ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) amour tales ❦ นิยายรัก . {chankai lumin hunho}

    ลำดับตอนที่ #6 : Snow White

    • อัปเดตล่าสุด 5 เม.ย. 58









    Snow White  ❥  Baekhyun x D.O x Chanyeol x Kai


    「 someday my prince will come 」




    Snow White  by Brothers Grimm


    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...

    สโนว์ไวท์คือเจ้าหญิงงดงามที่มีแม่เลียงเป็นราชินีใจร้ายกลั่นแกล้งให้ทำงานหนัก ราชินีมักถามกระจกวิเศษว่าใครงามเลิศในปฐพี และกระจกก็จะตอบกลับว่าเป็นนาง แต่วันหนึ่งกระจกตอบนางว่าสโนว์ไวท์หญิงผู้งดงามที่สุดในปฐพี ด้วยความริษยาราชินีสั่งนายพรานให้เขาฆ่าสโนว์ไวต์ทิ้งแล้วควักเอาหัวใจกลับมาให้นาง ทว่านายพรานไม่อาจทำได้ เขานำหัวใจหมูมาแทนให้ให้สโนว์ไวท์วิ่งหนีเข้าไปในป่าทึบ สโนว์ไวท์พบกระท่อมหลังเล็ก เธอจึงเข้าไปทำความสะอาดและทำอาหารไว้ เผื่อว่าเจ้าของกระท่อมจะเห็นใจและให้เธอพักด้วย สโนว์ไวท์หลับไปและคนแคระทั้งเจ็ดคนเดินทางกลับมาจากก็พบหญิงสาวและอนุญาตให้เธออยู่ด้วย ราชินียังคงถามกระจกเพื่อให้แน่ใจว่าตนงดงามที่สุด แต่นางก็ต้องโกรธจัดเมื่อรู้ความจริงสโนว์ไวต์ยังไม่ตาย นางจึงลงมือปรุงยาพิษเพื่อเคลือบบนแอปเปิ้ลสีแดง ราชินีปลอมตัวเป็นหญิงชราหลอกล่อขายแอปเปิ้ลให้สโนว์ไวท์ และเมื่อสโนว์ไวท์ทานนางจึงหลับเป็นตายไม่มีสิ่งใดปลุกนางจากนิทราได้เว้นไว้แต่จุมพิตแรกแห่งรักแท้ พวกคนแคระไม่อาจฝังร่างนางได้ลงสร้างโลงแก้วบรรจุร่างนางไว้และมาเยี่ยมเธอทุกวัน วันหนึ่งเจ้าชายรูปงามผ่านมาพบสโนว์ไวท์ เจ้าชายมอบจุมพิตแด่นางและแล้วคำสาปก็สูญสลายไป เจ้าชายพาสโนว์ไวท์ไปที่ปราสาทของพระองค์แล้วทั้งคู่ก็ครองรักกันอย่างมีความสุข


    Happy Ever After









    "คุณจงอินนี่เก่งจังเลยนะ อายุก็ยังน้อยอยู่แท้ๆ แต่กลับทำงานได้ไม่แพ้รุ่นใหญ่ๆเลย"


    "ใช่เลย ตอนฉันมองตาเขานะ มันแบบว่า....อาาา ผู้ชายแบบนี้ใครเป็นพ่อแม่เขากันนะ ฉันพอจะเป็นสะใภ้พวกเขาได้ไหมนะ ประมาณนั้นเลยล่ะแก"


    "นั่นสิๆๆ มันเหมือนตอนคุณแบคฮยอนเพิ่งเข้ามารับหน้าที่เลยเนอะว่าไหม รายนั้นนะโอ๊ย ผู้ชายในฝันของฉันเลยนะแก คนอะไรหล่อก็หล่อพ่อก็รวย ทำงานก็ดี"


    ผู้หญิงอีกคนตอบเพื่อนสาวของเธอที่อยู่ในคาเฟ่ทีเรียด้วยกัน พวกเธอทั้งสองได้รับเวลาพักจากการทำงานมานั่งปลดทุกข์ปลดโศกด้วยการพูดคุยเรื่องทั่วไป


    "ก็ใช่นะแก แต่เหมือนคุณจงอินจะพร้อมกว่านะ คุณแบคฮยอนเธอเก่งก็จริงแต่มันก็ดูเป็นคนที่เข้าถึงยากมากเลยอ่ะแก ตอนนั้นที่ฉันเข้าไปคุยงานนะ โอ๊ย หายใจแทบไม่ทั่ว"


    "อืมมมม ....นั่นสินะ คุยด้วยยากสุดๆเลย คุณจงอินเจ๋งกว่าจริงๆนั่นแหละ ...อ๊ะ นี่แก จะหมดเวลาพักแล้วรีบไปกันเถอะ"


    หญิงสาวอีกคนพยักหน้าเห็นด้วยก่อนที่เธอจะยกนาฬิกาข้อมือเพื่อตรวจสอบเวลา พวกหล่อนทั้งสองรีบรุดกลับสู่ที่ทำงานเดิมของเธอ ด้วยเวลาอันรีบเร่งและการไม่สนใจสิ่งรอบตัวของพวกหล่อนทำให้พลาดที่จะสังเกตเห็นคนที่เป็นหัวข้อสนทนาเมื่อครู่อย่างสนิท



    บยอนแบคฮยอนที่ยืนอยู่เงียบๆเหม่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ในมือสวยถือแอปเปิ้ลสีแดงสดของโปรดไว้แน่น เขารับรู้และจดจำบทสนทนาของพวกหล่อนทั้งสองได้ขึ้นใจดี แต่ว่ามันก็เป็นจริงๆอย่างที่ใครก็พูดกันที่ว่าเขากำลังจะถูกแทนที่ด้วยคนบางคนที่ดูเหนือกว่า...


    เพราะงั้น พวกหล่อนไม่ได้ผิดหรอกที่จะพูดแบบนั้น คนผิดเต็มๆของเรื่องนี้เองก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกลนอกจากเสียจากน้องชายต่างมารดาของเขา



    ".....คิมจงอิน"




    กร๊อบ...


    ฟันขาวภายในปากชมพูเรียวกัดลูกแอปเปิ้ลคำใหญ่อย่างแรงตามความแค้นและโทสะที่สั่งสมมาในใจนานนับเวลา แบคฮยอนอมยิ้มกับรสหวานปนฝาดของผลไม้ลูกสวยที่ชวนให้เขานึกถึงนิทานก่อนนอนวัยเด็กเรื่องหนึ่ง


    มันคล้ายๆกันนะว่าไหม?




    แต่ครั้งนี้ ราชินีปีศาจจะไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกแล้ว...


    ถ้าจงอินหาญกล้าจะขึ้นไปแทนแบคฮยอน จงอินก็ต้องเหยียบแบคฮยอนให้จมดินพร้อมฝัง...ไม่เช่นนั้น มันต้องโดนเอาคืน



    "มันไม่ผิดหรอกที่ลูกเมียน้อยอย่างแกเกิดมาโดดเด่นกว่าฉัน ....โทษนะ แต่บยอนแบคฮยอนต้องเป็นที่หนึ่งเท่านั้น"



    อะไรที่มันเป็นของแบคฮยอนมันต้องไม่ใช่ของจงอิน...




     
    ถึงเวลาแล้วของนิทานบทใหม่...


    และครั้งนี้สโนว์ไวท์จะต้องไม่มีโอกาสรอด...


    ....เอาล่ะที่รัก ที่นี้บอกกับราชินีผู้เลอโฉมคนนี้ดังๆสิว่า





    ...ใครกันที่งามเลิศที่สุดในปฐพี ?






    ครั้งที่ 1
     






    คิมจงอินรู้ตัวดีว่าเขาเป็นคนหน้าตาดี นิสัยภายนอกดี คำพูดคำจาดี การวางตัวดี ฐานะการเงินดี การเรียนดี ทุกอย่างดีหมด สรุปง่ายว่ามันดีเลิศเพอร์เฟ็คทุกอย่าง...


    แต่เพราะเรื่องงี่เง่าแบบนั้นแหละ ที่ทำให้ทั้งชีวิตต้องตะเกียดตะกายมากกว่าคนอื่นๆ



    เขาเป็นพี่น้องต่างมารดากับบยอนแบคฮยอนคนเก่งที่ใครก็ต่างเอ็นดูและให้ความสนใจเพียงเพราะมัน'โต'กว่า มันไม่แปลกหรอกถ้าใครๆจะเห่อหลานชายคนแรก จริงไหมล่ะ?


    และถ้าจะบอกจงอินเป็นลูกภรรยาน้อยเลยก็ไม่ใช่ที่ บิดาของเขาไม่ได้จดทะเบียนกับแม่ของแบคฮยอนหรือใครๆจนทุกวันนี้ แต่ผู้ชายคนนั้นก็รับผิดชอบเลี้ยงดูเราทั้งสองจนโต แต่เหมือนเราทั้งคู่จะไม่ลงรอยกันเท่าไหร่ ...พวกเราเอาแต่แข่งขันกันชิงดีชิงเด่นให้เหนือกว่าเพื่อจะยืนอยู่จุดสูงสุด หรือแบคฮยอนอาจจะไม่คิดแบบนั้น แต่จงอินคิด


    เขาแพ้ไม่ได้...หัวเด็ดตีนขาดก็แพ้ไม่ได้...



    มารดาของแบคฮยอนจะออกแนวติดผู้ดีมาแต่ก่อน หล่อนเงียบๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ใบหน้าสวยทระนงตนนั่นมักจะแสดงความหยิ่งผยองเหมือนลูกชายไม่มีผิด ทว่าด้วยผิวขาวละเอียดกับรูปหน้าจิ้มลิ้มมันก็ถ่ายทอดมาให้ลูกชายเธออย่างดี เช่นกันกับจงอิน แม่เขาเป็นสาวสวยผิวแทนสุดเซ็กซี่ เธออัธยาศัยดีและเฮฮาแต่ก็นอบน้อมมากๆ ใครๆก็บอกว่าเธอยิ้มสวยและน่ารักมาก จงอินเองก็ถอดแบบมารดามาเช่นกัน


    แค่ฟังก็น่าจะรู้แล้วนะว่าเราทั้งคู่โคตรจะเข้ากันไม่ได้...



    แต่มองหน้ากันทีไรก็รู้อยู่แล้วว่าเราคงอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แน่ๆ สายตาที่ทั้งคู่มองกันน่ะ



    ...มันเต็มไปด้วยความเกลียดชัง










    ครืด...


    จงอินเหลือบมองแบคฮยอนที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามโต๊ะอาหารกับตน นี่เป็นมื้อเช้าที่แปลกไปจากเดียวเมื่อมีพี่ชายครึ่งสายเลือดนั่งร่วมโต๊ะ ปกติอีกฝ่ายมักจะตื่นสายหรือไม่ก็ไม่นอนอยู่คอนโดอื่น


    "อาหารเช้ามาแ้วค่ะคุณแบคฮยอน"


    เมื่อสาวใช้วางเครื่องดื่มและอาหารเช้าขนาดเบาอย่างขนมปังลงตรงหน้าแบคฮยอน จงอินก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าเขาแสดงออกว่าจ้องอีกฝ่ายชัดเจนเกินไป แต่สายไป แบคฮยอนยิ้มกว้างจนตาปิดในน้องชายพลางกล่าวหยอกล้อ


    "แหมๆ ไม่นึกเลยว่าจะได้มานั่งทานอาหารเช้าด้วยกันกับน้องชายสุดที่รักแบบนี้"


    "ผมก็ไม่คิดจะได้เจอพี่เหมือนกัน"


    จงอินรู้สึกว่าลำคอตัวเองมันตีบลงจนแทบกลืนข้าวต้มไม่ลงเมื่อครั้งต้องคุยกับแบคฮยอน ร่างเล็กแสร้งขบขันในลำคอก่อนจะตวัดดวงตาคมมาสร้างสงครามประสาท


    "ไม่คิดว่าจะเจอ ....หรือไม่อยากเจอกันแน่"


    "หึ ใครล่ะจะไม่อยากเจอคุณบยอนแบคฮยอน เซเลปบริตี้เนื้อหอมที่มีสาวให้ควงจนไม่กลับบ้านกลับช่องกันล่ะครับ"


    "แกก็พูดไป วันนั้นพี่ยังได้ยินสาวๆในบริษัทนั่งยกยอแกว่าประเสริฐกว่าพี่อยู่เลย พี่แบคฮยอนคนนี้สู้น้องจงอินคนเก่งไม่ได้หรอกครับ"


    แบคฮยอนเท้าคางลงกับโต๊ะกินข้าว นิ้วเรียวหยิบขนมปังแผ่นขึ้นมากัดช้าๆแต่ยังไม่ละสายตาไป จงอินยักไหล่ทำเป็นคิดว่าเรื่องแค่นั้นมันก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร


    "พี่ก็อย่าไปคิดอะไรมาก พวกเธอก็แค่หาเรื่องพูดกันให้วงสนทนาสนุกเท่านั้นแหละน่า"


    "เหรอ ถ้าเราพูดแบบนั้นพี่ก็โอเค ....แต่ระวังหน่อยก็ดี ขืนเก่งมากไปจนขัดหูขัดตาชาวบ้านเขาล่ะก็....ระวังจะอยู่ไม่สุข"


    คนตัวเล็กลากลิ้นตามข้อนิ้วเรียวยาวของตัวเองหลังจากจัดการอาหารเช้าเสร็จ จงอินได้แต่นิ่งมองพี่ชายนั่งซดกาแฟจนหมดแก้ว เวลาผ่านไปนานกว่าปกติเมื่อต้องเผชิญหน้าคนที่เกลียด


    แบคฮยอนลุกขึ้นยืนเต็มกว่าสูงก่อนจะเดินมาหาเขา มือเรียวที่ใครๆต่างก็กล่าวชมค่อยๆวางลงบนไหล่ลาดของจงอิน


    "ที่เตือนเนี่ย พี่หวังดีนะรู้ไหม"


    หน้าสวยก้มลงมาจนชิดใบหน้าคม จงอินรู้สึกถึงลมร้อนที่คลอเคลียอยู่ข้างหูชวนขนลุก แบคฮยอนยกยิ้มพร้อมกล่าวบอกความในใจให้น้องชายครึ่งสายเลือดได้ฟัง


    "เพราะพี่ยังอยากอยู่กับเรา..............ไปอีกนาน"



    ....ฟังแล้วต้องจดจำไปตลอดกาล











    "แล้ว....จะทำอะไรต่อไปล่ะ"


    นัยน์ตาคมเหลือบขึ้นมองร่างเล็กที่นั่งบรรเลงทำนองบนหน้าแกรนด์เปียโนสีขาวตัวโปรดของเขา หน้าหวานที่เห็นจนคุ้นตาอมยิ้มเหมือนคนมีความสุขกับชีวิต


    "ก็ไม่ทำไม"


    ไหล่บางไหวน้อยๆจนเขาอยากจะลุกขึ้นไปเอาสันหนังสือเล่มเขื่องนี่ฟาดกระโหลกมันซักผัวะจริงๆ แบคฮยอนตั้งสมาธิใหม่กับการพรมนิ้วยาวลงบนคีย์สีขาว บทเพลงที่เขาชอบก็เริ่มบรรเลงขึ้น


    "ไม่เห็นมีอะไรต้องกังวล ในเมื่อคนๆนั้นรับปากว่าจะทำมันให้"


    "หืออออ มั่นใจจังนะ"


    คนบนเก้าอี้ตัวเล็กวางหนังสือไว้บนตัก ก่อนจะเท้าคางมองเพื่อนสนิทที่เอาแต่สนใจเครื่องดนตรีที่ไม่ใช่ของตัวเอง บ้านตัวเองก็มีแท้ๆ แต่มันกลับบอกว่าไม่ชอบ ทั้งๆที่มันก็เป็นรูปแบบเดียวกัน


    แบคฮยอนก็เป็นแบบนี้แหละ ชอบมาเล่นของๆคนอื่น .....จนบางทีก็ชอบละเลยทิ้งขว้างของๆตัวเอง


    โน๊ตตัวสุดท้ายดังขึ้นพร้อมเสียงปรบมือของเจ้าของบ้าน มือขาวโยนแอปเปิ้ลสีแดงสดของโปรดของนักเปียโนให้อีกฝ่าย แบคฮยอนรับมันมาก่อนจะอ้าปากจนเป็นรูปตัวโอ


    "แน่ใจนะว่ามันจะไม่มาแว้งกัดน่ะ?"


    "เหอะ มึงก็พูดเหมือนไม่รู้จักมัน ถ้าถึงมือหมอนั่นเมื่อไหร่ล่ะก็....ไอ้เด็กเหลือขอนั่นไม่รอดแน่"


    แอปเปิ้ลเนื้อฉ่ำถูกกัดเข้าไปคำโตจนมันไม่สมบูรณ์ ราชินีปีศาจแสยะยิ้มชั่วร้ายกับแผนการที่รังสรรค์เองกับมือ จนผู้ที่คอยดูอยู่ถึงกับส่ายหน้าระอา จะกี่สิบปีผ่านมา ความชิงชังก็ไม่ได้ลดลงเลยหรือไรกันนะ...



    ทำไงได้ล่ะ ก็เล่นมามาขวางหูขวางตาไอ้ตัวแสบแบบนี้นี่นา


    แย่หน่อยนะ...คิมจงอิน













    รถคันนั้นขับตามหลังเขามานานแล้ว....


    คิมจงอินเหลือบมองทางกระจกหน้า มันยังคงปรากฎภาพของรถเก๋งสีบลอนด์มาตลอดเกือบ30นาที ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจอะไร จนเขาเริ่มรู้สึกแปลกๆ แม้จะพยายามจะแกล้งสลัดให้หลุดแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่หลุด


    นี่เป็นหลักฐานชั้นดีว่าเป้าหมายของมัน ....คือเขาแน่นอน


    "เวรเอ๊ย ไอ้แม่มดน่ะแผลงฤทธิ์อีกแล้วสิท่า"


    ตั้งแต่เป็นน้องชายแบคฮยอน จงอินเองก็เคยถูกตามรังควานมาหลายต่อหลายรอบ บางที่ก็ส่งคนมารุมยำตีน บางทีก็ส่งอะไรมากระทบกระเทือนจิตใจเขา ถ้าถามว่าทำไมไม่เอาคืนบ้าง นึกเหรอว่าไม่เคยทำ แต่พอทำทีไรมันกลับไม่เคยได้ผลอย่างที่ต้องการเลยซักนิด ซ้ำยังปล่อยเหยื่อให้มานั่งยิ้มเยาะผู้ล่าอย่างเขาอีกต่างหาก


    ถ้าไม่เพราะคนของเขามันไร้ฝีมือ บยอนแบคฮยอนก็น่ากลัวเกินไป


    แต่ก่อนหน้านั้น เขาควรจะหยุดการกลั่นแกล้งครั้งนี้ลงซะที


    เอี๊ยด..


    รถคันหลังหลุดลงเช่นกันเมื่อเห็นว่าเขาเลือกที่จะจอดรถ จงอินก้าวลงไปอย่างหงุดหงิด เขาหวังว่าการแกล้งคราวนี้จะจบลงง่ายๆเหมือนคนคราวที่แล้วนะ ไม่ทันที่เขาจะเคาะกระจกรถอย่างที่ตั้งใจ อีกฝ่ายก็ก้าวลงมาซะก่อน เขามองผู้ชายตัวเล็กตรงหน้าอย่างฉงนใจ จะว่าไงดี มันออกจะแตกต่างไปจากเดิมหน่อย ปกติจะหน้าเถื่อนๆกว่านี้นี่นา แบคฮยอนคิดจะทำอะไรกันแน่วะ


    "....คุณคงเป็นคนที่แบคฮยอนจ้างมาอีกล่ะสิ พอเหอะ เลิกตามผมได้แล้ว"


    "...."


    "โอเค ผมตกใจก็ได้ โอ้พระเจ้า!! ......ที่นี้ก็ไปบอกเขาว่าคุณทำสำเร็จแล้วก็รับตังมานะ"


    "ไม่"


    เพราะร่างเล็กกล่าวออกมาเพียงสั้นๆ จงอินจึงเลิกคิ้วสูง อะไรของเขาวะ พูดจาไม่รู้เรื่องรึไง?


    "อ้อ หรือไม่พอ โอเคๆ ผมจะให้ค่าปิดปากคุณก็ได้"


    "ผมไม่ได้ต้องการเศษเงิน"


    มือเล็กที่ซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อถูกดึงออกมาพร้อมมีดพกขนาดเล็ก คุณอาจจะคิดว่ามันแค่ของกากๆ แต่เชื่อเถอะ ต่อให้สั้นกว่านี้ มันก็ฆ่าผมให้ตายอยู่ตรงนี้ได้


    "ผมแค่ต้องการให้คุณหายหัวไปจากสายตาเขา"


    รองเท้าผ้าใบมีแบรนด์ลากผ่านยางมะตอยมาหาจงอินอย่างช้าๆ ในขณะที่เจ้าของรองเท้าหนังก็ค่อยๆถอยหลังหนีช้าๆเช่นกัน


    "เฮ้ ไม่เอาน่า เราคุยกันได้"


    "หุบปากแล้วตายๆไปเถอะ"


    ร่างเพรียวย่อช่วงขาลงก่อนจะพุ่งเข้าชาร์ตคนโตกว่า จงอินลุกลี้ลุกลนก่อนจะเบี่ยงขวาหลบอย่างหวุดหวิด หัวใจเขาเต้นระรัวดังแข่งกับเสียงกัดฟันของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มตรงหน้าตั้งหลักใหม่อีกครั้ง สายตาแววับดังเพชรฆาตทำเอาขายาวๆสั่นพั่บ


    พนันได้เลยว่าถ้าขืนเขายังยืนนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่ตรงนี้ เดาได้เลยว่าอีกไม่นานมีดเล่มนั้นมันต้องมาปักอยู่ตรงหน้าอกเขาชัวร์ๆ ตอนนี้เหลือทางเลือกเดียวแล้ว...


    วิ่งดิ!!!!


    "มึง.....เหนื่อยเปล่าน่ะ....."


    จงอินพุ่งตรงไปยังรถยนต์สีดำเอี่ยมของตนเอง ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว ในเมื่อดูยังไงมันก็เป็นปราการสุดท้ายของเขาไม่ผิดแน่!



    ปัง!


    "โธ่เอ๊ย เข้าไปสิวะ"


    เพราะความกลัวความตื่นเต้นหรืออะไรก็ไม่ทราบที่ทำให้คิมจงอินกำลังกลายเป็นโรคประสาท กุญแจรถที่เป็นความหวังหนึ่งเดียวไม่อาจเสียบเข้าร่องได้เพราะเหตุว่ามือไม่อาจหยุดสั่น ในหูของเขาก้องไปด้วยเสียงลมหายใจของตัวเอง


    "เร็วสิ มันมาโน่นแล้ว"


    ร่างเล็กในชุดสีดำราวคนไว้อาลัยต่อโลกตรงปรี่มาทางเขาช้าๆ ใช่ มันกำลังยื้อเวลาให้เหยื่อดิ้นรนเอาตัวรอดเหมือนในหนังฆาตกรรมหลายเรื่อง  เมื่อเป้าหมายกลัวเต็มที่เวลากินมันจะทำให้อร่อยขึ้น...


    ทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นแบบนั้น แต่เขาก็ไม่อาจหยุดความหวาดกลัวลงไปได้เลย!


    ครืน...


    "สำเร็จ!"


    ขอบคุณพระเจ้า ร่างสูงยกยิ้มเมื่อเขาสตาร์ทเครื่องยนต์ได้สำเร็จ ครั้นจงอินคิดหันกลับไปมองคนข้างหลัง แต่แล้วเขาก็ต้องก้มศีรษะลงจนมันแทบจะชิดกับเบาะ


    ปั้ก!!!


    นัยน์ตาสีนิลลอบมองภาพกระจกที่กระทบกับแท่งโลหะอันเขื่องด้วยความตื่นตะลึง มันค่อยๆแตกเป็นรอยแยกก่อนจะระเบิดเข้ามาด้านใน ...ทั้งหมดมันถูกฉายราวกับภาพสโลวโมชั่น



    เพล้ง!!!



    เด็กหนุ่มร่างเล็กขว้างไม้เบสบอลโลหะสีเหล็กทิ้งไปก่อนจะเอื้อมมือเข้ามาปลดล็อคประตูรถ สายคมเหลือบมองร่างสูงที่หมอบราบอยู่ท่ามกลางเศษกระจกสีชา ช่วยไม่ได้นะ ก็เพราะว่าอีกฝ่ายไม่ยอมดีๆอีกเขาถึงต้องใช้ความรุนแรงเข้าช่วย


    "ตายไปแล้วรึไง"


    "ยังหรอกน่า!!"


    ผัวะ!!


    ขายาวยื่นเข้าไปถีบกลางอกของคนข้างนอก ร่างเล็กถลาไปครูดกับพื้น คิมจงอินรีบลงจากปราการสุดท้ายของเขา ก่อนจะพาตัวเองให้ตั้งหน้าวิ่งไปให้พ้นๆเด็กคนนั้น แม่งน่ากลัวเกินไปแล้ว....




    "จะทุรนทุรายทำไม อีกหน่อยแกก็ต้องตาย! คิมจงอิน!!!!!"



    เสียงตะโกนไล่หลังมาทำให้คิมจงอินเร่งเท้ามากกว่าเดิม ท้องนภาดำมืดกับไฟทางสลัวยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวในใจของเขาเข้าไปอีกหลายเท่า ตัวเขาไม่คิดว่ามันจะจบ ปีศาจแบคฮยอนพิษสงมากมายเกินจะนับ



    ขาสองข้างก้าวไปต่อเนื่องราวไกับไม่มีวันเหน็ดเหนื่อย ผิดกับตัวเขาที่ใกล้จะหมดแรงขึ้นเรื่อยๆ สมองของเขาไม่สั่งการอะไรอีกแล้วนอกจากคำว่าวิ่ง...วิ่งให้ห่างจากผู้ชายคนนั้นให้มากที่สุด



    เร็วขึ้นอีกคิมจงอิน นายจะมาตายอยู่ที่นี่ไม่ได้นะ



    วิ่งสิคิมจงอิน....



    เร็วเข้า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!




    ....




    เอี๊ยด!!!!!!!



    "เฮ้ย....คุณ! คุณเป็นอะไรรึเปล่า!"


    ใครวะ?


    "ได้ยินไหม นี่!!"


    ช่างเถอะ ตอนนี้จะใครก็ได้.....






    "ช่วย......ด้วย......"




    ครั้งที่ 2






    "โอเซฮุน ทำไมถึงกลับมาป่านนี้!"


    "....ชิบหาย"


    เจ้าของชื่อสะดุ้งสุดตัวเมื่อพบว่ายังมีคนรอเขาอยู่ทั้งๆที่นี่เป็นเวลามันตีสองกว่าแล้ว รอยยิ้มเจื่อนฉีกใส่น้าชายตัวสูงที่ตีหน้าเข้ม โอเคยอมรับผิดที่ ตอนแรกบอกว่าจะกลับมาตั้งแต่ห้าทุ่ม ไปๆมาๆก็เผลอเวิ่นเว้ออยู่กับเพื่อนจนเกือบตีหนึ่ง กว่าจะแจ้นรถกลับมาบ้านที่อยู่ไกลโขจากตัวเมืองอีกก็ล่อไปครึ่งชั่วโมงกว่า


    ที่ต้องมาอยู่ในป่าในดงแบบนี้ก็เพราะ เพราะแม่ของเขาชอบบรรยากาศต่างประเทศแต่ลูกชายกลับต้องการได้ศึกษาเล่าเรียนต่อในมหาลัยมีคุณภาพของเกาหลีใต้มากกว่า เธอจึงส่งเขามาให้คนเป็นน้าคอยคุมความประพฤติ ที่จริงเขาก็มีหออยู่ใกล้มหาลัยอยู่ตามคำอนุมัติของน้า แต่เขาก็ต้องวนเวียนอยู่ที่นี่บ้างเพื่อไม่ให้ครอบครัวเป็นห่วง


    "แล้วนั่นใคร?"


    และอีกสาเหตุนึงที่กลับมาช้าก็เพราะคนไร้สติที่อยู่ข้างๆเนี่ยแหละ คิดยังไงของเขานะจู่ๆก็โผล่มาตัดหน้ารถคนอื่นแบบนั้น ดีนะจะเขาเบรกไว้ทัน เพราะดูจากบาดแผลอีกฝ่ายก็น่าจะแค่โดนผลักไปครูดถนนเท่านั้น


    "เขามาจากไหนก็ไม่รู้มาตัดหน้ารถผมอ่ะ แต่ดูแล้วไม่เป็นไรมาก ก็เลย....ก็เลยพากลับมาด้วย"


    "ฮะ? นี่แกเอาคนแปลกหน้ากลับบ้านมาเนี่ยนะ!?"


    "ผมขอโทษ! ถ้าเป็นน้า น้าจะปล่อยเขาไว้เหรอ...."


    โอเซฮุนเถียงเสียงอ่อย ก็ตอนนั้นเขาคิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ จะให้ปล่อยทิ้งข้างทางมันก็ไม่ใช่เรื่อง เดี๋ยวเช้ามามีข่าวหน้าหนึ่งเป็นรูปผู้ชายคนนี้มีหวังเขาได้สำนึกผิดไปจนวันตายแหงๆ


    "เฮ้อ แกนี่มัน.... รีบขึ้นไปนอนเลยไป ถ้าพรุ่งนี้ไปม.ไม่ไหว น้าจะฟาดแก"


    เด็กมหาลัยถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ไอ้เขาก็หวังจะนอนตูดโด่งจนเที่ยงซักหน่อย ไม่เข้าไปเรียกซักคลาสสองคลาสก็ไม่น่าเป็นอะไรร้อก... แต่ถ้าท่านน้าประกาศิตไว้เช่นนี้แล้ว ต่อให้จะง่วงตาบวมขนาดไหนก็คงต้องลุกจากเตียง


    ไม่น่าเลยอีฮุ๊นนน ;_;


    "แล้วหมอนี่ล่ะ ห้องผมมันเตียงเดี่ยวให้นอนด้วยไม่ได้หรอกนะ"


    "เอามานี่ แล้วแกก็เนรเทศตัวเองขึ้นนอนซะ...พรุ่งนี้ทำแพนเค้กให้กิน"


    "ครับๆๆๆ ไปเดี๋ยวนี้เลย! ราตรีสวัสดิ์ครับน้าชานยอล"


    เซฮุนตาพึ่งทันทีที่ได้ยินเมนูอาหารเช้าวันพรุ่งนี้ ใครจะด่าเขาก็ได้แต่โตเป็นควายแบบนี้แหละที่ชอบกินแพนเค้กฝีมือเจ้าของบ้านที่สุดในโลก! เขาส่งตัวคนแปลกหน้าให้ร่างสูงรับไปดูแลต่อก่อนจะวิ่งขึ้นห้องนอนไปทันที


    "เอ้าฮึบ!"


    ปาร์คชานยอลผู้โดดเดี่ยวเมื่อส่งหลานชายจอมแสบเข้านอนเสร็จก็ต้องมาจัดการเรื่องของคนสลบไสลตรงหน้าอีก เขาพยายามจะงัดร่างสูงของอีกฝ่ายขึ้นหลังแต่เพราะตัวคนเดียวจึงเป็นไปได้ยากเหลือเกินยิ่งมายื้อยุดอยู่ตรงบันไดก็น่ากลัวว่าจะร่วงลงไปจูบพื้นทั้งคู่ซะอีก


    ชานยอลส่ายหน้าเหนื่อยหน่ายก่อนจะตัดสินใจช้อนข้อพับขาของอีกฝ่ายขึ้นมาอุ้มแนบอกก่อนจะเดินขึ้นอย่างทุลักทุเล เพราะอีกฝ่ายเองก็ตัวสูงเกือบเท่ากันซ้ำยังหนักซะจนเขาแทบจะหน้าคว่ำ นี่เรื่องจริงมากไม่ได้เอาตลก


    ตุ้บ!


    "ไอ้ตัวปัญหาเอ๊ย........ โอ๊ย ไหล่แทบหัก"


    ปาร์คชานยอลมองคนที่กองแผ่อยู่บนเตียงของตน ตาคมมองดุๆใส่ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้รับรู้


    ผ้าปูเตียงสีขาวเขรอะไปด้วยคราบฝุ่นจากเสื้อนอกของอีกฝ่าย ชานยอลแทบจะยกมือตีหน้าผากตัวเองด้วยความหัวเสีย ไอ้ผู้ชายคนนี้มันไปทำอะไรมาวะทั้งฝุ่นทั้งเศษกระจก เขาทนไม่ได้แน่ที่ต้องนอนคลุกกับฝุ่นแบบนี้ มือยาวปัดฝุ่นออกจากเตียงก่อนจะถอดเสื้อนอกของคนไร้สติออกจนเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวยับๆ


    คนบ้าอะไรแต่งตัวยังกับจะไปงานเลี้ยง...



    ร่างสูงเปิดลิ้นชักหัวเตียงเพื่อหยิบกุญแจล็อคข้อมือสีเงินออกมา ก่อนจะสวมลงไปที่ข้อมือของคนแปลกหน้า ถึงจะทำว่าช่วยแต่ก็ใช่ว่าเขาจะเชื่อใจ สมัยนี้นักต้มตุ๋นเต็มบ้านเต็มเมือง ไม่แปลกเลยถ้าเขาจะได้เจอกับตัวซักครั้ง


    ยังไงก็ต้องป้องกันไว้ก่อน...



    ชานยอลจัดแจงท่านอนให้อีกฝ่ายเพื่อแบ่งส่วนพื้นที่ให้เจ้าของเตียงได้นอนบ้าง ร่างสูงล้มตัวลงนอนหันหลังให้อย่างไม่ไยดี แหงสิ จะสนใจทำไม ชื่อแซ่ยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ



    ...



    "ปัดโธ่เว้ย"



    ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งยีผมตัวเองเมื่อรู้สึกขัดใจ มือยาวกระชากผ้าห่มแสนหวงไปคลุมให้ร่างของอีกฝ่ายอย่างหงุดหงิด ถึงจะพยายามทำเมินแต่มันก็อดไม่ได้นี่หว่า....โธ่เอ๊ย



    ....ไว้ตื่นมาแล้วเมื่อไหร่จะทวงบุญคุณให้เต็มที่เลยคอยดู!













    "แล้วอย่ากินแต่เหล้านะ มาเรียนก็มาเรียน ....แล้วสัปดาห์นี้ก็กลับบ้านด้วยเข้าใจมั้ยไอ้เด็กแสบ"


    "คร้าบบบบบ รักนะครับน้ายอลลี่ ไปละ!"


    โอเซฮุนชะโงกหน้ามาหอมแก้มน้าชายสุดที่รักก่อนจะพารถปอร์เช่สีขาวลูกรักทะยานออกไปจนลับตา ปาร์คชานยอลหัวเราะน้อยๆกับท่าทางอย่างเด็กไม่รู้จักของหลาน เขายืนมองรถคันที่เขาเป็นคนซื้อให้เซฮุนเองกับมือค่อยๆหายลับไปจากสายตา ร่างสูงเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านเมื่อกลับไปจัดการตัวเองให้พร้อมสำหรับวันใหม่ และเมื่อเขาลองส่องกระจกดูก็อดขำตัวเองไม่ได้ .....โทรมลงเยอะเหมือนกันนะเนี่ย


    จะทำไงได้ล่ะ การต้องเป็นทั้งน้าที่คอยตามดูแลหลานอย่างโอเซฮุนก็ว่าเหนื่อยแล้ว แต่การเป็นเจ้าของไร่องุ่นแห่งนี้กลับง่ายกว่าอีกสิบเท่าตัว เนื่องเพราะบิดาที่เป็นที่พึ่งเดียวเสียชีวิตลงอย่างสงบตามอายุขัยเป็นจุดเปลี่ยนให้ชานยอลต้องเลิกทำตัวสำมะเลเทเมาอย่างคนไม่รู้อนาคต ให้ต้องมารับผิดชอบกิจการทางครอบครัวที่พ่อสร้างมันมากับมือ พวกเขาสองคนพี่น้องไม่อาจหักใจขายมันต่อให้คนอื่นได้จริงๆ แต่ว่าคนเป็นพี่นั้นมีภาระหน้าที่อื่นที่ต้องทำซ้ำยังต้องดูแลครอบครัวใหม่ของเธอเองจนไม่อาจเสียสละให้ได้ ปาร์คชานยอลจึงต้องอาสาสานต่อเจตนารมณ์ของพ่อทั้งหมด


    ฟังดูอาจจะเหมือนงานง่ายๆสบายๆนั่งกระดิกเท้ารอเงินนะ แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย เอ่อใช่เขาก็เคยคิดเหมือนกันแหละจนกระทั่งไอ้พี่คิมจุนมยอนลูกชายคนกลางโรงบ่มไวน์ข้างๆเข้ามาตบหัวกลวงๆของเขาแล้วสอนวิธีการเป็นผู้นำคนกับการบริหารให้ฟังรวมทั้งพี่คิมมินซอกลูกชายคนโตผู้ตกหลุมรักเจ้าพวงองุ่นงี่เง่าขนาดที่ว่าชอบแอบเข้ามาทำงานในไร่อยู่เรื่อยๆมาช่วยสอนวิธีดูแลพวกมัน


    บอกตรงๆว่าคราวแรกมันลำบากและน่ารำคาญซะจนเขาอยากจะเผาไอ้ไร่นี่ทิ้งไปให้หมด แต่พอโดนรองเท้าหนังของไอ้คิมจงแด เพื่อนรักร่วมรุ่นที่เป็นน้องคนเล็กสุดของตระกูลคิมเข้าไปเท่านั้นแหละ เขาถึงได้ตาสว่างมาจนทุกวันนี้....



    พูดก็พูดเหอะ ถ้าไม่ได้ตีนไอ้จงแดห้ามไว้วันนั้นล่ะก็เขาคงไม่ได้มีความสุขจนทุกวันนี้หรอก



    ร่างสูงที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วเลิกขอบผ้าห่มที่ปิดหน้าคนขี้เซาออก ผู้ชายนิรนามยังคงไม่ตื่นจากความฝันและชานยอลก็ยังไม่อยากจะปลุกอีกฝ่ายตอนนี้ด้วยเขาจึงเปิดหน้าต่างให้สายลมอุ่นพัดเข้ามาในห้องแทนเครื่องปรับอากาศที่ปิดการทำงานไปแล้ว


    "อีกซักสองชั่วโมงค่อยกลับมาดูอีกทีละกัน"













    "อือ...."


    คิมจงอินค่อยๆปรับทัศนียภาพให้เข้ากับดวงตาของตน ตาคมค่อยๆปรือขึ้นมาช้าจนเต็มตา เขาผุดลุกขึ้นนั่งอย่างลำบากพอสมควร ซ้ำยังรู้สึกปวดหนึบไปทั่วตัวอีกด้วย อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นเขาคงกระแทกกับถนน....


    เดี๋ยวนะถนน...?


    ร่างสูงมองไปรอบๆ ทำไมเขาถึงเพิ่งจะสำเหนียกนะว่าที่นี่มันแปลกตาไปมาก เออแปลกมากถึงมากที่สุดเลยเเหละ ไอ้ห้องสีครีมสไตล์วินเทจ-ลอฟต์กับคอลเลคชั่นหมวกที่ตั้งอยู่บนเชลฟ์ทั่วห้องราวกับของรักของหวงพร้อมด้วยเครื่องดนตรีอย่างกีต้าร์หรือกลองชุดที่น่าจะเป็นงานอดิเรกของเจ้าของห้อง ดูๆแล้วเขาไม่น่าจะมาอยู่ในที่อันตรายใดๆ


    ผ้าม่านสีเทาสะบัดไสวตามแรงลมเรียกความสนใจ จงอินหย่อนขาลงเหยียบพื้นเย็นเพื่อจะลุกไปดูข้างนอกว่าเขาอยู่ที่ไหนกันแน่


    กึก!


    แต่แล้วก็ยังไม่ได้ทันได้ลุกไปไหน ข้อมือน้อยก็ถูกฉุดรั้งไว้ซะก่อน กุญแจมือสีเงินแบบที่ตำรวจาพกกันที่คล้องข้อมือเขาเอาไว้กับเสาเตียงเขาทำเอาคิมจงอินถึงกับช็อค


    "บ้าอะไรวะเนี่ย!"


    จากที่ไม่คิดว่าอันตรายกลับกลายเป็นปากสั่น ภาพสยองขวัญที่รังแต่ทำให้ตัวเองเป็นโรคประสาทผุดขึ้นมาให้โสตประสาทอย่างห้ามไม่ได้ ยอมรับว่าอาจจะเพราะเขาเสพสื่อมากเกินไป แต่สภาพพร้อมเชือดขนาดนี้เป็นใครก็กลัวว่ะ!


    "ใจเย็นๆคิมจงอิน มันต้องมีทางออกสิน่า มึงแค่ต้องกุญแจ....ใช่ กุญแจ"


    จงอินลงมือรื้อทุกอย่างในห้องที่มืออีกข้างของเขาสามารถเอื้อมไปถึง มันดูทุลักทุเลพอสมควรจนหน้าเขาเกือบฟาดกับพื้นห้องอยู่หลายครั้ง ปากอิ่มเอาแต่พึมพำว่าซักทีสิราวกับสะกดจิตตัวเอง


    และในที่สุดเขาก็เจอผู้ต้องสงสัยที่แอบหลบอยู่ใต้เตียง มันเป็นกล่องไม้ขนาดใหญ่ที่เก็บอะไรหลายๆอย่างเอาไว้ซึ่งส่วนมากจะเป็นรูปถ่าย จากที่ดูผ่านบางรูปเขาก็พบว่าเจ้าของห้องเป็นผู้ชายตัวสูงที่หน้าตาไปทางดี มือยาวคุ้ยไปเรื่อยจนเจอกับรูปๆหนึ่งที่เขาเห็นเพียงเสี้ยวแต่กลับรู้สึกคุ้นตา จงอินจะหยิบขึ้นมาดูแต่แล้วเขาก็พบกับซองใสที่ใส่ลูกกุญแจสีเงินเสียก่อน


    แน่นอนว่าเขาเลือกจะสนใจลูกกุญแจมากที่สุดในเวลานี้...



    "....สำเร็จ"


    กุญแจมือคลายหลุดออกจากกันโดยดี คิมจงอินเผยยิ้มน้อยๆก่อนจะลุกขึ้น แต่ก่อนหนีออกไปเขาเพิ่งนึกถึงของที่อยู่ในกล่องไม้เก่าๆนั่นได้พอดี ร่างสูงลังเลเล็กน้อย หากเขาค้นอีกมันจะต้องเสียเวลาแน่ๆ แล้วถ้าคนที่จับเขาไว้กลับมาก่อนล่ะ



    เอาไงดี....



    ด้วยความสองจิตสองใจก็ยิ่งทำให้จงอินช้าลงไปอีก ร่างสูงขมวดคิ้วก่อนจะหยิบกล่องด้านล่างขึ้นมา


    ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ขอเสือกสักหน่อยเถอะ...



    "อ๊ะ อยู่นี่ๆเอง"



    ...




    "ทำอะไร!!!"


    คิมจงอินสะดุ้งจนแทบทำของในมือหล่น เขาหันไปมองหน้าประตูช้าๆด้วยหัวใจที่บรรเลงระรัว ผู้ชายร่างสูงหน้าตาเหมือนในรูปกำลังยืนทำตาถมึงทึงใส่เขาด้วยความไม่พอใจ เหมือนเขาจะโกรธเอามากๆซะด้วย


    ระยำแล้วไงคิมจงอิน!!


    "นี่.....รื้อห้องผมเหรอ!"


    ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาหาผมพร้อมกวาดสายตาไปทั่วห้อง เขาเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นความโกรธ ผมวางกล่องไม้ของเขาลงบนเตียงอย่างเบาที่สุดก่อนจะก้มหน้าลงมองมือของตัวเอง


    "ขะ ขอโทษ....ผมแค่...."


    ยังไม่ทันจะพูดอะไรจบมือเรียวที่แข็งดั่งคีมก็คว้าเข้าที่ข้อมือของเขาเสียก่อน เจ้าของบ้านตัวสูงบีบกระชับแน่นขึ้นจนจงอินร้องโอดครวญแต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่เห็นใจ ชานยอลกระชากอีกฝ่ายขึ้นมาจนจงอินแทบปลิว


    "โอ๊ย คุณใจเย็นๆก่อน"


    "โอเซฮุนคงช่วยผิดคน ต้องการอะไรฮะ!"


    "เดี๋ยวคือผมไม่ใช่....ฟังหน่อยนะ งี้คือแบบว่า เอ่อ ผม ผมชื่อคิมจงอิน!"


    จงอินฉุดกระชากกับผู้ชายเจ้าอารมณ์ตรงหน้าอย่างสุดฤทธิ์ ไอ้คำพูดอธิบายที่คิดไว้ในหัวมันไม่ได้โผล่ออกมาเลยเวลาฉุกเฉินแบบนี้ ชานยอลแค่นยิ้มที่เป็นยิ้มเยาะพลางตัดใยอย่างเย็นชา


    "ไว้ค่อยไปบอกตำรวจในโรงพักแล้วกัน"


    "จริงๆนะคุณฟังผมก่อน ขอเถอะนะ คุณบอกว่าใครช่วยผมไว้นะ นั่นน่ะเรื่องจริงนะคือเมื่อวานมันมีคนจะฆ่าผมจริงๆ ขืนไม่ได้คนๆนั้นมาช่วยไว้มีหวังไอ้เด็กฆาตกรนั่นตีหัวผมแตกตายบนถนนแน่"


    "แล้วคุณว่าผมจะเชื่อไหมล่ะ"


    "เชื่อเถอะนะผมขอร้อง เอางี้ ถ้าคุณยอมคุยกันดีๆผมจะเล่าให้ฟัง เอาแบบละเอียดเลยก็ได้นะ นะ"


    แม่เคยบอกว่าจะคุยกับคนแข็งๆให้ใช้ไม้อ่อน ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องก็ลองหัดใช้การออดอ้อนเข้าช่วยดู ร่างสูงตรงหน้านิ่งไปแต่คิ้วของเขาโค้งเข้าหากัน


    "ได้โปรดเถอะ ....นะครับ"


    จงอินรุกหนักเมื่อเห็นว่าปาร์คชานยอลเริ่มคลายข้อกังขา ร่างสูงชะงักไปจนเขาเผลอยิ้มโล่งใจออกมา แต่ไม่ทันไร จงอินก็ต้องล้มลงตามแรงผลักของชานยอล เขาร่วงลงบนเตียงนุ่มสีขาวก่อนที่เจ้าของบ้านจะตามลงมาทาบทับ คิมจงอินตกใจจนเผลอร้องออกมาแต่มือหยาบก็พุ่งมาปิดปากเขาไว้อย่างเร็ว


    "อื้อ!!"


    "เงียบ นึกว่าฉันจะหลงกลง่ายๆรึไง ..เหอะ คิดว่าตัวเองเป็นผู้ชายหน้าตาดีเลยดัดจริตจะมาหาเงินแบบผู้หญิงขายตัวรึไง!!"


    ชานยอลบีบโครงหน้าของจงอินจนปวดร้าวตามกสันกรามไปหมด ใบหน้าหล่อที่ฉายความโมโหกับคำพูดถากถางทำให้เขารู้สึกอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้เดี๋ยวนี้เลย อุตส่าห์ว่ารอดจากไอ้แม่มดแสนเจ้าเล่ห์นั่นก็ต้องมาเจอผู้ชายเจ้าอารมณ์นี่อีก


    "อ่ะ..."


    "งั้นก็โชคดี ....เพราะชั้นมีเงินมากพอที่จะแลกกับเซ็กซ์ที่นายเสนอมาเลยเเหละ"


    ฮะ???? ...............ผู้ชายคนนี้พูดบ้าอะไรเนี่ย!


    "เริ่มเลยไหมล่ะ จะได้ไม่เสียเวลา"


    ร่างสูงโปร่งเลิกชายเสื้อยืดสีเทาสีสวมจนเห็นกล้ามหน้าท้องเรียงสวย ผิวขาวๆผิดคนทั่วทำเอาคิมจงอินหน้าม้าน คนตัวเล็กกว่ารีบดึงเสื้อของอีกคนไว้แน่น ก่อนจะยื้อยุดกันอยู่นานจนชานยอลตะคอกใส่ด้วยความหงุดหงิด


    "อะไรอีก!!!"


    "ผมไม่ได้ขายตัว!!!!! เลิกมโนแล้วฟังที่คนอื่นเค้าพูดบ้างสิโว้ย!!!!!"


    คิมจงอินแผดร้องสุดเสียงจนแสบคอ เขาอยากจะไอมากเลยถ้าไม่ติดว่าอีกคนมองอยู่ ชานยอลยอมทิ้งชายเสื้อตัวเองแต่โดยดี ก่อนจะจับข้อมือทั้งคู่ของคนข้างล่างตรึงไว้กับเตียงพร้อมโน้มหน้าลงไปจ้องกับดวงตาคม ใบหน้าหล่อของทั้งคู่ใกล้ชิดจนแทบจะแลกไออุ่นกันได้


    ทั่วห้องเงียบสนิทจนจงอินได้ยินเสียงหัวใจที่ปนกับเสียงหอบของตัวเอง เพราะเขาไม่อาจทนมองหน้าอีกฝ่ายได้อีกแล้วจึงต้องหลบหน้าหนีไปอีกข้าง แต่กว่าจะรู้ว่าตัวเองตัดสินใจพลาดก็เมื่อถูกจมูกโด่งเป็นสันเป่าลมร้อนรดใบหู


    ชานยอลเมื่อเห็นแบบนั้นก็ยิ่งได้ใจ เขารู้สึกตลกกับท่าทางหลับตาปี๋ของคนใต้อุ้งมือ ปากบางของคนขี้แกล้งเลื่อนไปซุกซนอยู่บริเวณใบหูที่แดงเรื่อ


    "ก็พูดมาสิ ผมฟังคุณอยู่นะ..."


    ...เขาลืมไปหมดซะแล้วล่ะว่าเมื่อครู่เขาโกรธอะไรอีกฝ่ายไว้


    "ผม ผมมีพี่ชายคนนึง เราเกลียดกันและ ...และเขาไม่ชอบผม แล้วก็ เอ่อ ช่วยเอาหน้าคุณออกไปหน่อยได้ไหม มันให้ผม เอ่อ แบบว่าประหม่าน่ะ คือเข้าใจใช่ไหมแบบว่า"


    "ผมชื่อปาร์คชานยอล"


    "ห๊ะ?....อ่ะใช่แบบว่าคุณปาร์ค คุณกำลังทำให้ผมหายใจไม่ออกนะ ขอล่ะ"


    ชานยอลค่อยๆถอยออกมาให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายใจ จงอินเป่าปาก เขารู้สึกหายใจได้โล่งเหมือนถอนภูเขาออกจากอกเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าปาร์คชานยอลจะยังบังคับเขานอนราบอยู่ก็เถอะ โพสิชั่นแบบนี้มันอันตราย....มากกd


    "แล้วไงต่อ"


    "เขาจะฆ่าผม เมื่อคืนนั่นแหละ แต่คุณบอกว่ามีคนช่วยผมไว้ก่อน อ่า....ใช่ ผมรอดแล้ว ขอบคุณพระเจ้า แล้วก็ขอบคุณคุณกับคนที่ช่วยผมด้วย แต่ผมไม่คิดว่าผู้ชายคนนั้นจะยอมเลิกราง่ายๆหรอก"


    "อ่าฮะ แล้วจะทำยังไงต่อ"


    "ผมจะทำยังไงได้ล่ะนอกจากกลับไปเผชิญหน้ากับเขา ก็นั่นมันบ้านของผม"


    ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะแต่จงอินก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนกลับไปเขาควรจะทำหน้ายังไงดีเมื่อต้องเจอแบคฮยอน ปกติก็แค่นิดๆหน่อยๆ แต่นี่เล่นถึงชีวิตขนาดนี้จะกลับไปเถียงกับมันก็ใช่ที่


    ทำไมกากอย่างนี้วะคิมจงอิน!


    "คิดได้ดีที่สุดแค่นี้เหรอ"


    "แล้วคุณจะให้ผมทำไมยังไงล่ะ ....คุณปาร์คคนเก่งจะปกป้องผมรึไงฮะ!"


    คิมจงอินชักสีหน้าใส่คนข้างบนกับคำพูดดูถูก หงุดหงิดที่ทำอะไรไม่ได้ได้แล้วยังต้องมาฟังคนอื่นด่าประมาณว่าโง่อีกเนี่ยทำใจยิ้มรับไม่ได้จริงๆว่ะ


    "...แค่คุณขอ ผมก็ทำให้ได้ หรือคุณจะให้ผมสละเวลาส่งคุณกลับไปให้เขาเชือดถึงมือซะเดี๋ยวนี้เลยก็ได้นะ"


    "ห๊ะ?"


    จงอินหรี่ตาสีนิลราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด ชานยอลยกยิ้มน้อยๆก่อนจะยื่นข้อเสนอง่ายๆให้อีกฝ่ายลองตัดสินใจเล่นดู


    "ไว้คุณพร้อมเผชิญหน้ากับเขาเมื่อไหร่แค่คุณบอกผมมา ผมจะช่วยคุณ... แค่คุณอยู่ที่นี่กับผม...คุณจะไม่เป็นไร"


    มือหยาบลากไปตามโครงหน้าคมคายที่ฉายเเววงุนงง คิมจงอินคิดว่าตัวเองอาจจะเบลอเพราะเสียงบีทที่ดังลั่นจากหน้าอกซ้ายจนเผลอเห็นปาร์คชานยอลดูน่าหลงใหลขึ้นเป็นร้อยเท่าทั้งๆที่พวกเขาเพิ่งจะทะเลาะกันไป ไม่ เขาเพิ่งจะเคยเจอกันด้วยซ้ำ!



    "แค่คุณขอร้อง ผมจะปกป้องคุณเอง"




    แต่ไม่รู้ทำไมว่าจงอินอยากจะจับมือที่คลอเคลียอยู่ข้างแก้มตนมากุมไว้ แล้วตอบว่า 'ใช่' สำหรับทุกคำถามที่อีกฝ่ายกล่าวออกมาเสียเหลือเกิน


    ผู้ชายคนนี้ๆเล่นของอะไรใส่เขาแน่ๆเลย.....






    ครั้งที่ 3





    "อ่านอะไรอยู่น่ะอี้ชิง"


    จางอี้ชิงขนลุกเกรียวเมื่อโดนเป่าลมใส่ต้นคอแถวยังมีขนๆอะไรมาซุกอยู่ตรงคอ เขาส่งมือเรียวหวังไปจิกมันให้ออกห่างแต่อีกฝ่ายไหวตัวได้ทันเสียก่อน แบคฮยอนคนขี้แกล้งยืนยิ้มเผล่ตาปิดจนปากเป็นรูปสีเหลี่ยมเมื่อเพื่อนสนิททำหน้ายุ่ง


    "ย๊า! ก็รู้ว่ามันจั๊กจี้ยังจะทำอีกนะ! เดี๋ยวก็ตบเลยนิ"


    อี้ชิงกางมือกว้าง ในขณะที่เหยื่ออย่างแบคฮยอนแสร้งทำเป็นกลัวโดยการเอามือกุมศีรษะตัวเอง


    "ฮ่าๆๆๆ ก็มันตลกดี โอ๊ย อย่าตี ขอโทษคร้าบบบบ"


    "ยัง ยังไม่สำนึกอีกนะแบคฮยอน เอาโดนสันหนังสือไหมฮะ"


    "โธ่ แค่ล้อเล่นเองน่ะ ว่าแต่อ่านอะไรอยู่น่ะ เห็นอ่านอยู่ตั้งนานและ"


    แบคฮยอนนั่งยองๆตรงหน้าเขาพลางใช้สายตาเหมือนลูกสุนัขที่เจ้าตัวไม่ค่อยใช้กับใครมองมา อี้ชิงเบนความสนใจจากหนังสือมาทางจอมวุ่นวายก่อนจะถอนหายใจหนักๆ


    ....แทนที่วันนี้จะได้อ่านหนังสือเงียบๆคนเดียว ไม่น่ารับมันเข้าบ้านเลยสิพับผ่า



    "สโนว์ไวท์ ...พอดีไปเจอมาเลยเอามารำลึกความหลังซักหน่อย"


    "หืม....."


    แบคฮยอนตีหน้ายุ่งก่อนจะฉกหนังสือเล่มบางมาจากมือขาว เจ้าของหนังสือถึงกับเหลือกตาพร้อมแหวใส่เสียงดัง


    "แบคฮยอน!"


    "ไม่เข้าใจเลยจริงนะอี้ชิง ทั้งๆที่ละครสนุกๆก็อยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆยังจะไปอ่านไอ้เรื่องหลอกเด็กนั่นอีก แล้วไง นังหน้าขาวนั่นก็ได้เสียกับเจ้าชายปลวกแล้วมีความสุขตลอดไปงั้นสิ แบะๆๆ"


    คนที่ส่วนสูงน้อยกว่าแอบซ่อนหนังสือนิทานเด็กไว้ด้านหลังพลางทำปากนกปากกาใส่อีกฝ่าย แบคฮยอนทำฮึดฮัดก่อนจะพองลมจนแก้มป่อง อี้ชิงมองอีกฝ่ายด้วยความขบขัน ...จะอารมณ์ไหนก็เลือกเอาซักอย่างสิน่า


    "โถๆ คุณแม่มดบยอนตัวแสบ จะงอนทำไมเนี่ย บอกเลยว่าทุเรศว่ะ ก็แค่หยิบมาอ่านเล่นๆๆๆจะจริงจังทำไม"


    "ให้มันจริงเถอะ อย่าคิดจะหนีไปเข้าข้างไอ้เด็กนั่นด้วย นายอยู่ข้างนะ นายเป็นของฉัน!"


    นิ้วยาวชี้กราดหน้าหวานพลางกระทืบเท้าปึงปังอย่างเด็กวัยประถม อี้ชิงเท้าคางกับพนักวางแขนโซฟาเดี่ยวสีน้ำตาลอ่อนพลางเผยรอยยิ้มบางๆ เนี่ยนะแบคฮยอนคนหยิ่ง ถามจริง?


    "จ้าๆ แล้วเด็กนายล่ะเป็นไงบ้าง ป่านนี้ยังไม่กลับมาเลย ไม่ใช่หนีไปแล้วรึไง"


    "เหอะ ไม่หรอก"


    แบคฮยอนหย่อนตัวลงตรงโซฟาอีกตัวข้างๆอี้ชิง หนังสือนิทานเล่มเก่าถูกโยนคืนใส่มือเจ้าของเดิม คนตัวเล็กกว่าหยิบสมาร์ทโฟนสีดำขึ้นมาเล่นอย่างไม่สนใจโลกอีกแล้ว


    "เด็กคนนั้น....หนีไปจากฉันไม่ได้หรอก"


    จางอี้ชิงยักไหล่ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มใหม่ขึ้นมาอ่าน เขาเหลือบมองคนข้างที่เอาแต่อมยิ้มกริ่มกับเทคโนโลยีในมือแล้วก็ได้แต่ส่ายศีรษะ ก็เป็นแบบนี้เอาซะทุกที ก็ถึงได้บอกไง บยอนแบคฮยอนน่ะเอาแต่มองอย่างอื่น


    ...จนเผลอละเลยของๆตัวเองตลอด











    "โอ๊ย ปวดขา เมื่อยจะตายอยู่แล้ววว"


    "เหนื่อยล่ะสิ ....พวกคนหน้าคอมก็เงี้ย"


    คิมจงอินตวัดสายตาเขียวปั้ดใส่ร่างสูงข้างๆ แต่ชานยอลก็ยักไหล่ไม่แคร์ เขาทั้งคู่กำลังเดินกลับบ้านพักด้วยกันหลังจากการทำงานในสวนของคุณปาร์ค เขาเองก็ไม่ได้อยากทำเท่าไหร่หรอกนะแต่เจ้าของบ้านมันบอกว่าไหนๆก็อยู่แล้วให้หัดช่วยงานซะบ้างไง จะนั่งๆนอนๆอยู่บ้านเขาเฉยๆก็ออกจะหน้าด้านไปหน่อย


    ไอ้เขาก็ตามหวังหาประสบการณ์ที่ไหนได้โดนเอาไปโดนไว้กับโรงครัว ส่วนมากคนส่วนนั้นก็เป็นแต่ผู้หญิง พอเห็นผู้ชายอย่างเขาทีนี่แบบ อื้อหือ....


    เรื่องแรงงานจัดเต็มมาก! ใช้งานกูยังกะทาส!!!!


    "คิมจงอิน"


    "ห๊ะ ทำอะไรของคุณน่ะ"


    จู่ๆเจ้าของบ้านก็หันหลังให้เขาแล้วคุกเข่าลงไปกับพื้นดินสีน้ำตาล ใบหน้าหล่อที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อตีหน้ายุ่งน้อยๆก่อนจะแถลงข้อสงสัยให้


    "ขึ้นมาสิ ปวดขาอยู่ไม่ใช่เหรอ"



    ...



    จงอินเหลือบมองคนข้างล่างที่กัดฟันแบกเขาอยู่ ปาร์คชานยอลเหงื่อออกจนแทบจะท่วมหน้าอยู่แล้ว อันทีจริงคือเขาทั้งสองคนนั่นแหละ สายลมเย็นๆของยามเย็นพัดวูบให้รู้สึกหนาวไปหมด จนเขาเผลอกระชับวงแขนที่กอดบ่าอีกฝ่ายไว้ กลิ่นหอมอ่อนๆลอยแตะจมูกเขา น่าจะเป็นกลิ่นของโคโลญจ์ที่คุณปาร์คใช้ แต่เท่าที่จงอินเห็นอยู่มันก็แค่ของถูกๆกลิ่นฉุนๆไม่ใช่รึไงนะ


    แต่ทำไมเวลามาอยู่บนร่างกายคนๆนี้แล้วมันกลับ....หอม


    "ง่วงเหรอ?"


    "อือ"


    "จะแอบหลับก็ได้นะ"


    เขาพยักหน้าช้าๆด้วยรอยยิ้ม พลางแอบสูดกลิ่นของชานยอลโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว จงอินวางคางลงบนบ่ากว้าง ความเหนื่อยล้าเริ่มแผลงฤทธิ์ให้ตาเขาเริ่มปิด ...แปลกนะ เมื่อก่อนต่อให้เมื่อขนาดไหน แต่ถ้าไม่ได้กลับไปนอนบ้านล่ะก็ เขาจะไม่มีวันหลับตาได้ลงเลยแท้ อาจเพราะความหวาดระแวง หรือความหวาดกลัว ผิดกับตอนนี้ลิบลับเลย


    เพราะอะไรกันนะ...?


    ...



    หรือเพราะเขาจะเผลอหลงเชื่อกับคำสัญญาของผู้ชายตรงหน้าเข้าซะแล้ว











    ปัง...



    ชานยอลปิดประตูห้องนอนของตัวเองลงอย่างแผ่วเบา เขาไม่อยากให้หมีขี้เซาที่หลับอยู่ตื่นขึ้นเพราะไอ้เสียงปิดประตูของเขาแน่ๆ ร่างสูงถอนหายใจก่อนจะห่มผ้าหนาๆให้อีกฝ่าย ดูเหมือนว่าวันนี้เขาก็ต้องนอนเบียดกันอีกแล้วงั้นสิ


    นี่ไม่ได้คิดอกุศลนะ คือตอนแรกก็จะให้ไปนอนห้องไอ้คุณหลานชายนั่นแหละ แต่พอเห็นว่ามันเอาริลัคคุมะตัวเล็กตัวน้อยที่เขาซื้อให้สร้างแลนมาร์ควางเรียงกันอยู่บนเตียงแถมยังห่มผ้าห่มผ่อนให้อย่างดียังกับลูกๆ ไอ้เขาก็ทำใจไล่หยิบมันออกไม่ลงจริงๆ

    แถมบนผ้าห่มยังมีรูปโพลารอยด์ของโอเซฮุนยิ้มแป้นท่ามกลางลูกหมีสีชมพูของมันอยู่พร้อมแคปชั่น "เดี๋ยวป๊ะป๋ากลับมานะครับ <3"


    ยิ่งเห็นตาสีดำกลมๆของมันที่มองมาอีก ...น้ำตาคลอเลยครับ



    ....ก็ปาร์คชานยอลน่ะแพ้สายตาของหมีขี้อ้อนนี่นา



    "บอกให้หลับก็หลับจริงๆว่ะ น้ำก็ไม่อาบ เน่าเอ๊ยยยย"


    ชานยอลเอื้อมมือไปปิดไฟที่โคมไฟหัวเตียงก่อนที่แสงทั้งหมดในห้องจะหายไป สติเขาค่อยๆเบลอจนจนเกือบจะเข้าห้วงนิทราทว่าแรงกดที่แถวๆเอวกลับปลุกตัวเขาขึ้นมาเสียก่อน และเมื่อผงกศีษะขึ้นมองหาสาเหตุก็พบว่ามาจากคนที่นอนข้างๆ


    เป็นคิมจงอินที่เผลอตวัดแขนมากอดร่างผอมสูงด้วยนึกว่าอีกฝ่ายเป็นหมอนข้างนอนหลับอย่างไม่รู้ความผิด ชานยอลถอนหายใจให้กับจงอินเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวันก่อนจะเลิกให้ความสนใจแล้วเลือกจะนอนหลับ


    ไม่นึกเลยว่าแค่วันเดียวแต่ผู้ชายคนนี้กลับวุ่นวายชีวิตเขาแม้กระทั่งเวลานอน นี่แค่วันเดียวนะเนี่ย....


    ...



    แล้วถ้าเขาต้องวุ่นวายไปทั้งชีวิต .....มันจะเป็นยังไงกันนะ?













    "guess who?"


    จงอินมองตามร่างสูงโปร่งที่เดินยิ้มแป้นเข้าไปปิดตาคนร่างเล็กที่อยู่ในชุดคนงานที่กำลังดูพวงองุ่นสีเขียวอยู่ ก่อนจะโดนศอกเข้าท้องจนวิ่งหนีกลับมาแทบไม่ทัน คนโดนแกล้งหันกลับมาช้าๆจนจงอินเผลอตาพร่าไปชั่วขณะหนึ่งเพราะความงดงามที่หาได้ยากจากสาวเมืองใหญ่ ดวงหน้าจิ้มลิ้มที่ประกอบด้วยดวงตาเรียว จมูกโด่งคมและปากสีลูกกวาดที่เข้ากันดีกับแพรผมหน้าม้าสีน้ำตาลอ่อน...


    เดี๋ยวนะ? ตะกี้กูพรั่นอะไร


    ดูเหมือนอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นความผิดปกติ ร่างเล็กรีบย้ายจากตรงโน้นมาทางจงอินอย่างรวดเร็วก่อนจะสำรวจรอบๆตัวเขา บ้างก็จับเนื้อจับตัวดู บางทีก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนเขาลืมเอาออกซิเจนเข้าปอด


    "เธอนี่น่ารักนะ ชื่ออะไรเหรอ?"


    "ฮะ? เอ่อ..."


    "ชื่อคิมจงอิน นี่ชื่อพี่มินซอกสกุลคิม เป็นคนแปลกๆสติไม่ค่อยเต็ม"


    "อ่าหะ"


    ชานยอลชิงตอบให้เมื่อเห็นคนโดนถามทำอ้ำอึ้งแถมพี่ชายตัวเล็กของเขาก็เอาแต่จ้องจนจะทะลุอยู่แล้ว มินซอกพยักหน้าเข้าใจก่อนจะหันกลับไปสนใจองุ่นต่อ จงอินเดินเข้ามาหาชานยอลด้วยใบหน้างงๆ


    "พี่คุณเหรอ"


    "จะว่าใช่ก็ใช่ เป็นพี่ข้างบ้านน่ะ เห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆแหละ"


    "อือ..... น่ารักมากอ่ะ"


    "เหอะ เห็นแบบนั้นอย่าประมาทเชียวล่ะ"


    จงอินมองหน้าคนพูดด้วยความสงสัยแต่ปาร์คชานยอลก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปนอกจากการยักไหล่ให้ดูน่าหมั่นไส้เท่านั้น ทั้งสองคนบอกลามินซอกที่กำลังตั้งใจจะทำอะไรซักอย่างแล้วเลือกที่จะเดินไปทำหน้าที่ตัวเองต่อ


    พี่ใหญ่หน้าเด็กหันกลับมามองตามเด็กทั้งสองที่ค่อยๆหายไปลับตา มือเรียวหยิบสมาร์ทโฟนสีขาวออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะพิมยุกยิกๆอะไรลงไป ริมฝีปากบางสีหวานพึมพำอะไรบางอย่างกับตัวเอง


    "คิม....จงอิน........"


    มินซอกเก็บโทรศัพท์เข้าไว้ที่เดิม ก่อนจะเขาจะเด็ดลูกองุ่นสีม่วงเต่งรสหวานมาเข้าปากไปลูกหนึ่ง มินซอกกัดแล้วกลิ้งมันเพื่อให้น้ำรสเปรี้ยวอมหวานข้างในซึมซับไปทั่วปาก ใบหน้าขาวอ่อนกว่าวัยเหลือบมองไปทางที่แขกไม่ได้รับเชิญทั้งคู่เพิ่งจากไปแล้วเหยียดยิ้มกว้าง



    "เด็กคนนี้.....สินะ"






    ****





    คิมจงอินอยู่ที่นี่มาได้หนึ่งอาทิตย์กว่าแล้วล่ะ............


    ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะกลับบ้านนะ แต่เพราะปาร์คชานยอลขี้เกียจเข้าเมืองเลยบอกว่าเดี๋ยวซักอาทิตย์นึงหลานชายเขาก็จะกลับมาแล้วให้ไปกับเด็กคนนั้น จงอินก็เฝ้าร๊อเฝ้ารอเด็กที่ชื่อโอเซฮุนมาตลอดแต่สุดท้ายแม้แต่ปลายเส้นผมก็ยังไม่โผล่มาเลย ไม่รู้ไปเถลไถลอยู่ที่ไหนของเค้ากันนะ ไม่รู้รึไงว่าคุมะลูกรักกำลังรออยู่น่ะ


    เฮ้อ...


    "เป็นอะไรถอนหายใจอยู่ได้ คุณกำลังทำให้ชีวิตตัวเองมีค่าน้อยกว่าองุ่นพวกนี้อีกนะ"


    "ผมไม่ได้มีวิตามินซีแบบพวกมันซะหน่อย"


    "ก็ว่างั้นแหละ จริงๆดูก็รู้ล่ะนะ"


    จงอินมองไอ้พวกเม็ดสีม่วงที่มีคุณค่าในชีวิตมากกว่าเขาแล้วรู้สึกอยากตบมันให้คว่ำ รวมทั้งไอ้คนที่แบกมันอยู่อย่างผู้ชายชื่อปาร์คชานยอลด้วย ดูจากสายตาแล้ว เมื่อกี้แม่งด่ากูดำชัวร์ๆอ่ะ


    ....ไม่ได้อคตินะ แต่คนเฮี้ยไรนับวันยิ่งกวนตีน



    "วันนี้อุตส่าห์พามาเที่ยว อย่าทำหน้าบึ้งสิ"


    "ก็เมื่อไหร่หลานคุณจะกลับมากันเล่า ผมรอจนจะตายแล้วเกิดใหม่แล้วนะ!"


    "โถๆๆ เดี๋ยวมันก็มา เด็กก็งี้เเหละคุณ แก่แล้วอย่าบ่นยาวไปหน่อยเลยน่า"


    คิมจงอินพองลมด้วยความหงุดหงิด ตอนแรกไอ้เขาก็กลัวฤทธิ์ไอ้แม่มดแบคฮยอนอยู่แต่ไปๆมาๆข้างในมันก็บอกว่าให้ไปลุยเลย!!! ชนให้รู้กันไปข้างนึง ตอนนี้จงอินฮึกเหิมมาก แต่ทำอะไรไม่ได้เลย!!


    ซ้ำไอ้เจ้าบ้านมันก็ทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร ลากเขามาช่วยงานที่สวนทุกวันๆแถมค่าจ้างก็ไม่ให้ วันนี้ยังจะชวนเขาไปทำงานให้ข้างบ้านอีก หน้ากูเหมือนขี้ข้าไหมปาร์คชานยอลลลล


    "เฮลโหล่วววววววว!"


    จงอินเงยหน้ามองตามเสียงก็พบคนข้างบ้านไม่คุ้นหน้ากำลังโบกมือทักทายเมื่อเห็นพวกเขาทั้งคู่ ผู้ชายร่างผอมไม่สูงมากแต่มีรอยยิ้มที่สวย แต่การแต่งตัวคือติสต์มากถึงมากที่สุด คือมันเป็นเสื้อกล้ามสีขาวๆมอๆที่ชายขาดเหมือนรอยหนูแทะ รองเท้าแตะคีบเส้นใหญ่ แล้วก็เดฟยีนส์ขาดๆสีเหมือนฟอกไฮเตอร์มาสิบครั้ง คือมันจะขาว...ก็ไม่? จะฟ้า...ก็ไม่?

    เออ ช่างแม่งเหอะ เท่ดี...


    ชานยอลเร่งฝีเท้าเข้าไปจนทิ้งจงอินที่หน้าเอ๋อไว้ข้างหลัง ทั้งสองคนเล่นชกมือทักทายกันก่อนจะแท็กมือกันแรงๆหนึ่งที


    "สหายแด ทำไมวันนี้อยู่บ้านวะ ไม่ไปเก็บแชร์กะเจ้จุนเหรอ"


    "ไอ้สัสชาน นั่นพี่กู ฮ่าๆๆๆๆๆ รายนั้นไปตามแอ๊วพี่ลู่หานคนแมนอยู่สัด กูบอกว่าเค้าไม่อยากได้มันเป็นผัวก็ยังจะไปอ้อยเค้าอยู่ได้ เสียเวลาทำมาหากินจีจีเลอ"


    "สัด นั่นพี่มึง เออ พี่มินซอกให้กูเอาอีลูกรักเค้ามาให้ ไว้ที่เดิมใช่ป่ะ"


    "อ่าหะ ว่าแต่นั่นใครวะครับคุณปาร์ค ....แฟนหราาาา"


    "ไม่ใช่!!!!"


    ทั้งจงอินและชานยอลต่างพร้อมใจกันประสานเสียงจนคิมจงแดถึงกับเหวอ นี่เขาทักอะไรผิดที่ผิดเวลารึเปล่าวะ จงอินเมื่อไได้สติว่าเขาทำตัวแย่ๆใส่คนแปลกหน้าก็รีบโค้งขอโทษ


    "ขอโทษครับ คือผมมีเหตุจำเป็นนิดหน่อยได้ชานยอลช่วยไว้น่ะครับ มันไม่มีอะไรนอกเหนือจากนั้นเลย"


    "ตามนั้นแหละ มึงนี่ถามอะไรไม่เข้าท่าตลอด ไปๆ รีบไปช่วยมันถือของไถ่โทษเลยสัด"


    "อ่ะจ้าๆ"











    "นั่นแหละเหยียบเข้าไป เอาให้แรงกว่านี้"


    "โอ๊ยพี่ ผมเหนื่อยแล้วอ่ะ"


    "เป็นผู้ชายซะเปล่าแค่นี้ทำบ่น ไม่ไหวเลยนะเราเนี่ย"


    คิมจงอินที่ยืนหอบแฮ่กเป็นหมามองพี่ชายอายุเยอะสุดที่กำลังย่ำเท้าอยู่อย่างขมักเขม้น คิมมินซอกยืนอยู่ในถังไม้ใบโตพร้อมกระโดดๆไปทั่วๆ จงอินถอนหายใจก่อนจะยกเท้าสีม่วงๆฟ้าๆของตัวเองขึ้นเอื่อยเฉื่อย ซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อกระทืบไอ้พวกองุ่นเจ้าปัญหานี่ให้แหลก เออ ฟังไม่ผิดหรอก พี่มินซอกมันใช้ให้เขาย่ำองุ่นไปทำไวน์


    จงอินก็เคยเห็นในทีวีเหมือนกันกับการหมักไวน์แบบนี้ ความรู้สึกมันก็คงเหมือนเหยียบผ้าตอนซักแหละ แต่เข้าใจไหม กูไม่เคยซักผ้า!!!!


    "เป็นไง ไม่ไหวแล้วล่ะซี้ ระวังจะเป็นลมหัวทิ่มล่ะ"


    เขาหันไปมองร่างสูงที่ยืนหัวเราะอยู่ข้างๆถัง ห่านจิก แม่งนอกจากไม่คิดจะลงมาช่วยกันทำแล้วยังจะมายืนกวนอยู่นั่นแหละ นึกแล้วอยากจะกระชากมาลงถังแล้วเหยียบเล่นแทนไอ้เม็ดองุ่นพวกนี้จริงๆ....


    "ครั้งแรกก็แบบนี้แหละ ทำไปเดี๋ยวก็ชิน"


    มินซอกที่กำลังกระโดดแหยงๆเหมือนกับลูกกระต่ายเอ่ยให้กำลังใจ จงอินได้แต่ถอนหายใจแล้วย่ำต่อไป ...เขาไม่เคยรู้เลยว่ากว่าไวน์แต่ละขวดมันจะเกิดขึ้นมาได้มันต้องเหนื่อยขนาดนี้ อือ เขาไม่รู้หรอก


    แล้วก็ไม่ได้อยากรู้ด้วย = =



    "โอ๊ยยย พี่มันลื่นจนผมจะหัวทิ่มอยู่แล้วอ่ะ"


    "ลื่น....งั้นเหรอ?"



    เพราะคำโอดครวญของคิมจงอินทำให้เท้าเล็กของมินซอกหยุดลงกระทันหันแล้วหันมาทางที่จงอินอยู่ ตาเรียวจ้องมองแผ่นหลังกว้างของน้องนิ่ง มินซอกค่อยๆยกมือขึ้นและเอื้อมไปหาแผ่นหลังกว้าง




    ...



    "จงอิน"



    หน้าคมหันกลับมาทางเจ้าของบ้านตัวเล็กและก็พบกับมือขาวที่ยื่นยาวออกมา... คิมมินซอกเหลือกตามองรุ่นน้องพร้อมกับวางมือลงบนอกแกร่ง จงอินเลิกคิ้วคิ้วสูงด้วยความสงสัยก่อนที่ร่างกายเขาจะกระเด็นมาจากที่เดิมด้วยแรงของคนตรงหน้า


    "...ระวัง"


    ร่างเล็กแสร้งทำมือเป็นว่าพยายามจะใช้มันมาจับเขาไม่ให้ล้มแต่จริงๆมันไม่ใช่ สายตาเยือกเย็นของมินซอกจ้องมองอย่างไร้ความรู้สึก


    ...


    แต่ก่อนหน้าที่จะที่เขาจะได้อึ้งไปมากกว่านี้ มันมีปัญหาที่ใหญ่กว่ารอเขาอยู่


    "เหี้ย!"


    หัวใจร่วงลงตกไปพร้อมกับร่างกายเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะลงไปหาพื้นโลก ดวงตาปิดแน่นด้วยความกลัว เอาหลังลงอีกต่างหาก ท่านี้รับรองเจ็บหลังไปอีกหลายวันแหงๆ


    ...


    แปลก?


    ทำไมไม่รู้สึกเจ็บ


    "ไม่เป็นไรน่า ลืมตาได้แล้วจงอิน"


    เสียงนุ่มทุ้มดังอยู่ข้างหูทำให้จงอินค่อยๆเผยเปลือกตาขึ้น ใบหน้าหล่อของปาร์คชานยอลที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงคืบทำเอาจงอินเผลอผลักตัวออกด้วยความตกใจจนเกือบจะได้ลงไปจูบพื้นอีกรอบ


    "เฮ้ยๆ!"


    เพราะการดิ้นครั้งนั้น ทำให้แขนทั้งสองของคิมจงอินกลายเป็นว่าโอบคอร่างสูงอยู่อย่างแน่นในขณะที่ชานยอลก็กอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่นเช่นกัน คิมจงอินรู้สึกหายใจลำบากและใบหน้าเห่อร้อนขึ้นเมื่อต้องอยู่ใกล้ชิดขนาดนี้


    อีกฝ่ายตำหนิเขาด้วยสายตา คิมจงอินได้แต่ก้มหน้ายิ้มแหยๆ ก่อนที่ชานยอลจะช่วยประคองให้เขายืนดีๆ


    เมื่อกลับมาสู่สภาพปกติจงอินก็รีบออกมาจากอ่างองุ่นจนแทบทันที แต่เพราะรีบไปหน่อยจึงทำให้ลงมาผิดท่า ชานยอลรีบไปประคองร่างโปร่งให้มานั่งพักดีๆ


    "ดูเหมือนขาหมอนี่จะไม่ไหวแล้วนะพี่มินซอก พวกผมขอตัวกลับก่อนละกัน"



    พอได้ยินชื่อคิมมินซอก จงอินที่นั่งดูเท้าตัวเองอยู่ก็หันขวับทันที เจ้าของชื่อพยักหน้าให้ชานยอลแล้วหันมามองทางเขา อาศัยช่วงที่น้องข้างบ้านหันหลังให้ส่งรอยยิ้มเหยียดมาหาคนเจ็บด้วยความรักสุดๆ



    ห๊ะ....???


    นางฟ้าของกู......ทำไม......



    คิมจงอินถึงกับเงิบเป็นหมีตาแตก เขารู้สึกว่าทั้งตัวเริ่มชาไปหมดไม่ใช่เพียงข้อเท้าเพียงมองรอยยิ้มนั่นของพี่ใหญ่สกุลคิม  เด็กน้อยหดขาเข้าหาตัวแล้วก้มหน้าเพื่อทบทวนกับตัวเอง อีกด้านหนึ่งชานยอลกำลังเตรียมของกลับบ้าน เขากำลังลำบากใจว่าจะทำยังไงกับพวกมันในเมื่อเขายัมีภาระชิ้นใหญ่นั่งรออยู่ตรงนั้นอีกอย่าง มินซอกแนะนำให้ทิ้งไว้ที่นี่ก่อน วันอื่นค่อยมาเอาก็ยังไม่สาย


    "นายอย่าลืมไวน์ที่พี่ให้ล่ะ"


    ร่างสูงพยักหน้ารับแล้วหยิบขวดแก้วที่บรรจุไวน์สีคล้ำทั้งสองขึ้นกอดแนบอก เมื่อเห็นว่าไม่ลืมอะไรแล้วมินซอกจึงไล่ให้น้องชายกลับบ้านตัวเองไปได้ ร่างสูงจึงไปสะกิดคนที่นั่งคุดคู้อยู่ให้ขึ้นหลังเพื่อพากลับบ้านกันไปตามระเบียบ


    คิมจงอินที่อยู่บนหลังชานยอลหันกลับมามองมินซอกอย่างหวาดๆแล้วรีบหันกลับไปอย่างรวดเร็วเมื่อสบตากับดวงตาเรียวคู่นั้น คิมมินซอกหัวเราะออกมาเบาๆ พลางยิ้มกริ่ม ใบหน้ากลมเงยขึ้นไปมองท้องฟ้าที่ย้อมสีส้มจางๆเป็นการบอกว่าพระอาทิตย์ใกล้จะตก


    มินซอกพร้อมขวดไวน์หนึ่งขวดมองหาที่นั่งเหมาะๆมองท้องฟ้าและไร่องุ่นยามเย็น เขานั่งลงบนเตียงไม้ที่ลักษณะคล้ายแคร่ มือขาวดึงจุกคอร์กออกแล้วกระดกมันลงคอ เขาวางขวดลงข้างตัวแล้วแผ่หลังลงกับเตียงพลางหลับตาพริ้ม



    ....จบไปอีกวันแล้วสินะ








    ' และสำหรับข่าวที่เป็นประเด็นอยู่ตอนนี้นะครับ... '


    ปิ๊บ


    ' สำหรับเรื่องนี้นะครับ ส่วนตัวผมคิดว่า.... '


    ปิ๊บ


    ' ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ '


    ปิ๊บ


    ' ฉันรักคุณ ได้ยินไหมฉันรักคุณ...! '


    ปิ๊บ



    จงอินนั่งแกร่วอยู่บนโซฟาในตัวบ้าน เขากดรีโมทที่ฉายช่องรายการอย่างไร้จุดหมาย แล้วก็ยอมแพ้เมื่อหาอะไรสนุกๆดูไม่ได้ซักช่อง เท้าสีน้ำผึ้งมีผ้าพันเอาไว้ส่วนหนึ่ง ชานยอลทำมันไว้เพราะคาดว่าข้อเท้าน่าจะพลิก แล้วก็สั่งจงอินให้อยู่นิ่งๆตั้งแต่กลับมาจนตอนนี้เขายังไม่ได้กระดิกไปไหนเลยซักนิด


    "โฮ้ยยยยย เบื่อ!"


    จงอินผุดขึ้นมองแผ่นหลังกว้างที่อยู่ในห้องครัว ภาพชานยอลกำลังจัดการกับเศษซากมื้อเย็นของพวกเขาด้วยตัวคนเดียวทำให้เขาหงุดหงิดขึ้นไปอีก แต่เขาก็นั่งเหม่อมองอีกฝ่ายจนเจ้าตัวหันมาขมวดคิ้วใส่


    "มองอะไร"


    "อยากช่วย"


    "อยู่นิ่งๆไป เดี๋ยวขาไม่หาย"


    ว่าแล้วร่างสูงก็หันกลับไปสนใจจานต่อปล่อยให้จงอินได้แต่ฟาดพรมฟาดโซฟาไปทั่ว ถ้าไม่ติดว่าไม่ใช่บ้านเขาล่ะก็จงอินจะคว่ำโต๊ะแม่งให้หรู้แล้วรู้รอดไป



    "ฮึ้ยยย!"




    ...แต่ก็ได้แค่คิดล่ะนะ










    กริ๊ก...


    ปาร์คชานยอลหย่อนตัวลงบนโซฟาพร้อมแก้วไวน์ทรงสูงสองใบและขวดแก้วอีกหนึ่ง คิมจงอินที่ลงนั่งอยู่ข้างล่างเงยหน้าขึ้นมามองอย่างงุนงงแต่อีกฝ่ายก็ยักคิ้วกวนประสาทให้


    โถ นึกว่าหล่อมากเหรอพ่อคุณ ทำดีจ้ะแต่อย่าทำดีกว่า....



    "ลองสิ พี่มินซอกเค้าให้มา ไวน์จากองุ่นจากไร่ของเราเลยนะ"


    คนฟังได้แต่หัวเราะแห้งๆกับคำว่าเรา....ชานยอลมันลืมรึเปล่านี่ไร่มันคนเดียวนะ เขาแค่คนอาศัย


    ร่างโปร่งเลือกจะไม่เก็บเอามาคิด จงอินเอื้อมไปหยิบขวดแก้มมาถือด้วยแววตาวาววับเหมือนเด็กเห็นของเล่น ชานยอลสอนวิธีการเปิดจุกคอร์กจากการพูดแล้วส่งอุปกรณ์มาให้จงอินลองทำเอง เมื่อลองดูจุกคอร์กก็หลุดออกมาอย่างว่าง่าย


    จงอินยกแก้วที่บรรจุไวน์สีสวยอยู่ครึ่งขึ้นจิบแล้วก็ต้องตาโต รสชาติหวานฉ่ำขององุ่นหมักทำให้เขาหมุนแก้วไปมาอย่างอารมณ์ดี


    "เบาหน่อยนะ เดี๋ยวก็ได้มึนตายพอดี"


    จงอินยักไหล่เหมือนไม่สนใจคำเตือนของอีกฝ่าย เด็กร่างสูงโปร่งยังคงส่งแอลกอฮอล์ลเข้าปากเรื่อย จงอินไม่อยากปฏิเสธรสชาติหอมหวานของมัน เขาบอกได้เต็มปากเลยว่าไวน์ขวดนี้มันอร่อยจนบรรยายไม่ถูก


    "อร่อยอ่ะ ไวน์ไร่นายนี่อร่อยจริงๆ"


    ชานยอลเหลือบมองคนขี้เมาที่ติดรสชาติของไร่เขาเข้าเต็มๆ ร่างสูงกระดกแก้วขณะที่มุมปากของเขาโค้งขึ้นจากรอยยิ้ม


    "แหงอยู่แล้ว"




    ครั้งที่ 4





    "อือ.... ปวดหัว"


    จงอินผุดลุกขึ้นนั่ง มือเรียวก่ายขึ้นบนหน้าผากที่โดนผมสีน้ำตาลเข้มปรกหน้าปิดตาน่ารำคาญ แสงตะวันแยงตาเขาเพราะผ้าม่านที่ปิดไม่สนิท อาการปวดเร่งจี๊ดขึ้นบนหัวจนต้องยกมือขึ้นกุม เมื่อคืนเขานั่งดื่มไวน์เป็นเพื่อนปาร์คชานยอลจนดึก ซ้ำยังอากาศหนาวๆที่พัดลอดหน้าต่างที่เปิดไว้อีก ซัดไปซัดมาก็เลยหวัดกินแบบที่เห็น ทั้งๆที่ก็นั่งอยู่ด้วยกันแต่อีกฝ่ายกลับไม่เป็นอะไรเลยสักนิด แถมยังทิ้งท้ายไว้อีก....


    ' นี่แหละนะ พวกคนเมือง... '


    ถ้าถามว่าเจ็บไหม .......เจ็บจ่ะ ;__;


    เมื่อมองไปทางด้านขวามือก็พบกับชามข้าวกับน้ำเปล่าและขวดยาแก้ปวดหัววางไว้ในถาดเงินเดียวกัน ร่างสูงเอื้อมตัวไปหยิบโพสอิทสีเขียวมะนาวขึ้นมาอ่านพลางยิ้มขบขัน


    ' ตื่นมาแล้วกินข้าวกินยาซะขี้เมา ห่มผ้าด้วยเดี๋ยวเป็นหวัด ผมขี้เกียจดูแล '


    เจ้าของไร่หูกางนั่นมีพกโพสอิทแบบนี้ด้วยว่ะ ไม่ได้เข้ากับหน้าเลย แถมยังสีแสบไส้ขนาดนี้อีก


    "ฮึ...."


    แต่ยังไง........ก็น่ารักดี


    ...



    จงอินหยิบชามข้ามต้มวางวางบนตักก่อนจะเปิดฝาปิดจนไอสีขาวและกลิ่นหอมกรุ่นออกมา สงสัยว่ามันเพิ่งจะทำเสร็จได้ไม่นาน ชานยอลน่าจะกลับมาตอนสายๆเพื่อมาทำข้าวให้เขาโดยเฉพาะ แล้วยังจะหนังสือสองสามเล่มที่วางทิ้งไว้ตรงโต๊ะแถวๆหน้าต่างอีก อีกฝ่ายคงจะมานั่งดูอาการครู่หนึ่งก่อนจะออกไปทำงานต่อ


    เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ จงอินค่อยๆตักข้าวเข้าปาก ใจเขาไม่คิดคาดหวังอะไรกับรสชาติไว้เลยเพราะยังไงก็ฝีมือผู้ชายทำ และแล้วเขาก็พบว่าตัวเองคิดผิดไป แปลกใจจริงๆ


    ....งี้แหละนะ ฝีมือพวกคนนอกเมือง


    "อร่อยว่ะ..."










    ตื่นมาหลังจากนอนได้เต็มอิ่มแล้วมันก็เป็นธรรมดาที่จะนอนไม่หลับจนเขาเกิดความเหนื่อยหน่าย จงอินจึงไปค้นหาหนังสืออ่านที่ตู้หนังสือของชานยอล เขาก็พบว่ามีฟิกเกอร์กับเน็นดรอยและหนังสือการ์ตูนอยู่เกินครึ่งของตู้เหมือนพวกเด็กผู้ชาย นอกนั้นก็เป็นพวกสูตรอาหาร ทำสวน เศรษฐกิจและนวนิยายแปลทั่วไปๆ


    ร่างสูงเลือกนวนิยายสืบสวนมาหนึ่งเรื่องก่อนจะไปนั่งเล่นที่โซฟาตัวเล็ก แต่พออ่านไปได้ไม่เกินสิบนาทีเขาก็ต้องปิดหนังสือลง.... ทั้งตัวอักษรเรียงพรืดและความหนาของหนังสือกลับสร้างความเหนื่อยหน่ายให้จงอินเพิ่มขึ้นเสียอีก


    "เฮ้อ จะอ้วกว่ะ"


    สงสัยว่าเขาจะไม่เหมาะกับอะไรแบบนี้จริงๆแหละ...


    นานแค่ไหนที่เขาต้องจมอยู่กับกองเอกสารเพื่อเเข่งกับคนร่วมสายเลือดแค่ครึ่งเดียวทั้งๆที่มันก็ไม่ใช่ตัวตนของเขาเลยซักนิด เหนื่อยแค่ไหนคือต้องโต้รุ่งกับงานกระดาษและบริษัท เหนื่อยที่ต้องทำเป็นยิ้มแบบพอดีหรือต้องวาดมาดให้เหมาะสม


    เขาพยายามจะปั้นแต่งมันขึ้นมาเท่าไหร่เพื่อให้มันสูสีกับบยอนแบคฮยอน ....และเพื่อไม่ให้พ่อมองเขาว่าเป็นลูกไร้ประโยชน์หรือเป็นหมาหัวเน่า แต่สุดท้าย ก็เป็นตัวเขาที่รู้ดีว่าไม่มีทางสู้ได้


    ...


    "เหนื่อยชะมัดดดดดด"


    หน้าคมซบลงกับขอบโซฟ้า เปลือกตาสีเข้มค่อยๆปิดลงกึ่งหนึ่งก่อนจะปิดลงจนหมด ร่างกายก็แข็งกระทันหันจนไม่อยากจะลุกไปไหหน เขาใช้แขนยาวนอนซบแทนหมอนก่อนจะพาตัวเองเข้าสู่นิทราอีกครั้ง






    ...






    ติ๊ก... ติ๊ก.... ติ๊ก....


    ...



    แกร๊ก...


    ....


    ตึก... ตึก...


    "อะ...อือ"


    จงอินเปิดตาขึ้นมาช้าๆ เขาลุกขึ้นมาสลึมสลือท่ามกลางเสียงนาฬิกาและเเสงแดดสีส้มยามเย็น เสียงเปิดประตูเมื่อครู่เป็นสิ่งที่ปลุกเขาขึ้นมา เสียงฝีเท้าเบียดกับไม้ใกล้ดังขึ้นเรื่อยๆ


    ชานยอลคงจะกลับบ้านมาแล้ว แล้วก็คงจะมาดูอาการเขา


    ...ถ้าเห็นว่าหายดีเร็วขนาดนี้จะเซอร์ไพรส์ไหมนะ?



    คิมจงอินเคลื่อนกายจากโซฟาไปยังเตียงนอนกว้างก่อนจะแกล้งนอนหลับตาอยู่เพื่อดูปฏิกิริยาของปาร์คชานยอลเผื่อว่าอีกฝ่ายจะหลุดคำนินทาอะไรเขาออกมา


    แอ๊ด...


    เสียงประตูห้องถูกเปิดออกและปิดลงนั่นเป็นสัญญาณว่าร่างสูงเข้ามาอยู่ในห้องเรียบร้อย จงอินสูดลมหายใจเพื่อไม่ให้ตัวเองหลุดอะไรแปลกๆออกมา เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาจนหลุดอยู่ที่เตียง จากนั้นเตียงเคยอยู่อย่างสงบก็ยวบลง


    แปลก?


    ....นี่มันเงียบมากเลย เงียบจนเกินปกติ ปาร์คชานยอลเป็นอะไรรึเปล่า


    จงอินตะขิดตะขวงในใจ ใจหนึ่งก็อยากจะลืมตาขึ้นดูแต่อีกใจก็อยากจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ทันใด มือเย็นของอีกฝ่ายก็แตะลงบนแก้มเขาจนคิมจงอินเกือบสะดุ้ง นิ้วยาวไล้โครงหน้าเขาไปๆมาๆน่าขนลุกก่อนที่ฝ่ามือจะหยุดลงตรงที่ลำคอ


    "แกล้งหลับนี่....สบายดีไหม??"


    จงอินเบิกตากว้างเพราะได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคยอย่างประหลาดแม้ว่าเขาจะไม่ได้อยากได้ยินก็ตาม ภาพตรงหน้าเขาคือผู้ชายตัวเล็กผมสีดำที่มีผ้าสีดำคาดจมูกอยู่ ฝ่ามือทั้งสองสแตนบายอยู่ที่คอเขาพร้อมจะออกแรงบีบมันได้ทุกเมื่อ


    ดวงตาสีนิลเย็นชาจ้องลงมาราวกับผู้ล่าขู่เหยื่อ ...มันเป็นดวงตาที่เขาจำได้ขึ้นใจดี


    "....มึง!!"


    ไอ้เด็กคนนั้น....ที่มันจะฆ่าเขา


    "ไม่เจอกันนานนะ คิมจงอิน"


    ไม่รอให้เสียเวลา อีกฝ่ายก็เริ่มทักทายเขาและกล่าวจุดประสงค์ของตัวเองออกมาตามการกระทำทันที มือเล็กหยิบมีดสั้นออกมาจากด้านหลังก่อนจะชูขึ้นสูง สะท้อนกับแสงอาทิตย์เป็นแววระยับ


    ดั่งเคียวของมัจจุราช...


    "อย่านะเว้ย!!"


    จงอินยืดแขนไปจับแขนอีกฝ่ายไว้และพร้อมพยายามสะบัดให้หลุดจากการคร่อม อีกฝ่ายก็คล้ายว่าจะเซตามแต่ก็ทรงตัวอยู่ได้ และในทันใด มือขาวแทงมีดลงมาเฉียดข้างแก้มเขาโดยเร็ว โลหะเงินทะลุหมอนเป็นรู คนตัวเล็กกระชากมันออกมาและกำแน่นไว้เช่นเดิม


    หัวใจเขาเต้นแรงจนแทบจะสำลักเมื่อผ่านพ้นสถานการณ์เฉียดตายอย่างหวุดหวิด จงอินพยายามเก็บความหวาดกลัวของตัวเองไว้ไม่ให้แสดงออกให้อีกฝ่ายรู้ แต่เขาก็ทำไม่ได้ เสียงหัวเราะขึ้นจมูกเยาะดังจากอีกฝ่าย


    แต่มันยังไม่จบง่ายๆแน่ ...ทั้งหมดมันเป็นแค่การขู่


    "ดวงดีนี่ ลองอีกทีดีไหม"


    สบโอกาสตอนอีกฝ่ายเตรียมเงื้อมือขึ้นสูง จงอินคว้าโคมไฟข้างเตียงมาฟาดเข้าที่ขมับอีกฝ่ายจนเซไป เขากลิ้งตัวลงจากเตียงด้วยความทุลักทุเล ตัวเขากระแทกเข้ากับพื้นไม้เสียงดัง แต่มันไม่มีเวลาจะมาเจ็บ เขาตะเกียดตะกายเพื่อหาอะไรมาพยุงตัวขึ้นแข่งกับเวลา


    "เร็วซี่จงอิน มึงทำได้น่า"


    ร่างสูงพาตัวเองกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปทางบันได อาการปวดหัวเริ่มกำเริบแต่ตอนนี้เขาต้องแข็งใจไว้แล้ววิ่งไปขอความช่วยเหลือก่อน แต่โลกตรงหน้าเริ่มเอียงไม่ได้องศาขึ้นเรื่อยๆจนเขาร่วงไปกับพื้นเพราะอะไรซักอย่าง


    พลั่ก!!


    "อุก... อ่ะ"


    เขาเหลือกตามองมือที่กำลังสั่นเทาอยู่บนพื้นไม้ ความเจ็บปวดเเล่นปราดขึ้นสมองจนไม่สามารถแม้แต่จะร้องออกมาดังๆ เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ปลายสายตาจ้องลงมาสายตาเคียดแค้น ในมือเล็กนั่นมีมีดเล่มเดิมจับไว้แน่น ใบหน้านิ่งสนิทมีโลหิตสีสดไหลลงมาตั้งแต่ศีรษะยันคาง


    คาดว่าน่าจะเป็นผลงานจากฝีมือเขาเอง


    "เก่งจริงๆนะมึง ทำกูเป็นแผลขนาดนี้"


    ขายาวในกางเกงยีนส์สีดำสนิทค่อยๆก้าวเข้ามาช้าๆ แต่ทุกฝีก้าวกลับลงเท้าหนักจนเสียงไม้ลั่นดังไปทั่ว คิมจงอินกำมือสั่นเทาจนเล็บจิกลงไปกับเนื้อ ลมหายใจเขาเริ่มรวนเช่นกับจังหวะหัวใจ มือปัดป่ายไปทั่วเพื่อควานหาอะไรซักอย่างมาเพื่อป้องกันตัว


    แกร๊ง...


    เจอแล้ว...


    "คิดจะทำอะไรอีกล่ะ"


    "สำหรับมึง ....สงสัยแค่หัวแตกจะไม่สาแก่ใจงั้นสิ"


    "ก็ลองดูสิ จะได้รู้"


    เด็กหนุ่มที่ยืนห่างออกไปไม่กี่เมตรกระตุกยิ้มผ่านผ้าผูกปากสีดำ ไม่รอช้า คิมจงอินขว้างไม้เบสบอลออกไปหาอีกฝ่ายทันทีหมายจะสร้างบาดแผลอีกสักแห่งสองแห่ง


    เคร้ง!!


    ทว่าอีกฝ่ายก็ปัดมันออกด้วยท่อนแขนเล็กๆนั่นทันทีโดยไม่หวาดกลัวความเจ็บปวด ก่อนจะก้มลงไปหยิบมันมาติดมือมาด้วย ร่างเล็กพุ่งพรวดลงบันไดมาอย่างเร็วพร้อมเงื้อไม้ขึ้นสูง


    พลั่ก!


    "ซ่านักใช่ไหม ดีเลย..."


    คิมจงอินหน้าหันตามแรงจากไม้เบสบอลอันเขื่อง โชคดีที่มันทำจากพลาสติกแต่โชคร้ายที่อีกฝ่ายไม่คิดจะปรานี เด็กหนุ่มฟาดไม่ยั้งมือจนเขาต้องยกขึ้นมากัน


    สองครั้ง สี่ครั้ง และอีกหลายครั้งจนกว่าจะพอใจ จงอินรู้สึกชาหนึบไปทั้งหัวโดยเฉพาะศีรษะที่เบลอไปหมด เขาเริ่มจะมองหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดเท่าไหร่เว้นแต่ดวงตามุ่งร้ายคู่นั้น


    และแล้วหมาจนตรอกก็ใช้แรงเฮือกสุดท้ายของมัน เขาคว้าข้อเท้าเล็กของอีกฝ่ายก่อนจะกระชากจนล้ม ร่างสูงขึ้นคร่อมอย่างลำบากก่อนจะง้างหมัดซัดเข้าเบ้าหน้าขาวนั่น


    เด็กคนนั่นก็ไม่ยอมแพ้ คนตัวเล็กกว่าหาช่องเหมาะพลิกสถานการณ์ก่อนจะซัดกลับบ้างก่อนที่เขาทั้งสองจะตะลุมบอนกันเหมือนหมาบ้า คิมจงอินคิดว่าตัวเองได้เปรียบเรื่องการใช้กำลัง แต่คู่ต่อสู้ของเขาก็มือหนักผิดกับขนาดตัว ใบหน้าหล่อทั้งสองบวมเป่งเพราะบาดแผล ซ้ำกลิ่นคาวของเลือดก็คลุ้งทั่วปากไปหมด


    จงอินไม่เหลือแม้แต่แรงจะไปขอความช่วยเหลือ เขารู้สึกปวดหัวจี๊ดและอ่อนล้าในขณะที่อีกฝ่ายก็เริ่มหมดแรง ร่างสูงง้างหมัดสุดท้ายอัดเข้าหน้าขาวก่อนจะผละออกมาเมื่อเห็นว่าอีกคนโอดครวญเพราะเขาปล่อยหมัดเข้าที่เบ้าตา


    ปึด!


    "อ่ะ อ๊า..."


    "มึง....ต้อง...ตาย"


    คมมีดปาดเข้าที่ข้างแก้มทันทีที่สบโอกาส เด็กหนุ่มใช้มือข้างที่ว่างกุมเบ้าตาอย่างทรมาน แต่ทั้งสีหน้าแววตาที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนทำเอาคิมจงอินหน้าซีดหนัก งานนี้ไม่ใช่เล่นๆอีกแล้ว


    ...แม่งเอาจริงแล้วว่ะ


    "คิมจงอินมึง!!!"


    ร่างผอมกระโจนเข้ามาขณะที่เขาก้าวเท้าสุดชีวิตเพื่อจะวิ่งหนีไปให้รอด เสียงปึงปังดังลั่นเพราะฝีเท้าคนสองคนไล่ล่ากัน เมื่อมาถึงยอดบันได จงอินเสียหลักเพราะเอี้ยวคอมามองด้านหลังจึงถูกอีกคนคว้าคอเสื้อ เขาสองคนยื้อยุดกระชากคอกันอยู่หมิ่นเหม่น


    "ปล่อยกูไอ้เด็กเวร"


    "อยากให้ปล่อยเหรอ ...ได้เลย"


    พลั่ก!


    ฝ่ามือบางที่กำคอเสื้อร่างสูงไว้ถือวิสาสะปล่อยออกและผลักอีกคนกลิ้งตกลงไปตามขั้นบันได แขนสองข้างยกขึ้นมากันศีรษะอัตโนมัติ ก่อนที่ร่างสูงจะลงไปนอนกองอยู่สุดปลายของบันไดด้านล่าง


    "เป็นไง นอนอยู่แบบนั้นสบายดีไหมล่ะ...โอ้ แต่เลือดมึงออกแล้วนะ ออกที่เดียวกับกูเลย"


    "...."


    "....เงียบยังงี้มันก็ไม่สนุกงั้นสิ เรามาเล่นเกมกันหน่อยไหมคิมจงอิน อือ.....เกมซ่อนหาเป็นไง?"


    มือขาวกระชากผ้าปิดปากออกก่อนจะใช้มันผูกตาตัวเอง คิมจงอินลืมตาขึ้นมายากลำบากเพื่อจะมองดูว่าคนข้างบนต้องการจะทำอะไรกันแน่ ไม้เบสบอลสีขาวถูกยกขึ้นมาชี้หน้าเขาแม้คนถือจะมองไม่เห็น


    "ให้เวลาหนึ่งนาที......หาที่ซ่อนซะ แล้วหลังจากนั้น...."


    ...


    "คุณยักษ์จะไปตามหาเด็กดื้อแล้วน้าาาา..."




    ครั้งที่5




    แอ๊ด....


    "เด็กน้อย....อยู่ที่ไหนกันน้าาาา"


    ครืด...


    "ซ่อนให้ดีนะ ไม่งั้นล่ะก็...."


    เพล้ง!!!


    "มีหวังเจ็บตัวแน่ๆเลย.... ฮึๆๆๆๆ"


    ปึด...


    ฟันขาวกัดลงบนเล็บยาวแน่น มือเรียวกอดเข่าที่ชันขึ้นมาไว้แน่น เขาพยายามบังคับไม่ให้ตัวเองสั่นถึงแม้ว่ามันจะยาก จงอินเกลียดฝุ่น มันจะทำให้เขาคันและสำลัก เขาเกลียดความมืดเพราะมันจะทำให้เขาแปลก แต่วินาทีนี้ไม่มีที่ไหนอุ่นใจได้มากกว่าที่แคบๆอย่างห้องเก็บของใต้บันไดแสนรกนี่ตราบใดที่ข้างนอกมีคนโรคจิตเดินถือมีดกับไม้เบสบอลเดินร่อนไปทั่วแบบนั้น


    เขาได้ยินเสียงอีกฝ่ายที่คอยเย้าหยอกกวนอารมณ์สลับไปมากับการกระทุ้งไม้หรือเหวี่ยงมันไปทำลายข้างของต่างๆให้เกิดเสียงดัง เสียงฝีเท้าที่เดินใกล้เข้ามาแล้วก็ไกลออกไปสลับไปมาอย่างนั้นนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าสำหรับเขา...มันนานเกินไป


    เขาเบื่อที่ต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในซอกหลืบคลุ้งฝุ่นไร้ซึ่งแสงไฟในสภาพที่ไม่อำนวย ซ้ำยังอาการปวดศีรษะที่มากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าเเผลตรงขมับเลือดจะหยุดไหลแล้วแต่มันก็ยังแสบอยู่เพราะไม่ได้รับการดูแล มีก็แต่เศษผ้าจากเสื้อที่เขายกขึ้นซับมันเท่านั้น


    ตึก... ตึก...


    "หายไปไหนกันน้า หาจนทั่วแล้วแท้ๆ....... หลบเก่งจริงๆนะไอ้หนูท่อขี้ขลาด!!"


    ปึง!!


    คิมจงอินสะดุ้งเมื่อผนังด้านข้างเขาสะเทือน และมือเขาก็เริ่มสั่นอีกครั้ง เขาพยายามปลอบใจตัวเองให้คิดในเเง่ดีว่าคนๆนั้นคงจะฟาดไม้ลงมาถูกจุดพอดีก็เท่านั้น


    ไม่มีอะไร....เขาจะปลอดภัย


    ต้องไม่เป็นไร...


    "หรือว่า....จะแอบหลบอยู่ในห้องเก็บของกันนะ......."



    ....



    ว่าไงนะ?


    "......ชักจะน่าสนุกแล้ว เริ่มที่ห้องเก็บของใต้บันไดเลยล่ะกัน"


    ปึง!!!


    ปึง! ปึง!


    คิมจงอินถดขาเข้ามาจนแทบจะกลายเป็นลูกชิ้นกลม ปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่นๆกันเสียงออก ดวงตาสีนิลทำได้เพียงแค่จ้องมองลอดไปยังประตูที่โดนกระแทกจนเปิดออก แสงไฟฉายเข้ามาท่ามกลางความมืดสำหรับมันเหมือนแสงจากนรก


    เขาจะทำอะไรได้อีก....นอกจากภาวนา


    "ที่นี่แคบชะมัด....แถมของเยอะเป็นบ้า"


    พลั่ก!


    "แต่ก็....สกปรกสมกับเป็นหนูท่อดีจริงๆ"


    ร่างเล็กเข้ามาคลานประมาณครึ่งตัวอาจะเพราะประตูทางเข้าที่เด็กประมาณเด็กห้าขวบ มือเล็กกระชากของที่อยู่ด้านในหรือผลักพวกมันให้พ้นทางด้วยวิธีการไร้ปรานี สะเปะสะปะไปทั่วน่าจะเพราะดวงตายังไม่ชินกับความมืด


    จงอินกุมมือชื้นเหงื่อไว้ปิดปากให้สนิท เขาพยายามผ่อนลมหายใจให้เบาลง ไม่จำเป็นต้องกลัวหรอก ก็ในเมื่อที่นี่มันออกจะไมน่าเป็นที่ซ่อนตัวด้วยซ้ำ ทั้งสกปรก ทั้งแคบ อากาศก็น้อย...


    "แค่ก!!! แค่กๆ"


    ยิ่งเล่นตีของแบบนี้ฝุ่นมันก็ฟุ้งไปทั่ว ไอ้เด็กอารมณ์ร้อนนั่นมันทนไม่ได้หรอก


    "เฮี้ยเอ๊ย...ทุเรศชิบหาย ขึ้นไปดูห้องข้างบนก่อนละกัน แม่ง!"


    และมันก็เป็นดั่งที่เขาคาดไว้ ไม่นานอีกฝ่ายก็ดูหงุดหงิดมากขึ้นจนผละออกไปก่อน


    จงอินรอจนเสียงลงเท้าจางไปจึงค่อยๆถอนหายใจพรูดใหญ่ออกมา เขาเริ่มแสบแผลอีกครั้งเพราะเหงื่อและฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย เมื่อชั่งใจอยู่พักใหญ่ก่อนจะเคลื่อนกายไปหาทางออก อยู่ในบ้านนี้มีแต่เสียประโยชน์และเวลาเปล่า เขาควรจะออกไปขอความช่วยเหลือ


    ....เด็กคนนั้นขึ้นไปข้างบนแล้ว น่าจะถ่วงเวลาในการหนีได้บ้าง



    "ฟู่...."



    .....พระเจ้าครับช่วยผมทีเถอะ...


    ครืด.....


    คิมจงอินชะโงกหน้าออกมามองซ้ายขวา แน่นอนว่ามันสงบเงียบไร้ผู้คน เห็นดังนั้นเขาจึงค่อยๆพาร่างกายตัวเองออกมาจากช่องที่สูงเท่าเด็กห้าขวบ ร่างสูงยืดเต็มตัวแล้วปัดเศษฝุ่นคราบที่ติดตามเสื้อผ้า


    กับดักถูกวางไว้ที่ชั้นล่างคือบานประตูที่เปิดอ้าแทบทุกบาน เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยังอยู่ชั้นล่างหรือไม่ และถ้าใช่...จงอินไม่อยากให้เด็กนั่นสงสัยในการเคลื่อนไหว ...เวลานี้เขาเสียเปรียบมากโข.... เท้าหนาค่อยๆลงย่ำพื้นบ้านแผ่วเบา


    ทีละก้าว...


    แอด....


    ไปช้าๆ ทีละก้าว...



    แอด.......



    ....


    อีกนิดเดียว...


    ...



    ปั่บ...!!!


    "อื้อ!"


    ฝ่ามือหยาบที่โผล่ออกมาจากช่องประตูตะปบเข้าที่ใบหน้าส่วนล่างของเขาอย่างแรง นัยน์ตาสีนิลเบิกโตท่ามกลางหยดเหงื่อที่ไหลพรากลง ร่างสูงพยายามดิ้นและกระชากตัวออกมา สองขาเขาเริ่มสั่นคุมไม่อยู่ก่อนละลามไปทั้งตัว


    "อย่านะเว้ย... ปล่อย!"


    น้ำตาจู่ๆก็ไหลลงอาบข้างแก้มเมื่อคิดว่าตัวเองถึงทางตันเข้าแล้วและทั้งหมดที่พยายามมันสูญเปล่า เขาเลือกจะผ่อนแรงและจำยอมช้าๆ ทว่าอีกฝ่ายกลับหมุนตัวและฝังหน้าเขาไว้กับอก


    "ชู่ว...."


    "ฮึ....ฮืออ"


    อ้อมกอดแน่นขึ้นเมื่อเสียงร้องไห้ของคิมจงอินลอดออกไป นิ้วเรียวสีน้ำผึ้งขยุ้มเสื้ออีกฝ่ายจนยับยู่ยี่โดยที่อีกคนทำเพียงกอดประโลมเขาเหมือนเด็กเล็กๆพร้อมมือที่ลูบศีรษะนุ่มอย่างเบามือ


    "ช่วยด้วย....ทำไมถึงกลับมาช้าอย่างนี้ล่ะ ฮือ....ชานยอล"


    ...


    อ้อมกอดถูกส่งจากคนคุ้นหน้าและคาดหวังเฝ้ารอมาตลอด กอดที่มันทำให้รู้สึกเหมือนกับว่า



    ....เขาปลอดภัยแล้ว
















    แปะ! แปะ! แปะ!


    "แหมแหม ช่างเป็นฉากที่ซาบซึ้งใจจริงๆ...."


    จงอินเงยหน้าขึ้นมาจากอกชานยอลก่อนจะมองไปที่ต้นเสียงด้วยความตกใจขีดสุดเมื่อเขาได้พบกับคนที่ไม่ได้เจอมานานอีกครั้งนึง ร่างผอมบางในชุดลำลองธรรมดากับใบหน้าที่ลืมไม่ลง พี่ชายครึ่งสายเลือดคนเดียวของเขา


    บยอนแบคฮยอน...


    "ในที่สุดน้องชายของฉันได้พบเจอกับเจ้าชายของเขา และแล้วเรื่องราวของทั้งคู่ก็จบอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง แหม่...ชื่นใจจริงๆ เนอะกระจกวิเศษของฉัน"


    "ฮึๆๆๆ ตลกมากไหมแบคฮยอน"


    "นิดหน่อยเองนะอี้ชิง ว่าแต่ตัวเล็กของฉันอยู่ไหนกันล่ะชานนี่"


    สรรพนามที่แสดงถึงความสนิทสนมเกินคนแปลกหน้าทำให้จงอินหันขึ้นไปมองหน้าคนข้างกายเขาอย่างเร็ว ร่างสูงกำมือแน่นและเผลอดึงออกตามสัญชาตญาณแต่ปาร์คชานยอลกลับยึดข้อมือนั้นไว้แม้สายตามองขึ้นไปบันไดด้านบนที่มีขาของใครบางคนยื่นลงมา


    "นั่นไง มาโน่นแล้ว"


    "คุณแบคฮยอน..."


    "คยองซูอา ...เด็กน้อยของฉัน เธอทำงานได้ดีมาก มานี่เร็วเข้า"


    สิ้นเสียงไม้เบสบอลถูกไว้ด้านหลังอย่างไร้เยื่อไย เพื่อรีบเดินไปหาแบคฮยอนที่อ้าแขนรออยู่ คยองซูสวมกอดแบคฮยอนไว้หลวมๆด้วยท่าทีเก้ๆกังๆ จนอีกฝ่ายต้องดึงเข้าไปกอดแน่นๆแทน

    แบคฮยอนมองคยองซูที่ยืนตัวเเข็งทื่ออย่างเอ็นดู เขาก้มลงไปจูบที่ปาข้างแก้มตอบเบาๆเป็นการตบรางวัล


    ...



    "นี่มัน....หมายความว่าอะไร"


    จงอินยืนแข็งได้ซักพักเริ่มกวาดสายตาไปรอบๆด้าน ดวงตาคมวางลงที่คนสามคนตรงหน้าและเบนมายังคนข้างๆที่จับมือเขาอยู่ ...ท่าทางที่ดูเหมือนจะรู้จักและคุ้นเคยต่อกันทำให้เขารู้สึกไม่ต่างอะไรจากคนนอก


    ทั้งๆที่เคยคิดว่าที่นี่เป็นของเขาแล้วแท้ๆ เแต่เหมือนมันจะไม่ใช่...


    "ฮึ เป็นอะไรไปน้องรัก ตกใจกับการ'แกล้ง'ของพี่คนนี้จนบ้าไปแล้วรึไง ยังไม่ชินอีกเหรออินนี่"


    แบคฮยอนเหลือบตาขึ้นมามองคนเป็นน้องชายแล้วกระตุกยิ้มกับปฏิกิริยาที่น่าพอใจ ก่อนจะหันไปลูบหน้านวลเนียนของคนในอ้อมกอดพร้อมคุยกันเสียงหวาน


    "คยองซูไม่ได้ทำอะไรรุนแรงใช่ไหมครับ"


    "เปล่า"


    เด็กชุดดำส่ายหัวดุ๊กดิ๊กน่ารักผิดกับสายตาจงอิน และสาธยายเรื่องดีๆที่ตนได้ทำให้ฟังด้วยรอยยิ้มกว้าง


    "แผลที่ผมทำก็มีแผลตามตัวกับ...แค่ที่หัวเท่านั้นแหละครับ"


    เเค่นั้นเหรอวะ?


    "เหรอ งั้นก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก เนอะ? ชานยอล"


    อี้ชิงปรายตามาเช่นเดียวกับจงอินที่คาดคั้นร่างสูงทางสายตาที่ปาร์คชานยอลไม่แม้แต่จะก้มหน้าลงมาสบด้วย แต่กลับมองออกไปไร้จุดหมาย เหมือนไม่ต้องการจะสบตา...


    "....อืม"


    เพียงแค่คำตอบรับเล็กๆที่เรียกรอยยิ้มเยาะจากพี่ชายครึ่งสายเลือดทำเอาคิมจงอินชาหนึบไปทั้งตัว ความรู้สึกคล้ายโดนฟาดด้วยไม้เบสบอลอีกครั้งอย่างแรงจนสมองสะเทือน มือเรียวค่อยๆผ่อนแรงลงจนร่วงลงมาอยู่ข้างตัว


    "นี่...ใจดำจังนะ ไม่คิดจะแนะนำตัวเองกับน้องชายสุดน่ารักของฉันเลยรึไงฮะ?"


    ...


    "ชานนี่เพื่อนรัก"














    ถ้าถามว่าทำไมถึงต้องแกล้งจงอินแรงขนาดนี้.... เเบคฮยอนจะตอบให้สั้นๆ ทั้งหมดก็เพราะว่าเกลียด.... เขาเกลียดมันตั้งแต่มันสลอนหน้าเข้ามาในบ้าน เกลียดมันที่แย่งพ่อเขาไป เกลียดมันที่ถือดีทำตัวผยอง แล้วก็เกลียดมันที่ได้ดีกว่าแบคฮยอน

    เกลียดจนอยากจะเอามีดกรีดใบหน้าหยิ่งนั่นให้เป็นแผ่นๆ แต่แบคฮยอนก็ทำไม่ได้ เพราะการทำร้ายร่างกายมันผิดกฏหมาย แต่รู้อะไรไหม สิ่งที่าำคัญกว่าร่างกายมันมีอยู่....ยกตัวอย่างเช่น อืม หัวใจยังไง

    ถ้าสวรรค์เลือกให้คิมจงอินมีชีวิตอยู่ต่อ แบคฮยอนก็จะทำลายหัวใจจงอินให้สิ้นซาก...


    .....ให้มันตายทั้งเป็น



    "แบคฮยอน... ทำแผลเป็นไหม"


    "หะ?"


    เจ้าของชื่อสะดุ้งน้อยๆเมื่อคนข้างหลังยื่นหน้ามากระซิบข้างๆหูเขาในตอนที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ หน้าสวยเงยขึ้นมองตามเจ้าของเสียง เป็นจางอี้ชิงที่มาพร้อมกล่องอะไรบางอย่าง อี้ชิงไม่ได้ทวนคำพูดแต่ยื่นกล่องยาเล็กๆที่เจ้าตัวเตรียมไว้ยื่นมาให้พลางชี้เข้าไปในห้องนั่งเล่นที่คยองซูของเขานั่งอยู่


    "คยองซูมีเเผล จงอินน้องนายก็ทำแสบไว้เหมือนกัน รู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง"


    "อื้อๆ"


    "ดีมาก เดี๋ยวฉันมานะ ขอไปหาพี่น้องคิมซะหน่อย"


    "อื้อๆ"


    แบคฮยอนว่าง่ายกับอี้ชิงเสมอไว้รู้ว่าทำไมเหมือนกัน มือเรียวรับกล่องยามาถือไว้แล้วก็เดินเข้าห้องไปหาเด็กน้อย เขาเองก็สังเกตแผลตรงขมับคยองซูอยู่แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเยอะขนาดนี้ แบคฮยอนเอื้อมมือไปลูบแผลจนคยองซูสะดุ้ง

    อ่าาาาาาา .....เพราะเขาแท้ๆเลยนะ

    แต่ทำไมพอคิดว่าเด็กนี่ทำเพื่อเขาแล้วมันมีความสุขจังนะ~~


    "เจ็บไหมคยองซู"


    "หะ อ๋อ นิดหน่อยฮะ"


    ตัวเล็กของเขายิ้มกว้างให้เหมือนจะบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง แบคฮยอนทรุดตัวลงข้างๆก่อนจะยื่นหน้าไปจูบตรงแผลของอีกฝ่าย คยองซูระบายความแสบด้วยการกำมือแน่น มันแสบมากแต่ว่า...เพราะเขารักสัมผัสของเเบคฮยอนที่สุด

    แบคฮยอนเลื่อนปากไปตามโครงหน้าสวยก่อนจะหยุดลงที่ปากอิ่มรูปหัวใจที่เขาหลงรัก บดขยี้ด้วยแรงอารมณ์ที่พลุ่กพล่านจนคยองซูต้องร้องขออากาศหายใจ แบคฮยอนผละออกมาอย่างว่าง่าย แล้วอมยิ้มกับภาพอีกคนที่กำลังนั่งเขินอยู่


    "งั้นเดี๋ยวพี่ทำแผลให้นะ ตัวเล็ก"


    .......













    "เจ็บไหม"


    ...


    "จงอิน?"


    ชานยอลถอนหายใจและเก็บอุปกรณ์ปฐมพยาบาลใส่กล่อง คิมจงอินคนเคยพูดน้อยตอนนี้ติดสถานะใบ้ไปแล้วตั้งแต่รู้ว่าตัวเองโง่อยู่นาน ที่โดนเขาหลอกตลอดเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่เขาลงมือทำแผลจนทำแผลเสร็จเด็กโตหน้าสงบนิ่งยิ่งกว่าอะไรดี ไม่ร้อง ไม่เบ้หน้าเจ็บอะไรทั้งนั้น แต่มันก็เหมือนมีพายุลูกโตสุมอยู่ภายใน


    "ยังไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร"


    ".........ขอบใจ"


    คิมจงอินต่อบทสนทนาด้วยการเปิดประโยคใหม่ เด็กคนนั้นนั่งกุมมือตัวสั่นไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรือยังกลัวหรือว่าอะไรก็ตาม ชานยอลตอบรับด้วยประโยคคลาสสิกเหมือนคนโง่ที่ไม่เข้าสถานการณ์


    "ไม่เป็นไร"


    "ขอบใจที่ทำให้ผมเหมือนคนบ้า!!"


    คิมจงอินลุกพรวดมาประจันหน้ากับคนร่างสูง มือเรียวคว้าคอเสื้อเชิ้ตอีกฝ่ายแล้วออกแรงกระชากเข้ามาจนหน้าเกือบชิดกัน ก่อนเขาจะตะโกนอย่างเหลืออดใส่หน้าชานยอล


    "ขอบใจที่หลอกผมมาตลอด ......ตลกมากใช่ไหมปาร์คชานยอล!!"


    "หลอกอะไร"


    "ยังจะมาทำเป็นไม่รู้เรื่องอีกเหรอวะ! มึงรวมหัวกับไอ้เหี้ยแบคฮยอน จัดฉากทำตัวเป็นพ่อพระ....แล้วก็ตบหัวด้วยการเฉลยว่ากูเป็นแค่คนโง่ในสายตาพวกมึง!!"


    "ทั้งๆที่กูเกือบจะเชื่อใจมึงแล้ว....ทั้งๆที่กูยอมไว้ใจมึงแล้ว"


    จงอินพยายามคุมน้ำเสียงตัวเองไม่ให้สั่น แต่สิ่งที่มันกระทบกระเทือนจิตใจครั้งนี้มันมากเกินไป เขาเคยคิดว่าชานยอลเป็นเพื่อนที่จะคอยอยู่เคียงข้างเขา แต่สุดท้ายก็เป็นจงอินที่ตาบอดไปกับหน้ากากความดีของชานยอล ปาร์คชานยอลที่ยืนอยู่ข้างแบคฮยอนมาตั้งแต่ต้นทาง

    ....บนโลกใบนี้ไม่มีใครรักเขาเลยหรือไง?



    "ก็.......ช่วยไม่ได้นี่หว่า"


    "มึงมันโง่เอง"


    มือหยาบปัดมือที่ขยำคอเสื้อเขาออกอย่างแรง ชานยอลจัดคอเสื้อตัวเองใหม่ก่อนจะส่งสายตากับรอยยิ้มเหยียดหยามมาให้จงอินที่ยืนนิ่งเหมือนโดนน้ำแข็งสาด


    ปั่ก!


    "นี่สำหรับค่าโง่ของกู"


    หมัดหนักกระแทกเข้ากับหน้าเรียวของชานยอลจนหันข้างอย่างแรง เสี้ยวหน้าถึงกับแดงเป็นรอย ร่างสูงเซเล็กน้อยก่อนจะผยุงตัวเอาไว้ ชานยอลหันหน้ากลับมามองจงอินช้าๆด้วยดวงตาวาว มือเรียวยกมือแตะแผลที่เลือดไหลซิบตรงปากก่อนจะสบถเสียงเบา


    "ไอ้ลูกหมา...มึงจะเอาใช่ไหม?"


    ผัวะ!


    หมัดที่สองของจงอินตวัดเข้าที่ซีกหน้าอีกข้าง ทว่าคราวนี้ชานยอลไม่ยืนเฉย ร่างสูงสวนหมัดเข้าที่กลางลำตัวจนอีกฝ่ายล้มไปนอนจุกอยู่ที่พื้น


    "มึงเก่งเหรอฮะจงอิน มึงเก่งนักเหรอไอ้ลูกแหง่เอ๊ย!"


    เท้าหนักระดมเตะเข้าที่กลางท้องซ้ำแผลเก่าจนสาแก่ใจจึงใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนเอวบางเป็นเหมือนกงเล็บที่กันไม่ให้เหยื่อหนี คิมจงอินนอนคุดคู้ ปากอิ่มเผยออกจนน้ำใสๆยืดออกมาเพราะความปวดร้าว เขาเงยหน้าขึ้นไปมองชานยอลอย่างยากลำบาก พอสบตาเข้ากับดวงตาเหยียดนั้นทิฐิทั้งหลายก็พุ่งเข้ามา


    "เหอะ ถ้ามึงแน่จริง....มึงก็ฆ่ากูสิ...."


    "มึงเป็นบ้าไปแล้วรึไง"


    "อยู่ไป....กูก็ไม่ต่างอะไรกับตาย กูมันดวงซวยที่เกิดมาก็ต้องเจอแบคฮยอน....ซวยชิบหายตอนมาเจอมึงอีก แม่ง....ไม่มีใครรักกูซักคน ต่อให้กูพยายามทำตัวดีให้คนอื่นรักกูขนาดไหน สุดท้ายทุกคนแม่งก็ไปรุมเอาใจพี่ชายครึ่งสายเลือดของกู"


    ภาพตรงหน้าจงอินเริ่มพร่ามัว เขาเกลียดเวลาตัวเองรู้สึกกดดันหรือน้อยใจเพราะน้ำตามันพาลจะไหลออกมาทุก ครั้ง เขาทำได้เพียงสร้างภาพลักษณ์เข้มแข็ง ทั้งหมดก็เพื่อปัดบังตัวตนที่อ่อนแอ


    "ทุกคนทิ้งกูไว้ข้างหลัง ไม่มีใครหันมาดูกูเลยซักคน ....ทั้งๆที่กูคิดว่ามึงจะไม่ใช่ แต่สุดท้ายมึงก็เป็น...."


    จงอินไม่อยากยอมรับ....ว่าเขาไม่เคยชนะแบคฮยอนได้เลย



    "ปาร์คชานยอล มึงมันเหี้ย...."


    สิ้นคำคิมจงอินก็บังคับเปลือกตาให้ปิดลงมา เขาไม่อยากจะมองอะไรทั้งนั้น... เหนื่อยเกินไปสำหรับเวลานี้ เกลียดทุกอย่างต้องมอง เกลียดภาพปาร์คชานยอลตรงหน้า เกลียดเวลาถูกมองด้วยสายตาเห็นใจจากคนทรยศ

    แรงกดตรงเอวหายไป และถูกแทนที่ด้วยแรงดึงตรงแขนเพื่อให้ตัวเขาลุกขึ้น จงอินลืมตาเมื่อเขาสัมผัสถึงลมหายใจอุ่นตรงกกหู ใบหน้าของชานยอลอยู่ใกล้จนแทบชิด

    ในห้องที่มีเพียงเสียงลมหายใจ คิมจงอินได้แต่จ้องลึกเข้าไปดวงตาคมฉายภาพของตัวเอง ต้นแขนทั้งสองข้างกูบีบไว้ด้วยมือที่มีแรงดุจปากคีมของชานยอล


    "จงอิน คุณอยากรู้อะไรไหม...."


    ....



    "กูเหี้ยได้มากกว่าที่มึงคิดอีก!!"


    สิ้นคำร่างคนที่ตัวเล็กกว่าก็กระแทกเข้ากับเตียงนุ่มโดยมีเจ้าของห้องปีนขึ้นมาคร่อมอย่างรวดเร็ว ข้อมือทั้งสองข้างถูกรวบไว้เหนือหัว พอจะชันเข่าขึ้นมาป้องกันตัวก็ถูกเข่ากับขายาวๆกันระยะเอาไว้ จงอินดิ้นขลุกขลิกเหมือนปลาที่ขาดอากาศ ถึงจะพยายามสู้ขนาดไหนแต่เพราะรูปการณ์ที่เป็นต่อกับพละกำลังของเขาแห้งเหือดไปหมด


    "ทำเหี้ยอะไรวะ!!!"


    "มึงรู้ไหม ว่าแบคฮยอนมันขอให้กูทำอะไร?"


    "มันก็แค่ต้องการให้กูย่ำยีความรู้สึกของมึง...ไม่ให้เหลือแม้แต่ซาก...."


    เสื้อเชิ้ตที่เคยคลุมร่างเขาตอนนี้ถูกกระชากออกจนเห็นแผ่นอกสีแทนสวย แต่ชานยอลไม่ได้รีบเร่ง หน้าหล่อติดหวานเลื้อยไปเข้าไซร้กับซอกคอเย้ายวนจากกลิ่นเหงื่อ สัมผัสจากปลายจมูกโด่งไล้ไปตามผิวเนื้อเย็นทำเอาจงอินเผลอเม้มปากแน่น ร่างกายบิดเร้าตอบรับความร้อนจากปลายลิ้นที่อีกฝ่ายส่งมาอย่างไม่น่าเชื่อ

    เพราะมัวแต่สนใจของหวานตกหน้าจนเผลอปล่อยมือจากข้อมือทั้งสองของจงอิน เมื่อเป็นอิสระ คนใต้ร่างจึงคว้าของที่ใกล้มือที่สุดเหวี่ยงเข้าฟาดศีรษะตรงซอกคอเต็มแรง ทุกอย่างหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ชานยอลเงยหน้าขึ้นมาพร้อมหยดเลือดที่ไหลเอื่อยลงตามโครงหน้า ร่างสูงผ่อนลมหายใจไม่สบอารมณ์ก่อนจะตวัดมือฟาดหน้าคมเข้าไปหนึ่งที

    ปาร์คชานยอลถอนเสื้อตัวเองออกแล้วใช้มันซับเลือดต่างผ้าพันแผล ก่อนจะตบหน้าจงอินไปอีกหนึ่งทีหวังจะฝึกให้อีกฝ่ายได้เชื่อง ไม่มีใครเคยทุบหัวปาร์คชานยอล... จะไม่มีใครพยศปาร์คชานยอลทั้งนั้น


    "ทำไมถึงทำแบบนี้...."


    "มึงเป็นคนพูดเองว่าอยากให้กูฆ่ามึง... กูก็จะทำลายมึงตามที่ขอ เตรียมใจไว้เถอะคิมจงอิน มึงจะต้องทรมานยิ่งกว่าคำว่าตายทั้งเป็น"


    "อ่อก..."


    มือหนาบีบเข้าที่ลำคอระหง จงอินตาเหลือกเพราะแรงบีบและอากาศหายใจที่เริ่มหมด เขาทุบมือของชานยอลเพื่อหวังให้ปล่อยแต่หมอนั่นก็ยังไม่ยอมปล่อย ความอึดอัดแล่นปราดขึ้นสมอง จงอินบิดตัวด้วยความทรมาน


    "ปล่อยกู..."


    "ปาร์ค....อ่ะ....ชานยอล"


    ".......ขอ......ร้อง....."




    "หึ สุดท้ายมึงก็กลัวตาย คิมจงอิน"


    จงอินไอออกมาเสียงดังด้วยความทรมานจากความแสบร้อนในลำคอ ชานยอลคิดว่าเขาควรจะเลิกเล่นสักที ไม่ใช่เพราะความเห็นใจแต่เขาเริ่มรำคาญกับการเสียเวลาโดยใช่เหตุ ลงมือปลดกางเกงออกไปนอกตัวอีกฝ่ายจนตอนนี้ไม่เหลืออะไรปิดบังร่างกายที่ชวนหัวปั่นตรงหน้า


    ".....แล้วก็เลิกดีดดิ้นเหมือนพวกผู้หญิงน่ารำคาญซะที มึงมันไม่ได้น่าเอาไปมากกว่ากระหรี่ขายตัวซักเท่าไหร่หรอก"


    คำปรามาสสะท้อนก้องในหัวพอๆกับน้ำตาที่ไหลออกมาช้าๆ จากดวงตาตกลงสู่หมอนและมันก็หายไปโดยไม่มีใครสนใจ... สัมผัสหยาบโลนที่ถูกกระทำที่น่าขยะแขยง จงอินรับรู้ทุกอย่างแต่เขาเลือกไม่ทำอะไร ในเมื่อชานยอลเลือกมองเขาแบบนั้น ต่อให้ฆ่าตัวตายไปตอนนี้เขาก็ไม่ได้มีค่าเพิ่มขึ้นมาเลยสักนิด

    ไม่มีค่าเลย....



    ร่างโปร่งถูกกระแทกกระทั้นนอนแน่นิ่งเหมือนก้อนเนยแข็งเน่าๆ เขาไม่มีอารมณ์แม้แต่จะเสียวซ่านหรือเจ็บปวดรึว่ากัดปากตัวเองไม่ให้ส่งเสียงแปลกๆเหมือนพวกนิยายเวลาโดนขืนใจด้วยซ้ำ จงอินเพียงแค่ปล่อยเสียงตัวเองออกไป ให้เหมือนกับร่างกายที่ให้ปาร์คชานยอลชักจูง

    คิมจงอินยอมรับเลยว่ามันไม่ได้เป็นเซ็กซ์ที่ห่วย ออกจะเจ๋งด้วยซ้ำ เพียงแต่มันติดที่เขาเอง...ที่เหนื่อยสำหรับทุกอย่าง




    "จำสัมผัสของฉันไว้คิมจงอิน แล้วนึกถึงมันซ้ำๆ...ให้มันหลอกหลอน....จนนายจะต้องกลับมา"


    ".....ชานยอล อะ...ชานยอล"


    แขนยาวยื่นไปคล้องคอปาร์คชานยอล อีกฝ่ายเองก็ยอมกอดเขาด้วยแขนเดียว ข้างหูมีเสียงกระเส่าที่ครางเรียกชื่อเขาอยู่ กายหยาบบดเบียดกันจนแทบจะหลอมรวม ถึงจะรุนแรงจนอยากจะอ้วก... แต่คิมจงอินก็รู้....เขาไม่ได้เกลียดมัน....

    เขาก็แค่น้อยใจ....





    ถ้าเขาปิดตาลงไป.... ทุกอย่างจะเป็นแค่ความฝัน....

    และปาร์คชานยอลคนนั้น ก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม....


    .....ใช่ไหม?









    ครึ่กๆ...


    อี้ชิงมองแบคฮยอนที่เท้าแขนกับขอบหน้าต่างรถโดยมีศีรษะเล็กของคยองซูวางอยู่บนตักผ่านกระจกหลัง เด็กน้อยหลับไปเพราะความเหนื่อยอ่อน อี้ชิงเห็นผ้าก๊อซเบี้ยวๆบูดๆฝีมือแบคฮยอนที่แปะอยู่ตรงขมับนั่นก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ พอเขาออกปากว่าจะทำให้ใหม่เพราะมันทุเรศและเดี๋ยวมันจะติดเชื้อ โดคยองซูก็วิ่งหนีเขาแถมตอกกลับมาว่าเเบคฮยอนทำให้อุบาวท์แค่ไหนก็ไม่เป็นไร


    เออ แล้วแต่มึงเลยครับ ^^


    คนขับเบนสายตาไปหาคนข้างๆที่ยังคงนอนหลับตาพริ้มตั้งแต่ออกเดินทาง รอบคอโผล่พ้นคอเสื้อมาเต็มไปด้วยร่องรอยสีเข้มที่ไม่ยากจะเดาว่าเกิดจากอะไร และมันก็ไม่ยากที่จะเดาเจ้าของรอยพวกนั้นด้วย ในเมื่อปาร์คชานยอลเป็นคนอุ้มจงอินมาส่งขึ้นรถเองกับมือ อี้ชิงมองผ่านกระจกไปด้านหลังอีกครั้งก็พบว่าแบคฮยอนหันมาสบตาเขาพอดีเลยส่งสายตาตำหนิไป


    "อะไร"


    "นายมันแย่จริงๆแบคฮยอน รู้ทั้งรู้อยู่แท้ๆว่าชานยอลมันรู้สึกยังไงกับน้อง"


    ".....แล้วไงล่ะ ก็เพราะรู้ไงถึงได้ให้ชานยอลมันจัดการ ไม่งั้นก็จับโยนลงข้างทางให้พวกขี้ยาเล่นเเล้ว"


    "ไม่เข้าใจเลย ทำไมต้องเเกล้งน้องมันแรงขนาดนี้ด้วย ยังไม่ลืมเรื่องนั้นอีกรึไง"


    "...........จำได้ฝังใจเลยต่างหากอี้ชิง ฉันยังจำได้ดี วันที่เด็กนั่นมันเเย่งหมอนั่นไปจากฉัน"


    "แบคฮยอน นายเองก็มีคยองซูอยู่แล้ว ถ้าไม่สงสารใครก็สงสารน้องเถอะ ถือว่าฉันขอ...."


    แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมองหลังคารถแล้วใช้นิ้วยาวปาดน้ำอุ่นที่ติดตรงหัวตาออก ก่อนจะดึงผ้ามาคลุมให้คยองซูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่อี้ชิงกลับเห็นทุกๆอย่าง แบคฮยอนอาจจะดูแข็งกร้าวที่ภายนอก จนบางครั้งใครบางคนก็อาจละเลยมุมอ่อนไหวของแบคฮยอนไป

    ใครบางคนที่มองข้ามมันไปตลอด... เพียงเพราะอีกฝ่ายเป็นนางมารร้ายที่ไม่น่าทะนุถนอม



    "จากนี้ไป .....นายก็ลืมความรักที่มีให้ปาร์คชานยอลไปได้ไหม....แบคฮยอน??"
















    แบคฮยอนยังคิดถึงคำพูดของจางอี้ชิงแม้ว่าจะไม่ได้เจอหน้าอีกฝ่ายมาตั้งหลายวันแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาประมาณเที่ยง พนักงานบริษัทหลั่งไหลมาที่คาเฟ่เจ้าประจำของเขาอย่างที่เป็นทุกวัน และแทบทุกวัน พวกเขามักจะเห็นลูกชายคนโตของประธานบริษัทมานั่งแกร่วอยู่ในมุมอับของร้านพร้อมกับลูกแอปเปิ้ลสีแดงในมือ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปทักทายหรอก เพราะแบคฮยอนเป็นคนสันโดษแถมยังปากร้ายแบบไม่น่าให้อภัย... แต่กับเรื่องงานแบคฮยอนถือเป็นมือหนึ่งของบริษัท


    แต่คราวนี้บรรยากาศแปลกไปเมื่อเก้าอี้ตรงข้ามคุณบยอนกลับมีผู้ชายตัวเล็กนั่งทานของหวานอยู่ด้วย เสื้อผ้าสีดำที่ดูมืดมนเป็นเอกลักษณ์ของคยองซูที่แบคฮยอนชอบ เขารู้สึกสงบเวลาอยู่กับจางอี้ชิงแล้วก็คยองซูเท่านั้น น้องเป็นคนเงียบไม่ยุ่งย่ามเรื่องส่วนตัวให้น่ารำคาญเหมือนคนอื่น


    "ขอบคุณที่ใช้บริการนะคะ ....ยินดีต้อนรับค่ะ"


    "อ้าว คุณจงอิน~~"


    เสียงสดใสของผู้หญิงคนหนึ่งเรียกชื่อคนบางคนที่ให้แบคฮยอนหันไปมองเธอ ร่างสูงของคิมจงอินเผยรอยยิ้มอ่อนเพลียให้เธอก่อนจะขอตัวเข้าไปสั่งเครื่องดื่ม รอยยิ้มเมื่อครู่หายไปเหลือแแววตาเหม่อลอย หน้าคมซูบลงพอๆกับร่างกายผอมที่คล้ายจะแตกหักได้ตลอดเวลาทำให้แบคฮยอนเหยียดยิ้ม

    ตั้งแต่กลับมาวันนี้คิมจงอินก็เหมือนอย่างที่แบคฮยอนอยากให้เป็น ตอนแรกน้องชายที่รักของเขาไม่ยอมกินข้าวเอาแต่นอนโง่ๆอยู่ในห้อง เรียกคะแนนสำออยจนพ่อต้องเข้าไปหามัน มีสภาพเหมือนคนใกล้ตามได้สองอาทิตย์กว่าจงอินก็กลับมาบริษัทให้แบคฮยอนเหม็นขี้หน้า แต่ก็รู้สึกสมน้ำหน้าไปด้วยเพราะวันๆนึงมันเอาแต่ทำงานพลาดแล้วก็นั่งเหม่อเหมือนไม่ใช่ตัวเอง ไม่มีรอยยิ้มสดใสหรือคำพูดหวานให้คนร่วมงาน เป็นเพียงซากเน่าที่เอานั่งซึมกระทือหน้าคอมพิวเตอร์ นี่แหละที่เขาต้องการ....คิมจงอินที่เป็นรองบยอนแบคฮยอน


    เขาคงคิดถูกแล้วแหละที่ให้ชานยอลจัดการให้... เพราะถ้าเป็นชานยอลล่ะก็ไม่ว่าใครก็ต้องหลงรักจนโงหัวไม่ขึ้น



    "พี่แบคฮยอน...."


    "ครับ?"


    หันกลับมาเป็นคยองซูที่จ้องมาทางเขาด้วยตากลมโตเหมือนในการ์ตูน ตัวเล็กของเขากำลังทำคิ้วขมวดอยู่เหมือนว่าจะไม่สบายใจ แบคฮยอนจึงส่งยิ้มหวานแบบที่ไม่เคยทำให้ใครมาก่อน มือเย็นเอื้อมมาวางบนหน้าข้างเขาแล้วใช้นิ้วโป้งเกลี่ยตรงขอบตาล่าง


    "ผมไม่ชอบที่พี่ทำหน้าแบบนั้นเลย"


    ...



    "อย่าทำหน้า....เหมือนคนจะร้องไห้อีกเลยนะครับ"



    ...

    แบคฮยอนนิ่งอึ้งไป ก่อนจะลุกพรวดขึ้นแล้วเดินออกโดยไม่สนใจคยองซู เด็กหนุ่มได้แต่มองตามหลังไปด้วยแววตาเศร้าๆก่อนจะนั่งลงที่เดิมอย่างเงียบๆ คยองซูรู้ทุกอย่างของแบคฮยอน เขารู้ดีแบคฮยอนไม่ชอบเวลาที่ใครมาพูดหรือปลอบเหมือนว่าเขาอ่อนแอ รู้ดีว่าแบคฮยอนเป็นคนแบบไหน รู้ดีว่าอีกฝ่ายมองเขายังไง แล้วก็รู้ดีว่า....ต่อให้คยองซูทุ่มเททั้งหัวใจให้แค่ไหน


    ....ก็ไม่เคยมีใครแทนที่ปาร์คชานยอลได้เลย













    จงอินเหลือบตามองแก้วกาแฟเย็นที่ซื้อมาตั้งแต่กลางวันจนหยดน้ำข้างแก้วไหลท่วมโต๊ะเขา ก่อนจะมองไปยังนาฬิกาติดผนังที่เข็มสั้นชี้เลขห้าแล้ว...ในออฟฟิสเหลือเพียงเขาคนเดียวที่ยังนั่งอยู่ กองหน้าตรงหน้าคือโปรเจ็คใหญ่ที่ต้องห้ามพลาด แต่ตอนนี้จงอินไม่พร้อมทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง


    ดวงตาคมมองเข้าไปในจอสว่างๆสีขาวที่เปิดโปรแกรมเวิร์ดเปล่าๆไว้ตลอดเกือบชั่วโมงแล้วก็ขำเสียงเบา มันว่างเปล่าพอๆกับตัวเขาเลย อต่เหมือนจงอินจะมีอะไรมากกว่ามันตรงที่ความทรงจำ


    ".......เฮ้อ"


    ผ่อนลมหายใจแผ่วออกมา เปลือกตาสีแทนปิดลงต่ำ มือข้างขวายกขึ้นมากำไว้หลวมๆที่ลำคอ ภาพใบหน้าของใครบางคนจะโผล่ขึ้นมาหลอกหลอนเขา เสียงลมหายใจรุนแรงที่จงอินลืมไม่ลง สัมผัสเร่าร้อนที่ลากผ่านร่างกายของเขา ปากที่ถูกบดขยี้จนได้รสคาวเลือด ดวงตาคมที่สะท้อนเพียงภาพตัวเองกำลังโดนย่ำยี

    เกลียดเหลือเกิน....


    'จำสัมผัสของฉันไว้คิมจงอิน...'


    ".........ชานยอล อือ...."


    เพียงใช้มือลากผ่านสาบเสื้อจากลำคอลงไปถึงหน้าท้องเขาก็หดเกร็งไปทั่วตัว สงสัยเหลือเกินว่าตัวเองจะเข้าคำว่าโรคจิตเข้าไปทุกวัน.... จงอินได้แต่กนด่าตัวเองในใจเมื่อได้ยินเสียงทุ้มเสน่ห์ของชานยอลยังก้องอยู่ที่หู กายหยาบด้านล่างปวดร้าวเหมือนกระเบื้องโดนไฟ



    ปึง!!


    "คิมจงอิน!!"


    ประตูหน้าห้องถูกกระชากออกอย่างแรงด้วยฝีมือแบคฮยอนที่ทำท่าเหมือนคนโกรธจัด จงอินสะดุ้งเฮือกก่อนจะกดส่วนดื้อดึงด้านล่างลงไปไม่ให้ใครเห็น พี่ชายครึ่งสายเลือดเดินกระแทกเท้าเข้ามากระชากคอเสื้อบังคับให้ยืนขึ้น


    "อะไรวะ!!"


    "กูเกลียดมึง ได้ยินไหมกูเกลียดมึง!! ไอ้เด็กเวร มึงแม่งมีดีตรงไหนวะ! ทำไมมันถึงต้องไปชอบมึงด้วย! มันเป็นของกูต่างหาก ได้ยินไหม ปาร์คชานยอลเป็นของกู!!"


    แบคฮยอนไม่พูดพร่ำให้เสียเวลา มือเรียวกำคอเสื้อน้องชายแน่นจนสั่นและกระชากเข้าออกหัวสั่นหัวโคลง จงอินช็อคอยู่สักพักก็ตั้งสติใหม่ เขาผลักบ่าแบคฮยอนออกแต่อีกฝ่ายไม่ขยับ


    "มึงพูดเรื่องอะไร..."


    "มึงยังจะมาทำโง่อีกรึไง กูชอบชานยอลมึงได้ยินไหม กูชอบมันมาตั้งแต่นานแล้วด้วยแต่มันเสือกโง่ไปรักมึง ....เพราะมึงจงอิน มึงมันเกิดมาเพื่อแย่งมันไปจากกู!!"


    "ไม่จริง .....มึงโกหกแบคฮยอน!! มันทำร้ายกู!! มันไม่ได้รักกู"


    "หึ ....เพราะกูบังคับมันเองแหละ กูบังคับให้ไอ้ชานยอลข่มขืนมึงเอง ถ้ามันไม่ทำกูจะส่งให้พวกเศษเดนสกรัมมึง แล้วพามึงไปขายให้ไกลหูไกลตากู มึงอย่าคิดว่าได้พ่อคุ้มกะลาหัวแล้วกูไม่กล้าทำนะ กูทำแน่! ขอแค่เขี่ยมึงออกไป..."


    "ทั้งหมดที่กูต้องการก็แค่ให้มึงเกลียดมัน พวกมึงทั้งคู่จะได้รู้สึกถึงรสชาติความทุกข์ของกูว่ากูเจ็บแค่ไหนที่เป็นได้แค่ตัวอิจฉาในชีวิตพวกมึง แต่เพราะมึงจงอิน มึงมันร่าน! ....เหอะ!"


    จงอินถูกตบด้วยคำพูดของแบคฮยอนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนตัวชาดิก ความจริงถาโถมใส่แบบไม่ตั้งตัวจนคิดว่าถ้านี่เป็นละครเขาคงมีโอกาสล้มทั้งยืนไปแล้ว เพราะเอาแต่พึมพำกับตัวเองว่าไม่จริง แบคฮยอนก็ดูหงุดหงิดหนักกว่าเดิม คนเตี้ยกว่ากัดฟันดังกรอดก่อนจะกระชากคอเสื้อเขาอีกครั้ง


    "ไปกับกู!!!"












    "อืออออ วันนี้ก็พอได้แล้วมั้ง"


    เวลายามเย็นกับแสงอาทิตย์ของวันลับลากันไปอีกครั้ง มินซอกผละออกจากโต๊ะทำงาน และเริ่มบิดขี้เกียจและทุบไหล่ตัวเองให้เส้นคลายเพราะเหนื่อยจากการนั่งงอหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานทั้งๆที่อายุก็ไม่ได้น้อยเหมือนแต่ก่อน มือเรียวคว้าปึกกระดาษแล้วออกจากห้องไป ตาเรียวมองปึกเอกสารในมือแล้วอดคิดถึงน้องชายตัวสูงไม่ได้

    หลายวันมานี่ปาร์คชานยอลโดดงานอยู่แต่บ้านตลอดจนหลายคนเป็นห่วง แต่เชื่อเถอะมันสบายดี แค่ทำตัวน่าสงสารเรียกแต้มไปงั้นเเหละ

    ก็รู้ๆกันอยู่ล่ะนะ *แสยะยิ้ม*


    มินซอกเปิดประตูออกมาจากห้องทำงาน เขาเหลือบมองน้องชายคนกลางที่นอนยาวเหยียดสลบเหมือดเหมือนคนตายบนโซฟา ขณะเดียวกันน้องชายคนเล็กก็กำลังนั่งทานบะหมี่สำเร็จรูปกระป๋องไปพลางดูโทรทัศน์ช่องสำหรับเด็ก พวกตัวการ์ตูนบ้องแบ้ว


    จงแดเมื่อเห็นพี่ชายตัวเล็กเดินออกมาก็กวักมือเรียกให้มานั่งด้วยกัน เมื่อลองดูดีๆ บนโต๊ะมีขนมและพวกของกินกองอยู่เต็มไปหมด


    "ใครซื้อมาให้เยอะขนาดนี้ล่ะ"


    "บางส่วนของพี่จุนมยอน บางส่วนของลูกชายสารวัตรเด็กพี่นั่นเเหละ จริงๆเขาเอามาฝากพี่ แต่มันน่ากินดี พี่ไม่ว่าผมใช่ป่ะ?"


    "อือ กินไปเหอะ ของพี่ก็เหมือนของน้องแหละ"


    "เหยด พี่แม่งโคตรพระเจ้าอ่ะ ไม่ได้กัดฟันพูดใช่มะ"


    "เออ แดกไปเหอะ ว่าแต่จุนมันเป็นอะไร สภาพยังกะศพ"


    "ไม่รู้ดิ ผมกลับมาก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว เห็นว่าเข้าไปในเมืองแล้วโดนไอ้ชานยอลวานให้ช่วยอะไรสักอย่างเกี่ยวกับหลานมันอ่ะแหละ สงสัยจะโดนฤทธิ์หลาน ฮ่าๆๆๆๆ"


    คิมจงแดนึกขำ ไอ้เด็กแสบเซฮุนคนแถวนี้รู้จักมันดีหมดแหละ โหดสัดตั้งแต่เด็กยันโต กวนตีนได้ตั้งแต่ต้นหญ้ายันยอดองุ่น คนเอามันอยู่คงมีแค่แม่กับน้ามัน ...แล้วก็พี่มินซอกอีกคน ไม่ใช่อะไร หลานมันเคยลองของแล้วมันก็ไม่กล้าแหยมอีกเลยไง


    "ว่าแต่พี่เอากระดาษอะไรออกมาด้วยล่ะน่ะ"


    "ไอ้เนี่ยเหรอ"


    มินซอกชูปึกกระดาษที่เขาวางไว้บนตักขณะทานอาหาร จงแดพยักหน้าก่อนจะขอหยิบไปดู คิมน้องเล็กขมวดคิ้วเมื่อตรงหน้าเขาเต็มไปด้วยตัวอักษรพรืด เห็นนิ่งๆอินดี้ๆแบบนี้แต่ที่จริงพี่มินซอกเคยทำงานเป็นศาสตราจารย์ให้คณะวิทยาศาสตร์นะครับ แต่อยู่ไปสามสี่ปีก็กลับมาทำงานต๊อกแต๊กอยู่ที่บ้าน(บ้านไอ้ชานยอลด้วยนะ ไม่ใช่บ้านตัวเอง)ด้วยเหตุผลว่าเด็กที่โน่นแม่งน่ารำคาญ ชิบหายเถอะ ทำงานได้เงินดีๆเสือกไม่เอา หวังจะมาเกาะน้องกิน ชีวิต....ดี๊ดีย์

    จงแดขมวดคิ้วกับหัวข้อรายงานแปลกๆ เขาเปิดไปๆมาๆก็เจอแต่ตัวฮันกึนจนตาลายไปหมด


    "การทดลอง ....สารกระตุ้น....การเสพติด อะไรเนี่ย นี่พี่จะขายยารึไง เดี๋ยวลูกชายสารวัตรก็มาจับเอาหรอก"


    "ก็ลองมาจับดูสิ จะเอาเข้าเครื่องกลั่นให้ระเหยตายไปเลย"


    "โหดร้ายจริงๆน้า ผมล่ะสงสารพี่จุนมยอนว่ะ ตามจีบลูกชายสารวัตรมาหลาย สุดท้ายเสือกกลายเป็นผัวพี่แทน โอ๊ย!"


    "ลามปามล่ะคิมจงแด ให้จางอี้ชิงมาจับเข้าคอร์สบ่มสันดานซะหน่อยดีไหมฮะ"


    "โหย ไม่เอาอ่ะพี่ พี่อี้ชิงแม่งน่ากลัวจะตาย"


    จงแดเบ้ปากเป็นรูปจานบิน มินซอกขำๆกับปฏิกิริยาตอบรับของน้องชาย


    "พูดดีไปเหอะ วันนี้เห็นเค้ามาหายังระริกระรี้อยู่เลย"


    สายตาพิฆาตส่งตรงจากน้องชายสดๆแต่พี่คนโตก็หาได้แคร์ไม่ นั่งหน้ามึนกินขนมต่อไป จงแดบ่นบ้าๆบออะไรของมันนิดหน่อยจากนั้นก็ก้มอ่านกองกระดาษนั้นต่อไป


    "ผู้รับการทดลอง คิมจงอิน??..... นี่มันคนที่มากับชานยอลนี่ พี่ไปทำอะไรกับเค้าตอนไหน"


    ไม่มีเสียงตอบรับจากคิมมินซอกที่เอาแต่ลอยหน้าลอยตาเคี้ยวขนมอยู่ ไอ้เขาล่ะกลัวจริงๆว่าจะไปทำเรื่องแปลกๆอะไรเข้า อิตาคนนี้ความคิดความอ่านยิ่งไม่ค่อยเหมือนชาวบ้าน ความไม่แคร์โลกของพี่มินซอกมีร้อยให้ล้านเลยอ่ะ


    "พี่ไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดีไว้แน่นะ"


    "เปล่านะ เรื่องทั้งหมดชานยอลมันเป็นคนขอร้องเองนี่นา พี่ก็แค่...ใช้มันแล้วสังเกตการณ์"


    ไม่พูดเปล่ายังฉีกยิ้มพิลึกแถมมาให้น้องชายเสียงหลังเล่นๆ ก่อนที่มินซอกจะขอตัวออกไปรับโทรศัพท์ใครซักคน จงแดถอนหายใจก่อนจะจ้องกระดาษในมืออีกครั้งแล้วทบทวนชื่อคิมจงอินไปมาในใจ


    คิมจงอิน.... คิมจงอิน.....


    ชื่อเหมือนน้องสุดฮอตคนที่ปาร์คชานยอลแอบคลั่งมาตลอดตั้งแต่มหาลัยเลยนี่นะ....ใช่ไหม?












    ปาร์คชานยอลกับกีต้าร์ในมือกำลังนั่งเหม่ออยู่ท่ามกลางธรรมชาติ นิ้วยาวกำลังบรรเลงดนตรีที่ไม่มีความหมายเหมือนว่าดีดส่งๆไปงั้น นัยน์ตาคมมองไปข้างหน้าที่มีเถาวัลย์ไร่องุ่นห้อยระโยงระยาง ตรงนี้เป็นฮอตสปอตของเขาเพราะมันเป็นแค่ผืนหญ้าโง่ๆใกล้สวนองุ่น เขาเบื่อที่จะอยู่ในบ้านคนเดียวเลยออกมาเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ชานยอลรู้สึกไร้สติขนาดที่ว่าทอดแพนเค้กยังไหม้เลยหวังจะให้ดนตรีมาช่วยรักษาแผลในใจ


    "นัล อันแนแฮจวอ (นำทางผมไปที)...."


    สายกีต้าร์สั่นไหวพอๆกับหัวใจของเขา ขนาดว่าได้โคฟเวอร์เพลงของศิลปินคนโปรดมันก็ยังไม่ช่วยให้หัวใจเขารู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด แถมเพลงนี้ยังทำให้เขาเจ็บแปล๊บบบบบเข้าไปอีก

    โอปป้าช่วยปาร์คชานยอลที ปาร์คชานยอลเฮิร์ตจัง....


    "บูดี แน ชีอาเอซอ บอซซอนาจี มัลราจวอ อาชิมมี วาโด ซาราจีจี มัลราจวอ oh (โปรดอย่าหายไปจากสายตาผมเลย อย่าหายไปถึงแม้ว่ารุ่งอรุณจะมาถึง)"


    "กุมมึล กูนึน กอลรึม คือแตน นามันเยอารึมดาอุน นา บี (แต่ละก้าวที่ผมฝันถึง มีคุณเป็นผีเสื้อแสนสวยเพียงคนเดียว)"


    โน๊ตตัวสุดท้ายจบลงก่อนที่ชานยอลจะรู้สึกถึงความเปียกชื้นไหลลงตามแก้ม เขาแตะๆลงที่ตาด้านล่างก็พบว่าตัวเองเผลอน้ำตาไหลออกมา ชานยอลเช็ดมันออกก่อนจะเอนตัวลงไปนอนบนผืนหญ้า แขนยาวยื่นขึ้นไปเหมือนจะเเตะท้องฟ้าที่เขาไม่สามารถจับต้องมันได้ เหมือนกับเด็กคนนั้น...


    "....คิมจงอิน ผมคิดถึง"


    เปลือกตามุกปิดลงเมื่อสายลมเอื่อยพัดลู่เข้ามา ลมหายใจไหลเข้าออกเป็นจังหวะเหมือนว่าชานยอลกำลังผ่อนคลาย เขาอยากจะจมอยู่กับความมืดแบบนี้หากว่าลืมตามาแล้วจะต้องพบแต่ความว่างเปล่า ไม่อยากกลับเข้าไปในบ้านที่เห็นแต่ภาพจงอินแจ่มชัดอยู่ทุกที่ สุดท้ายเขาคว้าได้เพียงความว่างเปล่า

    หลังจากจบมหาลัยไปชานยอลก็ไม่ได้เจอจงอินที่เขาแอบรักข้างเดียวอีก เขาไม่พยายามขวนขวายจะเสนอหน้าให้จงอินหรอก เพราะเขาเป็นเพื่อนแบคฮยอนที่จงอินเกลียด ปาร์คชานยอลจึงไม่กล้าเสนอหน้าไปหาเพราะกลัวจะโดนจงอินเกลียดเข้าอีก แต่จะให้ตัดเพื่อนกับแบคฮยอนมันก็ไม่ได้ เขาไม่ใช่พวกที่จะทิ้งเพื่อนเพราะความรัก อีกอย่างชานยอลรู้อยู่แก่ใจ...ว่าใครบางคนคิดกับเขามากกว่าเพื่อน

    เหมือนเป็นคนกลางระหว่างความเกลียดของทั้งคู่ จงอินก็คนที่เขาชอบ แบคฮยอนก็เป็นคนที่ชอบเขา...ปาร์คชานยอลจึงทำได้เพียงยืนนิ่งๆเหมือนคนโง่

    จนวันนี้มาถึง....คนสำคัญทั้งสองคนของเขาก็จากไปแล้ว มีแต่เพียงเขาก็ยังคงเป็นคนโง่อยู่ที่เดิม



    ร่างสูงพลิกตัวไปกอดกีต้าร์ตัวรักไว้แล้วหลับตาลง ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามาแต่ไม่สนใจ คงจะเป็นพี่มินซอกที่ชอบมายืนมองเขาเงียบๆแล้วก็ด่าซะอย่างนั้น โดยเฉพาะตอนจงอินจากไปเหมือนพี่มินซอกจะด่าเก่งขึ้นด้วยซ้ำ อย่างเช่น 'ไอ้ขยะ ไอ้ตัวไร้ประโยชน์ แกนี่มันชั้นต่ำยิ่งกว่าราบนจุกไม้คอร์กบนขวดไวน์ ไอ้ไร้สมรรถภาพ'

    ก็คือเข้าใจนะว่ามันเป็นวิธีปลอบใจสไตล์คิมมินซอก แต่คือชานยอลไม่ได้ดีใจเลยซักนิดที่โดนด่า ขุ่นพระ ผมไม่ใช่Mนะครับ


    ".....พี่มินซอกถ้าจะด่าผม วันนี้ผมไม่อยากฟังหรอกนะ....น้ำตาผมไหลด้วยดูดิ...."


    "เป็นอะไรของแกอีกล่ะ ยังไม่หายซึมเศร้าอีกรึไง ทำตัวยังกับหมาหงอย แกนี่มันเศษขยะเปลืองคาร์บอนไดออกไซด์จริงๆ"


    รองเท้าแตะโคตรทนที่เห็นใส่มาเกือบห้าปีเขี่ยๆเข้าที่ศพของชานยอลที่ไม่กระดุกกระดิกเลย ด้วยความหมั่นไส้ มินซอกเลยเตะหวดเข้ากลางหลังเต็มที่จนอีกฝ่ายดิ้นเป็นปลาขาดน้ำ มือเรียวฉุดกระชากเสื้อให้อีกฝ่ายหันมาแต่ชานยอลขืนตัวไว้เหมือนเด็กๆ มินซอกเลยต่อยเข้าจนคนโดนเกือบกรี๊ด สำเหนียกตัวเองว่าหมัดหนักยังกับรุ่นเฮฟวี่เวท


    "โอ๊ย!! ยัยคนเลว ทำร้ายร่างกายผมทำไมเนี่ย อย่านึกว่าหน้าตาดีแล้วจะทำอะไรก็ได้ดิวะ!"


    "ก็มึงมันน่ารำคาญ เลิกดีดดิ้นแล้วหันมาไอ้ปลวกยักษ์"


    "แล้วไหนจะด่าผมอีก ทำม้ายยยยยย ก็บอกว่าวันนี้ไม่อยากฟ....ฟัง"


    คำพูดถูกกลืนลงคอไปพร้อมสติเมื่อหันหน้ามาเจอคนที่เฝ้าคิดถึงตลอดหลายวันมานี้ ชานยอลลุกพรวดขึ้นมา สีหน้าช็อคเหมือนเห็นอากงอาม่ามาเดินสวนสนาม เหมือนกับจงอินที่ได้แต่ยืนเก้ๆกังๆค้ำหัวปาร์คชานยอลเพราะพูดอะไรไม่ออก ไม่ มันมีหลายคำพูดที่อยากจะถาม แต่พอได้เห็นหน้ากันอีกครั้งเหมือนจงอินจะติดสถานะใบ้อีกแลว

    ทั้งคู่เหมือนกับเด็กห้าขวบที่ไม่ยอมขอโทษกันซักที มันน่ารักจนมินซอกเกือบจะกลั้นขำไม่อยู่ พี่ใหญ่ตระกูลทิ้งสองคนเอาไว้ ณ ที่แห่งนั้นแล้วเฟดตัวออกมาเงียบๆตรงไปที่บุคคลที่สามที่ยืนหลบฉากอยู่นาน แบคฮยอนเม้มปากแน่นให้ภาพบาดตาที่กรีดหัวใจเขาจนเหวอะไม่เหลือชิ้นดี


    "แบคฮยอน..."


    "ไม่ต้องพูดหรอกพี่ นี่แหละดีแล้ว...ชานยอลมันโง่เองที่รักจงอิน คนอย่างมันไม่คู่ควรกับผมหรอก"

    "ผมน่ะ เพราะหยิ่ง เพราะถือดี ก็เลยไม่เคยมีใครเข้ามาทำดีด้วยเลยซักคนแต่จริงๆผมก็เหงา.... แล้วมันก็เข้ามาหาผม ทำให้ผมเปิดใจ ทำให้ผมชอบ เข้ามาเป็นความหมายในชีวิตผม แล้วสุดท้ายก็สะบัดผมทิ้ง"


    ".....เพราะว่าผมนิสัยเสียใช่ไหมพี่ เจ้าชายของผมถึงทิ้งผมไป ผมเจ็บ...พี่มินซอก ผมเจ็บมากเลย"



    นิ้วยาวของแบคฮยอนกำเสื้อบริเวณอกข้างซ้ายแน่น ถึงเสียงจะสั่นหรือปวดร้าวแค่ไหนแต่ราชินีไม่เคยมีน้ำตา เขายังคงเป็นราชินีผู้โดดเดี่ยวบนบัลลังก์สูงไม่มีใครเทียมทัดได้

    เพราะว่าสูงมากกว่าใคร ....ถึงต้องหนาวขนาดนี้


    "ถ้าอย่างนั้น ทำไมนายถึงไม่ลองเดินลงมาจากบัลลังก์บ้างล่ะแบคฮยอน"


    "พี่หมายถึง?"


    มินซอกไม่ตอบแต่ยื่นโทรศัพท์มือถือที่มีสายเรียกเข้าส่งมาให้ แบคฮยอนตอนนี้เหมือนไม่อยากรับโทรศัพท์ใครทั้งนั้นแต่ก็จำใจรับเพราะเจ้าของมือถือที่กดดันกับชื่อสายเรียกเข้าขึ้นชื่อจางอี้ชิงเพื่อนคนสนิทคนเดียวของตัวเอง


    "ฮัลโหล"


    ( .........พี่แบคฮยอน )


    "คยองซู? ทำไมใช้เบอร์อี้ชิงโทรมา"


    ( ผมโทรหาพี่แต่พี่ไม่รับ ผมเป็นห่วงพี่ )


    "พี่ไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย ไม่ต้องห่วงหรอก วันนี้พี่อาจจะไม่ได้กลับคอนโดนะ หลับไปเลยไม่ต้องรอพี่"


    ( ..... )


    "คยองซู ได้ยินพี่ไหม"


    ( พี่แบคฮยอน ผมอาจจะดูเหมือนคนเห็นแก่ตัว รู้ว่าพี่รักพี่ชานยอลมาก แต่ว่าผมก็รักพี่...ไม่แพ้กับที่พี่รักเขา พี่ไม่จำเป็นต้องรักผมตอบก็ได้ แต่ขออย่างเดียว พี่อย่าเศร้า....เพราะเขาอีกเลยนะครับ )


    "........"


    ( ถ้าผู้ชายคนนั้นเขาทำร้ายพี่มากไป ก็กลับมาหาผมเถอะ ผมจะอยู่ข้างๆพี่ไม่ว่าจะฐานะอะไร....แล้วก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น )


    หัวใจแบคฮยอนเหมือนถูกกำแล้วบีบซ้ำๆ ถึงแม้จะได้ยินเพียงเสียงคยองซูแต่เขาก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกทุกอย่าง ทั้งๆที่เขามีอัญมนีข้างตัวอยู่แต่เขากลับให้ความสนใจแต่มงกุฏที่ผุพัง ทั้งๆที่มีคนๆนึงทำทุกอย่างเพื่อเขามาตลอด นานแค่ไหนที่แบคฮยอนโง่ขนาดนี้

    เขาเหยียบย่ำคำว่ารักของคยองซูมาตลอดเวลา ไม่ได้ต่างอะไรกับปาร์คชานยอลเลย....



    "โง่เหลือเกินคยองซู ทำไมต้องมาจมอยู่กับคนอย่างพี่..."


    ( เหตุผลทั้งหมด พี่รู้อยู่แก่ใจแล้วครับ.... )


    ไม่ใช่คำตัดพ้อรึต่อว่า เขาทั้งคู่รู้อยู่แก่ใจว่าความรู้สึกในฐานะคนข้างหลังเป็นเช่นไร ความรักไม่สมหวังที่ต้องกล้ำกลืนมันลงไปแล้วเอาหินถ่วงไว้ลึกๆเพราะคนที่ได้รับมันไม่เห็นคุณค่า ถึงแม้จะหนักหรือหน่วงแค่ไหน ก็ทำได้แค่ยิ้มแล้วมองต่อไป


    ( วันนี้ผมได้แอปเปิ้ลลูกสวยๆมาถุงใหญ่ก็เลยทำพายแอปเปิ้ลที่พี่ชอบเอาไว้ด้วย ช่วยกลับมากินมันได้ไหมครับ )


    ปลายสายเปิดบทสนทนาใหม่ เป็นประโยคคำถามพื้นๆที่ทำให้แบคฮยอนหลุดยิ้มได้


    "เข้าใจแล้ว....แล้วพี่จะรีบกลับไปครับ"


    ( ครับ แล้วเจอกันครับพี่แบคฮยอน ขับรถดีดีนะครับ )


    "..........คยองซู"


    ( ครับ? )


    "จนกว่าจะถึงวันที่พี่ลืมเขาจนหมดหัวใจ.....ช่วยรอพี่ก่อนนะครับ"


    ตอนนี้แบคฮยอนรู้แล้วว่า เขาควรเก็บหัวใจตัวเองไว้จนกว่าใครซักคนจะมาเห็นค่า .....และใครซักคนที่ว่าแบคฮยอนก็พบแล้ว ถึงไม่โดดเด่นเหมือนดาวดวงใด แต่ก็อยู่เคียงข้างเขามาตลอด

    ค่อยๆเติบโตขึ้นอย่างงดงาม...และรอคอยว่าซักวันนึงเขาจะหันมา


    ( ....ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ผมรอพี่ได้เสมอแหละครับ )












    "......"


    ไม่นึกเลยว่าชั่วชีวิตนี้จะต้องมารู้สึกอึดอัดขนาดนี้.... ปาร์คชานยอลได้คิดในใจ เขาเมินหน้าหนีอีกฝ่ายทั้งๆที่อยากจะมอง เเหงอยู่แล้วสิวะ ทำตัวระยำขนาดนั้นจะไปให้มองหน้าติด ...ก็หน้าด้านไปมั้ง

    เหมือนกับคิมจงอิน เขาคุกเข่าลงข้างอีกฝ่ายแล้วก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ในใจยังเต้นตึกตักอยู่ไม่รู้ว่าเพราะขามาแบคฮยอนเล่นเหยียบคันเร่งแบบไม่ลืมหูลืมตารึเพราะเขากำลังอึดอัด เออนี่คือจะฟ้อง คือพ่อคนงามของทุกคนอ่ะครับมันเหยียบซะเข็มไมล์แทบจะตีกลับไม่รู้ไปโมโหอะไรมา จะด่ามันก็ไม่ได้เดี๋ยวแม่งหักข้างเอาผมเข้ากำแพง... พอมาถึงที่นี่นางก็ไล่ผมลงวะ หน้าเครียดเลยด้วย พอผมทำหน้างงก็ตะคอกใส่อีก คิมจงอินเลยต้องระเห็จลงมาอย่างที่เห็น ลงมาแล้วไง เจอไกด์พาทัวร์เลยจ้าาา ลูกชายคนโตบ้านโน่นเขาลากผมดิ่งมานี่อย่างเร็วเลย โว้วววว ยังกะเตี๊ยมกันมา


    "....กลับมาที่นี่ทำไม เสียตัวครั้งเดียวไม่พอใช่ไหม?"


    จงอินสะดุ้งนิดๆ เนื่องจากกำลังอยู่ในห้วงความคิดตัวเอง พอหันไปมองอีกฝ่ายหยิ่งจ้าาา นางไม่หันมาแม้แต่หางตาแถมวาจาหมาไม่แดกแบบนั้น ขอโทษนะครับ แบคฮยอนมันคงเข้าใจผิดว่ามันชอบผมอยู่แน่ๆ


    "ถ้าไม่มีอะไรจะพูดก็กลับไปไป นั่งโง่อยู่ได้รำคาญลูกตา"


    ....


    ...


    "ไม่ไปกูไปเอง"


    พอชานยอลจะลุกขึ้นข้อมือใหญ่กลับถูกรัดไว้อย่างแรงจนเขานิ่วหน้า คิมจงอินกระชากให้นั่งกลับลงมาชานยอลก็ทำตามแต่ข้อมือเขายังไม่ถูกปลดปล่อยอยู่ดี ทั้งคู่นั่งประจันหน้ากันแต่ก็ยังไม่มีใครพูดอะไร นิ่ง........... กูให้เวลาอีกหนึ่งนาทีนะ ไม่งั้นขากูจะเป็นตะคริวละ


    แปะ


    "เฮ้ย ทำอะไร!!"


    เพราะมือเขาถูกบังคับให้วางบนหน้าอกด้านซ้ายของอีกฝ่าย ร่างสูงชักมือกลับเหมือนคนโดนน้ำร้อนลวกแต่ติดว่าน้ำร้อนนี้ไม่ยอมปล่อยเขากลับ จงอินยื้อแรงจนชนะแล้วบังคับให้มันวางแช่อยู่ตรงนั้น ชานยอลถึงกับกลืนน้ำลายให้ดวงหน้าคมที่พวงแก้มขึ้นสีก่ำและเสียงกระตุกบริเวณมือ

    จังหวะหัวใจจงอิน...เต้นเร็วยังกับเพลง dupstep


    "จริงด้วย.......หัวใจมันเต้นเร็ว....ตอนถูกนายสัมผัส"


    ปาร์คชานยอลแทบสิ้นสติเมื่อคนตรงหน้าเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยดวงตาฉ่ำ ริมฝีปากเผยอคลายความรุ่มร้อนในกาย มือของชานยอลถูกบังคับให้ลากผ่านผิวกายสีแทนเนียนนุ่ม ....จงอินแม่งโคตรโรคจิต แต่มันก็เซ็กซี่พอที่จะทำให้ชานยอลกลายเป็นโรคจิตตาม

    ร่างสูงโถมตัวเข้าไปดันให้อีกฝ่ายนอนลง วงแขนทั้งสองตั้งเป็นอาณาเขต ชานยอลไม่รอเวลาเขารีบพุ่งเข้าไปเพิ่มความร้อนรุ่มให้กับปากอิ่มนั่น ลิ้นร้อนรุกล้ำไปตามความต้องการที่พู่งสูง ลึกจนจงอินต้องเอื้อมมือไปจิกแผ่นหลังกว้างเป็นการคลายความทรมานกว่าชานยอลจะถอนจูบออก ปากบางเลื่อนไปที่ลำคอระหงแล้วดูดเม้มจนจงอินเจ็บ


    ทว่าจู่ๆร่างสูงก็ลุกออกไปโดยไม่บอกไม่กล่าว แถมยังนั่งกอดเข่าหันหน้าหนี จงอินลุกขึ้นนั่งแบบงงๆกับปฏิกิริยาของชานยอล ในใจก็แอบรู้สึกปวดหนึบ


    "กลับไป....ก่อนที่ฉันจะคุมไม่ได้นะ นายไม่ควรมาพูดแบบนี้...."


    "......แบคฮยอนบอกว่า นายชอบฉัน.....ชานยอล"


    "หมอนั่นมันโกหกฉันก็แค่ทำตามที่มันสั่ง โธ่เอ๊ย กะแค่เวอร์จิ้นน่ะจงอินอย่าใส่ใจนักเลย ผู้หญิงดีๆรอนายอีกเป็นตัน ฉันไม่บอกใครเรื่องนี้หรอก กลับไปเถอะ...."


    มือหยาบยกขึ้นปิดหน้ามิดเมื่อวงแขนผอมบางของจงอินเอื้อมมาคล้องคอเขาจากด้านหลัง ชานยอลเริ่มตื่นตระหนกกับกายหยาบที่ดันหลังเขา จงอินหลับตาแล้วซบลงที่ไหล่กว้าง


    "....ถ้าพี่พูดมันเพียงเพราะไล่ผม อย่าทำ"


    "....."


    "ผมพยายามที่เกลียดพี่แต่ก็รู้ตัวแล้วว่าทำไม่ได้ พี่ตามฉันไปทุกที หลอนหลอนแม้แต่เวลานอน ทำให้ผมเหมือนคนบ้า แค่ตอนมือผมเเตะโดนตัวเองผมก็นึกถึงสัมผัสของพี่ ร่างกายของพี่ เสียงของพี่ ...แล้วก็เซ็กซ์ของเรา"


    "......จงอิน"


    "คำถามเดียวของผมก็แค่อยากรู้ว่าทั้งหมดที่ทำไปมันใช่ความรักที่พี่ตั้งใจจะมอบให้หรือเปล่า ....แต่ถ้าพี่บอกว่าไม่เคยคิดอะไร ก็คงเป็นแบคฮยอนที่หลอกผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า.... หึ ....บยอนแบคฮยอน อีงูพิษ"


    จงอินลุกขึ้นราวคนไร้จิตวิญญาณ หัวเราะแล้วด่าได้แค่ประโยคเดียวก็เหมือนจะพูดไม่ออก เหมือนโดนมีดแทงมิดด้ามซ้ำแผลเดิม นี่จิตใจแบคฮยอนมันทำด้วยขี้เถ้าอะไรวะ แล้วหัวสมองแกทำด้วยขี้เลื่อยอะไรวะจงอิน โดนหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าชิบหายวายวอดอยู่ได้

    มือเรียวปัดเศษหญ้าที่ติดเสื้อผ้าแล้วเอื้อมไปเช็ดน้ำตาที่จู่ๆก็ไหล จงอินหันตัวจะเดินหนีแต่ชานยอลกลับยื้อไว้


    "อย่างที่แบคฮยอนบอกนั่นแหละ .....พี่ชอบนาย"


    "....ถ้าพี่พูดมันแค่ว่าจะสมเพชผม....อย่าทำ"


    ร่างสูงทอดถอนหายใจแล้วกระชากตัวจงอินเข้ามากอด จมูกโด่งสูดเอากลิ่นเฉพาะตัวที่เขาคิดถึงไว้เต็มปอด นิ้วเรียวยาวสอดแทรกเข้าไปตามกลุ่มผมนุ่มนวล ริมฝีปากชิดกับใบหูจนจงอินจั๊กจี้


    "ตลอดเวลาที่ผ่านมา ....พี่อยากจะกอดนายให้ตายคามือ อยากจะจูบปากนายให้เจ่อ อยากจะทำให้ร่างกายนี้เป็นของพี่คนเดียว อยากให้ดวงตาคู่นี้ที่พี่หลงรัก....สะท้อนแต่ภาพของปาร์คชานยอลคนเดียว"


    ".....พี่หมายถึง...ชะ ชอบผมใช่ไหม"


    "กับคนที่ไม่รู้สึกอะไรต่อกัน คิดเหรอว่าเขากันมองกันแบบนี้"


    ชานยอลจูบลงตรงข้างแก้มกำลังซับสีของจงอินที่ทำเหมือนกำลังเขินเต็มประดา เขารู้ว่าการสารภาพรักอ้อมๆนี่มันชวนจิกหมอนขนาดไหน แล้วยังจะหอมแก้มแบบนี้ มันน่าเขินกว่าจูบปากเยอะ ยิ่งผู้ชายแมนๆสองคนทำกันนี่.....อื้อ


    "ให้ตายสิ พอโดนเรียกว่าพี่ก็เลยใจอ่อนเฉยเลย ตอนแรกก็ว่าจะปล่อยตัวให้กลับไปง่ายๆแต่ตอนนี้คงต้องขอกักตัวไว้ที่นี่แหละนะ"


    "........แบคฮยอนก็คงไม่อยากเห็นหน้าผมไปอีกนานแหละ"


    จงอินเบ้ปากเมื่อนึกถึงหน้าพี่ชายครึ่งสายเลือดเวลาทำหน้าหยิ่ง แต่ข้างในจงอินก็แอบรู้สึกขอบคุณนิดหน่อย....ก็แค่นิดหน่อยเท่านั้นแหละ


    "นั่นสิ หมอนั่นคงไม่อยากเห็นหน้าพี่ไปอีกนานเหมือนกัน ซักปี สองปี....หรืออาจจะตลอดชีวิต"


    จงอินมองเข้าไปในดวงตาหม่นแสงของชานยอลแล้วก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ จะว่าไปต้นเหตุที่ทั้งคู่ต้องแตกหักกันมันก็เพราะตัวเขานี่นะ ถ้าลองคิดเล่นๆดูว่าชานยอลไปลงเอยกับแบคฮยอนล่ะ มันจะโอเคกว่านี้ไหม? ...................อย่าฟุ้งน่าคิมจงอิน!


    ....


    "พี่ชานยอล....เป็นผมนี่ดีแล้วใช่ไหม"


    จงอินเกาะแขนซ้ายข้างที่ชานยอลไม่ได้ใช้ถือกีต้าร์แล้วให้ศีรษะวางตั้งฉากกับต้นแขนแน่น.... บางครั้งความคิดเด็กมันก็ชอบแว่บเข้ามาจนทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ


    "ทำหน้าแบบนี้ คิดอะไรอยู่ไม่ดีอยู่ล่ะสิ อย่างเช่น กำลังเอาตัวเองเทียบกับแบคฮยอน"


    "เปล่านะ!....ไม่ใช่เเบบนั้น"


    "เราน่ะเทียบกับแบคฮยอนไม่ได้หรอก เพราะจงอินก็คือจงอิน เป็นคนที่พี่ชอบ เพราะงั้นแค่จงอินเป็นจงอินของพี่ตลอดไป แค่นี้มันก็ดีมากแล้ว.... เชื่อในความรักที่พี่มีให้นายเถอะนะ"


    พูดพลางส่งรอยยิ้มกว้างที่ดูสว่างกว่าดวงอาทิตย์มาให้จงอินตาพร่ามัวไปชั่วขณะ ใบหน้าหล่อซุกลงกับต้นแขนที่เดิมด้วยใบหน้าร้อนฉ่ากับหัวใจที่บีทหนักเป็นดนตรีmetal เขินขนาดว่าไส้จะบิดเป็นสปริงเลยว่ะ ทำไงดี ไม่เคยมีใครพูดแบบนี้มาก่อนด้วยอ่ะ

    ก็ตลอดเวลาจงอินมันก็แค่ที่สอง เขาสู้อะไรแบคฮยอนเคยได้ซะที่ไหน...


    "แล้วน้องจงอินล่ะครับ คิดยังไงกับพี่ชานยอล?"


    เห็นคนข้างกายเขินจนไม่เป็นตัวเองแล้วก็อดหัวเราะตามไม่ได้ ชานยอลเลยอยากจะแกล้งด้วยการเอียงหน้าเข้าไปใกล้ๆแล้วกระซิบเสียงแผ่ว มันทั้งเซ็กซี่ที่ก็ฟังดูอ่อนโยนจนคิมจงอินอยากจะระเบิดตัวตาย ได้แต่ตอบงุบงิบๆแต่เหมือนชานยอลก็พอใจน่าดูอยู่


    ".....ผมก็ชอบพี่ชานยอลว่ะ"












    ...











    ร่างเล็กที่นั่งอยู่บนกระโปรงรถดึงอมยิ้มจูปาจุ๊ปติดน้ำลายเหนียวหนืดออกมาดูดๆไว้ตรงริมฝีปาก แล้วมองประตูบ้านของปาร์คชานยอลที่ปิดลงหลังจากคนสองคนเดินโอบกันเข้าไปเหมือนเจ้าหญิงเจ้าชายในการ์ตูนเทพนิยาย มินซอกหัวเราะขึ้นจมูกพลางปรบมือกระแทกกระทั้นยังกับโดนบังคับ


    "น่าหมั่นไส้จริงๆปาร์คชานยอล คนบ้าอะไรจะใส่หน้ากากเก่งขนาดนี้ เหอะ!"


    มินซอกเบ้ปาก ถ้าสงสัยว่าทำไมเขาก็จะเฉลยให้ว่าเด็กคนนั้นมันเล่นไม่ซื่อขนาดไหน นึกรึไงว่าคนที่เพิ่งจะเคยเจอหน้ากันอะไรจะตกหลุมรักกันง่ายขนาดนี้ ยิ่งเด็กหัวแข็งอย่างจงอินแทบจะไม่มีทาง ก็จริงที่ชานยอลมันมีสวิตช์สุภาพบุรุษอยู่หรอก แต่จริงๆมันเล่นยา...ก็แค่ใส่ยากล่อมประสาทสูตรพิเศษของคิมมินซอกให้จงอินกินเข้าไปทุกวัน โดยเฉพาะไวน์ขวดนั้นที่มินซอกให้ชานยอลเองกับมือเขากำชับไว้แล้วว่าใส่น้อยๆเหยื่อจะว่าง่าย แต่ถ้าใส่มากๆ...มันจะตามหลอกหลอนแบบลืมไม่ลงเลยล่ะ

    จากหมีร้ายจากกลายเป็นตุ๊กตาขนาดนี้ดูท่าชานยอลจะเล่นแรงอยู่


    อย่าคิดนะว่าแบคฮยอนจะขู่ชานยอลได้ ความจริงมันก็แค่เล่นไปตามน้ำแล้วหาช่วงเวลาเหมาะๆทำให้จงอินเป็นของมันเท่านั้นแหละ แสร้งทำเป็นพ่อพระจากนั้นก็ตลบหลังหลอกตัวเองเป็นเหยื่อ พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสไง แถมยังได้ใจไปเต็ม เหี้ยดีไหมน้องชายผมเอง?


    ถามว่าทำไมผมไม่ห้าม? ไม่เอาน่า มันก็แค่ยากล่อมประสาทไม่รุนแรง น้องได้เมีย ผมก็ได้ข้อมูลจากการสังเกตการณ์ของผมไปต่อยอด เจ๊าๆกันทั้งคู่แหละจริงไหม หรือต่อให้เกิดอะไรขึ้นมันก็ไม่เกี่ยวกับผมอยู่ดี  *ดูดลูกอม*


    ช่วยไม่ได้ ถือว่าเป็นเวรกรรมของคิมจงอินไปแล้วกัน....






    The End



    ____________________________________________________________




    ทำไมต้องเอาความโรคจิตของตัวเองมาลงที่ฟิคแบบนี้!!!!!! สงสารนีนี่บ้างไหม ดีออก ตอบบบบบ!!!!!!! #สกรีม
    จงอินนางเป็นนายเอกที่ต้องสู้ชีวิตนะคะ ถีบคนมาสองเรื่องละ ถถถถถถถ เซอร์ไววัล



    #050415 มาต่อให้จนจบจะได้หายห่วงซะทีนะนะนะ :D จะได้ตั้งใจเขียน aliceให้เต็มที่แล้ววว เข้ามาอ่านกันเยอะนะคะ ยอดเม้นไม่ขึ้นก็ขอยอดวิวก็ได้ รู้สึกรีดเดอร์หายหมดเลย อย่าทิ้งกันไปได้ไหมไม่รู้จะอยู่อย่างไร โลกคงแตกสลายนาทีที่ไม่เหลือเธอTvT /กรี๊ดแรง

    ช่วงนี้เขียนออกแต่ดราม่าคงน่าเบื่อไปหน่อย เขียนอะไรสดใสไม่ค่อยออกเลย ขอโทษนะคะ

    ด่าพระเอกได้เต็มที่ แต่ขอร้องว่าอย่าว่าแบคฮยอน เราชอบคาแร็กเตอร์นางมากนะ นางมั่นแต่นางก็เหงา ถึงนางจะเจ็บมากแต่นางก็แทบไม่เคยมีน้ำตา ภาวนาให้นางรักแอนนาเบลคยองซูเต็มหัวใจซักวัน ;__;




    และสุดท้ายนี้.....

    #พี่อยากให้น้องชิปชานไค #พี่อยากให้น้องชิปชานไค #พี่อยากให้น้องชิปชานไค #พี่อยากให้น้องชิปชานไค #พี่อยากให้น้องชิปชานไค #พี่อยากให้น้องชิปชานไค #พี่อยากให้น้องชิปชานไค #พี่อยากให้น้องชิปชานไค #พี่อยากให้น้องชิปชานไค #พี่อยากให้น้องชิปชานไค #พี่อยากให้น้องชิปชานไค #พี่อยากให้น้องชิปชานไค #พี่อยากให้น้องชิปชานไค #พี่อยากให้น้องชิปชานไค #พี่อยากให้น้องชิปชานไค







    "> SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×