะหลบหนีออกไป ส่วนพวกแนวหน้านั้นพากันเคลื่อนที่ตามหลังหัวหน้าของพวกมันมาติดๆ เมื่อเห็นดังนั้นชันโดจึงกล่าวกับตัวเอง
“ถ้ามีมากมายขนาดนี้ เพียงลำพังตัวข้าคงจะฝ่าวงล้อมออกไปไม่ได้เป็นแน่แท้ หากแม้นตอนนี้มีทิมบอร์อยู่ใกล้ตัวคงจะมีโอกาสรอดมากกว่านี้ก็เป็นไปได้”
แต่แล้วเมื่อเซนทอร์ทั้งฝูงเดินหน้ามาถึงบริเวณกลางสะพาน เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันสำหรับพวกมันได้เกิดขึ้น คาถามารที่สาม ตัดขาดสลายพันธะ ได้ทำให้ตอหม้อสะพานหักเป็นสองท่อน จนเป็นเหตุทำให้ตัวสะพานถล่มลงมา และมีเซนทอร์สองถึงสามตัวตกลงไปพร้อมกับเศษสะพานด้วยเช่นกัน ชารันดาหันไปมองเหล่าสมุนตัวเองที่ตายไปจึงเกิดบันดาลโทสะ สั่งให้แนวหลังระดมยิงใส่ชันโดอย่างไม่หยุดยั้ง
ชายหนุ่มผมสีเงินมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งของห้องเก็บอาวุธที่เค้นข้อมูลมาจากพวกผู้คุมที่เคราะห์ร้ายมาพบกับเขาระหว่างทาง พร้อมกับท่องทิศทางเพื่อทบทวนทิศทางเสมอๆ
“เจอทางแยกแล้วเลี้ยวขวาสามครั้ง แล้วซ้ายสีครั้ง แล้วเดินตรงไป เลี้ยวขวาแล้วเลี้ยวซ้ายอีกที”
ในที่สุดบุรุษหนุ่มก็ได้มายืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่ซึ่งไร้การป้องกัน เพียงแค่ออกแรงดันเบาๆประตูบานนั้นก็เปิดออกในทันที ภายในเต็มไปด้วยศาตราวุธมากมายหลายชนิด แต่ชายหนุ่มหาได้สนใจสิ่งของเหล่านั้นไม่ ตัวเขารีบค้นหาอาวุธคู่กายของชันโดในทันที แต่แล้วกลับมีเสียงดังขึ้นจากมุมห้อง
“ท่านที่อยู่ตรงนั้น โปรดช่วยข้าน้อยออกไปที ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว”
ลูเซียสหันไปมอง เห็นเป็นบุรุษหนุ่มผมสีดำ สวมเสื้อผ้าแบบพวกพรานป่า ร่างของเขาถูกมัดติดกับเสาไว้ด้วยเชือกเส้นใหญ่ อีกทั้งมือทั้งสองข้างถูกยึดเอาไว้ด้วยปลอกแขนเหล็ก
ยมทูตหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปหาพรานคนนั้น ก่อนที่จะชักกระบี่ออกจากฝักด้วยความรวดเร็วพร้อมกับทำลายพันธนาการทั้งหมดลง
“ข้าต้องขอบคุณท่านมากที่ช่วยข้าออกมาจากตรงนั้น” พรานหนุ่มบอก แต่ลูเซียสไม่ได้สนใจในคำขอบคุณของชายผู้นี้เลย เขาถามกลับในเรื่องที่ต้องถามเท่านั้น
“เจ้าเป็นใคร? มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
เมื่อได้ยินดังนั้นพรานหนุ่มจึงตอบว่า “ตัวข้ามีนามว่า เบน เป็นชาวสเวโกรนโดยกำเนิด วันหนึ่งที่ข้าออกมาฝึกวิชากับพวกเพื่อนๆในป่าแห่งนี้ พวกเราก็ถูกพวกเซนทอร์ทำร้ายเอา แล้วพวกมันก็จับตัวข้ามาขังไว้ที่นี่”
ลูเซียสเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในคำบอกเล่าของพรานผู้นี้ เพราะหากถูกเซนทอร์จับมาจริงทำไมไม่ไปอยู่ในห้องขังเหมือนกับชันโดละ
หลังจากนั้นชายทั้งสองไม่ได้สนทนากันแต่อย่างใด ต่างคนต่างคนหาศาตราวุธที่ตัวเขาต้องการแต่บุคคลที่ทั้งสองไม่ต้องการก็ได้ปรากฏตัวขึ้น อัศวินสวมชุดเกราะสีเหลืองอ่อน และหมวกเหล็กสีเดียวกัน ที่มือข้างขวาถือดาบขนาดพอตัว มือซ้ายถือโล่ขนาดใหญ่ที่มีสัญญาลักษณ์ของอาณาจักรเรมัสประทับเอาไว้
“กายที่หลอมรวมเข้าเป็นหนึ่ง ธาตุที่สีแห่งโลก วิญญาณผู้นำพาแห่งปรโลกเอ๋ยจงฟังข้า คาถาเพลิงมารที่สอง โลกันย์ทลายโลกา”
มนตร์ที่เบนร่ายขึ้นปรากฏเป็นพายุเพลิงขนาดย่อมพุ่งเข้าใส่อัศวินผู้นั้น จนมันต้องกระโดดหลบไปเพียงก้าวสองก้าวเท่านั้นเอง แต่สิ่งนั้นเองคือการตัดสินใจที่ผิดพลาด สิ่งที่เบนใช้ร่ายคาถานั้นไม่ใช่มือเปล่า แต่เป็นดาบไม้เล่มหนึ่ง ซึ่งเหมือนกับว่าเขาจะใช้มันในการควบคุมทิศทางของเปลวเพลิงอีกด้วย
ช่วงที่เบนกำลังรับมือกับอัศวินอยู่นั้นเอง ลูเซียสก็พบกับสิ่งที่เขาต้องการ ดาบที่มีรูปร่างคล้ายกับคันธนูซึ่งมีด้ามจับอยู่ตรงกลางระหว่างคมมีด อีกทั้งยังเจอทั้งสองเล่มวางไว้ใกล้ๆกันอีกต่างหากแต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อมือของเขาสัมผัสเข้ากับตัวดาบ มันก็พลันเรืองแสงเจิดจ้า ก่อนที่จะอันตธานหายไปจากสายตาของยมทูตหนุ่มในทันที
เบนเปลี่ยนการต่อสู้ด้วยเวทย์มนตร์กับอัศวินมาเป็นการต่อสู้ด้วยดาบแทน ไม่ใช่เพราะเขามั่นใจในเพลงดาบแต่อย่างไร แต่เป็นเพราะชุดเกราะของอัศวินผู้นี้ทำด้วยโลหะที่ทนทานต่อเวทย์มนตร์เป็นอย่างดีทำให้ พรานหนุ่มต้องใช้วิธีต่อสู้ที่เข้าทางศัตรูไปโดยไม่รู้ตัว
ในที่สุดดาบไม้ซึ่งไร้คมก็ไม่อาจต้านทานดาบเหล็กของอัศวินเอาไว้ได้ ดาบของพรานหนุ่มถูกกระแทกให้หลุดออกจากมือ ก่อนที่ร่างของเจ้าของจะล้มหงายหลังไปกองกับพื้น คมดาบของอัศวินอยู่ห่างจากคอของพรานหนุ่มไม่เกินหนึ่งนิ้ว แต่ก่อนที่จะได้แทงดาบลง มันพลันเห็นเงาของกระบี่ที่พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็วดุจสายลม มันจำเป็นต้องถอยห่างเพื่อหลบคมกระบี่ที่จับทิศทางได้ยาก
อัศวินมองไปรอบๆ มันมองไม่เห็นแม้แต่เงาของใครคนอื่นนอกจากเบน มันเตรียมจะลงดาบกับเบนอีกครั้ง แต่แล้วคมกระบี่อันเดิมก็ฟาดฟันใส่มันอย่างรวดเร็วจนแทบจะไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ถ้าไม่มีฝีมือก็คงจะมาเป็นอัศวินไม่ได้หรอก ด้วยประสาทสัมผัสที่ว่องไวของมัน อัศวินจึงหยิบโล่ขึ้นมาป้องกันร่างกายจากคมกระบี่
ลูเซียสอาศัยช่วงเวลาที่อัศวินยกโล่ขึ้นมาป้องกันตัวถอยออกมา ก่อนที่จะแบกร่างของเบนขึ้นหลังของตน ทันทีที่อัศวินลดโล่ลงมาก็ต้องพบกับสิ่งที่เกินความคาดหมายของเขาอีกครา ครั้งนี้ยมทูตหนุ่มเล่นสกปรกขว้างผงสีขาวใส่บริเวณช่องสำหรับมอง ทำให้ตาของมันพร่ามัวไปชั่วขณะหนึ่ง และเมื่อกลับมามองเห็นอีกครั้งสองสหายก็ได้จากเขาไปแล้ว
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น