ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Young and Beautiful
[ will you still love me when i'm no longer young and beautiful... ]
Young and Beautiful by Lana Del Rey
I've seen the world
Done it all, had my cake now
Diamonds, brilliant, and Bel-Air now
Hot summer nights mid July
When you and I were forever wild
The crazy days, the city lights
The way you'd play with me like a child
Will you still love me when I'm no longer young and beautiful
Will you still love me when I got nothing but my aching soul
I know you will, I know you will
I know that you will
Will you still love me when I'm no longer beautiful
I've seen the world, lit it up as my stage now
Channeling angels in, the new age now
Hot summer days, rock and roll
The way you'd play for me at your show
And all the ways I got to know
Your pretty face and electric soul
Will you still love me when I'm no longer young and beautiful
Will you still love me when I got nothing but my aching soul
I know you will, I know you will
I know that you will
Will you still love me when I'm no longer beautiful
Dear lord when I get to heaven
Please let me bring my man
When he comes tell me that you'll let me
Father tell me if you can
Oh that grace, oh that body
Oh that face makes me wanna party
He's my sun, he makes shine like diamonds
Will you still love me when I'm no longer young and beautiful
Will you still love me when I got nothing but my aching soul
I know you will, I know you will
I know that you will
Will you still love me when I'm no longer beautiful
Will you still love me when I'm no longer beautiful
Will you still love me when I'm not young and beautiful
. credit
เมื่อก่อน........
ผมเคยคบกับผู้ชายคนนึง เขาเป็นคนหน้าตาดีมาก ซ้ำยังมีรูปร่างสูงโปร่งที่น่าอิจฉา นั่นทำให้พวกผู้หญิงมักจะตามติดเขาราวกับซาแซงโดยมองข้ามหัวคนที่ประกาศตัวว่าเป็นคู่รักด้วย ในช่วงเวลานั้น ด้วยความที่อายุห่างกันเกือบสองปี ทำให้ความคิดความอ่านของพวกเราแตกต่างกันมากโขก็ว่าได้ เรามักจะทะเลาะกันรุนแรงด้วยความไม่เข้าใจในอีกอีกฝ่าย อนึ่งว่าตัวเขาที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ กับตัวผมที่ยังคงใช้อารมณ์เป็นใหญ่ในการตัดสินเรื่องต่างๆ
ไม่ว่าจะยกตรรกะไหนมาช่วยประกอบ เราทั้งคู่ก็ราวกับจะไปกันได้ไม่รอด
....
และมันก็เกิดขึ้นในวันจบวันศึกษาของเขา....
ผมเป็นฝ่ายบอกเลิกเขาในเย็นวันนั้น เหตุผลต่างๆนานาไม่ได้ถูกยกขึ้นมาอ้าง เพราะเราทั้งคู่ก็ต่างรู้ดีถึงความสัมพันธ์กระท่อนกระเเท่นที่อุตส่าห์ประคองกันมานาน ผมคิดมาหลายครั้ง ทั้งๆที่เรายังอยู่ใกล้กันขนาดนี้ เราจะหาเรื่องทะเลาะกันได้บ่อย แล้วหากเราทั้งคู่ต้องห่างไกลกัน มันจะไม่ยิ่งเรื้อรังต่อกันมากกว่าหรือ?
เขาคนนั้นจะย้ายไปเรียนต่อมหาลัยที่เขาใฝ่ฝันไว้ และระยะทางระหว่างเขากับผมมันต้องยิ่งห่างกันมากขึ้น ความหวาดกลัว ความระแวงก็รังแต่ทำให้เราว้าวุ่นจนแทบบ้า ในอนาคตเราอาจจะมีปากเสียงกัน ผมอยากจะต้องร้องไห้คร่ำครวญเหมือนผู้หญิงอกหัก ซึ่งมันไม่ดีแน่ๆ เพราะอย่างนั้น มันจะไม่ดีกว่าเหรอถ้าเราจะหยุดมันลงแค่นี้
เราก็แค่คนสองคนที่หลงใหลกันในครั้งแรกที่พบหน้า ระหว่างเราทั้งคู่มันเป็นแค่ความพิศวาส ไม่ใช่ความรักที่สวยหรู สุดท้ายผมจึงเลือกที่จะจบมันลง ลาจากกันไป...
....และเก็บมันไว้เป็นเพียงความทรงจำเก่าๆที่ชวนคิดถึง
.........
แต่เหมือนผมจะจะคิดผิดไป....
ตัวผมขึ้นมหาลัยที่ต้องการและทำการศึกษามาจนใกล้จะจบปีสามแล้ว จากวันนั้นรวมแล้วก็เกือบจะห้าปีผ่านได้ แต่ดูเหมือนว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหน
ผมกลับไม่เคยลืมเลือนใบหน้าของเขาคนนั้นได้เลย ซ้ำร้าย......มันกลับฝังลึกลงเรื่อยๆ คราวคิดถึงอดีต หัวใจไม่รักดีกลับเต้นระรัวอย่างห้ามไม่ได้เสียอย่างนั้น
กาลเวลาที่ผ่านมาราวกับจะพิสูจน์ให้ผมรู้ว่ามันเป็นความหลงใหลหรือรักแท้.....?
และในที่สุด ตัวผมได้รู้ว่ามันไม่ใช่เพียงแค่ความรู้สึกชั่ววูบหรือความต้องการ
ผมรักเขา
...
มันไม่ใช่ความรู้สึกที่อยากจะบอกเลิก เราทั้งสองก็ต่างผูกพันธ์กัน ผมเพียงแค่คิดว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงและปรารถนาให้เขาได้ในสิ่งที่ดีกว่านี้ ในที่ๆเขาควรจะเป็น ไม่ใช่ข้างเด็กเอาแต่ใจแสนงี่เง่า...
หากลองคิดดู ในเวลานี้ถ้าผมเลือกที่จะไม่พูดคำนั้นออกไป เราทั้งคู่จะยืนด้วยกันหรือจะห่างกันไป แล้วเราจะอยู่ในสถานะไหนของกันและกัน? ผมไม่รู้เรื่องนั้นหรอกแต่ว่าวันนั้นความรู้สึกบางอย่างมันกลับทำให้ผมอยากจะลองเดินเคียงข้างเขา
....แค่อีกสักครั้ง
แล้วผมจะไม่ปล่อยเขาไปไหนอีกเลย....
และในวันหนึ่งโชคชะตาก็เริ่มหมุนเหวี่ยงเรากลับมาหากันอีกคราหนึ่ง
ในวันธรรมดาวันหนึ่งที่กลายมาเป็นวันพิเศษ เป็นเพียงวันที่ลมแรงและผมเดินอยู่ด้านนอก กระดาษใบหนึ่งลอยลิ่วตามลมมาปะทะกับใบหน้าของผม มันเขียนเอาไว้ว่า 'รับสมัครพนักงาน'
ผมที่กำลังต้องการเงินลองเดินตามที่อยู่ที่เขียนเอาไว้ และพบว่ามันก็ไม่ได้ห่างจากที่พักมากนัก ผมก้าวเข้าไปในร้านไฟสลัวๆเพราะยังไม่ทันเปิดให้บริการ มันเป็นร้านอาหารกึ่งบาร์ของนักเที่ยวยามดึก ทันใด เสียงดนตรีเบาๆก็ดังนั้นมาทางบาร์เครื่องดื่ม ผมเดินตามเสียงนั้นเข้าไป และก็ได้เจอกับเขาคนนั้น.... ผมจำได้ดี ดูยังไงเขาไม่เปลี่ยนไปเลย
ตัวเขายังคงชอบเล่นกีตาร์เก่าๆตัวเดิม เล่นแต่เพลงเดิมๆ ร้องแต่เพลงเดิมๆ .....เพลงเดิมๆที่ผมชอบมากที่สุด
ทันทีที่เขาหันกลับมา ....ดวงตาชวนต้องมนต์สะกดคู่นั้นเบิกกว้างตกตะลึงไปช่วงหนึ่ง ก่อนจะส่งยิ้มกว้างมาให้ผม รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจผมเต้นระรัวอีกครั้งหนึ่ง และวินาทีนั้น ผมไม่อาจจะหลบหนีจากเขาไปได้อีกแล้ว.... ผมได้แต่ให้สัญญากับตัวเอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
...ผมจะต้องทำให้เราจะต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิมให้ได้...
กริ๊ง!
"!!"
"เหม่ออะไรอยู่จ๊ะจงอินอา เดี๋ยวพี่ก็ตีเลย ออเดอร์อยู่ตรงนี้นะ จัดการให้ด้วยนะคะ"
ผมเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า ใบหน้าหวานถูกล้อมกรอบด้วยผมสีแดงไวน์ลอนยาวถึงกลางหลัง แต่งเติมบางๆด้วยเครื่องประทินชั้นดี รอยยิ้มหวานบนปากชมพูระเรื่อ รูปร่างสูงโปร่งผิดผู้หญิงในชุดเดรสสีขาวบริสุทธิ์ผิดกับลุคเจ้าของบาร์นั่งลงตรงหน้าเคาน์เตอร์ ผมถอนหายใจกับความเหม่อลอยของตัวเองก่อนจะขอโทษขอโพยพอเป็นพิธี
"ขอโทษครับ จะจัดการให้เดี๋ยวนี้เลยครับ ชานยอลนูน่า"
...
ครับ ถึงแม้ว่า 'เขา' คนนั้นของผม จะกลายเป็น 'นูน่า' คนนี้แล้วก็ตามที
ครั้งที่ 1
"ฮู่ว เสร็จซักทีนะ"
ผมมองไปทางต้นเสียงก็พบกับร่างสูงโปร่งของเจ้าของร้านยืนเช็ดเหงื่อที่พรายอยู่ทั่วใบหน้าหวานหลังจากการใช้แรงงาน เธอเงยหน้าขึ้นมองเมื่อผมยื่นผ้าเช็ดหน้าไปให้เธอ ท่ามกลางความเงียบ รอยยิ้มกว้างฉายออกมาจากริมฝีปากเคลือบสี
"ขอบใจจ้ะจงอิน เอ่อ ยังไงดีล่ะเนี่ย"
"งั้นเดี๋ยวผมเช็ดให้ หลับตาหน่อยนะ"
เพราะพี่ชานยอลดูเก้ๆกังๆเพราะเลือกไม่ถูกว่าจะรับมันไปยังไงในเมื่อมือทั้งสองของเธอเปื้อนไปหมด ผมจึงตัดสินใจจะเช็ดให้เธอเอง นิ้วของผมกำลังสัมผัสใบหน้าเนียนนุ่มที่เจ้าของดูเเลอย่างดี แม้จะผ่านผิวสัมผัสของผ้า แต่มันก็ทำให้หัวใจของผมเต้นรัวจนแทหลุดจากอก ได้เพียงภาวนาให้ผมเช็ดๆมันให้เสร็จซะที
"เสร็จรึยังคะ"
ทว่ากว่าผมจะดึงสติตัวเองกลับมาได้ ใบหน้าของเราทั้งคู่ก็เกือบจะชิดกันอยู่แล้วทั้งๆที่เมื่อครู่ห่างกันเกือบคืบ พี่ชานยอลยังอยู่ที่เดิม....แต่คิมจงอินต่างหากที่เอาเเต่เข้าหา
โชคดีที่พี่ชานยอลหลับตาอยู่ เพราะผมไม่รู้จะทำหน้ายังไงดีตอนที่ต้องสบตาเธอในสถานะที่ใกล้ขนาดนี้
"หน้าพี่สวยเหมือนเดิมแล้วล่ะ สวยกว่าเดิมด้วยซ้ำ"
"แหม ใจร้ายจัง"
นูน่าเธอพองลมแก้มทั้งสองข้างเหมือนเด็ก ทั้งๆที่ผมพยายามจะกลั้นไว้ แต่ก็ต้องอดยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ...ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม
"ฮะๆๆ จงอินอายิ้มแล้ว"
"ใช่ ผมยิ้ม ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของพี่เลย ปกติผมไม่คิดจะยิ้มพร่ำเพรื่อให้ใครง่ายๆหรอกนะ"
"เหรอ งั้นก็ดีแล้วนี่"
พี่ชานยอลเอื้อมมือมาจับแก้มสองข้างของผมก่อนจะยืดมันออกเพื่อให้ผมคลายรอยยิ้ม เธอจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผม และระบายรอยยิ้มกว้างประจำตัวของเธอ
"รอยยิ้มนี่น่ะ ให้พี่ได้เห็นคนเดียวก็พอแล้ว"
...
เราทั้งสองนิ่งเงียบใส่กันทั้งคู่ อีกฝ่ายจะเพราะอะไรไม่รู้ แต่สำหรับผม ผมกำลังอึ้งกับคำพูดนั่นมากๆ ทั้งสายตาที่เธอทอดมองมากับจังหวะหัวใจผมที่เต้นโครมครามมันทำให้ผมรู้สึกมึนตื้อเหมือนสูดควันเข้าไปเต็มปอด
"เอ่อ........นี่พี่หมายความว่า"
"อุ๊ย หน้าเธอเลอะหมดเลย พี่ขอโทษๆ รีบไปล้างออกกันเถอะ"
นูน่าควงแขนผมก่อนจะก้าวฉับๆไปทางห้องน้ำ เธอไม่สนใจคำถามผมหรือเธออาจจะพยายามหลีกเลี่ยง เธออาจจะมีความหมายลึกๆในคำพูดหรือเธอแค่อาจจะพูดหยอกออกมาเฉยๆ?
....บางทีเธออาจจะไม่ได้คิดอะไรเลยก็ได้ ?
"ขอบคุณที่มาส่งนะครับนูน่า"
ผมค่อยๆปลดเข็มขัดเตรียมตัวลงจากรถยนต์ของพี่ชานยอล เราทั้งคู่อยู่กันที่หน้าหอพักของผม เพราะตอนนี้มันก็ดึกแล้วจึงไม่มีรถคันไหนตามหลัง เลยพอมีเวลาจะร่ำลากันก่อนจากโดยไม่มีเสียงบีบแตรจากด้านหลังเป็นแบ็คกราวนด์ เพราะว่าบ้านเราว่าทางเดียวกันและผมไม่มีรถส่วนตัวยกเว้นมอร์ไซต์ง่อยๆคันนึง พี่ชานยอลจึงอาสาที่จะพาผมมาส่งที่บ้าน ทีแรกก็เกรงใจอยู่ แต่พออีกฝ่ายรบเร้าเข้ามากๆก็เลยปฏิเสธไม่ลง
ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น....
"จ้ะ แล้วอย่านอนดึกนะ"
"ผมเปล่าซะหน่อย พี่นี่มั่วจริงๆเลย"
"อย่ามาโกหก เรื่องเธอน่ะพี่รู้หมดเเหละ"
ผมส่ายหน้าขำๆให้เมื่อเธอเถียงกลับมา อะไรทำให้มั่นใจขนาดนั้นนะชานยอลนูน่า ดูยังไงก็รู้แล้วว่าพี่ไม่ได้รู้เรื่องของผมทั้งหมดหรอก เพราะถ้าพี่รู้...พี่คงไม่ทำกับผมแบบพี่น้องแบบนี้หรอก
"ครับๆ รู้แล้วครับคนสวย"
"จงอิน..."
"ครับ?"
เล็บยาวสีสวยเกี่ยวเสื้อของผมไว้ก่อนที่จะลงจากรถ ผมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมันที่กำลังยิ้มบางมาให้ พี่ชานยอลเขยิบตัวเข้ามาหอมแก้มผมและกล่าวลา
"ฝันดีนะ"
"เช่นกันครับ"
...
หลังจากนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมขึ้นห้องมาแบบปลอดภัยได้ยังไงเหมือนกัน
.....
แต่ดูเหมือนว่าวันนี้ผมกำลังฝันดีแม้จะยังไม่ได้นอนแล้วล่ะ
ผมละมือจากการเช็ดแก้วเมื่อลูกค้าคนพิเศษสะกิดแขนยิกๆ ผู้ชายตัวเล็กตรงหน้าคือลูกค้าประจำที่ชอบเเวะเวียนมาบ่อยจนผมสามารถจำหน้าเขาได้แม่นโดยไม่ต้องพยายาม เขาชื่อแบคฮยอน สาเหตุที่มาร้านนี้บ่อยก็คือหนึ่งร้านสวย สองชอบดื่ม และสาม ...อยากมามองเจ้าของร้าน
ใช่ เขากรี๊ดพี่ชานยอล และเขายังชอบมาพร่ำเพร้อถึงพี่ชานยอลให้ผมฟังด้วยใบหน้าและแววตายังกับสาวน้อยกับรักแรกพบ(ที่เป็นไปไม่ได้) ซึ่งผมก็ได้แต่พยักหน้ารับส่งถึงแม้ในใจจะอยากจะปาแก้วใส่หน้าก็ตามที
และวันนี้ที่เจ้าตัวมานั้นก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่เจ้าของร้านคนสวยผู้มีสายเลือดนักดนตรีไหลเวียนอยู่อย่างเต็มเปี่ยมมักจะสมนาคุณคุณลูกค้าที่น่ารักของเธอด้วยการหิ้วกีต้าร์ตัวโปรดเดินขึ้นเวทีไปแสดงและร้องสด จนมันเหมือนเป็นอีกอย่างที่เป็นจุดขายของร้าน เธอเคยบอกผมว่าลูกค้าของเธอทุกคนคือผู้มีพระคุณสำหรับเธอที่เดินทางมาตัวเปล่า และไม่ว่าจะเป็นใคร พวกคุณสมควรได้รับคำขอบคุณนี้
"สวัสดีค่ะลูกค้าที่น่ารักทุกท่าน วันนี้ก็ขอให้มีความสุขกับมื้ออาหารและเสียงดนตรีของฉันเช่นเคยนะคะ"
ท่ามกลางเสียงปรบมือ พี่ชานยอลที่อยู่บนเวทียิ้มกว้างให้ลูกค้าทุกคน สายตาเธอแสดงออกถึงความขอบคุณสำหรับมัน ก่อนที่เสียงเพลงเดิมที่เปิดก่อนหน้าจะดังคลอบรรยากาศอีกครั้งเพื่อให้นักดนตรีได้มีเวลาเตรียมตัว
"แบคฮยอน น้ำลายคุณมันจะหยดใส่เคาน์เตอร์ผมแล้วนะ"
ลูกค้าหน้าขาวค้อนใส่ผมขวับเพราะไปขัดจังหวะมโนของเขาเข้า นิ้วยาวๆเขี่ยรอบปากตัวเองเพื่อเช็คสภาพตัวเอง
"เชอะ นี่จงอิน นายว่าถ้าฉันไปเซอร์ไพรส์พี่ชานยอลหลังจบไลฟ์เขาจะชอบป่ะ"
"ผมคิดว่าเขาเจอหน้าคุณแทบจะทุกวันแล้วนะ ยังจะมาเซอร์ไพรส์อะไรอีกล่ะ"
"เออเนาะ ช่างเหอะ"
...คิมจงอินเป็นคนชอบเรื่องสนุก และแบคฮยอนเป็นช่องทางเลือกที่ดี ทุกครั้งที่เขามามักจะมีมุกอะไรตลกๆมาจีบพี่ชานยอลเสมอ และก็ทุกครั้งก็โดนปฏิเสธกลับไป และนั่นทำให้ผมไม่เคยคิดจะตัดความหวังคนๆนี้เรื่องพี่ชานยอล ไม่งั้นจากนี้คงไม่มีอะไรมาทำให้ผมขำแน่ๆ
จริงๆ ผมเองก็เห็นใจความพยายามของเขาอยู่ลึกๆเหมือนกัน ทำซ้ำซากทุกครั้ง แต่ก็ได้ผลตอบรับเดิมๆ และการเฝ้ามองทุกๆวันมันเริ่มทำให้ผมรู้สึกกลัว แบคฮยอนก็เหมือนเคสตัวอย่าง เขาไม่ได้หน้าตาแย่ จัดว่าดีมากด้วยซ้ำ
แต่ยังไง 'ไม่' ก็คือ 'ไม่'
"นีนี่ๆๆๆ ดูดิ พี่ชานยอลขึ้นไลฟ์แล้ว โอ๊ย สวย น่ารัก เลอค่าสัดๆ"
ผมมองตามที่แบคฮยอนพูดถึงก็พบกับคนคุ้นเคยประจำที่ของเธอ ร่างสูงโปร่งบรรจงเล่นกีต้าร์ตัวโปรดของเธอตามท่วงทำนองBGMที่คลอจางๆ หน้าหวานเงยขึ้นมาหาไมค์ก่อนจะขับขานบทเพลงที่คุ้นเคยออกมา
"I've seen the world.
Done it all, had my cake now..."
ถึงจะเป็นนักดนตรีไร้ชื่อแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพี่ชานยอลบนเวทีนั้นเปลี่ยนเป็นคนละคน จากคนชิลที่เอาแต่เล่นซน จะกลายเป็นคนที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความมุ่งมั่น ความแข็งแกร่งที่แสดงมากับทักษะการดนตรีของเขาทำให้ผมอิจฉา
เธอ...ผู้มองโลกใบนี้มานับต่อนัก ข้ามผ่านขีดกำจัดและความเป็นไปไม่ได้ของตัวเอง เปลี่ยนคำปรามาสและการดูถูกให้กลายมาเป็นกำลังใจจนประสบความสำเร็จจนได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก
" I've seen the world, lit it up as my stage now
Channeling angels in, the new age now...."
วิ่งเต้นไปตามบทละครชีวิตของเขาด้วยตัวตนของเขา ไม่จำเป็นต้องมีโชคชะตามาบังคับ เดินทางจากความว่างเปล่าสู่สิ่งที่เรียกว่าความฝัน โดยไม่จำเป็นต้องมีชื่อเสียงหรือยิ่งใหญ่เหมือนอัจฉริยะคนอื่น ไม่จำเป็นต้องมีเงินทองล้อมหน้าหลัง
....เพียงแค่นี้ คนๆนี้ก็เป็นราวกับคนที่ปีนขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของตัวเอง เจิดจรัสและสง่างาม
ในจังหวะช่วงดนตรี เป็นจังหวะชั่วขณะหนึ่งดวงตาดำขวับของนูน่าสบกับสายตาของผม ผมเพียงแค่ยิ้มบางๆและยกนิ้วโป้งส่งไปเป็นกำลังใจให้เธอ ผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่าจะเธอจะเห็นสิ่งที่ผมทำ หรือเธอเห็นไอ้มือบ้าบอที่กำลังโบกแรงๆของแบคฮยอน
...แต่แค่ผมเห็นพี่ชานยอลกำลังอมยิ้ม แค่นี้มันก็ทำให้ผมคิดไปเองแล้วล่ะ
Will you still love me when I'm no longer young and beautiful
Will you still love me when I got nothing but my aching soul
ครั้งที่ 2
ผมค่อยๆพาร่างกายอันซบเซาลากผ่านฝูงชนจำนวนที่ไม่เคยนึกพิศวาสเลยซักนิด ในโพเดี้ยมขนาดใหญ่เวลาวันหยุดต้นเดือนมักจะเต็มไปด้วยคนล้นหลามเหมือนมีของแจกฟรี มันน่ารำคาญเวลาที่ต้องเจอพวกเด็กสาวที่เอาแต่จับกลุ่มคุยกันเสียงดังอย่างไร้มารยาทหรือพวกคนที่เอาแต่เดินเล่นโทรศัพท์ไม่ดูทาง
คิมจงอินบอกเลยว่าถ้าไม่ใช่เพราะต้องการมาเจอหน้าใครบางคน อย่าหวังว่าจะได้เห็นเขามาปรากฏตัวตรงนี้แน่!
"พี่อยู่ไหน"
' อยู่หน้าโรงหนัง เดี๋ยวจะชูมือให้ดู '
สิ้นคำผมก็พบกับแขนสั้นๆของคนปลายสาย ผมพยักหน้ารับก่อนจะวางโทรศัพท์แล้วเดินตรงไปยังที่อยู่ของเจ้าตัว ร่างเล็กในเสื้อแขนยาวสีขาวกับกางเกงยีนส์สีซีดขาดๆ เขางัดปีกหมวกแก๊ปขึ้นพลางจ้องเขม๊งมาที่ผมเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะกล่าวทักทาย
"ไง ไม่เจอกันนานนะไอ้หมี"
"พี่นัดผมมาทำไมที่นี่เนี่ย พี่ก็รู้ว่าผมเกลียดคน"
"โห นี่คำทักทายแฟนเก่าเหรอวะ เจริญเถอะมึง"
พี่คยองซูตบหัวผมอย่างแรงหนึ่งทีจนผมแทบล้มหน้าทิ่ม นี่เป็นวิธีเอ็นดูแบบหนึ่งของเขาซึ่งผมก็ยังไม่ชินซะทีเหมือนกัน ผมได้แต่บ่นฟ้าลมอากาศโดยไม่ให้เขาได้ได้ยิน มิเช่นนั้นล่ะก็ หัวผมคงได้ลั่นติดๆกันสองครั้งแหงๆ
"เนี่ย กูมีตั๋วหนังสองใบ พอดีเพื่อนกูมันปวดท้องจะเป็นจะตายเลยมาไม่ได้ เลยโทรไปบังคับมึงตื่นมาดูด้วย สำนึกบุญคุณกูซะสิ"
"....เนี่ยนะเหตุผลที่พี่โทรไปปลุกผมแต่เช้า.... แค่เนี้ยนะ!!!"
"น้อยๆหน่อยไอ้ดำ นี่กูอุตส่าห์นึกถึงมึงคนแรกเลยนะเว้ย!"
ไอ้ท่าทางทำผิดแล้วยังไม่สำนึกของพี่คยองซูแถมยังเหลือกตาใส่ มันดูกวนตีนมากขึ้นห้าเท่าสำหรับผมที่โดนปลุกมาทำเรื่องไร้สาระมากเลยตอนนี้ ถ้าไม่ติดว่าเคยชอบนะ จะเตะขัดขาให้ล้มกลางห้างให้อายคนทั้งหมดนี่เลยแม่ง!
"นี่พี่...........โอ๊ย ตอนคบกันแม่งไม่เห็นเป็นงี้เลยวะ"
"เลิกกันแล้วก็แล้วกันไปดิ จะรำลึกความหลังทำไมเนี่ย เฮ้อ... ไปเหอะๆ ใกล้ได้เวลาแล้ว บ่นไปก็ไม่ได้อะไรหรอกว่ะว่าถึงนี่แล้วก็นะหมีเอ๊ย ดูๆไปเหอะถือว่าค่าน้ำมัน"
รุ่นพี่ตัวเล็กพยักหน้าเออออคนเดียว และลากผมไปทางเข้าโรงหนังด้วยท่าทางกระตือรือร้น ฮยองคนนี้เป็นคอหนังครับ ยิ่งหนังSci-FiกับTrillerเลือดสาดนี่ชอบยิ่งกว่าอาหารสามมื้อ เรียกได้ว่ามาดูแทบทุกครั้งที่มีโอกาสเลยก็ว่า
แต่ก่อนเข้าแน่นอนว่าเราต้องซื้อของกินติดไม้ติดมือไปด้วย พี่คยองซูก็ดูจะเสียเวลากับการเลือกเมนูเหลือเกิน ผมจึงเสนออะไรที่มันเบสิกอย่างป๊อปคอร์นกับเป๊ปซี่ไป แต่สุดท้ายพี่คยองซูแม่งสั่งนาโชร์ของโปรดกับสไปรส์อยู่ดี ก็ถ้าไม่คิดจะฟังคำคัดค้านซักนิดก็ช่วยทำแบบนี้ตั้งแต่ทีเเรกเหอะ ไม่เข้าใจจริงว่าจะยืนเถียงกันให้เสียเวลาทำไม
"แปลกว่ะ ทำไมมารอบนี้พี่ดูหนังรักวะ นี่ผมนึกว่าต้องดูหนังเถื่อนๆสไตล์พี่ซะอีก แหน่ะ แล้วตั๋วสองใบด้วย มาดูกับเพื่อนหรือมากับแฟนกันแน่ฮะ?"
"ฮึ่ย ถามมากเซ้าซี้ น่ามคานว่ะ"
พี่คยองซูปาทิชชู่ที่เขาเพิ่งจะใช้เช็ดหน้าเสร็จใส่ผม อะไรก็พอรับได้แต่เช็ดก่อนปานี่ต้องการอะไร ตีน? ร่างเล็กเชิดหน้าขึ้นสูง บางทีก็ทำเป็นมองออกไปทางอื่น
"พิรุธอะไรขนาดนั้นล่ะพี่ หลบหน้าขนาดนี้ จะร้องไห้ล่ะสิ"
"ปล่าวโว้ย ตะกี้เเค่เหล่มองสาวหรอก!"
"ร้องแหงๆเลยยยย โห่ยยยยย ปกติไม่อินกับหนังรักไม่ใช่รึไง"
รุ่นพี่ตัวเล็กหันมาโวยวายใส่ผม ผมเลยเเหย่กลับไปพลางยกแขนขึ้นมาตั้งการ์ดกันเพราะอีกหน่อยคงต้องโดนประทุษร้ายอย่างแรงแน่ๆ
แต่ปล่าวเลย พี่คยองซูทำเพียงแค่ยืนกัดปากตนเองครู่หนึ่ง ....ก่อนจะเดินเข้ามากอดผมแน่น
"เฮ้ย พี่เป็นอะไรพี่คยองซู กอดผมทำไมเนี่ย"
"อย่างที่แกพูด พี่ไม่เคยเข้าใจหรอกว่าทำไมในหนังพระเอกนางเอกต้องทุ่มเทให้ไอ้เรื่องี่เง่าอย่างความรักรักกันขนาดนั้น ไม่เขาใจว่าทำไมเขาต้องร้องไห้ ต้องพยายามทำให้ตัวเองคิดถึงเรื่องเก่าๆ พี่ไม่รู้ไม่เข้าใจ....จนได้มาเจอกับตัวจริงๆ"
มือเล็กๆกำเสื้อผมแน่นจนผมสัมผัสได้ว่ามันกำลังสั่น พี่คยองซูไม่ได้ร้องไห้ มากสุดเขาก็แค่ตาแดงๆ ผู้ชายคนนี้เกลียดน้ำตาและเวลาที่ตัวเองอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น กับการที่เขายอมลงขนาดนี้ถือว่าเป็นอะไรที่สุดๆแล้ว
"ตอนนี้....พี่ไม่อยากเข้าใจแม่งเลยว่ะหมี อยากอ้วกๆทิ้งไปให้หมด"
ผมไม่ได้พูดปลอบประโลมอะไรเขามากมาย เพียงแค่เอื้อมไปกอดตอบให้เขารู้สึกไม่โดดเดี่ยว
"ไม่เป็นไรหรอก ผมรู้พี่คยองซูเก่งจะตาย"
"เออ แหงดิ กูเนี่ยโด คยองซูเลยนะเว้ย!"
เสียงอู้อี้ๆของพี่ชายในอ้อมกอดมันทำให้ผมหลุดขำออกมา เขาเลยฟาดหลังผมดังปั้กข้อหาไปหัวเราะเยาะเขา จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะของพี่คยองซู ผมเอื้อมมือไปจับศีรษะเขาไว้แล้วก็โยกไปมาๆ
กริ๊ง...
เราสองคนมองไปตามต้นตอเสียงและก็พบกับเจ้าเหรียญวอนที่กลิ้งมาหยุดตรงเท้าของผม ผมก้มลงไปเก็บและเมื่อเงยขึ้นมาก็พบกับเจ้าของของมันที่เดินเข้ามาพอดี
"ขอโทษค่ะ นั่นเหรียญของฉันเอง อุ๊ย..."
ใบหน้าหวานที่ล้อมกรอบด้วยผมแดงไวน์ฉายแววประหลาดใจเมื่อได้เจอหน้าผม เช่นกันกับผมที่ยืนนิ่งสนิทไปแล้ว เธอรับเหรียญของผมไปแล้วยิ้มกว้าง
"ชานยอลนูน่า"
ก็รู้ว่าโลกมันกลม แต่ก็ไม่นึกว่าจะกลมขนาดนี้...
"บังเอิญจังเลยนะคะ มาเที่ยวกับแฟนเหรอ"
"........ผม"
เหมือนคำพูดในหัวมันกระจัดการจายไปหมด คำที่ออกจากผมเลยไม่มีสักคำ พี่คยองซูเลิกคิ้วก่อนจะเลือกตอบออกไปแทบผม
"คือเราไม่..."
"ชานเลี่ย ทำอะไรอยู่ ไปกันได้แล้ว"
ผู้ชายร่างสูงชะลูดก้าวขามาประชิดตัวพี่ชานยอล ผมสีบลอนด์ทองผิดเชื้อเกาหลีกับท่าทางที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของเขาดึงดูดสายตาของสาวไปทั่วบริเวณ เขามองหน้าผมแล้วทำท่าครุ่นคิดก่อนจะก้มลงไปกระซิบกระซาบกับพี่ชานยอลนานสองนาน เขาพยักหน้ารับรู้และเม้มปากแน่น
แต่มุมปากของเขามันยกขึ้น...?
"แฟนเราน่ารักดีนะ แต่วันนี้เปิดร้านนะจ้ะ อย่ามัวเที่ยวเพลินล่ะ พี่ไปแล้วนะ ป่ะฟาน"
ผมได้แต่มองแผ่นหลังของพี่ชานยอลที่เดินลับตาไปกับผู้ชายสุดหล่อคนนั้น ร่างกายของผมคล้ายกับถูกแช่แข็งมือแค่มือที่มันยังขยับอยู่ พี่คยองซูเดินเข้ามาตบไหล่ผมแปะๆ
"ถ้าคนๆนั้นคือพี่ชานยอลคนที่เป็นรักแรกของแก ........เหมือนพี่จะไม่ได้อกหักคนเดียวแล้วสินะ"
"นีนี่!!!! ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร! ทำไมถึงได้ใกล้ชิดพี่ชานยอลขนาดนั้น บอกเลยว่าแบคฮยอนไม่ย๊อมมม!!!!"
"ไม่รู้..."
"ดูดี้ๆๆๆ แม่งใกล้ชิดยังกะผัวเมีย บอกเลยว่าเจ็บมากกกกก แฟนบอยคนนี้เจ็บใจแฮงงง โอ๊ย บาดใจ ทำไม ทั้งๆที่ผมเฝ้าอ้อยพี่มาตลอด เว ปาร์คชานยอล เว!!! มันเป็นใคร!!!!"
ปึ้ง!
"จะรู้ไหมล่ะ ...อยากรู้ก็ถามเองสิ!"
เคาน์เตอร์ใกล้มือถือเป็นเครื่องระบายที่ใกล้มือผมที่สุด อารมณ์ที่ว่ากรุ่นอยู่ในอกถูกทำให้โชนขึ้นด้วยคำบรรยายของแบคฮยอน ผมพยายามที่จะทำเป็นไม่สนใจเพื่อไม่ให้ตัวเองหลุดการควบคุม แต่เหมือนยิ่งห้ามไปเท่าไหร่มันก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น
"....เฮ้ นายเป็นอะไรรึเปล่าเพื่อน นีนี่ แกซีเรียสไรวะ "
"เปล่า.......โทษที"
ผมเพิ่งได้สติกลับมาครบถ้วนเมื่อลูกค้ารอบๆเริ่มหันมาสนใจพวกเรา ผมกล่าวขอโทษแบคฮยอนไปซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่ได้ใส่ใจเอาความเนื่องจากมันก็แค่เรื่องเล็กน้อย แต่มีอีกคนนึงที่ยังไงก็ปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้
"คิมจงอิน ทำไมทำแบบนั้นกับลูกค้า ขอโทษเขาเดี๋ยวนี้"
ร่างสูงโปร่งปรี่ตรงเข้ามาหาผม สายตาเธอบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน แบคฮยอนที่อยู่ตรงกลางเราสองคนถึงกับกลืนน้ำลายคำโต เขาออกตัวไกล่เกลี่ยเรื่องเมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบเจ้าของร้านคนสวยกลับ
"เฮ้ยพี่ เค้าขอโทษผมแล้ว ไม่มีอะไรหรอก เพื่อนกันเราคุยกันรู้เรื่องน่า ใช่มั้ยนีนี่"
"ผมขอตัว"
"เฮ้ย จงอิน จงอิน!"
ฟู่....
ผมไม่รู้ว่าผีตัวไหนมันดลใจให้ผมทำท่าทางแบบนั้นใส่นูน่า แล้วก็ไม่รู้ตัวว่าคิดอะไรอยู่ถึงได้เอาแต่ทำให้เรื่องมันยิ่งแย่ลงจนต้องระเห็จตัวเองออกมาเป่าควันท่ามกลางฤดูหนาวคนเดียวแบบนี้ สิ่งเดียวที่ผมรู้ตอนนี้คือ ผมแค่ไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้ว แค่อยากจะปล่อยสมองให้โล่ง หรือทำตัวเสเพลสนุกไปกับโลกมืดๆของตัวเองแบบที่เคยทำมา
บุหรี่คือทางเลือกไม่กี่อย่างที่ผมอยากให้มาเคียงข้าง ทั้งที่คิดว่าเลิกมันได้มานานแล้ว แต่เมื่อลองสูบกี่ทีกี่ทีมันก็ทำให้ผมสงบลงได้เสมอ....คนเรามักจะเลือกแต่ทางที่เจ็บตัว
เสพติด...จนไม่อาจจะเลิก
"เข้าไปข้างในเถอะ หิมะตกแล้วนะ"
ผมหันไปมองเจ้าของคันร่มสีเทาที่กางอยู่เหนือศีรษะผม หัวใจของผมที่มันเต้นระส่ำกลับช้าลงราวคนตายเมื่อเห็นคนตรงหน้า เจ้าของเรือนผมทองหน้าคมกำลังจ้องผม ....และเขาไม่ใช่พี่ชานยอล
นั่นสิ นี่ผมหวังอะไรอยู่?
"ผิดหวังรึเปล่า นี่ฉันสมควรออกมาหานาย...ใช่ไหม?"
"ไม่รู้สิ แต่ก็ขอบคุณสำหรับความเวทนาของคุณ"
"เวทนา? หมายถึงอะไร"
เขาเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยสีหน้างุนงง มันทำให้ผมเพิ่งนึกได้ว่าบางทีเขาอาจจะเป็นคนต่างชาติ และอาจจะยังไม่เข้าใจภาษาเกาหลีทุกคำ แต่ไม่ทันที่ผมจะอธิบายอะไร ร่างสูงโปร่งของคนที่ผมเฝ้ารอก็มาหยุดอยู่ตรงหน้า พี่ชานยอลหอบน้อยๆก่อนจะหันไปคุยกับคนตัวสูงอีกคน
"ฟาน กลับเข้าร้านก่อน ผมขอคุยอะไรกับเด็กคนนี้หน่อย"
เด็ก...ผมน่ะเหรอ?
"ทำไมเธอถึงแสดงอารมณ์ใส่แบคฮยอนแบบนั้น ดีแค่ไหนที่เป็นเขา ถ้าเป็นคนอื่นเธอจะทำยังไงฮะจงอิน"
ผมไม่ใช่เด็ก....
"แล้วยังหนีมาสูบบุหรี่นี่อีก รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ดีแล้วทำไมเธอถึงยังสูบอยู่"
ผมไม่ใช่....ทำไมถึงต้องแต่มองผมแบบนั้น...
"จงอิน พี่คิดว่าพี่รู้จักเธอนะ แต่..."
"ไม่ใช่!!!"
ผมพุ่งเข้าไปบีบไหล่กว้างของพี่ชานยอลจนมือทั้งสองข้างมันสั่นไปหมด เธอดูจะตกใจกับการต่อต้านของผม เสียงบดเคี้ยวฟันมันลั่นไปทั่วโสตประสาทของผม กระบอกตาสองข้างมันร้อนผ่าวอย่างที่ไม่เคยเป็น ทั้งที่หิมะมันตกลงทั่วบริเวณแต่ตัวผมมันกลับร้อนไปหมด เหงื่อกาฬไหลไปทั่วใบหน้าและมือของผม...คล้ายคนเสียสติ
"ถ้าพี่รู้ว่าผมคิดอะไร พี่จะไม่ทำแบบนี้กับผม..."
"จงอินเดี๋ยว..."
"เพราะงั้น อย่ามาพูดว่าพี่รู้จักผม ทั้งๆที่พี่ไม่เคยรู้อะไรผมเลย!!"
ผมตะคอกใส่เธอจนรู้สึกแสบทั่วลำคอ พี่ชานยอลเบิกตากว้าง เธอคงจะตกใจกับนิสัยอันธพาลของผม เพื่อไม่ให้สถานการณ์ของเราทั้งคู่มันยิ่งแย่ลงไปมากกว่านี้ ผมตัดสินใจที่จะหนีออกมาอย่างคนขลาด ทว่ามือเรียวเย็นเฉียบของพี่ชานยอลคว้าท่อนแขนผมก่อน นัยน์ตาสีดำทั้งคู่ของเธอดั่งวังวนน้ำที่ลึกซึ้งและเดาได้ยาก ริมฝีปากสีชมพูของเธอขยับคลายจะสะกดมนต์
"ถ้างั้น ก็บอกพี่มาสิ...ว่านายคิดอะไรอยู่กันแน่"
...
"พูดมาสิ ....คิมจงอิน?"
ครั้งที่ 3
"เฮ้อ.... ไอ้จงแดแกมาทำงานที่นี่ทำไมวะ แบบว่าคุยกะแกแล้วไม่สนุกเลยว่ะ นีนี่ไปไหนอ่าาา อยากเม้าท์ๆๆๆ"
บาร์เทนเดอร์ตัวไม่สูงละมือจากงานตัวเองมาเท้าคางคุยกับพี่ชายผู้เป็นคนค้าเจ้าประจำ แบคฮยอนซบหน้าลงกับเคาน์เตอร์ราวกับคนไร้ชีวิต ปากก็บ่นไปสลับกับถอนหายใจ ทำราวกับว่าชีวิตตัวเองนี่จะไม่มีอะไรดีเกิดขึ้นอีกแล้ว
"ถามจริง? ใครก็บอกผมออกจะพูดมากนะ ทำไมพี่บอกผมคุยไม่มันส์อ่ะ"
"ก็แกไม่เข้าใจความติ่งอ่ะ แฟนบอยอ่ะรู้จักปล่าวววว อ่ะโด่ ได้แค่นี้อย่ามาคุย"
"เออ แล้วแต่เหอะ ว่าแต่บ้านช่องไม่มีให้กลับเหรอวะครับ มานั่งส่องพี่ปาร์คอยู่ได้ หาเมียไม่ได้หราาาา"
"เหอะ! ดูถูกมากครับ นี่ใครแบคฮยอนนะครับ หน้าตาดีขนาดนี้ไม่ต้องวิ่งเข้าหาใครเว้ย แค่เปิดขาอ่อนผู้หญิงก็เข้ามาคุกเข่าต่อหน้าแทบไม่ทันแล้ว!"
แบคฮยอนกรีดนิ้วไปทั่วๆพลางเชิดหน้าขึ้นสูง คิมจงแดเลิกคิ้ว เขาไม่ได้หมั่นไส้อะไร เพียงแต่เขาคิดว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น
"แล้ว?"
"..........เออ กูเลิกกับแฟนมา พอใจยังสัด ฮือออออออ เป็ด กูเศร้าาาาา"
"ไอ้เฮี้ย พี่แม่งจี้ว่ะ ฮ่าๆๆๆๆ เอาน่า ปรับมู้ดใหม่ เตรียมของขวัญให้ไอดอลพี่รึยัง"
"ของขวัญไร"
แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมาขมวดคิ้วใส่อีกฝ่าย ของขวัญอะไรทำไมที่ไหนเมื่อไหร่อย่างไร? ทำไมแบคไม่รู้เรื่องวะ?
"ถามจริง? ก็กล้านะเรียกตัวเองแฟนบอย ขนาดวันนี้วันเกิดพี่ชานยอลยังไม่รู้เลย"
"วันเกิด จริงป๊ะ!"
' เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันเกิดพี่ชานยอลเจ้าของร้านที่น่ารักของพวกเรา จึงอยากจะขอให้คุณลูกค้าของพวกเราช่วยแสดงความยินดีกับเธอกันด้วยนะครับ '
"คิดว่าคงจะจริงแหละ"
จงแดยักไหล่ก่อนจะมองพี่สาวเจ้าของร้านที่โดนเซอร์ไพรส์แบบไม่ทันให้ตั้งตัว เสียงปรบมือดังขึ้นทั่วบริเวณก่อนที่เพลงอวยพรประจำปีที่26ของเธอจะดังขึ้น
เซงอิลชุกฮาฮัมนิดา เซงอิลชุกฮาฮัมนิดา ซารางฮานึนชานยอลอา เซงอิลชุกฮาฮัมนิดา
เพลงจบลงพร้อมการปรากฏของร่างสูงผมสีบลอนด์กับเค้กก้อนโตที่ประดับด้านบนด้วยน้ำตาลไอซิ่งรูปผู้หญิงผมแดงเล่นกีต้าร์ บนหัวเธอมีมงกุฎสีทองอยู่ด้านบน อี้ฟานส่งยิ้มอบอุ่นแสงเทียนให้เจ้าของวันเกิดที่กำลังน้ำตาคลอหน่วย
"สุขสันต์วันเกิดนะชานเลี่ย"
"เฮียฟานนนน"
"ทำหน้าแบบนี้ ลืมวันเกิดตัวเองอีกแล้ว ทุกปีเลยนะเรา"
ปาร์คชานยอลกระโดดหยองแหยงพร้อมเบ้ปากเหมือนเด็กโดนแกล้งเป็นที่น่าเอ็นดูของผู้เห็น อี้ฟานจึงวางเค้กลงที่โต๊ะใกล้ๆและอ้าแขนกว้างอย่างรู้งาน ชานยอลรีบพุ่งเข้าไปสวมกอดร่างสูงที่กำลังขำกับกิริยาเด็กๆของเธอพร้อมเสียงโห่แซวที่ก้องไปทั่ว
"ดูดิ นั่นน่ะเรียกว่าภาพบาดตานะฮยอง"
"ไอ่สัดอย่าเสี้ยม........อิจมาก ระดับความอิจกูทะลุหลอดแล้ววววว"
แบคฮยอนผู้ได้แต่มองจากในที่ไกลๆกัดเล็บตัวเองระบายความริษยา จงแดจึงทำการปลอบลูกค้าคนสำคัญของร้านโดยการตบป่าและขำใส่ แต่แน่นอน ความอาภัพของแบคฮยอนยังไม่ได้จางหาย และยังเพิ่มพูน
' เซอร์ไพรส์จากพี่อี้ฟานนี่เอานูน่าคนสวยของเรายิ้มแก้มแทบแตกเลยนะเนี่ย หวานชื่นกันขนาดนี้หอมแก้มโชว์หน่อยสิครับ '
"จงแด กูเกลียดดีเจที่นี่ กูจะกรี๊ด!"
' แหม่ ก็แซวไปครับ คนไร้คู่อย่าเพิ่งอิจฉาไป บางทีคนๆนั้นอาจจะยืนอยู่ข้างๆคุณก็ได้ จะทิ้งเค้กไว้ก็กระไรอยู่ ได้เวลาขอพรกันแล้วนะฮะ อธิษฐานเลยครับนูน่าคนสวยของเรา '
ชานยอลกุมมือแนบอกและหลับตาในแบบที่หลายคนมักทำเวลาขอพร สีสีสวยพึมพำขมุบขมิบ เธอลืมตาและยิ้มกว้างๆออกมาก่อนจะก้มลงเป่าเค้กสีสวย
"นูน่าระวัง!!"
"หุบปาก!!!!!!!"
เพล้ง!!!!
"...!"
แก้วไวน์ที่ลอยเฉียดใบหน้าหวานไปกระทบกำแพงเมื่อครู่ทำเอาปาร์คชานยอลใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ถ้าหากว่าไม่ได้ยินเสียงนั้นรั้งไว้ล่ะก็....ปาร์คชานยอลไม่อยากจะจินตนาการภาพเลยว่าหากมันแตกละเอียดบนใบหน้าตนแทนกำแพง มันจะเป็นรูปแบบไหน?
เขามองเจ้าของแก้วที่มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าด้านล่างของเวที เป็นผู้หญิงร่างบอบบางธรรมดาทั่วแต่องค์ประกอบของเธอทำให้เธอดูแปลกประหลาด....ผมสีดำฟูฟ่องยุ่งเหยิงไม่น่าจะเกิดจากธรรมชาติ ดวงตาแดงก่ำเปรอะเปื้อนเครื่องสำอางที่บ่งบอกว่าหล่อนน่าจะเพิ่งผ่านสงครามน้ำตามาหมาดๆ ปากสีแดงห้อเลือดเป็นรูปรอยฟันและสายตาโกรธแค้นและชิงชังอย่างปิดไม่มิด
"มีความสุขกันเสียเหลือเกินนะ ทำไมต้องเป็นพวกแกที่ต้องได้ทุกอย่าง ทำไม ทำไม๊!!"
เธอกรีดร้องเสียงสูงทั้งน้ำตาที่ไหลรินออกมาใหม่ ก่อนจะยกมือทั้งสองขึ้นมาปิดหน้า ไหล่บางสั่นไหวรุนแรงตามแรงสะอื้นไห้ บรรยากาศงานเริ่มเงียบกร่อยลงจนเหลือแต่เสียงคร่ำครวญนั้น อี้ฟานจะยกมือเรียกให้คนมาพาตัวเธอออกไปทว่าชานยอลกลับห้ามเอาไว้ก่อน
"...ไม่เฮีย เดี๋ยวจัดการเอง"
ชานยอลก้าวลงจากเวทีไปประจันหน้ากับหญิงสาวที่คิดจะพังงานวันเกิดของเขา เธอไม่ได้สนใจเขาและเอาแต่ให้ความสำคัญกับการร้องไห้ ชานยอลเม้มปากชั่งใจก่อนจะเอื้อมมือไปจับไหล่ของเธอเบาๆ
"คุณผู้หญิง..."
ฟึ่บ!
ผู้หญิงคนนั้นกลับใช้เล็บยาวๆของเธอข่วนเข้าที่มือชานยอลจนเป็นรอย ซ้ำยังจ้องกลับมาด้วยแววตาที่แสดงออกราวกับเขาเป็นสิ่งของที่ชวนคลื่นไส้น่ารังเกียจ เธอชี้หน้าและใช้คำพูดหยาบคายต่อว่าเสียๆหายๆ
"อย่ามาจับกูอีกระเทย ขยะแขยง กูขยะแขยงอีผิวพลาสติกของมึง หน้าแบบนี้หมดไปกี่ล้านล่ะฮะ ทำไมล่ะ ทำไมพวกแกต้องพยายามผิดเพศขนาดนี้ด้วย ทำไมต้องมาเอาคนของชั้นไป!!! ทำไม!!!"
"คุณกำลังเข้าใจผิด"
"เขาสัญญาว่าจะแต่งงานกับชั้น ....เขาไม่มีวันทอดทิ้งฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะคนอย่างพวกแก อีพวกวิปริต!"
....คำปรามาสถึงกับทำเอาปาร์คชานยอลเผลอกำมือแน่น เพราะมันเป็นคำที่เขาเกลียดที่สุดตั้งแต่เริ่มใส่กระโปรงแบบนี้
ถึงแม้ชานยอลจะพยายามทำให้เธอใจเย็นลงทำไหร่ หญิงสาวก็ยิ่งใช้อารมณ์ของเธอมากขึ้น มากขึ้นเหมือนมันไม่มีทางหมด จำไม่ได้ว่าเธอเป็นใคร ไม่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปรู้จักเธอตอนไหน รอบๆเกิดเสียงจอแจแข่งกับเสียงร้องไห้ ทุกคนคงไม่เข้าใจและเริ่มตีความไปเรื่อยเปื่อย เมื่อไร้ซึ่งหนทาง ชานยอลจึงส่งสายตาไปหาอี้ฟานให้เข้ามาช่วย
แต่แล้วร่างสูงโปร่งก็ต้องลงไปแนบกับพื้นเย็นๆด้านล่างตามแรงโน้มถ่วงโลกอย่างไม่ได้ตั้งใจ ....จากน้ำมือของหญิงสาวนิรนาม
พลั่ก!!
"โอ๊ย!"
ร่างบางไม่รอช้า เธอจัดการขึ้นคร่อมอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว มือข้างถนัดคว้าสิ่งที่ซ่อนไว้มาตลอดออกมา แววตาดุดันคู่นั้นสะกดให้ปาร์คชานยอลสั่นกลัว ร่างสูงสัมผัสได้ถึงแอนดีนาแห่งความหวาดกลัวที่แล่นไปทั่วร่างกายเมื่อสบตาเข้ากับประกายวิบวับในมือบางคู่นั้น
"แกมันไม่สมบูรณ์ก็จริง....แต่ไม่ต้องห่วงนะ คราวหน้าแกอาจจะได้เป็นอย่างที่หวัง"
ริมฝีปากสีแดงสดของสาวงามคนหนึ่งเเสยะยิ้ม ในขณะที่อีกคนไม่มีแรงแม้แต่จะปิดมัน....
ปาร์คชานยอลกำลังไร้ความคิดอย่างสิ้นเชิง หูของเขาไม่ได้ยินเสียงตื่นตระหนกโดยรอบเลยสักนิด เวลาราวกับจะเดินช้าลงอีกสิบเท่า และสายตาของเขากำลังมือบอดจนไม่อาจจะจับจ้องไปที่ใดได้อีกแล้ว
นอกจากมีดเล่มเล็กต้องแสงไฟเป็นประกายที่อยู่ตรงหน้าเขา...
"ไม่...."
ไม่เอา.... ปาร์คชานยอลยังไม่อยากตาย.....
....ช่วยด้วย
"ตายไปซะเถอะมึง อีคนไม่สมประกอบ!!!"
"ชานเลี่ย!! / พี่ชานยอล!!"
ไม่...
" คิมจงอินช่วยด้วย!! "
ครั้งที่ 4
"มึงคิดจะทำอะไรคนของกู!!!!"
ผัวะ!!!
คิมจงอินถีบเข้าที่ตัวของเธอเต็มแรงจนหญิงสาวกระเด็นไปกองกับพื้น มีดคมที่หลุดจากมือของเธอถูกใครบางคนเก็บไปแล้ว ชายหนุ่มยืนหอบหนักและจ้องอย่างจงเกลียดจงชังใส่คนที่นอนโอดครวญอยู่กับพื้น จงอินเคยเป็นพวกชอบต่อยตี ก็ไม่แปลกที่จะเจ็บขนาดนั้น
เขารู้ว่าหล่อนคือผู้หญิงเป็นเพศที่ควรเคารพ แต่สำหรับสถานการณ์ตรงหน้า ขอแค่ปกป้องคนที่รักได้ ต่อให้ต้องถูกประนามว่าเป็นหน้าตัวเมียตลอดชีวิตเขาพร้อมยินดี
"...จงอิน"
ปาร์คชานยอลชันตัวขึ้นจากพื้น เธอไม่แน่ใจหรอกว่าเด็กคนนี้อยู่ที่นี่หรือเปล่า แต่เพราะเสียงที่ตะโกนเตือนเธอตอนนั้นมันคล้ายกันมาก คล้ายจนเธอเผลอนึกเข้าข้างตัวเอง
มือสองข้างของเธอยังสั่นอยู่จากเหตุการณ์เฉียดตายเมื่อครู่ ชานยอลไม่สามารถหยุดมันได้จนสองมืออบอุ่นของจงอินเข้ามากุมมันไว้ ร่างสูงคุกเข่าลงมาหาและทำท่าเหมือนจะเข้ามากอด แต่แล้วเขาก็หยุดตัวเองไว้....
"พี่โอเคนะ"
ชานยอลพยักหน้าช้าๆ สภาพจิตใจเขาเองก็ดีขึ้นมากแล้ว จงอินจึงยืนขึ้นเต็มความสูง เขาหันไปหาผู้หญิงคลุ้มคลั่งที่อี้ฟานจับไว้เพื่อกันความเดือดร้อน ร่างบางดีดดิ้นเหมือนคนบ้าซ้ำก่นด่าไปทั่ว
"ไปช่วยมันทำไม!!! อีนั่นมันวิปริต!!"
"บ้าไปแล้วรึไง!!"
คิมจงอินกัดฟันกร๊อดก่อนจะตบหน้าขาวนั่นอย่างแรงจนหันไปอีกทางท่ามกลางความตกใจของหลายคน ตาสีนิลของเขาสั่นไหวแต่แฝงไปด้วยความเกรี้ยวกราด
"ใครกันแน่ที่วิปริต ใครกันแน่ที่หัวใจบิดเบี้ยว นั่นมันคุณต่างหากที่ไม่สมประกอบ!"
นูน่าของเขาต้องพยายามขนาดไหนกว่าจะปีนมาถึงขนาดนี้ แล้วผู้หญิงเสียสติคนนี้เป็นใครถึงได้กล้ามาหยามเกียรติเธอถึงขนาดนี้
"ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณทิ้งโดนทิ้ง ก็ในเมื่อคนแบบคุณ ...มันเทียบคุณค่ากับเธอไม่ได้ซักนิด!!"
"อย่ามาว่าชั้น!! แกมันก็พวกผิดเพศงั้นสิ ทำไม หลงกันมากใช่ไหมฮะ ตอบสิ!!!"
"....."
ร่างสูงหลบตาเธอที่ทำทีเป็นคาดคั้นคำตอบจากเขา จงอินกัดปากชั่งใจ นี่เป็นคำถามที่เขารู้คำตอบแต่ถ้าเขาตอบออกไป....ทุกอย่างจะต้องไม่เป็นเหมือนเดิม
สายตาเจ้ากรรมดันไปสบเข้ากับร่างสูงโปร่งที่เป็นประเด็น ชานยอลเองก็เม้มปากแน่นใจหายลุ้นคำตอบ แก้วตาเธอสั่นระริกพอๆกับหัวใจที่กำลังบรรเลงระรัว
หญิงร่างบางสบโอกาสสะบัดตัวจนหลุดจากการเกาะกุมของอี้ฟาน เธอพุ่งเข้ามากระชากคอเสื้อฮู้ดของจงอินขึ้นพร้อมตะคอกใส่อีกฝ่ายทั้งน้ำตา
"บอกให้พูด!!!"
1...
"พูดมาเซ่!!!!!!"
3...
"เออใช่ผมรักเค้า!!"
พูดออกไปแล้ว...
จงอินกำมือแน่น เสียงของเค้าเหมือนถูกกลืนลงไปพร้อมกับน้ำลาย ร่างสูงสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เขาพูดออกไปทั้งที่ยังไม่พร้อม ...ไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับผลที่ตามมาเลยซักนิด....
"ต่อให้คุณจะด่าว่าเขาขนาดไหนหรือต่อให้เค้าเป็นคนผิดเพศแบบที่คุณพูด ต่อให้เขาไม่ต้องสวยดูดีมีเงิน ต่อไปเขาอาจจะไม่สวยหรือแก่ลงตามอายุ แต่รู้ไหม พี่ชานยอลก็ยังเป็นพี่ชานยอลของผม"
"เขาเป็นคนที่สวยที่สุดของผม ....และจะเป็นตลอดไปด้วย เข้าใจไหม!"
แรงกระชากที่คอเสื้อค่อยๆหายไปพร้อมกับหญิงสาวตรงหน้าเขา เธอทรุดตัวลงไปกับพื้นราวกับคนอ่อนล้า ใบหน้าสวยแสดงออกถึงความโศกเศร้าที่สุมอกมาตลอด น้ำตาสีใสไหลหล่นลงมาไม่มีหมด
".....ฮึก ทำไม ผู้ชายคนนั้นก็ตอบกับชั้นแบบนี้....ทำไม ฮึ ชั้นทำไม่ดียังไง ชั้นแย่กว่าเขาตรงไหน...."
คิมจงอินคุกเข่าลงไปต่อหน้าเธอ เขาเอื้อมไปเช็ดน้ำตาออกจากดวงตาคู่สวย ก่อนจะเข้าไปโอบกอดร่างบางเอาไว้ หญิงสาวค่อยๆยกมืออันสั่นเทาขึ้นมาเกาะกุมคนแปลกหน้าผู้เป็นที่พึ่งสุดท้าย
"ชั้นพยายามสุดๆแล้ว ทำไมไม่มีใครเห็นใจชั้นบ้างเลย ฮือออ..."
....เขาไม่รู้ ว่าเธอผ่านอะไรมาบ้าง เขาไม่เคยผ่านเรื่องร้ายเลวร้ายเท่าเธอ เขาไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร แต่การเสียของรักไปเขาเคยเป็น...วินาทีนี้เขาขอเป็นตัวแทนซึมซับความทุกข์ของเธอให้จางลงไปบ้าง
บางคนยกมือขึ้นปิดปากหรือซับน้ำตาที่เผลอไหลออกมาด้วยความสงสาร หลายคนที่เข้าใจความเศร้าของเธอ เราทุกคนในที่นี้ล้วนแต่ข้ามผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกันทั้งนั้น
"ทำไมต้องทิ้งชั้นไปด้วย ทำไม...."
เผื่อว่าสักวันหนึ่ง....ผู้หญิงคนนี้จะลุกขึ้นยืนได้ใหม่ด้วยรอยยิ้มที่สดใสกว่าเดิม
ผมยืนส่งผู้หญิงคนนั้นเข้าไปกับรถตำรวจที่มารับเธอไปทำเรื่องคดีตามกฎหมาย คนรู้จักของเธอบอกว่าเธอเริ่มมีอาการควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้จนอาจเป็นโรคประสาทอ่อนๆ หลายวันมานี้เธอเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องนอน บางทีก็ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญ จมอยู่กับความเครียดและผิดหวังจากคนรักที่คบกันมาเกือบห้าปี
เขาทิ้งเธอไปหาคนใหม่ที่สวยกว่าและดีกว่า ไร้ซึ่งเยื่อใย....
ก่อนจะไป เธอหันมากล่าวขอบคุณกับผมและฝากคำขอโทษแก่เจ้าของวันเกิด ผมไม่คิดว่าเธอเป็นคนไม่ดี แต่คนเราก็มีด้านที่ปกปิดไว้กันทุกคน บางที เราอาจจะแสดงมันผิดที่ผิดเวลาไปหน่อย
ผมเองก็ได้แต่หวังว่าเธอจะไม่ได้รับโทษร้ายแรงและหวังว่าเธอจะหายดีในเร็ววัน
ผมหันเข้าไปมองในร้านของพี่ชานยอล ร่างสูงถูกรุมล้อมไปด้วยฝูงชนทั้งอวยพรวันเกิดและถามไถ่สภาพร่างกายจนแทบมองไม่เห็น แต่สิ่งที่ชัดที่สุดก็คงเป็นผู้ชายผมบลอนด์ข้างๆเขา ผมก้มมองระยะห่างระหว่างเราสองคนก็พบว่ามันไกลเหลือเกิน
หลายปีมานี่ผมทำอะไรอยู่นะ? ทั้งๆที่สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะเข้าไปใกล้กว่าเดิมแท้ จะไม่ปล่อยมือไปไหน แต่ยิ่งผ่านไปทำไมมันกลับยิ่งไกลกว่าเดิม หรือบางที ละครชีวิตของพี่ชานยอลอาจจะไม่ได้วางบทของผมอยู่แล้วก็ได้.....
หรือมันอาจถึงเวลาที่ต้องตัดใจ?
"ไงพระเอก คิดแล้วว่าเห็นหลังมึงแว้บๆ ไม่ไปหานูน่าของมึงสักหน่อยล่ะ"
คิมจงแดเพื่อนซี้ของผมโผล่มาข้างๆแบบไม่ให้ตั้งตัว ผมส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะรับบุหรี่จากมันมาจุดสูบ กลิ่นควันบุหรี่กับละอองหิมะมันทำให้ผมนึกถึงวันนั้นขึ้นมา...
"ขอบใจมากที่รับงานแทนให้ จู่ๆกูออกมากูกลัวพี่ชานยอลจะเหนื่อย"
"เออน่า แต่กูคงทำต่อไม่ได้นานนะ มึงจะกลับมาไหมล่ะ"
"....คงไม่ล่ะ กูกำลังจะห่างแล้ว"
"มึงแน่ใจเหรอวะ?"
ผมพยักหน้าก่อนจะพ่นควันออกมา ใช่ ในวันนั้นผมไม่ได้ตอบอะไรพี่ชานยอลกลับไปเลยซักนิด ผมแค่บอกกับเธอว่าผมจะลาออกแล้วก็วิ่งหนีกลับหอไปเหมือนเด็กโง่ๆ พอนึกได้ก็ต่อโทรศัพท์ไปหาจงแดให้เข้าไปสมัครงานพาร์ทไทม์ตำแหน่งที่เขาออกมา เพราะเขากลัวว่าพี่ชานยอลจะเหนื่อยกับการบริหารร้าน
"เอางั้นก็ได้ ถ้ามึงคิดว่าตัวเองโอเค....แต่ถ้าเป็นกูนะ"
จงแดยกมือขึ้นลูบคางก่อนจะเเย่งบุหรี่ผมไปดูด ควันสีเทาจากนิโคตินและความหนาวเย็นพวยพุ่งขึ้นสู้ท้องฟ้าสีเทากว้าง นิ้วยาวของคิมจงแดเอื้อมไปกำมันไว้
"ต่อให้เขาเป็นเหมือนควัน แต่กูจะคว้ามันเอาไว้ แม้จะรู้ว่ามันจะไม่มีวันทำได้"
รู้ว่าไม่มีวัน...
"...ก็มึงมันโง่"
"สัส"
เขาสองคนหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จงแดจะขยี้แท่งบุหรี่ลงกับพื้นเป็นสัญญาณว่าเขาจะไปแล้ว จงอินมองตามหลังเพื่อนตัวเล็กที่ทำเป็นเก๊กเท่โบกมือให้เขา
"คิมจงแด"
"หือ?"
"ขอบใจ"
"ยินดีว่ะเพื่อน"
ผมยืนเล่นสมาร์ทโฟนแบรนด์ดังในประเทศอยู่ตรงป้ายรถเมล์แทบไร้คนรอรถ เนื่องจากเวลาที่ล่วงเลยมามาก เสียงเพลงที่ต่อสายกับหูฟังดังกระหึ่มอยู่ในโสตประสาท การฟังเสียงดังมากๆมันไม่ดีต่อร่างกายแต่มันดีต่อจิตใจ
ผมไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงไม่บิดมอร์ไซต์ตัวเองที่จอดอยู่ข้างตึกนั่นกลับบ้านไปซะที อาจจะเพราะเป็นห่วงผู้หญิงหน้าตาดีที่ยืนรอรถอยู่คนเดียวตรงนี้หรืออาจเพราะผมยังมีห่วงอยู่
สาบานได้ว่าถ้าผมตาย คงไม่ได้ไปเกิดเร็วนี้แน่....
ปี๊น
"รถรอบสุดท้ายมาแล้วนะคะ ไม่ขึ้นเหรอ"
"ไม่ล่ะครับ ผมแค่รอส่งพี่"
พี่ผู้หญิงพนักงานออฟฟิศเธอยิ้มขอบคุณก่อนจะก้าวขึ้นรถเมล์ไป รถคันนั้นก็แล่นผ่านผมไปแล้ว ....และตอนนี้ก็เหลือแต่ผมคนเดียวที่ยังอยู่ ผมแค่นยิ้มให้กับความรู้สึกที่บอกไม่ได้ เป็นบ้าอะไรถึงมายืนอยู่ตรงนี้นะคิมจงอิน
ตึก...
"รถเที่ยวสุดท้ายไปแล้วนะครับ"
เพราะบังเอิญเหลือบไปเห็นรองเท้าส้นสูงสีขาวที่ก้าวมาพอดี เธอคงมารอรถเมล์เหมือนคนเมื่อครู่ แต่โชคร้ายหน่อยเธอมาช้าไป กระนั้นเธอกลับยังไม่ไปไหนจนผมต้องเงยหน้าขึ้นมามอง
"....จงอิน"
"พี่ชานยอล"
"พี่มีเรื่องสำคัญจะบอกกับเรา ช่วยอยู่ฟังก่อนได้ไหม"
ร่างโปร่งเอาแต่คอยกุมมือของเธอเหมือนคนมีพิรุธ จงอินยิ้มรับคำขอแม้เขาจะพอเดาได้อยู่ลางๆ
"ได้สิครับ"
"คือพี่......."
พี่ชานยอลเม้มปากแน่น น้ำใสๆค่อยๆไหลออกจากดวงตาคู่สวย เธอค่อยๆปล่อยมือออกจากหลังมืออีกข้าง เพื่อให้ผมได้เห็นบางสิ่ง... มันเหมือนที่ผมคิดเอาไว้เลย
".....พี่กำลังจะหมั้น"
...แหวนเงินเกลี้ยงกลมวงนี้เหมาะสมกับพี่มากเลย
"ยินดีด้วยครับ นูน่าคนสวยของผม ผมขออะไรอย่างนึงได้ไหม"
พี่ชานยอลยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลทั่วแก้ม ผมจุมพิตหน้าผากมนของคนตรงหน้าเป็นการบอกลาความรักของผมก่อนจะผละออกจากเธอมา สุดท้ายคนๆนี้ก็คือควันสีเทาผมหลงรักแต่สุดท้ายก็ไม่อาจคว้ามันไว้ได้ ....ไม่สามารถเลยจริงๆ
"...จากนี้ไป พี่ช่วยมีความสุขมากๆด้วยนะครับ"
พี่ชานยอลพยักหน้ารับคำ แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว อาจจะนานหน่อยที่ต้องลืมมัน....แต่มันก็โอเค
บางที ผมอาจจะต้องเลิกสูบบุหรี่ซะที...
แปะ...
น้ำตาผมเริ่มไหลอีกแล้ว รีบออกไปจากที่นี่กันเถอะน่าคิมจงอิน
...
"ไอ้เด็กโง่!!!!!!!!!!!!!"
หมับ!
ร่างของผมเซถลาจนหน้าเกือบทิ่มเพราะแรงปะทะจากด้านหลัง พี่ชานยอลกระชากบ่าผมให้หันไปเผชิญหน้า เธอเขย่าไหล่ผมแรงๆพร้อมกรีดร้องออกมา น้ำตาเองก็หายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่าทางเธอไม่เหมือนคนเคยเศร้าเลยซักนิด
"คิมจงอินเด็กโง่!!!! ทำไมเธอถึงไม่รั้งพี่ไว้เล่า!!"
"เฮ้ย! พี่ทำอะไรเนี่ย"
"นี่เธอร้องไห้เหรอ!? โธ่เอ๊ย ถ้าเธอจากพี่ไปแล้วต้องเจ็บแล้วจะทำทำไมเนี่ย ขอร้องพี่สิ แค่บอกกับพี่ว่าอย่าหมั้นแล้วอยู่กับผมทีแค่เนี่ย ทำไมถึงไม่พูดซะที!!!!! โว้ย!!!! พูดสิพูดมา!!"
"พูดอะไร!"
"พูดมาว่าเธอรักพี่!!! เธออยากอยู่กับพี่!! แล้วก็กอดพี่ไว้ไม่ให้ไปไงเล่า!"
"ฮะ?"
พี่ชานยอลกอดผมแน่นจนแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ต้องบอกกูพอรู้ว่าตอนนี้ตัวผมแข็งเป็นท่อนไม้ขนาดไหน ใบหน้าหวานกดปลายจมูกของเธอลงตรงซอกคอผมจนผมรู้สึกจั๊กจี้
"นี่ไง พูดสิ พูดเบาๆก็ได้ แค่ให้พี่ได้ยินก็ได้"
"...."
เธอบังคับผมพูด ที่ผมไม่พูดไม่ใช่ว่าไม่อยากแต่ผมเริ่มจะงงไปหมดแล้ว การประมวลผลทั่วหัวผมมันขึ้นERRORตัวสีแดงใหญ่ๆ พี่ชานยอลถอนหายใจเฮือกโต เธอเสยผมที่ปรกหน้าขึ้นอย่างหงุดหงิด
"ปัดโธ่เอ๊ย! ถ้าเธอไม่ทำ พี่จะทำเองแล้วนะ"
"......"
ร่างสูงกระชากแขนผมเข้าไปแนบชิดก่อนจะกดปากลงมาที่ริมฝีปากที่อ้าเหวอของผม สัมผัสอุ่นที่อีกฝ่ายส่งผ่านมาทำเอาหัวผมขาวโพลนไปหมด รสชาติวนิลาหวานๆคล้ายครีมเค้กกำลังดิ่งลงไปหล่อเลี้ยงหัวใจ พี่ชานยอลยังเพิ่มดีกรีความมัวเมาให้ผมอีกเมื่ออีกฝ่ายส่งผ่านลิ้นร้อนเข้ามา รสแอลกอฮอล์และกลิ่นมิ้นต์ของบุหรี่ที่ผมหลงรักอบอวลไปทั่วโพรงปาก เมื่อชิมปากผมจนไร้รสร่างสูงยังฝากรอยกัดไว้ที่ปากล่างของผมอีกต่างหาก เธอค่อยๆผละออกอย่างอ้อยอิ่ง พลางยิ้มกริ่มเหมือนสมใจกับผลงานตัวเอง
"พี่มีเรื่องสำคัญจะบอกกับเรา ช่วยฟังหน่อยได้ไหม"
"....ครับ"
จงอินตอบรับอย่างไร้สมอง ผมอาจจะกำลังเมาแต่ประสาทตาผมยังเห็นชัดอยู่ ร่างสูงทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น พี่ชานยอลค่อยๆหยิบวัตถุวงแหวนสีเงินขึ้นมาสวมเข้าไปที่นิ้วนางข้างขวาของผม
"พี่อยากให้เรา....มาเป็นคู่หมั้นให้พี่ที"
จากนั้นเธอก็จูบลงที่หลังมือของผมและแช่อยู่นานราวกับจะบอกผ่านการกระทำนั้นแทนคำพูด ปาร์คชานยอลอ้าปากคล้ายจะพูดอะไร แต่ผมชิงพูดตัดหน้าเธอซะก่อน
"ผมรักพี่"
"อะไรวะ! จะแย่งพูดทำไมเนี่ยไอ้เด็กหมี!"
ปาร์คชานยอลขมวดคิ้วพร้อมสะบัดมือของผมทิ้ง ร่างสูงกอดอกพลางทำตาดุ ผมเกาหัวก่อนจะส่งมือไปให้พี่เขาเริ่มใหม่
"เอ้า เออโทษๆ เอาใหม่ก็ได้ อ่ะ 3 2 1"
"แฮ่ม.....แบบว่าจงอินพี่น่ะ........................................................"
พี่ชานยอลเม้มปากพลางมองไปทางอีก ผมเองก็เม้มปากแน่นรอลุ้นจนเนื้อเต้นไปทั่วตัว แล้วร่างสูงถอนหายใจแล้วลุกขึ้นยืน
"ไอ่เหี้ย กูหมดฟิลละ"
"....เอาสั้นๆอ่ะพี่"
"เออๆๆๆ ทะเลาะกันมาตั้งห้าหกปี ฮยองเหนื่อย เหนื่อยมากกกก เหนื่อยสุดตอนแอบตามไปแล้วเห็นเธอกอดกับแฟนเก่าแบบนั้น รู้ไหมว่าวันนั้นร้องไห้เสียน้ำตาไปตั้งห้าลิตร"
"ไม่เป็นนูน่าแล้วเหรอ"
"ก็เป็นให้ได้ อยากให้เป็นเมื่อไหร่ก็บอกสิ ทำให้ได้ทุกอย่างแหละ"
"แล้วคนที่ชื่ออี้ฟานล่ะ?"
"นั่นญาติไม่ใช่ผัวจะถามทำไมเนี่ย! โอ่ย จำไม่ได้รึไงนี่น่ะ ปาร์คชานยอลคนโง่ที่มองแต่คิมจงอินคนเดียวนะ"
"ผมก็คิมจงอินคนแมนแฟนพี่ชานยอลนะ..."
เราสองคนหัวเราะเบาๆใส่กัน นึกขำตัวเองที่เอาแต่คิดว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนไปแล้ว แต่ความจริงแล้วมันไม่เคยเปลี่ยนไปเลย เวลาของเราทั้งสองคนยังคงหยุดไว้ที่เดิม...
เป็นไอ้เด็กหมีคิมจงอินกับไอ้ปาร์คฮยองคนโง่
ความรักของเรา....ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยซักนิดเดียว
".....คืนดีกันเถอะ กลับมาเป็นของพี่นะ อย่าเล่นตัวด้วย"
"เออ ไม่มีอารมณ์เล่นหรอกขนาดนี้แล้ว แม่ง รอมาตั้งเกือบหกปี .....นึกว่าจะไม่ได้ยินซะแล้ว"
ผมซบหัวลงที่อกพี่ชานยอล ข้อนิ้วยาวลูบตามเส้นผมช้าๆก่อนที่ชานยอลจะฝังจมูกลงไปสูดดมกลิ่นอายคนรักที่เขาไม่ได้สัมผัสมานาน มืออีกข้างที่ว่างก็ค่อยๆสอดนิ้วเข้าไปตามร่องนิ้วมือของจงอิน แหวนสีเงินของจงอินที่สัมผัสโดนเนื้อทำให้ปาร์คชานยอลยิ้มออกมา
กี่ครั้งที่เขาเฝ้าฝันถึงวันนี้....
กี่ปีแล้วที่เขาเฝ้ารอมันมาตลอด.....
"หมั้นแล้ว.....สินสอดครบเมื่อไหร่ เดี๋ยวฮยองให้พ่อแม่ไปขอนะ รอได้ไหม"
"ไม่สัญญาหรอก ....แต่นานแค่ไหนก็จะรอ อย่าให้เก้ออีกล่ะ"
"แน่นอนอยู่แล้ว..."
ในที่สุด พระเจ้าทรงดลบันดาลให้พรวันเกิดที่ปาร์คชานยอลเฝ้าอธิษฐานมาตลอดห้าปีสัมฤทธิ์ผลเสียที
ขอบคุณที่มอบบทเรียนแสนมีค่าแก่เราสองคน
ขอบคุณสวรรค์ที่คืนคนรักมาให้เขา...
ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เราจะไม่ปล่อยมือกันอีกแล้ว...
ผมขอสัญญา...
Will you still love me when I'm no longer young and beautiful
....แค่อีกสักครั้ง แล้วผมจะไม่ปล่อยเขาไปไหนอีกเลย....
I know you will, I know you will
I know that you will.
คิมจงอิน จะเป็นคนที่สวยที่สุดในชีวิตของปาร์คชานยอล....ไปจนวันตาย
Oh that grace, oh that body
Oh that face makes me wanna party
He's my sun, he makes shine like diamonds.
The End
___________________________________________________
หวาดเดเพื่อนโซเชียลแคม ไม่มีไรมากแค่อยากบอกว่าติ่งชานไคขั้นรุนแรงแล้ว ฮรือ TT //// TT
#สาวดุ้นจงเจริญ
พี่ชานเมะค่ะ เคนะกิกิ ตอนจบไม่สวยอย่าขว้างรองเท้านะคะ อ่านแล้วติดๆขัดๆอย่าว่ากัน เราพยายามแล้ว แอร๊ย-0- ใครงงตอนไหนถามได้นะคะ เขียนบรรยายไม่เก่งอันนี้รู้ตัว
ขอบคุณที่ติดตามมาตลอดค่ะ รักกชานไคชิปทุกท่าน >3<
ตอนหน้าไปไม่ฮุนโฮก็ลู่หมินนะคะ รู้สึกคิดถึงสองคู่นี้ :)
see ya!
">◊ SQWEEZ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น