ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) amour tales ❦ นิยายรัก . {chankai lumin hunho}

    ลำดับตอนที่ #4 : The Little Mermaid

    • อัปเดตล่าสุด 28 เม.ย. 57










    The Little Mermaid  ❥  Luhan x Xiumin


    「 part of your world 」





    The Little Mermaid  by Hans Christian Andersen


    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...


    ที่เมืองบาดาลใต้ท้องสมุทร
    เป็นที่อยู่ของราชาเงือกผู้มีธิดางดงาม เงือกน้อยน้องสุดท้องได้ตกหลุมรักกับรูปปั้นชายหนุ่มที่จมอยู่ในห้วงทะเล เมื่อถึงคราวที่เธออายุสิบห้า เงือกน้อยได้รับอนุญาตขึ้นไปสู่ผิวน้ำด้วยใจเต้นระรัว เธอได้พบเจอกับเรือใหญ่ของเจ้าชายที่ถูกพายุร้ายพัดตีจนเรือแตก เงือกน้อยรีบดำน้ำลงไปช่วยเจ้าชาย เธอพาเขากลับขึ้นฝั่งพร้อมกับจูบเจ้าชายเพื่อให้เขาฟื้น ทันใดนั้น หญิงสาวนางหนึ่งผ่านมา เงือกน้อยจึงรีบกระโดดลงทะเลและได้แต่มองอยู่ห่างๆ เธอตกหลุมรักมนุษย์ เธอไปหาแม่มดทะเล หล่อนต้องแลกขากับเสียงอันไพเราะ และเงือกน้อยจะต้องทำให้เจ้าชายรักแต่หากเจ้าชายแต่งงานกับคนอื่น ร่างของเธอจะสลายกลายเป็นฟองอากาศ ครั้นลืมตาขึ้นมาเธอกลายเป็นหญิงใบ้ที่เมื่อเหยียบลงบนพื้นจักรู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัสแต่เธอก็ทนยอมเพื่อให้ได้อยู่ใกล้เจ้าชายของเธอ แต่แล้ววันหนึ่งเจ้าชายเลือกที่จะแต่งงานกับหญิงสาวที่เขาคิดว่าเป็นคนช่วยเขาไว้จากพายุร้ายนั้น เงือกน้อยเสียใจและเศร้าสลด เหล่าพี่สาวจึงนำเส้นผมไปแลกกับมีดแม่มด พวกพี่ๆกล่าวว่าเธอต้องนำมีดนี้ไปกรีดอกเจ้าชายเพื่อจะได้กลับเป็นเงือกดังเดิม เงือกน้อยเข้าไปในห้องเห็นเจ้าชายนอนหลับอยู่กับสตรีที่เขารัก เธอน้ำตาไหลและเงื้อมีดขึ้น ....แต่สุดท้ายเธอก็ทำมันไม่ได้ เงือกน้อยเลือกที่จะทิ้งมีดและจุมพิตลาเจ้าชายเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เธอจะกระโดดลงจากเรือและสลายเป็นฟองคลื่นในทะเลอันมืดมิดตลอดไป...



    ........ Ever After








    ซิก ซิก...


    ภายในป่ามืดครึ้ม มักจะมีเรื่องราวสยองขวัญเเพร่งพรายออกมาหลอกเด็กรอบข้างให้หวาดกลัว ตัวอย่างเช่นดังเสียงร้องไห้ของหญิงสาวที่ไม่มีตัวตน เสียงร่ำร้องอื้ออึงทั่วบรเวณจนผู้ผ่านไปมาต้องเสียงหลังวาบ

    เด็กน้อยอายุประมาณสิบกว่าขวบ ผู้บังเอิญผ่านมาเลือกที่จะเดินตามต้นเสียงไป เจ้าตัวมองซ้ายมองขวาระแวดระวังสุดๆ แก้มหยุ่นซีดเผือดก่อนจะตะโกนถามอย่างหวาดๆ


    "ใครกันล่ะนั่น"


    ฮือออ...


    เสียงสะอื้นดังขึ้นใกล้กายเล็ก เจ้าเด็กน้อยกลืนน้ำลายลงก่อนจะกระชากพุ่มไม้ตรงหน้าออก แสงไฟจากตะเกียงสาดส่องไปยังเจ้าตัวกำเนิดเสียงที่สะดุ้งตัวโยน ตัวผอมบางต่างถดเข้าหากันเป็นการสร้างเกาะป้องกันคนแปลกหน้า


    ผมสีดำรุงรังปรกหน้าขาว ร่างกายสูงยาวแต่อรชรดั่งสาวแรกแย้ม เข่าที่ชันขึ้นปิดหน้าจนเหลือแต่ดวงตาคู่สวยที่แดงจากการร้องไห้ ไม่แปลกใจเลยถ้าใครมาพบแล้วจะเผ่นหนี


    ฝ่ายผู้ค้นหาเป่าปากอย่างโล่งใจ ร่างเล็กสาวเท้าเข้าไปหาคนอายุมากกว่า ปากน้อยๆกล่าวฉะฉานราวกับสนิทสนมกัน


    "...เจ้าเป็นผีป่านางไม้หรือไรจึ่งได้มานั่งร่ำไห้อยู่กลางพุ่มไม้เช่นนี้"


    "ฮึก ข้าเป็นคนไม่ได้ความเท่านั้น หาใช่ผีป่าที่ใดกัน เหตุใดเจ้าจึงพูดจาฉะฉานแก่แดดเช่นนั้นเล่า"


    ร่างบางยกมือเรียวขึ้นปาดน้ำตาใสที่คาอยู่โดยรอบ อดแปลกใจไม่ได้กับการพูดจาราวผู้ใหญ่โตของเด็กตัวน้อยนี้


    "ข้าจำมาจากพี่ชายรอบๆกายข้า วันนี้ข้าแอบตามหลังพวกเขามา ท่านเห็นพวกเขาบ้างหรือไม่"


    "ส่วนตัวข้าคิดว่าพวกเขาคงจักมุ่งหน้าไปยังหอนางโลมเป็นแน่แท้ แต่นั่นหาใช่สถานที่ๆเจ้าจักควรเยือนไม่ กลับเรือนเจ้าไปเถิดเด็กน้อย แล้วจงอย่าพูดเรื่องเหล่านี้ให้ผู้ใดได้ยิน"


    ผู้เป็นพี่เตือนด้วยน้ำเสียงติดสะอื้น เด็กชายพยักหน้ารับรู้ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าคนแปลกหน้า


    "เหตุใดกัน ทว่าทำไมเจ้าจึงมาคุดคู้ร่ำไห้จักเป็นตายอยู่ที่นี่เล่า เจ้าบาดเจ็บหรือกระไร"


    "มิใช่ ข้าสบายดี เพียงแค่เสียใจที่ไม่อาจทำตนให้เป็นประโยชน์ ข้าทำแต่เรื่องแย่จนถูกพี่ๆดุ จากนั้นก็มานั่งร้องไห้อยู่คนเดียว"


    "เราผิดพลาดกันได้ทุกคนเเลพี่สาว ท่านเพียงแค่ต้องเพียรพยายามให้มากขึ้น ข้ายังคงเยาว์วัยนัก คงมิอาจจะประโลมให้ท่านเชื่อถือได้"


    เด็กหนุ่มลูบท้ายทอยขัดเขิน เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ได้พูดเรื่องเช่นนี้ ท่านพ่อเคยกล่าวประโลมไว้ประมาณนี้เมื่อยามตัวเขาทำสิ่งใดจนพลาดพลั้ง คนตัวสูงกว่าผงกหัวขึ้นมารับฟังอย่างตั้งใจ


    "มิใช่เช่นนั้นดอกน้องชาย ข้าต้องขอบอกขอบใจเจ้ามากที่เสียเวลากับข้า ซิก..."


    "โฮ้ย มิต้องถือบุญคุณใดดอก หากแต่ท่านจักอนุญาตให้ข้าเช็ดน้ำตาให้ท่านได้หรือไม่"


    ใบหน้าหวานเงยขึ้นจนเห็นเต็มใบมอมแมม เด็กชายใช้ผ้าแพรพันเอวเนื้อดีลูบตามโครงหน้า ครั้นเมื่อชักออกมากลับปรากฏภาพจมูกโด่งรั้นสวยเข้ารูปกับปากบางเฉียบสีมุกอ่อน รับกับเส้นผมสีดำยาวนุ่ม หัวใจของเด็กน้อยเริ่มเต้นแรงเมื่อเจอสเน่ห์ของอิสสตรีที่เขาเคยดูแคลนว่าเป็นเรื่องตลก


    "สาบานต่อฟ้าดินว่าข้ามิเคยพบเจอสตรีใดงดงามดั่งตัวท่าน จงอย่าให้ความเศร้าหมองบดบังความงามของท่านเลยหนอ จงแย้มยิ้มสรวลของท่านให้ดอกไม้ทั่วโลกได้ละอายเถิด"


    "ตัวข้าต่ำต้อยกว่าพระสนมหยางกุ้ยเฟยยิ่งนัก เยินยอไปก็เสียเปล่า"


    สาวเจ้าเริ่มขบขันกับการเกี้ยวพาสีของเด็กน้อยที่โตเกินอายุ ทั้งคารมและความรู้มิได้แพ้ผู้ใหญ่คนใด น่ากลัวว่าครั้งเติบใหญ่จักต้องหักอกหญิงให้เสียน้ำตากันทั่วหน้า เมื่อเห็นดังนั้นเจ้าตัวเล็กเกิดอาการอับอายเหลือแสน ใบหน้าแดงขมวดคิ้วก่อนจะลงกำปั้นที่อกตัวเองเป็นการรับรองความจริง


    "อันตัวข้าชายชาติเลือดนักรบ มิเคยกล่าวป้อล้อสตรีเรี่ยราด"


    "อย่าได้ทำขึงขังเกินวัยเลยเจ้าเด็กน้อย พี่ๆข้ากล่าวไว้ว่าหากหลงคำเกี้ยวชายภายหลังจักได้น้ำตาเช็ดเข่า"


    "เมื่อใดที่ข้าเติบใหญ่ ข้าจักกลับมาพิสูจน์ให้ท่านรับรู้"


    "...เมื่อถึงคราวนั้น เจ้าก็จะเมินเฉยต่อข้าแน่แท้"


    อิสสตรีใบหน้าหมองเศร้าลง เด็กหนุ่มหน้าตื่น หันรีหันขวางอย่างหาทางออก มือเล็กจับข้อตัวเองพลางหลบหน้า สาบานต่อฟ้าดินตัวข้าไม่อาจทราบจริงๆว่ามันผิดพลาดจากเหตุใด

    สัมผัสเย็นที่ข้อมือดึงสติเขากลับมา ปากเล็กค่อยๆแย้มยิ้มยินดี


    "พวกผู้หญิงนั้นชอบของสวยๆงามๆใช่หรือไม่ ตัวข้าได้รับกำไลนี้มาจากเบื้องสูงหากแต่ข้ามินิยมชมชอบมันเท่าไรนัก ...ข้าคิดว่าหากมันอยู่กับท่าน เจ้านี่คงจะยินดีกว่า"


    "ร้ายนัก จักพันธะตัวข้าไว้ด้วยกำไลข้อมือเพียงแค่นี้กระนั้นรือ"


    ถึงจักกล่าวเช่นนั้นแต่กลับกลั้นยิ้มไว้มิได้เมื่อยามกำไลวงงามสอดเข้าข้อมือตน เจ้าตัวเล็กจับมือเรียวของตนไว้แนบแน่น สายตาแสนมั่นคงสบตาเข้ามาจนเผลอตัว


    "ถ้าหากวันใดที่ท่านมิอยากตอบรับความนัยของข้า ขอเพียงถอดมันออกแล้วเขวี้ยงของไร้ค่าเฉกนี้ลงคลองน้ำไปให้สาสมใจ แต่หากท่านปรารถนาจักตอบรับคำตัวข้า ...โปรดเก็บไว้ แล้วซักวันนึงข้าจะมา...."


    "อาลู่!!! ชายลู่ท่านอยู่ที่ใด!!!"


    "พวกเขาตามหาตัวข้าแล้ว ข้าต้องไปแล้ว"


    เด็กน้อยหันขวับตามต้นเสียงอย่างเสียดาย เขาลุกขึ้นพร้อมตะเกียงไฟก่อนจะหันมาส่งสายตาอาวรณ์แด่นางที่เพิ่งได้พบหน้า เช่นเดียวกับหล่อน อิสสตรีโฉมงามใจหายนักที่ต้องจากลาเด็กชายที่เพิ่งได้พบเจอ เจ้าร่างเล็กตวัดหน้ากลับก่อนรีบวิ่งออกไป


    ดวงไฟจากตะเกียงค่อยๆริบหรี่จนหายไปจากสายตาหวาน มือเรียวเกาะกุมของดูต่างหน้าซึ่งได้มาจากบุพเพสันนิวาต ปากบางรำพันกำลังใจให้ตัวเองเบาๆ


    "...หากวาสนาเราส่งกัน เราคงพบกันใหม่"








    "เจ้าหายตัวไปไหนมา รู้หรือไม่เขาตามหาเจ้ากันให้ทั่วเรือนไปหมด เจ้าเด็กคนนี้จนลิ้มรสไม้เรียวสักหน่อยกระมัง"


    หญิงสาวเลขสองหน้าสวยคมขมวดคิ้วเมื่อเห็นเจ้าร่างบางผมกระเซิงเดินกลับมา เสียแรงที่อุตส่าห์ออกตามหา มีอย่างที่ใดหนีหายไปให้เป็นห่วงแต่กลับมาด้วยใบหน้ารื่นรมย์เช่นนั้น หากไม่คิดเผื่ออนาคตจักเขาไม้มาตีขาหักให้มิต้องออกไปไหนอีกเสียดีไหม


    "ขออภัยพี่สาว ตัวข้าสร้างปัญหาใจให้ท่านอีกแล้วเชียว"


    หญิงสาวส่ายหน้าหน่ายๆ หล่อนไล่น้องเข้าไปในเรือนใหญ่ทว่าสายตาเรียวกลับเหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่าง นางฉุดข้อมือเล็กขึ้นมาพินิจด้วยความตื่นใจ


    "แล้วนั่นไปเอากำไลมาจากไหนกันเชียวหือ นี่มัน...นี่ นี่เจ้าไปได้มาจากที่ใด"


    "เด็กชายคนหนึ่งให้ข้ามา เขามอบมากำนัลข้า ตกอกตกใจกันทำไมหรือกับแค่ดินเผาสีประหลาด"


    นางผู้น้อยยิ้มแย้มอย่างดีใจพลางกล่าวอวด อิสสตรีสาวขมวดคิ้วก่อนจะลองสัมผัสมัน ใบหน้าหล่อนดูเคร่งเครียดและซีดจาง


    "มิใช่ดินเผา นี่มันหยกชั้นดี ....ทิ้งไปเสียอย่าดื้อดึง มิเช่นนั้นเจ้าจักเป็นภัยได้ เข้าใจหรือไม่..."


    "....แต่ว่า"


    "ไม่มีแต่ ของชิ้นนี้เป็นของคนใหญ่คนโตหรือไม่ก็ในราชสำนักเท่านั้น ผู้น้อยเช่นเจ้าจะถูกแพ่งเล็ง นึกถึงสถานะตนหน่อย...ที่ๆเจ้าอยู่นั่นมันตรอกเต้า หากรู้ถึงหูผู้ใดว่าพวกชั้นสูงมาป้อยอเจ้า เจ้าจักมิได้ตายดี! ...รีบนำไปโยนทิ้ง อย่าได้นึกเสียดายเป็นอันขาด"


    "....ข้า ข้าเข้าใจแล้ว"


    ใบหน้าหวานซีดลงกับคำประกาศกร้าวของพี่สาว คำว่าตายทำเอาร่างบางสั่นไหว ครั้นเงยหน้าไปสบตาผู้เป็นพี่ตัวหล่อนก็มิอาจทัดทานใดได้ มือเรียวปลดกำไลสวยออกจากข้อมือด้วยความทุกข์ตรมขมใน







    ต่อหน้าสายลำธารสะอาดในป่ากว้าง ร่างบอบบางย่อกายลง สายธารล้อดวงจันทร์สะท้อนใบหน้าหวานที่เศร้าหมอง กำไลหยกสะท้อนสองดวงตาใส ก่อนที่จะลอยไปตามแรงก่อนจะตกลงแม่น้ำเย็น...และไหลจากไปอย่างเงียบสงบ


    หากมีวาสนาต่อกันจริง เราจักได้พบกันอีก....




    2 / 5





    มหานครหนึ่งหากขาดหญิงงามราวกับเมืองร้างที่สูญเสียชีวิตไปแล้ว....


    สีสันสดสวยแห่งมหานครจักเป็นสิ่งใดได้นอกจากดอกไม้ประดับเมืองเช่นหญิง งามเมือง หลายนางถูกกล่าวขานถึงสิริโฉมอันเลื่องชื่อ แต่หากใครจักล่วงรู้ถึงประวัติศาสตร์ด้านมืดของเหล่าคณิกาผู้ลือโฉมแห่งหอนางโลม


    "ขบวนหญิงงามนครมาโน่นแล้วไร"


    ดวงหน้าหวานผินออกนอกหน้าต่างโรงเตี๊ยมตามคำเล่าลือ ลักยิ้มสวยจุดลงข้างแก้มเมื่อทอดตาพบกลุ่มสตรีเลอค่า เหล่าดอกไม้งามแห่งหอไฮ่หยางท่ามกลางเสื้อผ้าฉูดฉาดเฉิดฉาดเสน่ห์ของพวกนางให้เหล่าชาวเมืองได้ยลโฉม

    เจ้าตัวบางเหลือบตามองคนด้านข้างที่ดูจะเคลิบเคลิ้มเสียเต็มประดา นางส่งจอกสุราให้เขาพลางเอ่ยหยอกล้อ


    "ดูตัวท่านสนใจมิหยอกหนอคุณชาย สนใจนางใดเป็นพิเศษกระไรกัน"


    "เจ้าเห็นนางผู้นั้นหรือไม่ ผู้นั้นแหละ...งดงามที่สุดในพระนคร"


    หน้าขาวเลื่อนไปตามนิ้วยาว นางขมวดคิ้วอย่างกนด่าทอ นางงามเป็นเหล่าเป็นกอ จักรู้ใดกระไรว่านางใดที่ต้องตาท่านกันเล่า


    "ท่านหมายถึง ...นายแม่แห่งหอกระนั้นสิ"


    "ไม่...นางที่สวมชุดสีน้ำเงินดั่งสีของมหาสมุทรนั่นกระไร ช่างงดงามราวมิใช่มนุษย์เดินดิน ตำนานนางเงือกช่างเหมาะสมกับนาง"


    ตาคมหรี่เพ่งก่อนจะสะดุดกับกับสตรีชุดสีน้ำเงิน หญิงสาวรอบข้างส่งรอยยิ้มไปโดยรอบผิดกับตัวนาง ใบหน้านิ่งเฉยดูสง่าตัวสูงยาวอรชรที่ดูโดดเด่น ไม่แปลกใจเลยหากนางจะเกี่ยวหัวใจชายอื่นด้วยเพียงปลายนิ้วมือ


    "เจ้าเด็กคนนั้นหรือ ...คิก ใช่ๆๆๆ เด็กผู้นั้นนั่นเอง"



    ใครจักทราบว่าหญิงงามอันดับต้นในพวกนางนั้นกลับกลายเป็นบุรุษร่างน้อยอ้อนแอ้นงดงามซ้ำใบหน้าหยาดเยิ้มอย่างไร้ที่ติ...


    ...คณิกาผู้เป็นเครื่องหมายแห่งความเศร้าโศกแห่งหอไฮ่หยาง











    "คุณชายจาง ...ลมอันใดหอบท่านมาที่นี่เล่า"


    บุรุษเจ้าของชื่ออ้าเเขนรับกายบอบบางของหญิงงามเข้าไปรวบรัด รอยยิ้มงามแต้มบนใบหน้าหวานผิดบุรุษโดยทั่วที่งามมิแพ้ดอกไม้แห่งหอนางโลม บุปผาตัวบางทำจริตเขินเอียงอายอย่างน่าเอ็นดู จางอี้ชิงพาอีกฝ่ายมานั่งร่วมโต๊ะตามหน้าที่


    "หามิได้ เพียงเผลอคำนึงถึงตัวเจ้าเงือกน้อย ข้าก็โผล่มาที่นี่เสียแล้ว"


    "เงือกกระไร ข้าเป็นมนุษย์หรอกหนอท่าน"


    สาวเจ้าเอ่ยพลางขบขัน มือเรียวยกโถสุรารินลงจอกอย่างรู้งาน จนคนมองเผลอคิดสงสัยว่านางผู้นี้นั้นเคยทำสิ่งใดที่ดูแล้วมิงามบ้างหรือไม่หนอ จางอี้ชิงนึกขันในความคิด นิ้วเรียวยาวยื่นไปเล่นกับผมดำยาวของหญิงงามนคร


    "ยังงามเหมือนเก่าแท้ หวีเสียบผมอันรักของเจ้าหายไปไหนเสียแล้วเล่า"


    "หวีของข้า ...โดนพี่สาวยึดไปแล้วเจ้าค่ะ ตัวข้าเล่นซนมากเกินไปพวกเขาจึงลงโทษข้า"


    หล่อนยิ้มเศร้า ดวงตาทั้งสองระริกดั่งจะร่ำร้องด้วยความโหยหา จางอี้ชิงลูบศีรษะงามเป็นการประโลม


    "เช่นนั้นผู้ที่มอบให้เจ้ามิเสียใจแย่หรือ"


    "หากข้ากล่าวความจริงกับเขา ข้าเชื่อมั่นว่าตัวเขาจักต้องเข้าใจข้าอย่างแน่นอน"


    "เจ้ามีความรักเช่นนั้นหรือ ใครกันที่ได้รับใจของเจ้าไปครอง"


    คุณชายถามพลางนึกขันกับท่าทีที่เปลี่ยนอย่างเร็วของเด็กน้อยตรงหน้า ทั้งที่เมื่อทำหน้าราวจะเป่าปี่ทว่าจู่ๆกลับเผยยิ้มสดใสราวไมิเกิดอันใดขึ้นก่อนหน้า พวงแก้มอิ่มสุกก่ำ หล่อนก้มหน้าและเอ่ยอย่างเจียมตน


    "ข้ามิบังอาจหมายเอื้อมเด็ดดอกฟ้า ตัวเขาเป็นดั่งเจ้าฟ้า เพียงเขาลดตัวลงมาสนทนากับดอกไม้ริมทางเช่นข้า ข้าก็สุขล้นแล้ว"


    "เจ้าเงือกน้อยของข้า.... เหตุใดเจ้าจึงบั่นทอนคุณค่าตัวเองเช่นนั้น รู้ไหมว่าข้ามองเจ้าตั้งแต่ตัวเท่าเมี่ยงจนเติบใหญ่ขนาดนี้ ข้ารู้ว่าเจ้าต้องพยายามหนักขนาดใดเพื่อทำตนเองให้เหมาะสมกับเจ้าฟ้าลู่"


    "ท่านรู้....?"


    "ข้ารู้ด้วยซ้ำว่าพวกเจ้าลักลอบพบกันในป่าติดแม่น้ำตั้งแต่เจ้าฟ้ายังเล็ก"


    ดวงตาใสเบิกกว้างอย่างตกใจในขณะที่ต้นเรื่องอย่างอี้ชิงยกจอกเหล้าดื่มอย่างรื่นรมย์ หล่อนกระเถิบถอยหลังกล้าๆกลัวก่อนจะหมอบลงแทบพื้น


    "คุณชาย ได้โปรดอย่านำเรื่องนี้ไปแพร่งพรายแก่ผู้ใด ข้ามิต้องการให้เขาเเปดเปื้อน"


    จางอี้ชิงมองคนเบื้องหน้าด้วยความเอ็นดู มือเรียวแตะหลังบางของหญิงงามพร้อมสั่งนางให้เงยหน้าขึ้น


    "จุดมุ่งหมายของข้ามิใช่เรื่องนั้นดอก ข้าอยากจะทำให้เจ้าสมปรารถนา ....เงือกน้อย หากเจ้าทำพันธะสัญญากับข้า เจ้าจักได้ออกไปหาองค์ชายของเจ้า หาบุรุษที่เจ้าเฝ้าฝันหามาตลอดชีวิต..."


    "เป็นไปมิได้...."


    บุปผางามส่ายหน้าช้าๆ นางดูไร้ซึ่งความหวังแต่ลึกๆในใจกลับไขว่คว้าหาหนทาง จางอี้ชิงไล้โครงหน้าสวย...สายตาเต็มไปด้วยความมาดมั่น


    "คุณชายจางทำให้ทุกอย่าง...เป็นไปได้"


    "แล้วข้า...ต้องทำเช่นไร"


    "ตอบรับคำสัญญากับข้า แล้วเจ้าจะได้ทุกอย่าง... เพียงแต่เจ้าจักต้องทำให้เขารักเจ้า มิเช่นนั้นแล้วตัวเจ้าจักต้องทุกข์ทรมานแสนสาหัส เช่นนั้น เจ้าจักยังดันทุรังอีกหรือไม่"


    มือเรียวจากจางอี้ชิงยื่นมาตรงหน้าของดอกไม้งาม หล่อนมองมันด้วยความลังเล ภายในใจเต้นระรัวอย่างยินดี ทว่าการผงาดตัวเช่นนั้นย่อมมิได้ตายดีอย่างแน่แท้

    แต่เพื่อเขาคนนั้น มันกลับเป็นการเสี่ยงดวงที่ดูคุ้มค่ามิใช่หรือไร...


    "ข้าคนนี้....จะได้ยืนเคียงข้างดวงอาทิตย์ของข้าแล้วกระนั้นหรือ..."


    หล่อนยื่นมืออันสั่นเทาทั้งคู่มากอบกุมมือเรียวอันเป็นที่พึ่งสุดท้าย สายตาทั้งคู่เคลือบด้วยความหวังและต้องการและไร้ซึ่งความเคลือบแคลงใดๆ ปากแดงสดเอ่ยเอื้อนตอบรับพันธะสัญญาเป็นมั่นเหมาะ


    "เช่นนั้นข้าก็ยินดียิ่งนัก"


    ....



    จางอี้ชิงแสยะยิ้มสวยเคลือบพิษ เจ้าเด็กน้อยตรงหน้ากำลังสั่นสะท้านไปด้วยความวาดหวัง ความหวังของนางเงือกที่ปรารถนาการเดินบนโลกมนุษย์พร้อมชายคนรักมันรัญจวนหอมหวนไปทั่ว


    ...ช่างหอมหวานเสียจนมิอาจอดรนทนรอดูใบหน้าสิ้นหวังไม่ไหวเสียแล้ว





    3 / 5




    ตึ่ง...


    สาวงามริมลำธารใสเเสดงอาการหงุดหงิดเมื่อครั้งเล่นผิดเป็นรอบที่ร้อย นางละมือจากเครื่องดนตรีน้อยๆพลางทำร้ายตนโดยการหยิกมือขาวจนเป็นจ้ำ หลายเพลาแล้วที่แอบหนีมาเล่นให้คล่องเพื่อจะได้มิต้องทำขายหน้าครั้นได้เปิดหอรับแขก แต่ดูทักษะกลับยังห่วยเหมือนเดิม

    ระหว่างตบตีกับร่างกายตนอยู่ ไหล่บางถูกสะกิดจากสัมผัสอุ่นจนนางสะดุ้ง ใบหน้าหวานฉายแววตระหนกก่อนจะกลายเป็นความยินดีเมื่อนางได้พบหน้าใครบางคนที่เฝ้ารอมาตลอดหลายปีนี้

    เป็นเจ้าเด็กน้อยตัวสูงในยามนั้นที่เข้ามาแตะ เขายิ้มกว้างเมื่อพบคนที่เฝ้าตามหา


    "ไฮ้ พี่สาวท่านอยู่ที่นี่จริงๆด้วย ยังจำข้าได้ไม่..."


    "จะ เจ้า... จำได้ซี เจ้าเด็กแก่แดด สิ่งใดดลให้เจ้ากลับมาที่แห่งนี้เชียว"


    บุปผาดอกน้อยปากสั่นระริกอย่างตื่นเต้น แม้จะวางตัวนิ่งเฉยแต่ใจภายในร้อนรุ่นจนแทบฉีก หล่อนพยายามซ่อนข้อมือเปล่าเปลือย เจ้าหนุ่มน้อยหน้ามู่ทู่เมื่อยังคงเป็นเพียงเด็กในสายตาคนงาม


    "ทำพูดไป ตัวข้าเติบใหญ่ขึ้นเกือบสูงเท่าท่านแล้วหรอกแม่นาง ตัวท่าน...งามขึ้นมากที่เดียว"


    มีหรือที่จะยอมโดนดูถูก ตาคมหรี่มองตั้งแต่เส้นผมยันข้อเท้าอย่างกระลิ้มกระเหลี่ยไม่ปิดบังจนผู้ถูกมองจงยกมือมากระชับเสื้อแสงให้มิดชิดกว่าเก่าแม้มันจะปิดมิดอยู่แล้วก็ตามที ใบหน้าหวานแดงเถือกยามถูกพินิจ


    "รู้จักการใช้สายตาแล้วหรือ เจ้านี่ช่าง...."


    "กำไล ...ของข้า?"


    นางตกใจเมื่อรู้ตัวว่าขัดเขินมากไปจนลืมซ่อนความลับ ก่อนจะชักมือขาวเข้าหลบทางด้านหลัง


    "เอ่อ....."


    "เช่นนั้นหรือ ...ท่านคงมิอาจตอบรับ..."


    เจ้าหนุ่มขบปากล่าง รังสีสลดและผิดหวังสาดกระจายไปทั่ว ฟ้าดินช่างใจร้าย อันตัวข้าโดนหญิงคนแรกหักน้ำใจลงเสียแล้ว


    "ไม่นะ!! มันไม่ใช่แบบที่เจ้าคิดอยู่ ข้ายอมรับว่าเคยโยนของๆเจ้าทิ้งลงน้ำไป แต่ข้าก็ตัดใจมิได้ ตัวข้าปรารถนาที่จะสวมมันเพียงแต่ตัวข้ามิอาจสวมมันได้ก็เท่านั้น..."


    "...ด้วยเหตุใด"


    "พี่สาวกล่าวว่าข้าจะโดนเเพ่งเล็งจากเบื้องสูง เจ้าคงมิเชื่อทว่าข้าอาศัยอยู่ในหอนางโลมไฮ่หยางด้านโน้น ข้ายังเด็กนักจึงแปลกหากใส่ของมีค่าลอยชายไปมา"


    นางพูดรัวๆเพราะเกรงอีกฝ่ายจะเดินหนีไปก่อนฟังคำแก้ตัว น้ำลายอึกใหญ่ถูกกลืนตามความรู้สึกผิดที่อัดอั้น


    "วันรุ่งข้าจึงมาเฝ้าค้นหามันทั้งวันจนโดนดุ พวกพี่ๆเขาเห็นใจข้าจึงให้ข้านำไปฝังดินไว้ รอจนกว่าวันใดที่ข้ายิ่งใหญ่และเหมาะสมจักสวมมัน...ข้าเองก็พยายามอย่างมาก ทว่าจนวันนี้ข้ายังคงเล่นดนตรีไม่ได้ซักนิด..."


    หญิงงามหัวเราะแก้เก้อ ดั่งที่กล่าวไปนั่นแลจึ่งต้องมานั่งเล่นให้นกให้ไม้ชมอยู่เช่นนี้กระไร

    ฝ่ายคนฟังเมื่อเห็นดังนั้นจึ่งได้แสดงอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดั่งคนไม่เต็มเต็ง เจ้าหนุ่มน้อยล้วงเข้าไปในเสื้อพลางควานหาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง


    "ปลื้มปลาบยิ่งนักที่ท่านทำเพื่อข้า...หากเป็นเช่นนั้น โปรดรับสิ่งนี้ไปได้หรือไม่"


    โฉมงามมองสิ่งที่วางอยู่บนมืออีกฝ่าย มันเป็นเพียงหวีไม้เสียบผมประดับพลอยราคาถูกที่ขายตามข้างทางทั่วไป เจ้าของมันบรรจงเสียบที่ผมดำขลับของหล่อน พลางบรรยายสรรพคุณจนคนฟังแก้มแดง


    "มันเป็นเพียงหวีเสียบผมเก่าๆมิได้มีค่างวดใด เป็นของเก่าเจ้าจอมมารดาข้า นางคงยินดีหากได้เห็นสะใภ้งามเช่นนี้ และนางคงยินดีกว่าหากนางในดวงใจของข้ารับมันด้วยความยินดี"


    "แต่ข้า....เป็นหญิงขายตัว"


    "หลายนางที่ทำเพียงรับแขกหาได้เสียร่างกายไม่ หากเจ้าจะกรุณา...โปรดเก็บพรหมจรรย์ไว้ให้ข้าในยามที่เราร่วมหอ"


    รอยยิ้มเสน่หาผุดบนดวงหน้าของชายหนุ่ม มือหยาบสอดเข้าหาใบหน้าหวานที่ขึ้นสีชาดหล่อนนิ่งค้างกับคำขอ นางผลักดันเขาออกก่อนจะจ้องมองคาดโทษ


    "....ชื่อข้าเจ้ายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ เหตุใดจึงบังอาจจาบจ้วงถึงภายในข้าเยี่ยงนี้...!"


    "ท่านเองก็ยังมิรู้ชื่อข้าเช่นกัน เหตุใดจึงลวนลามข้าด้วยสายตาเช่นนั้น"


    ดอกไม้งามกระทืบเท้าเร่าๆผิดวิสัยหญิงงามเมืองด้วยความขัดเคืองที่สุมอกขณะที่อีกฝ่ายหัวเราะเย้ยหล่อน


    "ไฮ้ เจ้าคนปากดี ไฉนจึ่งมายอกย้อนคำข้า... เหตุข้าจะมิทราบ เจ้านั้นแซ่ลู่!"


    "ฉลาดนัก ข้าชื่อลู่หาน... ส่วนเจ้าคนงาม เจ้ามีนามว่าซิ่วหมิน"


    "อึก ถูกของเจ้า ....หากแต่ตัวข้ามีนามแท้ว่ามินซอก บรรพบุรุษข้าอพยพมาตั้งถิ่นฐานที่แผ่นดินนี้"


    นางกอดอกทำหน้าหยัน แม้จะแปลกใจที่อีกฝ่ายรู้จักชื่อ ทว่าความลับนี้มารดากล่าวว่าห้ามบอกใครเรี่ยราด จึ่งมิมีใครทราบแน่


    "ถึงว่า งามผิดมนุษย์มนา"


    "...ใบหน้าเจ้าช่างเพ้อฝันนัก รีบกลับเรือนเสียเด็กน้อย ข้าจักฝึกดนตรีแล้ว"


    หล่อนปัดรำคาญด้วยความขัดเขิน เจ้าเด็กนี่ได้ทีหยอดได้ทีเย้าเสียจริง หากคุยต่อมีแต่จักเสียสติตาม สาวงามตั้งใจจะเล่นดนตรีของนางต่อทว่าวงแขนแข็งแรงของอีกคนกลับเอื้อมมาพันธนาการหล่อนจากทางด้านหลัง


    ".....จะ จะ เจ้าจะทำอันใด!"


    "เจ้าวางมือเช่นมิถูกต้อง ข้าจะช่วยสอนให้เจ้าเองแม้ข้าจะจับดาบมากกว่าเครื่องดนตรีก็เถอะ ขืนดึงดันให้เจ้าฝึกเองเกรงว่านิ้วงามจักได้ขาดคาสายแน่แท้ หากภรรยาข้านิ้วขาดไปผู้ใดจะรับผิดชอบ"


    ร่างบางก้มหน้าเอียงอาย มือเรียวคู่ที่ถูกจับกุมอยู่นั้นสั่นเทาจนแลดูน่าละอายนัก จนอีกฝ่ายกระซิบข้างหูว่าอย่าเกร็ง

    นักรบหนุ่มเสี้ยมสอนหล่อนถึงหลักการเล่น ก่อนจะพาลงมือปฏิบัติ หล่อนดูประหม่าที่จะเล่นต่อหน้าเขา แต่ครั้นลองเล่นจริงกลับดูง่ายกว่าเก่ามาก น่ากลัวว่าจะเกิดจากอาจารย์ดี เขาปล่อยให้นางได้ลงมือเอง แม้จะเกิดความผิดเพี้ยนแต่ก็ถูกแก้ไขได้ในเวลาอันรวดเร็ว หล่อนดูยิ่งดีเป็นการใหญ่โตกับความสำเร็จ ลู่หานเฝ้ามองผู้เป็นพี่ด้วยความเอ็นดู สายตาของเขาแสดงออกเสียทุกความรู้สึกที่มีต่อนางผู้งดงาม...


    บัดนี้ซิวหมินกำลังเติบใหญ่ขึ้นอีกก้าวต่อการเป็นหญิงเพียบพร้อมเพื่อลู่หาน



    ราวกับดอกไม้งามที่กำลังพยายามแย้มกลีบอย่างเต็มกำลัง...









    คุณชายจางสามารถทำได้ทุกอย่างดั่งคำกล่าวอ้าง...


    ไม่กี่วันต่อมา ซิ่วหมินได้ถูกซื้อตัวจากหอไฮ่หยางเพื่อไปรับใช้เจ้าฟ้าที่บ้านตระกูลลู่ตามความต้องการของทั้งสองฝ่าย ประหลาดนักที่นายแม่มิเอ่ยคัดค้าน ซ้ำยังอนุญาตให้ลู่หานเป็นฝ่ายมารับตัวเขาถึงหอด้วยรอยยิ้มกว้างแต่แลดูอิดโรย เจ้าฟ้าหยิบกำไลหยกที่เคยฝังไว้มาสวมให้หล่อน และพาหล่อนกลับเรือนด้วยอาชาตัวโปรด....


    ทุกอย่างมันเป็นไปอย่างเรียบร้อย คล้ายฟ้าสงบก่อนพายุคลั่ง...








    ปึง!!!


    "โอ๊ย!"


    "เพลานี้เจ้าฟ้ามิอยู่คุ้มกะลาหัว ตัวเจ้าก็ต้องรู้ดีว่าควรอยู่ที่ใด ฮึ ถิ่นเก่าเจ้าคงมิโสโครกต่างจากคอกม้านักดอก หัดทำตนให้เป็นประโยชน์เสียบ้าง แม่หญิงงามนคร!"


    ซิ่วหมินค่อยๆชันตัวพลางสำรวจแผลตามตัว ก่อนจะตวัดสายตาไม่พอใจใส่ผู้บังอาจกระทำอาจหาญ เป็นหญิงงามสูงศักดิ์กรีดพัดปิดใบหน้าสะใจ มิต้องเดาก็แถลงไขได้ว่านางกำลังยกยิ้มสะใจเพียงใด


    ชายผู้เป็นคนรับใช้ปิดประตูคอกม้าที่อยู่ห่างไกลตัวเรือนโดยปล่อยให้เขาด้านในอย่างโดดเดี่ยว ดอกไม้งามวิ่งไปเคาะประตูอย่างเกี้ยวกราด หล่อนด่าทอและหวีดร้องเสียงหลงทนต้องยกธงขาวยอมแพ้ไป หล่อนทรุดตัวนั่งลงอย่างเหนื่อยอ่อน น้ำตาที่เก็บไว้ไหลช้าๆด้วยความโหยหาเจ้าชีวิตที่หายหน้าไปหลายชั่วยามแล้ว


    ตัวเขารู้มาเนิ่นนานแล้วว่าที่เเห่งนี้มิได้ต้อนรับคนนอกฐานะต่ำต้อยเช่นตน สายตาของทุกคนมองกลับมาราวกับเขาเป็นตัวประหลาด เต็มไปด้วยความรังเกียจ ไม่มีใครที่ยอมรับ ไม่มีที่ยืน ยอมรับว่าภายในมันทรมานอย่างหนักจนอยากจะวิ่งออกไป ทว่าเมื่อได้เห็นรอยยิ้มยินดีจากอีกฝ่ายที่มีให้เขาแล้ว บุปผาดอกนี้ มิมีสิ่งใดที่กลัว...


    ฮี้...


    เจ้าม้าทั้งหลายร้องเบาๆเป็นเชิงปลอบโยน เจ้าตัวที่ใกล้สุดพยายามเข้าหน้ามาใกล้เขา มือเรียวยกขึ้นลูบจมูกมันอย่างเอ็นดู หากลองคิดในแง่ดี ...อย่างน้อยสัตว์มันก็ไม่รังเกียจเขา


    อย่างน้อย ...เจ้าฟ้าก็ยังต้องการตัวเขา



    "ข้าสบายดี มิเป็นไร... อย่างน้อยข้าก็ได้พบพวกเจ้าอีก"


    ซิ่วหมินยิ้มน้อยๆ นางลุกขึ้นก่อนจะแบกฟางและถังน้ำมาจัดอาหารให้เหล่าสหาย มือขาวแดงปื้นจากการทำงานอย่างหนัก ดวงหน้าหวานโทรมจนใต้ดวงตาคล้ำเสีย ริมฝีปากที่แห้งผากขาดการบำรุงซ้ำยังผมเผ้าที่ต้องรวบขึ้นอย่างมิเห็นคุณค่า


    ตัวนางมักถูกใช้งานบ้านอย่างหนักเวลาที่เจ้าลู่ออกราชการ ตั้งแต่ทำความสะอาดเรือนยันคอกม้า แบกน้ำ ผ่าฟืน ซักผ้า และอื่นๆ ยกเว้นงานบ้านเรือนที่มิเคยแตะต้อง โดยเฉพาะเเม่หญิงฮัว ว่าที่คู่หมั้นคู่หมายของคุณชายลู่ นางเจ้าอารมณ์และเอาแต่ใจตนเอง ซ้ำมักจะทำตนราวกับเป็นชายาเจ้าฟ้าทั้งที่ๆหล่อนยังมิได้ชนะศึก... แต่ด้วยพื้นเพอันดีงามมาแต่ก่อน ทุกคนย่อมต่างพะเน้อพะนอนางดั่งไข่ในหินอยู่แล้ว


    "แต่ลู่หานรักข้า...มิใช่นาง ใช่ไหมเล่า เจ้าม้า"


    มือขาวลูบไล้แผงคอนุ่มอาชาตัวโปรดของเจ้าฟ้า มันเป็นตัวที่ลู่หานมักจะขี่ตะลอนไปทั่ว ตาใสแป๋วสะท้อนภาพซิ่วหมินด้วยความภักดีดั่งที่เจ้านายได้สั่งสอนเอาไว้ว่าคนๆนี้คือคนสำคัญ...


    คนสำคัญของลู่หาน...









    "ข้าขอโทษ ที่พาเจ้ามาลำบาก..."


    ลู่หานจับมือที่บอบช้ำของซิ่วหมินมาแนบดวงหน้าตนที่ฉายความเศร้าสลด ตัวเขาเศร้านักที่ต้องทนเห็นคนรักเจ็บตัว ทุกๆครั้งต้องจากเรือนด้วยใจอันร้อนรุ่ม และครั้งกลับมาจักต้องทนเห็นยอดดวงใจยืนรอรับด้วยรอยยิ้มแม้เนื้อตัวจะมอมแมมและบางที่ก็มีรอยแผลประปราย

    มือที่นิ่มนวลกลับกลายเป็นหยาบกร้านจากการใช้แรงงาน ทั้งๆที่เมื่อก่อนนางมิเคยต้องมาทำเรื่องเช่นนี้ กลับกลายเป็นเขาเองที่พานางมาระกำลำบาก หล่อนกุมมือของเจ้าฟ้าเป็นการบอกว่าตัวนางยังคงสู้ไหวเสมอ


    "เหตุใดต้องขอโทษ ข้าต่างหากที่ยังมิดีพอ เจ้าฟ้า ท่านรักข้าใช่ไหม"


    ลู่หานเลื่อนมือขึ้นสูงเป็นจับกระหม่อมบางก่อนที่ตัวเขาจะบรรจงจูบลงบนหน้าผากกว้างด้วยความหนักแน่นตามความรักที่มีให้เสมอมา...


    "ชายชาตินักรบ กล่าวแล้วมิเคยคืนคำ ...มินซอก ลู่หานผู้นี้รักเจ้าจากก้นบึ้งหัวใจจริง ต่อให้เจ้าจักเป็นบุรุษหรือสตรี ต่อให้เจ้าจักเป็นจักรพรรดิคือคนธรรมดา ต่อให้เจ้ากลายเป็นอัปลักษณ์และชราภาพ ต่อให้เจ้าร้องไห้หรือยิ้มแย้ม... เมื่อใดที่เจ้าถามข้าเช่นนี้ ข้าจักพูดเพียงประโยคเดียว ...ใช่ ข้ารักเจ้า"


    วงแขนกว้างรวบตัวคนรักเข้าไปโอบกอด ซิ่วหมินตอบรับสัมผัสอบอุ่นอย่างมิรังเกียจ น้ำตาใสแห่งความปิติยินดีเอ่อคลออยู่รอบๆ เจ้าฟ้าลูบศีรษะสวย...ทว่าสายตาเลื่อยลอยกลับฉายบางสิ่งออกมา


    "และไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น .....โปรดจดจำ ว่าข้าคนนี้รักเจ้า..."



    มันคือแววตาอันแสนเจ็บปวดของชายชาตินักรบนามลู่หาน...






    4 / 5




    ทั้งๆที่กล่าววาจาไว้เช่นนั้นแล้ว แต่...เหตุใดมันจึงกลายเป็นแบบนี้


    หลังจากกลับจากราชการครั้งใหม่ และหลังจากนั้นเจ้าฟ้าได้ทำการตบแต่งชายาใหญ่เป็นทางการ มิใช่แม่หญิงฮัว มิใช่ซิ่วหมิน นางเป็นเพียงหญิงสาวบ้านฐานะดีหน้าตาสะอาดสะอ้านพร้อมด้วยจิตใจอารีย์ ทุกคนในบ้านใหญ่ต่างเอาอกเอาใจนาง คอยดูแลเป็นอย่างดีด้วยความเมตตา

    ทั้งๆที่นางก็คล้ายตัวข้า...แต่เหตุใด ทีกับตัวข้าเหตุใดจึ่งมิมีผู้ใดจะปฏิบัติด้วยเช่นนั้นเลย



    เจ้าฟ้าห่างเหินไปจากข้าอีกแล้ว หลายวันมานี้เขามิแม้แต่จะเข้ามาหาข้าเพราะมัวแต่ระคบประหงมนาง คำพูดคำจาห่างเหินซ้ำกิริยาที่ดูแปลกประหลาด เรื่องราวเก่าๆก็ลืมเลือนไปดั่งผู้ความจำเสื่อมถอย แต่ที่มากที่สุด...คือสายตาที่ฉาบด้วยความเทิดทูนบูชาคู่นั้นมิได้มีเพื่อซิ่วหมินผู้นั้นอีกแล้ว...เพราะมันสะท้อนเพียงแต่ใบหน้าของหญิงผู้นั้น


    นางผู้งามงดและปราดเปรื่องในทุกด้านที่กุลสตรีควรเป็น ดูอย่างไรก็ช่างเข้าทีกับตัวเจ้าฟ้าผู้สง่างาม ราวกิ่งทองใบหยกตามคำกล่าว

    นางผู้นั้นที่ได้รับความรักและเอาใจใส่จากเจ้าฟ้า ผิดจากข้า....ที่เป็นเพียงหมาหัวเน่า




    วันแล้ววันเล่ากับท่าทีที่เย็นชาและห่างเหินของเจ้าฟ้า วันแล้ววันเล่ากับการอดทนกับภาพบาดตาบาดใจ วันแล้ววันเล่าที่เฝ้านึกถึงคำบอกรักอดีตให้เป็นยาใจในการใช้ชีวิต และวันแล้ววันเล่าที่ร่ำร้องจมอยู่กับกองหยาดน้ำตา


    ฟ้าดินจะแยกห่างเราออกจากกันอีกเท่าใดท่านถึงจะพอใจ?







    ซิก... ฮือ...


    บุปผาผู้ห่อเหี่ยวหลบหนีออกมานั่งร้องไห้อยู่ผู้เดียวอีกครั้งในคอกม้าเก่า ไม่รู้กี่ครั้งที่ทำแบบนี้... ทั้งๆร้องไห้มาตั้งแต่เด็กจนโต เหตุใดน้ำตากลับยังมิยอมหมดเสียที

    เหนื่อยนักที่ต้องเสียใจกับชายคนรัก แม้ตัวเขาปรารถนาจะเข้มแข็ง แต่ไม่ว่าจะพยายามเช่นไรมันก็ยังคงเปราะบางนัก...


    ไหนบอกข้านักว่าชาตินักรบมิกลืนน้ำลายตัวเอง แล้วไฉนจึ่งปล่อยให้ยอดดวงใจเสียน้ำตา ท่านลืม...หรือท่านมิเคยคิดจะจำ...หรือเกิดอันใดขึ้นกับตัวท่านกัน...


    'ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าคนนี้รักเจ้า...'



    "...หรือเป็นเพราะนางผู้นั้น"









    ครืด...


    ซิ่วหมินปิดประตูห้องอย่างเบามือ แสงโคมอ่อนๆสาดกระจายไปทั่วห้องหรู ที่สุดสายตาคือร่างบอบบางของหญิงงามที่นอนหลับสนิทบนเตียงไม้ บุปผางามเดินไปหยุดอยู่ข้างตัวนาง ซิ่วหมินวางโคมไฟลงบนพื้น มือเรียวชักมีดทำครัวขึ้นมาพินิจ ปากบางยกยิ้มแกนๆ


    หากเจ้าฟ้ามิได้เลือกตัวข้า ผู้ใดก็อย่าหวังว่าจะได้...


    ซิ่วหมินเงื้อมีดขึ้นสูง พลางจ้องมองใบหน้าหวานที่หลับใหลสนิทดั่งเจ้าหญิงน้อย นางช่างดูบริสุทธิ์และใสซื่อ ...นางช่างเลอค่าจนอดคิดไม่ได้ว่า


    มันสมควรแล้วเหรอกับการลงทัณฑ์แสนไร้เหตุผลนี้ ?

    มันสมควรแล้วหรือที่คนๆนึงจะต้องสังเวยชีวิตเพื่อความพึงพอใจของคนเพียงคนเดียวที่แสนจะไร้ค่า ?

    สมควรแล้วเหรอที่นางต้องตายเพราะนางมีความรัก ?


    แต่ว่า....


    "ขอเพียงนางตายไป...ลู่หานจักเป็นของข้า..."


    กึด...


    มือขาวกำมีดแน่นจนสั่น เหงื่อกาฬไหลลงรอบดวงหน้าสวย สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ภายในห้องเงียบงันเสียงหัวใจเต้นดังสนั่นอย่างห้ามไม่อยู่...


    ฟันขาวขบเข้าหากัน ครั้นมองเลยผ่านไปเห็นใบหน้าคมที่คุ้นเคยที่กกกอดอยู่กับหญิงร่างบางดังคนรัก....หยาดน้ำตาที่สะสมคล้ายจะพังทลาย


    พวกเขาคง...รักกันมากใช่ไหม ?

    ลู่หานท่านเลือกนางแล้วใช่ไหม ?



    ซิ่่วหมินมองภาพเบลอผ่านม่านน้ำตา ดวงตาทั้งคู่ฉายความเกลียดชังและเสียใจกลบศีลธรรมงาม มือเรียวกำชับมีดและจ้วงลงไปที่ต้นคอขาว ....และวินาทีนั้นนางเองที่ต้องเป็นฝ่ายเสียใจ



    ฉึก!!



    "ฮึ ฮือ...."



    ...




    "แม่หญิง....ท่านเข้ามาได้อย่างไร!? ผม...ผมข้า...."


    ช่างน่าเสียดายนัก ...ที่นางมิอาจทำใจปลิดชีวิตศัตรูหัวใจด้วยมือตนเอง



    หญิงสาวงุนงงกับเหตุการณ์อุกอาจกลางดึกเยี่ยงนี้ นางเพียงได้ยินเสียงบางสิ่งดังอยู่ข้างๆจึงตื่นขึ้นมาเผื่อเหตุอันใดเกิด แต่ก็พบเพียงบุปผางามที่เปรอะเปื้อนด้วยน้ำตากับมีดทำครัวที่ปักอยู่ข้างๆเฉียดลำคอไป แต่มันก็ทำให้กลุ่มผมบางส่วนขาดออก



    "ฮื้อ.....ข้าทำไม่ได้...."



    หากนางตายไป...เจ้าฟ้าจักต้องเสียใจ ....แล้วก็ต้องร้องไห้ ....ต้องทุกข์ทรมานเจียนตาย


    ตัวข้ารู้ดีไม่ใช่หรือ ว่าการต้องทนร้องไห้อย่างเดียวดายมันเป็นอย่างไร... หากเจ้าฟ้าจักต้องร้องไห้เช่นนั้น ข้าคงต้องทุกข์ตรม...


    ...เช่นนั้น ข้าจะขอรับมันไว้เอง



    ซิ่วหมินทรุดลงคร่ำครวญด้วยหัวใจจะขาดรอน ตัวเขากอดเข่าดั่งที่ชอบทำเวลาร้องไห้เป็นการปิดกั้น น้ำตาจากดวงตาคู่ไหลทะลักตามแรงอารมณ์ เหนื่อยเหลือเกินที่ต้องรับบทบาทแห่งความอัปยศ ทว่าขอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น...



    แม้ข้าจะต้องเสียน้ำตาไปอีกกี่หมื่นพันปี แต่ขอเพียงแค่นี้...


    ขอแค่คนที่ข้ารัก...มีความสุขก็พอ







    "เจ้าพี่ ท่านบอกนางเถอะ ไม่ดีเลยที่จะปล่อยไว้เช่นนี้"


    สาวงามกระตุกชายเสื้อสามีที่ยืนอยู่ด้วยกัน นานแล้วที่นางเห็นอีกฝ่ายยืนเหม่อลอยอยู่ตรงหน้าอาชาไนยตัวรักของเจ้าฟ้าลู่หาน ตาบวมเป่งน่าเกลียดประดับบนหน้าโทรม ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะลากแขนนางไปหาเป้าหมาย

    ซิ่วหมินมองทั้งคู่ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความเลื่อนลอย


    "ลู่หาน..."


    "...แม่นางซิ่วหมิน ...ข้าคิดว่าเราต้องคุยกัน..."










    ซิ่วหมินมองธารน้ำที่ผูกพันธ์ตั้งแต่เยาว์วัย ตัวเขาชอบสายน้ำ...เมื่อใดที่ได้อยู่กับพวกมันซิ่วหมินจะรู้สึกสงบและใจเย็น พวกมันเป็นดั่งบ้านเกิดที่จากมา เปรียบดั่งมารดาของสรรพสิ่ง...


    "พระมารดา ...ตัวข้านั้นมิเคยคิดฝันถึงความรัก ชีวิตในหอนางโลมคงมิมีสิ่งใดนอกจากประเวณี... ทว่าท่านเห็นไหมเด็กคนนั้น ช่างสง่างามและอ่อนโยน เจ้าฟ้าลู่หานของข้า"


    มือเรียวลูบกำไลหยกที่เป็นของดูต่างหน้าของบุรุษชาติที่ออกไปแลกเลือดปกป้องมาตุภูมิในเพลานี้



    ในที่สุดตัวเขาก็ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดจากปากของลู่ฉาง ผู้เป็นน้องชายแฝดของเจ้าฟ้าตัวจริงว่าแท้จริงแล้วลู่หานตัวจริงได้ออกไปรบตามคำสั่งฉุกเฉินของนายเหนือหัว

    ทว่าด้วยความปรารถนามิให้ตัวซิ่วหมินต้องเป็นห่วง จึ่งได้ส่งตัวเจ้าน้องมาหลอกตาจนกว่าจะถึงเวลากลับมาจริง แม้คำสั่งจะกล่าวให้มาดูแลคนรักของเจ้าพี่ แต่ทว่าตัวน้องชายมีภรรยาอยู่แล้วจึงได้พาภรรยากลับมาด้วย จึ่งได้เกิดการเข้าใจผิดกันไปทั่ว

    แต่พอถามถึงเวลาที่จะกลับมา ลู่ฉางกลับบอกว่าไม่ทราบได้ว่าจะจบวันใด และไม่อาจจะทราบได้ว่า


    ...ลู่หานจะมีชีวิตกลับมาหรือไม่




    "ฟ้าดินเจ้า ตัวข้ามิเคยเอ่ยขอสิ่งใดต่อท่านเลย ข้ายอมรับชีวิตเหลวเเหลกของข้าโดยมิปริปาก แต่กับคราวนี้ได้โปรดฟังคำขอของตัวข้าบ้างเถิด หากพวกท่านยังไม่ทอดทิ้งข้า ได้โปรดปกปักษ์ยอดดวงใจของข้า..."


    ซิ่วหมินกุมมือพลางอ้อนวอนต่อสรวงสวรรค์ สายตาแรงกล้าไปด้วยแรงศรัทธา... ใบหน้าคมของผู้ห่างไกลลอยหวนขึ้นมา...


    ลู่หานมักจะพูดอยู่เสมอว่าตัวเขาฝึกฝนอย่างหนักเพื่อจะรับใช้แผ่นดิน ความฝันสูงสุดของนักรบคือการตายเพื่อแผ่นดินแม่...


    และที่สำคัญเมื่อครั้นมีสงครามจบเขาจะได้มีโอกาสได้กลับมาหาคนรักมากขึ้น...




    "โปรดปกป้องเจ้าฟ้าลู่หานของข้า ให้ตัวเขาปราชัยในสนามสงครามและกลับมาหาข้าอย่างปลอดภัย ขอเพียงแค่นี้...เพียงเท่านี้จริงๆ"




    และนี่เป็นสัญญาที่เขาทั้งสองได้มอบให้แก่กันเป็นเครื่องเตือนใจ....








    ซ่า....


    ซิ่วหมินลืมตาขึ้นตามเสียงรบกวน ภาพเบื้องหน้าสว่างจ้าจนต้องปรับสภาพอยู่นาน และก็ปรากฏเป็นภาพท้องทะเลสีทองอร่ามสุดลูกหูลูกตา บุปผางามตรงตะลึกก่อนจะชันตัวขึ้นยืนหลังจากที่นอนอยู่บนทราย ปากบางพึมพำด้วยความไม่เชื่อสาย


    "ที่นี่มัน...ชายทะเล"


    "ใช่แล้วล่ะ... ชายทะเลที่เจ้าชอบ"


    เจ้าหล่อนหันขวับไปตามต้นเสียงคุ้นเคยและได้พบใบหน้าของชายที่เฝ้ารอมาตลอด ลู่หานรวบตัวเล็กมากอดไว้แนบอก ขณะที่ซิ่วหมินลูบคลำตามร่างกายว่าไม่ได้คิดไปเอง แขนเรียวคว้าหลังเสื้อพลางซบหน้ารื้นน้ำตาไว้แนบอกอุ่นของนักรบหนุ่ม


    "ลู่หาน? ท่านกลับมาแล้ว....ท่านกลับมาแล้ว"


    "มินซอก เจ้าร้องไห้หรือ...เจ้าร้องไห้ทำไม คิดถึงข้าหรือ"


    "ใช่ ท่านใจร้ายมากที่ทิ้งข้าไปเช่นนั้น เหตุใดจึงมิบอกกล่าวข้าบ้าง"


    หล่อนกอดรัดเอวลู่หานแน่นด้วยความโหยหาและหวงแหน คนถูกกอดหัวเราะน้อยๆให้กับความน่าเอ็นดู


    "นี่กระไร ข้ากำลังจะบอกลาเจ้า บุปผางามของข้า เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเจ้าสำคัญกับข้าเพียงใด..."


    "ข้ารู้ ข้ารู้ดีจนเผลอน้อยใจไม่ได้ ปากก็บอกข้าเช่นนี้ แต่บางทีท่านก็ห่างเหินไปไกล จนข้าฟุ้งซ่านว่าท่านไม่รักข้าแล้วบ้าง ท่านลืมข้าแล้วบ้าง"


    "ขออย่าได้คิดเช่นนั้นเลย ไม่ว่าอย่างไร ข้าเป็นของเจ้า..."


    ลู่หานล้วงสิ่งของจากเสื้อ เป็นหวีไม้ที่ตัวเขาพยายามเฝ้าขอคืนจากพี่สาวมาเป็นเวลานาน สายตารู้สึกผิดจ้องมองใบหน้าคมระริก


    "หวีนี้ ท่านไปได้มาอย่างไร ในเมื่อพี่สาวข้าเขายึดไปหลังจากที่นายแม่เขาจับได้หลังท่านพาข้ามาที่นี่ รู้ไหมว่าเขากักขังข้าไว้ร่วมเดือน ข้าคิดถึงท่านขนาดไหน"


    "พี่สาวเจ้ามอบให้ข้าเอง นางบอกว่าเจ้าทิ้งขว้างมันแล้วเพราะเจ้าไม่ต้องการของเช่นนี้ นางจึงเก็บมาให้เจ้าของเดิมเช่นข้าและกล่าวกับข้าว่าให้ตัดใจจากเจ้า ....ทีแรกข้าก็มิเชื่อและว่าจะเก็บไว้คืนเจ้า แต่นานเข้าเจ้าก็มิโผล่มาแก้ตัว จนข้าต้องเก็บไว้แทนใจ แต่ถึงอย่างไร มันอยู่กับเจ้าเหมาะสมที่สุด"


    มินซอกหลับตาลงเมื่อยามอีกฝ่ายเสียบมันลงบนผมเขา ลู่หานลูบผมดำขลับงามด้วยความหลงใหลก่อนจะกดจูบลงบนหน้าผากกว้าง...

    ลู่หานเลื่อนมือมาประคองโครงหน้าสวยพลางจ้องมองลงไปในนัยน์ตาสวยด้วยความเศร้าสร้อย...



    "มินซอก เจ้าสัญญาได้ไหมว่าจะเลิกเสียใจเรื่องของข้า หากสักวันข้าอาจต้องเดินทางไกล"


    "ไม่ ข้าไม่ทำ ท่านจะไปไหนอีก ก็ตัวท่านบอกจะไม่ทิ้งข้า"


    "ข้ามิเคยละเลยเจ้า แม้ตัวห่างไกล แต่หัวใจของข้ายังอยู่กับเจ้า คอยปกป้องดูแลเสมอ"


    ลู่หานคว้ามือซิ่วหมินไปทาบอกด้านซ้ายของนักรบหนุ่ม ดอกไม้งามส่ายหน้ารัวๆ ทว่าหัวใจภายในราวกับถูกกระชากไปแล้ว...


    "เจ้าฟ้า เหตุใดจึงพูดเช่นนั้น อย่าจากข้าไปมิได้หรือ"


    "มินซอก ตัวข้านั้นเกิดจากแผ่นดินสักวันข้าต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน และดวงใจของข้าที่เกิดจากเจ้า...มันจักคงอยู่กับเจ้าตลอดกาล"


    "....ลู่หาน .....อย่าไป แล้วข้าจะอยู่อย่างไร เจ้าฟ้า..."


    ลู่หานยิ้มน้อยๆก่อนจะก้มหน้าลงไปจูบปากบางด้วยความโหยหาและอ่อนโยน รอยจูบที่เนิ่นนานราวกับว่าต้องการถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดประทับไว้มิให้รู้ลืม ร่างกายหยาบค่อยๆเลือนรางจนแทบจะหายไปจากสายตา

    ซิ่วหมินร้องเรียกชื่อลู่หานราวจะขาดใจ ทว่าแม้พยายามจะรั้งไว้สักเพียงใดก็มิอาจจะทำได้ แม้ภาพด้านหน้าจะรางเลือนเพราะน้ำตากลบแต่เพียงรอยยิ้มแสนเจิดจ้าที่ยังเคยดับสูญหายไป


    "โปรดจดจำผู้ชายคนนี้ไว้ด้วยหัวใจของเจ้า...ว่าข้าลู่หานจะรักและเทิดทูนเจ้ามินซอก ไม่ว่าจะเวลาใด ชาติใด ภพใด จิตวิญญาณของข้าเป็นข้าเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น"


    "ลู่หาน...ข้ารักท่าน เจ้าฟ้า... อึก ข้า..."


    ซิ่วหมินทรุดตัวลงแทบแทบเท้าลู่หาน นางบรรจงจูบลงที่เท้าของชายหนุ่มเพื่อแสดงถึงความจงรักภักดีของนางที่มีต่อ ความรักของทั้งคู่ ลู่หานย่อกายลงและเอื้อมมือมากอดยอดดวงใจของตนไว้ เขาพยายามจะเช็ดน้ำตาให้นางแม้จะไม่อาจจะทำได้อีกต่อไป....


    "จงแย้มยิ้มเพื่อข้าตลอดไปเถิดนะ ...ภรรยายอดรักของข้า"


    ซิ่วหมินพยักหน้ารัวเป็นการรับคำพลางฉีกแย้มส่งลา เจ้าฟ้าหนุ่มแย้มยิ้มสุดท้ายก่อนที่เขาจะหายไป...





    เหตุใดฟ้าดินต้องใจร้ายต่อข้าขนาดนี้...








    "แม่นาง เจ้าออกมาทำอะไรแต่เช้ามืด..."


    ลู่ฉางเดินเข้ามาหาคนรักของพี่ชายที่นั่งแกร่วแถวหน้าบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ ตานางดูบวมแดงหนักกว่าวันใดๆ ซิ่วหมินมิได้มองหน้าคนถาม นางเพียงเอาแต่จ้องมองไปยังประตูเรือนที่ปิดอยู่


    "ข้า...มารับเจ้าฟ้า ...เขาจักกลับมาวันนี้"


    "ฮะ? แต่ว่า..."


    ปึง! ปึง!


    "เจ้าฟ้าฉาง เจ้าฟ้าฉาง! ...กองทัพกลับมาจากสงครามแล้วขอรับ!!"


    ลู่ฉางมองหน้าซิ่วหมินเขม็งด้วยความประหลาดใจ ดอกไม้เหี่ยวเฉาหันกลับมามองใบหน้าคมคล้ายคนรักที่แลคล้ายต้องการคำตอบ เพียงแต่นางกลับเดินหนีไปรับพี่ชายเขาเงียบๆ และปล่อยให้เขายืนเคว้งอยู่เพียงผู้เดียว





    "อีกไม่นานหรอก..."







    ซิ่วหมินกำลังมองใบหน้าคมของลู่หานเป็นครั้งสุดท้าย...


    พิธีศพถูดจัดขึ้นอย่างลับๆและมิได้โอ่อ่าใดมากด้วยเจตจำนงของตระกูลลู่ เพียงแต่ชื่อของเเม่ทัพลู่หานนั้นจะต้องถูกยกย่องตามพิธี... ทั้งเรือนระงมไปด้วยเสียงสะอื้นของเหล่าข้ารับใช้ที่สูญเสียนายที่รักยิ่งและชายาของเจ้าฟ้าฉางที่อดน้ำตารื้นมิได้กับภาพที่เห็น ลู่หานจากปากลู่ฉางนั้นเป็นพี่ชายที่แสนดี นางซบหน้าลงที่อกสามี ลู่ฉางมองศพพี่ชายด้วยความรักและคำนึงหา ตาคมแดงก่ำ ทว่าตัวเขาที่ต้องขึ้นเป็นเจ้าบ้านคงมิอาจร้องไห้เป็นตายให้ทุกคนได้เห็นง่ายๆ...


    ร่างของนักรบหนุ่มถูกวางบนไม้ฟืนอย่างสง่างาม ใบหน้าคมคายแม้ผ่านสงครามมากลับยังงามดั่งเก่า ซิ่วหมินได้รับการอนุญาตจากเจ้าฟ้าฉางให้เป็นผู้จุดไฟ นางไล้โครงหน้าที่เย็นเยียบและจูบลงที่ปากเฉียบเป็นการสั่งลา คบไฟถูกโยนลงบนกองไฟก่อนที่มันจะลามเลียไปทั่วบริเวณ


    บุปผาไร้นายไร้ซึ่งหยาดน้ำตา นางเพียงยืนอยู่ใกล้ๆกลุ่มเพลิงนั้น เปลวไฟสะท้อนอยู่ในแววตาว่างเปล่า...


    แต่แล้ว...ทันใด


    "จับนางไว้ก่อน!!! เร็วเข้า!!!"


    เจ้าฟ้าตะโกนอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นซิ่วหมินพยายามจะเข้าไปในกองเพลิงที่โหมกระหน่ำอยู่นั้น ชายรับใช้รีบเข้ามาตะครุบตัวนางจนกลิ้งโค่โล่ไปคลุกกับผืนดิน หล่อนทั้งทุบตีและดิ้นหนีจากการจับกุมเป็นพัลวัน


    "ปล่อยข้า!!!!! ข้าจะไปกับเจ้าฟ้า!!!!!!!!!!"


    ซิ่วหมินกองเพลิงด้วยความรวดร้าวเหลือแสน นางกรีดร้องดั่งคนเสียสติ ลู่ฉางต้องรีบลากตัวนางเอาไว้ห่างๆกองไฟ ซิ่วหมินยังคงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดและรุนแรงตามอารมณ์


    ลู่หานยังคงอยู่ในห้วงนิทรา ใบหน้าคมค่อยๆกลายสภาพเพราะความร้อน จนมิเหมือนเค้าคราวเดิมและมิอาจกลับมาเป็นดั่งเดิมได้อีกแล้ว


    ซิ่วหมินกรีดร้องดังลั่น มือขาวพยายามที่จะไขว่คว้าตัวคนรัก มิกลัวแม้เปลวไฟที่โหมแรง ทั้งใจปรารถนาเพียงขอให้ได้ไปถึงตัวของคนผู้นั้น...ทว่ากลับมิสามารถทำได้เลย



    "เจ้าฟ้า!!!! ลู่หาน!!!!!!!!! อ๊าาาาาา!!!!!!!!!!!!"



    ...



    เปลวไฟที่ค่อยๆมอดลงเผยให้เห็นเถ้าร้อนพร้อมเศษกระดูก มิต่างอันใดกับเผาหัวใจของซิ่วหมินให้ตายทั้งเป็น...


    นางยังคงนั่งอยู่ที่ตรงเดิมแม้ผู้อื่นจะหนีหายไปแล้ว แต่ซิ่วหมินยังกอดเข่ามองเถ้าถ่านคนรักมิห่างไกล แม้ใครจะมาเรียก แต่นางกลับเอาแต่พูดอยู่เพียงไม่กี่คำ...


    "...ลู่หานของข้า..."




    "ท่านใช่ไหมที่ชื่อ มินซอก...ข้าเห็นว่าใครๆต่างเรียกท่านว่าซิ่วหมิน น่าแปลก เจ้าฟ้าลู่หานเอาแต่เรียกคนรักเขาว่ามินซอก"


    "ข้าเอง มันเป็นนามของข้า ...ลู่หานรู้นามนั้นของข้า"


    "ข้าขออภัยที่มิอาจปกป้องแม่ทัพ เพราะพวกเราไร้ฝีมือ... สิ่งนี้ เจ้าฟ้าได้ฝากมันไว้แด่ผู้รอดชีวิตทุกนาย เผื่อเหตุการณ์ใดเกิด...เขาบอกให้มันแก่ท่าน แม้ตอนท้ายของชีวิต ...ตัวเขาก็เฝ้าเพ้อถึงแต่ชื่อของท่าน..."


    ซิ่วหมินรับมันมาจากนายทหารนิรนามที่เดินจากไป จากกล่องไม้ออกก็พบเป็นจดหมายที่เขียนถึงนาง หวีเสียบผมของต่างหน้า


    และแหวนที่ประดับด้วยไพลินสีน้ำเงินสด...งดงามดั่งท้องมหาสมุทรกว้างที่ตัวเขาหลงรัก








    "ขอบพระคุณคุณชายจาง ท่านมิน่าลำบากเลย..."


    ซิ่วหมินค่อยๆเคลื่อนตัวลงจากหลังของจางอี้ชิง เนื่องด้วยความบังเอิญหรือจงใจที่จู่ๆคุณชายท่านนี้ก็โผล่มาพาเขามาที่ๆต้องการ คุณชายหน้าสวยอมยิ้มหวานพลางเอื้อมมือมาลูบศรีษะสวยของคนด้านล่าง


    "หามิได้ ผู้ใดจักปล่อยให้สตรีงามเดินเท้าเปลี่ยวเปล่าในยามวิกาลกันเล่า"


    "ช่างหยอกช่างเย้าเช่นเดียวเชียว"


    "มินซอก... เจ้ารู้ไหมว่ามิใช่เจ้าคนเดียวหรอกที่ริทำพันธะสัญญากับปีศาจเช่นข้า..."


    อี้ชิงหยิบปอยผมยาวของซิ่วหมินขึ้นมาหอมก่อนจะปล่อยลงลู่ใบหน้าหวาน นางเพียงยิ้มน้อยๆตามคำ


    "ลู่หานเองก็มีความปรารถนาในตัวเจ้า"


    "...ข้ามิรู้หรอกว่าท่านพื้นเพเช่นไร ทว่าท่านช่างลึกลับนักคุณชายจางอี้ชิง และข้าต้องขอบคุณท่าน...ที่ทำให้ข้ากับเขาได้ครองคู่กัน"


    "นั่น...มันเกิดจากพวกเจ้า"


    ซิ่วหมินทอดตาไปยังท้องทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตา นางยกยิ้มกว้างชอบใจ ร่างบางโค้งคำนับผู้มีคุณ


    "หากเช่นนั้น ข้าต้องขอลาสักที"







    จางอี้ชิงมองตามแผ่นหลังบางในความมืดสลัว ร่างบางของซิ่วหมินกำลังมุ่งหน้าไปในที่ๆสุดแสนสงบและเย็นเยียบเพื่อจะพักผ่อนตลอดกาล...ภายใต้ท้องสมุทร... คุณชายจางยิ้มหวานด้วยความเอ็นดู...


    "ข้าจะคอยเฝ้าดูเจ้า...เจ้าเงือกน้อยของข้า"







    ชายทะเลแห่งนี้ เป็นที่ๆลู่หานเคยพามา...มันเป็นที่แห่งความทรงจำและที่ๆตัวเขาชอบที่สุด...


    ซิ่วหมินในวันนี้ดูแปลกตาไป ร่างบอบบางของบุปผางามอยู่ในชุดสีน้ำเงินครามสง่า ใบหน้าถูกแต่งแต้มจนเข้ม บนผมดำถูกเกล้าขึ้นและประดับด้วยความทรงงดงามแต่กลับมีหวีเสียบผมเก่าๆที่ดูแปลกต่าง...

    นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำไมจางอี้ชิงมักจะชมอยู่เสมอว่า.....งามผิดมนุษย์มนา...


    ซิ่วหมินเงยหน้ารับกลิ่นเค็มๆจากลมทะเล ท้องสมุทรสีดำที่น่าหลงใหลสะท้อนล้อประกายจากดวงดาวบนท้องฟ้ากว่า หล่อนหยิบเศษผ้าที่บรรจุเศษเถ้าของชายคนรักขึ้นกอดไว้แนบอก


    "ไม่ว่าจะภพใด ชาติใด ...เราจะได้เกิดมาคู่กันเสมอไป"







    ' เจ้าชอบที่นี่หรือ? '

    ' ใช่ ข้าชอบน้ำ! ข้าชอบทะเล '

    ' เช่นนั้น หากสุดท้ายปลายชีวิต ข้าและเจ้าเราจะมาอยู่ด้วยกันที่นี่ดีไหม '

    ' ขอเพียงแค่อยู่กับท่าน ไม่ว่าจะที่ใด ข้าก็ไปทั้งนั้น... '



    บุ๋ง...



    ฟองอากาศน้ำลอยผุดขึ้นจากทะเลอันมืดดำที่ผู้ใดก็ต่างพากันหวาดกลัวถึงธรรมชาติอันงดงาม...


    นัยน์ตาหวานจ้องมองแสงจันทร์ที่ทะลุผ่านน้ำลงมาสะท้อนแหวนไพลินเม็ดงามที่เจ้าฟ้าได้มอบให้ แสงทอประกายช่างสวยงามจนมิอาจละสายตา...


    ซิ่วหมินถดมือวางไว้ข้างลำตัวที่ค่อยๆจมดิ่งสู่ท้องสมุทร ความเย็นจากทะเลทำให้ตัวแข็งชาจนไม่รู้สึกใดๆ ความมืดทั้งหลายค่อยๆคืบคลานเข้ามาโอบรอบตัวบาง ความอึดอัดค่อยๆเข้าโถมตามอากาศที่ค่อยๆหมดไป ซิ่วหมินยิ้มน้อยๆก่อนจะหลับตาลงอย่างสงบ...ไม่ได้หวาดกลัว ราวกลับเพียงแค่หลับไป


    แปลกนักทั้งที่ร่างกายเย็นเฉียบ แต่ภายในหัวใจกลับอบอุ่นอย่างน่าประหลาด...


    เพราะท่านใช่ไหมเจ้าฟ้า...





    ข้าคือดอกไม้ที่ได้รับน้ำจากท่าน และตัวข้าคงมิอาจเติบโตต่อไปหากขาดท่านไป...

    หากเราสองต้องแยกจากกันเพราะท่านต้องเดินทางไกล... เช่นนั้นแล้ว ข้าจะขอไปกับท่านเอง...





    ชายผ้าที่บรรจุเถ้าของนักรบหนุ่มหลุดออกจากกัน จนเถ้าถ่านเศษกระดูกลอยขึ้นไปตามแรงน้ำ พวกมันกลับพร้อมใจกันโอบรอบร่างกายบาง...ที่ไร้ซึ่งลมหายใจของซิ่วหมิน... คล้ายกับคำมั่นสัญญาว่าจะอยู่เคียงคู่นางจนวาระสุดท้ายของชีวิต


    จิตวิญญาณของข้าเป็นของเจ้า ข้าคอยปกป้องตัวเจ้าตลอดไป...





    The End





    Behind the Scene




    - จดหมายจากแม่ทัพลู่หาน -



    มินซอก หากตัวเจ้าเปิดอ่านจดหมายนี้เมื่อใด โปรดอย่าได้หัวเราะกับข้อความของข้า

    ข้ามิเคยเขียนจดหมายเช่นนี้ถึงผู้ใดมาก่อน นั่นหมายถึงเจ้าเป็นคนแรก...และคนสุดท้าย


    ข้าคิดถึงเจ้านักในเพลานี้ เป็นกังวลว่าเจ้าจะกินอยู่อย่างไร จะสุขสบายดีหรือไม่... ยอดรักเจ้าอย่าได้กังวล ศึกนี้ข้าจักปราชัยและเร่งกลับไปหาเจ้า


    ก่อนอื่นเลย ตัวข้าต้องโทษเจ้าที่มิได้บอกถึงเรื่องลู่ฉาง ด้วยตัวข้ามิหมายให้เจ้าถูกกลั่นแกล้งจากในเรือนให้ขุ่นข้องหมองใจต่อกัน จึ่งได้ให้น้องชายมาปกป้องเจ้า เราสองคนหน้าเหมือนกันมาก โปรดอย่าสับสนเชียว...

    ขอโทษที่บังอาจหยิบหวีเสียบผมที่ให้เจ้าไปติดตัวมารบ เกรงว่าข้าคงทนคิดถึงตัวเจ้ามิได้ และของดูต่างหน้าชิ้นนี้จักได้ช่วยเป็นกำลังใจให้ตัวข้ามีพลังในการกลับไป ข้าขอบคุณมากที่เจ้าดูแลมันอย่างดีมาโดยตลอด หากมันเผยเปื้อนเลือดไปก็อย่าได้รังเกียจไป เพราะมันเป็นแผลแห่งความภาคภูมิ!

    ข้าได้เตรียมแหวนไว้ให้เจ้าได้ประหลาดใจแล้ว ทว่าข้ามิมีโอกาสได้มอบให้ก่อน หวังว่าเจ้าจักเข้าใจ ไพลินสีสมุทรข้าคัดสรรอย่างพิเศษมาเพื่อกำนัลเจ้า เจ้าชอบสีน้ำเงินใช่ไหมเล่า ...ทีนี้ข้าจะได้แต่งตั้งให้เจ้าเป็นชายาอย่างเป็นทางการเสียที


    ....ไว้หากข้ากลับไปได้เมื่อใด ข้าจะพาเจ้าไปทะเลอีกครั้ง



    รักเจ้าเสมอ มินซอก...ภรรยาของข้า





    ____________________________________________________________





    เรื่องนี้ตั้งใจยกให้พี่หมินโดยเฉพาะค่ะ อิย์ๆๆๆๆๆๆ ///x///


    เรื่องนี้ออริจินัลโดยคุณฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สันนะคะไม่ใช่พี่น้องกริมม์ เค้าว่ามางั้นอ่ะ(มั้ง//โทษๆ)

    เนื้อเรื่องเราเอาแบบออริเนอะ ของดิทนีย์มันโลกสวยไปไม่เฟี้ยว ถ้าใครเคยอ่านfactนิทานก่อนนอนก็น่าจะรู้ ความจริงคุณฮันส์เขียนตอนจบแบบBad Endว่าเงือกน้อยนางไม่ได้มีดจากพี่สาวหรอก หล่อนหยิบเอาแถวนั้นแล้วก็ฆ่าเจ้าชายเลยค่ะ ก่อนจะหนีลงทะเลกลายเป็นฟองอากาศไปเพราะกลัวความผิดซะงั้น ที่นี้มันออกจะทำลายฝันเด็กๆไปหน่อย คุณพี่เลยแอบเปลี่ยนเป็นไม่กล้าแทงเจ้าชายแล้วก็ยอมเสียสละตัวเอง //ร้องไห้แพพ



    จางเล่ยไม่เลวนะ! ห้ามว่านะ!! อย่าว่าจางเล่ยนะ! TwT

    ตอนนี้ยาวนะคะ ขออภัยในความน่าเบื่อ

    ปล. เรื่องนี้อิงตามอริจินัลเงือกน้อยนะคะ ปิ๊ง >_O



    ไม่ผิดใช่ไหมนี่แต่งไปร้องไห้ไป #กำ ฟังเพลงด้วยนะ อิอิอิอิ
    นายคือมันอินอ่ะ นายอ่านแล้วลองจิ้นตนาการลึกๆเลยนะ เราบรรยายไม่เฟี้ยวเลยว่ะ
    กำ ถูกๆผิดๆไม่ว่ากันนะ แบบว่านิยายย้อนยุดคือไม่ชิลลล #ความรู้น้อยคือประเด็น :(
    ปล. มินซอกยังซิงนะฮับบบ อารมณ์แบบพริตตี้หน้าร้านอาบอบนวด #เดี๋ยวๆๆๆ


    ลำดับเหตุการณ์ให้เผื่องง

    เจอมินซอกในป่า -> เจออีกทีตอนโตขึ้นหน่อย -> แล้วลักลอบพบกันเป็นครั้งๆคราว -> พากันไปเที่ยวทะเล -> โดนจับได้ ซอกโดนขังเบย พี่ลู่ได้หวีคืน -> อาเล่ยช่วยออกไปจากหอ -> ไปอยู่บ้านใหญ่ ชีวิตระทมฝรัดๆ -> พี่ลู่ออกรบ -> น้องฉางมา -> เฉลยความจริง -> ซอกน้อยเฝ้าภาวนาให้สะมีกลับมา -> ฝันถึงพี่ลู่ -> ออกไปรอรับศพ -> จะฆ่าตัวตายตาม(ไม่สำเร็จ) -> โดดลงทะเลฆ่าตัวตาย


    เศร้าว่ะไอ้เฮี้ย กำๆๆๆๆๆ T___T







    "> SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×