ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จันทร์เคียงฟ้า (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #1 : บทหนึ่ง นภากร

    • อัปเดตล่าสุด 20 ต.ค. 58








     
    บทหนึ่ง นภากร

     








    ‘ นภากร วิจิตรวัฒนา ’ นั่นคือชื่อของผมตั้งแต่เกิดที่พ่อและแม่ตั้งให้


    บ้านเกิดผมอยู่ต่างจังหวัดทางภาคเหนือตั้งแต่เด็กก็เลยอยู่กับธรรมชาติมากกว่าในเมือง ตอนเด็กของผมก็ธรรมดาทั่วไปกินเล่นนอนไปวันๆเท่านั้นแหละ แต่พอโตขึ้นมาถึงมัธยมถึงได้สัมผัสการแข่งขันที่สูงขึ้น ผมย้ายเข้ามาเรียนแถบตัวเมืองเพื่อการศึกษาที่ดี แต่นภากรไม่ได้มีความรู้มากกว่าใครขนาดจะกลายเป็นฮีโร่ด้านการเรียน เกรดผมจึงได้แปรผกผันกับระดับชั้นไปเรื่อยๆแต่มันก็ไม่ได้แย่ขนาดดูไม่ได้


    ผมไม่เคยรู้ว่าตัวเองชอบหรือถนัดอะไรเลยทำตัวกระแสไปเรื่อยๆ จนได้ลองมาแทบทุกอย่างผู้ชายมักจะทำกัน ตั้งแต่กีฬา ดนตรี ศิลปะ รวมทั้งเกมด้วย จนกระทั่งเข้าสู่มัธยมปลายปีสุดท้าย นภากรก็ได้พบกับหนังสือเล่มหนึ่งในลังเก่าของพ่อที่เตรียมไปชั่งกิโลขาย หน้าปกอ่อนรูปภาพคล้ายงานเทศกาลเอิกเกิรกกับชายหญิงคู่หนึ่งบนบัลลังก์สูง


    นภากรเปิดมันขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่ตื่นอยู่ภายในร่างกาย



     

    ‘ ประวัติศาสตร์จีน ’

     

     

     

     

     

     





    ครืด ครืด


    “ขอโทษครับ”


    ผมกล่าวเป็นภาษาจีนกับคนที่อยู่ด้านหน้าของผมเพื่อจะขอทางแทรกตัวเองพร้อมกระเป๋าเดินทางลากพื้นใบใหญ่รวมทั้งเป้บนหลัง พื้นที่ในสนามบินตอนเครื่องลงจอดช่างวุ่นวายสมกับเป็นเมืองใหญ่ของแผ่นดินประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ เด็กน้อยที่เพิ่งฝึกเป็นต่างด้าวครั้งแรกกวาดสายตามองรอบตัวอย่างประหม่า หัวใจด้านในเต้นถี่ตั้งแต่เครื่องแลนดิ้งลงพื้นแบบไม่มีสาเหตุราวกับมีสิ่งใดพันผูกเขาอยู่


    นภากรยกนาฬิกาข้อมือมาตรวจเวลาอันสมควรแล้วมองหาคนที่กำลังตามหา ทันใดนั้นเสียงสวรรค์ของเขาก็ดังขึ้น


    “กร ทางนี้”


    แขนยาวในเสื้อแจ็กเก็ตยีนส์สีซีดโบกปัดไปมาเพื่อให้เป็นที่สังเกต โชคดีที่การแบ็คแพ็คท่องเที่ยวครั้งนี้ได้เพื่อนเก่าเชื้อชาติไทยที่มาทำงานในจีนช่วยเป็นไกด์และผู้ปกครองชั่วคราว ผมยิ้มทันทีที่เห็นเขาแล้วรีบๆก้าวเท้าเข้าไปสวมกอดเพื่อนเต็มแรง


    “ไอ้เอก! ไม่เจอตั้งนานสูงขึ้นจมเลยนี่หว่า!”


    เอก หรือ เอกวัฒน์ เป็นผู้ชายความสูงมาตรฐานตะวันออก รูปร่างผอมเพรียวแต่มีกล้ามอยู่บ้าง รูปหน้าปนทั้งไทยจีนเว้นแต่ดวงตาที่ออกแนวจีนไปซะหน่อย(ตาชั้นเดียวไง) ผิวขาวเหลืองตามแบบคนเอเชียที่ตอนนี้แอบเข้มเพราะน่าจะทำงานออกแดดเยอะ เอกเป็นพวกเรียนดีอีกทั้งบ้านมีฐานะก็เลยได้โอกาสมากมายมาอยู่ที่นี่แบบไม่ต้องพยายามมากแต่เพราะเจ้าตัวค่อนข้างเอาจริงเอาจังแถมยังแอบมุทะลุ


    มันทำงานเกี่ยวกับพวกวิศวะปิโตรฯและนี่คือช่วงวันหยุดเดือนนี้ของมัน ประจวบเหมาะกับนักแปลฟรีแลนซ์อย่างผมที่ได้โอกาสเปิดโลกกว้างลางานมาทำตามความฝัน เอกที่อาศัยอยู่เมืองนี้พอดีจึงได้อาสาเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้ผมตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ ไอ้ผมที่ปอดแหกกับคนแปลกหน้าเป็นทุนเดิมเลยตอบตกลงแบบไม่ต้องคิด เลยกลายว่าตอนนี้เราสองคนได้ตั้งตัวเป็นคณะทัวร์ชั่วคราวแล้ว


    “ที่นี่แม่งคุยไม่สะดวกเท่าไหร่ ไว้ไปต่อในรถเถอะมึง”


    “อ้าวเห้ย รอกูด้วย!”


    ทักทายกันได้ไม่นานเอกมันก็ฉวยคว้าที่ลากกระเป๋าเดินนำลิ่วท่ามกลางเสียงคัดค้านของผม แต่คนอย่างมันพูดอะไรไปมันก็ไม่ฟัง หน้าด้านหน้าทนจากอดีตอย่างไรปัจจุบันก็ยังเป็นแบบนั้น เดือดร้อนต่างด้าวอย่างผมที่ต้องก้าวเท้าตามเพราะไม่งั้นล่ะได้บากหน้าไปศูนย์เด็กหลงทางแน่


    ผู้ชายสองคนเดินมาหยุดที่หน้ารถยนต์เล็กๆคันหนึ่ง ผมกวาดตามองรถโฟล์คเต่าทองสีเขียวหยกพาสเทลสีหน้ากึ่งอึ้งกึ่งงง ไม่นึกมาก่อนว่าไอ้เอกจะชอบสีแบบนี้ หวานสัด…. หลังจากยัดกระเป๋าเข้าท้ายรถแล้วเจ้าของมันเรียกผมให้ขึ้นรถ ล้อสี่ล้อเคลื่อนตัวไปเรื่อยขณะที่เอกเป็นคนเปิดบทสนทนาตามประสาคนบ้านไกล


    “เป็นไงบ้างวะไม่เจอตั้งนาน เห็นหน้ามึงแล้วก็นึกถึงสมัยเรียนชิบหาย”


    “ก็เรื่อยๆแหละ ไม่ดีไม่ร้าย เออเนี่ย ไอ้พวกนั้นมันฝากความคิดถึงมาให้มึงด้วย มันบอกมึงมาเมืองนอกแล้วหล่อขึ้นจมพวกมันเลยแบนมึงไม่ให้กลับไทยแล้วว่ะ ฮ่าๆๆ”


    “สัด ที่ตอนเรียนพวกมันหว่านเสน่ห์เรี่ยราดนำหน้ากูไปก็ยังไม่ด่าเลย”


    เอกวัฒน์หัวเราะแล้วนึกถึงหน้าพวกผู้ชายบ้าๆบอๆที่เขาคิดถึง ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ก็ไม่ค่อยได้กลับไทยไปเจอหน้าพวกมันเลย ถึงบางครั้งจะคุยสไกป์เห็นหน้าทางไกลกันบ้างแต่มันก็ไม่ให้ความรู้สึกเหมือนตอนเฮโลไปก๊งเหล้าแล้วเมาเป็นหมาด้วยกันสักนิด เอาไว้สบโอกาสเมื่อไหร่เถอะเขาจะกลับไปเมาที่ไทยระลึกความจำยาวๆเลย


    “แล้วนี่มึงมาอยู่กี่วันวะกร”


    “ประมาณสองอาทิตย์แหละว่ะ กูอยู่นานมากไม่ได้เหมือนถังแตกยาว”


    “อือ ก็นานพอได้อยู่ ว่าแต่ทำไมมึงถึงตัดสินใจมาที่นี่วะ”


    “อ่าาาาา เหตุผลมันยาวว่ะ”


    นภากรหัวเราะกลบเกลื่อน เหตุผลไม่ได้ยาวห่าไรหรอกแต่ไม่มีเหตุผลอะไรเลยต่างหาก ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงเลือกมาที่เมืองนี้ อาจจะเพราะมีคนรู้จักอย่างไอ้เอกอยู่ ปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นก็เป็นข้ออ้างนึง


    แต่มันมีบางอย่าง….ที่กำลังเรียกร้องเขา


    “อ่ะแหน่ะๆๆๆ อยากมาหาพี่เอกคนนี้ก็บอกสิจ๊ะน้องกร ทำมาซึนเดเระไปได้”


    เห็นว่ารถติดไฟแดง เอกวัฒน์เลยถือโอกาสล้อเลียนด้วยการจับคางเพื่อนแล้วหมุนหยอกล้อไปมาอย่างน่ารัก ผมเลยตบมือออกแล้วเบ้หน้าใส่


    “แรดไปละไอ้พี่เอก สัดขนลุก! กูว่าแล้วววววว ว่ามึงต้องเป็น กูรู้ตั้งแต่เห็นสีรถมึงแล้ว!”


    “พ่องสิ นี่รถน้องสาวกู!“


    “น้องสาวหรือผัวคะพี่เอกกกก อ๊าย เขินๆๆๆ”


    ผมมองหน้ามันแล้วบิดตัวเหมือนสาวน้อยวัยใสเวลาเจอผู้ชายในฝันที่หล่อนทำได้เพียงฝัน มือสองข้างทุบเบาๆใส่ไหล่แคบๆของไอ้เอกจนมันตอนแทนด้วยการตบหัวกลับหน้าแทบทิ่มกับคอนโซลรถ


    “ผัวที่หน้ามึงอ่ะสัด ปากดีนักนะมึง แหม่ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องมารับไอ้ลูกหมาที่ไหนซักที่กูก็ไม่ต้องมานั่งอิรถแมงทับฟอกไฮเตอร์นี่หรอกสัด กูปั๊ดทิ้งแม่งกลางทางซะนี่เว้ย!”


    “น้องกรขอโทษ…..”


    ผู้ปกครองด่ากราดหน้าดำหน้าแดงจนผมต้องทำตัวเจี๋ยมเจี้ยมก่อนจะโดนเนรเทศลงรถกลายเป็นเด็กหลงทางซะเปล่าๆ แต่ว่าก็ว่านะครับ ไอ้เอกเนี่ยเป็นคนค่อนข้างรักน้องโอ๋น้องพอตัวเลยแหละ ที่มันย้ายมาอยู่จีนก็เพราะน้องสาวมันได้ทุนเรียนต่อที่นี่ ป๊าม๊ามันเป็นห่วงทีนี้มันเลยอาสามาดูแลแทน ขนาดรถที่ป๊าม๊าซื้อให้มันก็ให้น้องเลือกแถมใช้ชื่อน้องสาวเป็นเจ้าของด้วย


    เอกวัฒน์นี่แม่ง ….พี่ชายในฝันชัดๆ


    “ว่าแต่มึงนี่ อยู่จีนนานแต่พูดไทยชัดเหมือนเดิมเลยนะ”


    “แน่นอน ภาษาเกิดกู”


    “เนี่ย โดยเฉพาะคำหยาบเนี่ยช้าดชัด ดังกับระดับเสียงเฮชดีเซอร์ราวด์ ถามจริงความสวยงามที่นี่ไม่เคยขัดเกลาสันดานหยาบคายของมึงบ้างเลยเหรอวะ”


    ผมว่าขณะเอื้อมมือไปปรับคลื่นวิทยุในรถแม้จะไม่รู้ไอ้คลื่นไหนมันมีอะไรก็เถอะ ความเงียบและไอเย็นได้รับหลังจากผมพ่นหมาออกจากปากไปทำให้แอบลอบกลืนน้ำลายแล้วหันไปยิ้มแหยๆให้กับพ่อทูนหัวจำเป็น ชื่อของผมไหลออกมาจากปากหยักเหมือนคำสาปแช่งในการ์ตูนญี่ปุ่น


    “……นภากร”

     


    “ขอโทษค่ะ…”

     

     

     

    .
    .
    .




     


    นภากรกำลังก้มหน้าจัดกระเป๋าเสื้อผ้าออกมาพึ่งแสงผึ่งลมตามที่เจ้าของบ้านบอก เสื้อผ้าไม่กี่ชุดที่เขาตั้งใจจะเอามาใส่ซ้ำก็สลอนขึ้นไปอยู่บนไม้แขวนกันแบบหน้าตาดี เอกวัฒน์เปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมชุดเครื่องนอนง่ายแบบหมอนใบผ้าสองผืนไว้ปูกันหลังยอกกับไว้ห่มแก้หนาว ซ้ำมันยังใจดีโยนตุ๊กตารูปหนอนลงมาให้ตัวนึงแทนหมอนข้าง


    “มึงนอนพื้นได้ใช่ป่ะกร กูอยากให้มึงนอนห้องไอ้หมวยนะแต่ไม่รู้วันนี้มันจะกลับบ้านรึเปล่า กูกลัวตอนกลับมามันมืดๆคลำๆกันแล้วมันจะจับมึงทำผัวเอาได้”


    “กูนอนได้ๆ สบายดีออกนอนพื้น ตอนเด็กๆกูนอนบ่อย”


    “ถึงว่าล่ะนมมึงแบ๊นแบน”


    ผมเบิกเนตรใส่มันพร้อมเงื้อมือสูงเตรียมจะฟาดให้หน้ายุบซักที หน้ากูเหมือนผู้หญิงไหมสัดฮะ มาว่ากู อย่างน้อยนมก็ก็ใหญ่กว่ามึงแหละ!


    ไอ้เอกมันก็หัวเราะก่อนจะพาดผ้าขนหนูขึ้นบ่าเดินเข้าห้องน้ำขณะที่ผมจัดการปูที่นอนแล้วไถตัวลงไปฟักไข่เรียบร้อย อ๊ะๆๆ อย่ามาว่าสกปรกนะครับ นภากรอาบน้ำหอมฉุยเรียบร้อยแล้วต่างหากเว้ย! ถ้าถามว่าตอนไหน ก็ตอนมันไปขุดหาเครื่องนอนให้ผมแหละ


    เสียงน้ำกระทบพื้นเหมือนจะค่อยๆขับกล่อมให้ดวงตาของผมค่อยปิดลง เหมือนกับตอนเด็กๆที่บ้านเกิดของผมแม่ชอบบอกว่าผมตอนเด็กค่อนข้างงอแง แต่พอวันไหนได้ยินเสียงฝนผมจะสงบใจได้มาก ตอนโตก็เช่นกันเวลาที่เศร้าหรือเสียใจ เสียงน้ำและสายฝนจะเป็นเครื่องประโลมใจของผม…


    กึก


    “อ่ะ”


    กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่โทรศัพท์มือถือหลุดลงไปจากมือ ดวงตาเหลือบขึ้นมองหลอดไฟนีออกที่พร่ามัว นภากรยันตัวขึ้นมองรอบห้องและหยุดลงที่หมอนตัวเอง ดวงตาคมใกล้จะปิดลงอาจเพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลครั้งแรก ตอนแรกว่าจะรอนอนพร้อมกันแต่ไม่รู้ว่าไอ้เอกมันจะอาบน้ำนานขนาดนี้ พอคิดไปคิดมาเลยตัดสินใจตัดก่อนมองไอ้คนในห้องน้ำ


    “เฮ้ยเอก! กูนอนไม่รอได้ป่ะ ไม่รู้ทำไมกูง่วงแปลกๆ”


    “เออนอนไปเลย ปิดไฟเลยก็ได้นะมึง เปิดแค่โคมไฟไว้ก็พอ”


    “เออ ฝันดีเว้ย!”


    นภากรเดินไปเปิดปิดสวิตช์ไฟตามที่เจ้าบ้านบอกก่อนจะโถมตัวลงนอนที่เดิม สบดวงตาเข้ากับแสงนวลส้มจากโคมไฟรูปจันทร์เสี้ยวดูไม่เข้าหนังหน้าไอ้ซิสค่อนนั่นเท่าไหร่ที่ฉายแสงอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไอ้เอกนี่มีอะไรให้เซอร์ไพรส์ตลอดเชียวล่ะ ผมยิ้มขำนิดๆก่อนจะปิดตาลงเพื่อเข้าสู่ห้วงนิทรา





     

    เหมือนกับว่าหูของผมจะได้ยินเสียงอะไรซักอย่าง

     

     

    ที่ช่างไพเราะเหลือเกิน…

     

     

     






     

    กลิ่นดอกไม้?


    นภากรคิดเมื่อจมูกเขาได้กลิ่นหอมหวานจากที่ไหนซักแห่งหนึ่ง หอมเหมือนดอกไม้ที่เขาชอบ นึกแปลกใจว่ากลิ่นนี้จะลอยมาจากไหน หรืออาจจะเป็นไอ้เอกที่เปิดหน้าต่างห้องจนกลิ่นดอกไม้ลอยเข้ามา รอยยิ้มบางวาดขึ้นบนใบหน้า





    แต่ยิ่งเขาหลับตาอยู่อย่างนี้นานเท่าไหร่ กลิ่นหวานกลับยิ่งแรงขึ้นจนเหมือนธูปหอมที่อบอวลอยู่ทั่วทิศทาง นภากรจึ่งเลือกที่จะลืมตาขึ้นมาช้าๆ ทันใดนั้นเขาก็ต้องขมวดคิ้วแน่นเมื่อภาพตรงหน้าเรียกได้ว่าช่างแตกต่างยิ่งนักกับคำว่าห้องนอน และตัวเขาเองก็ไม่ใกล้เคียงเรียกกับคนที่ชื่อนภากร ทั้งเส้นผมสีดำเงาที่อาจจะยาวเลยกลางหลัง รวมทั้งผิวพรรณ รูปร่างภายนอกและเครื่องแต่งกายที่งดงามสะอาดตาผิดแผกต่างทุกที แม้จะไม่เห็นใบหน้าแต่ก็พอเดาได้ว่าคงเปลี่ยนแปลงไปด้วย


    เมฆหมอกสีขาวนวลดุจขนมสายไหมที่ลอยละล่องอยู่ทั้งบนล่างซ้ายขวารอบตัว คล้ายกับโลกในจินตนาการที่ต้องตามหาทางออก เท้าทั้งสองของผมก้าวออกไปโดยที่ผมไม่ได้ออกคำสั่ง ร่างกายทั้งร่างไม่ขยับตามสมอง กรอบสายตาเพ่งไปด้านหน้าที่เต็มไปด้วยปุยสีขาว ดวงตาของผมกะพริบลงเพียงชั่วครู่ตามกลไกธรรมชาติ แต่เมื่อลืมขึ้นมาอีกครั้งภาพตรงหน้ากลับกลายเป็นสวนหญ้าต้นเตี้ยสีเขียวที่ถูกจัดแต่งไว้อย่างดีกับโทนธรรมชาติ


    และตรงกลางถูกประดับด้วยต้นไม้ใบสีชมพูอ่อนที่โรยกลีบใต้กิ่งก้านเต็มร่มเงา


    สองขาของผมก้าวไปที่ใกล้ร่มเงานั้น ก่อนจะนั่งลงท่ามกลางกลีบดอกไม้พลิ้วพราย ฝ่ามือบางซ้ำยังขาวจนเห็นเลือดฝาดโกยกลีบดอกสีชมพูช้ำๆขึ้นมา เสียงกู่เจิงทำนองไพเราะแต่กลับเศร้าสร้อยเอื่อยขึ้นมา ภายในจิตใจของผมเริ่มขมวดคิ้วไม่เข้าใจ ทว่าของเหลวอุ่นๆกลับทะลักออกมาจากดวงตาไหลลงตามรูปหน้าและฝ่ามือคู่นั้น รวมทั้งหัวใจที่เต้นแผ่วลงแต่กลับปวดหนึบ


    เกิดอะไรขึ้น?


    กึก


    “ฮะ!?”


    เสียงฝีเท้าด้านหลังทำให้ผมหันกลับไปตามสัญชาตญาณ และสิ่งที่อยู่ในสายตาของผมคือผู้ชายร่างสูงที่ยืนค้ำผมย้อนแสงอาทิตย์จนเป็นเงามืด รูปกายสูงสมกับเป็นบุรุษ เส้นผมยาวครึ่งหลังของเขาถูกมัดไว้เหมือนทรงหางม้าพริ้วไหวตามแรงลม เขายืนนิ่งค้างเหมือนรูปปั้นเช่นเดียวกับผมที่ยังไม่อาจลุกขึ้นได้


    “คุณ….เป็นใคร”


    ผมถามออกไปอย่างไม่รู้ตัว ทันใดเขาก็ทรุดตัวลงมาระดับเดียวกันจนผมสะดุ้ง ร่างกายยังคงขยับไม่ได้เหมือนเดิม เขาเผยรอยยิ้มจางและใช้อุ้งมือเกลี่ยใบหน้าของผมด้วยความอ่อนโยน


    “…นภาของข้า”


    แสงอาทิตย์หมดไปจนสามารถมองเห็นเขาได้แม้ไม่เต็มตาแต่เพียงแค่นั้นก็บอกได้ว่าอีกฝ่ายมีใบหน้าที่น่าอิจฉาเพียงใด และดวงตาคู่คมนั้นเองที่ดูดผมเข้าไปในห้วงความรู้สึกอันแสนเศร้า เหมือนเป็นวังวนที่ไม่จบสิ้น หัวใจของผมปวดแปล็บจนต้องยกมือขึ้นกุมอก


    ไม่ทันได้ระวัง อ้อมแขนแกร่งตวัดเข้ารอบลำตัวของผมและทะนุถนอมไว้แนบอก นภากรเบิกตาโพลงพร้อมความหวาดกลัวทว่าหัวใจกลับปวดร้าวมากจนไม่อาจปัดป้องสิ่งใด ทำได้เพียงแค่หอบหายใจหนักและรั้งหยาดน้ำตาไม่ให้ไหลริน


    “ไม่”


    “สิ่งใดเล่าที่น่าเคียดแค้นที่สุดบนโลกใบนี้”


    “อย่า…”


    นภากรได้แต่ส่ายหน้าช้าๆกับน้ำตาที่ท่วมทัศนียภาพในอ้อมกอดที่ชวนโหยหาและทำให้ปวดร้านเจียนตายในคราเดียวกัน ดวงตาปิดลงอย่างทรมาน เพียงชั่วพริบตาในความมือมิด กลิ่นหอมดอกไม้จางหายไปพร้อมกับสัมผัสรอบกาย ทั้งความหนาวเย็นและความรู้สึกด้านลบตีตื้นขึ้นจนเกิดอาการคลื่นไส้



    “ทั้งๆที่ข้าเทิดทูนเจ้า…”


    “เหตุใดสวรรค์จึ่งต้องพรากเจ้าไป…”


    “ทำไมถึงไม่เลือกข้า…”



    สิ่งที่ผมรับรู้ได้มีเพียงกลิ่นคาวขมปร่าเหมือนสนิทและเสียงกระซิบไกลออกไป บทสนทนาพึมพำที่ฟังไม่ออกแต่กลับเสียดแทงจนต้องปิดหู เสียงเพรียกยังคงกล่าวย้ำซ้ำๆเหมือนจะย้ำเตือนสลักลึกลงในใจ ปลายนิ้วเย็นเยียบของใครสักคนวางบนเปลือกตาสั่นระริกของผมที่ไม่อาจบังคับให้ปิดลงได้อีกต่อไป


    “นภา…ของข้า”


    เสียงนั้นจบลงพร้อมร่างของใครสักคนที่ทิ้งตัวลง ผมตั้งใจจะดันตัวเขาออกทว่าเมื่อมองไปที่มือที่สั่นเทาของตัวเอง มันกลับกำลังถือบางสิ่งบางอย่างอยู่แน่น


    กระบี่สีดำ…ที่ใช้เสียบทะลุร่างของคนตรงหน้า



    เคร้ง!


    มือเรียวสะบัดมันทิ้งเหมือนของร้อนจัดพร้อมกับร่างสูงที่ไหลลงไปกองที่พื้น ดวงหน้าถูกปอยผมปิดบังไม่อาจปกปิดเลือดที่ไหลออกจนเต็มปากและดวงตาทอแสงหม่น


    “ไม่… ไม่…”


    แม้แต่วิ่งเขายังทำไม่ได้ในเมื่อท่อนขาทั้งสองอ่อนแรงแทบสิ้น นภากรได้แต่เบิกตาโพลงและเอ่ยย้ำๆซ้ำๆเหมือนคนเป็นบ้า มือเรียวถูกยกขึ้นปิดหน้าโดยไม่ทันได้มองว่ามือของตนนั้นข้นไปด้วยโลหิตสีเข้ม กลิ่นคาวเหม็นหืนคลุ้งจนน้ำย่อยในกระเพาะถูกขับขึ้นถึงปาก สำรอกเอารสชาติเปรี้ยวๆออกมาแบบคุมตัวเองไม่ได้


    “ไม่… ไม่เอา… ไม่”


    น้ำตาของเขาไหลลงมาเคลียแก้มอีกครั้งพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงจนแทบระเบิด แม้จะปิดหู หรือปิดตาตัวเองเท่าใด เสียงที่เพรียกชื่อตัวเองยังคงดังก้องอยู่ในหู


    คล้ายจะย้ำซ้ำๆเหมือนจะย้ำเตือนสลักลึกลงในใจ


     


    “นภา…”

     


    “นภา…”

     




    “ไม่!!!!”


    “นภากร!!”


    “!!”


    ดวงตาคมกระชากขึ้นตามเสียง ผมแหกตาตื่นขึ้นมาด้วยความยินดีสุดซึ้ง ก็ได้เห็นไอ้เอกที่หน้าตาตื่นๆกำลังยกเท้าจะถีบผมที่ครึ่งนึงแทบจะตะกายขึ้นเตียงของมันไปแล้ว ไอ้กรหมุนหัวไปมารอบด้านก็เห็นว่ายังอยู่ที่ห้องไอ้เอกเหมือนเดิมไม่ได้มีเปลี่ยนแปลง


    แล้ว….ตะกี้นี้มัน………

     

    “เป็นบ้าอะไรของมึง ฝันเหี้ยอะไรขนาดมาตะกายเตียงกูฮะ!”

     

    ฮะ? ฝัน?



     


    ผัวะ!


    “โอ๊ยไอ้สัด ตบหน้าหาพ่องงงงงงง”


    เอกวัฒน์ร้องโวยเพราะถูกอุ้งมือฟาดเข้าข้างแก้มเสียงดังลั่น โดยไอ้คนทำมันกลับไม่สำเหนียกถึงความผิดตัวเองสักนิด นภากรอ้าปากค้างมองหน้าไอ้เอกสลับกับมือตัวเองไปมา สีหน้าจากตื่นตะลึงค่อยๆคลายลงตามจังหวะการเต้นหัวใจ


    “ตะกี้….. กูฝัน?”


    “ความจริงมั้งสัด ก็มึงนอนดิ้นพราดเหมือนโดนน้ำร้อนจนกูต้องตะโกนปลุกเนี่ย มึงรู้ไหมตอนแรกนะมีแต่ขากับแขนมึงโผล่ขึ้นมากูเกือบกรี๊ดแล้วสัดนึกว่าผี …ดีนะไอ้กิ่งมันไม่กลับคืนนี้ ไม่งั้นแม่งตะโกนด่าพ่อล่อแม่กูไปแล้ว”


    ได้ข่าวว่าพ่อแม่มึงสองคนก็คนเดียวกันป่ะวะ?


    ไอ้ผมก็ได้แต่คิดเนื่องจากคดีทำร้ายร่างกายติดตัวเลยได้แต่ตบมือเข้ากับเข่าไอ้คนที่นั่งอยู่บนเตียง


    “โทษทีมึง ตะกี้กูฝันร้าย”


    “เออกูก็พอรู้อยู่หรอก แต่เอาจริงดิ มึงเล่นฝันร้ายตั้งแต่วันแรกที่เหยียบประเทศเลยเหรอ ขนาดกูอยู่มาตั้งสองสามปีกูยังไม่เคยฝันร้ายเลยนะเว้ย”


    ผมหน้าเสียไปหน่อย ตั้งแต่เด็กผมไม่เคยมีไอ้ซิกเซนซ์จิตสัมผัสนี่สักนิด และก็ไม่ได้อยากมีด้วย ถึงจะเป็นผู้ชายแต่ผมก็กลัวผีได้นะเว้ย! เราทั้งคู่นั่งนิ่งจนเกือบหลุมอากาศไปเกือบนาที


    "แหน่ะๆๆ หรือชาติก่อนมึงต้องไปทำอะไรผูกพันธ์กับที่นี่แน่ๆ"


    …แถมพ่นหมาในปากมาอีกคอกนึง เอาซะผมต้องกลืนน้ำลายฝืดลงคอช้าๆ


    “เพิ่งตีสองเองนอนต่อเหอะกร แต่ถ้ามึงกลัวผีจะขึ้นมานอนกับพี่เอกก็ได้นะจ๊ะ ถึงเตียงพี่จะเล็กไปหน่อยแต่เราจะได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น”


    ไอ้เอกขยี้หัวผม(เหมือนจะ)ปลอบไปที แล้วมันก็โถมตัวลงที่นอนต่อ  มีการเปิดผ้าห่มออกมายั่วยวนให้ความหวัง ด้วยความหมั่นไส้เลยปาไอ้ตุ๊กตาหนอนใส่หน้ามันไปทีนึงเน้น ผมขมุบขมิบปากด่าไอ้คนหน้าระรื่น ก่อนจะเลื้อยขึ้นเตียงมันเงียบๆ เอาวะ ทำตัวเป็นคู่เบี้ยนกับมันสักวันก็น่าสนุกดี อย่างน้อยก็ดีกว่าเจอผีคนเดียวล่ะวะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ


    ผมหลับตาลงจากนั้นก็นึกถึงคำพูดไอ้เอก ผมเป็นคนไม่เคร่งศาสนามากก็จริงแต่ก็เชื่อเรื่องกรรมเวร แถมยังชอบอ่านบอร์ดสีม่วงที่มักจะมีกระทู้เรื่องผีจองเวรตั้งขึ้นมาประปราย พอได้ยินแบบนี้มันก็ตุ้มๆต่อมๆไม่น้อย ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใครแถมตอนนี้ผมนึกหน้าเขาไม่ออกแล้วด้วย


    “มึงพูดจริงเหรอวะเอก”


    “อะไร”


    “ที่ว่าชาติก่อนกูทำอะไรไว้”


    ผมได้ยินเสียงถอนหายใจที่บอกได้ว่าเหนื่อยหน่ายที่สุดของเอกวัฒน์ เพื่อนลูกครึ่งจีนหันหน้ามาจากเดิมที่นอนหันหลังให้ นภากรเพิ่งได้มองอีกฝ่ายใกล้ๆครั้งแรกถ้าไม่นับตอนเรียน …อันที่จริงตอนเรียนก็ไม่ได้ใกล้อะไรขนาดนี้นะ จะว่าไปไอ้เอกมันหล่อขึ้นมาจริงๆแหละ ตาชั้นเดียวแต่คมกับกลีบปากบางสเป็กคนเอเชียแบบนั้น เอกมันเปิดปาก…จากนั้นก็เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ผมและ…






    “มึงบ้าป่ะ?”


    เบ้ปากออกเป็นจานข้าวหมา


    ไอ้เด็กเหี้ยนี่…


    “มึงฟุ้งซ่านมากไปป่ะกร กูก็พูดเรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะไปทั่วนั่นแหละ มึงเคยดูหนังจีนแนวรักๆป่ะที่แม่งข้ามชาติข้ามภพกลับไปอ่ะ กูเห็นไอ้กิ่งมันติดอยู่พักนึง กูว่าแม่งก็ตลกดีเลยแซวมึงไปงั้นแหละ ไม่นึกว่ามึงจะคิดจริงจัง มึงคงไม่คิดว่าตัวเองจะได้กลับชาติก่อนไปเป็นนางสนมฮ่องเต้ใช่ป่ะ อ๊ะโถๆๆ น้องกรของพี่ มึงนี่ขี้มโนจุงเบยยยย”


    “สนมโพ่งงงงงงง คนอย่างกูอ่ะนะ ชาติก่อนต้องเป็นฮ่องเต้ที่หน้าตาดีที่สุดเท่านั้นแหละเว้ย!”


    “แบะๆๆๆ อ่ะ แบะๆๆๆ เลิกฟุ้งซ่านแล้วนอนเหอะกร มึงจะได้สูงขึ้นบ้างนะไอ้ลูกหมา~”


    ผมถลึงตาใส่มันแรงมากเมื่อมันเล่นสิ่งที่ไม่ควรเล่นมากที่สุดพร้อมกับฟาดลงบนศีรษะนิ่มๆของมันดังผัวะ ไอ้เอกร้องโอดก่อนจะทำท่างอนสะดีดสะดิ้งเหมือนกุ้งโดนมะนาว มันชี้หน้าคาดโทษแล้วก็หันหน้าหนีใส่ผนังทันที แม่ง นึกว่ากูจะง้อเหรอ กูไม่ง้อหรอกนะเว้ย! ด่าดูกากกูพอรับได้แต่ด่าเตี้ยนี่กูจะไม่ทน!


    “…”



    แต่ว่ามันก็มีบางสิ่งที่ตกสะเก็ดค้างอยู่ในใจ…


    “เอกๆๆ”


    “หือๆๆ”


    “มึงว่าบนโลกใบนี้อะไรน่าแค้นที่สุดวะ”


    “มึงที่กำลังทำให้กูไม่ได้นอนไงสัด”


    “เอาดีๆดิ”


    “เชียร์บอลแล้วแพ้รึเปล่า โอ่ย แล้วกูจะรู้ไหมเนี่ย กูยอมๆ เฉลยมาเลยเถอะสัด”


    “กูไม่รู้กูถึงถามไง”


    "..."


    "......"


    “เฮ้ออออออออ ……”



    ไอ้เอกพ่นลมเสร็จมันก็นอนนิ่งไปเฉย นิ่งแบบนิ่งมาก นิ่งเหมือนจะบอกพอเถอะ อย่ามายุ่งกับกูประมาณนั้น


    เอ้าสัด ก็กูไม่รู้จริงๆนี่หว่า มึงนึกว่ากูถามปัญหาเชาว์อยู่ใช่ไหม แล้วทำไมมึงต้องถอนหายใจแบบซุปเปอร์ระเหี่ยใส่กูด้วย เพื่อนเลวอย่างมึงนี่มันเลวจริงๆ



    นอนก็ได้ เช่อะ!

     

     



    _______________________________________________________


     

    สวัสดีค่ะ นิยายปกติเรื่องแรกในชีวิตในที่สุดก็ถือกำเนิดบทที่หนึ่งจนได้ ไม่รู้จะประคองกันไปถึงบทสุดท้ายหรือเปล่า T T คนเขียนค่อนข้างอัพช้ามากนะคะ เป็นคนที่ถ้าไม่มีอารมณ์ในการเขียนจะเขียนไม่ได้เลย แถมยังดองฟิคไว้อีกตั้งหลายเรื่อง //เฮ้ออออ

    ตอนนี้สั้นไป อ่านไม่สะดวก หรือใช้คำแปลกไปยังไงช่วยบอกด้วยนะคะ แอบกังวลแฮะ 5555555555

    อาจจะพูดอะไรไม่มาก แต่เอาเป็นว่าถ้าคุณพร้อมจะรอ เราก็จะตั้งใจพิมพ์เช่นกัน เอาใจช่วยนภากรให้ถึงฝั่งฝันด้วยนะคะ


    ขอให้อ่านแบบมีความสุขทุกท่านค่ะ <3

     

    10.36 pm

    20/10/15





    @SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×